ตอนที่ 9“ผมตรวจสอบคุณภาพอะไหล่ผ่านหมดแล้ว เอาเอกสารไปให้คุณธัชด้วยจะได้จัดส่งให้ทางลูกค้าได้ตามกำหนด”
ผมส่งรายละเอียดเอกสารที่เซ็นต์แล้วให้กับเลขาส่วนตัวทันทีที่เช็คเรียบร้อยแล้ว เมื่อคล้อยหลังเลขาผมถึงกับเหนื่อยหมดแรงพิงหลังกับเก้าอี้ทำงานและถอนใจเฮือกใหญ่เพราะนั่งทำงานมาทั้งวัน การที่เมื่อวานไม่ได้มาทำงานทำให้งานกองสุมอยู่ที่ผมและโดนเฮียธัชด่าข้อหาไม่รับผิดชอบจะทำให้ส่งสินค้าไม่ทัน ทำเอาผมเซ็งก็แค่อยากไปเคลียร์กับไอ้หมอภีมให้รู้เรื่องเร็วที่สุดแต่ก็ดันล้มไม่เป็นท่า แถมตัวเองดูเหมือนจะแย่กว่าเดิมซะอีก ตลอดทั้งวันผมก็ไม่ได้เปิดโทรศัพท์เครื่องของมันเลยครับแต่ก็แอบกังวลว่าถ้าเพื่อนๆโทรหาแล้วเจอไอ้หมอบ้ามันรับจะเกิดอะไรบ้าง ก็ได้แต่ปลอบใจว่าพวกมันคงยังไม่คิดถึงผมตอนนี้หรอกไม่อย่างนั้นพวกมันได้โทรมาหาผมด้วยเบอร์ของบริษัทไปแล้ว ผมพลิกโทรศัพท์เครื่องที่อยู่ในมือไปมาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเปิดเครื่องเลยดีมั้ย กลัวว่าถ้าเปิดเครื่องแล้วไอ้คนที่ต้องการกำลังใจมันจะโทรเข้าอ่ะครับ แต่ถ้าไม่เปิดเราก็คงจะไม่ได้เคลียร์กัน
“เฮ้อออ เปิดก็เปิดวะ กลัวอะไรกะอีแค่ไอ้หมอบ้าคนเดียว”
เมื่อตัดสินใจได้ผมก็กดเปิดเครื่อง แต่ยังไม่ทันวางเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นทันที เล่นเอาผมสะดุ้งเกือบปล่อยมือถือตกพื้น และภาพที่เห็นบนหน้าจอก็ทำเอาผมใจกระตุก ลังเลที่จะกดรับจึงปล่อยให้มันดังจนหยุดไปเอง สายตาก็ยังจับจ้องที่ตัวเครื่องเหมือนรอลุ้นว่าไอ้คนปลายสายมันจะโทรมาอีกมั้ย และมันก็โทรมาครับผมก็ยังไม่รับถ้ารับก็เปลืองค่าโทรผมดิครับถูกมั้ย ใคร๊ใครว่าผมกลัวมันกันไม่มีซะหรอก ในที่สุดเสียงก็หยุดไปเองอีกครั้ง ผมก็รอลุ้นว่ามันจะโทรมาอีกมั้ยแต่ก็ไม่มีเสียงเรียกเข้าเป็นสัญญาณว่ามันโทรมา จนผมต้องถอนใจอย่างโล่งอกแต่โล่งอกได้ไม่นานก็มีเสียงข้อความเข้า
“ฉลาดนักนะมึงไม่รับก็ส่งข้อความมาแทนเนี่ย ชิ ‘ธี โทรกลับหาพี่เดี๋ยวนี้ไม่งั้นจะไปหาถึงที่เลย’ ไอ้บ้านึกว่ากลัวรึไง ดีกูจะโทรจนค่าโทรมึงขึ้นตัวแดงเลย”
ผมอดหัวเสียกับข้อความบังคับแกมข่มขู่ไม่ได้ แต่หงุดหงิดตัวเองมากกว่าที่ยอมทำตามที่ไอ้หมอภีมมันสั่ง ผมกดโทรออกไปที่เบอร์ตัวเอง แทบไม่ได้ยินเสียงรอสายเลยครับเพราะคนปลายสายมันกดรับเร็วมาก
