หลังจากวันนั้น เช้าวันต่อมาผมก็ได้รับโทรศัพท์จากครอบครัวของตนุชที่โทรมาแจ้งบอกว่าตอนนี้ตนุชอยู่ในอาการโคม่าไม่ได้สติจากการตัดสินใจวิ่งลงไปในถนนเพื่อให้รถชน ผมทำเป็นกลบเกลื่อนบอกว่าระหว่างผมกับเขาไม่ได้ทะเลาะกัน ผมทำทีเป็นห่วงเป็นใยไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลทั้งที่ในใจนึกสมน้ำหน้าที่ในที่สุดตนุชก็ได้รับบทเรียนจากความรัก
เมื่อผมเปิดประตูห้องไอซียูเข้าไปผมก็เจอสายตาตวัดมองมาอย่างไม่พอใจจากพี่ชายคนโตสุดของตนุช แตกต่างจากสายตาของตะวันที่เศร้าสร้อยเหลือเกิน
"หมอบอกว่าตนุชจะเป็นเจ้าชายนิทรา อุบัติเหตุเมื่อคืนทำให้เลือดไม่เลี้ยงสมองอยู่เกือบนาทีทำให้สมองขาดอ็อกซิเจน เขาจะไม่รู้สึกตัวอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะมีปาฏิหาริย์" ตะวันบอกผมด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยเมื่อเราออกมาคุยกันนอกห้องไอซียู
"แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง" ผมแกล้งถามไปทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจ ตะวันก้มหน้าลงไปอีกก่อนจะต่อยผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนผมกระเด็นไปติดผนัง
"มึงก็รู้ดีอยู่แก่ใจยังมีหน้ามาถาม ถ้าไม่ใช่เพราะมึงน้องกูจะเป็นอย่างนี้เหรอ สมใจมึงหรือยังที่อยากให้น้องกูเจ็บน่ะ หรือว่าแค่นี้น้องกูยังเจ็บไม่พอ... กูคิดผิดจริงๆที่ยอมตามใจตนุชให้ไปอยู่กับมึง ถ้าสู้แอบรักอยู่เงียบๆแบบนี้ยังจะเจ็บน้อยกว่าที่ถูกมึงหักหลังอย่างไม่ไยดี"
"แล้วทีน้องมึงทำกับเพื่อนกูล่ะ เพื่อนกูไม่เจ็บเหรอ สมควรแล้วไง... กรรมใดใครก่อกรรมมันก็ต้องสนองคืนเข้าสักวัน แล้วเป็นไงรวดเร็วทันใจไหมล่ะ เก้าปี... เก้าปีที่ฉันเฝ้ารอหาโอกาสแก้แค้นน้องมึง บาดแผลในใจครอบครัวของน้ำมันยังไม่หายดีเลยด้วยซ้ำ"
"มึงมันไม่ได้รู้อะไรเลย... มึงเคยถามครอบครัวนั้นบ้างไหมล่ะว่าเขาต้องการการแก้แค้นจากมึงบ้างไหม แล้วทำไมลมถึงตาย... จะบอกให้เอาบุญนะ น้องฉันบริสุทธิ์ส่วนแกมันฆาตกร ไอ้สารเลว!!!" ตะวันตวาดใส่หน้าผมเสียงดังก่อนจะต่อยผมจนทรุดไปกองกับพื้นอีกทีแล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องไอซียูอีกครั้ง
ผมยังพิงกำแพงอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะเช็ดเลือดที่มันไหลออกมาจากปาก ผมเนี่ยนะฆาตกร... ตนุชฆ่าตัวตายเองต่างหากผมจะเป็นฆาตกรได้ยังไงกัน ในเมื่อมันยังนอนหายใจผ่านเครื่องช่วยหายใจอยู่ในห้องนั้นมันจะตายได้ยังไงกัน
