“นั้นมันรถอาหมอนิหว่า.....”เจนศิลป์พึมพำคล้ายพูดกับตัวเองก่อนจะหันไปบอกพิราบ “เดี๋ยวหนึ่งจอดตรงนี้ก็ได้....” จบคำไม่นานรถก็ชะลอตัวและหยุดลง
เจนศิลป์ค่อย ๆ หยิบกระเป๋ากล้องขึ้นสะพายและตั่งท่าจะลงจากรถก่อนที่พิราบจะเรียกไว้
“เรื่องวันนี้นะ......เราขอโทษด้วยนะ” พิราบว่า “ทำคอมเสียเวลาไปตั้งนาน”
“ไม่เป็นไรหลอก วันนี้ก็สนุกดี”เจนศิลป์ว่าพรางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะลงจากรถ ก่อนจะหันมาก้มตัวลงมองอีกฝ่าย “เพราะยังไงวันนี้ประกันที่ว่าก็คงไม่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยละ....”จบคำชายหนุ่มก็ปิดประตูและเดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในรถต้องยิ้มกับความไม่เอาไหนในการโกหกของตัวเอง “รู้ทันซะได้....”เขาพึมพำก่อนจะเคลื่อนรถออกไป
เจนศิลป์เดินดุ่ม ๆ ตรงไปที่ห้องของมารดา เขาผลักประตูเข้าไป ก่อนจะเห็นเจนภูมิกำลังห่มผ้าให้กับผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มอยู่
“อาหมอมานานแล้วหลอครับ....”
อีกฝ่ายหันมาที่ชายหนุ่มช้า ๆ ก่อนตอบ
“ก็สักพักแล้วละ นี่ก็พึ่งให้แม่เรากินข้าวแล้วก็นอนไป.....แล้ววันนี้ไม่ได้ไปทำงานหลอ...”
ชายหนุ่มทำหน้าลำบากใจก่อนตอบ “ครับ....”
อีกฝ่ายเงียบไปจนเจนศิลป์เริ่มทำตัวไม่ถูก
“คอม....”เจนภูมิพูดขึ้นในที่สุด “เดี๋ยวขึ้นไปรออาบนห้องเรานะ สักพักอาจะขึ้นไป....มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”
“ครับ...”ชายหนุ่มรับคำด้วยความงงงันก่อนจะค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนห้องของตัวเอง
เมื่อมาถึงห้อง ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ วางกระเป๋ากล้องลงบนที่นอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนนั้นอย่างอ่อนแรง วันนี้เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อย พิราบพาเขาเดินไปทั่วห้างจนขาเขาเมื่อยไปหมด ปากก็ชวนคุยไม่หยุด เดี๋ยวก็ถามนั้น ถามนี่ จนบางครั้งชายหนุ่มก็คิดขึ้นว่าที่ทำแบบนี้อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ ทำเป็นใจดีเลี้ยงข้าว พาเดินเที่ยว
“คนแม่งสบายจนไม่มีไรทำ....”เขาพึมพำกับตัวเองก่อนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจนศิลป์ผุดลุกขึ้นทันทีและเปิดประตู
เจนภูมินั้นเอง เขาเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะว่างขวดเหล้าเปล่าขวดหนึ่งไว้บนโต๊ะหนังสือของชายหนุ่ม
“นี่มันอะไรคอม....”เขาว่าพรางหันมามองเจนศิลป์ด้วยสายตาดุดัน
“ก็...ขวดเหล้าเปล่าไงครับ....”ผู้เป็นหลานตอบพรางยิ้มทำใจดีสู้เสือ แต่อีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ เขาหันไปหมุนด้านขวดเหล้าด้านที่มีแผ่นสติกเกอร์สีขาวแปะอยู่ให้ชายหนุ่มดู ที่หัวของสติกเกอร์นั้นมีชื่อผับที่เจนศิลป์เคยทำงานประทับอยู่ ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี
“นี่เราเอาเหล้าที่ร้านมาให้แม่เรากินใช่มั้ย....” อีกฝ่ายคาดคั้น