“ธี ทำไมเพิ่งเปิดเครื่อง แล้วพี่โทรไปทำไมไม่รับครับ” เสียงเข้มดังมาตามสายทำเอาคนที่ได้ยินแบบผมฉุนกึกกว่าเดิม ทั้งๆที่มันเป็นคนอยากคุยแล้วทำไมต้องมาดุกันด้วยวะครับ ผมจึงไม่ได้หลุดเสียงใดๆออกไปให้อีกฝ่ายได้ยินเพราะกำลังระงับอารมณ์ตัวเองอยู่ มันก็เรียกชื่อผมอยู่หลายครั้งจนเราต่างคนต่างเงียบ
“เฮ้อออ พี่ก็แค่เป็นห่วงธี ถ้าว่างพี่ขับรถไปหาเราแล้วรู้มั้ย” เสียงถอนใจยาวของไอ้หมอมันดังขึ้นแทรกความเงียบระหว่างเรา แต่ไอ้ประโยคถัดมาที่พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆเหมือนงอนง้อก็ทำเอาอารมณ์ร้อนๆของผมสลายตัวลงอย่างช้าๆ
“มีอะไร....ครับ” ผมตัดสินใจถามถึงสาเหตุที่มันโทรมาและตัดสินใจลงท้ายอย่างสุภาพเดี๋ยวจะดูห้วนไปมันจะหาเรื่องได้อีก
“พี่โทรหาธีแต่เช้าไม่ติดเลยเป็นห่วงมากรู้มั้ย หืม เมื่อคืนพี่เกือบนอนไม่หลับแน่ะกลัวใครบางคนเข้าใจผิด ฮึๆๆ แต่ก็ไม่รู้จะติดต่อยังไง หลังจากพี่ได้รับข้อความจากคนใจร้ายไม่ยอมส่งกำลังใจมาให้คนเหนื่อยจนหมดแรงอย่างพี่ พี่ก็ไปทานข้าวแล้วก็กลับมานอนเลยไม่ได้ออกไปซนที่ไหนนะครับ ตื่นมาอยากได้ยินเสียงธีอยากขอกำลังใจก่อนไปทำงาน ธีก็ไม่ยอมเปิดเครื่องรู้มั้ยวันนี้พี่ทำงานไม่ค่อยมีสมาธิเลยเพราะโทรกี่ครั้งๆก็ยังไม่เปิดเครื่อง พอธีเปิดเครื่องแล้วไม่ยอมรับสายพี่ พี่ทั้งห่วงทั้งคิดถึงเลยเผลอเสียงดังไปหน่อย ธีครับอย่าโกรธพี่เลยนะ นะครับ”
ผมฟังมันเพลินปล่อยให้อีกคนมันเวิ่นเว้อไปครับ ไอ้ตอนที่พูดเนี่ยมันก็ทำเสียงเล็กเสียงน้อยไปตามเรื่อง ผมออกจะหมั่นไส้มันไม่น้อยเพราะดูท่าแล้วคงจะใช้จีบคนมาเยอะถึงลื่นได้ขนาดนี้ แต่ตอนที่เสียงนุ่มๆมันเรียกชื่อผมทีไรมันทำผมใจสั่นได้เหมือนกันแฮะ ถ้าอยู่ต่อหน้ามันผมคงฟังไม่จบประโยคแน่ๆถ้าไม่ลุกหนีก็คงถีบยอดอกไปแล้วครับ เคยแต่ใช้น้ำเสียงแบบนี้จีบผู้หญิงพอมาเจอเองก็ทำเอาไปไม่เป็นเหมือนกัน
“เอ่อ แล้วตกลงมีอะไรว่ามาผมกำลังยุ่ง” อยากรีบวางสายแล้วครับเลยตัดบทมันซะก่อน ก่อนที่มันจะพ่นน้ำลายมากกว่านี้
“ใกล้เวลาเลิกงานแล้วธียังมีงานอีกเหรอครับ เดี๋ยววันหลังพี่บอกไอ้ธัชไม่ให้ใช้งานธีหนักๆแบบนี้ดีกว่า ไม่ไหวๆเดี๋ยวสุขภาพแย่กันพอดี ฮึๆๆ” ไอ้รูปประโยคแสดงความห่วงใยมันขัดกับเสียงหัวเราะรู้ทันชะมัด ให้ตายสิ!