หนึ่งเดือนผ่านไปแล้วนับแต่วันวาเลนไทน์ วันนี้เป็นวันที่ผมกับอาโปจะหมั้นกันอย่างเป็นทางการก่อนจะแต่งงานในฤกษ์ที่แม่ไปหามาให้ในปลายปี งานหมั้นมีขึ้นที่บ้านของผมเป็นพิธีเรียบง่ายเพราะทางอาโปก็ไม่ได้มีญาติมากมายและทางผมเองก็ยังต้องแสดงความเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ของตนุชอยู่ น่าแปลกที่คราวนี้ทางนั้นไม่ถอนหุ้นและสัญญาไปแบบครั้งก่อนผมก็เลยยังอยู่รอดโดยไม่โดนที่บ้านบ่น
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีหมั้นผมก็ชวนอาโปมาเดินเล่นที่สวนหน้าบ้าน บรรยายกาศร่มรื่นอากาศเย็นๆที่หลงเหลือก่อนเข้าฤดูร้อนทำให้เรารู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ผมจูงมือเธอมานั่งเล่นที่ศาลาริมสระน้ำ ดอกบัวสีขาวชูดอกเบ่งบานอวดโฉมหมู่มวลแมลง
"บางทีถ้าลมยังอยู่เราอาจจะได้จัดงานแต่งพร้อมกันสองคู่เลยเนอะ"
"นั่นสิคะ ถ้าพี่ลมยังอยู่ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หรอกค่ะที่บ้านเราก็ทำใจเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ที่รู้ว่าพี่ลมป่วย"
"เอ? หมอนั่นป่วยอะไรเหรอ"
"พี่ลมเป็นโรคหัวใจโตน่ะค่ะ แต่กีฬาก็ทำให้หัวใจพี่แกพอแข็งแรงขึ้นมาบ้าง แต่ช่วงหลังคงเพราะต้องเตรียมไปแข่งทำให้พี่เขาต้องออกกำลังหนัก พี่ก็รู้นี่ค่ะว่าคนเป็นโรคนี้ห้ามออกกำลังกายหนักๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมบอกใครที่เขาเป็นโรคหัวใจ วันนั้นพอจะข้ามถนนกลับบ้านจู่ๆแกก็วูบขึ้นมาเลยถูกรถชน นี่ฉันนึกว่าพี่รู้อยู่แล้วนะคะเนี่ย"
"ไม่ล่ะ พี่ไม่รู้ว่าหมอนั่นเป็นโรคหัวใจ"
"พี่ชายนี่ก็แปลกคนขนาดเพื่อนสนิทยังไม่ยอมบอกเลย สงสัยจะกลัวทำให้พี่เป็นห่วง"
"น้ำแน่ใจเหรอว่าลมตายเพราะโรคกำเริบไม่ใช่คิดฆ่าตัวตาย"
"หา? พี่คิดได้ไงค่ะเนี่ย อย่างพี่ลมน่ะเหรอจะคิดฆ่าตัวตาย ไม่มีทางหรอกค่ะพี่เขาออกจะเข้มแข็ง อีกอย่างหมอก็ชันสูตรออกมาแล้วด้วย นี่พี่คิดว่าพี่ลมฆ่าตัวตายมาตลอดเลยเหรอคะ"
"เปล่าหรอกก็แค่สงสัยน่ะ คือก่อนหน้านั้นมันมีเรื่องกันนิดหน่อย"
"เกี่ยวกับนุชหรือเปล่าค่ะ?" คำถามของเธอทำให้ผมต้องมองเธอด้วยความตกใจ จนผมเริ่มกลัวว่าเธอจะจับผิดอะไรได้
"ก็นิดหน่อยน่ะ มันไม่มีอะไรหรอก" ผมปฏิเสธออกไปแต่หากประโยคต่อมาที่ออกจากปากของอาโปทำให้ผมต้องตกใจ
"นุชน่าสงสารมากเลยนะคะ ฉันเพิ่งรู้มาเมื่อไม่นานมานี้ว่าเขาเคยแอบชอบพี่ลมมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เขาไม่กล้าสารภาพรักเพราะเขากลัวว่าพี่ลมจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่นถ้ามาคบกับผู้ชายด้วยกัน ยิ่งพี่ลมเป็นลูกชายคนโตด้วยแล้วแกก็เลยต้องปฏิเสธไป"
"นี่พูดเล่นหรือเปล่า"
