Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย  (อ่าน 62130 ครั้ง)

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
ไปต่างจังหวัดเพิ่งกลับมาครับ มาต่อแบบยาว อ่านแบบจุใจ

จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามซะแล้ว  :m1:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป


ตอนใหม่มาแล้วครับผม


                     ชายหนุ่มเดินเข้าซอยบ้านของตัวเองด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในมือเขาแกว่งถุงข้าวต้มหัวปลาไปมาพรางยังคิดถึงคำถามนั้นของธารา

                         “แล้วคอมละ.....เคยหนีบ่างหรือเปล่า”

                         หนีหรือ.....ตัวเขาเองเป็นใครกันถึงได้ไปสั่งสอนเรื่องนั้นเรื่องนี่ให้ใครต่อใคร ทำเป็นรู้มากรู้มายทั้งที่จริง ๆ เขาก็เป็นเพียงคน ๆ หนึ่งที่ดำเนินชีวิตไปวัน ๆ อย่างเลื่อนลอย อีกวันต่อไปอีกวัน.....อีกเดือนต่อไปอีกเดือน.....อีกปีต่อไปอีกปี......ในทุกครั้งที่คิดว่าน่าจะถึงจุดหมาย แต่มันก็หลับกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นไม่จบไม่สิ้น วนเวียนอยู่อย่างนั้นราวกับวังน้ำวน วนเวียน ล่องลอย ไร้จุดหมาย

                          “หนีหลอ...”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ พรางหัวเราะอย่างขมขื่น เขาหนีมาทั้งชีวิต หนีจากแม่ที่เมามายไร้สติ หนีจากพ่อที่จากไปอย่าเลือดเย็น หนีจากความจริงที่แสนเจ็บปวดนั้น หนีจากปัญหาต่าง ๆ มากมายด้วยแรงและกำลังทั้งหมดเท่าที่มี ไม่สนใจวันคืน ไม่สนใจเวลา เอาแต่หนี และหนี และหนีอยู่อย่างนั้น จนมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็หนีมาไกล ไกลแสนไกลนับจากจุดเดิม ไกลเกินกว่าจะมองเห็นหรือจดจำ แต่ต่อให้ไกลแค่ไหน ยาวนานเพียงไดสิ่งเหล่านั้นก็ยังไล่ตามเขามาติด ๆ ไล่ตามเขาราวกับเป็นเงาที่จะตามหลอกหลอนเขาตลอดไป จนวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็จบสิ้นลง

                           ไร้เรี่ยวแรงจะวิ่งหรือเดินต่อไป แขนขาไร้แรงที่จะก้าวย่าง ดวงตาไร้ความอยากที่จะลืมตาตื่น สมองไร้ความต้องการที่จะคิด จิตใจไร้แรงที่จะรับรู้ ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มหยุดลง ปล่อยให้ทุกสิ่งอย่างถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นยักษ์ที่โถมใส่ร่าง ในตอนแรกเขาพยายามขัดขืน ออกแรงว่ายวนเวียนอยู่อย่างนั้นราวกับคนโง่ที่พยายามปาหินไปยังพระจันทร์ จนในที่สุดเขาก็เรียนรู้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วหินที่ปาขึ้นไปมันจะกลับตกลงมาทำร้ายตัวเขาเอง สู้ดูดกลืนมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตวิญาณ ปล่อยให้มันซึมลึกลงไปในเนื้อหนัง เส้นเลือดและกระดูกจะง่ายกว่า  ปล่อยให้มันกัดกินเท่าที่มันต้องการ สนองทุกสิ่งที่พวกมันอยากได้ ทำทุกอย่างตามที่มันเรียกร้องและสุดท้าย เขาก็กัดกินมันเป็นอาหาร หล่อเลี้ยงวิญาณของตัวเองต่อไป

                   ชายหนุ่มค่อย ๆ ใขล๊อกประตูบ้านเข้าไปก่อนจะคว้าชาม ช้อนและแก้วน้ำขึ้นไปด้านบน เทอาหารใส่ชาม เทน้ำใส่แก้ว และวางมันไว้ที่เดิม หญิงกลางคนยังนอนนิ่งในท่าเดิมไม่เปลี่ยน แต่เสียงนั้นหายไปแล้ว มันชั่งให้ความสงบที่แสนเจ็บปวดเหลือเกิน
 
                   ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินออกมาก่อนจะขึ้นห้องของตัวเองไป ทำไมเวลาแบบนี้ทำไมอมรถึงไม่ออกมานะ ทั้ง ๆ ที่ตลอดสองสามวันมานี่ทุกครั้งที่ชายหนุ่มอยู่คนเดียว ครุ่นคิด หรือเจ็บปวด เขาจะออกมา เอ่ยคำถามที่แสนเจ็บปวดและแทบจะไร้ทางตอบออกมามากมาย บีบเค้นคำตอบนั้น รีดเร้นมันจากเลือดเนื้อและจิตใจของชายหนุ่มด้วยความไร้เดียงสาและเลือดเย็น
   
                             ชายหนุ่มนั่งอยู่ขอบหน้าต่างพรางมองดูแสงสีต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ภายนอก แสงสีส้มทอดตัวยาวไปตามสายน้ำนั้น ระยิบระยับสดใส
 
                             ไม่นานเขาก็หันไปคว้าประเป๋ากล้องขึ้นสะพายบ่าและเดินออกจากบ้านไป

                   ตลาดในเวลาสี่โมงเย็นเศษนั้นดูกลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะไร้ผู้คนเดิน แต่เพราะผู้คนนั้นหันไปจับจ่ายอาหารสำเร็จมากกว่าของสด ทำให้ภายในตลาดที่เป็นแหล่งของสดนั้นร้างไป พ่อค้าแม่ขายต่างพากันทยอยปิดร้านกัน บ่างนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสา บ่างนั่งจับดูสินค้าของตัวเองก่อนจะโยนมันลงเข่งขยะ บ่างล้อมวงกินเหล้าเคร้าเสียงเพลงที่ขับขานกันเองอย่างออกรส
 
                    คนพวกนี้นั้นแทบไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่ม ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีอดีตหรืออนาคต มีแต่ปัจจุบันที่ต้องทำไปวัน ๆ จากจุดเริ่มต้นกลายเป็นจุดจบ และจากจุดจบก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง

                    ชายหนุ่มกดชัตเตอร์รัว ๆ สองสามครั้ง แดดยามบ่างนี้ดูสวยงามอย่างประหลาด มันเป็นสีส้มอมแดงดูสดใสและเปี่ยมไปด้วยพลังแต่เคลือบแฝงไปด้วยความเศร้าที่นอนตัวอ่อยอี่งอยู่ในบรรยากาศ วันกำลังหมดไป จุดจบกำลังจะมาถึงแล้วและมันกำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
   
                              ชายหนุ่มเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย นานครั้งเขาจะหยุดและกดชัตเตอร์บันทึกภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้ จนมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็มายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ความรู้สึกในใจเขานั้นกู่ร้องบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขาอีกแล้ว ใช่มันเคยเป็น แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
 
                     ชายหนุ่มเคยศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้เมื่อตอนม.ต้นและม.ปลาย มันเป็นโรงเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดตั่งอยู่ในเขตวัดและติดกับตลาด ทำให้รู้ได้ในทันทีว่านักเรียนที่นี่ไม่ใช่คนที่จะเติบโตขึ้นเป็นรัฐมนตรีหรือผู้นำประเทศอะไรแบบนั้น หากแต่เป็นชนชั้นล่างและกลางที่ใส่ใจในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันมากกว่าสลดใจไปกับข่าวการฆ่าฟันกันในอิสราเอล อย่างน้อย นั้นก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มสัมพัทธ์รู้มา
   
                              ในสนามฟุตบอลเล็ก ๆ ที่เขียวขจีไปด้วยสีที่ทาฉาบไปทั่วนั้นยังมีเด็กในชุดนักเรียนสีขาวกับกางเกงสีกากีวิ่งเตะบอลพราสติกกันไปมาอย่างสนุกสนาน บนอัฐจรรย์มีเด็กนักเรียนหญิงจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส ครูอาจารย์นั่งอยู่ตามห้องพักสะสางงานและพูดคุยกันถึงเรื่องวันนี้ ช่วงเวลาแห่งอดีต....กลิ่นอายของแดดยามเย็นย่ำ......มันช่างเป็นเวลาที่แสนน่าโหยหาเสียเหลือเกิน

                               ในวัยนั้นเขาทำอะไรอยู่นะ เขาถามตัวเองและไม่น่าแปลกที่มันจะไม่มีอะไรตอบกลับมา ในหัวเขาดำมืดไปด้วยความทรงจำที่ไร้เรื่องราว เขาจำไม่ได้แล้ว ที่จริงเขาแทบไม่เคยจำเรื่องราวต่าง ๆ นับแต่บิดาเขาจากไปไม่ได้เลย ความทรงจำนั้นเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้ และมันช่างเจ็บปวดเหลือเกินที่เป็นแบบนั้น

                                “เจนศิลป์....เจนศิลป์หรือเปล่า...” เสียงหนึ่งดังขึ้น จากด้านหลังขณะที่เขาเดินไปมาในห้องเรียนที่เขาจำได้เลา ๆ ว่าเคยเข้ามาเรียนอยู่ ชายหนุ่มหันไปและพบกับหญิงกลางคนคนหนึ่ง เธอคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเขา แต่ทั้งหน้าตา ผิวพรรณ และเสื้อผ้านั้นดูต่างกันลิบลับ เธอมีดวงตาที่ฉายแววประหลาด แข็งกล้าแต่อ่อนหวาน ผมหยิกขอดนั้นรับกันดีกับใบหน้าที่เรียวยาว ดวงตาหยีเล็ก ริมฝีปากบางแต่กลับยิ้มจนสุด

                                “ครูธารทิพย์.....ครูธารทิพย์หรือเปล่าครับ....” ชายหนุ่มค้นในสมองอยู่นานจนเจอชื่อนี้ซุกตัวอยู่ในหลืบมุมที่ตกตะกอนของความทรงจำ

                                “จ๊ะ...แหม ว่าจะจำได้นะ” เธอว่าพรางหัวเราะ

                                หญิงผู้เป็นครูคนนี้ได้พบกับเจนศิลป์ครั้งแรกเมื่อตอนอยู่ชั้นประถม และเมื่อเขาขึ้นชั้นมัธยมปลาย เธอก็ย้ายมาสอนที่นี่พอดี นั้นนับเป็นเรื่องแปลก แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือเธอเป็นรุ่นน้องของเจนวิทย์ พ่อของชายหนุ่มเมื่อตอนสมัยเรียน ทำให้เธอรู้จักทั้งบิดาและมารดาของเขา

                                “แม่เป็นไงบ่างละ...”เธอถามขึ้นพรางเดินไปตามทางเดินของอาหารเรียน

                                “เหมือนเดิมครับ....”ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ พรางคลึงกล้องที่ห้อยอยู่ที่คอไปมา

                                “เฮ้ย.....พี่เดือนนะพี่เดือน....ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ....ถึงตอนเรียนจะกินบ่อยก็เถอะ.....”เธอพูดพรางถอนหายใจยาว แต่ก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าผู้เป็นผู้ใหญ่ไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นออกมา จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วเป็นไงบ่างละเรา การเรียน....”

                                “ก็ดีครับ.....” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ น้ำเสียงราบเรียบ

                                “แล้วเรื่องงานละ.....เห็นเขาว่าถูกไล่ออกเพราะขโมยของ” เธอคนนี้ไม่เคยเลยที่จะตั้งคำถามโดยเกรงกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย นั้นละที่ทำให้ชายหนุ่มชอบเธอคนนี้มากกว่าผู้รวมอาชีพคนอื่น ๆ 

                                “ครูคิดว่าไงละครับ.....”ชายหนุ่มย้อนถามพรางยิ้ม เธอยิ้มตอบ

                                “นั้นสิ.....มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำ...”

                                “แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นคิดต่างหาก ที่ตัดสิน” ชายหนุ่มต่อคำของอีกฝ่าย เธอจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม

                                “พ่อเธอชอบพูดแบบนั้น.....ตลอดเลยละ.....”เธอว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “พอเถอะ พอเถอะ พูดกันแต่เรื่องแบบนี้ มีหวังฉันแก่ลงไปอีกหลายปีแน่....” ชายหนุ่มหัวเราะกับคำพูดนั้น “มาเถอะ....ไปห้องชมรมกัน”

                                 “จะ...จะดีหรือครับ”

                                 “มาเถอะน่า.....” เธอว่าพรางดึงแขนของชายหนุ่มเดินลงบันไดมา

                                 ทั้งคู่เดินลงมายังชั้นล่างสุดก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งที่ดูมืดทึบและรกรุงรัง ทั้งชั้นวางของที่แน่นไปด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย กล่องกระดาษวางตามพื้นห้อง รูปภาพใส่กลอบนับสิบ ๆ ที่เรียกตามผนังจนแน่นอีกทั้งยังมีเด็กนักเรียนในชุดสีขาวกางเกงสีกากีนั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งหญิงและชายรวมแล้วราวสิบคนได้ นั้นยิ่งทวีความรู้สึกรุงรังเข้าไปอีกเป็นทวีคูณ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ และคุ้นตากับรูปที่อยู่บนผนังมากที่เดียว 

                                  “อะไรกันเนี้ยพวกเธอ นี่ห้องชมรมนะไม่ใช้ห้องมั่วสุม...” เสียงของเธอคนนั้นดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดค้นความจำของตัวเอง “ไอ้อลงกต ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ดี ๆ สิ ทำตัวเป็นขอทานนอนตามฟุตบาทไปได้...”เธอหันไปว่านักเรียนชายคนหนึ่งที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่กับพื้นห้อง เขารีบตารีตาลานลุกขึ้นในทันที

                                  ชายหนุ่มพึ่งประจักรแก่สายตาวันนี้เองว่าเธอคนนี้มีอำนาจในฐานะครูมากแค่ไหน ตอนเขาเรียนอยู่ม.สี่นั้นเธอก็ย้ายมาเป็นอาจารย์ที่นี่พอดี เขาจำไม่ได้แล้วว่าเธอรับผิดชอบสอนวิชาอะไรแต่ดูเหมือนจะเป็นพวกสังคมอะไรสักอย่าง
 
                                  “เอา ๆ ฟัง ๆ” เธอเริ่มเอ่ยเสียงดังอีกครั้งหลังจากที่เห็นพวกลิงทะโทนทั้งหลายเขาที่เขาทาง “วันนี้อาจารย์มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก”เธอว่าพรางดันหลังของเจนศิลป์ให้ก้าวไปข้างหน้า “นี่พี่เจนศิลป์....” เสียงกล่าวสวัสดีและการยกมือไหว้ปรากฏไปทั่วจนเจนศิลป์ยกมือขึ้นรับแทบไม่ทัน “เขาเป็นรุ่นพี่พวกเธอ เคยเรียนอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นเจ้าของรูปนั้น นั้น แล้วก็ทั้งผนังนั้นด้วย”

                                  เจนศิลป์ร้องอ๋อขึ้นในทันที ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่มองมาทางเขาอย่างแปลกประหลาดนับสิบคู่ เขายิ้มแห้ง ๆ เป็นเชิงตอบ

                                  “ยังไงมีอะไรก็ถามพี่เขานะ.....เดี๋ยวอาจารย์มา”

                                  “อ้าว....ไปไหนละครับ” เจนศิลป์รีบหันไปถามอีกฝ่าย เธอยิ้มน้อย ๆ

                                  “เดี๋ยวครูมา เอาของไปเก็บที่โต๊ะก่อน” เธอว่าแค่นั้นแล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้เจนศิลป์ต้องเผชิญกับความเงียบที่แสนเย็นยะเยือกและสายตาชวนสงสัยเหล่านั้น ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ และหันไปมองดูภาพเบนผนัง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยถ่ายภาพเหล่านี้ ภาพเด็กตัวเล็กนั่งซุกตัวอยู่ในเสื้อตัวยาวมอซอภายใต้ใต้แสงไฟจากเสาไฟ ภาพหญิงชรานั่งเคี้ยวหมากในชุดม่อฮ่อมและหมวกชาวนา ภาพพ่อค้าปลาช่อนกำลังทุบหัวปลาดูโหดร้ายและทารุณ.....
 
                             ในตอนนั้น เขามองภาพของโลกใบนี้แบบไหนกันนะ......

                             “พี่ชอบถ่ายขาวดำหลอครับ” เสียงหนึ่งดังมาจนเจนศิลป์ต้องหันไปมอง ผู้ถามเป็นชายคนที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนกับพื้นนั้นเอง ดูจากใบหน้าและการพูดจา เขาน่าจะอยู่ราวม.สี่         
 
                                   “อือ....”เจนศิลป์ตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันไปดูรูปเหล่านั้นอีกครั้ง

                                   “ทำไมละพี่....ผมว่ามันดูจืด ๆ ไปนะ.....” เสียงหัวเราะและเสียงหยอกเย้าดังขึ้น
ชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียงอีกครั้งพรางยิ้มแห้ง เขาชั่งไม่เหมาะกับบทบาทที่ธารทิพย์ทิ้งไว้ให้เสียเลย

                                   “แล้ว...อลงกตใช่มั้ย....ชอบภ่ายภาพสีหลอ”

                                   อีกฝ่ายพยักหน้าและทำเสียงอือในลำคอพลันทำให้มีฝ่ามือของคนข้าง ๆ ประทับเข้าใส่หัวอย่างแรง

                                   “อือเหี้ยไร ครับสิ” ผู้ที่พูดนั้นเป็นชายท่าทางเอาเรื่องไม่น้อย น่าจะอยู่ม.ห้าหรือหก
ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนว่าต่อ “พี่ว่าภาพถ่ายมันก็ช่วยบอกนิสัยคนถ่ายนะ อย่างอลงกตชอบถ่ายภาพสี คงเพราะเรามองเห็นไอ้นั้นไอ้นี่เป็นอย่างที่มันเป็น สวยอย่างที่มันสวย น่าเกลียดอย่างที่มันน่าเกลียด มองมันอย่างผิวเผิน ตัดสินมันจากสายตา....”ชายหนุ่มว่าพรางลากเก้าอี้มานั่ง “แต่พี่ว่าบางครั้ง ถ้าเรามองสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราต่างออกไปอีกนิด มันอาจจะทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปก็ได้นะ”

                                    อลงกตทำหน้ามุ่ย “งงครับพี่”

                                   “พี่เขาจะบอกว่า เรื่องของพี่เขา มึงไปเสือกอะไรกับเขาด้วย....”เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังดังมา พลันทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นไปทั่ว

                                    “แล้วพี่ชอบถ่ายภาพขาวดำเพราะแค่ไม่ชอบภาพสีแค่นั้นหลอครับ” เสียงชายคนที่ตบหัวอลงกตดังขึ้น ชายหนุ่มพึ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายไว้เคราที่ปลายคางด้วย มันดูเขากันดีกับผิวสีคล้ำนั่น

                                    “ไม่ใช่ว่าไม่ชอบภาพสีหลอก เพียงแต่ชอบภาพขาวดำมากกว่า”

                                    “งั้นภาพสีหรือขาวดำถ่ายยากกว่ากันละค่ะ” เสียงหญิงสาวด้านหลังถามขึ้น

                                    “พี่ว่ายากง่ายเหมือนกัน อยู่ที่คนถ่าย”

                                    “คนถ่ายเก่งไม่เก่งอย่างงี้หลอครับ”อลงกตเอ่ยอีกครั้ง

                                    “เปล่า...คนถ่ายเห็นสิ่งที่จะถ่ายแบบไหนต่างหาก”

                                    “งั้นพี่ช่วยดูนี่ให้ผมหน่อยสิครับ.....”อลงกตว่าพรางหยิบเอากระเป๋าที่อยู่ข้าง ๆ เท้าขึ้นมาเปิดแล้วยื่นกระดาษอัดภาพมาให้สี่หาแผ่น
 
                                    หลังจากนั้นมหกรรม “ช่วยดูภาพให้หน่อย” ก็เกิดขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเรื่องอัดภาพแล้วก็อะไรอีกหลายอย่างจนเวลาผ่านไปนานพอดูกว่าที่ธารทิพย์จะกลับมา

                                    “เอ้ามา...เปิดห้องอัดภาพให้แล้ว” เธอว่าพรางเปิดประตูห้องเล็ก ๆ ด้านในนั้นให้เปิดอ้าออก ทุกคนต่างกรูกันเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว มีแต่เจนศิลเท่านั้นที่ดูไม่กระเหี้ยนกระหือรืออย่างเข้าไป เขาแยกตัวออกมานั่งเหมอมองออกไปทางประตูเงียบ ๆ แสงแดดดูจะไม่อ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อยมีแต่จะยิ่งเพิ่มสีแดงอันทรงพลังนั้นเขาไปในลำแสง พลันทำให้สนามฟุตบอลกลับหลายเป็นสีอย่างที่ชายหนุ่มจำไม่ได้ว่ามันเคยเป็นมาก่อน แสงสีส้มแดงทอดยาวจากอีกฝากสนามมายังตัวเขา มันดูทรงพลังและร้อนแรงอย่างน่ากลัว

                                     “เอานี่.....”ธารทิพย์ เอ่ยพรางยืนบางสิ่งให้ชายหนุ่ม เขารับมาพรางมองอีกฝ่ายอย่างอยากจะถามว่าอะไร เธอคนนั้นไม่ตอบเอาแต่จ้องมองมันที่อยู่ในมือของชายหนุ่มจนเขาหงายมันขึ้นจึงรู้ว่านั่งคือรูปภาพที่อัดใส่กลอบอย่างดี
 
                                      ภาพนั้นเป็นภาพของใครบางคน นั่งอยู่บนอัฐจรรย์ ในมือถือสิ่งของบางอย่าง เขามองเห็นมันไม่ชัดนักเพราะแสงในภาพพุ่งตรงมายังกล้องอีกทั้งยังเป็นภาพขาวดำจึงทำให้ร่าง ๆ นั้นดูดำมืดจนแยกไม่ออก

                                      “ใครครับ...”ชายหนุ่มเอ่ยพรางมองมายังธารทิพย์

                                      “ก็เธอไง” อีกฝ่ายตอบพรางยิ้ม “อะไรกัน จำไม่ได้หลอกหลอ....เธอนะ ชอบทำอย่างนี้ประจำละตั้งกล้องเอาไว้แล้วก็ถ่ายตัวเอง....”

                                      ชายหนุ่มพยายามค้นลงไปในสมองแต่ก็พบเพียงความทรงจำที่มืดมิตรเท่านั้น ความเงียบเข้าปรกคลุมคนทั้งสองพร้อมด้วยสายลงเย็นที่พัดมาคล้ายปราณีช่วยบรรเทาความร้อนที่แสนสาหัส แต่มันไม่อาจช่วยอะไรเจนศิลป์ได้เท่าไรนัก แท้ที่จริงแล้วมันกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีก

                                      “เธอชอบนั่งตรงนั้นมากเลยนะ” ธารทิพย์เอ่ยขึ้นพรางชี้ไปอีกฝั่งหนึ่งของสนามที่มีอัฐจรรย์งวางยาวเรียงราย ในมือข้างที่เธอชี้มีบุหรี่ที่จุดแล้วติดอยู่ “ตอนพักกลางวันหรือตอนเย็น เธอชอบไปนั่งอยู่ตรงนั้น กินขนมถังแตกบ่าง นั่งเหมอบ่าง.....”

