Kagehana : ขอโทษนะคะที่อัสซี่มันใจง่าย... เลยไม่มีมาม่ามาให้กินกัน ฮ่าๆๆ ก็มันโง่ ช่วยเข้าใจมันหน่อยน้า
-33-
เด็กหนุ่มร่างบางยกมือขึ้นดันใบหน้าของคนที่กดเขาลงกับเตียงออก
“พี่เดฟ.... อือ... คนเต็มบ้าน อึก ไม่เอา” ทว่าฝ่ามือที่รุกไล่กลับทำให้เรี่ยวแรงพากันหมดไป จนทำได้เพียงส่งเสียงร้องห้าม
หากไม่มีใครอยู่บ้านหรือนอนหลับกันไปหมดแล้ว ปัณวิทย์คงไม่ร้องห้ามอย่างนี้ แต่นี่เพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จ ทุกคนยังไม่มีใครนอนด้วยซ้ำ
“ในห้องไม่มีคนสักหน่อย..หอมทีนึง..” ร่างที่คร่อมอยู่ข้างบนพูดอ้อนพลางซุกไซร้ใบหน้าลงกับลำคอเรียว
“อือ... ก็หอมเฉยๆ มือนี่อะไร” เจ้าของห้องยังคงพยายามดันชยางกูรออกโดยไม่ฟังคำแก้ตัวใดใด
“อุปกรณ์ประกอบฉาก” ชยางกูรพูดหน้าตายแล้วไล้มือผ่านสีข้าง...จุดอ่อนไหวของปัณวิทย์
“อึก-- ไม่เอา บอกว่าเดี๋ยว”
เสียงโทรศัพท์มือถือของปัณวิทย์ดังขึ้นมาขัดทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองก่อนจะหันกลับมาหา
“โทรศัพท์...”
ปัณวิทย์เอี้ยวตัวหลบหนีพลางเอื้อมแขนมาหมายจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“ไม่ให้” ชยางกูรเอื้อมไปคว้ามาถือไว้แล้วยัดลงใต้หมอน
“พี่เดฟ เอามาให้ปันก่อน...” เขารีบตามไปล้วงมือเข้าใต้หมอนบ้างเพื่อควานหา “ทำเป็นเด็กๆไปได้”
“ขัดจังหวะจริง” พูดไปแต่ก็ยอมล้วงใต้หมอนเอามาคืนให้
“อ่ะ รับสิ”
“โหล”
-ไอ้ปันนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน-
“เหี้ยอัฐ ปวดหูเว้ย” ปัณวิทย์ยกโทรศัพท์ออกห่างจากหูแทบจะในทันที
-ช่วยกูด้วย งานเข้าเหี้ยๆแล้วมึง-
คำว่างานเข้าทำให้ปัณวิทย์ขยับตัวนั่งดีๆ กระทั่งสีหน้ารำคาญในทีแรกก็เปลี่ยนไป
“ว่า?”
-มีนแม่งหลอกกูเพราะชอบไอ้ซายน์ แต่ไอ้ซายน์ชอบกู เหี้ย ให้กูทำไงวะ-
“........”
...ให้มันได้อย่างงี้สิวะเพื่อนกู...
“คือกูไม่ใช่มึง แต่มึงมาถามกู ตลกมากๆเลยอัฐ มึงไม่ชอบมันมึงก็ปฏิเสธไปสิวะ อย่าไปให้ความหวังมัน” ปัณวิทย์เอนกายลงพิงกับหมอนหลายใบที่สุมกันตรงหัวเตียง
-ทำไมมึงไม่ตกใจหน่อยเลยวะ ไอ้ซายน์ชอบกู ผู้ชายชอบกูนะมึง-
...ก็กูรู้อยู่แล้วนี่หว่า...