"เปล่าค่ะ พี่ลมก็เคยมาเล่าให้ฟังเหมือนกันว่านุชชอบเขา ฉันเองตอนแรกก็รับไม่ได้หรอกนะคะแต่พอเห็นความจริงใจที่ทั้งคู่มีให้กันก็เลยเชียร์ให้พี่ลมไปสารภาพรักในวันวาเลนไทน์ แต่สุดท้าย... พี่เขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว วันนั้นก่อนที่พี่เพลิงจะมา นุชเขามาก่อนพอรู้อาการของพี่ลมเขาก็ร้องไห้ใหญ่เลยล่ะคะแล้วก็พูดว่าขอโทษใหญ่เลย ฉันสงสารเขามากเลยแต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้เพราะพ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องที่สองคนนี้ชอบกัน เขาเองก็กลัวว่าพ่อกับแม่ฉันจะรู้เรื่องนี้เลยรีบขอตัวกลับบ้านก่อนแล้วก็แก้ตัวไปว่าที่ขอโทษเพราะทะเลาะกับพี่ลมแล้วยังไม่ได้คืนดีกัน พอตอนงานศพแกก็ไม่กล้ามาได้แต่ส่งดอกไม้มาให้ ทุกวันนี้แกก็ยังส่งมาให้อยู่ พี่เพลิงจำดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ๆนั่นได้ไหมค่ะที่วางอยู่บนหลุมน่ะค่ะ เป็นของนุชแกเองแต่แกสั่งไว้ไม่ให้บอกใคร ตอนนั้นแกก็เด็กนิดเดียวแค่สิบสามสิบสี่เอง แกคงเจ็บปวดน่าดู"
หลังจากที่อาโปกับครอบครัวกลับบ้านไปแล้วผมก็ได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องนอน นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในช่วงปีเศษ ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเป็นความจริง... ผมตัดสินใจไปโรงพยาบาลที่ตนุชรักษาตัวอยู่ ขณะที่ขับรถผ่านร้านดอกไม้ผมก็สั่งดอกกุหลาบสีขาวจัดใส่ช่อมาสิบห้าดอก พอไปถึงหน้าห้องพักของเขาผมก็ไม่กล้าที่จะเปิดประตูเข้าไป จนกระทั่งผมได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากข้างในผมถึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปดู
ข้างในนั้นผมเห็นตะวันนอนอยู่กับพื้น ที่มุมปากมีเลือดออกไม่ไกลจากนั้นเป็นพี่ตรุพี่ชายคนรองของตนุช
ทันทีที่พี่ตรุเห็นหน้าผมเขาก็ต่อยผมจนผมล้มลงไปนอนกองข้างๆตะวัน หมัดของพี่คนนี้เจ็บจนชา ดอกไม้ในมือผมถูกกระชากไปก่อนจะถูกปาใส่หน้าผมอย่างแรงจนหนามของผมบางส่วนข่วนหน้าผมให้ได้เลือด
"มึงยังมีหน้ามาหาน้องกูอีกเรอะไอ้เลว"
"พี่ ใจเย็นๆก่อน" ตะวันลุกขึ้นยืนไปเกาะแขนพี่ชาย ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่านอกจากสองพี่น้องนี้แล้วยังมีพ่อและแม่ของตนุชอยู่ในห้องด้วย
"จะให้ฉันใจเย็นทนดูหน้าไอ้ฆาตกรที่มันขับไล่ไสส่งน้องเราเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างนั้นเหรอ ไอ้เลวนี่แค่ต่อยมันยังน้อยไป แกก็อีกคนบอกว่าทำทุกอย่างเพื่อนุชแล้วเป็นไง ได้อย่างที่พูดไหมล่ะ ทนเห็นน้องร้องไห้ทุกวันไม่ได้ต้องไปแสล้นหาเรื่องให้เจ็บหนักกว่าเดิมจนตอนนี้กลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วแกยังไม่รู้อีกเหรอว่าเพื่อนแกมันเลวขนาดไหน"
"ผม..." ผมเห็นตะวันพูดไม่ออก เขาได้แต่ก้มหน้า ยังมีหลายอย่างที่ผมไม่เข้าใจแต่ผมก็พอจะคาดเดาได้
"ไสหัวไปเพลิงพายุ ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างนายอีก รีบไปซะก่อนที่จะเรียกยามมาลากคอแกออกไป"