“นี่ เฮียยย มีไร เอาดีๆว่ามา” ผมเริ่มขึ้นแล้วแต่อารมณ์ไม่เหมือนในตอนแรกนะครับ ตอนนี้ก็แค่โมโหที่โดนรู้ทัน
“ฮึๆๆ เดี๋ยวพี่ไปรับ วันนี้พี่ว่างเราจะได้คุยกันไงครับ”
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวผมขับรถไปเอง ที่ไหนเมื่อไหร่ว่ามาเลย” ผมต้องรีบห้ามมันครับไม่อยากให้มันมาถึงที่นี่ ไม่อยากตอบคำถามของเฮียธัชตอนนี้ครับ
ไอ้หมอบ้าอำนาจมันก็ให้ผมเลือกระหว่างร้านอาหารกับห้องมันผมจะเลือกที่ไหน ผมออกจะลังเลนะครับอยากเลือกร้านอาหารสักแห่งแต่ก็กลัวทฤษฎีโลกกลมเกิดไปเจอเพื่อนสนิทหรือคนรู้จักเข้าผมไม่พร้อมตอบคำถาม เลยตัดสินใจเลือกห้องมันที่เป็นคอนโดแถวโรงพยาบาลที่มันอยู่แทน ลึกๆผมกลัวมันอยู่แล้วเพราะฉะนั้นการไปหาไอ้หมอภีมของผมครั้งนี้ผมต้องเตรียมตัวและระวังตัวเองให้มากเข้าไว้ ผมอยากเคลียร์เรื่องระหว่างผมกับมันให้จบไม่อยากยืดเยื้อเพราะไม่อยากรู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองแบบที่ผ่านมาอีกแล้ว
..................................................
สภาพคอนโดของไอ้หมอภีมไม่ได้ต่างจากห้องพักมันที่โรงพยาบาลเลยครับ เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันแต่เฟอร์นิเจอร์เรียบหรูกว่าและเน้นสีครีมกับสีดำ ทำให้ห้องดูสะอาดสบายตามาก และกลิ่นหอมๆนี่มันอะไรกัน
“ฮึๆๆ พี่จุดเทียนหอมไว้ครับ ธีชอบกลิ่นนี้มั้ยพี่ว่ากลิ่นสดชื่นดีนะ” เสียงคนด้านหลังแทรกเข้ามาในความคิดขณะที่ผมหาที่มาของกลิ่นและกำลังนึกอยู่ว่ามันเป็นกลิ่นของอะไร
“จะโรแมนติกไปไหนวะ”
“ก็ธีมาห้องพี่ครั้งแรก พี่เลยอยากให้ประทับใจจะได้อยากมาอีกบ่อยๆ”
ผมว่าผมพูดเบาแล้วนะทำไมไอ้หมอหูดีมันถึงได้ยินอีกเนี่ย ผมหันกลับมาก็เจอไอ้หมอภีมหน้าใสยืนล้วงกระเป๋าส่งยิ้มใส่ตาทันที ผมไม่อยากสบตามันตรงๆเดี๋ยวหลงวนอยู่กับตาวาวๆของมันจึงเสหลบตาและสอดส่ายมองไปรอบห้องแทน
“หิวรึยัง มานี่ครับพี่สั่งอาหารไว้ให้เราแล้ว รู้ว่าทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน” ไอ้คนตัวสูงกว่าผมไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่มันคว้าข้อมือผมแล้วออกแรงลากผมมาที่โต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้พร้อมแล้ว