                                      ชายหนุ่มนิ่งฟังพรางมองลงมายังภาพนั้นที่อยู่ในมือ

                                      “มันก็แปลกดีนะที่ครูก็อยู่ตรงนี้ มองเธอจากตรงนี้ทุกวัน ห่างกับเธอแค่ไม่กี่เมตร รู้เรื่องทุกอย่าง แต่กลับช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย”

                                       “ไม่หลอกครับครู...”ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น “ครูช่วยผมได้เยอะเลยครับ”

                                      อีกฝ่ายกระตุกยิ้มคล้ายขมขื่นใจพรางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ ๆ ตรงข้ามกับเจนศิลป์และยกบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะปล่อยควันขาวออกมาพวงใหญ่ “เชื่อมั้ย....ครั้งแรกที่ครูเห็นเธอนะ ครูจำได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าเป็นเธอแน่ ๆ ลูกชายของพี่วิมย์”

                                      “จริงหลอครับ” ชายหนุ่มละสายตามาที่หญิงคนนั้นพรางยิ้มน้อย ๆ

                                      “อือ”เธอพยักหน้าพรางอัดบุหรีอีกครั้ง “ก็เล่นหน้าเหมือนกันขนาดนั้น จำไม่ได้ก็บ้าแล้ว”

                                       ชายหนุ่มหัวเราะ “หลอครับ ผมเหมือนพ่อมากเลยหลอครับ”

                                      “เหมือนมาก เลยละ” เธอเน้นเสียงที่คำว่าเหมือนมากจนฟังเหมือนเป็นอักษรตัวโตบนกระดาษสีขาว “ทั้งรูปร่าง หน้าตา แววตา นิสัย ท่าทาง ท่าเดิน ถอดแบบกันมาไม่มีผิด อ๋อ แล้วก็ชอบกินขนมถังแตกเหมือนกันอีก”

                                       ว่าแล้วเจนศิลป์ก็ขำออกมา       

                                       ธารทิพย์นิ่งมองดูเขาที่ยิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนพรางปรากฏคำถามมากมายขึ้นในใจ ทำไมเด็กคนนี้ถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้นะ ทำไมเขาดูราวกับไม่บุบสลายไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงดำเนินชีวิตราวกับทุกสิ่งเป็นปรกติดี ยังเดิน ยังนั่ง ยังคิด ราวกับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย อะไรที่คอยค้ำให้เขาก้าวเดินต่อไปยังวันข้างหน้า มันคืออะไร

                                        แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดพรายขึ้นสมองของเธอสั่นครอนหัวใจราวกับเครื่องช๊อตไฟฟ้า สิ่งที่บุบสลายไปแล้วจะมีอะไรให้ต้องบุบสลายอีกละเศษสากที่แตกหักแล้วมีอะไรให้เสียหายอีก.....

                                 “ครูดีใจนะที่เธอยังยิ้มอยู่ได้....” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบางแต่ราบเรียบราวกับธารน้ำเย็นที่ไหลเอื่อย

                                         ชายหนุ่มมองดูอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน

                                         “ผมว่าผมไปดีกว่าครับ ขืนอยู่ต่อไปคงทำให้ครูแก่ลงไปอีกเป็นสิบปีแน่”เขาว่าพรางยิ้มและยื่นกรอบรูปคืนอีกฝ่าย
 
                                         “เก็บไว้เถอะ....”เธอเอ่ยพรางยืนขึ้นเช่นกัน “มันอยู่บนโต๊ะครูมาสองปีกว่าแล้ว ช่วยครูไว้เยอะ ลองให้มันช่วยเธอดูบ่าง”
 
                                         เจนศิลป์มองอีกฝ่ายคล้ายไม่เข้าใจ เธอยิ้ม และไม่ตอบคำถามนั้น

                                         ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้พรางกล่าวลาและหันหลังเดินไป จนเมื่ออีกฝ่ายเรียก

                                         “โลกนี่นะ....ไม่ได้มีแต่สีขาวกับดำหลอกนะ”

                                         ชายหนุ่มยิ้มรับคำนั้นไว้และกล่าวลาอีกครั้งก่อนจะออกเดินไปด้วยก้าวย่างที่หนังอึ้งกว่าเดิมหลายเท่า
 
                                         “ขาวกับดำหลอ” ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ


.......... ยังไม่จบนะครับ มีต่อ ...........................................................

keivet001

  • บุคคลทั่วไป

           
                         สิ่งที่ธารทิพย์พูดนั้นถูกต้องที่สุด เจนศิลป์ไม่อาจจะแย้งได้......เพราะ “โลกนี้” ของเธอต่างจาก “โลกนี้” ของชายหนุ่ม โลกใบนี้ของธารทิพย์นั้นคงเป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันมากมาย ทั้งสีฟ้าครามท้องทะเล สีเขียวขจีของผืนป่า สีม่วงอมแดงของดวงดาว สีส้มจ้าของแสงแดด แต่โลกใบนี้....ที่ชายหนุ่มรู้จัก มันมีแต่สีขาวและดำ ไม่มีแดงร้อนแรงหรือฟ้าสดใสหรือชมพูหวานแหวว มีเพียงแต่ขาวกับดำ.....ใช่หรือไม่.....ดีหรือเลว.....ถูกหรือผิด..... กล้าหรือกลัว......ทำหรือไม่ทำ.......เพียงเท่านั้นและเพราะความเชื่อเชื่อเช่นนั้นที่ทำให้เขาสามารถประคับประคองชีวิตตัวเองมาได้สิบปี

                               แต่ในตอนนี้จิตใจของชายหนุ่มหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยแท่งเหล็ก ความรู้สึกเคว้งคว้างในอกที่ชวนสงสัยว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่นั้นเริ่มทักทอสายใยเหนียวขึ้นตลึงรัดร่างกายจนก้าวย่างของชายหนุ่มเริ่มอ่อนแรงและสุดท้ายเขาก็หยุดพักที่ริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา 

                               หรือว่าเขาจะคิดผิดนะ....ชายหนุ่มคิด หรือว่าสิ่งที่เขาเชื่อ สิ่งที่ยึดถือ สิ่งที่เขาสัทธาจะผิดทั้งหมด ชายหนุ่มงุนงงและสงสัยจนยากที่จะกลับบ้านไปเพื่อทำสิ่งเดิม ๆ ที่ทำมาตลอดชีวิตอีกครั้ง เขาค่อย ๆ ปืนขึ้นนั่งบนขอบกันริมเขื่อน จ้องมองดูพระอาทิตย์สีส้มทอแสงสดใสร้อนแรงจนแปลเปลี่ยนชุบย้อมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสายสายให้กลับกลายเป็นสีเดียวกันนั้นทั้งผืนน้ำ ลูกคลื่นเล็ก ๆ ทอแสงระยิบระยับไปมาตามจังหวะ นาน ๆ ครั้งจะมีเรือขนทรายหรือด่วนลำยาวแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดคลื่นน้ำใหญ่ซาดซัดเข้าหาฝั่งปะทะกับริมเขื่อนจนละอองน้ำกระเซนขึ้นมาถึงตัวชายหนุ่ม

                               มันช่างจับใจเหลือเกิน ช่วงเวลาที่กำลังจะหมดไปนี้ ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเพื่อเป็นสัญญาณของการหมดวัน มันทอแสงส้มอมแดงร้อนแรงราวกับเป็นคำอำลาอันแสนทรงพลังเกินกว่าที่ใครจะต้านทานได้ และเหมือนก้อนเมฆทั้งหลายจะรู้ถึงข้อความที่ส่งผ่านนั้นมันจึงทิ้งตัวลอยห่างออกไปดูอ้อยอิ่งแต่ก็ไม่อาจจะหลบจากรัสมีของแสงนั้นได้ทำให้เกิดลำเงาสีดำพาดผ่านเคียงคู่ไปกับลำแสงสีส้ม

                                ....... เขาจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกแบบนี้ได้อีกกี่ครั้งนะ.....สามหรือว่าสี่ นับตั้งแต่อมรมาหาเขา มันเป็นครั้งแรกเลยที่เดียวที่เขานับวันเวลาที่เหลืออยู่บนโลกนี้ หรือจะให้ถูกก็คือครั้งแรกในรอบสิบปีเลยที่เขานับวัน นับว่าเขาจะมีเวลาอยู่กับแม่เขาอีกเท่าไร นานแค่ไหน แล้วเมื่อเขาจากไป แม่เขาจะรู้สึกอย่างไร ดำเนินชีวิตเช่นไร แบบไหน เธอจะอยู่ได้หรือ ชายหนุ่มพยายามนึกภาพของหญิงกลางคน ๆ นั้นยามเมื่อไร้เขาอยู่ข้างกายแต่ก็ไม่อาจจะทำได้....สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงเงาดำหนึ่งเงาที่ไม่อาจจะประกอบขึ้นเป็นรูปร่างอะไรได้เลย
แต่เขาก็เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเธอต้องอยู่ได้......ชายหนุ่มเชื่อเช่นนั้น เพราะเขารู้ดีว่าตัวตนของเธอคนนั้นแข็งแกร่งมากกว่าภายนอกที่แสดงออกมา เธออ่อนโยน กล้าหาญและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี.....           
   
                           .....หนีไปให้ไกล...ไกลเท่าที่เราต้องการได้โดยไม่รู้สึกว่าทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง
คำพูดนั้นของธาราผุดขึ้นใจสมองของเจนศิลป์พลันทำให้เขานึกถึงภาพของใครบางคนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ภาพแผ่นหลังของชายคนหนึ่งเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปตามทางที่มืดมิด ก่อนจะหายลับไปกับห้วงแห่งกาลเวลา....จะมีทางมั้ยที่เราจะตัดสินใจเดินจากไปโดยใจไม่คิดถึงสิ่งที่ทิ้งมา จะมีทางมั้ยที่เราจะไม่หวนคิดถึงสิ่งที่เราจะไม่มีวันกลับไปหาอีก จะมีทางมั้ยที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราทำไปแล้ว .....ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้.... ไม่อาจเข้าใจในสิ่งนั้น ไม่รู้ว่าชายคนนั้นคิดอะไรอยู่เมื่อเดินจากไปวันนั้น เขารู้สึกอย่างไรขณะเดินจากไป ห่วงหาหรือเปล่า กลัวหรือเปล่า เศร้าเสียใจหรือเปล่า หรือเพียงแค่ เดินจากไปเท่านั้น   

                                 “เจ้าว่ามันสวยหรือไม่....”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง ชายหนุ่มดูไม่สะทกสะท้านมากนัก แต่ก็ไม่หันไปมองอีกฝ่ายอาจเพราะต้องการหลบเลี่ยงไม่ให้เจ้าของเสียงนั้นเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ นี้ก็เป็นได้

                                 “สวยสิ....สวยมากเลยละ....”เขาตอบ

                                 “สวยอย่างที่มันเป็น หรือสวยอย่างที่เจ้าต้องการให้มันสวย....”

                                 ชายหนุ่มหันมาที่อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าเขาจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นอยู่ในชุดนักเรียนสีขาวกับกางเกงสีกากี ผมตัดสั้นเกรียนทำให้ใบหน้าดูคมคายอย่างประหลาด ผิวขาวสะอาดนั้นต้องกับแสงอาทิตย์จนกลับกลายเป็นสีส้มแขนทั้งสองข้างถูกใช้ต่างไม้ค้ำยัน มันเกยกันอยู่บนริบเขื่อนที่ชายหนุ่มนั่ง สายตาจ้องมองไปยังต้นแสงอย่างไม่เกรงกลัว

                                 “เป็นเด็กม.ปลายไม่ค่อยเข้ากับคุณเท่าไรนะ....”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ

                                 “แล้วการที่ข้าเป็นเด็กห้าขวบกับลูกบอลสีชมพู หรือเป็นชายวิกรจริตนั้นดีกว่าหรือไร”

                                 ชายหนุ่มหัวเราะเคล้าไปกับสายลมที่พัดผ่านไป

                                 “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยเด็กน้อยเอ๋ย....เจ้าเห็นมันสวยอย่างที่มันเป็นหรือสวยอย่างที่เจ้าอย่างให้มันสวย”
 
                                 ชายหนุ่มเงียบไป ก่อนจะว่า “คุณก็ฟังอยู่ด้วยใช่มั้ย......”

                                 “ข้าฟังเจ้าเสมอ เด็กน้อยเอ๋ย....แม้ข้าจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ตาม”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอยู่นานปล่อยให้สายลมที่พัดผ่านไปหอบเอาละอองน้ำมาประทะใบหน้าของตัวเองมันให้ความรู้สึกประหลาดที่ทั้งไม่ร้อนหรือเย็น
 
                                 “พ่อผมเคยบอกไว้.....” เจนศิลป์เอ่ยขึ้นในที่สุด “ของบางอย่างมันไม่ได้เกิดมาสวยเลยหลอก...หน้าที่ของคนถ่ายภาพก็คือหมุนมันไปรอบ ๆ แล้วก็เลือกมุมที่คิดว่าสวยที่สุด แอบซ่อนความอัปลักษณ์ของมันไว้ให้มิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะถ่ายมันเก็บไว้” ชายหนุ่มหยุดพรางล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ อัดควันสีขาวเข้าไปเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันออกมา “โลกนี้และความจริงที่อยู่บนโลกนี้ก็เป็นแบบนั้นละ....มันทั้งอัปลักษณ์และโหดร้ายจนเราต้องหมุนมันไปรอบ ๆ เพื่อมองหามุมมองที่พอจะรับได้ โหดร้ายน้อยที่สุด งดงามที่สุด แล้วก็จดจำมันไว้อย่างนั้น”
 
                                 “เป็นสีขาวหรือว่าดำ...”อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ พรางยกบุหรี่ขึ้นสูบอมรจึงถามต่อ“ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่หญิงคนนั้นพูดกับเจ้าก็เป็นสิ่งที่ผิดนะสิ.....ที่ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่สีขาวและดำ”
“เปล่าหลอก...”ชายหนุ่มว่าพลางปล่อยควันสีขาวออกมาจากปาก “เพียงแต่เขามองโลก มองความจริงต่างจากมุมของผมก็เท่านั้นเอง”

                                 “ทำไมละ....เหตุไดจึงเป็นเช่นนั้น”
 
                                 เจนศิลป์ถอนหายใจยาว “การเลี้ยงดู การเติบโต สภาพแวดล้อม ประสบการณ์......มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ทำให้ผมกับครูธารทิพย์มองโลกต่างกัน”
 
                                 “แล้วกับหญิงคนนั้นละ...ที่เจ้ากินข้าวด้วยวันนี้ เขามองโลกต่างจากเจ้าหรือไม่.....”

                                  ชายหนุ่มฟังคำถามนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “อาจจะเหมือนกันอยู่บ่าง แต่ก็ไม่เหมือนกันซะทั้งหมดหลอก....

                            “แล้วชายคนนั้นละ....ที่ชื่อหนึ่ง.....”

                                 “โอ้ย....." ชายหนุ่มร้อง "รายนั้นไม่ต้องพูดถึงหลอก.....นี่อมร คนเราทุกคนต่างก็มีมุมมองแตกต่างกันออกไป ไม่มีใครหลอกที่จะมองโลกนี้เหมือนกับใครไปซะหมด”

                                   อมรเงียบไปคล้ายใช้ความคิด เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่เอาแต่จ้องมองไปยังดวงอาทิตย์นั้น มันเริ่มถูกผืนแผ่นดินกัดกินไปเกือบครึ่งแล้วและอีกไม่นานมันคงจะหมดไป 

                                   “นี่อมร.....”หลังจากเงียบไปนานหลายนาที เจนศิลป์ก็เอ่ยขึ้น “.....แม่ผมเขาจะมีความสุขมั้ยถ้าผมตายไปแล้ว”
 
                                   “ข้าไม่รู้ เด็กน้อยเอ๋ย....ข้าไม่อาจจะรู้ได้”

                                   “แต่คุณบอกเองว่า ถ้าผมตาย แม่ผมจะมีชีวิตที่เป็นสุขและยาวนานไม่ใช่หลอ.... คุณบอกเองนะ” น้ำเสียงราบเรียนของชายหนุ่มนั้นเจือไปด้วยโทสะเล็กน้อยแต่เขาก็ยังไม่ระสายตาจากเบื้องหน้า
   
                                    “ถูกต้องแล้ว ข้าพูดเช่นนั้น....”อมรตอบ “หากแต่ความหมายของข้านั้นคือ นับแต่วินาทีที่ชีพเจ้าดับสูญไป มารดาของเจ้าจะมีชีวิตที่ยืนนาน ไม่ทุกข์ด้วยขาดแครนปัจจัยทั้งสี่ ไม่ทุกข์ด้วยโรคภัย นางจะมีชีวิตที่สมหวังจวบจนลมหายใจสุดท้ายของนางหลุดลอยไป” อมรหยุด “ส่วนนางจะรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องพรากจากกับเจ้า หรือการจากไปของเจ้าจะมีผลอย่างไรกับนางนั้น ข้าไม่อาจจะรู้ได้....”

                                     เจนศิลป์ยิ้มที่มุมปากอย่างเจ็บปวดใจ “คิดว่าคุณรู้อนาคตเสียอีก....”
อมรทำเสียงขึ้นจมูกแต่ฟังดูคล้ายถอนหายใจมากกว่า ก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “ข้ารู้อนาคต.....เจ้าพูดถูกแล้วเด็กน้อยเอ๋ย หากแต่อนาคตที่ข้าร่วงรู้ได้นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของทั้งหมด....พูดเช่นนี้ไปเจ้าอาจจะไม่เข้าใจนัก ข้าจะอธิบาเช่นนี้ก็แล้วกัน”อมรสูดหายใจลึก

                                      “.....เจ้ารู้จักพรมลิขิตหรือไม่.....หรือโชคชะตา.....หรือชะตากรรม......หรือสิ่งไดก็ตามที่พวกเจ้าคิดว่าถูกกำหนดขึ้นโดยบางสิ่งเพื่อให้เจ้าเดินไปตามทางนั้น เป็นเหมือนเส้นทางที่ถูกกรุยกลายไว้แล้วรอให้พวกจ้าเดินไปพบกับบางสิ่ง เรียนรู้สิ่งนั้น และเดินทางต่อไป....”อมรหยุดและจ้องมองไปในดวงตาของเจนศิลป์

                                      “แล้วมันไม่ใช่หลอ......” ชายหนุ่มเอ่ย

                                      อมรส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เลย ไม่แม้แต่น้อย.....สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าชะตากรรมนั้นแท้จริงแล้วรูปลักษณ์ของมันก็ไม่ต่างจากผืนน้ำที่อยู่ต่อหน้าเจ้าในตอนนี้ มันกว้างใหญ่ เคลื่อนไหวตลอดเวลา ไร้ทางคาดเดา และพวกเจ้าทุกคนก็อยู่บนผืนน้ำนั้น เป็นเหมือนเส้นด้ายที่ล่องลอยอ้อยอิ่งเคลื่อนย้ายไปตามกระแสน้ำนั้น หนึ่งชีวิตแทนหนึ่งเส้นด้าย หนึ่งความยาวแทนอายุขัยที่พวกเจ้ามี ดังนั้นบนผืนน้ำนั้นจึงมีเส้นด้ายนับแสนนับล้านเส้นพัวพันวนเวียนกันอยู่มากมาย ทุก ๆ การสัมพัทธ์กันของเส้นด้ายเหล่านั้นเป็นสิ่งแทนการพบกันของพวกเจ้าแต่ละคน บางเพียงผาดผ่านกัน บ่างเฉียดกลายกันเพียงผิวเผิน บ่างก็แทบไม่เคยแม้แต่เฉียดใกล้กันเลย......และบ่าง....ก็เกี่ยวกระหวัดรัดกันจนเกิดเป็นปมยุ่งเหยิง”

                                      อมรหยุดหายใจอีกครั้งก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนตรงและเอามือทั้งสองข้างยัดลงไปในกระเป๋ากางเกง “มารดาเจ้าและเจ้าก็เป็นเช่นนั้นเอง เด็กน้อยเอ๋ย.....ความสัมพันธ์ของเจ้าทั้งคู่นั้นแน่นแฟ้น ยุ่งเหยิง แนบแน่น ราวกับปมที่พัวพันกันอย่างไร้ระเบียบ รัดแน่นเกินกว่าใครจะแก้ให้แยกออกจากกันได้ ซับซ้อนเกินกว่าใครจะเข้าใจ และนับวัน ปมนั้นก็ยิ่งรัดแน่นกันขึ้นมากกว่าเดิมเรื่อย ๆ......” อมรในร่างของเด็กชายยิ้มน้อย ๆ “ดูเหมือนข้าจะออกนอกเรื่องไปมากแล้ว....นั้นละคือ ชะตากรรม พรหมลิชิต โชคชะตา......อนาคตที่ข้าสามารถรู้ได้.......ข้ารู้ว่าเจ้าเกิดเมื่อไร และจะลิ้นเมื่อไดโดยไล่ไปตามเส้นด้ายของเจ้า....ซึ่งมันไม่ยากเลยเมื่อเส้นด้ายของเจ้านั้นช่างสั้นและรอบด้านก็ไร้ซึ่งเส้นได้อื่น ๆ มาพัวพันธ์ ทั่งชีวิตของเจ้ามีเพียงปมใหญ่ปมเดียวเท่านั้น นั้นคือมารดาของเจ้า หญิงสาวผู้ซึ่งถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่เฝ้ามอง และทันทีที่ชีวิตของเจ้าสิ้นสุดลงพร้อม ๆ กับกับการสรายไปของปมด้ายนั้น  เด็กน้อยเอ๋ย เมื่อถึงตอนนั้น ผู้คนเหล่านั้นก็จะพร้อมเข้ามาอุ้มชูชีวิตของนางให้ดำเนินไป ขมวดปมแห่งความสัมพันธ์อันใหม่ขึ้นกับนาง แม้ว่ามันจะไม่แนบแน่นกันอย่างที่นางเคยมีกับเจ้า แต่มันก็จะไม่รัดแน่นจนทำร้ายทั้งนางและอีกฝ่าย อย่างที่มันเคยทำร้ายเจ้ากับมารดา......”อมรเงียบไปคล้ายจมลึกลงสู่ห้วงความคิดของตัวเองเช่นเดียวกับเจนศิลป์ เขาเอาแต่จ้องมองดวงอาทิตย์ที่บัดนี้ส่วนที่เลยพ้นขอบฟ้ามาเหลือเพียงน้อยนิด แต่มันก็ยังทอแสงกล้าไม่ต่างจากเดิม ความมืดบนท้องฟ้าเริ่มย่างกลายมาจากอีกฝั่ง ดวงดาวบนฟ้าเริ่มทอแสง ดวงจันทร์ที่วันนี้ดูบางราวกับเส้นผมนั้นลอยเด่นขึ้นจากมุมหนึ่งของฝากฟ้า   

                                     “สิ่งนั้น....ความสัมพันธ์อันรัดแน่นที่เจ้ามีต่อมารดานั้น....เรียกว่าความรักใช่หรือไม่.....” อมรเอ่ยขึ้นในที่สุด

                                     “ใช่....”เจนศิลป์ตอบเบา ๆ

                                     “เช่นนั้นแล้ว เหตุไดมันจึงทำร้ายเจ้ากับมารดาเจ้าละ....ทั้งที่ความรักนั้นควรจะเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ใช่หรือ....”