"ใจเย็นๆก่อนสิครับ ผมมาที่นี่เพื่อขอโทษนะไม่ได้มาเพื่อถูกไล่"
"แกยังมีหน้ามาขอโทษน้องฉันอีกเหรอ คิดไงถึงจะมาขอโทษล่ะ ถ้าแค่ตามมารยาทก็กลับไปซะ"
"ตรุใจเย็นๆก่อนที่นี่โรงพยาบาลนะ" คุณแม่ของตนุชขยับตัวขึ้นจับแขนลูกชายคนรองไว้คล้ายจะช่วยผมหากแต่สายตาที่มองมายังผมนั้นมันช่างเย็นชาเหลือเกิน พอมองเลยไปที่เตียงผู้ป่วยผมก็เห็นพ่อของตนุชนั่งกุมมือลูกชายคนเล็กไว้ไม่ปล่อย สายตาที่เริ่มฝ้าฟางก็จับจ้องมองลูกชายไม่วางตา ส่วนตัวตนุชนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงมีสายท่อระโยงระยางเต็มไปหมด
"ผมขอโทษ... พูดไปพี่ก็คงหาว่าผมมารยา แต่ผมขอโทษจากใจจริงๆครับ ผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลย ผมไม่ต้องการ"
"แน่นอนสิผลลัพธ์แบบนี้นายไม่ต้องการอยู่แล้วนี่เพราะใจจริงนายอยากให้น้องชายฉันตายต่างหากไม่ใช่เป็นเจ้าชายนิทรานอนไม่รู้เรื่องพอถอดเครื่องช่วยหายใจออกก็ตายแบบนี้ เพลิงพายุฉันจะพูดให้ฟังอีกแค่ครั้งเดียวนะ ออกไปซะแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าแกอีก ไปซะก่อนที่ฉันจะฆ่าแกตายคามือ"
ผมมองตรุด้วยสายตาเว้าวอนหากแต่ตะวันก็มาฉุดผมให้ออกจากห้องไป "กลับไปซะ ถือว่าฉันขอร้องอย่ามาที่นี่อีกเลย"
และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบกับตนุช
ผมกลับไปยังคอนโดฯที่ที่ผมเคยอยู่กับตนุช ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปลมจากที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ก็ลอยวนอยู่รอบตัวผม มันเป็นลมของมารุตใช่ไหม นายกำลังต่อว่าฉันอยู่ใช่ไหม? ผมได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ เมื่อผมมองไปทั่วห้องผมก็เจอร่องรอยชีวิตของตนุชอยู่เต็มไปหมด ทั้งตุ๊กตามาชิโมโร่ที่วางทั่วอยู่ทุกที่ รูปถ่ายของเขากับผม ในห้องนอนก็มีเตียงที่ผมเคยนอนกับเขา ผ้าปูที่นอนลายการ์ตูนนี่ก็เหมือนกัน พอเปิดตู้เสื้อผ้าก็เจอเสื้อผ้าของเขาเต็มไปหมด บนโต๊ะหน้ากระจกก็มีครีม มีน้ำหอมกลิ่นโปรด ในห้องน้ำก็ยังมีแปรงสีฟัน สบู่เหลว ยาสระผมกลิ่นลาเวนเดอร์ ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียง หลับตาเพื่อที่จะไม่ให้เห็นข้าวของและร่องรอยของตนุช
ทว่า... กลิ่นของตนุชกลับอบอวลอยู่รอบตัวผมเต็มไปหมด
เขากำลังโอบกอดผมไว้ด้วยความอ่อนโยน ไร้เดียงสา และความบริสุทธิ์
ผมร้องไห้ออกมามากมายแต่ก็คงไม่เท่ากับที่ผมทำให้เขาต้องร้องไห้... ได้แต่กอดเสื้อของเขาไว้เพราะรู้ดีว่าต่อจากนี้ไปผมคงจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว
วินาทีนี้ความรักมากมายก็ล้นทะลักออกมาจากหัวใจของผม ผมรักเขามากขนาดไหนผมเพิ่งรู้ในวันนี้นี่เอง
.
.
.