“หา อะไรนะ มึงพูดจริงเหรอ ไอ้ซายน์ชอบมึง”
-เหี้ยปัน ล้อเลียนกู เดี๋ยว แปลว่ามึงรู้อยู่แล้วใช่มั้ยวะ แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะเชี่ย-
เด็กหนุ่มหลับตาลงก่อนจะถอนหายใจออกมา “บอกไปแล้วได้ไรวะ ไม่ใช่เรื่องของกู แต่เป็นเรื่องของซายน์กับมึง”
“ขอพี่คุยกับอัสซี่หน่อยสิ” ร่างสูงที่กลิ้งตัวไปมาบนเตียงพูดขึ้นแล้วยื่นมือมารอรับ
“พี่กูจะคุยด้วย” เขาบอกปลายสายก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้กับชยางกูรแล้วค่อยพลิกตัวมานอนทับท้องของร่างสูง
-หา อะไรนะ เอ่อ หวัดดีครับพี่เดฟ-
“หวัดดีอัสซี่ เป็นไงมั่งเรา”
-..... เอ้อ... ก็ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับพี่ พี่เดฟล่ะครับ- อาธิปดูจะไปไม่ค่อยเป็นที่จู่ๆจากการโวยวายใส่เพื่อนสนิท กลายมาเป็นต้องพูดกับชยางกูรแทน
“ก็ไม่เป็นไง..ขอโทษทีที่แอบฟังแต่เมื่อกี้ได้ยินว่าซายน์บอกรักเราเหรอ”
-................... ครับพี่ มันบอก แต่ผมหนีกลับมาก่อนเพราะผมปวดหัวแล้วครับ มันสับสน-
“สับสนเพราะอะไร” ชยางกูรถามอย่างอ่อนโยน เขานึกย้อนไปถึงเรื่องของตัวเองกับปัณวิทย์พลางลอบมองคนที่นอนคว่ำฟังอยู่บนหน้าท้อง
“พี่ถามได้มั้ยเราเสียใจเรื่องมีน..กับตกใจเรื่องซายน์ อันไหนมากกว่ากัน”
-ก็ต้องเรื่องไอ้ซายน์ดิพี่ ผมรู้จักมันมาแทบจะทั้งชีวิต อยู่ดีๆมาพูดแบบนี้จะไม่ให้ตกใจได้ไงครับ- ก็เป็นตามนั้น อาธิปเคยคิดว่าอีกฝ่ายไม่เคยมีความลับอะไรกับตัว แต่พอกลายเป็นแบบนี้แล้วก็ชักไม่แน่ใจว่ายังมีอะไรอีกไหมที่ศิวะไม่เคยบอกเขา
“งั้นก็อาการไม่หนัก” ชยางกูรหัวเราะเบาๆ
“แล้วเรารู้สึกยังไงที่ซายน์บอกแบบนั้นกับเรา ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ซายน์เราจะทำยังไง”
-ขนลุกดิพี่ ได้ต่อยแน่ เล่นอะไรไม่ขำ แต่ไอ้ซายน์แม่งเสือกจริงจัง ผมก็ซวยดิพี่-
“อัสซี่เกลียดซายน์หรือเปล่า”
-จะเกลียดมันได้ไงพี่ ไอ้ซายน์นะครับ ไม่ใช่ใครที่ไหน- อาธิปตอบเสียงเบาลงกว่าเมื่อครู่
“ถ้าไม่ได้เกลียดก็อย่าทำเป็นเกลียดซายน์สิ พี่รู้ว่ามันยากที่จะปรับความรู้สึก แต่ถ้าเราทำเป็นเกลียด...บางทีเราอาจจะเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไปก็ได้” ชยางกูรตอบแล้วโอบร่างคนตัวเล็กที่ซุกอยู่
กระต่ายดื้อยิ่งซุกตัวเข้าหาพลางขยับกอดร่างสูงให้ถนัดขึ้น
-งั้น... พรุ่งนี้ผมจะคุยกับมันครับพี่เดฟ-