                                     เจนศิลป์ยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง “ความรักนะเป็นสิ่งที่ดี....ตราบไดที่มันมีไม่มากเกินไป”เจนศิลป์พูดพรางมองอีกฝ่าย “ก็เหมือนอย่างที่คุณว่านั้นละ เปรียบความรักก็เหมือนปมบนเส้นด้ายนั่น ยิ่งรักมากเท่าไร ปมมันก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น...ยิ่งผูกพันมากขึ้นเท่านั้น.......ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น.....จนสุดท้าย ด้ายเส้นที่เล็กกว่า อ่อนแอกว่า ก็จะขาดเพราะรับแรงตึงแน่นไม่ไหว..........” ชายหนุ่มหยุด “ความรักที่มากเกินไป มันก็เป็นแบบนี้ละ.....นอกจากมันจะทำร้ายตัวเราเองแล้ว ยังทำร้ายคนที่เรารักด้วย”         

                                       อมรมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่บัดนี้ดูเรียบเฉยแต่แฝงเร้นไปด้วยความหม่นหมอง “หากรู้เช่นนั้นแล้ว เหตุไดเจ้าไม่หยุดละ ลดทอนความรักนั้น ให้เบาบางลง....”

                                      เจนศิลป์ไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืนบนริมเขื่อนนั่นก่อนจะหันหลังและกระโดดลงมายืนอยู่ข้างอมร

                                      “ผมก็เคยบอกคุณไปแล้วนิ......แต่ชั่งเถอะ พูดไปคนอย่างคุณก็ไม่เข้าใจหลอก....”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินจากไป ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนมองตามหลังอย่างสงสัย
 
                                      “คนอย่างข้า อย่างนั้นหรือ......”

                                      เจนศิป์เดินกลับบ้านด้วยท่าทางและจิตใจที่อ่อนล้ากว่าเดิมหลายเท่า 

                                      “ลดทอนความรักนั้น ให้เบาบางลง”คำ ๆ นั้นของอมรทำให้ชายหนุ่มนึกสมเพชในความไม่รู้ของอีกฝ่าย หากว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งง่าย ๆ อย่างที่พูด มันก็ดีนะสิ หากสิ่งนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เขาคงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ ไม่ต้องมาทำงานมากมายอย่างนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องสนใจ และไม่ต้องถูกผู้เป็นอาด่าว่าแบบนี้
 
                                      ปลายเท้าของชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของหญิงกลางคน เขาหวังว่าจะเห็นเธอคนนั้นยังนอนอยู่ไม่ลุกไปไหนแต่ภาพของหญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียงก็ไม่อาจทำให้เขาประหลาดใจไปได้  ตรงหน้ามีชามข้าวต้มที่ช้อนล้วงหล่นไปอยู่กับพื้นก็ปรากฏแก่สายตา เธอจ้องมองมายังผู้มาถึงด้วยสายตาว่างเปล่า ว่างเปล่าอย่างไร้สิ่งไดเจือปน
 
                                       เจนศิลป์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปเก็บช้อนนั้นขึ้นจากพื้นและลงไปหยิบคันใหม่มา เขานั่งลงตรงหน้าของเธอ และเริ่มป้อนข้าวให้กับผู้เป็นมารดา ...... แล้วปมอันใหญ่นั้น.....ก็บีบรัดหัวใจเขา.....อย่างเจ็บปวด

.......................................................................................

 :a6: :a6: :a6:ตอน(โครต)ยาวก็เล่นเอาหมดแรงอีกแล้วครับผม :a6: :a6: :a6:

...



@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
ตอนโครตยาว อ่านแล้ว แอบเครียด  o2

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
มาต่อแล้วหรอ เย้ๆๆ มาทีเพียบเลย

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
เย้ ๆ หายไปหลายวัน กลับมาอ่านต่อ เจออย่างยาว  :oni2:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วครับ


                   กิตติกำลังหยิบเสื้อผ้าในตระกล้าขึ้นใส่ไม้แขวนเพื่อตากให้แห้งขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาเดินไปหยิบมันจากโต๊ะหัวตียงก่อนจะเห็นชื่อผู้ที่โทรเข้ามา ชายหนุ่มหันไปมองรอบห้องก่อนจะรู้ว่าสาริณีกำลังอาบน้ำอยู่ 

                       “มีอะไรอีกละ....บอกแล้วว่าอย่าโทรมาอีก....”ชายหนุ่มว่าพรางเดินออกจากห้องมายังโถงทางเดินด้านนอก

                       “แมวขอโทษ...แมวผิดไปแล้ว” หญิงคนนั้นว่าระคนเสียงสะอื้นให้ “ยกโทษให้เราเถอะนะ....”
 
                      “อะไรเนี้ยแมว....พอเถอะ” ชายหนุ่มว่า แต่สีหน้าก็ดูเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่น้อย “เม่นกับแมวเลิกกันไปแล้ว มันจบแล้ว จะมาทำแบบนี้เพื่ออะไรเนี้ย”

                     “ก็แมวไม่อยากเลิกกับแม่น....แมวรักเม่นนะ”
หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหวอย่างเจ็บปวดราวกับถูกก้อนน้ำแข็งแห้งราดรด ทำไมเขารู้สึกแบบนี้นะ ทั้งที่รู้คำตอบนั้นอยู่เต็มอก แต่เขาก็ไม่อย่างจะรับความจริงข้อนั้น

                     “แล้วไอ้คนที่ชื่อกรอะไรนั้นละ....มันไม่อยากได้แมวแล้วหรือไง”

                    “ทำไมเม่นพูดอย่างนั้นละ”เสียงเธอสะอื้นให้มากกว่าเดิม ชายหนุ่มพยายามบอกกับตัวเองว่านั้นเป็นเพียงสิ่งลวงตาที่หญิงคนนั้นเสกสรรปั่นแต่งขึ้นมาทั้งหมด ไม่มีความจริงอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะทำแบบนั้นในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเชื่อทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเธอเสมอ “แมวกับกรไม่มีอะไรกันจริง ๆ ทำไมเม่นไม่เชื่อแมวละ...วันนั้นที่แมวเดินหนีมาไม่ใช่ว่าเพราะอยากเลิกกับเม่นนะ แต่เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าเม่นจะพูดแบบนั้นออกมาได้......มันไม่ได้เกี่ยวกับกรเลยจริง ๆ”

                    “แล้วมาบอกอะไรตอนนี้ละแมว ทำไมไม่บอกตั้งแต่วันนั้น ไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้....” ชายหนุ่มถอนหายใจยาวราวกับตนได้พูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป “....เม่นไม่อยากกลับไปเจอะอะไรเดิม ๆ อีกแล้ว....เม่นไม่อยากกลับไปเป็นตัวตลกโง่ ๆ ที่คอยตามแมวเหมือนหมา คอยให้เพื่อนแมวหัวเราะใส่หน้า เม่นพอแล้วละแมว”
เธอคนนั้นเงียบไปคล้ายยอมจำนนต่อคำพูดของชายหนุ่ม และอีกหลายวินาทีต่อมานั้นก็เต็มไปด้วยความเงียบที่แสนอึดอัด เต็มไปด้วยการใช้ความคิดของทั้งสองฝ่ายก่อนที่ชายหนุ่มจะกดตัดสายของเธอไป กิตติเดินเข้าห้องด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะลื่นล้มอยู่ตรงหน้าห้อง เขาเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าหญิงคนนั้นออกมาจากห้องน้ำแล้ว   

                     “ใครโทรมาหลอ.....”สาริณีเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ตัวยังอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้าทำให้ชายหนุ่มไม่อาจจะเห็นสิหน้าของเธอได้ยามเมื่อถามคำถามนั้น
 
                     “ที่บ้านนะ....ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มโกหกไปพรางโยนโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องแล้วไว้บนเตียงก่อนจะกลับไปตากผ้าต่อ
 
                     “แล้วที่บ้านแม่นโทรมาเรื่องอะไรหลอ...”

                    “ก็เรื่องทั่วไปนะ จะกลับบ้านมั้ย กินข้าวหรือยัง เรียนเป็นยังไง.....”
หญิงสาวเงียบไปและเป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจะได้ยินสิ่งที่เขาคุยหรือเปล่า ถ้าเธอได้ยิน เธอจะคิดอย่างไร เธอจะโกรธหรือเปล่า แต่เธอมีสิทธที่จะโกรธด้วยหรือ......
ชายหนุ่มแขวนเสื้อตัวสุดท้ายไว้บนราวก่อนจะเอนตัวและหัวออกไปนอกชานมองดูยามเย็นอันเงียบเชียบนั้นด้วยความคิดที่วุ่นวายอยู่ในหัว

                    ตลอดระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมานั้นชายหนุ่มไม่อาจพูดได้เต็มปากได้ว่าเขาไม่มีความสุขที่ได้อยู่และแนบชิดกับสาริณี เขามีความสุขอย่างมากล้น แต่ความสุขนั้นกลับถูกห่มคลุมไปด้วยความรู้สึกที่หนักหน่วงจนปวดร้าวไปทั้งใจ ความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่เขาทั้งสองมี สิ่งที่กระทำ สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะจริงนั้นแท้ที่จริงแล้วมันเป็นสิ่งจริงแท้แน่หรือ มันถูกต้องแน่หรือ หญิงสาวคนนั้นต้องการเขาจริง ๆ หรือเปล่า เขาอยู่ในที่แห่งไดในจิตใจและชีวิตของเธอ เป็นคนรัก เป็นเพื่อน หรือบางสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างนั้น ชายหนุ่มไม่อาจจะให้คำตอบนั้นได้ เพราะทุกครั้งที่ชายคนนั้นของหญิงสาวโทรเข้ามา เธอจะรีบวิ่งไปหาและรับมันอย่างรีบร้อนราวกับไม่อาจคอยที่จะพูดคุยกับเขาคนนั้นได้อีกต่อไปแล้วแม้แต่วินาทีเดียวก็ตาม น้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้น แววตาที่เป็นประกาย รอยยิ้มที่ผุดพราย และท่าทางทางกายมันบ่งบอกอย่างเด่นชัดว่าเธอยังไม่ต้องการหยุดความสัมพันธ์นั้น กลับกัน เธอมีความสุขอย่างเหลือล้มเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย

                     ตัวเขากับเธอคนนั้นเป็นอะไรกัน.....ชายหนุ่มถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างเหนื่อยอ่อน สาริณีเห็นเขาเป็นอะไรกัน เป็นสิ่งของที่วางอยู่ในห้องไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ เป็นสัตว์เลี้ยงที่เธอเชื่ออย่างสนิตใจว่าสื่อสัตย์กับเธอเพราะรู้ว่าเขาไม่มีที่ไปหรือ หรือเธอเห็นเขาเป็นเพียงเพื่อนสนิตที่คอยอยู่ใกล้ ๆ คอยปลอบใจเธอยามอ่อนล้า ชายหนุ่มไม่รู้จริง ๆ

                      เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้น เขาหันไปทางต้นเสียงจึงเห็นสาริณีเดินมาและยื่นมันให้กับเขา
“ธาโทรมา”เธอว่าพรางใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมของตัวเองไปมา

                      กิตติรับมันจากมือเธอและกดรับสาย

                     “ว่าไง”เขาว่า

                     “วันนี้ไปสะพานพุธกัน.....แค่นี้นะ ตังค์หมดแล้ว...”เสียงของอีกฝ่ายฟังดูสดใสกว่าปรกติมากก่อนจะวางสายไป

                     ชายหนุ่มทำสีหน้างงงันเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง

                     “มีอะไรหลอ.....” สาริณีถามพรางนั่งลงบนขอบเตียง เธอยังไม่หยุดเช็ดผม

                    “ธาโทรมาชวนไปสะพานพุธ.....ไปมั้ย”

                   “กี่โมงละ”เธอถามพรางมองหน้าอีกฝ่าย เขาหลบสายตานั้น

                   “ไม่รู้สิ...ไม่ได้บอก เห็นว่าตังค์จะหมดก็วางไปเลย....ไปมั้ย”ชายหนุ่มทิ้งทายด้วยคำถามเดิม
เธอทำหน้าคิดก่อนตอบ

                   “ไปก็ได้มั้ง....อยู่แต่ที่ห้องเบื่อจะตายไป...”

                   แล้วทั้งสองก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่สาริณีจะถามขึ้น

                   “เม่นว่าธาจะรู้หรือเปล่า....”       

                   “รู้อะไรหลอ....”ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ

                   “เรื่องของสากับเม่นไง”

                   กิตติเงียบไปหลายวินาทีก่อนเอ่ยตอบ “ก็คงรู้ละมั้ง ถ้าไม่รู้ก็คงไม่พูดแบบนั้นหลอก”

                   หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับชายหนุ่ม กิตติตอบสายตาของเธอด้วยการจ้องเข้าไปในตาของหญิงสาวราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่เคยรู้ว่าดวงตาของเธอนั้นสวยแค่ไหน

                   “สา...”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ พรางยกมือขึ้นลูบหัวที่เบียกชื้นของเธอเรื่อยลงมาถึงไหล่ อีกฝ่ายหันมาและเห็นชายหนุ่มจ้องเธอไม่วางตา “เม่นรักสานะ....”

                   ดวงหน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ตอนเธอคุยกับชายคนนั้นเธอก็ไม่ยิ้มแบบนี้ มันเป็นยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยเห็นมา 

                   “อะไรเม่น....”เธอว่าพรางหัวเราะ “เม่นไม่ใช่หมอนะ จะ รักสาได้ยังไง”

                    ชายหนุ่มหัวเราะตามคำพูดของเธอ

                    “อะไรว้า....จะซึ้งสักหน่อยก็ไม่ได้.....”

...........................................................................

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
 


                  เจนศิลป์ก้าวเท้าออกมาจากรถของพิราบและหันไปปิดประตูเบา ๆ ก่อนจะมองไปรอบตัว

                  ที่ ๆ เขายืนอยู่นี้เป็นวัดแห่งหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าชื่อวัดอะไร แต่ดูเหมือนพื้นที่วัดเกือบทั้งหมดจะถูกใช้เป็นที่จอดรถไปหมดแล้ว ทั้งพื้นที่รอบเมรุ ลานปฏิบัติธรรม พื้นที่ว่างเกือบทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยรถหลายสิบคันดูแล้วชวนให้คิดว่านี่คงเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ของคนสมัยนี้กระมังที่จะหันหน้าเข้าวัด.....ใช่จอดรถ

                  แต่ถึงกระนั้นกลิ่นไอแบบอารามก็ยังคงลอยตัวอยู่หนาแน่น ทั้งความเงียบอย่างสงบ ร่มเงาของต้อนไม้หนาทึบและเสียงกิ่งก้านกระทบกันยามต้องสายลม ยิ่งเป็นเวลากลางคืนแบบนี้ความมืดมิดยิ่งทำให้สิ่งเหล่านั้นแผ่ปรกคลุ่มไปทั่วทั้งบริเวณกอดรัดผู้คนที่อยู่ที่นี่ให้รู้สึกถึงความผิดบาปที่ตนเคยก่อไว้ 

                  “ไปกันยังละ” เสียงพิราบดังมาจากด้านหลัง เจนศิลป์หันไปทางต้นเสียงและพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเปิดผ่าคลอบเลนส์ของกล้องที่แขวนอยู่ที่คอ

                  “ไม่อยากจะเชื่อนะเนี่ยว่าคอมจะถ่ายรูปเป็นด้วย.... ตอนแรกนึกว่าสะพายกระเป๋ากล้องทำเทห์สะอีก” พิราบว่าพรางมองอีกฝ่ายกระชับสายกระเป๋ากล้องที่พาดอยู่บนไหล่ข้างซ้ายให้แน่น

                  เจนศิลป์ยิ้ม “ก็นิดหน่อยนะ....ไม่ได้เก่งอะไรหลอก”

                  ไม่ทันจบคำคนทั้งสองก็ก้าวออกมาจากเขตวัดและภาพของตลาดสะพานพุธก็ปรากฏแก่สายตา

                  เจนศิลป์จำไม่ได้แล้วว่าเขาได้ยินชื่อนี้ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไรแต่เขาก็แอบนึกภาพของมันไว้ในหัวอย่างชัดเจน ร้านรวงที่ตั้งเรียงกันไปตามความยาวของสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เขาคิดเอาเองว่ามันคงมีสภาพไม่ต่างจากตลาดนัดตามงานวัด มีปลาหมึกปิ้งกับหอยทอดผัดไทยอะไรพวกนั้นวางตัวอยู่คู่กับสินค้าอุปโภคต่าง ๆ  แต่เขาก็ได้ประจักรแก่สายตาวันนี้เองว่าภาพในสมองของเขานั้นผิดไปอย่างไม่เหลือเค้าเดิม

                   ตลาดสะพานพุธนั้นคือกลุ่มก้อนร้านค้าต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ลิมบาทวิทียาวไปจนสุดสายตาไม่ต่างกับรอบนอกของตลาดนนทบุรีที่ชายหนุ่มรู้จัก บีบดันให้ผู้คนนับร้อยต้องลงมาเดินอยู่บนท้องถนนที่การจราจรขวักไขว่ แสงไฟนิออนส่องสว่างไปทั่วทุกก้าวเดิน บางช่วงที่บาทวิทีจะมีขนาดใหญ่ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองช่องเพื่อจะได้ตั้งร้านค้าได้มากขึ้นแต่แทบไม่มีทางเดินให้ผู้คนเข้าไปจับจ่าย เสียงเพลงฟังไม่ได้ศัพท์ดังแววมาตามสายลมปะปนกับเสียงพูดคุยตะโกนกันของผู้คนที่เดินเบียดกันไปมา

                   เจนศิลป์ยืนมองด้วยความงงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงพิราบจะดังขึ้น

                   “เป็นไรคอม...”

                   เขาส่ายหน้าพรางยิ้มคล้ายขำกับความโง่เง่าของตัวเอง “แล้ว ไปทางไหนดี”

                   “อือ...ไปทางสะพานดีกว่า....ของเยอะกว่าด้วย”

                    เจนศิลป์พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะออกเดินตามพิราบไป
 
                    ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาจับจ่ายซื้อของที่นี่นั้นดูเหมือนจะหลากหลายจนยากที่เจนศิลป์จะจัดหมวดหมู่ แต่โดยรวมแล้วผู้คนเหล่านี้นั้นแตกต่างกันอยู่สองสิ่งอย่างชัดเจน

                   นั้นคือวัยและสถานะภาพที่บ่งบอกออกมาจากการแต่งกาย

                   เจนศิลป์ชายสายตามองไปรอบ ๆ พรางพยายามประเมินสิ่งที่เห็นด้วยสายตา เด็กหญิงแต่งกายด้วยเสื้อยืดตัวเล็กและกางเกงขาสั้นกุดแต่อายุคงไม่เกินสิบสี่ดูแล้วให้ความรู้สึกเจนโลก ชายหนุ่มที่เดินไปมาด้วยกางเกงยีนส์สีซีดและเปลือยท่อนบนที่มีรอยสักรูปสิงสาราสัตว์มากมายนอนตัวขดกันไปมาตามลำแขน แผ่นหลังและหน้าอกปะปนไปกับอัครทางศาสนา หญิงสาวบางคนแต่งกายด้วยเพียงเสื้อยืดและกางเกงยีนส์แต่กลับให้ความรู้สึกที่ห่างไกลจากระดับของเจนศิลป์มาก ชายหนุ่มบางพวกก็เดินไปไหนมาไหนเป็นกลุ่มก้อนด้วยการแต่งกายคล้าย ๆ กัน เสื้อยืดสีดำ กางเกงทรงพิตสีเดียวกันที่เมื่อดูแล้วอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเนื้อหนังไปอยู่ที่ไดหมด อีกทั้งทรงผมแปลกประหลาดและขอบตาสีดำนั้นก็ชวนให้แปลกใจเหลือเกินว่าคนพวกนั้นต้องการอะไรกับชีวิตกันแน่ ยามที่กลุ่มคนเหล่านั้นเคลื่อนขบวนไปไหนมาไหนผู้คนรอบข้างจะแหวกทางจนเกิดที่ว่างพอให้พวกคนเหล่านั้นผ่านไปดูไปแล้วเจนศิลป์ก็รู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นช่างเป็นสิ่งมีชีวิตแสนสบายที่ไม่ว่าจะไปที่ใด คนในสังคมก็จะเว้นที่ว่างรอบกายให้เสมอ เจนศิลป์หยุดและถ่ายรูปกลุ่มคนเหล่านั้นไว้ก่อนจะเดินจากมา

                    ทั้งสองเดินดูสินค้าต่าง ๆ ไปอย่างไม่มีจุดหมาย นาน ๆ ครั้งพิราบจะฉุดแขนอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปในร้านนั้น ออกร้านนี้ คุยนั้นคุยนี่กับพ่อค้าแม่ขายอย่างไม่มีสาระมากนัก จนมาถึงช่วงหนึ่งของตลาดที่กับติดริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา กลิ่นชื้นแห้งคุ้นจมูกลอยเข้ามาปะทะหน้าเจนศิลป์ปะปนไปกับกลิ่นกายและลมหายใจของผู้คนนับร้อย ๆ จนเพียงแค่หายใจเอาอากาศเขาปอดก็กลายเป็นเรื่องยากแสนยาก พวกจึงหลบออกมาเดินบนท้องถนนด้านนอกแทน

                     “คนเยอะชิบหายเลย....” เจนศิลป์เอ่ยเบา ๆ พรางมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น

                     “ก็งี้ละ...สะพานพุธ...คอมไม่เคยมาหลอ”พิราบถามขึ้น

                     เจนศิลป์พยักหน้าน้อย ๆ พรางยิ้ม

                     “ถ้าเป็นคนอื่นคงแปลกมากเลย....แต่ถ้าเป็นคอมก็คงไม่แปลกหลอก...”อีกฝ่ายพูดเสียงสูง “ขนาดเอ็มเคในห้างยังหาไม่เจอะเลย.....”ว่าแล้วก็หัวเราะเช่นเดียวกับเจนศิลป์

                     ทั้งสองเดินดูสินค้ากันไปอีกพักหนึ่งปากก็พูดคุยเรื่องต่าง ๆ กันมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพิราบเสียมากกว่าที่พูดนั้นพูดนี่ไปเลื่อย ส่วนเจนศิลป์ก็เพียงเออออไปตามนั้นอย่างไม่คิดอะไรมากบางครั้งเขาก็แกล้งอีกฝ่ายด้วยการหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อถ่ายภาพปล่อยให้คนพูดเดินพูดคนเดียวไปไกล พอพิราบรู้ตัวก็จะวิ่งกลับมาหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ 