“ครับ ก็เหล้าของลูกค้า มันเลยกำหนดฝากแล้วก็เลยเอามา”
“ทำไมละคอม....นี่เราคิดอะไรอยู่กันแน่เนี้ย”
ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบ
“มันก็ดีกว่าจะไปซื้อไม่ใช่หลอครับ....”เขาว่าพรางพยายามฝืนยิ้ม “ลดค่าใช้จ่ายไปได้ตั้งเยอะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสิคอม อาหมายถึงว่า เราคิดอะไรอยู่กันแน่ที่เอาเหล้ามาให้แม่เขากินแบบนี้ อารักษาแม่เขาก็เพื่อที่จะไม่ให้แม่เขากินมากกว่านี้ แต่เราก็เอามาให้แม่เขากินตลอด.....ตกลงนี่คอมอยากให้แม่เขาหายหรือเปล่า”
“อยากสิครับอา....แต่อาหมอ แม่เขาเป็นแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้วนะ ผมก็ลองทำทุกอย่างอย่างที่อาหมอบอกแล้ว ไม่เห็นเขาจะดีขึ้นมาเลย.....ผมก็เคยคิดว่าอย่างนี้คงดีกว่า”
“แบบนี้แบบไหน...แกหมายถึงอะไร คอม”
“ก็ปล่อยให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการไง อยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ ผมเองก็หมดปัญญาจะไปห้ามไปอะไรเขาแล้ว”
จบคำเจนภูมิก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด ราวกับว่า เขาไม่เข้าใจผู้ที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว
"หมายความว่ายังไงกันห๊ะคอม..นี่แก” ผู้เป็นอาทำหน้าเจ็บแค้นก่อนจะถอนหายใจยาว “......อาไม่อยากจะเชื่อว่าแกจะคิดแบบนี้เลยนะ ถ้าพ่อแกรู้เข้าเขาคงผิดหวังมากที่ลูกชายดูแลแม่แบบนี้”
ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งทีพรางยิ้มที่มุมปากอย่างเจ็บปวดก่อนจะเบนสายตามองไปทางอื่นและตอบอีกฝ่าย
“พ่อเขาไม่ผิดหวังอะไรทั้งนั้นหลอกครับอา.....เพราะเขาไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรมานานแล้ว....”
จบคำ อีกฝ่ายถึงกับเงียบไปและจ้องหน้าชายหนุ่มราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง “นี่แก......แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรนะ”
“ผมรู้ดีครับ รู้มานานแล้วด้วย อาก็นาจะทำใจยอมรับได้แล้วนะครับ”
“หุบปากเดี๋ยวนี้นะไอ้เด็กอวดดี......”เจนภูมิตวาดก้อง “คิดว่าตัวเองเป็นใครห๊ะ ถึงได้พูดแบบนี้กับฉัน”
ชายหนุ่มเงียบไปจนอีกฝ่ายพูดขึ้น
“ในเมื่อแกคิดแบบนี้ ฉันกับแกก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว.....”จบคำเจนภูมิก็เดินออกไปจากห้องปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงรถแล่นออกไปจากหน้าบ้าน
“ทำแบบนี้จะดีหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจนชายหนุ่มต้องหันไปมอง ต้นเสียงนั้นเป็นหญิงรูปร่างผอมในชุดฟอร์มประหลาด ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าเธอคือพนักงานในร้ายเอ็มเคสุกี้
“คุณจะมาเข้าใจอะไร....”เจนศิลป์พึมพำตอบก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ อีกฝ่ายแบบมือขอเขาจึงหยิบใส่มือเธอไปหนึ่งมวลและเดินไปนั่งบนขอบหน้าต่าง
“ถูกต้องแล้วเด็กน้อยเอ๋ย.....ข้าไม่เข้าใจสิ่งไดเลยแม้แต่น้อย”เธอว่าพรางพ่นควันสีขาวออกมา “แต่ชายคนนั้นดูเจ็บปวดมากเลยนะ....”