“อื้อ พี่วางแล้วนะ...กระต่ายมันกวน” ชยางกูรกดตัดสายแล้วเลื่อนโทรศัพท์ไปไว้ไกลตัว เขากอดฟัดหอมแก้มคนที่ปีนอกสองสามครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยว
“เดี๋ยวไม่ได้นอนนะปัน”
“นอนก่อน... นะ แล้วค่อยว่ากัน” ไม่พูดเฉยๆ ปัณวิทย์ขยับแขนขากอดเอาร่างของชยางกูรไว้แทนหมอนข้างราวกับจะแกล้งเล่น แต่เขาก็ซุกใบหน้าเข้ากับต้นแขนของอีกฝ่ายไว้แน่น
“... นอนนะพี่เดฟ”
“ไม่ให้ได้ป่ะ” ชยางกูรตอบพร้อมกดจมูกลงข้างแก้ม
“อือ นอนก่อน แล้วเดี๋ยวตื่นขึ้นมาค่อยอาบน้ำด้วยกัน...” ปัณวิทย์ยังคงพยายามต่อรองโดยใช้อย่างอื่นมาเบี่ยงเบน
ชยางกูรงับที่ใบหูเบาๆแทนการลงโทษก่อนจะอ้อมแอ้มนอนกอดเฉยๆ... ให้อีกฝ่ายนอนซุกเฉยๆ
มีแต่เสียงหัวใจ...ที่มันไม่เฉยเลย...
////////////////////////////////////////////
“ศิวะ... ศิวะ... ศิวะขาดนะ” เสียงอาจารย์เรียกเช็คชื่อประจำห้องในชั่วโมงโฮมรูมตอนเช้าทำให้อาธิปรีบร้องขัด
“มันตื่นสายมั้งอาจารย์ เดี๋ยวก็วิ่งมาล่ะครับ”
เขาตอบไปอย่างนั้นเพราะรู้ดีว่าศิวะไม่มีทางขาดเรียนได้ แต่ทางปัณวิทย์ กลับได้แต่ถอนหายใจก่อนจะส่ายศีรษะไปมาด้วยความหนักใจ
แต่จนกระทั่งพักกลางวัน ก็ไม่มีวี่แววของศิวะเลยแม้แต่นิดเดียว เพื่อนตี๋พยายามติดต่อทางโทรศัพท์ ก็ได้ยินแต่เสียงตอบรับที่บอกว่าอีกฝ่ายนั้นปิดเครื่องอยู่
“พี่กอล์ฟ ไอ้ซายน์ไม่ได้มาซ้อมเช้าเหรอครับ” พอเดินผ่านกัปตันทีมบาสเกตบอล เขาจึงรีบเอ่ยปากถามทันที
“ไม่ได้มานี่ พักนี้ซายน์มันเป็นอะไรดูมันหงุดหงิดๆไงไม่รู้” กรวิทย์ตอบกลับ
“แล้วยังมาโดดซ้อมอีก พอแพนโทรไปก็ไม่รับ”
“เหรอพี่ ขอบคุณครับ” อาธิปก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อด้วยความรู้สึกหน่วงๆในอก
...ทำไมไม่มาโรงเรียนวะไอ้ซายน์...
อาธิปตั้งใจเอาไว้ว่าจะลากเพื่อนที่ไม่ยอมมาวันนี้ไปคุยเพื่อเคลียร์เรื่องที่พูดค้างไว้เมื่อวานเพราะอยากจะได้ยินชัดๆอีกที แต่อีกฝ่ายเล่นไม่มาโรงเรียนแบบนี้ก็ทำเอาอดเป็นห่วงไม่ได้
“เฮ้ยอัฐ ไอ้ซายน์มันบอกป่วย เลยไม่มา” ปัณวิทย์เดินเข้ามาหาคนที่เดินทำหน้ายุ่งโดยไม่ทันสังเกตว่าเขากำลังเดินเข้ามาด้วยซ้ำ
“อ้าว ห่า แล้วเป็นอะไรมากมั้ยวะ”
“.... มึงนี่โง่ไปมั้ยไอ้เตี้ย” ปัณวิทย์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“โง่อะไรมึง ก็มันไม่สบาย แล้วแม่งอยู่คนเดียว เหี้ย ต้องไปดูอาการมั้ยเนี่ย มึงไปกะกูมั้ย”
เขาแทบไม่เชื่อว่าอาธิปจะเชื่อว่าศิวะป่วยจริงๆ ป่วยหลังจากวันที่คิดว่าอกหัก แถมยังรับโทรศัพท์เขาอยู่คนเดียวแบบนี้
...ป่วยการเมืองเพราะอกหักรักคุดชัดๆ...