                      “อะไรว้า....เราน่าลำคารขนาดนั้นเลยหลอไง” พิราบเอ่ยพรางยิ้ม

                      “ก็ไม่เชิง” เจนศิลป์ยิ้มตอบ

                      เจนศิลป์สังเกตว่าสินค้าส่วนใหญ่ของที่นี่นั้นจะเป็นเสื้อผ้าตามแฟชั่นเสียมาก รองลงมาก็เป็นพวกเครื่องประดับ เข็มขัด เครื่องเงินที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าว่าแท้ไม่มีเหลืองไม่มีลอก ต่อลงมาอีกก็เป็นพวกรองเท้า และสุดท้ายก็เป็นของกิน บุหรี่แปลก ๆ โถรูปทรงประหลาด

                      “เขาเรียกมะละกูด” พิราบเอ่ยเมื่อเห็นเจนศิลป์หยุดดู “ดูดแล้วแม่งโครตเปื่อยอะ” ต่อลงมาอีกก็เป็นพวกของเล่น ของละเมิดลิขสิทธิ์จำพวกซีดีเพลง หนังอย่างว่าที่ขายกันอย่างถึงตัวกลุ่มเป้าหมายชนิดที่คนจบปริญาเอกการตลาดยังต้องยอมสิโรราบ

                       “น้องโป๊มั้ยน้อง....”ชายหนึ่งเอ่ยขึ้นพรางใช้แขนโอบคอเจนศิลป์ไว้ราวกับรู้จักคุ้นเคยกันมาเป็นสิบปี ในมือก็ถือซองหนังอย่างว่าปากก็โอ้อวดสัพคุณต่าง ๆ ทั้งลีลา เชื่อชาติ หรือแม้แต่สายพันธุ์ของสิ่งที่ร่วมรัก
แต่เจนศิลป์ดูจะไม่สนใจตัวสินค้ามากนักแต่ดูจะงงงันกับมิตรภาพอันแน่นแฟ้นที่อีกฝ่ายให้มามากกว่า

                       “ไม่เอาครับพี่ ไม่เอา” เสียงพิราบที่หันมาเห็นเข้าเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียก่อนจะดึงแขนของเจนศิลป์ออกเดินไป

                       “เขาขายกันแบบนี่เลยหลอ....ไม่หลัวถูกตำรวจจับหรือไง” เจนศิลป์เอ่ยพรางหันไปมอง ชายคนนั้นยังคงกวักมือและร้องเรียกเขาอยู่

                      “จะไปกลัวทำไมเล่า....”อีกฝ่ายตอบยิ้ม ๆ “ตำรวจมันก็ดูเหมือนกัน ทำอย่างกับมันไม่ดู......เฮ้ย...ร้องเท้าสวยดี....เดี๋ยวเราดูรองเท้าก่อนนะ” จบคำอีกฝ่ายก็เดินเข้าไปในร้านรองเท้าที่มีทั้งตั้งทั้งแขวนเต็มไปหมด เจนศิลป์มองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกมาหยุดที่ร้านติดกัน

                       ร้านที่ตั้งอยู่ติดกันนั้นเป็นร้านขายเครื่องกระดับเงิน ทั้งต่างหู แหวน สร้อย สินค้าถูกวางอยู่บนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำอย่างดีตัดกับสีเงินแวววาว บ่างก็วางอยู่ในตู้กระจกหน้าคนขาย

                       “เงินแท้นะน้อง ใส่แล้วไม่เหลืองไม่ลอก” เสียงคนขายที่เป็นชายตัวดำท้วมเอ่ยขึ้นหลังจากกลืนเส้นก๋วยเตียวที่ค้างอยู่ในปากจนหมดและมันนับเป็นรอบที่ร้อยแปดแล้วที่ชายหนุ่มได้ยินแบบนี้ เขาจึงแค่ยิ้มและพยักหน้าโดยไม่มองอีกฝ่าย ตาก็มองดูไปตามแถวเครื่องประดับเหล่านั้นอย่างไม่นึกอยากได้อะไรเป็นพิเศษ จนสายตาเขามาหยุดอยู่ที่แหวนวงหนึ่ง มันเป็นแหวนทรงสี่เหลี่ยมดูแปลกตา ผิวเรียบไม่มีลวดลายอะไรแต่ด้วยรูปทรงนั้นทำให้มันดูโดเด่นกว่าวงอื่น ๆ

                        เจนศิลป์หยิบขึ้นมาดู รูสวมดูออกจะเล็กไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับรูปทรงด้านนอก

                        “ชอบหลอ.....”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เจนศิลป์หันไปมองจึงรู้ว่าเป็นพิราบ

                        “อ้าว....ได้รองเท้าหรือเปล่าละ”เจนศิลป์เอ่ยพรางมองอีกฝ่าย

                        “นี่ไง....”พิราบตอบพรางยกถุงรองเท้าขึ้นให้ดูก่อนจะถามขึ้น “แล้วไงละ....ชอบวงนี้หลอ”

                        “อือ...แต่คงเล็กไป”

                        “แล้วลองใส่หรือยังละ...ถ้าไม่ลองก็จะรู้ได้ไง พี่...ลองใส่ได้มั้ยครับ” พิราบเอ่ยอย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบจากเจนศิลป์ คนขายพยักหน้าทั้งที่เส้นก๋วยเตี๋ยวคาปากอยู่ พิราบจึงคว้าแหวนจากมือของเจนศิลป์ไป
 
                        “แหวนแบบนี้เขาต้องใส่นิ้วโป้งกัน...”พิราบว่าพรางลองใส่เข้าไปที่นิ้วโป้งของเจนศิลป์แต่ไม่ได้เพราะแหวนเล็กเกินไป
 
                       “ก็บอกแล้วว่าแหวนมันเล็กไป.....มาเดี๋ยวเราลองใส่เอง”เจนศิลป์เอ่ยอย่างหัวเสียเล็กน้อย

                       “งั้นก็ลองนิ้วอื่นดูแล้วกัน” พิราบไม่ยอมให้แหวนแก่อีกฝ่าย เขาลองใส่เข้าไปที่นิ้วก้อย

                       “หลวม...”เจนศิลป์เอ่ยบอกอีกฝ่าย พิราบจึงขยับมาอีกหนึ่งนิ้ว

                      “นี่ไง ใส่ได้แล้ว” พิราบเอ่ยพรางยิ้มก่อนที่จะรู้ว่าตอนนี้แหวนวงนั้นอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเจนศิลป์ เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาประหลาด ทั้งสับสน และไม่แน่ใจ

                      “เราว่านิ้วนี้ไม่ค่อยดีว่ะ....ลองนิ้วอื่นดีกว่า” จบคำพิราบก็ดึงแหวนออกจากนิ้วของเจนศิลป์ แต่มันติดอยู่ที่ข้อนิ้วไม่สามารถเอาออกได้ ทั้งคู่ลองเอาออกอยู่นานจนเสียงพ่อค้าเอ่ยขึ้น

                      “แหวนมันติดแล้วละน้อง ของมันเจอะเจ้าของแล้วอย่าไปฝืนมันเลย ซื้อไปเถอะ”

                      พิราบมองหน้าของเจนศิลป์ที่ตอนนี้สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ได้ ๆ เอาแต่มองไปที่แหวนวงนั้น และความไม่แน่ใจก็เริ่มปรากฏขึ้นในหัว เขากำลังทำอะไรอยู่นะ....ก็แค่แหวนวงเดียวไม่ใช่หรือ...หรือมันมีความหมายมากกว่านั้นกัน

                      “เท่าไรครับพี่” พิราบเอ่ยพรางล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา

                     “เฮ้ย...ไม่เป็นไร เราออกเองก็ได้...”

                     “ไม่ต้องหลอก”ว่าแล้วก็ควักเงินออกมาจ่ายให้คนขาย และทั้งคู่ก็เดินจากมา

                      พิราบพาเจนศิลป์เดินไปจนทั่วโดยที่เริ่มพูดน้อยลงทุกทีจนเจนศิลป์รู้สึกได้ ทั้งคู่เข้าร้านนั้นออกร้านนี้อีกสามสี่ร้านจนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนนี้สิ่งของเริ่มเต็มไม้เต็มมือไปหมดอีกทั้งขาก็เริ่มล้าหมดแรงก้าว เขาทั้งสองจึงพากันหย่อนกายลงนั่งริมโป๊ะเรือ มันยื่นเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ในเวลานี้ดูเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด ท้องน้ำมือมิดไร้วี่แววชีวิตได ๆ เสียงน้ำกระทบตัวกันเบา ๆ ใต้โป๊ะฟังดูน่าขันปะปนไปกับเสียเพลงเบา ๆ ที่ลอยตามลมมา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นสะพานพุธทอดตัวยาวออกไปจนถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ แสงไฟจากสะพานยังคงส่องสว่างแม้ว่ายวดยานจะน้อยลงแล้วก็ตาม

                       เจนศิลป์จ้องมองดูแหวนที่อยู่บนมือพรางหมุนมันไปมา “ขอบใจนะเรื่องแหวน”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา

                      “เฮ้ย...ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก อีกอย่างเราก็เป็นคนทำมันติดเราก็ต้องรับผิดชอบสิ”อีกฝ่ายยิ้มเป็นคำตอบ ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เจนศิลป์จะหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบอีกฝ่ายหันมาเห็นเข้าจึงเอ่ยถามขึ้น “คอมสูบบุหรี่ด้วยหลอ”
 
                       “อือ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะปล่อยควันสีขาวออกมา

                        “สูบมานานหรือยัง กี่ปีแล้ว” อีกฝ่ายถามต่อ

                        “ก็...”เจนศิลป์กลอกตาขึ้นด้านบนคล้ายนึกอะไรบางอย่าง “....สักม.สอง ม.สาม ได้มั้ง”

                        “โห...งั้นก็นานแล้วสิ” ชายหนุ่มเอ่ย “ทำไมต้องสูบละ...เครียดหลอ”

                       เจนศิลป์ยิ้มน้อย ๆ พรางเขี่ยบุหรี่ลงแม่น้ำด้านล่าง “ก็ไม่เชิงหลอก”

                       “งั้นสูบทำไมละ”พิราบเอ่ยคล้ายคาดคั้น

                        เจนศิลป์เงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “บางครั้งเวลาสูบบุหรี่มันก็เหมือนได้หยุดพักนะ...มันช่วยให้เราลืมปัญหาต่าง ๆ ไปพักหนึ่งก่อนจะเริ่มทำอะไรต่อไป”

                         พิราบเสมองไปทางอื่นคล้ายใช้ความคิด“งั้นคอมก็มีเรื่องต้องคิดมากนะสิ...เครียดเรื่องอะไรละ บอกได้หรือเปล่า...”

                         เจนศิลป์ถอนหายใจน้อย ๆ “ที่บ้าน งาน เงิน ทุกอย่างนั้นละ”

                         “เงินด้วยหลอ...อ้าวที่บ้านไม่ได้ให้เงินใช้หรือไง”

                         “ก็ไม่เชิงหลอก....”เจนศิลป์พูดเสียงสูง สีหน้าดูเรียบเฉยอย่างประหลาด “ที่บ้านเรามีแค่เรากับแม่ แม่เราเขาก็ไม่ค่อยสบาย เราก็ต้องหางานทำเอาเงินมาใช้”

                          “อ้าว แล้วญาติละ....เขาไม่ช่วยไม่อะไรเลยหลอ” พิราบถามต่อ

                           “เขาก็ช่วยบ่าง แต่เราก็ไม่อยากเป็นภาระเขามากนะ อย่างอาหมอที่หนึ่งเจอะวันนั้นเขาก็ช่วยนะ แต่เราไม่อยากให้เขาเดือดร้อน”

                            “งงว่ะ...” อีกฝ่ายพูดพรางยิ้มและเกาหัวตัวเองไปมา “เขาให้ คอมก็น่าจะรับไว้นะ”

                           เจนศิลป์ถอนหายใจอีกครั้งคล้ายหนักใจก่นจะเอ่ยต่อด้วยเสียงราบเรียบ “หนึ่งพูดได้ก็เพราะว่าหนึ่งมีมากไง แต่กับเรา เราคงทำไมได้หลอก ถ้าไปเอาของเขามามาก ๆ มันก็เหมือนต้องพึ่งเขาตลอดไป มันจะเคยตัว สู้เราหาเอง ใช่เอง คิดเอง ทำเองดีกว่า”

                            จบคำทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งจนเจนศิลป์เริ่มคิดว่าสิ่งที่เขาพูดไปนั้นอาจจะรุนแรงจนไปทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายก็เป็นได้

                             “แต่ของบางอย่าง มีมากก็ใช่ว่าจะแทนของบางอย่างได้นะ” ในที่สุดพิราบก็เอ่ยขึ้น “อย่างเวลาเหงา ๆ มีเงินมากแค่ไหน ก็ทำให้มันหายไปไม่ได้หลอก”

                              “อย่างหนึ่งนะหลอเหงา” เจนศิลป์เอ่ยพรางยิ้มน้อย ๆ คล้ายดีใจ “ไอ้เราก็คิดว่าจะเพื่อนมีแฟนเยอะสะอีกนะ”

                               พิราบยิ้มและหัวเราะออกมา “มันก็มีนะน่ะ....แต่บางทีคนเยอะคนน้อยมันก็ไม่เกี่ยวหลอก บางครั้งคนเยอะ ๆ มันก็ทำให้เหงากว่าเวลาเราอยู่คนเดียวก็มี”

                               เจนศิลป์พยักหน้าคล้ายเข้าใจก่อนที่ทั้งคู่จะเงียบไปอีกครั้ง

                               “แล้วคอมละ ไม่มีแฟนหลอ”

                               เจนศิลป์ส่ายหัวน้อย ๆ พรางยกบุหรี่ขึ้นสูบ

                                “ทำไมละ...อย่างคอมนี่ก็ใช่ว่าเป็นคนไม่ดีนะ หน้าตาก็ดี ขยันก็ขยัน คิดว่าจะมีสาวติดเยอะสะอีก”

                               “ไม่มีหลอก....วัน ๆ ทำแต่งานอย่างเดียว ไม่มีเวลาไปหา” เจนศิลป์ตอบยิ้ม ๆ พรางพ่นควันออกมาจากปาก“แล้วหนึ่งละ ไม่มีแฟนหลอ”

                                อีกฝ่ายถอนหายใจยาว“ไอ้ที่ประเดี๋ยวประด๋าวมันก็มีนะ...แต่ที่เป็นตัวเป็นตน คิดจริงจังอะไรด้วยมันก็ยังไม่มี”

                                “ทำไมละ” เจนศิลป์ว่าพรางมองหน้าพิราบ

                                “ยังไงดีละ....ก็” อีกฝ่ายเกาหัวและยิ้มน้อย ๆ “....มันเหมือนยังไม่เจอะละมั้ง”
ไม่ทันที่จะว่าอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ของเจนศิลป์ก็ดังขึ้น เขาหันไปยิ้มกับพิราบก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อผู้โทรเขามาคือธารา พลันทำให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ เขาลืมบอกพิราบไปว่า สาริณี ธารา และกิตติจะมาด้วย

                                “เดี่ยวเรามานะ” ชายหนุ่มเอ่ยพรางเดินออกมาปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียว

                                พิราบมองตามหลังของเจนศิลป์ไปพักหนึ่งก่อนจะเสมองออกไปยังท้องน้ำเบื้องหน้า มันดูดำมืดและหดหู่ไม่ต่างจากอารมณ์ความรู้สึกของเขาในตอนนี้

                                 เขาต้องการอะไรกันแน่.....มันคือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขานับตั้งแต่คืนวาน เขาต้องการอะไรกับความสัมพันธ์อันนี้ เขาต้องการอะไรจากอีกฝ่าย เขาต้องการอะไรจากการได้อยู่ใกล้กับชายคนนั้น...ชายหนุ่มไม่อาจจะหาคำตอบได้ ความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่ายนั้นมันยากเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด อีกทั้งตอนที่แหวนนั่นถูกใส่เข้าไปที่นิ้วของเจนศิลป์ ทำไมใจเขาถึงกระตุกแข็งราวกับหวาดกลัว มันก็เป็นเพียงแหวนวงหนึ่งที่ใส่ได้พอดีกับนิ้วนางไม่ใช่หรือ มันเป็นเพียงเท่านั้น แต่ทำไมเขาต้องรู้สึกราวกับมันบ่งบอกถึงบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น ชายหนุ่มไม่อาจจะรู้ได้ และไม่อาจจะรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร เขาจะรู้สึกไม่แน่ใจแบบนี้หรือเปล่า กลัวสิ่งที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า ไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองรู้สึกอับอีกฝ่ายหรือเปล่า
นับตั้งแต่เขาเกิดมาบนโลกใบนี้เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นเป็นบางอย่างที่แตกต่างจากสิ่งที่ติดตัวมา เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็นคนที่นึกรักในเพศเดียวกันหรือบางสิ่งที่เหมือนหรือคล้ายสิ่งนั้น เขาแน่ใจว่าตัวเองนั้นชื่นชอบในสิ่งที่เพศตรงข้ามมี ทุกสัดส่วน ทุกสัมพัทธ์ ทุกความรู้สึก เขาชอบสิ่งเหล่านั้นและตลอดมาเขาหื่นกระหายใคร่ได้พวกเธอเหล่านั้นเสมอมา

                              แต่เขาเคยรักพวกผู้หญิงเหล่านั้นด้วยหรือ....คำตอบนั้นเขารู้อยู่เต็มหัวใจ เขาไม่เคยนึกรักพวกผู้หญิงเหล่านั้นแม้แต่น้อย สำหลับเขาแล้วพวกเธอก็เป็นเหมือนเครื่องช่วยหายใจให้เขาข้ามพ้นช่วยเวลาที่ยากลำบาก ช่วยให้เขาสามารถทนอยู่กับค่ำคืนหนึ่งไปได้อีกคืน ช่วยให้เขาไม่ต้องอยู่คนเดียวและเอาแต่ครุ่นคิดถึงแต่ความเป็นจริงของโลกไปนี้ ครุ่นคิดว่าทำไมเขาต้องอยู่คนเดียวและถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งของไร้ชีวิตเย็นชืดที่แค่สัมพัทธ์ก็ชวนขยะแขยง ทำไมเขาต้องอยู่บนโลกนี้ที่แสนโดดเดี่ยวและอ้าวว้าง......ทำไมเขาต้องเหงาด้วย....
แต่เมื่อชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นในชีวิตเขา มันเหมือนกับว่ามีบางอย่างมาดึงเขาขึ้นมาจากห้วงแห่งความคิดและความรู้สึกเหล่านั้น ค่ำคืนที่เคยยาวนานราวกับไม่มีวันจบสิ้นกลับกลายเป็นเพียงชั่วพริบตา วันเวลาที่เคยหมุนผ่านไปโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางทั้งที่ที่เขาไม่ต้องการกลับกลายเป็นเขายอมทำทุกวิทีทางเพื่อให้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของอีกฝ่าย ทั้งโกหกหรือยื่นขอเสนอที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสปฎิเศษ และทั้งที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายเพียงไม่กี่วันแต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายรู้สึก ความอ้างว้างที่อีกฝ่ายมีมันบ่งบอกออกมาทางสายตานั่น รอยยิ้มที่อีกฝ่ายมีมันดูเหมือนฝืนทนและเย้ยหยันโลกใบนี้หากแต่แท้ที่จริงแล้วมันคือความโดดเดี่ยวที่อีกฝ่ายเผชิญ ความหยิ่งทรงนั้นก็เป็นเหมือนเกราะแก้วบาง ๆ ที่ห่อหุ้มชายคนนั้นเอาไว้

                                สำหลับเขาแล้วชายคนนั้นเป็นเหมือนกับกระจกเงาที่สะท้อนภาพของตัวเขาเองกลับหัว.....ถึงแม้ว่าจะเหมือนกันอยู่บ่าง แต่เขาทั้งสองก็แตกต่างกันอยู่ดี

                                พิราบยันตัวเองลุกขึ้นยืนพรางใช้มือทั้งสองข้างถูหน้าและดวงตาของตัวเองไปมา เขาไม่อยากจะคิดถึงสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว มันจะเป็นอย่างไร แบบไหน เขาไม่อยากสนใจ เพราะในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข เขาก็อยากจะทำมันต่อไป อีกฝ่ายหรือคนนับสิบนับล้านจะคิดแบบไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาและเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่เขามีให้กับอีกฝ่ายจะเป็นความรู้สึกที่คนเหล่านั้นคิด

                                  พิราบเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่วันนี้บางเบาราวกับเส้นผมที่โค้งงอดูสวยอย่างประหลาด อาจเพราะจันทร์เสี้ยวก็ได้กระมั้งที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ ครุ่นคิดถึงแต่สิ่งนี้

                                   ชายหนุ่มสดุ้งอย่างตกใจก่อนจะมองไปรอบตัวคล้ายหาอะไรบางอย่าง 

                                   “เพื่อนเรามาหานะ...”เสียงเจนศิลป์ดังมาจากด้านหนึ่ง ชายหนุ่มหันไปทางต้นเสียงนั้น “เราลืมบอกหนึ่งไปว่าเราชวนเพื่อนมาด้วย.....ไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”

                                   “ฮะ...อ๋อไม่เป็นไร”พิราบเอ่ยตอบ “แล้วตอนนี้เพื่อนคอมอยู่ไหนละ ถึงหรือยัง”

                                   “อือ...เห็นบอกว่าอยู่แถวลานพระรูป....ไกลหรือเปล่า”

                                   “ไม่หลอก เดินไปก็ถึง...งั้นก็ไปกันเถอะ”ว่าแล้วเขาก็ก้มตัวลงคว้าถุงสิ่งของต่าง ๆ และออกเดินไป


........................................................................