“เฮ้ยๆๆ เฮียยยย ลากไมเนี่ย โอ้โฮ!” ผมถลามาตามแรงลากของไอ้หมอถึกก็โวยวายไปตามเรื่อง แต่พอเจออาหารที่ถูกจัดไว้บนโต๊ะก็ตาโตเลยครับเพราะมันหน้าตาน่ากินมาก
บนโต๊ะไม่ได้ดูโรแมนติกเหมือนที่กลัวไม่มีดอกไม้หรือมีเทียนจุดไว้ แต่เป็นอาหารหลากหลายเชื้อชาติวางอยู่เต็มโต๊ะเหมือนเลี้ยงคนไม่ต่ำกว่าห้าหกคนเลยครับ และผมแอบเห็นถังใส่ไวน์อยู่บนโต๊ะเล็กข้างๆด้วย ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาได้ยังไงจะรู้ก็เพราะเสียงของคนที่ยังจับข้อมือผมอยู่ทักขึ้นนั่นแหละครับ
“ถูกใจล่ะซิยิ้มซะกว้างเลย ฮึๆ พี่ไม่รู้ว่าธีชอบกินอะไรคิดอะไรได้ก็สั่งมาหมด ลองชิมดูนะครับและถ้าจานไหนถูกใจบอกพี่วันหลังพี่จะได้พาไปกินที่ร้านอีก” คำพูดเรื่อยๆมาพร้อมรอยยิ้มกว้างและสายตาพราวของคนตัวสูงตรงหน้าทำเอาผมไม่รู้ตัวว่าเผลอจ้องไปนานแค่ไหน ‘มันสดใสชะมัดแฮะ’ จนไอ้หมอภีมมันยื่นหน้ามาใกล้นั่นแหละครับผมจึงผงะออกมา ก่อนที่มันจะหัวเราะอย่างถูกใจให้ได้ยินและเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่ง ผมไม่ใช่สาวน้อยที่คอยรับบริการจากชายหนุ่มจึงเดินหน้าบึ้งไปอีกฝั่งและนั่งที่เก้าอี้อีกตัวแทน
“พี่มีไวน์ด้วยเปิดเลยมั้ยจะได้ทานพร้อมสเต็กเนื้อ” ขวดสีทับทิมเข้มสวยถูกแกว่งโชว์ด้วยมือหนาทำเอาผมนึกถึงรสชาติหวานปนฝาดกลมกล่อมอวลหอมเต็มปากเมื่อได้ชิม
“อืม เปิดเลย ไหนๆเฮียก็เตรียมมาแล้ว” ผมพยายามเก๊กหน้าไม่ให้ยิ้มถูกใจหลุดแสดงออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น จึงพยักหน้าน้อยๆเม้มปากนิดๆไปแทน ไวน์เป็นเครื่องดื่มที่ผมชอบมากแต่ไม่ค่อยได้กินบ่อยนักจะดื่มทีโดนไอ้พวกเพื่อนๆห้ามไปซะทุกครั้งไม่รู้ทำไม และเฮียธัชก็เคยย้ำคอยเตือนผมบ่อยๆว่าห้ามกินผมทั้งงงและสงสัยมากแต่ก็ไม่ได้ถามถึงเหตุผลซักที ผมคงแค่เมาเร็วกว่าปกติแล้วป่วนพวกมันกับเฮียไว้เยอะมั้งครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรก็ผมเมานี่หน่า