“กูว่ามันป่วยการเมือง” ...บอกใบ้ขนาดนี้ ถ้าไม่เชื่อ ปัณวิทย์ก็จนปัญญา
“ไม่ๆๆ ไอ้ซายน์มันไม่ใช่อย่างงั้นนะมึง อย่างมันต้องป่วยจริง มันจะป่วยการเมืองทำเชี่ยไรวะ”
...ก็มันหลบหน้ามึงไงไอ้ควาย
“........... เออๆ มันป่วย แล้วไง มึงจะไปเยี่ยมมัน” คิ้วเรียวเลิกขึ้นขณะมองหน้าถามเพื่อนตัวดี
“กู...มึงไปป่ะ ถ้ามึงไปกูก็ไป” ใบหน้าขาวๆมองขอความเห็น
“... กูไปแป๊บเดียว เดี๋ยวให้พี่เดฟไปส่งก็ได้...” เขาเอื้อมมือมาโอบไหล่อาธิปไว้แล้วตบเบาๆ
“แต๊งกิ้ว เดี๋ยวกูไปขอยาที่อาจารย์ห้องพยาบาลไว้ แล้วแวะซื้อข้าวต้มปลาก่อนไปด้วยนะ เดี๋ยวแม่งไม่มีไรแดก”
ปัณวิทย์ส่ายศีรษะอีกเป็นรอบที่หลายร้อยขณะเดินไปด้วยกันกับอาธิป เขาได้แต่หวังว่าพาไอ้ตี๋เตี้ยข้างๆนี่ไปหาคนที่ป่วยการเมืองแล้วจะช่วยให้แก้ไขทุกอย่างได้ออกมาดี ไม่ใช่แย่ลง
...อยู่ที่พวกมึงสองตัวแล้วล่ะ...
////////////////////////////////////
อาธิปกับถุงยาและข้าวต้มยืนอยู่หน้าห้องคอนโดของเพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยได้มาบ่อยนัก เขาใช้มือข้างที่ว่างอยู่กดออดหนึ่งทีแล้วยืนรอ
เสียงออดหน้าห้องทำเอาคนที่นอนมองฝ้าเพดานอยู่สะดุ้งเล็กน้อย ศิวะมองกวาดไปรอบห้อง...ห้องที่ปกติรกอยู่แล้วกลับยิ่งรกมากขึ้นด้วยเจ้าตัวไม่ใส่ใจจะเก็บของให้เป็นที่ กระเป๋าไปทาง เสื้อนักเรียนไปทาง ยังดีที่อาบน้ำแล้วห้องเลยยังเป็นแค่รังหนูไม่ใช่ที่ทิ้งขยะสด
...แต่เจ้าของแม่งก็คนถูกทิ้งละวะ
เด็กหนุ่มรอจนเสียงออดดังอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นช้าๆเดินลากขาไปหน้าห้อง เขาไม่ได้ดูช่องตาแมวแต่คนที่มาคงจะเป็นปัณวิทย์เพราะมันเป็นคนเดียวที่เขาติดต่อในวันนี้
“..............มาทำไม” แต่คนที่มา..กลับเป็นคนที่ไม่อยากเห็นที่สุดเสียได้
พระเจ้าแม่งรังแกกู....ไม่คิดจะให้คนอกหักทำใจเลยหรือไงวะ
“ไอ้ปันบอกมึงไม่สบาย กูเลยให้พี่เดฟมาส่ง มึงอยู่คนเดียว ใครจะหายาหาข้าวให้มึงแดกวะ...” คนที่มาไม่พูดเปล่า เขาโชว์ถุงในมือให้ดูประกอบคำพูดของตัวเอง
“กินอะไรยังมึง...”