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามารายงานตัวว่าอ่านแล้วครับ ยังชอบเหมือนเดิม  :m1:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
มาแล้วครับ


                 ลานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้นเป็นลานกว้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เปิดโล่งให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนและปรกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่มากมายดูร่มรื่น ด้านในตรงกลางของลานนั้นมีพระบรมรูปสีดำสนิทของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชประทับนั่งบนบันลังทอดพระเนตรออกไปด้านหน้าคล้ายต้องการตัดสินผู้ที่เดินเข้ามาในบริเวณนี้ ยิ่งในเวลากลางพระบรมรูปยิ่งดูเหมือนเงาสีดำขนาดใหญ่เสียดแทงขึ้นไปในอากาศดูแล้วน่ากลัวและน่าเกรงขามอย่างประหลาด รอบ ๆ บริเวณนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทำให้เกิดมุมมืดที่พอมองเห็นได้ว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเงาดำมากมายที่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจนัก

                       สาริณี กิตติ และธารานั่งอยู่ตรงบันไดหน้าพระบรมรูป ที่ ๆ ดูแล้วน่าจะอันตรายน้อยที่สุด สว่างมากที่สุด และปลอดภัยมากที่สุด

                       พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความเงียบงันและบรรยากาศที่ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แม้มันจะเบาบางแต่สาริณีก็รู้สึกได้ ความเครือบแครง ความสงสัย ความไม่แน่ใจปรากฏขึ้นในใจเธอนับตั้งแต่ชายคนนั้นเอ่ยคำนั้นออกมา เขารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะหรือ รู้สึกอย่างที่คำ ๆ นั้นให้ความหมายนะหรือ มันเร็วไปหรือเปล่าที่ชายคนนั้นจะเอ่ยคำนั้นออกมา หรือมันเป็นเพียงลมปากที่ไม่มีความหมายได ๆ หรือมันเป็นฝางเส้นสุดท้ายของเขาคนนั้น เธอไม่รู้จริง ๆ

                      “มาแล้ว...”เสียงธาราเอ่ยพรางลุกขึ้นจนสาริณีต้องออกจากภวังค์ เธอมองไปตามสายตาของอีกฝ่ายจึงเป็นร่างเงาดำ ๆ สองร่างเดินมาแต่ไกล ไม่นานเธอจึงได้รู้ว่าหนึ่งในสองร่างนั้นเป็นเจนศิลป์
วันนี้เขาสวมเสื้อแขนยาวหนา ๆ เก่า ๆ ลายทางขวางกับกางเกงยีนส์ตัวเดิมและรองเท้าแตะหูหนีบดูให้ความรู้สึกมอซออย่างประหลาด ขัดกับอีกร่างที่เดินมาคู่กัน เขาเป็นชายหนุ่มท่าทางหน้าตาดี ผิวขาวและสูงพอ ๆ กับเจนศิลป์ สวมเสื้อยืดคอปกกับกางเกงยีนส์ดูเข้ากันและเหมอะสมกับทรงผมสั้นและรูปร่างที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย

                        คงรวยน่าดู สาริณีประเมินชายคนนั้นจากสายตาก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงหันไปและเห็นกิตติมองดูเธอจากด้านหลังด้วยสายตาราบเรียบ หญิงสาวจึงก้าวถอยลงมาและจับมือเขาไว้แน่นก่อนยิ้มน้อย ๆ เป็นเชิงตอกย้ำว่าเธอจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

                         “รอนานมั้ย”เจนศิลป์เอ่ยถามคนทั้งสามพรางยิ้ม

                         “ไม่หลอก.....”ธาราว่าพรางมองอีกฝ่าย วันนี้เธอดูมีบางอย่างแปลกไปจนเจนศิลป์สังเกตเห็น เสื้อยืดพอดีตัวสีขาวดูน่ารักเข้ากันดีกับกระโปรงจีบยีนส์ตัวสั้นและรองเท้าผ้าใบ ถึงเธอจะอายุยี่สิบแล้วแต่ด้วยรูปร่างที่เล็กทำให้มันดูเหมอะสมและเข้ากับเธอเป็นอย่างดี “วันนี้ธาสวยจังนะ...”ชายหนุ่มว่าพรางยิ้ม

                          “หลอ” อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ และก้มหน้าลงอย่างเขินอาย

                          “แล้ว นี่เพื่อนมึงหลอ” กิตติเอ่ยขึ้นพรางกุมมือของสาริณีไว้แน่น

                         “อือ...นี่หนึ่งเพื่อนกูแถวบ้าน”ชายหนุ่มว่า “หนึ่งนี่เพื่อนเราที่เรียนเซ็กเดียวกัน นี่ธา สา แล้วก็เม่น”
ทั้งหมดยกมือขึ้นและผงกหัวเป็นเชิงทักทาย

                          “โห....แล้วนี่ซื้อของกันสนุกเลยสิเนี้ย” สาริณีเอ่ยพรางมองไปยังมือทั้งสองข้างของพิราบ “ไรว้า ไม่รอกันมั้งเลย”

                          “แล้วกว่าพวกคุณ ๆ ท่าน ๆ จะมากัน นี่มันกี่ยามแล้วละครับผม” เจนศิลป์เอ่ยพรางยิ้ม

                          “เออ ๆ พวกกูผิดเองละ”สาริณีตัดบททำหน้ามุ่ย “แล้วจะไปกันยังละ....                 
 
                    “อือ ๆ “เจนศิลป์ร้องก่อนจะออกเดินตามกิตติและสาริณีไปก่อน ไม่นานเขาก็สังเกตุเห็นมือของทั้งที่สองเกาะกุมกันไว้แน่น

                         “ธา”ชายหนุ่มเอ่ยพรางมองไปทางร่างที่อยู่ด้านข้างของตัวเองก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงดังเล็กน้อย “วันนี้คนเยอะนะ ต้องจับมือกันไว้เดี๋ยวหลง”

                         สาริณีและกิตติหันมาคล้ายรู้ถึงความหมายนั้น “อะไรของมึงไอ้คอม” กิตติพูดพรางยิ้มเขิน ๆ

                         “เปล้า กูพูดไปงั้นละ เห็นแล้วเลี่ยน” ว่าแล้วคนทั้งหมดก็หัวเราะ

                         “แล้ว...”ธาราเอ่ยขึ้นพรางมองมายังเจนศิลป์และพิราบ “คอมกับหนึ่งรู้จักกันมานานแล้วหลอ”
เจนศิลป์เมื่อได้ฟังคำถามก็ยิ้มแห้ง ๆ กับพิราบ “ก็...ตั้งแต่เราโดนหนึ่งขับรถชนหัวแตกละ”

                         “เอ้า...หลอ”ธาราได้ฟังก็ยิ้มตามคล้ายรู้ว่าตนถามคำถามที่มี่ควรออกไป จึงเปลี่ยนเรื่องคุยแทน “แล้วหนึ่งเรียนที่ไหนหลอ....”

                          “สุวรรณพิทักษ์ ครับ” พิราบตอบ “นิเทศ โฆษณา”

                          “อือ...” ธาราเอ่ย

                          “แล้วนี่เรียนเซ็กเดียวกันหมดเลยหลอครับ”พิราบเอ่ยถามบ่าง

                          “อือ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วละ”หญิงสาวเอ่ยตอบ

                          “ทำไงก็หนีไม่พ้น สงสัยทำกรรมร่วมกันมามากมั้ง”เจนศิลป์พูดขึ้นพรางหัวเราะเช่นเดียวกับธาราและพิราบ

                          ทั้งหมดเดินกันไปตามฝูงผู้คนที่ยิ่งดึกก็ยิ่งมากขึ้นทุกที ปากก็พูดคุยกันไปตามเรื่องต่าง ๆ ดูแล้วไม่ค่อยมีสาระอะไรมากเท่าไรนัก นานครั้งธาราจะเงียบไปและเฝ้ามองพิราบและเจนศิลป์จากด้านหลังพรางพยายามคิดว่าสิ่งบาง ๆ ที่เชื่อมคนทั้งสองนี้ให้เข้ากันคืออะไร

                          เธอรู้สึกถึงมันนับตั้งแต่คำแรกที่เจนศิลป์แนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก ทุกน้ำเสียงในทุกคำพูดมีบางสิ่งปะปนออกมาอย่างเบาบางจนเธอนึกสงสัย ในสายตาที่ทั้งสองมองกันที่แม้จะดูไม่มากมายแต่ก็มากพอที่เธอจะสังเกตุเห็น ในการสนทนาที่ดูเหมือนเจนศิลป์จะไม่สนใจในคำพูดของอีกฝ่ายมากนักแต่กลับนิ่งฟังและตอบทุกคำได้อย่างไม่มีหลงประเด็น อีกทั้งรอยยิ้มนั้น รอยยิ้มที่ธาราเห็นไม่บ่อยนักจากเจนศิลป์รอยยิ้มที่ไม่ดูเหมือนสมเพชและเวทนาตนเอง รอยยิ้มที่ไม่ฝืนทนและเหมือนพยายามแบกรับโลกใบนี้ไว้

                          หญิงสาวพยายามนึกหาคำตอบของคำถามนั้นแต่ในทุกคำตอบที่เธอหาได้มันก็ไม่มีเลยแม้แต่คำตอบเดียวที่จะทำให้เธอพอใจ

                          หญิงสาวมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อโทรศัพท์ของพิราบดังขึ้น มันบอกเวลาเทียงคืนสิบห้านาที

                          “เออว่าไง....สะพานพุธ ทำไม.....เออ มึงเมาป่าวว่ะเนี้ย......อะไรของมึง......มึงอยู่ไหนละ” พิราบว่าพรางมองไปรอบตัว “เซเว่นไหนว่ะ....อ๋อ ไอ้ตรงร้านขนมจีนนะน่ะ.....เออ ๆ เดี๋ยวกูไป”

                           จบคำพิราบก็หันมาทางเจนศิลป์ “คอมไปกับเรามั้ย...เพื่อนเรามาหา จะได้แนะนำให้รู้จัก...เม่น สา ธา ด้วย ไปมั้ย” น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นดูตื่นเต้นและดีใจจนธาราไม่เข้าใจแน่ว่าเพราะอะไร

                             “อือ...ไปก็ได้ ยังไงเดี๋ยวพวกเราก็กลับกันและแล้วละ...ร้านมันเริ่มปิดกันแล้ว”เสียงแม่นว่าพรางหันมามองที่สาริณี ก่อนที่คนทั้งหมดจะออกเดินไป

                              เมื่อมาถึงหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ภาพของชายราวสามสี่คนที่นั่งอยู่ตรงบันไดหน้าร้านก็ปรากฏแก่สายตา บ่างก็สูบบุหรี่ บ่างก็ยกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่ม ดูแล้วให้ความรู้สึกอันตรายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นร่างของพิราบเดินมา ชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นและเดินทรงมาที่อีกฝ่าย

                              “เชี้ยไรเนี่ย ไหนว่าพวกมึงไม่เมากันมาไง” พิราบเอ่ยอย่างหัวเสียและมองไปที่กลุ่มคนที่ยังนั่งอยู่ด้านหลัง

                              “กูอะไม่เมา” องอาจว่าพรางทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นและใช้เท้าขยี่จนแหลก “แต่เพื่อนมึงอะ เมาแล้วนักเลงชิบหาย แม่งจะไปมีเรื่องกันพับ หาตีนมาให้พวกกูซะงั้นอะ”

                              พิราบฟังพรางมองไปยังตัวปัญหาที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดพรางโอบหญิงสาวคนหนึ่งใว้ในอ้อมแขนปากก็กระซิบอะไรกันบางอย่าง เธอคนนั้นดูไม่ค่อยมีความสุขนักสังเกตได้จากใบหน้าที่เสหันออกไปทางอื่นและท่าทางที่ดูไม่สบายตัว

                               “มันพาผู้หญิงที่ไหนมาด้วยว่ะ” พิราบเอ่ยพรางหันกลับมามองที่องอาจ

                               “กูก็ไม่รู้....พอแม่งออกมาก็จะมาหามึงลูกเดียวเลย พวกกูก็ไม่รู้จะทำไง มึงช่วยไปเครียร์หน่อยดิว่ะ”

                               “เครียร์เหี้ยไร มึงก็รู้ว่าเวลาแม่งเมาแม่งฟังใครที่ไหน.....”น้ำเสียงของพิราบฟังคุ่นเคืองไปด้วยโทสะ
จบคำอีกฝ่ายก็นิ่งเงียบไปพรางเกาหัวตัวเองไปมาอย่างแรงคล้ายจนปัญญาก่อนสายตาจะหันไปเห็นกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของพิราบ

                               “เพื่อนมึงหลอ”องอาจเอ่ยถาม

                               “เออ” พิราบหันไปมองคล้ายลังเลก่อนจะเดินนำองอาจเข้าไปหาคนทั้งหมด

                               “นี่เพื่อนเรา ชื่อฟ้า ไอ้ฟ้า นี่คอม ธา สา แล้วก็เม่น เพื่อนกูแถวบ้าน....”

                               องอาจยิ้มพรางผงกหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย “ขอโทษด้วยนะ...พอดีเพื่อนเรามันเมากันมา....ทำพวกนายเสียอารมณ์กันหมดเลย”

                               “ไม่เป็นไรหลอก....อย่าคิดมากไปเลย”สาริณีว่าพรางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองกิตติที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
   
                                แต่ในตอนนี้ดูเหมือนสติและวิญาณของกิตติจะหลุดลอยไปไกลจนยากที่หญิงสวาวจะดึงกลับมาได้ ดวงตาที่มองออกไปนั้นเบิกโพรงราวกับตกใจ หัวคิ้วผูกเข้าหากันแน่นอย่างเปี่ยมไปด้วยโทสะ ริมฝีปากบางซีดเผยอออกก่อนที่คำ ๆ หนึ่งจะเล็ดลอดออกมาอย่างบางเบา

                   “แมว”จบคำกิตติก็ปล่อยมือจากสาริณีและเดินดุ่มไปทางร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่ เขาหยุดตรงหน้าเธอห่างออกไปเพียงไม่กี่ช่วงก้าวก่อนจะเอ่ยชื่อนั้นอีกครั้ง หญิงคนนั้นหันมา วินาทีแรกมันว่างเปล่าก่อนจะแปลเปลี่ยนกลายเป็นสายตาที่แปลกประหลาดเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ปะปนไปมายุ่งเหยิง

                    “เม่น....”เธอเอ่ยเสียงเบาพรางลุกขึ้น “มาทำไรที่นี่”
   
                                “เราน่าจะถามแมวมากกว่านะว่ามาทำอะไรที่นี่” กิตติย้อนพรางจ้องมองอีกฝ่าย มองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นของเธอราวกับต้องการค้นหาวิญญาณและความจริงแท้ที่อีกฝ่ายหลบซ่อนมันอย่างมิดชิด
   
                                 “เฮ้ย...ไรว่ะ” ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หญิงสาวลุกขึ้นด้วยท่าทางโซเซไร้เรี่ยวแรง กิตติมองไปที่ร่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะละสายตากลับมาที่หญิงสาวราวกับชายคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง
   
                                 “ไหนว่าไม่มีอะไรกันไง”
   
                                 เธอคนนั้นนิ่งเงียบก่อนจะเสมองไปทางอื่นพรางยกมือขึ้นปัดผมที่ยาวระแก้มขึ้นทัดหู
   
                                 “มึงยุ่งอะไรกับเมียกูเนี่ย....”ชายคนนั้นเอ่ยอีกครั้งด้วยเสียงอันดังก่อนจะผลักกิตติให้ถ่อยห่างออกไป “อ๋อ....นี่ใช่มั้ยแฟนเก่าแมวที่ชื่อมงชื่อเม่นอะไรนั้นนะ ที่แมวว่าแม่งไม่มีน้ำยาใช่มั้ย”ชายคนนั้นเอ่ยพรางกระตุกยิ้ม “แค่ทำให้ผู้หญิงมีความสุขยังไม่ได้ มึงจะไปทำไรแดกว่ะ”

                   จบคำโทสะทั้งหมดของกิตติก็เอ่อล้นออกมาท้วมท้นจนกลืนกินสติทั้งหมดของเขาให้ตกอยู่ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวก่อนจะชุบย้อมจิตใจของชายหนุ่มให้ดำมืดและไร้สติ มือที่กำแน่นนั้นถูกส่งออกไปปะทะกับโหนกแก้มของอีกฝ่าย ชายคนนั้นเมื่อรู้ว่าถูกกระทำจึงหันมาและโถมร่างทั้งร่างเข้าใส่กิตติจนทั้งสองลงไปครุกฝุ่นอยู่กับพื้น กำปั้นของชายคนนั้นส่งออกมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกับกิตติที่สู้อย่างไม่คิดชีวิต ทั้งต่อย ผลัก และกระชาก
   
                               “ เฮ้ย....พอแล้ว” ไม่ทันจบคำของนาคินทร์ ร่างทั้งสองร่างก็ถูกมือของเจ้าของเสียงจับให้ออกจากกัน “เรื่องเฮ้ยไรเนี้ย”
   
                               “ไอ้สัตว์ มึงก็ถามแม่งสิ” กรเทพที่บัดนี้ถูกพิเชษคว้าตัวไว้เอ่ยเสียงดัง “เจ๊ดแม่ง อยู่ดี ๆ ก็ต่อยกู”
   
                               นาคินทร์มองไปยังกิตติที่บัดนี้ถูกทั้งพิราบและเจนศิลป์จับตัวไว้แน่น อีกฝ่ายจ้องกลับมาอย่างไม่กลัวเกรางพรางถ่มน้ำลายสีแดงสดและเม็ดฟันสีขาวลงพื้น นาคินทร์จึงหันไปพูดกับพิราบ “มึงพาใครมาด้วยเนี้ย ไอ้หนึ่ง”
   
                              “เพื่อนกูเองอ่ะ” อีกฝ่ายตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะถูกกิตติออกแรงสะบัดจนแขนของตัวเองหลุดออกจากพันธนาการ 
   
                              “แล้วมึงพาเพื่อนมึงมาต่อยเพื่อนกูเนี่ยนะ....”
   
                              พิราบดูจะตกใจและขุ่นเคืองในคำพูดของอีกฝ่ายมาก “เพื่อนมึงหลอ กูจะพาเพื่อนกูมาต่อยเพื่อนมึงทำต้นตีนอะไร เจ๊ดแม่ง รู้กูยังไม่รู้เลยว่าพวกมันต่อยกันเรื่องอะไร”
   
                              นาคินทร์เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองไปยังกิตติ “เฮ้ย.....มึงอ่ะ...ทำงี้หมายความว่าไงว่ะ”
   
                              กิตติไม่ตอบ เอาแต่จ้องมองไปยังกรเทพและหญิงคนนั้นด้วยสายตาดุร้ายราวกับสัตว์ป่า นาคินทร์มองตามไปจึงรู้ในที่สุด
   
                            “นี่เธอ...”นาคิทร์หันไปพูดกับหญิงคนนั้น “เธอรู้จักกับมันหรือเปล่า”

                             อีกฝ่ายไม่ตอบเอาแต่นิ่งเงียบ จนนาคินทร์เริ่มโมโหจึงพูดขึ้นอีกครั้งด้วยสียงอันดัง “เราพูดกับเธอนะ....ตอบสิ รู้จักมันมั้ย”

                              หญิงสาวตกใจจนสะดุ้งแต่ก็พยักหน้ารับ

                             “มันเป็นแฟนเธอใช่มั้ย”นาคินทร์เค้นต่อ

                              “แฟนเก่า”หญิงสาวตอบกลับมาด้วยเสียงเบาและดูไม่เต็มใจนัก แต่เพียงแค่นั้นก็เกินพอแล้วสำหลับกิตติเขามองเธอด้วยสายตางงงันอย่างสุดแสนพรางพยามคิดว่าสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คืออะไรกันแน่ สิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นจิตใจของเธอนั้นคือสิ่งใด เธอหลอกลวง ปั่นแต่งคำโกหกและใช้มันกับเขาเพื่ออะไร และเพราะอะไรทำไมเขาถึงเชื่อคำเหล่านั้น ...ชายหนุ่มละสายตาที่เริ่มเอ่อล้มด้วยน้ำใสอย่างจนปัญญาที่จะหาคำตอบก่อนจะหันหลังกลับและออกเดินจากไป.....

 
................................................................................

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






re_rain

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเรื่องนี้นะ  :pig4:สำหรับเรื่องดีๆ
อ่านแล้วให้ความรู้สึกหลายๆอย่างไม่รู้จิ บอกไม่ถูก :m29:
แต่ไงจะติดตามอย่างต่อเนื่องนะ

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณครับที่มาต่อ เริ่มเข้มข้นล่ะ  :oni2:

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
มาติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไปครับ  :oni2:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
ตอนใหม่ครับผม
                 

                     พิราบค่อย ๆ แตะเบรกให้รถชะลอตัวและหยุดสนิทที่หน้าบ้านของเจนศิลป์ คนทั้งสองเงียบไปนานปล่อยให้ความเงียบที่ชวนอึดดัดแผ่กระจายไปทั่วคันรถ เจนศิลป์นิ่งมองพิราบที่บัดนี้เอาแต่จ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยวงตาที่ไร้อารมณ์ เขาไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไรอยู่ หรือมันจะไม่มีอะไรอยู่เลยในดวงตาคู่นั้น
                    
                    “วันนี้.....”ในที่สุดพิราบก็เอ่ยขึ้นพรางหันมามองที่เจนศิลป์ “เราค้างบ้านคอมได้มั้ย”
   
                    จบคำเจนศิลป์ก็กระพริบตาถี่ราวกับไม่เชื่อหูพรางก้มหน้าหลบสายตาของอีกฝ่าย ดวงใจของเขาอุ่นชาอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันสั่นไหวและเต้นแรงราวกับตอบรับคำขอนั้นแต่เจนศิลป์ก็นิ่งเงียบไปและไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายปล่อยให้ความเงียบกลับมาบีบรัดคนทั้งสองอีกครั้ง
ในตอนนี้เจนศิลป์ไม่รู้แน่ว่าเขาต้องการอะไรจากความสัมพันธ์อันนี้และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขาพูดขอสิ่งนั้นออกมาเพื่ออะไร ...ใจหนึ่งเขาอย่างจะตอบรับคำขอนั้น หากแต่อีกครึ่งหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม เขากลัวสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สิ่งที่จะตามมา สิ่งที่เขารู้สึก มันใช่สิ่งนั้นหรือเปล่า หากใช่แล้วเขากำลังกลายเป็นอะไร

                      แต่มันต้องมีด้วยหรือ....ในที่สุดคำถามหนึ่งก็มาปลุกเจนศิลป์ให้ออกจากภวังค์....มันต้องมีสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นด้วยหรือ มันต้องมีสิ่งที่จะตามมาด้วยหรือ แล้วสิ่งที่เขารู้สึกมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาเข้าใจก็ได้
พิราบมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจพรางถอนหายใจ “เราแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวนะ.....อย่างน้อยก็อยากหาเพื่อนคุยด้วย....ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ”          
   
                       เจนศิลป์นิ่งไปอีกครั้งก่อนเอ่ยขึ้น “....งั้นหนึ่งก็ค้างกับเราก็ได้”จบคำเจนศิลป์ก็เปิดประตูรถและเดินออกมาปล่อยอีกฝ่ายนิ่งไปราวกับไม่แน่ใจก่อนจะขยับออกจากรถเช่นกัน
   
                        เจนศิลป์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบพวงกุณแจออกมาไขประตูบ้านโดยมีพิราบยืนอยู่ด้านหลัง และเมื่อประตูเปิดออกชายหนุ่มก็เดินนำอีกฝ่ายเข้ามาด้านในและไม่หันหลังไปมองอีกฝ่ายที่กำลังมองไปรอบตัวคล้ายสำรวจ
   
                         “เดี๋ยวหนึ่งนั่งรอเราแป็บหนึ่งนะ...”เจนศิลป์ว่าและหันมามองพิราบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าน้อย ๆ เขาจึงเดินขึ้นชั้นสองไป
   
                        เจนศิลป์เดินไปเปิดประตูห้องของหญิงกลางคนทันทีก่อนกลิ่นเหม็นฉุนแสบจมูกจะดันตัวเข้าปะทะหน้าชายหนุ่มอย่างแรง เขาเอื่อมมือไปกดสวิดไฟ มันกระพริบสองสามครั้งก่อนที่แสงสว่างจะสาดส่องขึ้น ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบห้องจนสายตามาหยุดอยู่ที่กับกองอาเจียนสีขาวที่นอนตัวอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ข้าง ๆ มีขวดเหล้าที่ด้านในว่างเปล่าวางอยู่ บนเตียงนั้นมีร่างของหญิงกลางคนนอนหลับคว่ำหน้าไม่ได้สติ ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ร่างนั้นพรางพลิกร่างให้นอนหงายขึ้น ดูเหมือนว่าเธอจะล้างตัวทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินออกมาคว้าถังน้ำใบเดินและลงมือทำความสะอาดกองของเสียนั้น
   