ผมเริ่มด้วยการจิ้มเส้นพาสต้าและม้วนเส้นเข้าปากตามด้วยตักซุปใสน่าตาหน้ากิน ‘รสชาติดีทั้งคู่เลยแฮะ’ และแก้วทรงสูงที่มีน้ำสีแดงข้นก็ถูกนำมาตั้งทางด้านขวาของจาน ผมไล่สายตาตามมือขาวไปจนเจอสายตาอบอุ่นติดรอยยิ้มมุมปากจนผมต้องเสหลบตา ส่วนมือก็ตัดเนื้อสเต็กในจานจิ้มเข้าปากพยายามไม่สนใจเจ้าของสายตาอบอุ่น อยากจะกินๆให้เสร็จจะได้รีบเคลียร์และกลับบ้านนอน
“อืมมมม อร่อยอ่ะ” โอ๊ยเนื้อมันละลายอยู่ในปากแทบไม่ต้องเคี้ยวเลยก่อนผมจะคว้าแก้วไวน์ขึ้นจิบ รสชาติช่างเข้ากันกลมกล่อมเป็นที่สุด เหมือนผมลืมอะไรไปนะครับและเรื่องอะไรอ่ะนึกไม่ออก รู้แต่อาหารตรงหน้ากับไวน์นี่อร่อยที่สุดเลย
“ธียิ้มแบบนี้บ่อยๆนะพี่ชอบ” ผมมองไอ้คนพูดตาค้างมือถือส้อมที่จิ้มเนื้อสเต็กไว้กลางอากาศ นี่ผมยิ้มให้มันตอนไหนครับงงจัง
“เฮีย มั่วแล้วผมยิ้มให้เฮียตอนไหนกัน” ผมเถียงมันไปก็ยกมือแตะหน้าตัวเองไป ‘เอ่อกูยิ้มจริงๆนี่หว่า’
“ฮึๆๆ กินต่อเร็วเดี๋ยวซุปไม่ร้อนนะครับ” ผมก้มหน้าก้มตากินไม่กล้ามองหน้ามันอ่ะครับเพราะเถียงมันไม่ขึ้น
ผมกับไอ้หมอภีมก็ต่างคนต่างกินไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก จะมีเงยหน้ามาสบตากันเป็นบางครั้ง แต่ก็จะเป็นผมที่เสหลบตาก้มหน้ากินต่อและจิบไวน์ไปด้วย เผลอแป๊บเดียวไวน์เกือบหมดขวดแล้ว ก็ไอ้หมอมันรินเอาๆให้ผมไม่ขาดและวันนี้มันเป็นบ้าอะไรไม่รู้ครับเงียบเชียวปกติมันต้องหาเรื่องผมบ้างนี่หน่า แต่ไอ้สายตาเยิ้มๆที่มองมานั่นไม่คลาดไปจากหน้าผมเลย
“เฮียยยย ไม่พูดอะไรบ้างเหรอแล้วตาอ่ะมองไรธีนักอ่ะ” ผมหมดความอดทนเลยพูดกับมันไป แต่ไม่รู้ทำไมไม่อยากพูดแรงๆกับมันก็ไม่รู้ครับแถมแทนตัวเองด้วยชื่ออีก นอกจากคนในครอบครัวและมนแล้วผมไม่เคยแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นกับใครอีกเลยนะครับ
“ฮิๆๆ อย่าทำหน้าตกใจสิ ไม่หล่อๆเลยอ่ะ ยิ้มๆเร็วดิ เฮียอ่ะ ยิ้มแบบนี้ๆดูสิๆ ธียิ้มแบบนี้เฮียชอบป่ะ ฮิๆๆ” ผมชอบให้หน้าหล่อๆของมันมีรอยยิ้มมากกว่าทำหน้าตกใจแบบนี้อ่ะครับ ดูสิผมยิ้มให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วยังไม่ยอมยิ้มอีก จะงอนแล้วนะ