“มึงจะสนกูทำไม” ศิวะพูดเบาๆ ใช่...ถึงจะไม่น่ารักเท่าไหร่แต่อาการอย่างนี้คงไม่ผิดที่จะเรียกว่าน้อยใจ
“มึงไม่ต้องใส่ใจกูหรอก กูจะป่วยจะตายก็ช่างแม่ง”
“เหี้ย พูดหมาๆแล้วมึง ไม่ใส่ใจได้ไงวะ เพื่อนกูทั้งคน หลีกดิ กูจะเอาข้าวต้มใส่ชามให้ แล้วมึงเอายาไปแดก” อาธิปเบียดตัวเข้าไปด้านในก่อนจะเห็นสภาพห้องที่เละตั้งแต่หน้าประตู เขารีบหันมาหน้าตาตื่นแล้วยกมือขึ้นแตะหน้าผากศิวะ
“ไม่สบายหนักป่าวมึง ไปนอนไป เช็ดตัวด้วยเหี้ย”
“มึงกลับไปเหอะ” ศิวะพูดแล้วผลักคนที่เพิ่งเข้ามาไปทางประตู เด็กหนุ่มไม่อยากให้เพื่อนมายุ่งย่ามในยามที่เขายังปรับสภาพหัวใจไม่ได้
“อย่ามายุ่งกับกูตอนนี้เลยอัฐ”
“อะไรของมึง กูเป็นห่วงคนป่วย ไล่กูกลับอีก กูมาถึงนี่แล้วจะให้กูกลับไงวะ” อาธิปขมวดคิ้วมองหน้าอย่างไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าปกติเขาสามารถเรียกแท็กซี่กลับบ้านได้ แต่ทุกครั้งที่ได้แวะมาที่นี่ ศิวะจะเป็นคนไปส่งเขาที่บ้านจนมันกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
“มึงจะห่วงกูทำไม กูอยู่ได้...ไม่เป็นไร” คนไม่เป็นไรพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นสุดชีวิต ศิวะมองนัยน์ตาที่ไม่เข้าใจของเพื่อนแล้วอดบ่นในใจไม่ได้ว่ามันโง่จริงจัง
“เมื่อวานมึงหนีกูขนาดนั้นแล้ววันนี้มึงมาทำไม”
“เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน วันนี้ก็ส่วนวันนี้ดิวะ จะให้กูดูแลมั้ยศิวะลึงค์” อาธิปทำสีหน้าจริงจัง ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ
“ไม่มีใครเคยบอกมึงเหรอว่าอย่าไปยุ่งกับคนที่มึงเพิ่งหักอก โง่ชิบหาย” เขายอมแพ้ด้วยการไปนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีแล้วกดเปิดไล่ช่องดูไปเรื่อยๆ
...เหี้ย ลืมเลยครับ...