หลายวันต่อมามีซองจดหมายสีฟ้าอ่อนส่งมาหาผมที่บ้าน พอเมื่อเปิดออกดูผมก็เจอกับสร้อยคอที่ผมจำได้ดีว่าเป็นสร้อยที่ตนุชใส่ติดตัวไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ในซองยังมีจดหมายฉบับเล็กๆแนบมาด้วย เป็นข้อความจากตะวันที่เขียนมา
'นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะทำให้น้องชายของฉันได้ ตามหามันให้เจอแล้วนายจะเข้าใจว่านุชรักนายมากแค่ไหน
ตะวัน'
ผมมองจี้รูปดอกกุญแจอย่างเลื่อนลอย ตะวันต้องการให้ผมตามหาอะไรกัน? ผมกลับไปที่คอนโดฯอีกครั้งทั้งๆที่ไม่อยากมา พอมาที่นี่ทีไรผมต้องเป็นร้องไห้เพราะคิดถึงตนุชทุกที กลับเข้าไปในห้องนอนพยายามมองหาสิ่งของอะไรก็ตามที่กุญแจดอกนี้จะสามารถไขเปิดได้ แต่หาเท่าไหร่ผมก็ไม่สามารถหาเจอ ลองเปิดลิ้นชักหาผมก็เจอเพียงสมุดโน้ตเล่มเล็กๆเท่านั้น
ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านเผื่อจะได้รู้ว่าเขาจดอะไรไว้บ้างแต่ก็ไม่เจออะไรนอกจากรูปถ่ายใบหนึ่งที่เป็นเรือนกระจกอยู่ท่ามกลางหุบเขา ผมอ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่มุมรูปอย่างยากลำบากเพราะสีเลือนรางแต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็น 'โคราช' ผมจึงลองโทรสอบถามข้อมูลดูว่าที่โคราชมีเรือนกระจกที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาบ้างไหม คำตอบคือมีอยู่ที่หนึ่งซึ่งเป็นสวนส่วนตัวของครอบครัวตนุช ผมไม่รอช้ารีบบึ่งรถไปโคราชทันที
ทันทีที่ผมถึง คนสวนที่มีใบหน้าไม่เหมาะแก่การเป็นคนสวนอย่างยิ่งก็เดินมาหาผมที่รถ เขาถามว่าผมเป็นใครผมไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงบอกชื่อให้แก่เขา พอเขาได้ยินชื่อผมเขาก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วแนะนำตัวเองว่าชื่อพารินทร์ เขาพาผมไปที่เรือนกระจกที่ผมเห็นอยู่ในรูปพร้อมกับบอกว่าเขารอผมให้มาที่นี่นานแล้ว
พอถึงเรือนกระจกเขาก็ขอตัวปล่อยให้ผมเดินเข้าไปในนั้นตามลำพัง และเมื่อผมเปิดประตูเข้าไปผมก็พบดอกกุหลาบสีขาวจำนวนมากมายที่ถูกปลูกอยู่ภายใน แต่ละต้นจะมีหมายเลขติดไว้เรียงเป็นลำดับตั้งแต่หนึ่ง สอง สามไล่ยาวไปเรื่อยจนสุดกำแพงก่อนจะวกกลับมาอีกด้าน ผมเดินนับมันไปเรื่อยๆทีละดอก หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม... เก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก ทั้งหมดก็เก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกพอดี
และที่ดอกสุดท้ายก็มีกล่องเพลงรูปเด็กสองคนหันหน้าเข้าหากันแล้วก็จูบ ผมยกมันขึ้นมาดูก่อนจะเห็นรูเล็กๆที่ฐานสีทองด้านข้าง ผมคิดออกในทันทีว่าต้องเป็นรูของดอกกุญแจทองนั่นแน่ๆ ผมค่อยๆถอดสร้อยออกจากคอแล้วเสียบมันเข้าไป ผมไขมันเพียงนิดเดียวเสียงดนตรีทำนองเพลงเดินเข้าโบสถ์ของคู่แต่งงานก็ดังก้องเรือนกระจก จนเมื่อเพลงเงียบลงฝาของมันก็เปิดออกมาให้ผมเห็นแหวนสองวงวางอยู่ในนั้น ฉับพลันน้ำตาของผมมันก็ไหล
'กุหลาบเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกมีความหมายอย่างไรรู้ไหมฮะ มันก็หมายความว่า... ผมจะรักพี่จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต... ผมรักพี่เพลิงนะฮะ'
กระดาษข้อความเล็กๆที่ถูกแหวนวางทับไว้ทำให้ผมร้องไห้ไม่หยุด ทำไมเขาถึงได้รักผมมากมายขนาดนี้นะ ทั้งๆที่ผมไม่เคยใส่ใจเขาเลย
พอผมเดินออกมาจากเรือนกระจกพารินทร์ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับบอกว่าผมเป็นคนที่โชคดีมากที่ได้คนดีๆ อย่างตนุชมารัก เขายังบอกอีกว่าดอกกุหลาบทั้งหมดในเรือนกระจกนั้นตนุชเป็นคนลงมือปลูกเองกับมือ แต่ว่าพักหลังตนุชไม่ได้เข้ามานานแล้วเขาเลยต้องดูแลแทน ผมไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่ตนุชไม่ได้มาที่นี่อีกให้พารินทร์ฟัง ผมเพียงแต่ขอตัวกลับออกมาพร้อมกับกล่องเพลงและแหวนสองวง
ความรู้สึกผิดที่มันทับหัวใจจนอึดอัดหายใจไม่ออก สู้ไม่ได้เลยกับความรู้สึกสูญเสียคนที่ตัวเองรักไปด้วยน้ำมือของตนเอง
.