“เฮียอ่ะ ธีงอนแล้วนะ เอายิ้มหล่อๆซิ นะครับเฮียภีม เอายิ้มหล่อๆสิ” ผมเริ่มหงุดหงิดใจที่บอกก็แล้วอ้อนก็แล้วมันยังไม่ยอมยิ้มแบบที่ผมชอบซะที เริ่มอยากร้องไห้แล้วนะ
“เฮียภีมอ่ะ ไม่ตามใจธีเลย ฮึกๆ ฮือๆๆ” ผมยกกระดกไวน์ในแก้วทีเดียวจนหมด วางแก้วลงบนโต๊ะน้ำตาจากไหนไม่รู้ไหลอาบแก้มเลยครับ
“เฮ้ยยย ธีเป็นอะไร ร้องทำไมครับ” ไอ้คนขัดใจมันลุกพรวดเดียวมาถึงข้างที่ผมนั่ง หน้าตาตกใจปนสับสนมือก็คอยเช็ดน้ำตาให้ใหญ่เลยครับ แต่มันยังไม่ยอมยิ้มให้ผมอีกอ่ะ อยากเห็นยิ้มหล่อๆอ่ะครับมันกล้าขัดใจคนหล่อแบบผมได้ยังไงกัน
“ฮือๆๆ ฮึกๆ เฮีย เฮียภีมยิ้มสิๆ ไม่งั้นธีจะร้องให้คอแตกเลยนะ ฮืออออ” ผมช้อนตามองมันแบบอ้อนๆให้ยอมตามใจผมซะที ไอ้หมอภีมตาค้างมองผมนิ่งๆก่อนจะยิ้มหวานตาพราวส่งมาให้ผมได้เห็นอย่างที่ต้องการ
“เมาไวน์เหรอเรา ฮึๆ พี่ยิ้มแล้วไงครับไม่ร้องไห้นะคนดี” ปลายนิ้วอุ่นไล่เกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มผม จนผมต้องยิ้มกว้างให้มันอย่างถูกใจ
“ธีชอบจังเลย ยิ้มอีกนะครับ นะๆๆ” ผมได้เห็นรอยยิ้มหล่อเต็มตาอารมณ์หงุดหงิดและอยากร้องไห้ก็หายไป จับชายเสื้อของไอ้คนที่ยืนตรงหน้าไว้แน่นและกระตุกเบาๆ ก่อนสบตาคู่สวยใต้แว่นใสที่มีรอยยิ้มทั้งปากและตาส่งมาให้
“พี่ก็ชอบรอยยิ้มของธีนะครับ ยิ้มแบบนี้ให้พี่คนเดียวนะรู้มั้ย” นิ้วมือมันละจากแก้มผมมาไล้ที่ปากผมแผ่วเบา ส่วนสายตาก็จับจ้องตามปลายนิ้วที่ลูบอยู่ ตามันสวยจังครับเหมือนมีดาวส่งแสงระยิบระยับบนฟ้าเลย
“อืม ได้ๆ ธีจะยิ้มให้เฮียภีมคนเดียว แต่เฮียต้องยิ้มแบบนี้ให้ธีคนเดียวเหมือนกันด้วย นะๆ” ผมถูกใจและดีใจมากที่ไอ้หมอภีมมันพยักหน้าให้แทนคำตกลงที่ผมขอไป และผมก็จะได้เป็นเจ้าของรอยยิ้มนี้คนเดียว ‘ดีใจชะมัดแฮะ’ ไอ้นิ้วอุ่นๆที่ลูบอยู่ที่ปากมันน่ารำคาญปนจั๊กจี้มากครับ ผมเลยใช้ฟันงับซะเลย
“โอ๊ยยย ธี กัดพี่ทำไมครับ” เจ้าของปลายนิ้วดึงนิ้วออกจากปากผมและสะบัดไปมา หน้าบึ้งไปแล้ว เอารอยยิ้มหล่อๆมานะผมอยากเห็นอีกอ่ะ ไอ้หมอบ้าไม่ได้ดั่งใจคนหล่อเลย