“ไม่เคย ถ้ามึงชอบกูให้กูดูแลคนป่วยเลยห่า” เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ายังไม่ละความพยายามด้วยความเชื่อที่ว่าเพื่อนตัวเองกำลังไม่สบายจริงๆ
ศิวะมองหน้าอาธิปเต็มๆตา ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะคิดว่าเขาป่วยจริงๆ มึงไม่รู้จักใช่มั้ยวะป่วยการเมือง ไข้ใจ มึงนึกว่าเพื่อนมึงเป็นคนขยันนักรึยังไงห๊ะ
“กูไม่ให้คนอื่นดูแลถ้าไม่ใช่แฟนกู” ในเมื่อมัน...ซะขนาดนี้ ก็ลองใช้ความป่วยให้เป็นประโยชน์สักหน่อย
“งั้นกูเป็นแฟนมึงก่อนหนึ่งวัน” อาธิปยื่นคำขาด
“งั้นมึงมานี่” ศิวะตบเบาะข้างๆทำนองว่าให้มานั่งซะดีๆ
เขายิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายยอมให้ดูแลแล้ว อาธิปรีบขยับไปนั่งข้างพลางรื้อถุงยาแทบจะทันที
“เดี๋ยวกูหยิบยาให้นะ”
“ไม่ต้อง” ศิวะทิ้งตัวลงใช้ตักนิ่มๆต่างหมอน เด็กหนุ่มนอนหงายจ้องนัยน์ตาหรี่หยีด้วยดวงตาวามวับ ท่อนแขนแข็งแรงโอบหลังแล้วกดลงมาใกล้ชิด
“อ อะไรมึง” คนตัวเล็กทำตัวแข็งขึ้นมาด้วยความตกใจ
“จูบกูดิคุณแฟน”
“เฮ้ย เดี๋ยวติดหวัด” อาธิปร้องท้วงพลางพยายามเอี้ยวตัวหนี
“แดกยาก่อนแล้วไปนอน กูจะดูแล”
“ไม่เอา ไม่จูบกูไม่แดก” ศิวะพูดอย่างเอาแต่ใจ กับไอ้เตี้ยต้องเข้าตรงๆรุกแรงๆไม่งั้นแม่งให้ตายก็ไม่รู้เรื่อง
“กูชอบมึงนะไอ้เตี้ย”
“... พูดจริงๆใช่มั้ยเนี่ยมึง...” คนที่ถูกหนุนตักหลบสายตา
“กู... เนี่ยนะ.......”
“ยังมีคนเตี้ยกว่ามึงบนโลกนี้ป่ะล่ะ” ศิวะคลี่ยิ้มแทนคำยืนยัน
“มึงแหละ...มึงคนเดียว”
“อะไรเข้าสิงวะมึง มึงด่ากูทุกวัน” เขาเอื้อมมือมาจิ้มปลายนิ้วลงกลางหน้าผากของคนที่นอนอยู่
“ผีแป๊ะยิ้ม” ศิวะกวนกลับ
“กูก็ไม่รู้เหอะ แต่กูว่ามันเริ่มจากที่กูให้มึงเป็นแฟนปลอมๆ...แล้วพอยิ่งเรื่องมีนอีก กูคิดแล้วคิดอีกว่ากูคบมึงมาตั้งสิบกว่าปีแล้วทำไมถึงมารู้สึกเปลี่ยนไปกับมึงได้ตอนนี้” เด็กหนุ่มไล้ปลายนิ้วเข้ากับใบหน้าขาวที่อยู่ใกล้
“กว่าจะรู้ตัว กูก็ดันชอบมึงเข้าไปแล้ว”
“.... ไม่ใช่ไข้แดกไข้กลับนะ” หนุ่มตี๋รู้สึกแปลกๆกับสัมผัสจากปลายนิ้วและสายตาของเพื่อนที่จ้องมาผ่านแว่นของเขา
ที่แน่ๆ คำว่าชอบคำว่ารักของเพื่อนตัวเอง ก็คงจริงจังมาก ในขณะที่ตัวเอง ยังไม่สามารถหาคำตอบดีๆให้ได้
อาธิปจะปฏิเสธเลยมันก็ง่ายมาก เพราะเขาไม่ได้คิดจะผันตัวเองไปคบผู้ชายจริงๆจังๆแน่ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจเพื่อนคนนี้-- แต่จะให้เป็นแบบนี้ต่อไป วันนึงก็ต้องถึงคราวแยกกันอยู่ดีถ้าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
...แต่ถ้าถึงจุดนึง เขาก็รู้ดีว่าตัวเองเลือกที่จะอยู่ข้างศิวะแน่ๆ
“กูไม่ได้จะบังคับให้มึงชอบกูกลับตอนนี้วันนี้หรอกนะเว้ย แต่ถ้าเป็นไปได้กูอยากให้มึงลองดูกูต่อไปอีกนิด...แค่นิดเดียวก็ได้ ไม่ต้องชอบกูแต่อย่าบังคับให้กูเลิกชอบมึงได้มั้ย” ศิวะแตะที่ปลายคางมนแล้วไล้นิ้วแผ่วเบา