                       เขาไม่ชอบเวลาแบบนี้เลยแม้แต่น้อย.....เวลาที่มีคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราวและสถานการณ์ที่ชายหนุ่มพบเจอะมาที่บ้านและต้องรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะตามมาด้วยคำถามมากมายของคนเหล่านั้น

                       ทำไมแม่เป็นแบบนี้..........เป็นนานแล้วหลอ.........ทำไมถึงเป็นหนักขนาดนี้.......ไม่พาไปหาหมอหลอ..... ได้ยากินหรือเปล่า........ไม่หาจิตแพทย์มาหรือยัง

                       คนเหล่านั้นมักถามชายหนุ่มแบบนี้เสมอและเมื่อคำถามเหล่านั้นหมดไปมันก็จะตามมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วงที่แสนทรมารคล้ายคนเหล่านั้นไม่แน่ใจว่าควรอยู่ต่อหรือเปล่า และไม่นานพวกเขาก็จะรู้ในที่สุดว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ พวกเขาควรอยู่ก่อนจะตัดสินใจเดินจากไป

                        บางครั้ง คนเหล่านั้นจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ชายหนุ่มได้ฟังจนคุ้นชิน ด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างกัน ด้วยการสัมพัทธ์ที่เขาไม่รู้สึกถึงไออุ่นได ๆ

                     ..........ทนไว้นะ......อดทนไว้.......ยังไงก็แม่เรา.......อย่าทิ้งแม่นะ.........ต้องเข้มแข็งนะ......ดูแลแม่ดี ๆ
 
                     ทุกครั้งที่ชายหนุ่มได้ยินคำเหล่านั้น มันเหมือนเขาถูกหอกอันใหญ่ทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจ ทำไมคนเหล่านั้นต้องพูดสิ่งนั้นออกมาด้วย พูดออกมาราวกับว่าเขานั้นยังอดทนไม่พอ ยังเข้มแข็งไม่พอ ยังดูแลหญิงคนนั้นดีไม่พอ....ยังรักเธอไม่พอ..... คนพวกนั้นจะรู้อะไร พวกเขาก็เอาแต่แกล้งทำเป็นห่วงใยและห่วงหาทั้งที่แท้จริงแล้วก็ได้แต่พร่ำพูดคำที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองกลายเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น ทำให้ตัวเองดูเป็นคนดีที่ห่วงใยคนตกทุกข์ พวกเขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้และทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้พบเห็นสิ่งที่ชายหนุ่มเห็น ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาเข้าใจ แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นว่ารู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี แกล้งทำเป็นใส่ใจทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันก็เป็นได้แค่เพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะจากไป ทิ้งชายหนุ่มและมารดาให้อยู่กันตามลำพังเหมือนเดิมก่อนที่พวกคนเหล่านั้นคนใหม่จะย่างกลายเข้ามาในบ้านของเขา วนเวียนกลายเป็นวังวนอยู่อย่างนั้น

                     จนในที่สุด ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่าหากจะยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้นั้น ตัวเขาต้องเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ อย่าได้แสดงความอ่อนแอออกมาเด็ดขาด อย่าได้ให้ใครเห็นว่าเขาท้อแท้และสิ้นหวัง เก็บงำสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ในส่วนลึกที่ดำมืดอย่าให้มันแสดงตัวออกมา เขาไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร ไม่ต้องการความเห็นใจหรือช่วยเหลือ ไม่ต้องการให้ใครมารับรู้ถึงสิ่งที่เขาทำและทุ่มเท ไม่ต้องการให้ใครมาใส่ใจและไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไรหรือรู้สึกอย่าไรเขาก็จะรวบรวมความเข้มแข็งที่มีทั้งหมดและยืนขึ้นให้ได้

                      “คอม โทรทัศน์มัน.....”เจนศิลป์รีบเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นพิราบยืนอยู่หน้าห้องสายตาจ้องมองมายังหญิงคนนั้น เขามองเธอสลับไปมากับชายหนุ่มด้วยสายตางงงันและไม่เข้าใจ

                      “โทรทัศน์มันเป็นอะไรหลอ” เจนศิลป์เอ่ยขึ้นพรางโยนผ้าลงถังน้ำ เขาทำความสะอาดเสร็จพอดี

                      “มัน....ไม่มีช่องเคเบิ้ลหลอ” อีกฝ่ายถามต่อสายตาเลิกลักก่อนเซหลบเจนศิลป์

                       “ไม่มีหลอก....ถอยหน่อยสิ เราจะเอานี่ไปทิ้ง”

                       อีกฝ่ายถอยห่างออกไปจากประตูเปิดทางให้เจนศิลป์หิ้วถังน้ำไปที่ห้องน้ำ ไม่นานเขาก็ทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จโดยมีพิราบยืนมองอยู่ที่หน้าประตูและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

                       “เดี๋ยวเราอาบน้ำก่อนนะ...หนึ่งรอเราอยู่นี่ก็ได้” เจนศิลป์เอ่ยอย่างเร็วโดยไม่มองอีกฝ่ายก่อนเดินหิ้วผ้าเช็ดตัวหายไปในห้องน้ำ เมื่อเขามาถึงห้องของตัวเองอีกครั้งก็เห็นพิราบถอดกางเกงขายาวเหลือแต่กางเกงบ๊อกเซอร์ลายทางตัวสั้นกับเสื้อตัวเดิมนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างพรางมองออกไปด้านนอก ชายหนุ่มเดินหลบไปแต่งตัวอีกด้าน เขาหยิบเสื้อตัวหลวมยาวสีกลมท่ามาสวมกับกางเกงแตะบอลขาสั้นถึงหัวเข่า

                        “ดูอะไรอยู่”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพรางยกบุหรี่ขึ้นสูบ อีกมือก็ใช้ผ้าเข็ดตัวขยี้ผมที่สั้นตืดหนังหัวไปมา

                        “บ้านเราเอง” เขาว่าพรางชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปไม่มาก มันเป็นบ้านขนาดใหญ่ดูโอ่อ่าที่สุดในเขตหมู่บ้านจัดสรร ทั้งตัวบ้านที่ใหญ่เป็นพิเศษ ด้านหลังของตัวบ้านติดแม้น้ำเจ้าพระยาและมีชานที่ยืนออกไปจนลอยอยู่เหนือแม่น้ำ สีขาวของตัวตึกตัดกับกระจกสีดำที่รายล้อมอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังมีสีเขียวของต้นไม้ใหญ่น้อยประดับประดาอยู่ทั่วไปหมด

                         “บ้านหนึ่งใหญ่จังนะ....”เจนศิลป์เผลอพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายยิ้มแห้ง ๆ ก่อนตอบ

                        “ใหญ่ไปก็เท่านั้น....อยู่มันคนเดียวก็ไม่เข้าใจว่าจะใหญ่ไปทำไม”

                         ทั้งคู่เงียบไปทำให้เจนศิลป์ห้วนนึกถึงบรรยากาศเดิม ๆ ที่เริ่มกลับมาอีกครั้งจนเขารู้สึกได้ บรรยากาศอันกระอักกระอ่วงชวนทรมาร ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้ในสมองของพิราบคงจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายนับร้อยนับพัน มันคงเป็นคำถามเดิม ๆ ที่เขาเคยได้ยินจากพวกคนเหล่านั้นมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาจะไม่ยอมฟังมันอีกต่อไปแล้ว

                        “หนึ่ง...ไปล้างฟิล์มกัน” เจนศิลป์ชิงเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง ดูเขางงงันไม่น้อย

                         “ฮ่ะ....ตอนนี้นะหลอ....จะบ้าไงตอนนี้ใครเขาจะเปิดร้าน”

                         “ใครว่าจะไปให้ร้านเขาล้าง เราจะล้างเอง”

                         พิราบนิ่งไป “แต่เราล้างไม่เป็นนะ”

                         “เอ้า...ไหนว่าเรียนนิเทศ” เจนศิลป์ว่าพรางเดินไปยังกระเป๋ากล้องและหยิบม้วนฟิล์มในกล่องใส่ฟิล์มสีขาวออกมา

                         “ก็ใช่ไง”อีกฝ่ายว่าพรางกระโดลงจากขอบหน้าต่าง

                          “เขาก็ต้องเรียนถ่ายภาพกันไม่ใช่หลอ พวกเข้าแล็ปอันภาพอะไรแบบนั้นนะ”

                          “มันก็ใช่หลอก แต่เราไม่ค่อยได้เข้าเรียน เราไม่ชอบนะ น้ำยามันเหม็นติดมือ”

                          เจนศิลป์หันไปมองอีกฝ่ายพรางขมวดคิ้วและยิ้ม

                          “แล้วงั้นจะเรียนนิเทศทำไม....”

                          “โถ่ คนเรามันก็ต้องมีถนัดไม่ถนัดสิ” พิราบแย้งพรางเดินตามเจนศิลป์ลงมาด้านล่าง “แล้วนี่จะไปไหนเนี้ย”

                          “ไปเอาน้ำยาล้างฟิล์มในตู้เย็น หนึ่งรอเราอยู่นี่ก็ได้”

                           อีกฝ่ายไม่ทำตามคำ เขาเดินตามเจนศิลป์ลงมาถึงชั้นหนึ่งและมองดูชายหนุ่มหยิบแกลอนน้ำสีขาวสี่ห้าใบออกมาจากตู้เย็น ด้านข้างของแกลอนนั้นมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาเมจิสีน้ำเงินอย่างดีติดอยู่

                           พิราบส่งมือไปคว้างแกลอนสองสามใบออกจากมือของเจนศิลป์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูไม่เต็มใจนักแต่ก็ปล่อยในที่สุด

                           ทั้งคู่เดินตามกันขึ้นมาที่ชั้นสามอีกครั้งก่อนเจนศิลป์จะตรงไปเปิดประตูที่อยู่ตรงข้ามห้องตัวเองให้อ้าออก กลิ่นอับที่เบาจางไหลเวียนออกมาขณะที่ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดสวิสไฟ

                          

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
                           “โห...”พิราบร้องพรางมองไปรอบห้อง “บ้านคอมมีห้องมืดด้วยหลอเนี้ย”

                           “ของพ่อเรานะ....”เจนศิลป์เอ่ยตอบพรางวางแกลอนลงที่ด้านหนึ่งของห้องพรางเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำที่อยู่เหนือซิ้งน้ำดูพลันเมื่อเห็นน้ำไหลออกมาเป็นปรกติดีเขาจึงปิดมันและหันไปคว้ากล่องกระดาษที่อยู่ในชั้นข้าง ๆ ออกมา โดยไม่สนใจพิราบที่เดินดูและพินิดสิ่งต่าง ๆ ไปทั่วห้อง
ห้อง ๆ นั้นเป็นเพียงห้องเล็ก ๆ ที่ไม่ใหญ่อะไรแต่กลับสามารถจัดสรรพื้นที่วางสิ่งของได้อย่างลงตัว ทั้งชั้นวางของที่อยู่ชิดผนัง ซิ้งน้ำที่ไม่ทำใหญ่โตเกินความจำเป็น อีกทั้งยังมีกล่องไฟที่ใช้ดูพิล์มวางอยู่คู่กับเครื่องอัดภาพที่มีรูปร่างคล้ายกล้องจุลทรรศน์ขนาดใหญ่ ด้านข้างมีแกนใช้ลำหลับปรับโฟกัสเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ กล้องอัดภาพจะไม่มีที่ส่องจากด้านหลัง เวลาจะอัดภาพผู้ใช้ต้องนั่งอยู่ด้านหน้าเครื่อง ใส่ฟิล์มที่จะอัดเข้าไปในช่องใส่ฟิล์มที่อยู่ชิดกับตำแหน่งที่ควรเป็นเลนส์และดูภาพที่ตกกระทบที่พื้นจากตรงนั้นแล้วจึงค่อยปรับโฟกัส ความสว่าง และค่าอื่น ๆ

                             ด้านข้างของตัวเครื่องจะมีเครื่องมีอีกอันหนึ่งวางอยู่ มันเป็นกล่องสีดำที่มีช่องตัวเลขดิจจิตอลอยู่ด้านบน ด่านล่างจะเป็นปุ่มกดสามสี่ปุ่ม พิราบจำไม่ได้แล้วว่ามันมีชื่อเรียกว่าอะไร แต่หน้าที่ของมันคือกำหนดระยะเวลาที่จะให้แสงจากเครื่องอัดภาพที่ส่องผ่านฟิล์มหรือก็คือภาพที่เราต้องการจะอัดตกกระทบบนกระดาษอัดภาพ กระดาษอัดภาพนั้นจะเป็นกระดาษที่ไวต่อแสง เมื่อมันได้รับแสงจากเครื่องอัดก็จะทำให้เกิดภาพขึ้นแต่ไม่ใช่ในทันที หลังจากนำกระดาษอัดภาพผ่านแสงจากเครื่องอัดภาพเสร็จก็ต้องนำกระดาษอัดภาพนั้นไปแช่ไว้ในน้ำยาหยุดภาพและสร้างภาพเสียก่อนจึงจะได้ภาพที่ต้องการ

                              ชายหนุ่มละสายตาจากเครื่องนั้นมาและมองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ห้องดูเล็กและคับแคบ แต่ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้ไปอัดตัวอยู่เพียงด้านเดียวของห้อง ปล่อยให้ผนังอีกด้านว่างโล่งจนน่าสงสัย

                         ชายหนุ่มหันไปทางอีกฝ่าหมายจะถามคำถามนั้นแต่กลับเห็นเจนศิลป์กำลังลื้อค้นสิ่งของออกมาจากกล่องด้วยท่าทางขมักเขม่น   

                        “คอมทำไรเนี่ย”ชายหนุ่มถามพรางเดินไปนั่งลงตรงหน้าของอีกฝ่ายโดยมีกล่องกระดาษขั้นตรงกลาง

                         “หาแท้งค์ใส่...”พูดไม่ทันจบคำ เจนศิลป์ก็ร้องออกมาว่าเจอะแล้วพรางชูสิ่งนั้นไว้ในมือคล้ายเด็กเล็ก ๆ ที่เจอะของเล่นชิ้นสำคัณ แทงค์ที่ชายหนุ่มพูดถึงคือคือกล่องสแตนเลตรูปวงกลมที่มีฝาปิดเป็นยางสีดำมิดชิด ด้านบนมีจุกใช้ลำหลับเติมน้ำยาลงไปไปด้านใน

                         พิราบมองดูอีกฝ่ายผนึกกล่องและนำไปเก็บที่เดิมจึงเห็นขดเหล็กเส้นที่ม้วนตัวเป็นรุปก้นหอยถี่ ๆ ว่างอยู่บนพื้นข้าง ๆ แท้งค์ และเทปใส เขาหยิบมันขึ้นมาดูจึงรู้ว่ามันเป็นขดสองขดประกบกันอยู่คล้ายล้อรถโดยยึดกันด้วยแกนเหล็กสามอันที่อยู่ตรงกลางของขดเหล็กเส้น ขดทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่แนบสนิตกันแต่แยกจากกันอยู่ราวหนึ่งถึงสองนิ้วเพื่อใช้ม้วนฟิล์มเข้าไป

                          “นี่จะล้างฟิล์มจริง ๆ นะหลอ” พิราบถามพรางลุกขึ้นและถือสิ่งทั้งสองไว้ในมือ

                          “อือ...ทำไม...ทำไม่เป็นอะดิ”เจนศิลป์เอ่ยยิ้ม ๆ พรางคว้าสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายมา “อยากทำมั้ยละ เดี๋ยวจะสอน”

                           “ไม่เอาอะ...เคยทำแล้ว ยากชิบหาย”พิราบตอบก่อนทำหน้าบึ้งคล้ายถอดใจ

                            “ไม่ยากหลอก มาสิ เดี๋ยวสอน”

                           พิราบยิ้ม “เชื่อได้ป่ะเนี่ย...คนสอนดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรนะ”

                           “ โห ดูซีพี่ด้วยน้อง ดูด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยพรางใช้มือตบที่หัวไหลตัวเองไปมาและยิ้ม     

                          จบคำเจนศิลป์ก็เดินนำอีกฝ่ายไปที่ซิ้งน้ำเละเริ่มเอาม้วนฟิม์มที่ถูกดึงแผ่นฟิล์มออกมาราวสามเซนติเมตร ติดเข้ากับแกนเหล็กของขดเหล็กเส้นโดยใช้เทปใส เมื่อเสร็จเขาก็ยื่นมันใส่มือของอีกฝ่าย
“ถือไว้” จบคำชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปกดสวิสไฟที่อยู่ตรงหน้าพอดีพลันทำให้ห้องทั้งห้องมืดลง

                           “โห...นี่ทำสวิสไฟไว้กี่อันเนี้ย”พิราบเอ่ยในความมืดก่อนจะรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่พลันปรากฏและเกาะกุมมือเขาไว้แน่น ชายหนุ่มตกใจจนขนทั่วตัวลุกชันก่อนจะถอยขาไปด้านหลังตามสันชาตญาณแต่ก็ไม่อาจไปไหนได้เพราะติดร่างของอีกฝ่าย

                            “โอ๊ย เหยียบตีน”เจนศิลป์ร้องขึ้นพรางชักเท้าของตัวเองออก

                            “โทษ ๆ” พิราบร้องออกมาเช่นกันก่อนจะเริ่มรวบรวมสติตัวเองให้กลับคืนมา
 
                            “จะตกใจทำไมเนี่ย”ชายหนุ่มเอ่ยพรางหัวเราะ

                             “ไม่ตกใจได้ไง มือเย็นสะขนาดนั้น”

                            “เอ้า....ผิดอีก....เฮ้ย จับแบบนั้นไม่ได้เดี๋ยวฟิล์มก็ติดรอยนิ้วมือหมดพอดี ต้องจับแบบนี้” เจนศิลป์ว่าพรางคลำไปทั่วมือของพิราบพรางจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง “เอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งบีบตรงหนามเตยแบบนี้...เบา ๆ ดิ เดี๋ยวฟิล์มหัก”

                              “ยุ่งยากว่ะ...”พิราบเอ่ยอย่างหัวเสียคล้ายเด็กไม่ได้ดั่งใจ

                              “อะไร แค่นี้ก็บ่นสะและ ขนาดยังไม่ได้เริ่มเลยนะเนี้ย”

                               พิราบถอนหายใจยาวเสียงดังคล้ายแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเจนศิลป์จะไม่สนใจมากนัก

                              “เออ อย่างงั้นละ....ทีนี้ก็หมุนรีล ค่อย ๆ นะ บอกว่าอย่าบีบฟิล์มแรง เดี๋ยวก็เสียกันพอดี”

                             เสียงพิราบถอนหายใจยาวดังมาอีกครั้งราวกับเหนื่อยหน่ายเต็มทนตามมาด้วยเสียหัวเราะในลำคอของเจนศิลป์ ก่อนที่เสียงทั้งหมดเหล่านั้นจะจางหายไปคล้ายถูกกลืนกินโดยความมืดที่รายล้อมอยู่รอบตัวคนทั้งคู่ ความเงียบที่ครั้งหนึ่งเคยนอนแน่นิ่งไม่แสดงตัวออกมาคล้ายงูอิ่มที่ไร้พิษสงแต่บัดนี้มันกลับเผยเขี้ยวเล็บอันน่าเกรงขามและเข้าเกี่ยวกระหวัดรัดตรึงร่างคนทั้งสองไว้แน่น หากแต่มันไม่เจ็บปวด พิราบไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย แต่กลับให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดชวนสงสัย และเหมือนว่าความเงียบนั้นจะเป็นกฎเหล็กสำคัณของช่วงเวลานี้ พวกเขาจึงสงบคำของตัวเองไว้ปล่อยให้อณูอากาศที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวเป็นสิ่งกำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลองของมัน

                              และดูเหมือนไม่ใช่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่ไม่ส่งเสียงได ๆ ออกมา แต่รอบกายก็เงียบสนิทจนสุ่มเสียงแม้เพียงเล็กน้อยก็ดังก้องกังวานราวกับเป็นการระเบิดกัมปนาท โสทประสาทของพิราบสามารถรับเสียงที่ในยามปรกติจะไม่ได้ยินราวกับความมืดทำให้ประสาทรับรู้นั้นขยายขีดจำกัดมากขึ้นจนเกินความต้องการ ทุกเสียงและทุกการสัมพัทธ์เป็นเหมือนสิ่งหนักหนากว่าที่ควรเป็นหลายเท่า

                              เสียงเจนศิลป์ขยับเท้าไปมาดังขึ้นเป็นระยะ เสียงหัวใจของพิราบที่เต้นอยู่ในหูดังตุบ ๆ คล้ายเสียงกระเดื่องของกลองชุดตามวงดนตรี เสียงลมหายของอีกฝ่ายที่ละเลียดลามเลียมาตามลำคอจากด้านหลังของพิราบ ชายหนุ่มสามารถรู้สึกได้ถึงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นผ่านหน้าอกที่แน่บชิดอยู่กับแผ่นหลังของเขา เป็นจังหวะที่ช้าแต่หนักหน่วงราวกับค้อนใหญ่ที่ทุบลงบนแท่งหิน อีกทั้งมือที่เคยเย็นเหยียบคล้ายน้ำแข็งนั้นก็เริ่มอุ่นขึ้นอย่างประหลาดเช่นเดียวกับอ้อมแขนของเจนศิลป์ ทุกครั้งที่ผิวแขนของทั้งคู่ต้องกระทบกันพิราบจะรู้สึกราวกับเลือดในตัวร้อนขึ้นเสมอ ขนทั่วตัวลุกชัน มือแข็งขยับไม่มาไม่สะดวก เม็ดเหงื่อเริ่มหลังไหลออกมาตามตัว
ชายหนุ่มพึ่งสังเกตว่าฝ่ามือที่แผ่กว้างของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้นุ่มนิ่มอย่างคนทั่วไปแต่กลับสากกระด้างราวกับแผ่นกระดาษทรายบ่งบอกถึงภาระหนักหน่วงที่มือนั้นแบกรับอยู่ พลันทำให้ความสงสัยในสมองเขากลับมาอีกครั้งจนเริ่มวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน พิราบรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ต้องการตอบคำถามเหล่านั้นเพราะมันล้วนเป็นคำถามที่จะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายให้จนดิ่งลง แต่เขาก็อยากจะรู้ให้มากกว่านี้ อยากจะช่วยให้ได้มากกว่านี้ อยากจะเข้าใจอีกฝ่ายให้ได้มากกว่านี้ ความรู้สึกทั้งสองเริ่มผลักกันไปมาอยู่ในหัวของชายหนุ่มแต่สุดท้ายความอย่างรู้ก็เป็นฝ่ายชนะไป

                         “คอม....”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายทำเสียใจลำคอรับคำนั้น “แม่คอม...เขา....เป็นอะไรหลอ”

                          มือของเจนศิลป์หยุดเคลื่อนไหวทันทีจนพิราบรู้สึกได้ แต่ไม่นานมือนั้นก็เริ่มขยับอีกครั้ง
เจนศิลป์รู้ดีว่าไม่ช้าไม่นานอีกฝ่ายคงต้องถามคำถามเหล่านั้นออกมาเป็นแน่ คำถามเดิม ๆ ที่เขาตอบมานับล้าน ๆ ครั้งจนเหนื่อยหน่ายเหลือเกินที่จะเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาเพราะทุก ๆ คำที่เล็ดลอดออกมาจากปากเขานั้นล้วนเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าเขานั้นอ่อนแอมากแค่ไหน ขลาดเขลามากพียงได และไร้ค่ามากเกินกว่าสิ่งไดบนโลกนี้ อีกฝ่ายจะรู้หรือเปล่าว่าคำถามเหล่านั้นเป็นเหมือนกับเข็มแหลมนับสิบนับร้อยที่คอยทิ่มแทงร่างเนื้อของเขาให้เจ็บปวด

                          “เขาเมานะ...ติดเหล้า” เจนศิลป์เอ่ยตอบเสียงเบา

                          “นานแล้วหลอ.....”