.
.
วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของผม มันคือวันเข้าพิธีสมรสของผมกับอาโป ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับตนุชนอกจากครอบครัวของเขาเอง ผมยังคงทำใจเรื่องตนุชไม่ได้แต่ผมก็ไม่อาจจะเลื่อนงานวิวาห์ไปได้อีกแล้วหลังจากที่ผมเคยขอเลื่อนไปเมื่อสองเดือนก่อนจนมาถึงวันนี้ วันที่ครบรอบหนึ่งปีที่ตนุชกลายเป็นเจ้าชายนิทรา
ผมนั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ของโบสถ์ เฝ้ามองเงาตัวเองที่สะท้อนมาอย่างน่าสมเพช ตรงหน้าผมคือผู้ชายที่อ่อนแอและขี้ขลาด เขาไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับความผิดและรับผิดชอบชีวิตของคนที่ตัวเองรักได้ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ผมก็จะต้องมีอีกชีวิตหนึ่งในรับผิดชอบ คนที่ผมเคยคิดว่าคือความรักหากแต่เมื่อวันที่ได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปผมถึงได้รู้ว่าระหว่างผมกับอาโปมันเป็นเพียงแค่ความผูกพันของพี่น้องที่ถักทอมาอย่างยาวนาน
ห้องของผมที่คอนโดฯผมยังคงเก็บไว้เหมือนเดิม เหมือนเมื่อตอนที่ผมกับตนุชยังอยู่ด้วยกัน ผมไม่อยากให้ร่องรอยของชีวิตตนุชหายไป ทุกคืนผมจะกลับไปที่นั่นเอาเสื้อเขามากอดแล้วก็ร้องไห้ นั่งมองแหวนสองวงที่วางอยู่เคียงข้างกล่องเพลง เสียงเพลงแต่งงานจะดังก้องกล่อมผมจนหลับก่อนที่จะตื่นมาเพื่อพบว่าวันนี้ผมก็ยังคงไม่มีตนุชอยู่เคียงข้างกาย
เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมสะดุ้ง ผมหยิบมันมาดูชื่อคนโทรเข้า 'ตะวัน' ชื่อนี้หายไปนานเหลือเกิน
ผมรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ทุกครั้งที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้ผมมักจะรู้สึกหวาดระแหวงเหมือนวัวสันหลังหวะที่กลัวว่าความผิดมันจะประจานตัวผมออกมาสักวัน
"ว่าไงตะวัน"
'เพลิง... ตนุชกำลังจะตายแล้วนะ หมอจะถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้วนะ ได้โปรด... ช่วยทำให้เขาฟื้นสักทีเถอะ'
หัวใจผมเหมือนร่วงลงจากที่สูง วินาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองหยุดหายใจไปแล้ว
ผมวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าผมคือห้องพักของตนุชที่ไม่ได้เปลี่ยนไปตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
แม้จะลังเลอยู่บ้างแต่ในที่สุดผมก็ผลักประตูเข้าไป สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมแต่วินาทีนี้ผมไม่สนใจ สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงร่างของตนุชที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงผู้ป่วย ผมเดินเข้าไปหาเขาอย่างเลื่อนลอย เอื้อมมือเขามาจับอย่างที่ใจต้องการ กดจูบย้ำๆลงบนฝ่ามือเย็นชืดให้หายอยาก เขาจะรู้ไหมว่าเขาทำให้ผมรักเขาจนผมแทบบ้า
"ซันนี่แกโทรเรียกมันมาเหรอ"