“เออ มึงฉลาดกว่ากู มึงก็คงคิดดีแล้วแหละวะ... กูยังไม่ได้บอกว่าจะให้มึงเลิกชอบกูนะเว้ย...” เขาจับมือของเพื่อนที่เอื้อมขึ้นมาเอาไว้แล้วดึงลง
“ก็มึงทำท่ารังเกียจกูเหอะ...” ศิวะใช้มืออีกข้างบีบแก้มอาธิปจนปากอูดเหมือนปลาทอง
“กูก็น้อยใจเป็น”
“ให้กูช็อคเป็นมั้ยครับ” เขาไม่ยอมแพ้ ใช้มือบีบจมูกของศิวะแน่น
“ขอกูกอดที” ศิวะทำท่าอ้าแขนรอก่อนร้องเร่ง “เร็วๆ”
“..... มึงไม่ขนลุกแล้วใช่มั้ยวะ กูยังขนลุกนิดหน่อย” แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่อาธิปก็ก้มลงกอดคนที่อ้าแขนไว้หลวมๆ
“กอดแล้ว”
“ขนไม่ลุกแต่อย่างอื่นลุกว่ะ” ศิวะงึมงำตอบไม่เต็มเสียง เขารั้งเอวให้อาธิปลงนอนบนตัว จุมพิตแผ่วๆไล่ตามหน้าผากจรดหว่างคิ้วราวกับผีเสื้อขยับปีก
“กูจะทำให้มึงชอบกู...มึงก็รีบชอบกูไวๆนะ”
“โห ไอ้ลามก มึงพูดง่ายนี่หว่า มึงจะทำให้กูชอบมึงยังไงวะ” เขาพยายามขยับตัวลุกขึ้น หนีจากอ้อมกอดของเพื่อนตัวดี
“กูจะดีกับมึงให้เยอะๆ เอาใจใส่มึงมากๆ พาไปแดกฟรีแต่ถ้าไม่สำเร็จกูมีวิธีสุดท้ายอยู่”
“กูไม่ได้เห็นแก่กินนะเว้ย” อาธิปทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ก่อนจะพูดต่อ
“วิธีอะไรของมึงวะ”
“ปล้ำแม่ง” คนพูดยิ้มร้ายพร้อมสำทับต่อ “กูเอาวิธีนี้มาจากพี่เดฟนะเว้ย ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ใครจะยอมมึงวะ เหี้ย กูเลิกคบแน่ศิวะลึงค์” เขาไม่พูดเปล่า แต่เสริมด้วยกำปั้นเบาๆที่ข้างแก้มเป็นการหยอกล้อ
กำปั้นที่ชกเบาๆที่แก้มถูกรวบไว้ก่อนริมฝีปากหยักจะกดจูบเบาๆลงบนหลังมือ เรื่องเข้าใจอะไรง่ายๆ ยอมรับง่ายๆและไม่เรื่องมากเป็นข้อดีของอาธิป เพื่อนของเขาไม่ใช่คนที่ชักจูงยากเลยถ้าไปให้ถูกทางของเจ้าตัว สำออยนิด แกล้งหน่อย หยอกเบาๆ รุกสลับถอย...อีกไม่นานก็เสร็จแน่
“มึงทำเนียนติดจูบกู ก้มมาเลยไอ้ตี๋เตี้ย”
“เนี่ยเหรอวะชอบกู พูดจาหมาไม่แดก กูไม่ก้มเว้ย” อาธิปรีบชักมือคืนแล้วกดนิ้วโป้งเข้าที่หน้าผากของเพื่อนก่อนจะกดแรงๆ
“ก้มหน่อยนะครับ” ศิวะยิ้มหวานอ้อน
“... สันดานเสียนะมึง” ทั้งคิ้วทั้งตาทั้งหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์ แต่อาธิปก็ก้มลงมา
“ก้มแล้วไง”
คนที่นอนอยู่ยืดคอขึ้นขโมยจูบ ศิวะหัวเราะเขินๆแล้วจูบอีกครั้งบนริมฝีปากคู่เดิม....แนบแน่น
“คุยกับหมาหมาเลียปากไงมึง”
“.............. !? เหี้ย กูกลับบ้านแล้วงั้น” อารามตกใจ เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นโดยไม่สนใจ 'แฟน'ที่นอนอยู่บนตักเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นยามเอ่ยพูดเสียงดัง
“มึงไม่ป่วยแล้วก็”
“ป่วย....” ศิวะพูดเสียงอ่อยๆ ถ้าอาการทางใจคือการป่วยเขาก็ยังคงป่วยอยู่แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้มันดีขึ้นมากแล้ว..