“งั้นหลอ....” ชายหนุ่มตอบพรางสีหน้าหมองลง “สิ่งที่ผมพูดออกไปอาจจะผิดก็ได้”
แล้วทั้งสองก็เงียบไปคล้ายถูกจองจำอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปล่อยให้ควันสีเทาหม่นลอยมวนตัวไปมาอยู่ละหว่างคนทั้งสอง
“แต่สิ่งที่เจ้าพูดไป....” ในที่สุดอมรก็พูดขึ้น “มันก็เป็นความจริงมิใช่หรือ....และมันก็เป็นการดีที่ชายคนนั้นจะยอมรับความจริง มิใช่หรือ.....”
“ก็คงใช่....” เจนศิลป์ว่าพรางยกบุหรี่ขึ้นสูบ “แต่บางครั้ง สิ่งที่ดีก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไปหลอกนะ....บางครั้งการโกหกตัวเองไปวัน ๆ มันก็เป็นการดีเสียกว่า”
“ทำไมกัน....ข้าไม่เข้าใจ”
ชายหนุ่มหันมามองอีกฝ่ายพรางปล่อยควันสีขาวออกทางปาก “เพราะบางครั้งความจริงมันก็เจ็บปวดเกินไปนะสิ......เกินกว่าที่ใครสักคนจะยอมรับมันไหว....”
อมรละสายตาจากชายหนุ่มแต่ในดวงตายังฉายแววไม่เข้าใจอย่างเด่นชัด ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อเพราะทั้งกายและใจของเขาในตอนนี้หมดแรงและอ่อนล้าเกินกว่าจะคิดหาคำพูดต่อไปได้
“เจ้าว่าชายคนนั้น จะเข้าใจหรือไม่....”
“อาหมอนะหลอ....” เขาว่าพรางเค้นเสียงขึ้นจมูก “เขาไม่เข้าใจหลอก”
“ไม่ใช่....ข้าหมายถึงอีกคน คนที่เจ้าไปกินข้าวด้วยวันนี้ เขาจะเข้าใจเจ้าหรือไม่......”
“หนึ่งนะหลอ......”ชายหนุ่มเงียบไป “คงไม่หลอก....”
"ทำไมเจ้าจึงคิดเช่นนั้นละ....ชายคนนั้นบอกเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่หลอก แต่คนอย่างเขานะ......” เจนศิลป์หันไปมองสายตาของอีกฝ่ายที่เหมือนต้องการถาม “คนอย่างเขาที่มีคนคอยยัดทุกอย่างใส่มือให้ตลอดแบบนั้นนะ จะไปเข้าใจอะไร.....”
“ทุกอย่าง....งั้นหรือ” อมรทิ้งหางเสียงไว้คล้ายต้องการคำตอบ “ทั้งที่ข้าคิดว่าเจ้าทั้งสอง เหมือนกันขนาดนั้นแท้ ๆ .......”
ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากอย่างขมขื่น “ยังไง...เขามีรถดี ๆ ใช้ ส่วนผมแค่ล้อข้างเดียวยังไม่มีปัญญาซื้อเลย เขามีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่เป็นสิบ ๆ ส่วนผมมีแค่เสื้อสี่ตัวกับกางเกงยีนส์ตัวเดียว เขามีเงินใช้ทั้ง ๆ ที่เอาแต่หายใจไปวัน ๆ ส่วนผมต้องทำงานแทบตายเพื่อให้ได้เงินใช่ไปถึงสิ้นเดือน ผมกับเขาแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย นอกจากเป็นคนเพศผู้เหมือนกัน”
อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดังคล้ายขันในคำพูดของอีกฝ่าย “อาจจะใช่ก็ได้นะ.....แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่ชายคนนั้นเหมือนกับเจ้า เชื่อข้าเถอะ เด็กน้อยเอ๋ย....บางอย่างนั้นที่แม้แต่ รถ เสื้อผ้า หรือเงินตราก็มิอาจจะซื้อหาได้.....”
เจนศิลป์อ้าปากคล้ายต้องการพูดต่อ แต่อีกฝ่ายกลับตัดบท “ข้าต้องไปแล้ว....” เธอคนนั้นว่าพรางทิ้งก้นบุหรี่ลงขวดน้ำและเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามหลังด้วยสายตางงงันก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น
...
เดาซิใครโทรมา