“ฮึกๆ ฮืออออ เฮียไม่ยิ้มให้ธีแล้วอ่ะ ทำหน้าดุทำไม ฮือออ” ร้องไห้มันซะเลยครับหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ
ผมออกแรงผลักไอ้หมอภีมออก มันที่ไม่ได้ระวังตัวจึงเซถอยออกไปนิด ไม่อยากเห็นหน้าคนขัดใจเลยลุกขึ้นจะกลับบ้านแล้วไปหาเฮียธัชดีกว่าเพราะเฮียก็ยิ้มหวานให้ผมดูได้เหมือนกัน แต่แค่ก้าวแรกผมก็เซแถดๆเพราะพื้นมันเอียง ไอ้หมอบ้านี่มันท่าจะบ้าทำพื้นห้องไม่เสมอกันทำไมวะ มีมือหนามาคว้าเอวผมไว้ก่อนที่ผมจะจูบพื้นห้อง ผมเงยหน้ามองมันทันทีอย่างขัดใจพยายามแกะมือที่เกี่ยวเอวไว้ออกแต่ทำไม่ได้เหมือนมือมันไม่ค่อยมีแรงอ่ะครับ
“ชู่ว์ๆๆๆ ไม่ร้องไม่ดิ้นนะครับ พี่ยิ้มให้ธีแล้วนี่ไง” เสียงนุ่มของคนที่เพิ่งยอมตามใจทำให้ผมต้องหยุดดิ้นและเงยมองหน้าเจ้าของเสียง
อ๊าๆๆ นี่สิที่ผมต้องการรอยยิ้มสดใสที่ผมชอบ ปากแดงๆคลี่กว้างโชว์แนวฟันขาวเป็นระเบียบตาคมพราวใสบนหน้าหล่อเหลา ผมตะปบมือลงบนแก้มขาวของไอ้หมอภีมเห็นมันสะดุ้งนิดๆแต่ยังส่งยิ้มให้ผมอยู่ ผมอยากมองให้ชัดๆกว่านี้คงเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาตาผมมันเลยโฟกัสใบหน้าประดับยิ้มนี้ไม่ชัด ขอยื่นหน้าไปมองใกล้ๆหน่อยเหอะ อืม หวานชะมัดไวน์ขวดนี้มันซื้อมาจากไหนกันน้า ผมชอบรสชาติหวานๆของมันจัง ลิ้นนิ่มๆนี่ก็อร่อยรสชาติเดียวกับไวน์ที่ผมกินเลย ผมอยากกินไวน์อีกจังครับจึงกวาดลิ้นไปทั่วโพรงปากอุ่นที่มีแต่กลิ่นไวน์หอมหวาน ยิ่งได้ลิ้นนิ่มๆที่ผมเพิ่งได้ชิมไปถูกส่งมาให้ดูดกลืน ผมจึงทั้งดูดทั้งดึงเพื่อชิมรสชาติไวน์ที่ชอบแต่เหมือนมันจะไม่พอ
“แฮ่กๆ เฮียภีมมม ธีอยากกินไวน์อีกอ่ะ นะครับนะ”
....................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ >O<
การอ้อนของตี๋น้อยนี่กินขาดจริงๆค่ะ ทำเอาเฮียภีมเคลิ้มไปกับลูกอ้อนเลย
งานนี้อาตี๋ธีคงไม่รอดมือเสือภีมแน่ๆค่ะ ยังไงก็มาตามลุ้นกันต่อในตอนหน้าเนอะ
ว่าแมวน้อยจอมยั่วจะถูกเสือร้ายจับกินยังไง เพราะไวน์เป็นเหตุแท้ๆเชี่ยว ฮุๆๆ
ปล.+1ให้ทุกเม้นท์แล้วค่ะ ขอบคุณทุกการติดตามน้า เจอกันอีกทีวันอังคารค่ะ