“กูจะกินข้าวต้มที่มึงเอามา”
“เอาแต่ใจชิบ” แม้จะยังพูดบ่น แต่เขาห็หยิบเอาถุงข้าวต้มขึ้นมาแล้วเดินไปทางส่วนที่เป็นครัว
“ชามใช้ได้มั้ยมึง หรือฝุ่นถมหมดแล้ว”
“ใช้ได้ มีมาม่าด้วยมึงก็กินกะกูเลยดิ”
“ไม่เอา กูไม่ได้อยากแดกมาม่า โห เนี่ยนะมึงเลี้ยงแฟนดี เลี้ยงด้วยมาม่า เดี๋ยวกูโทรสั่งอะไรมาแดก แดกข้าวต้มไป” ปากพูดบ่นพร้อมๆกับมือที่เอื้อมหยิบเอาชามในตู้ลงมาแล้วเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีฝุ่น อาธิปเทข้าวต้มใส่ชามก่อนจะยกใส่ไมโครเวฟเพื่ออุ่นอีกที
“งั้นสั่งพิซซ่าดิ เอาหน้าแฮมข้าวโพดกูชอบ ไม่กินข้าวต้มแล้ว” คนป่วยแกล้งรวน..ดูสิว่าไอ้เพื่อนคนนี้จะทำยังไงต่อ
“......................... งั้นมึงโทรสั่งเอง กูแดกข้าวต้ม”
“งั้นแดกชามเดียวกันก็ได้ กูขี้เกียจรอ” ศิวะว่าแล้วลุกขึ้นมาหยิบช้อนสองคันพร้อมคุ้ยหาของในตู้เย็นได้ช็อกโกแลตมากล่องนึง
“อ่ะ แดกรอ...พ่อกูซื้อมาฝากนานละ”
“จะอิ่มอะไรวะ ขนมไม่ช่วยให้อิ่มหรอกมึง ไม่งั้นไปส่งกูที่บ้านดิ ป้านวลมีเลี้ยงมึงตลอดอะ”
ศิวะไม่ฟังคำพูดของคนที่เตี้ยกว่า เขาหยิบช็อกโกแลตขึ้นมายัดใส่ปากเล็กๆสีแดงๆที่พูดไม่หยุด
“หวานมั้ยล่ะมึง....”
“....... หวานแล้วไงวะ มันไม่อิ่มเว้ย” อาธิปไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขาไม่มีวันนับช็อคโกแล็ตเป็นอาหารเย็นแน่ๆ
“เชื่อกู ไปนอนบ้านกูเหมือนเดิมก็ได้ กูอยากอิ่มท้อง”
“ก็ได้ กูตามใจแฟน” ศิวะดึงชามที่อุ่นแล้วมาวางบนโต๊ะกินข้าว “แต่แดกก่อนค่อยไป กินด้วยกันนี่แหละ”
อาธิปจำต้องว่าตามนั้น เพราะจะเอาข้าวต้มที่ซื้อมาทิ้งก็เสียดายอยู่ จึงหยิบช้อนมาสองคันแล้วยื่นให้เพื่อนของตัวเองก่อนจะนั่งลง
“อะ กิน”
To Be Continued....