                           เจนศิลป์เงียบไปอีกพักหนึ่งก่อนตอบ “ก็...แปดเก้าปีได้แล้วมั้ง ตั้งแต่พ่อเราเขาไม่อยู่” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูไม่สะทกสะท้านแต่หัวใจเขากลับบีบแน่นจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งอก
   
                          “งั้นคอมก็เริ่มทำงานตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะสิ...”พิราบถามต่อด้วยน้ำเสียงเบาบาง

                          “ไม่หลอก....ตอนแรกเขาก็ไม่ได้เป็นหนักขนาดนี้ ก็ยังพอทำงานได้อยู่ แต่พอเราขึ้นม.หนึ่งเขาก็เริ่มไม่ไหว เราก็เลยออกหางานทำ”

                           “แล้วทำอะไรไม่ได้เลยหลอ....ลองพาเขาไปหาหมอหรือยัง”

                           “แล้วหนึ่งคิดว่าเราไม่ทำอะไรเลยหลอ.....”ชายหนุ่มย้อนอีกฝ่ายพรางเค้นเสียหัวเราะน้อย ๆ ก่อนเงียบไปแล้วว่าต่อ “ที่พอทำได้นะ เราทำหมดแล้ว อาหมอก็ลองมาหมดแล้ว จิตแพทย์เอย ยารักษาเอย ขนาดหมอดูเราก็ยังเคยพามาที่บ้านเลย” เจนศิลป์เอ่ยพรางหัวเราะ “แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเหมือนเดิม...” คำสุดท้ายของชายหนุ่มนั้นฟังดูว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับห้องที่มืดมิตรนั้นได้กัดกินจิตใจของเขาเข้าไปด้วย
   
                            “แล้วคอม.....”พิราบลากเสียงยาวอย่างลังเล “เหงาบ่างมั้ย....ไม่ท้อแท้บ่างหลอ....”
   
                            “ถ้าบอกว่าไม่เหงา ไม่ท้อแท้ มันจะเหมือนโกหกหรือเปล่าละ....”เจนศิลป์พูดเคล้าเสียงหัวเราะ

                            จบคำเจนศิลป์เงียบไปเช่นเดียวกับพิราบที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี ความเงียบที่ครั้งหนึ่งมันเคยโอบอุ้มร่างทั้งสองไว้ให้ใกล้ชิดกันบัดนี้กลับเข้าทำร้ายและฉุดดึงให้ทั้งสองตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

                            “แต่เป็นหนึ่งนี่ก็โชคดีมากเลยนะ....”และเป็นเจนศิลป์เอ่ยที่เอ่ยขึ้นก่อน “มีทุกอย่าง ทั้งบ้านดี ๆ ทั้งรถสวย ๆ เพื่อนเยอะแยะ เห็นแล้วเรายังอิจฉาเลย”

                            พิราบได้ฟังก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “...จะอิจฉาเราทำไม เราว่าเป็นเราสะอีกที่ต้องอิจฉาคอม”

                            “ทำไมละ....ยังไง งง”

                            พิราบหัวเราะและยิ้ม “นี่แกล้งโง่ป่ะเนี่ย....ยังไงดีละ...เออ...แม่เราเคยบอกว่า คนเรานะ อย่าเทียบกันที่ฐานะเงินทอง แต่ให้เทียบกันที่ความเป็นคน เราว่า เรากับคอมถ้าเทียบกันในฐานะของเงินทองหรืออะไรพวกนั้น แน่ละเราก็ต้องอยู่เหนือกว่าคอมอยู่แล้ว เพราะบ้านเรารวย พ่อแม่เราเขาหาเก่ง .....แต่ถ้าถอดพวกสิ่งของเหล่านั้นออกจนเหลือแต่เนื้อแท้ความเป็นคนแล้วตัวเราก็มีแต่ตัว ไร้ค่า ว่างเปล่าเหมือนแทงค์ที่ไม่มีรีลไม่มีฟิล์ม ใครเขาจะต้องการ ชั่งกิโลไปก็ได้ไม่กี่ตังค์” พิราบหยุดและหัวเราะ “....ไม่เหมือนกับคอมที่ต่อให้ไม่มีของพวกนั้น คอมก็ยังเป็นคอมอยู่ เพราะทุกอย่างที่เป็นคอมมันอยู่ในนั้น ในตัวคอม คอมยังมีแม่ที่ต้องคอยดูแล มีงานที่ให้รับผิดชอบ ชีวิตคอมมีความหมายมากกว่าของเราเราเยอะ เชื่อเราสิ”

                             เจนศิลป์นิ่งฟังคำเหล่านั้นด้วยหัวใจที่อุ่นชื้นอย่างประหลาด ตลอดมาคนที่ถามคำถามเหล่านั้นมักพูดมาเพียงแค่คำโง่เงาอย่าง เข้มแข็งไว้ อดทนไว้ แต่ไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียวบอกกับเขาว่าชีวิตของเขามีค่าและมีความหมาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าชีวิตเขานั้นมีความหมายสำหลับมารดาของเขาหรืองานของเขา แต่การที่มีใครบางคนมาบอกและพูดให้ฟังแบบนี้มันช่วยทำให้เขาแน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง ทำให้เขารู้ว่าถึงแม้เข้าจะไม่ต้องการให้ใครมาช่วยหรือสนใจแต่ก็ยังมีคนบางคนที่ใส่ใจเขาและรู้ถึงสิ่งที่เขาทำ

                             “หนึ่ง”เจนศิล์เอ่ยเบา ๆ อีกฝ่ายหันมาตามเสียงเรียกนั้นจนชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย จมูกของชายคนนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าเขาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร “ขอบใจนะ”

                              พิราบฟังคำนั้นและปล่อยให้มันไหลผ่านซึมลึกเข้าไปในจิตใจและวิญญาณ ก่อนจะมารู้ตัวว่าคำ ๆ นั้นเริ่มเกาะกุมอยู่ที่ใจเขาและแผ่ความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนไปทั่วทั้งร่างกายกระตุกให้หัวใจเขาพองโตและเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเป็นอะไรไปนะ...ความรูสึกนี้......

                              “ว่าแต่...” พิราบเอ่ยขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้อีกฝ่ายรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ “พ่อของคอมนี่ทำงานอะไรหลอ....ถึงได้มีห้องมืดแบบนี้”

                              “อ๋อ...เป็นช่างภาพกับนักข่าวนะ....เอาละ เรียบร้อย หนึ่งปล่อยก่อนสิเดี๋ยวเราจะได้เอาใส่แท้งค์”

                             จบคำของอีกฝ่ายไม่นาน ห้องทั้งห้องก็กลับมาสว่างอีกครั้งพร้อม ๆ บรรยากาศแปลก ๆ ชวนอึดอัดที่ปรากฏขึ้นทันที พิราบหลบสายตาไม่มองหน้าเจนศิลป์ เจนศิลป์ก็เช่นกัน

                              “แล้วทำไงต่อละ....”พิราบว่าพรางยกกล่องวงกลมสแตนเลดที่ถูกปิดแน่นด้วยจุกยางสีดำขึ้นมาไว้ในมือและมองดูมัน
 
                              “ก็...เดี๋ยวก็เติมน้ำยาอีกสามตัว ก็เสร็จแล้ว...” เจนศิลป์ตอบพรางมองดูสิ่งนั้นในมือของพิราบสลับกับใบหน้าของอีกฝ่าย

                               ทั้งคู่จ้องมองดูมันอยู่อย่างนั้นเป็นนานก่อนที่เจนศิลป์จะหัวเราะออกมาเช่นเดียวกับพิราบที่เริ่มเกาหัวอย่างเคอะเขิน

   
................................................................................

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
เย้ ๆ เริ่มคืบหน้าไปอีก 1 Step  :m4:

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
ชอบจังเลยครับ เรื่องนี้ จขกท. เขียนได้ดีอ่ะ อ่านแล้วอิน แถมได้คิดด้วย

มาเป็นกำลังใจให้และรอตอนต่อไปครับ  :m4: :m4: :m1:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
           
ตอนไหม่ครับผม




           เจนภูมินั่งอยู่บนเก้าอี้สีเหลืองสดพรางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกใสด้วยสายตาและอารมณ์ที่แสนเย็นยะเยือกด้วยความหม่องหม่น เขาจ้องมองยามกลางคืนที่กำลังเคลื่อนคล้อยและแปลเปลี่ยนเป็นกลางวันอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มฉายแสงสีฟ้าครามสดใสไร้ก้อนเมฆ คระเคล้าไปกับตึกรามที่เคยซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความดำมืดมิตรของราตรีที่บัดนี้เริ่มเผยตัวและรูปทรงออกมาอย่างช้า ๆ คล้ายเหนียมอายในแสงอาทิตย์ รอบกายของชายกลางคนว่างเปล่า เก้าอี้สีเหลืองที่วางรายล้อมโต๊ะสีขาวตัวอื่น ๆ ไร้สิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตประจำจับจองเป็นเจ้าของ เจนภูมิยกมือซ้ายขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือมันบอกเวลาเกือบตีสี่ครึ่งแล้ว เลยเวลาออกเวนเขามาสิบห้านาทีพอดี

             ชายคนนั้นยกมือขึ้นถูใบหน้าของตัวเองแรง ๆ สามสี่ครั้งพรางปล่อยลมหายใจยาวออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

             มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่รู้สึกมานานแสนนานแล้ว ทั้งความเหนื่อยอ่อนอย่างบอกไม่ถูกของร่างกายที่ประดังเข้ามาคล้ายลมพายุโถมใส่ร่าง ความอ่อนล้าของสมองที่ดูจะชาชินไปเสียหมดทุกสิ่ง และมันก็ดูน่าแปลกที่เขารู้สึกเช่นนั้น ทั้งที่ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่กับแต่ความเจ็บ ความตาย และความโศกเศ้ราของคนแปลกหน้าที่บางครั้งแม้ชื่อของคนเหล่านั้นเขาเองยังไม่สามารถจำได้ หลายครั้งที่มีคนถามเขาว่าเขาเป็นหมอทำไม....การได้อยู่ท่ามกลางความหมองหม่นของอารมณ์และผู้คนเหล่านั้นมีความสุขมากนักหรือ.....ไม่เหนื่อยหน่ายหรือท้อแท้บ่างหรือที่ไม่สามรถช่วยทุกชีวิตไว้ได้....มันน่าแปลกเหลือเกินที่เขาไม่เคยถามตัวเองเช่นนั้นมาก่อน ไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน ถึงจะหดหู่หรือไม่มีความสุขบ่างบางครั้ง แต่มันก็ไม่ถึงกับเหนื่อยหน่ายหรือเหนื่อยอ่อนเช่นนี้
 
              เขาพึ่งเริ่มรู้สึกเช่นนั้นไม่นานมานี้.....สองสามวันก่อนเขามีปากเสียงรุนแรงกับผู้เป็นหลาน....นับแต่วินาทีนั้น สมองเขาก็วนเวียนอยู่แต่กับคำถามที่ไม่เคยคิดถามมาก่อนในชีวิต มันซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นวนเวียนไปมาคล้ายปลาในบ่อที่หาทางออกจากที่คุมขัง เขาดิ้นลนและพยายามเพื่อหาคำตอบนั้นหรือหยุดคิดไปเสีย แต่มันก็เป็นการยากยิ่งที่จะทำเช่นนั้น
   
               เขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน......สิ่งนี้....สิ่งที่เขาตรากตรำและไขว่คว้าอยู่คืออะไร.....เขาทำมันไปเพื่ออะไร....

               ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่ามีคำตอบของคำถามนั้น เขามีชีวิตอยู่เพื่อหญิงคนนั้นและเด็กชายคนนั้น เขาทำทุกอย่างเพื่อให้คนทั้งสองมีสิ่งที่ดีขึ้น มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น และหวังเพียงว่ามันจะทดแทนในสิ่งที่พวกเขาศูนย์เสียไปได้ แต่ยิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งตระหนักว่าชายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ตอนนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่สามารถดูแลตัวเองและมารดาได้ เป็นชายหนุ่มที่แข็งกล้าและดุดันไม่ต่างจากผู้เป็นบิดา แน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ยโสและจองหองในสักศรี
   
               และเป็นวันนั้นเองที่เขามองเห็นเงา ๆ หนึ่งอย่างชัดเจนที่สุด เงาดำของอดีตที่ทาบทับอยู่บนตัวของเจนศิลป์ หลอมรวมกับวิญญาณจนเป็นเนื้อเดียวกัน เงาดำของชายคนที่ชื่อเจนวิทย์
   
                เจนภูมิค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าพรางหลับตาลงหลายวินาทีก่อนจะหันหลังและเดินออกมาจากห้องนั้น เขาไม่อยากคิดถึงสิ่งเหล่านี้ต่อไปแล้ว มันหนักหนาเกินกว่าเขาจะรับไหว อีกทั้งบาดแผลลึกที่เขาเคยคิดว่าหายดีไปนานแล้วแต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มันก็จะกลับมาหลั่งรินเม็ดเลือดสีแดงสดอีกครั้งคล้ายต้องการบอกว่ามันไม่ได้จางหายไปไหน แต่อยู่ตรงนั้น ในส่วนไดส่วนหนึ่งของสมอง ในจิตวิญญาณของเขาและรอเพียงวันเวลาที่เหมาะสมเพื่อแสดงตัวออกมา ตอกย้ำความเจ็บปวดให้ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกหลายสิบเท่า ตอกย้ำว่าเขาไม่อาจทดแทนสิ่งที่คนทั้งสองศูนย์เสียไปได้ ตอกย้ำว่าแม้เขาจะต้องการมากแค่ไหนเขาก็ไม่อาจช่วยหญิงคนนั้นได้ มันช่างเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องรับรู้ความจริงข้อนั้น

                “ผมรู้ดีครับ รู้มานานแล้วด้วย อาก็นาจะทำใจยอมรับได้แล้วนะครับ”

                 คำพูดของผู้เป็นหลานแววมาในหู คงเป็นสิ่งนี้สินะที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกกับเขา การยอมรับความจริงและเผชิญหน้าอยู่กับมัน แม้จะเจ็บปวดแต่มันก็ดีกว่าการหนีไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น การทำมันให้เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งกว่า มันเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงนั้นและดำเนินชีวิตต่อไปราวกับไม่เคยมีสิ่งนั้นเกิดขึ้น เจนภูมิไม่อาจทำได้ ไม่อาจทำเป็นลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขโดยที่ไม่รู้สึกว่าชายคนนั้นได้ทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง ได้ทิ้งภาระอันหนักหนาและยากจะเข้าใจไว้ให้เขา ภาระที่ไม่ใช่เพียงต้องการแค่เงินตราแต่ทั้งยังต้องการบางสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถให้หรือทดแทนได้

                 บางครั้งเจนภูมิก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังแบกเศษแก้วหัวใจที่แตกสลายของชายหญิงคู่นั้นไว้บนไหล่ทั้งสองข้างและออกเดินไปตามทางที่ทอดยาวไกลในความมืด มันไม่มีทางเลยที่เศษแก้วเหล่านั้นจะไม่ตกหล่นหรือศูนย์หายไประหว่างทาง อีกทั้งยังทิ่มแทงฝ่ามือและแผนหลังของเขาจนเป็นแผลเหวอะหวะ มันทั้งเจ็บปวดและอ่อนล้า...ถึงจะรู้ว่าคนทั้งสองไม่ได้ตั้งใจ แต่ความเจ็บปวดนั้นมันก็ไม่ต่างกัน

                  เจนภูมิมารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ตัวเองหยุดยืนอยู่ที่โถงทางเดินข้างวอร์ดผู้ป่วยหญิง ผนังด้านหนึ่งถูกทำขึ้นด้วยกระจกใสแผ่นยาวจนมองทะลุเข้าไปได้ถึงด้านในที่ยังคงสงบและไร้การเคลื่อนไหวได ๆ ชายกลางคนจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นเป็นนาน

                  “หมอ.....”เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นที่ด้านซ้ายมือของเขา
 
                  “ครับพี่....”เจนภูมิที่ในขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายขานรับเสียงเรียกพรางมองไปยังอีกฝ่าย เขาเป็นชายท่าทางผอมแห้งและสูง ดวงตาที่ดุดันนั้นจมลึกเข้าไปในเบ้าที่ดำคล้ำแต่ยังคงฉายแววมุ่งมั่นแม้อ่อนเพลียมากก็ตาม ผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลังเป็นจุกอันเล็ก ๆ และสวมเพียงเสื้อยืดที่มีตัวอักษรว่านิคอมเป็นภาษาอังกฤษสีเหลืองติดอยู่ที่ด้านหลังกับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนประจำจนดูแล้วไม่ค่อยถูกกาลเทศะเสียเท่าไร แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะเดือนเต็มนั้นเกิดปวดท้องและมีน้ำเดินตอนเลยเที่ยงคืนไปไม่นานทำให้บ้านทั้งบ้านตื่นตระหนกและวุ่นกันใหญ่ก่อนจะรีบพาเธอส่งโรงพยาบาล

                  เวลาผ่านไปยังไม่ทันที่ดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าดีนัก เด็กชายตัวน้อยก็ลืมตาขึ้นดูโลก เจนภูมิยังจำวินาทีนั้นได้ดี หญิงสาวจ้องมองชีวิตน้อย ๆ ในอ้อมแขนด้วยดวงตาเอ่อล้นเฉกเช่นเดียวกับเจนวิทย์ที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่าง

                  “เจนศิลป์....ต้องเป็นเจนศิลป์....” เสียงเจนวิทย์พึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจุมพิษที่หน้าผากของหญิงสาว “นะจ๊ะ...ให้ลูกเราชื่อเจนศิลป์....” หญิงสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่น้ำใส ๆ จะเอ่อล้มออกมา

                  “เจนอีกแล้วหลอ....”เสียงกรรณิการ์ดังขึ้น “บ้านนี้จะมีอีกกี่เจนกัน...แค่สามเจนนี่ก็ปวดหัวจะตายแล้ว” เจนอนันต์ยิ้มออกมาพรางกอดอกและมองไปยังเจนวิทย์ที่ยังยิ้มไม่หุบและเกาหัวไปมา

                   “แล้วชื่อเล่นละครับ....หลานผมต้องมีชื่อเล่นด้วยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพรางตรงเข้าเอานิ้วเขี่ยที่แก้มของเด็กน้อยคนนั้นเล่น

                   “หมอก็ลองตั้งดูสิ....เราจะเรียกหลานเราว่าอะไรดี.....” เดือนเต็มเอ่ยพรางเช็ดน้ำตาที่ทิ้งตัวไหลลงมาถึงคาง

                   “จะดีหรือครับพี่เดือน....”

                  “เอาน่า ไอ้หมอ แกก็ลองคิดมาดูสิ” เจนวิทย์ว่าพรางมองดูอีกฝ่ายทำหน้าคิดอยู่นานจนเริ่มหมดความอดทนจึงหันไปหยิบแก้วน้ำที่ใส่น้ำจนเต็มหมายจะเอามาให้ผู้เป็นภรรยา และเป็นจังหวะเดียวกันที่เจนภูมิหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่แผ่นหลังของพี่ชาย

                  “คอม..คอมไงครับพี่...”

                  “คอม ค่อมอะไรของแกไอ้หมอ....” เจนอนันต์เอ่ยพรางปล่อยมือออกมากการกอดรัดที่อก “ชื่อประหลาดแท้”

                   “เอ้าพ่อ...จำไม่ได้หลอว่ากล้องตัวแรกที่พ่อซื้อให้พี่เขาก็ยี่ห้านิคอมนี่ไง.....เห็นเวลาพี่วิทย์เขาเอาออกมาใช้ทีก็ชอบพูดว่า คอมลูกพ่อ อย่างอแงนะลูก แบบนี้”

                 ได้ยินอย่างนั้นเจนอนันต์ก็หันไปทางเจนวิทย์พรางทำตาคล้ายถามว่าจริงหรือ อีกฝ่ายส่ายหัวเร็ว ๆ พรางทำตาโต

                  “จริงด้วย พี่ก็เคยได้ยินนะ” เดือนเต็มเสริม “หนูยังเคยพูดเลยค่ะว่า ถ้ามีลูกจริง ๆ เขาจะรักเหมือนกล้องตัวนั้นหรือเปล่า”

                  “แกนี่ท่าจะประสาทนะวิทย์ คุยกับกล้องถ่ายรูป” กรรณิการ์เอ่ยเสียงตำหนิ

                  “ผมเปล่านะแม่”อีกฝ่ายปฏิเศษพรางยื่นแก้วน้ำให้ผู้เป็นภรรยา


                  “แกนะ.....ชอบเดือนใช่มั้ย”ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบและดวงตาก็ยังคงมองไปยังเบื้องหน้าฉุดรั้งให้เจนภูมิกลับมาสู่โถงทางเดินนั้นอีกครั้ง

                   จบคำถามนั้นชายหนุ่มก็หันกลับไปมองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าผ่านทางกระจกใส

                   “พี่เดือนเขาก็ดีนิครับ...พี่ถามทำไม...”

                    “ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น....แกอย่ามาเฉใฉจะได้มั้ย...”นำเสียงของอีกฝ่ายยังคงราบเรียบเช่นเดิม “แกชอบเดือนมากกว่า...มากกว่าที่ควรจะเป็นใช่หรือเปล่า”

                     อกของเจนภูมิอัดแน่นและชายโครงทั้งสองก็เริ่มบีบตัวจนทั่วร่างท่อนบนเจ็บปวดไปหมด น้ำในลำคอพลันหายไปอย่างไม่รู้ตัวจนเป็นการยากที่จะเปล่งเสียได ๆ ออกมา “พี่รู้...” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นในที่สุดด้วยเสียงอันเบาบางคล้ายกระซิบและร่างที่เริ่มสั่นเทาน้อย ๆ อย่างคนขลาดเขลา 

                     อีกฝ่ายแค่เพียงพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าแกคิดจะแย้งเขาไปจากฉัน.....แกก็อย่าได้หวังเลยว่าแกจะไม่ตายก่อน” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบและท่าทางนิ่งเฉย แต่เจนภูมิก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอย่างที่พูดจริงทุกถ่อยคำไม่มีการเปรียบเปรย ทั้งหมดทั้งมวลที่เขาทำได้ก็แค่เพียงเงียบไปปล่อยให้อากาศธาตุบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของตัวเขาไปยังผู้เป็นพี่ชาย บอกเล่าว่าสิ่งที่เขามีให้หญิงคนนั้นเป็นเพียงบางสิ่งที่ไม่สมควรอย่างที่สุด มันผิดบาปและเขาไม่ใช่คนโง่เง่าเกินไปจนไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น เขารู้ดี....รู้ดีพอ ๆ กับที่รู้ว่าความรู้สึกที่เขามีให้แก่หญิงคนนั้นมันสะอาดและไร้อันตรายเกินกว่าจะเป็นสิ่งผิดและไม่ถูกต้องได้......สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาไม่รู้คือสุดท้ายแล้วสิ่งที่เขามีให้แก่หญิงสาวคนนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่

                      “แต่ว่านะ....”ในที่สุดเจนวิทย์ก็เอ่ยขึ้น “ถ้าวันหนึ่งฉันเป็นอะไรไป....”
           