"ถ้าพี่ไม่เลิกคิดฆ่าน้องชายตัวเองก็เงียบไปเถอะ"
"แต่แกจะปล่อยให้น้องต้องนอนทรมานอยู่อย่างนี้เหรอ ทำใจได้แล้วน่าซัน นุชน่ะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วนะ ที่อยู่นี่มันก็แค่ร่างกายที่ไร้วิญญาณ เข้าใจไหมว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว" เสียงแหลมบาดหูของพี่ชายคนโตสุดทำให้ผมต้องเหลียวหลังไปมอง ภาพของครอบครัวที่แตกสลายกันทุกคนอยู่ตรงหน้าผม ผมไม่ได้ทำลายแค่ชีวิตหนึ่งแต่ผมยังทำลายชีวิตและจิตใจของคนเป็นๆอีกนับสิบคน
"ไม่จริงหรอกตรี น้องก็แค่หลับไป แม่ขอร้องล่ะอย่าให้หมอถอดเครื่องเลย"
"แต่แม่ฮะ ถ้าทิ้งไว้แบบนี้น้องก็จะยิ่งทรมานนะแม่ แม่ไม่เห็นเหรอว่าเขาทรมานแค่ไหน ผมเป็นพี่เขาผมไม่อยากจะฆ่าเขาหรอกนะ แต่เราควรจะปล่อยให้เขาไปสบายได้แล้ว" พี่ชายคนที่สามที่เงียบมานานพูดขึ้นยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
ผมเห็นพ่อของตนุชเดินมากอดหลังภรรยาของตนไว้ด้วยความรักพร้อมพูดปลอบใจข้างใบหู แต่ที่น่าแปลกคือตรุเขาได้แต่นั่งเงียบไม่พูดกล่าวอะไร สายตาของดูหมองเศร้าจนผมคิดว่าถ้าหากเขาพูดอะไรออกมาน้ำตาของเขาจะต้องไหลแน่ๆ
"แต่มันต้องมีสักวันสิที่น้องจะต้องฟื้น"
"ถึงฟื้นขึ้นมาเขาก็ไม่เหมือนเดิม นายอยากเห็นนุชตื่นขึ้นมาเป็นแค่ซากชีวิตที่ไม่มีจิตใจอย่างั้นเหรอ นายควรทำใจได้แล้วนะว่าเขาตายไปแล้ว ตายไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เราไม่ควรจะยื้อชีวิตเขาไว้เลยรู้ไหม"
"เขายังไม่ตาย ถ้าตายหัวใจเขาต้องหยุดสิ แต่นี่เขายังหายใจอยู่นะพี่"
"หายใจผ่านเครื่องช่วยน่ะเหรอตะวันที่มันเรียกว่ามีชีวิต หมอก็บอกแล้วว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรดีขึ้นเลยมีแต่แย่ลงๆไม่ก็คงที แล้วนายจะให้พี่ทำยังไง มองดูน้องชายตัวเองนอนหายใจพะงาบๆมีชีวิตได้เพราะเครื่องช่วยหายใจนี่แล้วก็รอวันที่เขาจะตื่นขึ้นมาทั้งๆที่มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยเนี่ยนะ ต้องมองดูน้องชายตัวเองเป็นเหมือนตุ๊กตาให้คนอื่นเอามาเล่นสนุกให้คนอื่นเขามาดูกันอย่างนั้นเหรอ" ผมเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของพี่ชายคนโตแล้วผมก็น้ำตาไหลตาม
ทุกคนกำลังทรมาน... ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย
ผมมองใบหน้าขาวซีดของตนุชแล้วก็ร้องไห้สะอื้นเหมือนเด็ก ผมลุกขึ้นกอดเขาแล้วก็ร้องไห้ แม้ตอนนี้เขาอาจจะไม่รับรู้แต่ผมก็หวังว่าเขาอาจจะเข้าใจบ้างว่าผมรู้สึกอย่างไร ขอเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาจะให้ผมเอาอะไรแลกก็ยอม
ตอนนั้นเองที่ผมเห็นน้ำสีใสๆ ไหลออกมาจากหางตาของตนุช ผมร้องออกมาเสียงดังอย่างตกใจแล้วทุกคนก็กรูกันเข้ามา นี่ผมมีหวังแล้วใช่ไหมว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา คำอธิษฐานของผมมันเป็นจริงแล้วใช่ไหม?
หมอบอกพวกเราว่าเป็นแค่อาการปกติที่ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้นของผู้ป่วยที่เป็นเจ้าชายนิทรา ทุกอย่างของตนุชยังคงเหมือนเดิมคือไร้การตอบสนองและตอนนั้นเองที่พ่อของตนุชกับตรีภพเสนอให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออกอีกครั้ง
ผมแทบจะก้มลงกราบเท้าท่านให้ได้ว่าได้โปรดยื้อชีวิตตนุชไว้อีกสักนิดเผื่อว่าบางทีเขาอาจจะตื่นขึ้นมา หากแต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเหมือนกันตะวันและแม่ของเขา
ผมได้แต่ยืนมองดูคนที่ผมรักตายจากไปอย่างช้าๆเพียงแค่หมอถอดเครื่องช่วยหายใจออก...
หัวใจของผมถูกบีบรัดจนเจ็บหน่วงไปหมดทั้งหัวใจ มันเริ่มแตกละเอียดทีละน้อยเมื่อเห็นหมอดึงฝาครอบออก ผมทรุดตัวนั่งกับพื้นร้องไห้เหมือนคนจะเป็นจะตาย ทันทีที่เสียงปี๊ดดังขึ้นยาวก็เป็นอันว่าตอนนี้ตนุชไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
ทุกคนในครอบครัวของตนุชเองก็มีอาการไม่ต่างจากผม แม่ของเขาเป็นลมล้มพับไปขณะเดียวกันตรุก็ร้องไห้โดยที่ไม่มีเสียง ขนาดตรีภพที่เป็นตัวต้นตัวตีในการถอดเครื่องช่วยหายใจออกยังร้องไห้จนทรุดลงนั่งกับพื้น ภาพความเสียใจของครอบครัวนี้ที่ผมได้รับมันหนักหนาเกินกว่าที่ผมจะรับได้ ผมค่อยๆเดินถอยห่างออกมาเงียบๆ ปล่อยให้ภาพความตายของตนุชเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยู่ในหัวใจ
ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมหนีงานแต่งงานออกมา ทุกคนคงกำลังวุ่นวายอยู่เป็นแน่ แต่ผมก็ไม่อาจจะเสนอหน้ากลับไปเพราะตอนนี้ความรู้สึกผิดมันถ่วงเท้าผมไว้ให้ผมกลับไปที่คอนโดฯ
ผมหยิบเอาเสื้อของเขามากอดมาสูดดมกลิ่นของเขา อุปโลกน์เอาว่าเขายังอยู่กับผมตรงนี้ และจนสุดท้ายผมก็นึกขึ้นได้ว่าแม้แต่ในนาทีสุดท้ายของชีวิตตนุชผมก็ยังไม่ได้บอกเขาว่ารักเลยสักคำ
เขาจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะตามไปบอกเขาบนสวรรค์...
ผมนอนลงบนเตียงแล้วหลับตาลง ไม่นานตนุชก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับฉุดให้ผมเดินไปพร้อมกันกับเขา เสียงกระซิบหวานที่ข้างหูทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฝันไป ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะเห็นเขานั่งอยู่ตรงหน้าในมือมีกล่องเพลงและแหวนสองวง ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตาแล้วรั้งเขามากอดไว้แน่น และสุดท้ายผมก็ไม่ลืมที่จะบอกเขาว่าผมรักเขามากขนาดไหน หากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องหลอกกันผมก็ให้อภัยขอเพียงเขากลับมาอยู่เคียงข้างผมดังเดิม...
แต่คุณรู้ไหม... ความฝันมอบความสุขให้เราเสมอ แต่เมื่อเราลืมตาตื่นขึ้นพบความจริง... หัวใจมันก็ไม่หายเจ็บไปได้เลย
ผมถูกหนามแหลมของกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ทำร้ายเสียจนเจ็บปางตาย มันบีบรัดหัวใจผมจนเลือดไหลย้อมมันให้กลายเป็นสีแดง ผมเข้าใจแล้ว... ความรักมักเกิดจากความเจ็บปวดเสมอ
สุขสันต์วันแห่งความรักครับทุกคน
Happy Valentine Dayจบแล้วค่า
ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบ
ถ้าอ่านรวดเดียวคงได้อารมณ์มากกว่านี้
เราไม่น่าแบ่งเป็นพาร์ทๆ เลย
#ผิดพลาดอย่างแรง
ว่าแต่...มีใครเดาตอนจบได้ถูกบ้างไหมน่อ