                       “พี่วิทย์....”เจนภูมิเอ่ยพรางหันมาทางอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงบางเบากว่าครั้งแรก
   
                      “ฟังฉันก่อนสิภูมิ....”อีกฝ่ายเรียกชื่อของชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแต่เจนภูมิไม่รู้สึกตกใจหรือกลัวแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกราวกับตัวเองนั้นถูกฉุดดึงขึ้นมาจากอะไรบางอย่างที่ตกลงไปนานแสนนาน ราวกับว่าชายคนนั้นได้ถูกฉุดรั้งเขาขึ้นจากบ่อน้ำแห้งที่มืดมิตรและบางครั้งก็ชวนทรมารเพื่อมาพบกับภายนอกที่โปล่งใสและเบาสบายอย่างบอกไม่ถูกมันให้ความรู้สึกที่ประหลาดและชวนสงสัย “ถ้าวันหนึ่งฉันเป็นอะไรไปแกจะสัญญาได้มั้ยว่าแกจะดูแลเมียฉันกับลูกฉัน.....จะไม่ทิ้งหรืออะไรแบบนั้น ดูแลพวกเขาแทนฉัน”

                        “ทำไมพี่พูดแบบนั้นละ....” เจนภูมิพูดเสียงเบา “พูดเหมือนพี่จะเป็นอะไรไปวันนี้พรุ่งนี้งั้นละ”
   
                       “แล้วมันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรือไง....”เจนวิทย์หันมาสบตากับเจนภูมิ ชายคนนั้นไม่ได้สวมแว่นยิ่งทำให้ดวงตาที่แข็งกล้านั้นทะลุทะลวงเข้าไปในความรู้สึกของชายหนุ่มจนเหมือนฉีกทึ้งร่างทั้งร่างนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่จะมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “.....เมื่อก่อนนะฉันก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน คงไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้หลอกมั้ง....คนอย่างฉัน อายุอย่างฉัน ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งมากมายในชีวิต เหลือเฟือพอสำหลับทุกอย่าง ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรอคอย....พอคิดแบบนั้นชีวิตฉันมันก็มีแต่ขี้เกรียจ ไม่ค่อยมีสาระ บ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ แกก็เห็นใช่มั้ยละ” ชายคนนั้นหยุดและหัวเราะออกมา เช่นเดียวกับเจนภูมิ “.......แต่พอฉันเริ่มทำงานนักข่าว ไปเห็นไปเจออะไรมากขึ้นมันก็ทำให้ฉันเริ่มรู้ว่า คนเรานะ ต่อให้เป็นคนดี หรือคนเลว อายุมาก หรือน้อย คนแก่อายุแปดสิบ หรือเด็กอายุแปดวันมันก็ไม่ต่างกัน คนเราทุกคนอยู่ห่างจากความตายเท่า ๆ ทั้งนั้น....มันเท่ากันไปหมด....ไม่มีใครอยู่ห่างกว่า หรือใกล้กว่า เวลาก็เอามาใช้ตัดสินอะไรไม่ได้ มันไม่เคยเลือกเวลา หรือสถานที่ หรือคน หรืออายุ มันเพียงแค่มา ทวงคืนสิ่งที่มันเคยให้ และเอาคืนไปเท่านั้นเอง.....

                          พอรู้อย่างนั้นฉันก็เริ่มกลัว ทั้งที่เมื่อก่อนอะไรอย่างนั้นมันไม่เคยมาเฉียดใกล้สมองฉันเลยแม้แต่น้อย แต่พอเริ่มคิดว่า....คนอย่างฉัน ทำงานอย่างฉัน ไม่รู้จะถูกลูกตะกั่วฝังเข้าหัววันไหน คนชอบก็มาก แต่คนเกลียดที่อยากให้ฉันตาย ๆ ไปก็ยิ่งมากกว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว กลัวจะเป็นอะไรไป....กลัวว่าจะตายไปโดยที่ยังมีเรื่องเยอะแยะที่ยังไม่ได้ทำ กลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจ กลัวว่าจะมีใครไปทำร้ายแกกับพ่อกับแม่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วถ้ามันจะทำอะไรขึ้นมาฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคิดกลัวอยู่ดี” เขาเหสายตากลับไปยังหญิงคนนั้นและยิ้มออกมา “แต่พอฉันเจอะเดือน......ผู้หญิงคนนั้น....ไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอทำให้ฉันหลงลืมมันไปได้ หลงลืมไปว่าฉันเคยเป็นใคร ทำอะไร มันก็เหมือนกับว่าทุกๆ วันที่ฉันอยู่กับเขาความกลัวมันก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ คำที่เขาพูดกับฉันมันเหมือนเป็นอะไรสักอย่างที่คอยเติมเต็มใจฉัน ทำให้ฉันรู้ว่าการที่ได้มีใครสักคนอยู่ด้วยกัน รักกัน มีความสุขด้วยกัน มันเป็นยังไง
 
                          และยิ่งตอนนี้ฉันมีคอม....เด็กคนนั้น....ลูกฉัน....เขาทำให้ฉันไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่กลัวตายหรืออะไรทั้งนั้น ต่อให้ฉันตายไปตอนนี้ฉันก็ไม่กลัว” เจนวิทย์เหลือบมามองอีกฝ่ายที่ทำหน้าคล้ายไม่เข้าใจก่อนจะยิ้มออกมา “แกเองอาจจะไม่เข้าใจก็ได้.....ไม่สิ ทำหน้าอย่างนั้น แกคงไม่เข้าใจแน่ แต่ถ้าวันหนึ่งแกเจอใครสักคนที่แกรักเขาหมดหัวใจแกก็อาจจะเข้าใจก็ได้นะ....วันที่แกได้รักใครสักคนด้วยทั้งหมดของตัวแกเอง ....ทั้งหมดของชีวิตแก...โดยที่แกไม่กลัวที่จะต้องดูแล รัก เอาใจใส่ อยู่ด้วยกัน หรือแม้กระทั้ง....แยกจากกัน”

                           จนถึงตอนนี้ เจนภูมิก็ยังไม่อาจจะเข้าใจอยู่ดีว่าคำพูดของเขาคนนั้นหมายถึงอะไร

                           ชายกลางคนยืมเหมอมองเข้าไปในวอร์ดผู้ป่วยหญิงอยู่อย่างนั้นจนแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาด้านใน มันเป็นแสงสีส้มสว่างจ้าและร้อนแรงจนเขาต้องหยี่ตาที่อ่อนล้าลงเพื่อจ้องมองดูมัน


...

keivet001

  • บุคคลทั่วไป

                     
                 -งั้นหลอ....คิดไปเองมั้งแว่น....- เจี๊ยว เพื่อนทางอินเตอร์เน็ตของธาราพิมพ์ตอบกลับมาเมื่อธาราเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นและความรู้สึกที่เธอมีต่อมันจนจบ

                  -น้านดิพี่แว่น เขาอาจจะมะได้มีไรกันก็ด้านน้า- แอมมี่เสริม

                  -เฮ้ย...มันก็ไม่แน่น่า ผู้หญิงสมัยนี้เดาใจยากจะตาย วันนี้เดินกับผู้ชายอยู่ดี ๆ มาอีกวันก็เอาทอมสะแล้ว-

                  - แกก็พูดเกินไปไอ้ด๋อย- เจี้ยวปลามอีกฝ่าย

                  -น่านดิ พี่แว่นอย่างปายฟังแม่งเลย- แอมมี่ว่า –อีกอย่างผู้หญิงบางทีมานก็เอาทอมไปเปนแฟชั่นงั้นละ ไม่มีไรทำก็เอาทอม เหมือนสื้อผ้าอะ-
 
                   -แล้วรู้ได้ไงละแอมมี่จ้า-

                   -มะรู้ได้ไง ก็ฉันเป็นผู้หญิงนิหน่า-

                    ธาราหัวเราะเบา ๆ พรางนิ่งไปและจ้องมองตัวเคอร์เซอร์กระพริบในจอคอมพิวเตอร์.... เธอไม่แน่ใจว่าการที่เธอโกหกไปว่าตัวเธอเป็นผู้ชายและคนที่เธอแอบชอบนั้นเป็นผู้หญิงที่หันไปเดินควงกับผู้หญิงด้วยกันนั้นจะเป็นการดีและได้คำแนะนำที่ถูกต้องหรือเปล่า...ที่จริงเธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่าการที่เธอโกหกคนทั้งสามนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันจะมีประโยชน์อะไร มีค่าอะไร และทำไมเธอถึงต้องโกหกด้วย มันดูไร้เหตุผลเหลือเกินกับการที่โกหกคนแปลกหน้าที่เธอแทบไม่รู้จักมาก่อน ไม่เคยเห็นหน้าหรือแม้แม้ทั้งได้ยินเสียง มันช่างไร้ค่าและไร้เหตุผลสิ้นดี

                     แรกเริ่มที่เธอรู้จักกับโลกแห่งนี้นั้นก็เมื่อหลายปีก่อน....นับตั้งแต่วินาทีนั้น โลกทั้งโลกที่เธอเคยรู้จักก็ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดเล็ก ๆ บนหาดที่กว้างใหญ่ มันเล็กกระจ่อยร่อยและไร้ค่าอย่างสุดประมาณ
โลกแห่งใหม่ที่เธอได้ค้นพบนี้มันช่างน่าตื่นเต้น เต็มไปด้วยสิ่งตื่นตาตื่นใจ ประสบการณ์ของผู้คนมากหน้าหลายตา และมันกว้างใหญ่เหลือเกิน.....กว้างมากพอที่จะปันพื้นที่เพียงไม่กี่เม็กกะไบด์เพื่อที่จะให้เธอใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น หลบซ่อนจากบ้าน จากครอบครัว จากโรงเรียน จากโลก จากทุกสิ่งทุกอย่าง หลบซ่อนตัวเองจากความไร้ค่า ไรตัวตน ไร้ความคิด ให้มากลายเป็นใครอีกคนที่อยู่ในอีกโลกหนึ่งนี้ โลกที่เธอคิดเอาเองว่าเธอมีตัวตนอยู่จริง โลกที่เธอคิดเอาว่าจริงแท้ และที่สำคัญที่สุด โลกที่พ่อและแม่ของเธอจะไม่สามารถย่างกายเข้ามา

                   ... และการที่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างสมบูรณ์ธาราก็จำเป็นต้องกลายเป็นอีกคนด้วยเช่นกัน ดังนั้นหญิงสาวจึงอุปโลกน์ชายหนุ่มชื่อแว่นขึ้นมา ชายหนุ่มอายุยี่สิบปลาย ๆ ที่โดดเดี่ยว ขี้เหงา อบอุ่น และมันก็ดูเป็นเรื่องสนุกสำหลับเธอ การที่ได้เห็นคนอื่น ๆ หลงคำโกหกของเธอเหมือนควายโง่ที่ยอมให้ชาวนาจูงจมูกไปไหนต่อไหน มันทำให้หญิงสาวรู้สึกมีอำนาจครั้งแรกในชีวิต มีอำนาจที่สามารถกำหนดสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง กำหนดอารมณ์ กำหนดความต้องการ กำหนดความคิด และกำหมดตัวตนของเธอเองได้เป็นครั้งแรก

                    และทุก ๆ ครั้งที่มีใครมาให้ความสำคัณกับเธออย่างหัวปักหัวปำหรือหลงคำโกหกของเธอว่าเป็นจริงนั้น เธอมักยิ้มออกมาเสมอ มันไม่ใช่รอยยิ้มอย่างควายโง่ที่ยอมให้ใครจูงจมูก ไม่ใช่รอบยิ้มของหุ่นเชิดที่เต้นไปตามจังหวะเชิดของพ่อแม่ ไม่ใช้รอยยิ้มของคนที่มีสมองใช้เพียงเพื่อจดจำ แต่เป็นรอบยิ้มอย่างคนร้าย มันสะใจ สมเพช และมีอำนาจเหนือกว่า

                    แต่ตอนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นได้พลันมลายหายไปหมดแล้ว มันไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว เธอไม่รู้สึกสนุกหรือรื่นเริงกับการโกหกอีกต่อไป วันเวลาได้ผันเปลี่ยนความรู้สึกเธอให้กลายเป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปมันให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วงอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ เธอเหนื่อยหน่ายเหลือเกินกับที่ต้องเป็นใครอีกคนที่เธอไม่ใช่ ต้องเป็นใครที่เธอไม่รู้จัก เป็นใครคนที่เธอรู้ดีอยู่แกใจว่าไม่ใช่เธอ

                    .....จะว่าไปแล้ว ชายชื่อแว่นที่หญิงสาวอุปโลกน์ขึ้นมานั้นก็เป็นเหมือนกำแพงบาง ๆ ที่กันกลางระหว่าเธอกับโลกแห่งนั้น เพื่อบิดบังตัวเธอ ทำให้เธอรู้สึกมีอำนาจ เป็นที่ซ่อนในที่ซ่อนอีกชั้นหนึ่ง และนับวัน กำแพงนั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้าหาตัวเธอที่ละน้อยจนบีบทับตัวเธอให้เจ็บปวด บางครั้งเธอก็นึกอยากจะทำลายกำแพงนั้นให้หายไปต่อหน้า แต่ธาราก็กลัวเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น เพราะเมื่อเธอไร้ชายหนุ่มที่ชื่อแว่นแล้ว เธอคงกลายเป็นเพียงหญิงสาวเปลือยเปล่าโดดเดี่ยวยืนอยู่ในโลกที่แสนกว้างใหญ่และแห้งแล้งนั้น....ไร้อำนาจ ไร้ความรู้สึก ไร้ตัวตน

                    -แล้วถ้า เป็นผู้ชายละ- ในที่สุดธาราก็พิมพ์ตอบกลับไป –ถ้าเราเป็นผู้หญิงแล้วไปชอบผู้ชายที่เขาไปชอบผู้ชายด้วยกันละ-

                   -นั้นก็คงเป็นอีกเรื่องนะน่ะ- เจี้ยวพิพ์ตอบกลับมาคนแรก –เพราะถ้าเป็นเกย์หรืออะไรแบบนั้นมันก็ยากส์-

                   -ช่าย เพราะไอ้พวกนี่ถ้าไม่ใช่เสือไบก็คงไม่เอาผู้หญิงหลอก-ด๋อยตอบกลับมาอีกคน

                   - แล้วแกรู้ด้ายไงด๋อย แกเปนเกย์หลอ-แอมมี่หยอกอีกฝ่ายพรางส่งตัวการ์ตูนหัวเราะออกมาสี่ห้าตัว

                    -แล้วแกถามทำไมว่ะ...อย่าบอกนะว่าแกชอบผู้ชายด้วยกันแว่น-

                    -ไม่ใช่ละ-ธาราปฏิเศษก่อนจะชิงเปลี่ยนเรื่องพูด –แค่อยากรู้เฉย ๆ ...ว่าแต่เจี้ยวว่ามันผิดหรือเปล่า-

                    - อะไรผิดว่ะ-

                    -ก็การที่คนเราชอบเพศเดียวกัน มันผิดหรือเปล่า-

                    -ผิด ผมบอกได้เลย- ด๋อยแทรกขึ้น

                     -เสือกไอ้ด๋อย แว่นมันคุยกับฉันอยู่-

                    -โด่พี่ ไมต้องด่ากันด้วยละ....เรื่องแบบนี้มันง่ายจะตายไป-

                    -จริงหลอ-ธาราพิมพ์ต่อไป

                    -จริงดิพี่แว่น ผุ้ชายเขาสร้างให้มาเป็นคู่กับผู้หญิง เจือกไปชอบผู้ชาย แม่งบ้าไปแล้ว-

                    -อ้ายบ้าด๋อย อ้ายผู้ชายจิดใจคับแคบ- แอมมี่พิมพ์กลับมาด้วยตัวอักษรตัวโต

                     -ช่าย ไอ้ผู้ชายจิตใจคับแคบ-  เจี้ยวร่วมด้วย –อย่าไปฟังมันเลยแว่น....ที่แกถามว่ามันผิดมั้ยหลอ.....งั้นแล้วอะไรละที่ถูก-

                      ธารานิ่งไป

                     -ถ้าแกไปถามคนที่เป็นเกย์หรืออะไรแบบนั้นเขาก็ต้องบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิดอยู่แล้ว แต่ถ้าแกไปถามไอ้คนจิตใจคับแคบมองโลกแค่ด้านเดียวอย่างไอ้ด๋อยมันก็ต้องบอกว่าผิด คนเราผิดหรือถูกมันต่างคนต่างมองว่ะ แกพอเข้าใจใช่มั้ยว่ะแว่น-

                      -ไม่รูดิเจี้ยว-

                      ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักไปคล้ายคนทั้งสามกำลังรอคำพูดของเจี้ยวอยู่           

                     -งั้น....ก็อย่าง ถ้าว่ามีเด็กคนหนึ่งไปขโมยเงินแกว่ามันผิดมั้ย-

                      -อารายพี่เจี้ยว ถามเรื่องเกย์ มาโผล่เด็กขโมยเงินได้ไงเนี่ย- ด๋อยว่า

                      - ไอ้ด๋อย เงียบไปเลย ถ้าแกไม่ตอบมานี่ไม่มีใครว่าแกแขนขาดหลอกนะ...-

                      -ผิดดิ พี่เจี้ยวถามแปลก ๆ –แอมมี่ว่า

                      เจี้ยวกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง-อือ งั้นถ้าเด็กคนนั้นมีพ่อติดยา แม่ขายตัว ส่วนตัวเองก็โดนพ่อกระทืบไม่เว้นแต่ละวันแล้วยังมีน้องอีกสองคนที่ต้องหาข้าวให้กิน แต่ตัวเองไม่มีสักแดง ไม่รู้จะทำไงเลยต้องไปขโมยเงินคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็รู้ว่าผิด ไม่อยากจะทำผิด แต่ก็ต้องทำเพราะไม่รู้จะทำไง แกยังว่ามันยังผิดอีกมั้ย-

                       ทั้งหมดเงียบไปไม่มีใครพิมพ์ตอบ
 
                       -มันก็ผิดนะน่ะ...แต่ก็น่ายกโทษให้- และเป็นด๋อยที่ตอบกลับมาเป็นคนแรก

                       -ใช่มั้ยละ.....นั้นละที่ฉันจะบอก โลกเรานะไม่ได้มีแต่ผิดหรือถูกสองอย่างหลอกนะ ไอ้ที่อยู่กลาง ๆ มันก็มีด้วย เรื่องที่แกถามก็เหมือนกันแว่น จะถามว่ามันผิดหรือถูกมันก็เป็นวิทยาศาสตร์เกินไป มันตอบไม่ได้ เพราะจิตใจคนเราไม่ใช่แค่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง หรืออีเท่ากับเอ็มซีกำลังสองอะไรแบบนั้น แต่เพราะมันไม่ผิดหรือถูก มันอาจจะผิดสำหลับแกกับด๋อยเพราะแกเอาเขามาทำเมียไม่ได้ เพราะกับแกหนึ่งบวกกับอีกหนึ่งไม่ได้มันเลยผิด แต่มันก็ถูกสำหลับเขาเพราะเขาทำอย่างนั้นแล้วมีความสุข มันอยู่ตรงกลาง ถ้าแกรักเขาจริง แกก็น่าจะมีความสุขที่เห็นเขาสุขไม่ใช่หลอไง-

                       ธารานิ่งไป นิ่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทั้งสมอง ร่างกาย จิตใจ มันว่างเปล่าไปหมด ว่างเปล่าจนน่าสงสัยว่าเพราะเหตุไดเธอจึงรู้สึกเช่นนั้น


......................................................

re_rain

  • บุคคลทั่วไป
 :a2:ในที่สุดก็มา
จารอตอนต่อไปน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เย้ อ่านทันแล้ว อ่านเรื่องนี้แล้วต้องมีสมาธิค่อนข้างมาก มีอะไรให้คิดตามได้ตลอด

ยังไงก็มาต่อเร็วๆ นะคะ   :oni2: :oni2: :oni2:

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาลงชื่อติดตามอ่านครับ  :oni2:

re_rain

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:  ทุกกกกกกกวัน  แต่ o7 ยังไม่มา

ออฟไลน์ momo_2007

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ง่า กำลังสนุกเลยคับ มาต่อไวๆน้า อย่าหายไปไหนหละคับ

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามารอครับ ติดตามความสัมพันธ์ระหว่างหนึ่งกับคอมต่อไป  :oni3: :oni2:

myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
มาดันครับ กลัวจะตกหน้าไปซะก่อน

ยังรออ่านอยู่นะครับ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ดันๆ  :oni2: :oni2: :oni2:

re_rain

  • บุคคลทั่วไป
ประกาศ คนแต่งหาย  :m32:

ถ้าใครพบเจอ :m22:

กรุณาจับมาคืนเจ้าของ :laugh:

เฮ้ย! ต่อมาด่วน

 :pig4:

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
ดองได้ที่แล้วครับ ต่อได้แล้วนาครับ  :oni3:

keivet001

  • บุคคลทั่วไป
             
            โทดน้าคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ขอโทด ๆ ๆ ๆ ๆ  :m23: :m23: ไม่รู้ว่าจะขอโทดกี่ครั้งดีถึงจะพอ แต่ก็ต้องขอโทดอีกครั้งที่ได้ได้มาต่อเรื่องตั้งนาน :m23:  ที่จริงมันมีเหตุผลนะครับ  :m12: คือเรื่องของเรื่องก็คือ นิยายเรื่องนี้นะตอนแรกคิดแค่ว่าจะลงไว้ที่เวปอย่างเดียว แต่พอไปเห็นลิงค์ของการประกวด Yong Thai Artist Award 2008  o13 เข้าก็เลยเกิดอยากจะส่งเรื่องเขาประกวดบ่าง :m1:  แล้วพอดีกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่เลยต้องรีบเร่งเขียนให้ทันส่งประกวด  o2 จนถึงวันนี้ก็นอนไปได้นิดหน่อยเองครับ ยิ่งเขียนยิ่งมัน แถมเครียด แล้วก็ปรับแก้อีกตั้งหลายที่ ก็เลยไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ ยังอยากจะอ่านอยู่หรือเปล่า เพราะถ้าอ่านต่อจากตอนนี้ไปรับรองว่าเนื้อเรื่องมันจะเปล่ง ๆ ชอบกล ยังไงถ้าอยากอ่านก็บอกนะครับ จะได้เอาต้นฉบับไปฝากเวปให้เพื่อน ๆ โหลดกัน ยังไงก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับผม

              ปล.ถ้ารู้ว่าเวปไหนดีก็บอกด้วยนะครับ เพราะไม่เคยฝากไฟด์มาก่อน ถ้าฟรีจะมาก ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด