พิมพ์หน้านี้ - Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 12:51:38

หัวข้อ: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 12:51:38
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ



.::.กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ .::. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)





เสียงเด็กนักเรียนท่องอาขยานดังก้องไปทั่วชั้นสี่ของตึกเรียนโรงเรียนดุจประทีปวิทยา ต้นเสียงนั้นมาจากห้องเรียนขนาดใหญ่ตรงกลางของชั้นสี่พอดี ที่หน้าห้องมีป้ายไม้เก่า ๆ เขียนบอกไว้ด้วยตัวหนังสือสีขาวอ่านได้ความว่า “ชั้นป.สี่ทับห้า”
ภายในห้องนั้นมีเด็กนักเรียนราวสี่สิบคนนั่งแยกหญิงชายกันอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนต่างอ้าปากอ่านออกเสียงกันอย่างตั้งใจเสียงดังฟังชัดทุกถ่อยคำจนบางครั้งก็ดูชวนขำอย่างไรบอกไม่ถูก จะมีก็แต่เพียงเด็กชายเจนศิลป์ ขาลไกร เท่านั้นที่ดูจะไม่กระตือรือร้นอย่างคนอื่น ๆ สังเกตได้จากสีหน้ามู่ทู่และท่านั่งงองุ้มที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนถึงแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่แถวเกือบหลับสุดก็ตาม เด็กชายเอาแต่นั่งจ้องหนังสือที่กางอยู่ตรงหน้าและขยับปากตามทำเป็นอ่านสายตาก็คอยเหลือบมองครูสุภีเพ็ญร่างอ้วนที่นั่งกอดอกสวมแว่นทรงเม็ดข้าวและหลับตาหัวโงนเงนไปมาราวกับกำลังเข้าชาญอยู่ เสื้อผ้าไหมสีม่วงเข้มของเธอรัดแน่นจนน่าสงสัยว่ากระดุมเม็ดโตสีทองที่ใช้ติดนั้นทำจากอะไรกันแน่เหล็กหรือใช้กาวตราช้างติดเพราะมันรัดแน่นเสียจนเห็นชั้นไขมันภายใต้ได้อย่างชัดเจน นาน ๆ ครั้งเธอจะสะดุ้งลืมตาตื่นทำให้ก้อนตรงท้องกระเพื่อมไปมาก่อนจะมองไปรอบตัวราวกับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและก็กลับมาสัปหงกอีกครั้ง
   “พี่สุ” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นที่หน้าประตู เธอเกาะกรอบประตูไม้ไว้แน่นและชะโงกเพียงหัวเข้ามาในห้อง เสียงของเธอทำให้การท่องอาขยานของเด็กนักเรียนถูกขัดจังหวะและหยุดลง
   ครูสุภีเพ็ญสะดุ้งเล็กน้อยตามเสียงเรียกไขมันของเธอกระเพื่อมอีกหลายครั้งตามด้วยกระพริบตาถี่ ๆ อยู่นานกว่าจะร้องตอบ
   “อ้าว...ว่าไงทิพย์ มีอะไรหรือ”
   ครูธารทิย์จัดเป็นครูที่ยังสาวและยังสวยที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ เธอพึ่งย้ายมาสอนวิชาสปช.แทนครู เกศิณีได้ไม่นานจึงจัดได้ว่ายังเป็นครูใหม่ประสบการณ์น้อยอยู่ แต่เรื่องความดุและแรงไม้เรียวนั้นขัดกับใบหน้าและประสบการณ์ของเธออย่างสิ้นเชิง
   เธอทำท่ากวักมือเรียกครูสุภีเพ็ญออกไปข้างนอก และยืนคุยกันอยู่ที่นั้นเป็นนาน
   “มึงโดนแน่ไอ้เจน”เสียงเด็กชายพงศ์เทพที่นั่งอยู่หลังสุดด้านขวาพูดขึ้น เด็กชายเจนศิลป์ทำเป็นไม่สนใจ
   ในที่สุดทั้งคู่ก็กลับเข้ามา
   “เจนศิลป์”ครูธารทิย์พูดเสียงดังจนเด็กชายเจนศิลป์สะดุ้งเฮือก เขารีบยกมือพรางพูดว่าครับสั้น ๆ “ตามครูมานี่หน่อย เอากระเป๋ามาด้วย”
   เด็กชายหน้าถอดสีในทันทีเพราะเมื่อตอนพักกลางวันเขาแอบไปดึงหญ้าในสนามเล่นจนแหว่งหายไปครึ่งค่อนสนาม ภารโรงสมมาเห็นเข้าจึงขู่จะไปฟ้องครู เด็กชายไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยวิ่งหนีไม่คิดชีวิตโดยมีภารโรงสมวิ่งตาม เขาวิ่งไปทั่วทั้งโรงเรียนจนภารโรงสมหายไปตอนไหนเขาก็ไม่รู้ นี่เขาต้องถูกไม้เรียนฟาดจนก้นชาอีกเป็นแน่
   เด็กชายค่อย ๆ สะพายกระเป๋านักเรียนใบโตขึ้นไว้บนไหล่ทั้งสองข้างก่อนจะออกเดินไปหาครูธารทิพย์เธอพาเขาเดินขึ้นไปอีกสองชั้นซึ่งตามธรรมดาแล้วเด็กชายเจนศิลป์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นมาบนนี้ได้
เขตชั้นหกทั้งชั้นเป็นของเด็กนักเรียนป.หกทั้งหมดจึงดูกวางขวางกว่าก้านล่างเล็กน้อย เด็กชายเจนศิลป์รีบเดินตามให้ทันครูธารทิพย์สุดฝีเท้า แต่พอคิดได้ว่าจะต้องถูกตีเขาเลยปล่อยระยะห่างออกมาอีก   
   เธอพาเขาเดินไปสุดทางเดินและหยุดลงที่ห้องพักครู
“เอ้า....เข้าไปสิ”เธอพูดด้วยเสียงนุ่มเย็นจนน่าสงสัย เด็กชายกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่ยอมเข้าไปและทำท่าเหมือนกำลังจะร้องให้ “เด็กชายเจนศิลป์เป็นอะไรเข้าไปสิ”
เด็กชายค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องช้า ๆ และคิดว่าต้องเจอกับภารโรงสมนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่หรือไม่ก็ครูใหญ่ยืนถือไม้เรียวเป็นแน่ แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเขาคือชายคนหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางกองกระดาษและชั้นเอกสารที่ดูรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ แว่นกลอบดำอันใหญ่ถูกวางอยู่บนจมูกอันโต เสื้อยืดสีขาวถูกรวบเข้าในกางเกงยีนต์สีซีดเพื่อให้ดูสุภาพที่สุด อีกทั้งผมที่ยาวหยิกปลายก็ถูกรวบไว้ที่ด้านหลัง แต่ถึงจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วมันก็ยังดูขาด ๆ เกิน ๆ ไปสำหลับคำว่าสุภาพชนอยู่ดี
“พ่อ”เด็กชายร้องเสียงหลงพรางรีบวิ่งไปกอดผู้เป็นบิดาไว้แน่น “คอมนึกว่าต้องถูกครูตีแล้ว”
“อะไรกันฮึ.....”เจนวิทย์ว่าพรางลูปศรีษะที่มีผมสั้นเกรียนของลูกไปมา “เราไปทำอะไรผิดละครูเขาถึงได้ตีเอา”
เด็กชายลืมตามองครูธารทิพย์ที่บัดนี้นั่งอยู่หลังโต๊ะตรงข้ามกับคนทั้งคู่ เธอมองดูเด็กชายด้วยสายตาสงสัย เขาจึงถูหน้าไปมากับเสื้อของบิดาเป็นเชิงว่าไม่รู้ ผู้ใหญ่ทั้งสองพาหัวเราะแก้เก้อกันไป
“ถ้าอย่างนั้นก็เซ็นตรงนี้แล้วก็กลับได้แล้วค่ะ” เธอว่าพรางยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เจนวิทย์พร้อมปากกา อีกฝ่ายรับปากกามาเขียนขยุกขยุยไม่เกินสองวินาทีก็เรียบร้อย
“งั้นผมไปเลยนะครับครู”
“ค่ะ...”เธอตอบสั้น ๆ “ไม่ไปส่งนะค่ะ”
เจนวิทย์พยักหน้ารับก่อนจะเดินจูงมือลูกชายออกไป ไม่เกินสามก้าวเสียงเด็กชายก็ดังขึ้น
“นี่พ่อจะพาคอมไปถ่ายรูปด้วยใช่ป่าว”
เจนวิทย์ยิ้มก่อนตอบ “ทำไมล่ะ..เราอยากไปถ่ายรูปกับพ่อหลอ”
เด็กชายพยักหน้าเร็ว ๆ
“อือ....แต่พ่อลืมไม่ได้เอากล้องมาน่ะสิ”
เด็กชายหน้านิ่ว
“พ่ออ่ะ....ขี้ลืมอย่างนี้ทุกทีเลย เพราะงี้ไงแม่ถึงได้ชอบบ่น”เจนวิทย์หัวเราะชอบใจ “แล้วพ่อจะพาคอมไปไหนเนี่ย”
เจนวิทย์ทำท่าคิด
“ไม่รู้สิ เราอยากไปไหนล่ะ”
เด็กชายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะโพรงออกมาเสียงดัง “กินเคเอฟซี”
“งั้น....ไปกินเคเอฟซีกัน”
เจนศิลป์ร้องดีใจเสียงดังพรางวิ่งนำหน้าเจนวิทย์ไปโดยไม่ทันได้หันกลับมามองสายตาของผู้เป็นบิดาที่มองตามไป มันเป็นสายตาที่ยากเกินกว่าจะอธิบายเป็นถ่อยคำให้ใคร ๆ เข้าใจได้   

.......................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 12:52:55
                     10 ปีผ่านไป
“อาทิตย์หน้าก็ส่งรายงานเรื่องแผนธุรกิจกับการจัดการด้วยนะอย่าลืม” เสียงครูกนกนกสั่งงานนักศึกษาผ่านไมโครโฟนอย่างชัดเจน“งั้นวันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว ไปได้จ๊ะ กลับบ้านได้”
เสียงนักศึกษาพากันถอนหายใจกันอย่างโล่งอกไม่ใช่เพราะเลิกเรียนแต่เพราะในเดือนนี้เป็นเดือนแรกที่มีรายงานเพียงเล่มเดียวเท่านั้น มันแทบเป็นปาฎิหารของนักศึกษาบริหารธุรกิจเลยทีเดียวที่สามารถนอนได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องตื่นมาปั่นรายงานกลางดึก
“ไอ้คอม” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกที่หัวของชายหนุ่มเบา ๆ เขาหันมาทางต้นเสียงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พรางเกาหัวตรงที่ถูกตี“กูเรียกมึงตั้งนานไม่ได้ยินหรือไง”
ต้นเสียงนั้นคือสาริณี เพื่อนของเขาเอง
ชายหนุ่มส่ายหัว
 “เออ แล้วมึงจะมามั้ยเนี้ย”
“มา...มาไหน....ไม่ได้ว่ะ วันนี้กูต้องทำงาน”
“โถ่ไอ้ควาย”หญิงสาวพูดจนเหมือนตะโกน “กูถามว่ามึงจะมาอยู่กลุ่มกูหรือปล่าว” ชายหนุ่มพยักหน้าเร็ว ๆ พรางยิ้มทะเล้น “งั้นวันอาทิตย์ตอนเที่ยงเจอที่ห้องสมุดนะ.........มานะมึงไม่ใช่ว่าโดดหายไปเหมือนคราวก่อนอีก”
“เออ กูรู้แล้วน่า....”เจนศิลป์พูดน้ำเสียงทะเล้นอีก “นี่เขาปล่อยแล้วหลอ”
“ก็เออสิ”อีกฝ่ายว่า
“งั้นกูไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้างานสาย” ว่าแล้วก็เก็บของใส่กระเป๋าสะพายใบใหญ่ “เออ ไอ้เม่น”เจนศิลป์หันไปพูดกับกิตติที่นั่งถัดจากสาริณี “เหล้ามึงที่ฝากไว้ที่ร้าน พรุ่งนี้หมดอายุแล้วนะ จะให้กูเอามาให้มั้ย”
“ไม่ต้องหลอก ไอ้ห่าเหลืออยู่ติ๊ดเดียวเอง เอาไปเหอะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ “งั้นกูไปก่อนน่ะ ธาเราไปก่อนนะ” ธาราที่นั่งถัดจากกิตติละสายตาจากสมุดจดหันมายิ้มพรางดันแว่นไปไว้บนดั้งจมูกและพยักหน้า
“ทำงานดี ๆ นะ”
เจนศิลป์พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องมา อากาศภายนอกนั้นร้อนอบอ้าวอย่างน่าเหลือเชื่อ แสงแดดของเวลาบ่ายสองสาดส่องไปทั่วทุกหัวระแหงนำความร้อนแผดเผาทั่วทุกหย่อมหญ้า อีกทั้งความชื้นที่อยู่ในอากาศก็ยิ่งชวนเหนียวตัว เจนศิลป์เอามือขึ้นป้องแสงแดดที่แรงกล้าก่อนจะออกเดินสู่ทางเดินที่โล่งแจ้ง เขาเร่งฝีเท้าให้ทันกับรถเมล์ที่กำลังจะออกจากป้ายก่อนจะกระโดดขึ้นรถเมล์ไป โชคดีที่ยังไม่มีผู้โดยสารมากนักเจนศิลป์จึงได้นั่งชิดริมหน้าต่างรับสายลมแรง ๆ ช่วยคลายความร้อน เขานั่งอยู่อย่างนั้นราวสิบห้านาทีก็ลงจากรถ
ซอยบ้านเขานั้นเป็นซอยใหญ่กลางชุมชน ปากซอยเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่านทั้งวันเลยไปถึงดึกดื่น เจนศิลป์เดินข้ามถนนขนาดสี่เลนส์ไปซื้อข้าวคลุกกระปิเจ้าประจำและไม่ลืมซื้อขนมถังแตกเจ้าข้าง ๆ มาด้วย
“ว่าไงลูก” นางทอง แม่ค้าขนมถังแตกอายุราวเจ็ดสิบปีร้องทักเจนศิลป์ เธอเห็นชายหนุ่มมาตั้งแต่ตัวแดง ๆ จนถึงเดี๋ยวนี้ “แม่เป็นอย่างไรบ่าง”เธอว่าพรางส่งขนมถังแตกให้
“เหมือนเดิมครับป้าทอง” ชายหนุ่มยื่นมือไปรับขนมมา นางทองปล่อยมือจากถุงขนมมาลูปที่ใบหน้าและคางของเจนศิลป์ “อดทนไว้นะลูก หมูก็แม่เราหมาก็แม่เรา”
เจนศิลป์พยักหน้ารับและส่งเงินให้หญิงชรา เขาข้ามถนนกลับมาและเดินเข้าซอยไปจนสุดระยะทางราวห้าสิบเมตรได้ บ้านของชายหนุ่มเป็นทาวเฮ้าส์เล็ก ๆ เก่า ๆ หลังหนึ่งที่อยู่สุดซอยเกือบติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา จะว่าดี ก็ดีเพราะทิวทัศน์ยามเย็นของแม่น้ำเจ้าพระยานั้นงดงามเกิดกว่าคำไดจะอธิบายได้ แต่พอถึงฤดูฝนทีไรน้ำท่วมทุกที ชายหนุ่มหยิบเอากุนแจออกมาและไขเข้าบ้านอย่างง่ายดาย ชั้นล่างสุดของบ้านนั้นเป็นห้องรับแขกที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของมันมานานแล้ว โซฟาที่วางอยู่มุมห้องก็ซีดจนน่าเกลียด ทีวีที่ตั้งอยู่บนชั้นก็ไม่ได้ใช้มานานจนฝุ่นจับเต็มไปหมด อีกทั้งตามมุมห้องก็เต็มไปด้วยขวดเหล้าเปล่าทำให้อากาศมีกลิ่นแปล่งจมูกตลบอบอวนไปทั่ว
เจนศิลป์เดินเลยไปในครัวที่อยู่เลยห้องรับแขกไป อ่างล้างจานและถุงขยะว่างเปล่าเพราะเขาพึ่งจัดการไปเมื่อเช้านี้ ชายหนุ่มเดินไปหยิบจานสะอาด ช้อน แก้วน้ำหนึ่งใบและน้ำสองขวดออกจากตู้เย็นก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน ชั้นสองนั้นก็ไม่ต่างจากห้องรับแขก กลิ่นอากาศแปล่งจมูกเพราะขวดเหล้าเปล่าวางอยู่ทั่วไปหมด เจนศิลป์เดินเลี้ยวไปเปิดห้องที่อยู่ขวามือของบันได ภายในนั้นกลิ่นยิ่งเลวร้ายกว่าภายนอกมาก ขวดเหล้าวางอยู่เกลื่อนกลาดบ่างก็ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า ที่สุดห้องมีเตียงไม้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ บนนั้นมีหญิงวัยกลางคนนอนเมามายไม่ได้สติ เท้าเธอข้างหนึ่งโผล่พ้นออกมานอกเตียงและคงปัดไปโดนโต๊ะไม้เล็ก ๆ ที่เจนศิลป์ใช้วางจานอาหารให้จนจานตกมาแตกเศษอาหารกระจายไปทั่ว ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไม่กวาดและที่ตักผงมา เขาวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะและเริ่มเก็บกวาดพร้อมกับหยิบขวดเปล่าออกไปไว้ด้านนอกไม่นานก็เสร็จจึงหันมาเทอาหารใส่จานและเทน้ำเปล่าใส่แก้ว
“แม่.....แม่” เจนศิลป์เดินไปเหย่าร่างหญิงคนนั้นแรง ๆ
เธอทำเสียงฮึสองสามทีก่อนจะตอบ“อะไร....”
“คอมซื้อข้าวมาให้วางไว้นี่น่ะ.....แล้วกินยาที่อาหมอเอามาให้หรือยัง”
เธอไม่ตอบ ชายหนุ่มจึงไม่คิดจะพูดอะไรมากกว่านี้และเดินออกมา เขาเดินขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งชั้นจึงจะถึงห้องของเขาเอง นี่คงเป็นที่เดียวกระมังที่ไม่มีกลิ่นเหม็นประหลาดลอยตัวอยู่ ห้องของเจนศิลป์เป็นห้องที่ไม่ใหญ่นัก มันเป็นสีฟ้าสดใส ไม่มีข้าวของมากมายอย่างที่ควรจะเป็น ราวเหล็กราคาถูกตั้งอยู่ที่มุมห้องใช้แขวนเสื้อผ้า โต๊ะหนังสือวางอยู่อีกมุม และที่นอนวางอยู่กับพื้น ชายหนุ่มเปิดหน้าต่างให้ลมพัดเข้ามาและนั่งลงบนขอบหน้าต่างพรางจัดการกับขนมถังแตกที่ซื้อมากับน้ำเปล่า สายตาของเขาเหมอมองออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยสีส้มอมแดงของพระอาทิตย์ยามเย็น ถึงแม้สีหน้าของเขาจะเรียบเฉยแต่ก็พอมองออกว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัว
เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าเก็บของเขาดังขึ้นทำให้เจนศิลป์สดุ้งจากภวังค์ ขนมถังแตกหลุดออกจากมือตกลงสู่เบื้องล่าง เขาก้มลงไปมองมันแตกกระจายเต็มพื้นด้านล่าวก่อนส่ายหน้าอย่างเสียอารมณ์
เจนศิลป์หยิบโทรศัพย์ออกมาดูและกดรับสาย
“ครับอาหมอ”
“คอมหลอ” เสียงอีกฝ่ายทุ่มต่ำและเรียบเย็นอย่างผู้ชาย “นี่อยู่บ้านหรือเปล่า”
“อยู่ครับ”
“หลอ..แล้วแม่เป็นไงบ่างได้ทานข้าวทานยาบ่างหรือยัง”
 “ข้าวผมซื้อมาให้เขาแล้วครับ ส่วนยาผมไม่แน่ใจว่าแม่กินหรือเปล่า”
“งั้นหลอ.....”อีกฝ่ายเงียบไป “เออ.....แล้วนี่เราไม่ไปทำงานหรือไงจะสี่โมงแล้วนะ” 
ชายหนุ่มเอาโทรศัพท์ออกจากหูมาดูเวลา มันบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง
“ครับเดี๋ยวก็ต้องไปแล้วละครับ....จะสายแล้ว” 
“อือ....งั้นเดี๋ยวอาจะแวะเข้าไปวันจันทร์นี้แล้วกัน”
“ครับ ๆ” เจนศิลป์รีบตอบรับและวางหูอย่างเร็วก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวจากราวเสื้อผ้าไปอาบน้ำเตรียบตัวไปทำงาน

…………………………………..
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 12:54:31
โรงอาหารของมหาวิทยาลัยสุวรรณพิทักษ์นั้นเป็นสถานที่ ๆ ไม่ค่อยดูเหมือนเป็นโรงอาหารอย่างชื่อสักเท่าไร ด้วยรอบด้านของตัวอาคารถูกล้อมรอบด้วยกระจกใสประดับม่านสวยงาม ภายในติดแอร์อย่างดีพร้อมร้านอาหารฟาสท์ฟูดชื่อดังที่เรียงรายอยู่ทั่ว ดู ๆ ไปก็คล้ายกับศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้าเสียมากกว่า
“เฮ้ย ไอ้ฟ้า วันนี้ไปไหนกันดีว่ะ” เสียงพิเชษดังขึ้นตั้งแต่ตัวยังไม่นั่งลงบนเก้าอี้
องอาจหันไปพรางตอบ “กูก็ไม่รู้ว่ะ แล้วแต่ไอ้กรมัน เห็นมันบอกจะเลี้ยง ๆ อยู่” ชายหนุ่มโยนไปให้เพื่อนอีกคน
“อ้าวไอ้ห่านี่....กูไม่รู้น้า ปลายเดือนแล้วด้วย” กรเทพทำมือโบกไปมาคล้ายต้องการบอกว่าไม่มีเงิน
“แล้วไหนว่ามึงจะเลี้ยงพวกกูไง” องอาจว่า
“เออ ไหนมึงว่าจะเลี้ยงพวกกูไง”นาคินทร์ที่นั่งเงียบมานานเสริม
“โหย มันตั้งแต่ชาติที่แล้วมั่งเหอะ....โน่นเลย ไอ้หนึ่งมาแล้วถามแม่งบ่างสิเห็นมันว่าแม่มันพึ่งให้เงินมาไม่ใช่หลอ”
“อะไร ๆ กูยังไม่ทันได้หย่อนตูดนั่งก็โยนขี้ใส่กูซะแล้ว” พิราบว่าพรางนั่งลงข้าง ๆ ถัดจากองอาจและนาคินทร์
ชายหนุ่มทั้งหมดนั่งกันเป็นวงล้อมโต๊ะกลมตัวใหญ่กลางโรงอาหารไว้เป็นที่มั่นสำคัญ
“แล้วจะว่าไง....วันนี้จะไปไหนกันดี”พิเชษวกกลับเข้าเรื่องเดิม
“ข้าวสาร”นาคินทร์ออกความเห็น
“โห่ยไอ้ท๊อบ มึงจะไปล่อแหม่มอีกแล้วหลอไอ้สาด ไปได้ทุกวัน ๆ กูเบื่อจะตายห่าอยู่แล้ว”กรเทพพูดเสียงติดตลก
“งั้นมึงจะไปไหน”นาคินทร์ย้อนถาม
“อาร์ซีเอ”
“โห้ย ไม่ได้สร้างสรรค์กว่ากูเล้ย”
“พอ  ๆ ๆ มึงทั้งคู่นั้นล่ะ”พิเชษเข้ามาปรามทั้งคู่ไว้ก่อนจะหันไปถามองอาจ “แล้วมึงล่ะว่าไง ไอ้ฟ้า”
“กูเฉย ๆ ว่ะ ไงก็ได้แล้วแต่พวกมึง”
อีกฝ่ายพยักหน้า “แล้วมึงละไอ้หนึ่ง”
“ข้าวสารว่ะ วันศุกร์ คนเยอะดี” ชายหนุ่มพูดพรางเอามือเกาหัว
“โหไร้ว่ะ”กรเทพพูดน้ำเสียงเสียอารมณ์ “พวกมึงฮั้วกันป่ะเนี่ย วันศุกร์อาร์ซีเอคนก็เยอะเหมือนกัน”
“มีแต่ป้า ๆ ทั้งนั้นเลย เสป็กมึงนิไอ้กร”นาคินทร์พูดเป็นเชิงหยอก
“เออ กูผิดอีก ชอบของลายครามกูก็ผิด”
ชายหนุ่มทั้งห้าพากันหัวเราะ
“แล้วมึงละไอ้เชษ”พิราบเอ่ยขึ้น “จะไปไหนมึง”
“ข้าวสารว่ะ ดีสุดแล้ว ตกลงตามนี้นะ ข้าวสาร สามทุ่ม ไอ้กรมึงจะไปมั้ย”
“ไปสิ ดีกว่านอนเฉย ๆ อยู่บ้าน”
เมื่อได้ข้อสรุปแล้วคนทั้งหมดก็พากันแยกย้ายกันกลับ พิราบเดินลิ่ว ๆ ไปตึกจอดรถที่อยู่ไม่ห่างจากโรงอาหารไม่มากนัก แสงแดดยามสี่โมงเย็นดูจะลดความร้ายกาจลงไปมาก อีกทั้งยังมีสายลมอ่อน ๆ มาช่วยคลายร้อนไปได้เยอะทีเดียว
ชายหนุ่มกดลิฟตรงไปชั้นสี่ก่อนจะบึ่งรถยุโรปสีดำคันหรูออกจากตัวอาคารมา การจราจรในช่วงนี้ดูจะไม่ติดขัดมากนัก รถบางตาลงไปมากเมื่อเทียบกับวันอื่น ๆ อาจจะเพราะเป็นวันศุกร์ปลายเดือนเลยไม่ค่อยมีผู้คนออกจากบ้านในเวลาค่ำคืนก็เป็นได้
ดูพิราบจะพอใจกับถนนที่โล่งเตียนเป็นอย่างมาก
เท้าของเขาเหยียบคันเร่งและคลัชสลับกันไปมาพร้อมกับเปลี่ยนเกีย์อย่างรวดเร็ว ตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าจนแทบมองตามไม่ทัน เท้าขวาของชายหนุ่มเหยียบอยู่ที่คันเร่งจนเกือบมิดก่อนจะเลี้ยวรถขึ้นทางด่วนไป
เมื่อขึ้นบนทางด่วนแล้วใจของพิราบยิ่งพองโต ถนนโล่งอย่างกับป่าช้า ชายหนุ่มตบเกียห้าและเหยียบคันเร่งจนมิด ทิ้งรถคันอื่น ๆ ไว้ด้านหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น
ผู้คนหรือผู้ขับขี่ยวดยานอื่น ๆ มักมองชายหนุ่มว่าเป็นคนหนุ่มชอบความเร็ว ประมาท และขี้อวด แต่ก็มีบางคนที่มองดูแล้วคิดว่าชายหนุ่มกำลังหนีใครหรืออะไรบางอย่างอยู่ แต่ไม่ว่าจะหนีเท่าไร ชายหนุ่มก็ไม่เคยหนีพ้นสักที
พิราบวนรถลงทางด่วนแถวงามวงวาลและขับต่อไปอีกไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวนนทบุรี บ้านของเขานั้นเป็นบ้านขนาดกลางในหมู่บ้านจัดสรรที่มีคนอาศัยอยู่ไม่มากแต่ดูวุ่นวายตลอดเวลา อาจจะเพราะตลาดสดขนาดใหญ่ที่อยู่ปากซอยอีกด้านก็เป็นได้ที่ทำให้ความวุ่นวายแผ่ขยายออกไป ซึ่งดูแล้วชายหนุ่มก็ไม่ค่อยชอบมันเสียเท่าไรนัก เขาย้ายจากบ้านของตายายแถวรังสิตมาที่นี่เมื่อตอนเรียนอยู่มัธยมปลาย ที่ซึ่งความวุ่นวายนั้นแทบเป็นกฎต้องห้ามเลยที่เดียว
พิราบเลี้ยวรถเข้าไปจอดในบ้านก่อนจะเปิดประตูบ้านเข้าไป ภายในนั้นดูกว้างกว่าภายนอกมาก ห้องรับแขกก็ดูสะอาดสะอ้านด้วยสีขาวของผนังและหินอ่อนบนพื้น ชุดโฮมเทียเตอร์สีดำขนาดใหญ่ว่างคู่กับชุดโซฟารับแขกสีเบจจนดูเข้ากันอย่างประหลาด ชายหนุ่มเดินเลยเข้าไปในครัวด้านหลังก่อนหยิบน้ำในตู้เย็นดื่ม พอปิดตู้เย็นเขาก็พบกับโน้ตใบเล็ก ๆ ที่ติดกับแผ่นแม่เหล็กหน้าตู้เย็น
“พ่อกับแม่เข้าโรงงาน อีกสี่ห้าวันถึงจะกลับ แล้วจะโทรหา ดูแลตัวเองด้วย แม่”
ชายหนุ่มอ่านแล้วก็ขยำทิ้งไว้กับโต๊ะกินข้าวที่อยู่ด้านหลัง
“ปรกติก็ไม่ได้อยู่ อยู่แล้วนี่” เขาพึมพำก่อนจะเดินขึ้นด้านบนเพื่ออาบน้ำและเตรียมตัวออกไปข้างนอก
อีกหลายชั่วโมงต่อมาเขาก็เดินออกมาจากอาคารจอดรถแถวตลอกข้าวสารและตรงเข้าตลอกข้าวสารที่มีผู้คนเบียดเสียดกันไปมาพรางใช้มือกดโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหู
“พวกมึงอยู่ไหนแล้วเนี้ย”
อีกฝ่ายพูดชื่อสถานเริงรมย์แห่งหนึ่งออกมา
“เออ ๆ เดี๋ยวกูไปแล้ว”
และเหมือนไม่ได้ตั้งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูพระจันทร์ครึ่งดวงที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า สายตาของเขานั้นดูว่างเปล่าอย่างประหลาด

.................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 12:57:07
“ไอ้คอม น้ำแข็งสอง ไฮเนเก้นสอง โซดาสอง น้ำปล่าวขวด เหม่อเหี้ยไรอยู่ว่ะ”
เสียงเพื่อนร่วมงานของเจนศิลป์ตะโกนจนชายหนุ่มต้องละสายตาจากดวงจันท์และเริ่มเคลื่อนย้ายตัวอย่างรวดเร็ว
“โทษที ๆ” เขาพูดพรางรับใบสั่งของและหยิบให้
อีกฝ่ายส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะคว้าทุกอย่างและเดินไป
ชายหนุ่มทำงานเป็นเด็กล้างจานที่นี่มาตั้งแต่ที่นี่เป็นร้านอาหารริมน้ำธรรมดา ตั้งอยู่บนโป๊ะขนาดใหญ่ดูไม่แข็งแรงจนเดี๋ยวนี้กลายเป็นเด็กเสิร์ฟสถานเริงรมย์ริมน้ำ ตัวร้านทั้งหมดตั้งอยู่บนโครงสร้างที่ยื่นไปในแม่น้ำเจ้าพระยาราวห้าถึงสิบเมตร ล้อมด้วยกระจกดำด้านหน้าร้านและใสด้านที่เห็นแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในอัดแน่นไปด้วยกลุ่มคนที่ยื่นโยกย้ายไปตามเสียงดนตรีดูสนุกสนาน ส่วนบาร์น้ำและครัวนั้นถูกแยกออกมาด้านนอก เจนศิลป์มองดูคนเหล่านั้นด้วยสายตาสงสัยอยู่นาน ก่อนจะหันไปมองดูพระจันทร์อีกครั้ง วันนี้พระจันทร์มีเพียงครึ่งดวงเท่านั้นแต่ก็ยังส่องแสงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าที่ไร้เมฆและดวงดาวจนทำให้พื้นน้ำด้านล่างสะท้อนแสงระยิบระยับอยู่ในความมืดอย่างเงียบ ๆ นานครั้งจะมีเรือหางยาวหรือเรือโยงขนทรายแล่นผ่านไป บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ลิมน้ำฝั่งตรงข้ามดับไฟไปหมดแล้วจนเห็นเป็นเพียงเงาลาง ๆ ในความมืดเช่นเดียวกับไม้สูงต่าง ๆ ที่ยีนต้นตระหง่านกระจายอยู่ทั่วทิ่มแทงขึ้นด้านบนจนเกิดเป็นเงาดำรูปทรงแปลกประหลาดชวนสงสัยแต่สวยงามอย่างแปลกประหลาด   
เสียงเพลงในร้านค่อย ๆ เงียบลงกลายเป็นเพลงช้าจนเจนศิลป์สังเกตเห็น เขาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูมันบอกเวลาตี่หนึ่งตรงของวันเสาร์
 “หมดไปอีกวัน” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะค่อย ๆ เก็บขวดเปล่าที่เริ่มทยอยมาว่างหน้าบาร์น้ำลงลังเปล่าด้านล่าง ก่อนคว้าผ้าแห้งมาถูทำความสะอาดเคาเตอร์และพื้นจนสะอาดดีจากนั้นจึงเริ่มเช็คสินค้าที่เหลือทั้งหมดลงกระดาษเอาไปส่งให้แคชเชีย์ ก่อนกลับมาเปิดตู้เหล้าฝากที่อยู่หลังบาร์น้ำ
“ไอ้คอมวันนี้มีเหล้าหลุดป่าวว่ะ” เสียงเพื่อนร่วมงานคนเดิมที่ตะโกนใส่เจนศิลป์ดังมา
“มี ๆ สามขวดมั้ง”เขาตอบทั้ง ๆ ที่หัวยังมุดอยู่ในตู้เล็ก ๆ ที่ใช้เก็บเหล้าฝาก
“เออ ๆ เอาออกมาแดกกันด้วยน่ะ”
“เออ ๆ” ชายหนุ่มพูดพรางถอยออกมาคว้าไฟฉายและมุดเข้าไปใหม่ ไม่นานเขาก็เจอเหล้าขวดหนึ่งที่เขียนข้างขวดไว้ว่าเม่น ลงวันที่วันนี้ของเดือนที่แล้วและยังมีอีกสามขวดที่ลงวันที่วันเดียวกัน จริงอย่างที่กิตติว่า เหล้าที่เขาฝากไว้นั้นเหลือเพียงหนึ่งในสี่ของทั้งหมด เจนศิลป์ทิ้งมันไว้อย่างนั้นและคว้าขวดที่เหลือไปวางไว้ให้เพื่อนพนักงาน
“ไม่แดกด้วยกันหลอว่ะ” เพื่อนคนหนึ่งของเขาถามขึ้น ชายหนุ่มส่ายหน้า
“กลับบ้านว่ะ”ว่าแล้วเขาก็หันกลับไปที่บาร์น้ำอีกครั้ง คว้าขวดเหล้าของกิตติและเดินกลับบ้านไป
   ทางเดินกลับบ้านจากร้านที่เขาทำงานอยู่นั้นเป็นคนละทางกับเมื่อตอนเย็น มันเป็นทางเดินเล็ก ๆ เลียบไปตามแม่น้ำเจ้าพระยายาวราวร้อยเมตรผ่านศาลเจ้าพ่อหลักเมืองและศาลเจ้าแม่ทับทิมไม่ที่พึ่งสร้างเสร็จ มันดูน่าใหญ่โตและน่ากลัวอย่างประหลาดอแต่ก็ยังดูสวยและสมฐานะกว่าศาลเดิมที่ทั้งเล็กและคับแคบมาก เจนศิลป์เดินฝ่าความมืดไปโดยอาศัยเพียงแสงจากดวงจันทร์นำทางไม่นานเขาก็กลับถึงบ้าน
   ชายหนุ่มตรงไปที่ห้องของแม่เขาเป็นอันดับแรก แต่ทันทีที่เปิดประตู กลิ่นเหม็นสาบฉุนก็ลอยปะทะหน้าเจนศิลป์ทันที เขากวาดตามองไปทั่วจนพบกองเศษอาหารและน้ำย่อยนอนตัวอยู่ข้างเตียง หญิงกลางคนนอนศีรษะตกลงมาจากเตียงเหนือกองเศษอาหารนั่นพอดี
   “โถ่แม่”ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเบาและผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะรีบวางของทุกอย่างไว้หน้าห้องและหันไปคว้าผ้าแห้งกับถังพลาสติกจากในครัวมาทำความสะอาด
เศษอาหารเหล่านั้นเหนียวยืดดูน่าขยะแขยงอย่างสุดแสนอีกทั้งกลิ่นก็รุนแรงชวนคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูกแต่ชายหนุ่มกลับใช้ผ้าแห้งกอบทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ในถังอย่างไม่รู้สึกรังเกลียดแต่อย่างไดก่อนจะเอาไปทิ้งในห้องน้ำและหันไปหยิบเอาไม่ถูพื้นชุบน้ำสะอาดมาถูซ้ำอีกรอบ เมื่อเห็นสะอาดดีแล้ว เขาจึงลุกขึ้นไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเย็นจากตู้เย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้หญิงที่นอนไม่ได้สติอยู่
   “เย็น” หญิงคนนั้นว่าน้ำเสียงงัวเงียอย่างคนเมา
   “ไปอาบน้ำเถอะแม่....”ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเรียบเฉย
   “ไม่เอา...เดี๋ยวพ่อแกกลับมาแล้ว......กินข้าวกับพ่อแกก่อนแล้วค่อยอาบ”
   “ทำไม แม่หิวหลอ....ให้คอมไปซื้อมาให้มั้ย”
   “ไม่ต้อง...”อีกฝ่ายพูดทั้ง ๆ ที่ยังไม่ลืมตา......ราวกับว่ากำลังฝันอยู่ “เดี๋ยวพ่อแกก็กลับมาแล้ว....ฉันจะรอกินกับพ่อแก” จบคำเธอก็หลับไปอีกครั้ง
    ชายหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ เขาหันไปหยิบผ้าผืนเล็กมาอีกผืนชุบน้ำและเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้มารดา เธอมีรูปร่างที่ผอมจนน่าใจหาย กระดูกไหปลาร้าและกระดูกตามข้อต่อต่าง ๆ ปูดโปนเป็นสีขาวดูเปราะบาง รูปหน้าที่ครั้งหนึ่งเจนศิลป์เคยจำได้ว่างดงาม บัดนี้กลับซีดเสียวและตอบลงจนไม่เหลือเค้าเดิม ผมที่เคยดำเป็นเงาก็ถูกแซมด้วยสีขาวประปลายกระดำกระด่าง
   เมื่อเช็ดตัวให้มารดาเสร็จแล้วงชายหนุ่มจึงหันไปทำความสะอาดห้องต่อ เขาค่อย ๆ หยิบขวดเปล่าใส่ถุงขยะและขนออกไปจากห้องก่อนจะกวาดและถูกห้องอีกหลายรอบกว่ากลิ่นทั้งหมดจะหายไป จากนั้นเขาก็ลงไปทำเช่นเดิมที่ห้องรับแขกและห้องครัว
   เจนศิลป์จะทำเช่นนี้ทุก ๆ ห้าหรือสิบวัน ยกเว้นล้างจากกับเอาขยะไปทิ้งที่เขาจะทำทุกวัน เมื่อถุงขยะถุงสุดท้ายถูกเอาไปทิ้งไว้หน้าบ้านรอรถขยะมาเก็บไป เขาก็กลับไปที่ห้องของแม่เขาอีกครั้ง เอาขวดเหล้าของกิตติวางไว้บนโต๊ะและจ้องมองหญิงกลางคนอยู่พักหนึ่ ก่อนจะหันหลังกลับ ปิดไฟ และเดินขึ้นห้องของตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน มือข้างหนึ่งของเขาควานหาสวิตช์ไฟในความมืดอีกมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ แสงไฟนิออนกระพริบสองสามครั้งก่อนจะติดขึ้นพร้อม ๆ กับเปลวไฟที่ปลายมวนบุหรี่
เจนศิลป์ถอนหายใจยาว ๆ พร้อมควันสีขาวอมเทาก่อนนั่งลงบนขอบหน้าต่าง สายตาของเขาเหม่อมองออกไปยังภายนอกอย่างไร้จุดหมาย คล้ายเฝ้ารออะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาเองก็รู้ดีว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ไม่เคยเกิดขึ้น และไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงเฝ้ารออย่างนี้ทุกวันคล้ายคนโง่ที่เฝ้าหลอกตัวเองด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ
     กลิ่นหอมของวันใหม่เริ่มโชยมาในอากาศพร้อมกับท้องฟ้าที่เริ่มส่องแสง เจนศิลป์ก้มลงมองดูโทรศัพย์มือถือพร้อมกับเอามือป้องปากหาววอดใหญ่ มันบอกเวลาตีห้าสิบนาที ได้เวลาเข้านอนของเขาแล้ว ชายหนุ่มทิ้งบุหรี่ที่เหลือแต่ก้นลงขวดน้ำก่อนล้มตัวลงบนที่นอนและหลับไป

................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 12:58:51
กิตติรู้สึกตัวตื่นขึ้นในตอนเช้าอย่างอ่อนล้าและงัวเงีย เขาเอาหมอนมาทับหัวของตัวเองไว้เพื่อให้ดวงตาพ้นจากแสงรุ่งอรุณที่สาดส่องเข้ามา มือของเขาควานไปรอบเตียงทั้งที่ดวงตายังปิดแน่นหวังจะพบกับร่างใครบางคนที่ควรนอนอยู่ข้างกาย แต่สิ่งที่พบก็เป็นเพียงหมอนและความว่างเปล่าเท่านั้น ชายหนุ่มชะโงกหัวขึ้นมองไปรอบห้องเล็ก ๆ ของตัวเอง
ประตูห้องน้ำที่อยู่ขวามือของเตียงนั้นเปิดอ้าอยู่เช่นเดียวกับประตูระเบียง เป็นเหตุให้แสงของวันใหม่สาดส่องเข้ามาปลุกชายหนุ่มจากการหลับใหล เงาร่างของใครบางคนประทับลงบนผ้าม่านราคาถูกโบกสะบัดไปมาจนดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย กิตติคว้ากางเกงขาสั้นที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมให้กับร่างที่เปลือยเปล่าก่อนจะเดินโซเซไปที่ระเบียงและสวมกอดร่างนั้นจากด้านหลัง
“ทำไมตื่นเช้าจัง” เขาพูดพรางเอาแก้มแนบไปที่หลังกกหูของอีกฝ่าย
“นอนไม่หลับ”เสียงที่ตอบมานั้นเป็นหญิงสาวอย่างแน่นอนแต่มันเรียบเฉยและไร้อารมณ์อย่างแปลกประหลาด เสื้อกล้ามตัวเล็กและกางเกงขาสั้นของผู้ชายที่เธอสวมนั้นไม่สามารถปกปิดผิวเรียบเนียนสีน้ำตาลนั้นได้มิดชิดนัก
“มานอนเถอะเดี๋ยวเม่นกล่อมเอง” เขาเริ่มใช้จมูกดุนใบหูของหญิงสาวเล่น
“พอเถอะเม่น” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมก่อนจะปัดมือของกิตติหลุดออกและเดินเข้ามาด้านในก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงและคว้ายางรัดผมที่ว่างอยู่บนโต๊ะหัวเตียงมารวบผมที่ยาวถึงบั้นท้ายไว้
“แมวเป็นอะไร”ชายหนุ่มเดินตามมานั่งข้าง ๆ พรางจับปอยผมเล็กของหญิงสาวขึ้นทันหูให้ อีกฝ่ายโยกหัวหลบและไม่ตอบคำถามปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งคู่อยู่หลายนาที ความงงงันของชายหนุ่มปรากฏชัดเจนบนใบหน้าและสายตาที่จ้องมองอีกฝ่าย เขาไม่เข้าใจว่าหญิงสาวที่อ่อนหวาน นิ่มนวล และเขินอายยามเมื่อร่างที่เปลือยเปล่าของทั้งคู่อาบด้วยแสงเทียนสลัวเมื่อคืนนั้นหนีหายไปไหนแล้ว เธอในตอนนี่ช่างเย็นชาและซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจได้ เหมือนเธอปิดกั้นเขาออกจากบางที่ ๆ เขาควรจะอยู่ ปิดกั้นเขาจากโลกที่เขาเคยมีตัวตนอยู่ภายในของเธอเอง
“แมวว่า” หญิงสาวพูดขึ้นทำให้ชายหนุ่มอุ่นใจขึ้นมาบ่าง แต่เมื่อคำพูดคำต่อไปหลุดลอดออกมากิตติก็แทบล้มลงคุกเข่าอ้อนวอนตรงหน้าของหญิงสาว “เราห่างกันสักพักเถอะ”
“ทำไมล่ะ”ชายหนุ่มสวนขึ้นในทันควัน “เม่นทำอะไรไม่ดีหลอแมว”
   เธอส่ายหัวเบา ๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นหลอกเม่น เม่นนะดีทุกอย่าง”
   “แล้วทำไมละแมว” หญิงสาวเงียบไปเช่นเดียวกับชายหนุ่ม ทั้งคู่หันหน้าหนีจากกันก่อนที่เขาจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อพูดคำต่อไปและใช้ความกล้ามากกว่านั้นเพื่อฟังคำตอบของคำถาม “มีคนใหม่ใช่หรือเปล่า”
   หญิงสาวหันมาที่ชายหนุ่มอย่างเร็ว “อะไรนะ”
   “แมวตอบเม่นมาสิ”ชายหนุ่มย้ำหนักแน่น หญิงสาวไม่ตอบ “ มันชื่อกรเด็กม.สุวรรณฯใช่มั้ย” เข้าจ้องมองหญิงสาวไม่วางตา
   “เม่นรู้เรื่องกรเขาได้ยังไง”หญิงสาวว่า ชายหนุ่มเค้นเสียหัวเราะขึ้นจมูกที่หนึ่งอย่างเจ็บใจ“เรื่องนี้กรเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยนะ”
“แล้วมันเกี่ยวกับอะไรล่ะแมว เงินมัน หน้ามัน รถมันหรืออย่างอื่น”คำสุดท้ายนั้นชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาแต่แผงด้วยโทสะที่อัดแน่นในทุกถ่อยคำดวงตาจ้องมองหญิงสาวที่บัดนี้แสดงสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ยังคงใจแข็งจ้องชายหนุ่มกลับ “อย่างคิดนะว่าเม่นไม่รู้ เม่นไม่ได้โง่นะ”
“เม่นพูดเรื่องอะไรเนี่ย” เธอว่าพรางเสยปอยผมด้านข้างขึ้นทัดหู ชายหนุ่มรู้ดี เวลาเธอโกหกเธอมักทำแบบนี้เสมอ
“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่จริง” เธอตอบทันควันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนชายหนุ่มรู้ว่ามันเป็นคำโกหกที่เชื่อถือไม่ได้
“เม่นไม่เชื่อหลอก เก็บไว้หลอกเด็กปัญญาอ่อนจะดีกว่านะ”
“ก็แล้วแต่เม่นจะคิด”เธอพูดก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มเงียบกันไปอีกครั้ง
กิตติหันหน้าหนีจากหญิงสาวอย่างหมดหวังและพยายามอย่าสุดความสามารถที่จะสะกดกลั่นน้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาขึ้นมาทุกที ก้อนเนื้ออันใหญ่เริ่มขึ้นมาจุกที่คอทำให้ในอกแน่นจนทรมานราวกับว่าจะขาดใจอยู่ตรงนั้น แต่ทุกครั้งที่เขารู้สึกว่ากำลังจะตาย ก้อนเนื้อนั้นก็จะคลายตัวให้ชายหนุ่มได้หายใจคล้ายปราณีก่อนจะเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเหมือนกับคำสาปที่ไม่มีทางหลุดพ้นไปได้ กิตติเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเช่นกัน
“ถ้าอย่างจะเลิก......” เขาว่า “ก็เลิกเถอะ คบกันไปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาสองปีที่คบกันก็มีแต่เรื่องคนอื่นจนเม่นเองเริ่มเหนื่อยแล้วที่ต้องคอยตามแมวอยู่แบบนี้”
นับจากนาทีที่เขาพูดคำนั้นออกไปเวลาทั้งหมดทั้งมวลบนโลกทั้งใบนั้นก็ดูเหมือนจะบิดเบือนจากความเป็นจริงไปมาก เธอคนนั้นไปตอนไหนชายหนุ่มก็ไม่รู้ เวลาทุกวินาทีเริ่มยาวนานขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว หนึ่งนาทียาวนานเหมือนไม่มีวันจบสิ้น หนึ่งชั่วโมงยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ และน้ำตานั้นที่พลั่งพลูออกมาก็เหมือนว่าความโศกเศร้าทั้งหมดนั้นจะไม่มีวันจางหายไปเลย
.....................................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 13:00:24
สาริณีนอนดูโทรทัศน์เพียงคนเดียวภายในหอพักโดยสวมเพียงเสื้อนักฟุตบอลตัวยาวเพียงตัวเดียว เผยให้เห็นเรียวขาที่ค่อนข้างเล็กและขาวซึ่งก็ดูเข้ากันดีกับเท้าที่เล็กและรูปร่างที่ไม่สูงมากของเธอ ทรงผมที่สั้นและดำก็ทำให้ใบหน้าเธอดูอ่อนใสและน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น สาริณีมองดูชื่อผู้โทรเข้าก่อนจะรีบรับสาย
“อือ...”
“ทำไรอยู่”เสียงชายหนุ่มพูดมาตามสาย
“ก็รอโทรศัพท์ธงอยู่ไง”
อีกฝ่ายหัวเราะอย่างเป็นสุข “น่ารักจังเลยแฟนใครเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน”หญิงสาวพูดพรางหัวเราะ “แล้ววันศุกร์นี้จะมาหาสาหรือเปล่าเนี้ย”
“อือ....คงไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ” หญิงสาวถามเสียงห้วนไม่หวานเหมือนก่อนหน้า
“มีงานด่วนเข้ามา อย่าโกรธธงเลยนะ เดี๋ยวอาทิตย์ถัดไปจะไปหาแน่”   
   “งานด่วนมาสองเดือนแล้วนะ ธง......”
   ”โถ่สา”อีกฝ่ายทำน้ำเสียงตัดพ้อ “ธงขอโทษ แต่งานมันด่วนจริง ๆ”
   หญิงสาวดูจะพยายามอดกลั้นอยู่มาก “อย่างนั้นก็ได้”
   “อือ...งั้นแค่นี้ก่อนนะ ดึก ๆ จะโทรไปใหม่”
   “อือ”
   ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ก็ตัดไปเหลือเพียงเสียงสัญญาณแปล่งหู เธอโยนโทรศัพท์ไปอีกด้านของเตียงก่อนจะหันมาสนใจโทรทัศน์ต่อ แต่ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เธอบ่นอุบอิบก่อนจะเดินไปส่องตาแมวที่ประตู
   “ไอ้เม่น ไอ้ห่ากูก็นึกว่าใคร” เธอพูดพรางเปิดประตูออก แต่ด้วยสีหน้าของชายหนุ่มที่หม่นหมองลงถนัดตาประกอบกับดวงตาที่ช้ำแดงทำให้หญิงสาวเปลี่ยนท่าทีไป “เฮ้ย เป็นไรว่ะ ตาแดงเป็นหนูตะเภาเลยมึง”
   ชายหนุ่มไม่ตอบ “กูเข้าไปข้างในได้มั้ย”
   หญิงสาวเปิดทางให้ก่อนจะปิดประตูลงกลอนและมานั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่มที่บัดนี้ทิ้งตัวลงบนที่นอนแผ่หลาอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง
   “กูเลิกกับแมวแล้ว”
   หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงแกล้งถอนหายใจเสียงดัง “อีกละ สองปีมาน่ากูก็เห็นพวกมึงสองคนเลิกกันห้ารอบได้แล้วมั้ง คราวนี้จะเอากี่วัน ห้าวัน สิบวัน มีคราวที่แล้วกูเห็นใจแข็งหน่อยก็เดือนนึง” พอหญิงสาวเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายจึงหมดอารมณ์กระแนะแระแหน เธอถอนหายใจอีกครั้งก่อนว่า “เรื่องนั้นใช่มั้ย”
   ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
   สาริณีรู้ดีถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่จริงก็เป็นเพราะเธอนั้นล่ะที่ทำให้ชายหนุ่มรู้เรื่องนี้เข้า  เรื่องของเรื่องก็คือหญิงสาวได้จ้างให้น้าชายของเธอซึ่งทำอาชีพขับแทคซี่รับจ้างอยู่ มาคอยรับแฟนสาวของกิตติที่เป็นโรคตีนแดงลิสซึ่มนั่งรถเมล์ไม่ได้ทุกเย็น และคอยรายงานกลับมาว่าหญิงสาวไปลงที่ไดบางในแต่ละวัน ซึ่งสิ่งที่เธอทำนั้นมีความหวังดีต่อชายหนุ่มเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่เธอถูกอีกฝ่ายดูถูกว่าเป็นหญิงบ้านเข้ากรุงเสียมากกว่า
   แต่ทั้งที่รู้สึกแบบนั้น หญิงสาวก็อดสงสารชายหนุ่มไม่ได้ที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะสาเหตุมาจากเธอ
   “เอางี้”เธอว่า “เย็นนี้ไปหาไอ้คอมกัน ไปหาเหล้าแดก เอาให้เมาแม่งเลยจะได้ลืม ๆ “
   ชายหนุ่มไม่ตอบหญิงสาวถึงตั่งท่ายืนขึ้นและเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางไว้เหนือโทรทัศน์   
   “เดี๋ยวกูมา หาข้าวแดกก่อน เอามั้ย”
   ชายหนุ่มพยักหน้าพรางมองอีกฝ่าย “ชุดนี้เนี้ยน่ะ”
   เธอก้มลงมองตัวเองที่สวมเพียงเสื้อฟุตบอลตัวยาวก่อนจะยิ้ม “เออว่ะ เดี๋ยวไปใส่กางเกงก่อน” ว่าแล้วเธอก็เดินไปคว้ากางเกงจากตู้เสื้อผ้าข้างเตียงและหายไปในห้องน้ำ
   ...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 13:01:21
เวลาอาหารเย็นของครอบครับนี้ดูผิวเผินจะเหมือนอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างมาก แต่ธารารู้ดีถึงสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวใหญ่ตามแบบอย่างของคนจีน มีสมาชิกทั้งหมดราวสิบห้าคนได้ ทุก ๆ วันเวลาสองทุกคนต้องมานั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม้กลมใหญ่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและกินอาหารร่วมกันพรางเล่าสิ่งต่าง ๆ ให้กันฟังอย่างออกรส เสียงพูดคุยภาษาไทยปนจีนจะดังละงมไปทั่วทั้งห้องที่มีขนาดใหญ่โตพร้อมของประดับใหญ่โตมากมาย ทั้งกระถางกระเบื้องลงลายสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่ ภาพเขียนใส่กลอบแบบจีน และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ทุก ๆ วันธาราจะรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นล่องหนอยู่ในห้องใหญ่แห่งนี้ อาป๊าและอาม้าของเธอนั้นจะนั่งอยู่ข้างกับพี่สาวคนโตและน้องชายของเธอส่วนเธอเองนั้นจะนั่งอยู่ท้ายสุดของครอบครัว ที่จริงแล้วเธอจะมีพี่ชายคนรองนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยแต่ตอนนี้เขาออกเดินทางไปต่างประเทศที่นั่งข้างเธอจึงว่างอยู่
   เธอและพี่ชายคนรองสนิทกันมากเป็นพิเศษ อาจด้วยเพราะเป็นลูกคนที่สองและสามซึ่งอยู่ตรงกลางพอดีจึงทำให้มีอะไร ๆ คล้ายกันอยู่หลายอย่าง การที่เขาไม่อยู่ตรงนั้นมันทำให้เธอรู้สึกโดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
   หญิงสาวเหม่อมองไปยังที่นั่งข้าง ๆ ที่ว่างเปล่าด้วยสายตาโหยหา
   “อาเจ้ ข้าว” เสียงน้องชายของเธอดังขึ้นพรางส่งโถข้าวกระเบื้องให้เธอ
   “ขอบใจ อาตี๋เล็ก”
   ธาราแบ่งข้าวใส่จานเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มรับประทานอย่างเบื่อหน่าย เสียงญาติ ๆ ของเธอพูดคุยกันเสียงดังคับห้อง อาป๊าของเธอที่มีผิวขาวและรูปร่างอ้วนท้วนเล่าเรื่องงานรับเหมาที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างอารมณ์พรางพ่นเศษอาหารในปากออกไปยามหัวเราะจนดูคล้ายคล้ายหมูตะกระตะกลาม เธอเบือนหน้าหนีอย่างอับอายก่อนจะลุกเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเงียบ ๆ
   ห้องของเธอเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีข้าวของอย่างห้องเด็กผู้หญิงทั่วไป เตียงใหญ่ถูกวางชิดริมหน้าต่างด้านในสุดและปูทับด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าลายโดลาเอม่อนเช่นเดียวกับหมอนข้าง ผ้าห่มและหมอน ตูเสื้อผ้าที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีอ่อนถูกว่างอยู่ที่ปลายเตียง ข้าง ๆ เป็นโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้ชนิดเดียวกัน ข้างเตียงอีกด้านเป็นโต๊ะหัวเตียงเล็ก ๆ ใช้วางโคมไฟรูปโดลาเอม่อนแต่งตัวเป็นเทพีเสรีภาพ ถัดจากโต๊ะหัวเตียงมาจะเป็นโต๊ะวางคอมพิวเตอร์จอพราสม่าสีดำดูราคาแพง ห้องของเธอไม่มีโทรทัศน์เพราะตอนที่เธอซื้อคอมพิวเตอร์มา อาป๊าบอกกับเธอว่าถ้าจะเอาคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องก็ต้องเอาโทรทัศน์ออกไป ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นนางอายหลบอยู่ในห้องตลอดไม่ไปไหนอีก แต่เธอคิดว่าปรกติก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเธออยู่แล้วแม้ว่าเธอจะอยู่กลางคนเหล่านั้นก็ตาม
   ธาราทิ้งตัวลงบนเก้าอื้ตัวใหญ่ที่ทำเป็นรูปโดลาเอม่อนกำลังกอดคนที่นั่ง ก่อนเริ่มท่องไปในโลกที่เธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นมีตัวตนอยู่จริงและมีค่าสำหลับใครสักคน ในโลกแห่งนั้นเธอสามารถไปไหนก็ได้อย่างใจเธอต้องการ พูดคุยกับใครก็ได้โดยไม่รู้สึกเขินอายไม่ว่าจะเชื่อชาติได ศาสนาไดเธอสามารถพูดคุยได้หมด และส่วนที่เธอชอบที่สุดก็คือเธอสามารถเป็นใครทำอาชีพอะไรก็ไดในโลกข้อมูลอิเล็กทรอนิกนี้ ทั้งหญิงระบำเปรื่องผ้าในลาสเวกัส ไอด้อลชายหน้าหวานชื่อดังในญี่ปุ่น หมอศัลยกรรมให้คำปรึกษาแก่ผู้เดือดร้อนในอินเดีย และที่เธอชอบที่สุดคือหนุ่มใหญ่ขี้เหงาในกรุงเทพ
   ไม่นานนักก็มีคนเข้ามาทักทายเธอผ่านโปรแกรมพูดคุย เอ็มเอสเอ็น ชื่อที่ขึ้นอยู่บอกให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนเก่าที่พูดคุยกับเธอมานานผ่านโลกสะเหมือนจริงแห่งนี้ สำหรับเธอ ธาราคือพี่แว่นชายวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่ขี้เหงาและอบอุ่น และสำหลับธารา อีกฝ่ายคือแอมมี่เด็กสาวน่ารักวัยมัธยมปลาย
   -  ดีค่ะพี่แว่น-
- อือ...ว่าไงจ๊ะ แอมมี่ วันนี้โดดเรียนอีกหรือเปล่า-
- เปล่านะ วันนี้เขาปะเรียนโด้ย-
ธาราชินเสียแล้วกับการพิมพ์ข้อความแบบนี้ของอีกฝ่ายถึงบางครั้งมันจะทำให้เธอปวดหัวบ่างก็ตาม
-จริงนะ ไม่หลอกพี่แว่นนะ
-เจง เจง- อีกฝ่ายพิมพ์มาพร้อมกับไม้ยามกสามแถวเต็ม
-แล้วเป็นไงบ่าง เรียนอะไรบ่างวันนี้-
-เรียนรู้ที่จาร้าก- ตามมาด้วยไม่ยามกอีกสองแถวครึ่ง
   ธาราอมยิ้ม
   - หลอ แล้วตอนกลางวันกินอะไรบ่างหรือเปล่า เลิกไอเอ็ดได้แล้วนะ-
   - เขากินต๊ะหลายอย่าง พี่ล่ะกินอะไรบ่าง-
   - กินแต่ไก่วันนี้ ปวดตามข้อไปหมดแล้วเนี้ย สงสัยจะเป็นเก๊า-
   - เจงหลอพี่  ไปหาหมอยัง-
   - ไปแล้ว หมอบอกว่าเป็นเก๊าสายพันธุ์ใหม่ รักษาไม่หาย-
   - เจงอะ-
   - อือ โรค เก๊าๆๆๆๆๆๆๆๆๆร้ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆโตๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเองๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆน้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ-   
    ธาราหัวเราะเบากับความไร้สาระของตัวเอง
-แล้วพี่ได้บอกร้ากกับคน ๆ น้านไปยาง- อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีคล้ายไม่พอใจที่เจอคนไร้สาระกว่าตัวเอง
-ยังเลย แต่เมื่อวานได้คุยกับเขาด้วย-
-เจงอ่ะ เขาว่างายบ่างละ-
-ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่พยักหน้าเฉย ๆ เอง-
-ดีจางน้า-
-ดียังไง....พี่ไม่เข้าใจ-
-ก็ดีที่อย่างน้อยพี่ยังมีคนให้ร้าก ให้คิดถึงไง-
ธาราจ้องมองข้อความนั้นอย่างครุ่นคิดและเหม่อลอย
-คงอย่างนั้นมั้ง--
หญิงสาวนั่งอยู่แบบนั้นจนถึงเกือบเที่ยงคืนก่อนจะหาข้ออ้างไปนอน อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเธอไปโดยดี แต่หลังจากผ่านไปหลายสิบนาที ธาราก็ได้ล้มตัวลงนอนบนเตียง
      “เก๊าร้ากโตเองน้า”หญิงสาวพึมพำพรางยิ้มก่อนจะผล่อยหลับไป
.......................................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 10-12-2007 13:33:35
                          หวัดดีครับ :m13: งาย........ในที่สุดก็ได้พูดคำนี้เสียที  :m15: ยังไงก็ต้องสวัสดีอย่างเป็นทางการด้วยนะครับ  :m4: สำหลับบอร์ดนี้ผมยังเป็นมือใหม่อยู่ดังนั้นเลยอยากจะฝากเนื้อฝากตัวด้วยแล้วกัน ที่บอกว่าเป็นมือใหม่สำหลับบอร์ดนี้ก็เพราะเหตุผลหลายข้อ หนึ่งคือ ผมเพิ่งจะได้ลงเรื่องที่บอร์ดนี้เป็นเรื่องแรกเลยไม่ค่อยมีใครรู้จักผมซักเท่าไร (พูดไป ทำอย่างกับที่อื่นเขารู้จักแกนิ  :m15: )ต่อมาคือ เรื่องนี้เป็นเรื่องรัก ๆ ไคร่ ๆ เรื่องแรกที่ผมเขียน ขอสารภาพเลยว่าที่ผ่าน ๆ มาผมไม่ค่อยถนัดเรื่องอะไรแบบนี้เลยสักนิด ทั้งในการเขียนและชีวิตจริงเรื่องนี้มีคนเป็นสิบยืนยันได้ (เว่อล่ะ ไม่ถึงมั่งเหอะ  :m23: ) ดังนั้นเลยไม่เคยได้เขียนเรื่องแบบนี้ออกมาเป็นจริงเป็นจังเสียที จนพอระยะหลัง ๆ มานี้ไม่รู้เป็นอะไร ถามตัวเองด้วยคำถามเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาจนฟุ้งซ่านนอนไม่หลับไปหลายคืน คิดอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้เสียที จนทนไม่ไหวเลยลองเขียนออกมาเป็นเรื่องเป็นราวดูสักครั้งเผื่อมันอาจจะช่วยอะไรได้บ่าง ยังไงถ้ามีข้อผิดผลาดอะไร ก็ต้องขอคำติชม ชี้แนะด้วยแล้วกันนะครับ  :m3: 
                             
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 10-12-2007 13:40:23
อ่านแล้วน่าสนใจดี แต่ตัวละครเยอะไปนิด  :m7:  :m7:  :m7: อาจจะเป็นรูปแบบของความเหงารึเปล่า  :a9:  :a9:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: detective Q ที่ 10-12-2007 15:43:46
ตาลายค๊อดๆ
ฉากแรกที่ตอนประถมเนี่ยไม่เกี่ยวกับเรี่องใช่ป่าว
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 11-12-2007 15:55:57

Insert Quote
ตาลายค๊อดๆ

จะว่าไงดีละ เกี่ยวก็เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว   ถ้าบอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิครับ :m21:   
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 11-12-2007 16:17:11
 o2ตาลายไปนิดแต่ก็ไงดีหนุกครับรีบมาต่อนะครับ :m7:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 14-12-2007 13:26:09
จะรีบมาอัพน้าคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ


:m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 14-12-2007 13:41:01
รอติดตามอยู่นะครับผม :a11:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 14-12-2007 15:25:44
“งั้นก็แปลว่าคราวนี้มึงเอาจริงใช่มั้ย”เจนศิลป์พูดขึ้นหลังจากกิตติและสาริณีเล่าทุกอย่างให้ฟัง
   คนทั้งสามนั่งอยู่ด้านนอกของร้านที่เป็นระเบียงแคบยาวเปิดโล่งให้เห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างชัดเจน
   อีกฝ่ายไม่ตอบเอาแต่พยักหน้าน้อย ๆ
   “อือ...ก็ดีแล้ว คนแบบนั้นคบกันไปก็มีแต่เสียใจเปล่าๆ ”
   “แหม....ตอนนี้แม่งก็พูดได้สิ” สาริณีพูดขึ้นพรางยกแก้วเหล้าขึ้นเทใส่ปาก “แต่กูเห็นพอแม่งมาบีบน้ำตาไม่เท่าไรมึงก็ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟทุกที”
   “สา มึงเชื่อกูสิ กูไม่เอาแล้วจริง ๆ” กิตติพูดเสียงป้อแป้อย่างคนเมาพรางยกแก้วเหล้าเทเข้าปากอีกคน “ว่าแต่กู แฟนมึงง่ะ ไม่เห็นมาสนใจใยดีมึงเท่าไรเลย อยู่ห่าง ๆ กันแบบนี้ระวังเถอะมึง กูจะบอกให้”
   “อ้าวไอ้เชี้ยนี่ ปากหรือนะที่พูด”
   “เอ้าสา” เจนศิลป์ร้องขึ้น “มึงมีแฟนด้วยหลอว่ะ”
   ไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบ กิตติก็พูดขึ้น“อย่านะไอ้สัตว์  อย่าพึ่งเล่านะมึง ให้กูไปหายาดมก่อนแม่งน้ำเน่าชิบหาย”
“จริงหลอว่ะ” เจนศิลป์หัวเราะพรางมองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“เออ..จริง ๆ น้อง ๆ ตำนานรักดอกเหมยช่องสามเลยมึง”
   “ไอ้สัตว์เว่อ”หญิงสาวหัวเราะเสียงดังพรางปาฝาขวดน้ำใส่ชายหนุ่มเบา ๆ
   “จริงหลอว่ะ เล่าให้กูฟังบ่างสิ กูอยากรู้” ชายหนุ่มว่าก่อนจะหันตัวเข้าหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างสนใจ
   “ก็ไม่มีอะไร” หญิงสาวยิ้ม “พวกมึงจะรู้ไปทำไมเนี้ย”
   “มึงก็เล่าให้ไอ้คอมมันฟังหน่อยสิ เอาตั้งแต่ ปวช.เลยนะ”
   “จริงอะ คบกันตั้งแต่เรียนปวช.ที่ประจวบเลยน่ะนะ”
   “เออ....ก็คบกันมาเลื่อย ๆ พอกูเอ็นติดที่นี่เลยไม่คอยมีเวลาอยู่ด้วยกัน เขาก็เรียนปวส.ไปด้วยทำงานได้ด้วยเลยยุ่ง ๆ ไม่มีเวลามาหากูก็แค่นั้นเอง”
   “ไม่เอาไอ้เชี้ย”กิตติโอตคลวน “เอาตอนไปส่งมึงที่ท่ารถทัวร์ด้วย”
   หญิงสาวหัวเราะแก้มปริ
   “ทำไมว่ะ มีไร”
   หญิงสาวหัวเราะพรางกุมหัวตัวเองโดยมีกิตตินั่งยุอยู่ตรงข้าม
   “ก็ตอนที่กูจะขึ้นรถทัวร์มาที่นี่เขาก็มาส่งกูที่ท่ารถแล้วก็บอกว่า”สาริณีหัวเราะตามกิตติที่ตอนนี้หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว “ก็บอกกูว่า ถึงตัวจะไกลกันยังไงแต่ใจอยู่ใกล้นะ”
   กิตติปล่อยก๊ากออกมาเสียงดัง เจนศิลป์งงแต่ก็ฝืนหัวเราะตามเช่นเดียวกับหญิงสาว
   “ไอ้สัตว์เน่าชิบหาย”
   ไม่ทันที่จะว่าอะไรต่อ เพื่อนร่วมงานของเจนศิลป์ก็ยืนกวักมือเรียกอยู่ไกล ๆ ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ
   “เดี๋ยวกูไปก่อนนะ ไปทำงานก่อน สาฝากดูไอ้เม่นดี ๆ ด้วยนะ”
   หญิงสาวพยักหน้าก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินไป กิตติยังหัวเราะอยู่ในลำคอไม่หยุด ทั้งคู่เงียบกันไปสักพักก่อนที่กิตติจะหยุดหัวเราะและพูดขึ้น
   “สา กูถามมึงจริง ๆ นะ” น้ำเสียงเขาฟังดูจริงจังขึ้นถนัด “มึงรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่าว่ะ”
   “รู้สึกอะไรของมึง”หญิงสาวทำหน้างงก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
   “ก็ที่มึงบอกไง ที่แฟนมึงบอกว่าถึงตัวห่างกันแต่ใจอยู่ใกล้กัน มึงรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า”
   หญิงสาวเงียบไปพรางเหมอมองไปยังผืนน้ำด้านนอกที่มืดมิดกลมกลืนไปกับเวลาค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ นานครั้งเสียงน้ำกระทบตัวกันเบา ๆ ด้านล่างจะลอยแว่วมาตามลมที่หยุดนิ่งไม่ไหวติง ทุกสิ่งชวนเงียบงันและเปล่าเปลี่ยวจนหญิงสาวรู้สึกหนาวขึ้นมาในอก
   “เป็นบางครั้ง” เธอตอบเสียงเบา
   ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด
   “แล้วมันดีมั้ย”
   หญิงสาวหัวเราะ สายตายังคงมองออกไปด้านนอก “มึงถามอะไรเนี้ย”เธอถามกลับพรางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้วอีก “มันก็ไม่ดีเท่าไรหลอก ส่วนใหญ่จะเหมือนคอยมากกว่า” น้ำเสียงเธอฟังดูไม่จริงจังนักแต่มันก็แฝงด้วยความเศร้าที่ลอยตัวบางเบาอยู่
   “คอย.....”ชายหนุ่มทิ้งหางเสียงไว้
   “พูดไปมึงก็ไม่เข้าใจ แดกเหล้าเถอะ”ว่าแล้วเธอก็ยื่นแก้วเหล้ามาชนและยกขึ้นดื่มที่เดียวหมดแก้ว
   ทั้งคู่นั่งดื่มกันอยู่อย่างนั้นเป็นนานโดยมีเจนศิลป์เดินมาพูดคุยด้วยเป็นระยะ ไม่นานเวลาก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปสองชั่วโมงพอดี
   “งั้นเดี๋ยวกูกลับก่อนนะ” กิตติพูดบอกเจนศิลป์พรางหิ้วปีกสาริณีเดินออกมาทางหน้าร้าน
   “เออ ๆ” เขาว่าพรางมองดูหญิงสาว “กูก็คิดว่ามึงจะเมาเดินไม่ไหวซะอีก ไป ๆ มา ๆ ไอ้สาเสือกเมา”
   กิตติหัวเราะ “กูก็ว่างั้นล่ะ....งั้นกูไปนะ”
   เจนศิลป์พยักหน้ารับพรางมองตามทั้งคู่ไป
   กิตติโบกรถแทคซี่แถวนั้นให้จอดก่อนจะให้หญิงสาวที่เมามายไม่ได้สติก้าวขึ้นรถก่อน และตัวจึงค่อยก้าวขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ที่หลัง เขาบอกที่หมายให้แทคซี่ก่อนตัวรถจะเคลื่อนออกไป ไม่นานหญิงสาวที่นอนอยู่กับเบาะจึงเริ่มยันตัวเองขึ้นนั่ง
   “อยู่ไหนเนี้ย” เธอพูดเสียงเบาอย่างคนหมดแรง
   “แทคซี่....มึงนอนไปก็ได้ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
   อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนที่ตักของชายหนุ่ม “เฮ้ย...ทางโน้นดิว่ะ” สาริณีไม่ตอบเอาแต่นอนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเช่นเดียวกับกิตติที่นั่งตัวแข็งไม่กล้ากระดิกตัวไปไหน สายตาก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตางงงันระคนเอ็นดูจนเสียงจากด้านหน้าดังมา
   “แฟนน้องเมามากเลยนะนั้น”
   ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง“ไม่ใช่แฟนหลอกครับพี่ เพื่อนกันน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะหันมามองหญิงสาวอีกครั้ง
   หอพักที่ทั้งคู่เช่าอยู่นั้นห่างจากท่าน้ำนนทบุรีเพียงไม่เท่าไร นั่งรถแทคซี่เพียงสิบนาทีก็ถึงที่หมาย
   “ไม่เป็นไรครับพี่”กิตติพูดเมื่อคนขับตั้งท่าจะทอนเงิน “เฮ้ย ตื่นได้แล้ว ถึงแล้ว”หญิงสาวไม่ขยับ ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ ประคองเธอนั่งก่อนที่ตัวเขาเองจะออกมาจากรถและเดินมาอีกข้างเพื่อหิ้วปีกเธอออกมา พอออกมาจากรถเขาก็นึกขึ้นได้ว่าหอพักของตัวเองและหญิงสาวไม่มีลิฟ กิตติจึงค่อย ๆ ให้สาริณีขึ้นขี่หลังและแบกเธอขึ้นชั้นหกซึ่งเป็นชั้นที่หญิงสาวเช่าห้องอยู่
   “เอ้า...นอนซะ”เขาทิ้งเธอลงบนเตียงเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้น“เดี๋ยวกูลงไปเอาแฮ้งค์ในห้องกูมาให้ อย่าพึ่งล๊อกห้องนะ” เขาว่าก่อนจะเดินลงมาที่ห้องตัวเองที่อยู่ชั้นสามและกลับขึ้นไปใหม่ แต่สาริณีไม่อยู่บนเตียงแล้ว เสียงฝักบัวในห้องน้ำดังมา ประตูไม่ได้ล๊อกไว้ กิตติจึงเดินไปแง้มประตูดูอย่างกล้า ๆ กลัวแต่ก็ต้องผงะเมื่อเจอกับร่างของหญิงสาวตัวเปียกทั้งเสื้อผ้านั่งกับพื้นห้องน้ำมือกอดโถชักโครกที่มีเศษอาหารกลิ่นคลุ้งเหล้าลอยอยู่เต็มไว้แน่น
   “นางสาวสาริณี มึงทำส้นตีนไรเนี้ย” เขาว่าพราวกดชักโครกและพยุงหญิงสาวขึ้นจากพื้น แต่เธอไม่ยอม เอาแต่นั่งให้น้ำจากฝักบัวซาดชโลมไปทั่วใบหน้าและตัวจนชายหนุ่มเปียกไปด้วย เธออ้าปากและบ้วนน้ำออกมาสองสามทีก่อนจะยิ้ม
   “ถ้าเป็นมึง”หญิงสาวพูด “มึงจะคอยมั้ย”
   “คอยไรของมึงว่ะ”ชายหนุ่มหมดปัญญาจะพาหญิงสาวออกจากห้องน้ำจึงนั่งลงข้าง ๆ
   “ก็คอยให้คนที่มึงรักมาหาไง”
   ชายหนุ่มเงียบไปปล่อยให้เสียงน้ำดังอยู่ระหว่างทั้งคู่
   “คอยสิ”กิตติพูดพรางเสยผมที่เปียกโชคขึ้น “เพราะไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องมาไม่ใช่หลอ อาจจะเร็ว อาจจะช้า แต่ยังไงสักวันเขาก็ต้องมาไม่ใช่หลอ”
   หญิงสาวก้มลงพยักหน้าทั้งรอยยิ้มแต่ด้วยรอยยิ้มนั้นน้ำตากลับหลั่งไหลออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เธอคู้เข่าขึ้นพรางวางหัวไว้บนนั้น กิตติที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวนักแต่ก็โอบไหล่เล็ก ๆ ของเธอไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง สาริณีเอนตัวเข้าหาเขาและร้องให้ตัวสั่นเทา
   กิตติใช้มืออีกข้างเสยปอยผมที่เปียกชุ่มของหญิงสาวขึ้นทัดหูคล้ายต้องการปลอบโยน เธอเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงงงันระคนหวาดกลัว เหมือนเธอไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเธอถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะอะไร เขาถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ ทำไมเขาถึงโอบเธอไว้ ทำไมถึงเธอถึงยินยอม ทำไมเธอร้องให้ และทำไมเขาถึงปลอบขวัญเธอ
หญิงสาวค่อย ๆ เอามือขึ้นลูปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายคล้ายต้องการหาคำตอบจากใบหน้านั้น มันให้สัมพัทธ์ประหลาดจากเคราที่ชายหนุ่มไม่ได้โกนมานาน ดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมองมายังเธอชั่งดูจริงใจจนภายในอกเธอสั่นไหว ลมหายใจอุ่นของเขารดรินลงบนกายเธอแทนหยดน้ำ และเหมือนเวลารอบตัวของทั้งคู่หยุดนิ่งยามเมื่อริมฝีปากของทั้งสองประกบแนบชิดกันอย่างแผ่วเบา มันให้รสเฟือนแต่อิ่มเอมอย่างประหลาด
เธอพูดบางอย่างที่ข้างหูของกิตติ เขาส่ายหน้าช้า ๆ สายตาจ้องที่หญิงสาวไม่หลบหายไปไหน เธอยิ้มกับคำตอบ และค่ำคืนนั้นก็เป็นค่ำคืนที่เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งและยาวนานกว่าคำคืนใด ๆ         


...

ถ้ามีอะไรติชมก็บอกได้นะครับผม  แงบ ๆ ๆ ๆ

 
:m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 14-12-2007 15:30:43
เสียงโทรศัพท์มือถือของเจนศิลป์ดังขึ้นขณะกำลังเดินกลับจากตลาดเพื่อซื้อข้าวต้มหัวปลาให้แม่ เขาชายตามองดูเวลาก่อนจะรับสาย มันบอกเวลา เจ็ดโมงตรง
“ครับ อาภู่” ภู่คือเพื่อนเก่าของบิดาของชายหนุ่มที่เปิดสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงานอยู่
“เออ คอมหลอ ว่างมั้ยวันนี้”อีกฝ่ายเข้าเรื่องอย่างรีบเร่ง
“ครับ..ก็..”ไม่ทันที่เขาจะตอบอีกฝ่ายก็แทรงขึ้นมา
“เออ อาจะให้เรามาถ่ายรูปให้อาหน่อยน่ะ พอดีวันนี้งานมันเร่งมาสามสี่งานไม่มีใครว่างเลยว่ะ ช่วยอาหน่อยได้มั้ย”
ชายหนุ่มอึกอักเพราะจำได้ว่าตอนเที่ยงมีนัดทำรายงานกับสาริณี กิตติ และธารา แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าทำงานกับอาภู่ แค่ไปถ่ายรู้คู่ให้ว่าที่บ่าวสาวไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ไหนจะเบี้ยเลี้ยง ค่าล่วงเวลา แค่คิดกลิ่นเงินก็ลอยมาแต่ไกลจนเอาชนะใจของชายหนุ่มได้ “กี่โมงครับอา”
“ดี ๆ งั้นเอางานนี้ไปเลย แปดโมงเช้าที่สวนสรานรมณ์ วัยรุ่นหน่อยจะได้คุยกันรู้เรื่อง ตามนี้นะ อาจะได้โทรบอกลูกค้า ถึงแล้วโทรหาไอ้นอมมันแล้วกัน”
“ครับ ๆ” ว่าแล้วเขาก็รีบเร่งฝีเท้าเดินกลับเข้าบ้าน เอาข้าวเข้าไปให้มารดาที่นอนไม่ได้สติเหมือนเคยก่อนจะรีบวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เขาไม่ค่อยมีเสื้อผ้ามากมายนักจึงทำให้เวลาไปทำงานไอ้อาภู่เขาต้องคิดมากหน่อย อาภู่บอกว่าลูกค้ายังวัยรุ่นอยู่ น่าจะไม่ค่อยถือเรื่องเสื้อยืดกางเกงยีนส์เท่าไรนัก เขาจึงสวมเสื้อยืดสีแดงสกรีนลายตัวอักษรจีนที่แปลว่ายืนยาวที่ธาราซื้อให้เขาเมื่อนานมาแล้วกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบคู่เก่าจนเกือบขาด เขาเองก็ไม่ค่อยชอบรองเท้าคู่นี้ แต่เขาก็มีรองเท้าผ้าใบเพียงคู่เดียวจึงต้องจำใจใส่ไป
เจนศิลป์รีบวิ่งลงมาด้านล่างก่อนจะรู้สึกว่าตัวเบา ๆ ชอบกล
“เชี้ยเอ้ย กล้อง” เขาพึมพำก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสามและเปิดประตูห้องเล็ก ๆ ตรงข้ามกับห้องของตัวเองเข้าไป ภายในนั้นมืดแต่ไม่มีกลิ่นอับ เขาความมือไปเปิดไฟที่อยู่ด้านหลังของประตูจนห้องทั้งห้องสว่างขึ้น
ภายในนั้นไม่รกอย่างที่ควร ซิ้งน้ำเล็ก ๆ ว่างอยู่ริมสุดด้านใน ข้าง ๆ เป็นชั้นเหล็กที่วางกล่องใส่ของอยู่แน่นเต็มห้าชั้นยาวมาถึงผนังอีกด้าน ด้านหน้าของชั้นมีเครื่องกลหน้าตาประหลาดวางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า ๆ ถัดมาเป็นกล่องไม้ขนาดเท่ากับกระดาษเอสี่ ชายหนุ่มไม่พินิจมันมากกว่านี้ เขารีบเดินไปคว้ากล่องใบหนึ่งในชั้นเหล็กลงมาและเปิดออก ภายในมีกระเป๋าใส่กล้องขนาดใหญ่ว่างอยู่หนึ่งใบ เขารีบหยิบมันขึ้นและเปิดอย่างรีบร้อน
ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพที่ชายหนุ่มยังจำได้ไม่ลืม กล้องนิคอมสีดำวางอยู่ตรงกลางโดยหงายหน้าขึ้น มันไม่มีเลนส์ประกอบอยู่จึงมีเพียงฝากคลอบกล้องประกอบอยู่แทน ข้าง ๆ มีเลนส์ขนาดต่าง ๆ ตั้งไว้ห้าอัน ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกแต่ละอันขึ้นส่องกับไฟดู มีฝุ่นเล็กน้อยแต่ไม่มีร่องลอยของรา เจนศิลป์จึงความกล่องที่อยู่บนชั้นอีกใบลงมาหยิบชุดทำความสะอาดกล้องและยัดใส่กระเป๋าก่อนจะรีบเดินออกมาจากบ้านและมุ่งหน้าไปท่าน้ำนนทบุรี
ดูจากเวลาแล้ว ถ้าเจนศิลป์นั่งรถไปคงไม่ทันการ เขาจึงตั้งใจนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาไปแทนซึ่งก็คงใช่เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไปช้านิดหน่อยก็คงไม่เป็นไรนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะไปช้ากันเสมอ
ไม่นานนักเขาก็มาถึงท่าพระจันทร์
ท่าพระจันทร์ในเวลาเช้าขนาดนี้ดูเงียบเหงาอย่างบอกไม่ถูก ร้านรวงต่าง ๆ ยังปิดเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวจะมีก็แต่เพียงร้านล้างฟีล์มร้านหนึ่งเท่านั้นที่จะเปิดเช้าเสมอ ชายหนุ่มเดินเข้าไปก่อนจะพบกับหญิงแก่คนหนึ่งนั่งอยู่หลังเคาเตอร์ตัวยาวด้านในพร้อมกับอาหารเช้าที่เป็นข้าวต้มถ้วยเล็ก สายตาจับจ้องอยู่กับโทรทัศน์ที่ตั่งอยู่ตรงข้าม
“ป้าครับ เอาฟอร์ม่าห้าม้วนครับ”
หญิงชรามองอีกฝ่ายด้วยสายตาพินิจก่อนจะหันหลังไปหยิบของให้ตามคำ “สี่ร้อย”เธอพูดห้วน ๆ พรางยื่นถุงพราสติกมา ชายหนุ่มจ่ายเงินให้ตามจำนวนและเร่งเดินออกจากร้าน สวนสาธารณะสราณรมณ์นั้นอยู่ห่างจากท่าพระจันทร์อยู่ราวห้าถึงหกร้อยเมตร เดินเพียงยี่สิบนาทีก็ถึง ชายหนุ่มกดโทรศัพท์สาธารณะโทรหาใครบางคน ไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
“พี่นอม นี่ผมคอมนะ”ชายหนุ่มว่า นอมคือช่างเทคนิกของสตูดิโอถ่ายภาพของภู่
“เออ ว่าไง”
“นี่คอมอยู่หน้าสวนสรานรมณ์แล้ว พี่นอมอยู่ไหนกันเน้ย”
“อยู่ข้างในละ เดินมาเลย เดี๋ยวก็เห็นเอง”
ชายหนุ่มทำตามคำของอีกฝ่าย เขาเดินเข้ามาตามทางเดินยาวแคบที่ปูด้วยยากมะตอยสีดำ ไม่นานเขาก็เห็นกลุ่มคนสี่หาคนพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ยืนอยู่ ชายหนุ่มตรงไปที่นั้นทันที
“พี่นอมสวัสดีครับ” ชายหนุ่มพูดทักชายวัยกลางคน ผิวคล้ำ ตัวเล็กผอม ที่นั่งอยู่หน้าโน๊ดบุ๊กสีดำตั่งอยู่บนลังกระดาษเก่า ๆ อีกฝ่ายหันมาพรางรับไหว้
“ว่าไงเรา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีนะ”
เจนศิลป์พยักหน้าพรางยิ้ม  “แล้วนี้ลูกค้ายังไม่มาอีกหลอครับ”
“มาแล้ว ไปแต่งตัวแต่งหน้ากันอยู่ เรานะมานี้ เอ้า”อีกฝ่ายพูดพรางยื่นกระเป๋าใส่กล้องใบใหญ่สีน้ำเงินให้” 
“อะไรครับ”ชายหนุ่มถามทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่
“เอ้า.....”นอมทำเสียงแหลมขึ้นจมูก “ เราเห็นเป็นอะไรละ กีต้าร์มั้ง” ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะรับมา “กล้องดิตจิตอลของสตูฯ ลูกพี่เขาฝากมาให้ใช้” ชายกลางคนหมายถึงภู่ เจ้าของสตูดิโอ
เจนศิลป์ว่างกระเป๋าตัวเองลงกับพื้นและวางประเป๋าสีน้ำเงินทับของตัวเองพรางเปิดออกดู ภายในนั้นเป็นกล้องยี่ห้อโซนี่ที่ชายหนุ่มไม่คุ้นนัก อีกทั้งยังมีชุดเลนส์ที่ดูยังไงราคาก็ไม่น่าจะแค่พันสองพันแน่
“เป็นไง” ชายกลางคนพูดพรางมองอีกฝ่ายหมายจะเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นอย่างเด็กล็ก ๆ ได้ของเล่นใหม่ แต่เจนศิลป์กลับมองมันด้วยดวงตาเรียบเฉย
“ไม่รู้สิครับ”เขาพูดพรางมองนอมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ผมดูกล้องแบบนี้ไม่ค่อยเป็น ถ้าเป็นกล้องฟีล์มก็พอจะดูรู้”   
นอมพยักหน้าพรางกลับไปนั่งหน้าโน๊ดบุ๊กต่อ ส่วนชายหนุ่มก็ง่วนทำความสะอาดกล้องนิกคอมและชุดเลนส์ของตัวเอง ไม่นานลูกค้าของคนทั้งสองก็มาถึง
หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าที่สวยแปลกอย่างบอกไม่ถูก เธอมีดวงตากลมโตสีดำดูแล้วหวานน่ามองเข้ากันดีกับรูปหน้าที่ค่อนข้างกลมและพวงแก้มที่อิ่ม ริมฝีปากที่บางถูกแต้มด้วยสีแดงจนดูเติมเต็มส่วนที่ขาดไป ร่างที่สูงราวร้อยหกสิบห้าถูกสวมด้วยชุดแต่งงานสีขาวสะอาดขับเน้นให้ผิวขาวระเรื่องของเธอดูเย้ายวนขึ้น มือทั้งสองข้างของเธอกุมอยู่ที่มือจับรถเข็นที่มีร่างชายคนหนึ่งนั่งอยู่
ชายคนนั้นสวมชุดสากลสีดำดูสุภาพแต่ก็ไม่สามารถปกปิดร่างกายอันกำยำนั้นไว้ได้ ใบหน้าที่หยาบกร้านและดำคล้ำของเขากำลังยิ้มแย้มอย่างที่สุดยามเมื่อเงยหน้าขึ้นคุยกับหญิงสาวที่ดูเป็นสุขไม่น้อยกว่ากัน
ทั้งคู่ดูอายุไม่น่าจะเกินสามสิบ
ชายหนุ่มลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนทั้งคู่เดินมา นอมก็เช่นกัน
“สวัสดีครับ แหม่ ต้องขอโทษด้วยนะครับที่นัดมาเช้าแบบนี้” ชายกลางคนว่าพรางยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร”หญิงสาวคนนั้นรีบตอบก่อนจะหันไปถามชายในชุดสากล “เน้อสอง”
“อือ....ตื่นเช้าจนชินแล้ว” ทั้งสองสบตาและยิ้ม
นอมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกเจนศิลป์เข้ามา “นี้น้องคอมครับ เขาจะมาเป็นตากล้องให้วันนี้”
เจนศิลป์ยกมือขึ้นไหว้
“อุ๊ย.....จริงหลอค่ะ”เธอคนนั้นทำตาโตอย่างตกใจ “เห็นพี่ภู่เขาบอกว่าตากล้องยังวัยรุ่นอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะวัยรุ่นขนาดนี้นะค่ะเนี้ย”
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนก้มหน้าก้มตาลงเบื้องล่างอย่างเขินอาย
“ก้อย เธอก็ไปแซวน้องเขา น้องเขาเขินใหญ่แล้วนั่น”ชายนั่งรถเข็นว่าอย่างอารมณ์ดี
“อะไรกัน” หญิงสาวหัวเราะร่วนพรางตีไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ  “ก็มันจริง ๆ นี่หน่า” 
ทั้งสี่คุยเล่นกันอีกไม่กี่คำก่อนจะเข้าเรื่องแนวทางของการถ่ายภาพในวันนี้และเริ่มทำงานกันจริงจังเวลาก็ล่วงเข้าสิบโมงเช้าไปไม่นาน
เจนศิลป์หายใจลึกสองสามครั้งก่อนจะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นจ่อที่ดวงตา และกดชัตเตอร์ โลกที่ชายหนุ่มเห็นผ่านเลนส์นั้นเป็นโลกที่มหัศจรรย์และฉีกแหวกความความรีบเร่งในชีวิตของชายหนุ่มจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันเป็นโลกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เขาสามารถกำหมดได้ทุกอย่าง จะชัดหรือไม่ชัด เอาตรงนั้นหรือไม่เอาตรงนั้น เห็นอะไรไม่เห็นอะไร ชายหนุ่มเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกำหนดได้ ไม่ว่าสิ่งที่เขาบันทึกลงบนแผ่นฟีล์มนั้นจะแปลกประหลาดหรือเรียบง่ายขนาดไหน หากมองในมุมที่แตกต่างออกไป สิ่ง ๆ นั้นยอมดึงดูดความสนใจของใครหลายคนได้
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มในตอนนี้มันดูประหลาดเสียจนชายหนุ่มไม่รู้จะอธิบายเช่นไรดี เหมือนการจับคู่ภาพสองภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาตั้งอยู่ติดกันในห้องที่ว่างเปล่า หญิงงามกับชายในรถเข็น
เจนศิลป์กดชัตเตอร์รัว ๆ ถ่ายภาพโครสอัพใบหน้าของคนทั้งคู่ พวกเขายิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ชายหนุ่มเองก็ไม่ค่อยใด้เห็นบ่อยนัก เขาทำงานนี้มาราวสามปีและทุกงานบ่าวสาวจะมีรอยยิ้มที่แตกต่างกันไปจนชายหนุ่มสงสัย บางครั้งรอยยิ้มของพวกเขาก็ดูเป็นไปตามอุดมคติเหมือนรูปคู่ลงนิตยาสารคู่สร้างคู่สม บางคู่ฝืนยิ้มอย่างไม่ต้องสักเกตุก็ดูออก บางคู่รอยยิ้มนั้นเย็นชาราวกับรูปปั่นจากทองสำริด แต่คนทั้งสองนี้ต่างออกไป รอยยิ้มของพวกเขานั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงเส้นบาง ๆ ที่เชื่อมต่อคนทั้งคู่เข้าด้วยกัน ฝ่ามือใหญ่ที่จับแน่นอยู่ที่มือของอีกฝ่ายนั้นก็ดูเข้มแข็งแต่อ่อนโยน ดวงตาที่สบกันก็แทบบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ แก่กันได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด สิ่งที่พวกเขามีให้แก่กันนั้นมันช่างงดงามเหลือเกินจนชายหนุ่มก็อดสงสัยไม่ได้
เขานั่งมองบ่าวสาวกินข้าวจากกล่องโฟมใบเดียวกัน ชายคนนั้นป้อนให้หญิงสาว เธอยิ้มก่อนทานเข้าไป ชายหนุ่มรีบหยิบกล้องนิกคอมที่ห้อยอยู่ที่คอขึ้นกดชัดเตอร์รัว ๆ สามสี่ภาพ ก่อนที่ชื่อเขาจะถูกเรียกด้วยเสียงของนอม ชายหนุ่มเดินไปหาอีกฝ่ายที่นั่งอยู่หน้าโน๊ดบุ๊กเหมือนเดิม
“ครับพี่” ชายหนุ่มเดินไป สีหน้าเป็นกังวนเล็กน้อย
“ทำไมทำน้างั้นละ จะบอกว่า รูปที่ถ่ายมาน่ะ พอใช้ได้แล้วนะ ภาพโครสอัพกับภาพคู่ใช้ได้หมดลูกค้าเห็นแล้วชอบ เดี๋ยวอีกสักพักจะถ่ายภาพเต็มตัวกัน”
เจนศิลป์พยักหน้าถี่ ๆ ก่อนจะก้มลงมองดูนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ มันบอกเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาที “คงไปไม่ทันจริง ๆ ซะแล้ว” เขาพึมพำ ก่อนจะยืมโทรศัพท์ของนอมโทหาธารา           
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 14-12-2007 15:33:32
“จ๊ะ ไม่เป็นไร” ธาราพูดน้ำเสียงกระซิบเพราะอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย “เดี๋ยวอีกสักพักสองคนนั้นคงจะมาแล้วละ งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวบรรณารักษ์ว่า” แล้วจึงวางโทรศัพท์ไป
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบตัว ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนั้นกว้างขวางจนน่าใจหายยามเมื่อไม่มีผู้คนอยู่ด้วย โต๊ะเก้าอี้ว่างเปล่าวางเรียงรายเต็มไปหมดมองดูแล้วชวนเปล่าเปลี่ยว แสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามาผ่านกระจกที่ลายล้อมอยู่รอบด้านจนไม่ต้องเปิดไฟนิออนอีก วันนี้แสงแดดไม่แรงอย่างที่คิดอีกทั้งยังมีลมเย็น ๆ พัดมาไม่ขาดทำให้ใบไม้สีน้ำตาลปนเขียวปลิวว่อนไปทั่ว
มันทำให้หญิงสาวนึกถึงวันนั้นขึ้นมาทันที คิดได้แบบนั้นเธอก็ยิ้มออก
วันนั้นเป็นวันแรกที่เธอเหยียบย่างเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย อาการตื่นเต้นปนหวาดหลัวกระจายอยู่ทั่วทั้งใบหน้าและฝ่ามือ เพื่อนก็ไม่มี คนรู้จักก็ไม่มี คิด ๆ แล้วก็อยากจะกลับบ้านเร็ว ๆ แต่ประชุมนักศึกษาใหม่เริ่มเที่ยงตรง ตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงเช้า แค่คิดว่าต้องรอคนเดียวอีกนานก็ยิ่งทำให้จิตใจเธอห่อเหี่ยวอีกหลายเท่า
 เธอหย่อยกายลงนั่งในโรงอาหารด้วยสีหน้าราบเรียบอย่างเบื่อหน่าย แต่ไม่นานหญิงคนหนึ่งก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามานั่งข้าง ๆ เหมือนรู้จักกันมาก่อน เธอมองอีกฝ่ายพรางพยายามค้นในสมองว่าเคยรู้จักหรือเปล่า อีกฝ่ายนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาจัดว่าน่ารักทีเดียว ผมสั้นของเธอช่วยทำให้ผิวขาวดูน่ามองกว่าเก่าหลายเท่า ดวงตากลมไม่โตมาก ริมฝีปากเล็กแต่อิ่ม เธอคนนั้นยิ้มให้ธารา
“ชื่อไรหลอ เราสานะ” อีกฝ่ายแนะนำตัว
“เราธา” เธอตอบงง ๆ
“อือ....นี้มาคนเดียวหลอ เราก็มาคนเดียวนะ มาจากประจวบนะ แล้วบ้านเธออยู่แถวไหนหลอ แต่ดูท่าคงเป็นคนกรุงเทพฯแน่ ๆ เลย อุ๊ย....ขอโทษนะ เราตื่นเต้นนะ มานี้ยังไม่มีเพื่อนคุยและ เธอเป็นคนแรกเลยพูดมากไปหน่อย” ว่าแล้วก็ขำด้วยกันทั้งคู่
ตอนนั้นเองที่ธาราสังเกตเห็นเข็มที่ปกเสื้อของอีกฝ่าย มันเป็นของคณะบริหาร
“เรียบบริหารหลอ....เราก็เหมือนกันเลย”
“จริงดิ” เธอคนนั้นพูดทั้ง ๆ ที่เส้นก๋วยเตี๋ยวยังคาที่ปาก ธาราอดขำไม่ได้
แต่ก่อนจะว่าอะไรต่อ ชายคนหนึ่งก็เดินมา
“โทษนะครับ คือ...อยากจะถามหน่อยว่าเขาประชุมนักศึกษาใหม่กันกี่โมงหลอครับ”
หญิงสาวมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบพร้อมกัน “เที่ยง” ว่าแล้วทั้งคู่ก็หันมาขำกันอีก
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะขอบคุณและตั้งท่าจะเดินจากไป เขามีใบหน้าที่ไม่มีอะไรโดดเด่น รูปหน้ายาว จมูกโด่ง ดวงตาเล็กแต่เป็นประกายไสชวนให้รู้สึกจริงใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเผ้าก็กระเซิงอย่างคนเพิ่งตื่นนอนผิวสองสีนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ร่างที่สูงราวร้อยเจ็ดสิบโดดเด่นขึ้นมาเท่าไรนัก เขาสวมเสื้อนักศึกษาแขนยาวพร้อมผูกเน็กไทของมหาวิทยาลัยหลวม ๆ  บนแน็กไทมีเข็มของคณะบริหารติดอยู่
“แล้วนี้เรียนคณะอะไรหลอ บริหารหรือเปล่า” สาริณีถามขึ้น อีกฝ่ายพยักหน้า
“นี่ก็บริหารเหมือนกัน....นั่งด้วยกันมั้ยละ”
“อือ...นั่งด้วยกันก่อนสิ”ธาราว่าพรางเขยิบให้อีกฝ่ายนั่ง ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ พรางผงกหัวตอบรับ
“เราสานะ นี่ธา”
“เราเม่น”ชายหนุ่มแนะนำตัว
“ชื่อเม่นหลอ โดนทิ่มแล้วจะเจ็บมั้ยเนี้ย” สาริณีแซวอย่างอารมณ์ดี
“ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่เคยทิ่มใครสักทีเลย” ว่าแล้วก็หัวเราะกันทั้งหมด
“คุยเรื่องไรกันเน้ย”สาที่หัวเราะจนท้องแข็งเอ่ยขึ้นพรางขยับแว่นให้เข้าที่
ทั้งสามนั่งคุยกันอย่างนั้นจนถึงเวลาขึ้นห้องประชุม ห้องประชุมที่นักศึกษาใหม่ทุกคนต้องไปนั้นเป็นห้องกว้างขวางปูพรมลายตารางอย่างดี ด้านหน้าสุดเป็นเวทียกพื้นสูงราวสี่ห้าฟุต ด้านล่างเป็นเก้าอี้วางเรียงรายเต็มห้อง คนทั้งสามนั่งอยู่แถวเกือบหลังสุดโดยมีพวกรุ่นพี่นั่งต่อท้าย ไม่นานการประชุมก็เริ่มขึ้นโดยอธิการของมหาวิทยาลัย เขาเป็นชายหัวล้านอายุราวสี่สิปี สวมสูทสีน้ำเงินเข้มดูสุภาพและการพูดจาก็บ่งบอกถึงความเป็นคนจริงที่ยากจะมีใครเอาชนะได้
เสียงประตูห้องประชุมใหญ่เปิดออก อธิการหยุดพูดในทันไดจนชายที่เดินเข้ามาตกเป็นเป้าสายตาของคนนับร้อย ธาราก็หันไปมองเช่นกัน ชายคนนั้นมีผมสั่นติดหนังหัว ดวงตาสีดำสนิทหลุบหายไปในเบ้าที่คล้ำลึกอย่างคนอดนอน ริมฝีปากที่บางเม้มแน่นอย่างกังวล เขาสวมเสื้อนักศึกษาแขนยาวและผูกเน็กไทเรียบร้อย
“อะไรกันพ่อหนุ่ม”ชายหัวล้านคนนั้นว่าออกไมโครโฟน “วันแรกก็สายเลยนะ”
ชายคนนั้นยิ้มพรางผงกหัวเป็นเชิงขอโทษก่อนจะรีบไปนั่งต่อท้ายแถว
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ชายคนนั้นกลับติดอยู่ในใจของธาราอย่างประหลาด
การประชุมนั้นเลิกตอนบ่ายสองโมงเศษ รุ่นพี่ทุกคนต้อนรุ่นน้องมาด้านล่างและเริ่มการละเล่นกระชับสัมพันธ์ทั้งร้องรำทำเพลงต่าง ๆ นา ๆ จนสุดท้ายก็มาลงเอยที่การล่ารายชื่อของเพื่อนและรุ่นพี่ ธารากล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ตรงไปที่ชายคนนั้น
“เธอ....เธอชื่ออะไรหลอ เราธานะ”
เขาคนนั้นสะดุ้งเหมือนออกจากภวังค์หรือตื่นนอน“เรา...เรา ....คอม....”เขาตอบเหมือนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ธาราทำท่าจด ชายหนุ่มจึงเข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่
“ธาได้กี่ชื่อแล้ว” สาริณีเดินเข้ามาพรางถามขึ้นโดยมีกิตติเดินมาข้าง ๆ
“เอ้า....นายที่มาสายนิหว่า”กิตติร้องพรางตีไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ เขาแหยยิ้มตอบ
“ไอ้เม่น มึงก็ไปพูดอะไรแบบนั้นว่ะ”
“แล้วไรของมึงเนี่ย เป็นสาวเป็นนางพูดกูมึงไม่สุภาพเลยนะครับคุณนางสาวสาริณี”เขาว่าพรางตีแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ หญิงสาวตอบโต้ด้วยการตบหัวอีกฝ่ายฉาดใหญ่จนกิตติลงไปนั่งกุมหัวอยู่กับพื้น
คิดถึงตอนนั้นที่ไรธารายังขำไม่หาย พอคิด ๆ ดูแล้วคงเป็นต้อนนั้นละมั้งที่หญิงสาวเริ่มรู้สึกกับอีกฝ่ายผิเศษกว่าคนอื่น เขามีดวงตาที่เธอเองคุ้นเคยอย่างประหลาด ดวงตาที่เหมอลอยออกไปอย่างรอคอย ดวงตาที่เหนื่อยอ่อนแต่บางครั้งเธอกลับเห็นดวงไฟเล็ก ๆ ที่เป็นประกายในแววตา เธอไม่แน่ใจว่านั้นคือความหวังหรือเปล่า แต่ทุกครั้งมันจะอยู่ได้เพียงไม่นานก่อนจะดับไปคล้ายดวงไฟปลายเทียนที่ถูกเป่าให้มอดลง
ธาราลุกขึ้นไปหยิบเอาหนังสือสี่หาเล่มมาพลิกดู ก่อนจะเริ่มรวบรวมข้อมูลจดลงกระดาษเอสี่ เธอเงยหน้าดูนาฬิกาติดผนังที่อยู่ตรงหน้า มันบอกเวลาเที่ยงสิบห้านาที
“ช้าจังเลย สองคนนั้น”
ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น



มีอะไรติชม ก็บอกได้นะครับบบบบบบบบบบบบบ   


 
:m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 14-12-2007 15:42:19
 :m11:  ช่างยิ่งใหญ่และใหญ่โตจริงๆครับต่อทีนี้จุใจอ่านกันตาลายเลยอ่ะ :m11:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-12-2007 17:55:54
เข้ามาอ่านแล้วต๊กกะใจ

อืม...ก็มีข้อจะติเยอะเหมือนกันนะ

แต่ไม่เอาดีกว่า  เด๋วโดนด่าอีก  อิอิ

เขียนมา  ก็อ่านกันไป....................................................

สู้ๆ  แต่ว่า  สำนวนร่วมสมัยเนอะ

ถ้าอยากได้ เม้นต์แรงๆ ก็บอกมาเด๋วจัดให้  อิอิ

จาก อิเจ้  คนมันแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงส์
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 15-12-2007 16:29:58
เข้ามาอ่านแล้วต๊กกะใจ

อืม...ก็มีข้อจะติเยอะเหมือนกันนะ

แต่ไม่เอาดีกว่า  เด๋วโดนด่าอีก  อิอิ

เขียนมา  ก็อ่านกันไป....................................................

สู้ๆ  แต่ว่า  สำนวนร่วมสมัยเนอะ

ถ้าอยากได้ เม้นต์แรงๆ ก็บอกมาเด๋วจัดให้  อิอิ

จาก อิเจ้  คนมันแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงส์


จริงหลอครับ :m15: เอาเป็นแบบเหมือนเพื่อนบอกเพื่อนดีกว่ามั้ยครับ  :m5: ถือสะว่าผมเป็นเพื่อนพี่คนหนึ่งก็แล้วกันนะครับ :m4:


 
:m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2: :m2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 15-12-2007 16:36:51
มาแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ฮับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

เห็นมีคน่านเลยดีจายมากกกกกกกกกกกกกกก มากกกกกกกกกกกกก เวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เม้มกานเยอะ ๆ นาครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ 

 
:a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4:
...

สาริณีลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการปวดที่กดแน่นอยู่ในสมอง  เธอนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดก่อนจะลุกขึ้นนั่งกุมหัวอยู่บนเตียง
เมื่อคืนเธอเมาหนักมาก ความทรงจำจึงเลือนรางเหมือนความฝัน
แท็คซี่......อ้วก.....น้ำ.....ร้องให้......จูบ.....กิตติ
เธอตกใจจนลืมอาการปวดไปในทันที ขนทั่วตัวเธอลุกชันอย่างหวาดกลัวก่อนภาพต่าง ๆ จะวิ่งผ่านเข้ามาในหัวราวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ยิ่งเห็นแบบนั้นความอับอายก็เล่นเข้ามากดที่หัวใจเธออย่างแรง
เธอหันไปมองข้าง ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่าและรอยผ้าปูที่นอนยับย่น เขาไปแล้ว ฝ่ายนั้นคงจะตกใจเช่นกันที่เห็นเธอนอนอยู่ช้างกายแทนที่หญิงที่ชื่อแมว สาริณีเค้นเสียงหัวเราะขึ้นจมูกอย่างข่มขื่น ก่อนจะปลอบตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่ง ถ้าฝ่ายนั้นไม่ทำอะไรน่าเกลียดอย่างคุยโม้ว่าได้กับเธอซึ่งเขาก็ไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว เธอคงพอจะทำใจเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาต่อไปได้ ยิ่งคิดแบบนั้นก็ยิ่งเจ็บใจในความอ่อนแอและขาดสติของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะเหล้าที่เธอกลอกเข้าปาก ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้
หญิงสาวเสียใจอย่างที่สุดแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมา เธอลุกขึ้นอย่างไม่มั่นคงนักก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ แค่คิดว่าเมื่อคืนเธอถูกชายคนนั้นสัมพัทธ์ตรงไหนบ่างก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง ไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทำ แต่เพราะแม้ว่าจะจำได้เพียงเลือนรางแต่เธอก็จำความสุขในช่วงเวลาเหล่านั้นได้อย่างดี
เธอเปิดฝักบัวให้น้ำเย็นไหลปะทะร่างก่อนที่เสียงประตูห้องเปิดและปิดเบา ๆ ทำจะให้หญิงสาวสะดุ้ง
“ใครอ่ะ...”แม้ว่าใจหนึ่งจะคิดว่าขอให้ไม่ใช่ แต่อีกใจกลับเรียกร้องให้เป็นแบบนั้น
“กุ....”เสียงนั้นหยุดคล้ายไม่แน่ใจ “เม่นเอง....”
หญิงสาวผุดยิ้มพรางพิงหัวกับผนังด้านหนึ่ง แม้ว่าในใจจะเจ็บปวดเล็ก ๆ ก็ตาม
“ไปไหนมา สานึกว่ากลับห้องไปแล้ว”
อีกฝ่ายเงียบไป
“จะกลับได้ไง.....เม่นไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย หรือสาเห็นเม่นเป็นคนแบบนั้นหลอ”น้ำเสียงตัดพ้อ
“แล้วไปไหนมาละ”เธอว่าพรางอาบน้ำอย่างเร็ว
“ซื้อข้าว”สิ้นคำนั้นสาริณีก็เดินออกมาจากห้องน้ำพรางเช็ดผมด้วยผ้าขนหนู เธอสวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาว กิตตินั่งอยู่กับพื้นหน้าโต๊ะตัวเล็ก ข้าวกล่องสองกล่องพร้อมจานช้อนสองชุดที่ยังว่างเปล่าว่างอยู่บนนั้น สาริณีไม่กล้าสบตาชายหนุ่มเธอเดินเลี่ยงไปยังตู้เสื้อผ้าเละเปิดออก
ตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนที่กอดรัดเธอจากด้านหลัง ศีรษะของชายหนุ่มหนุนอยู่บนเส้นผมที่เปียกชื้นของเธอ หญิงสาวไม่ขัดขืนแม้สมองจะสั่งเช่นนั้นก็ตาม
“เรื่องเมื่อคืน....เม่นขอโทษนะ”
   อกของหญิงสาวเย็นวาบ เขากำลังจะบอกว่าเพราะเมางั้นหรือ จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งผิดพลาดงั้นหรือ.....แล้วมันไม่ใช่ตรงไหนกัน
   “ชั่งมันเถอะ” หญิงสาวฝืนพูดทั้งที่ใจไม่ต้องการเช่นนั้น “เม่นก็เมา สาก็เมา ถือว่าหายกัน”
   “จะบ้าหลอสา คนเอากันนะไม่ใช่เล่นขายของ มีหงมีหายกันที่ไหน”
   หญิงสาวหันมาตบหัวชายหนุ่มฉาดใหญ่ เขาไม่หลบกลับยิ้มชอบใจ “ไอ้ทุเรศ พูดจาลามก......ปล่อย จะหวีผม”เธอว่าพรางดันอีกฝ่ายออก กิตติไม่ทำตาม
   “ไม่ปล่อย”
   “ก็บอกให้ปล่อย”เธอว่าพรางยกมือขึ้นหมายจะตบหัวซ้ำ แต่ชายหนุ่มกลับชี้ที่มือพรางมองด้วยสายตาดุดัน
   “อย่านะ ถ้าตบอีกจะกัดปากให้ขาดเลย”
   สาริณีลังเลอยู่หลายวินาที ก่อนจะปล่อยมือลงข้างตัว
   “ใช่สิ จะทำไงก็ได้ ก็ได้กูไปแล้วนิ”
   “เฮ้ย...”ชายหนุ่มร้อง “ทำไมพูดงั้นละ ไม่ใช่อย่างงั้น สาฟังเรานะ คนเป็นแฟนกันเขาไม่เล่นกันแรง ๆ แบบนี้หลอก”
   หญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยสายตางงงัน แต่ใจกลับตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
   “ใครเป็นแฟนใคร พูดให้มันดี ๆ หน่อย”เธอว่าพรางหันหน้าเขากระจกที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง
   ชายหนุ่มสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกไม่วางตา
   “ก็สาเป็นแฟนเม่นไง.....ไม่ได้หลอ”
   “แต่สามีแฟนอยู่แล้วนะ.....แม่นจะทนได้หลอ”
   ชายหนุ่มเงียบไป สีหน้าดูหมองลงไปถนัด ก่อนจะว่า
   “ไม่เป็นไร เม่นมาทีหลัง เม่นรอได้”จบคำเขาก็กอดหญิงสาวแน่นกว่าเก่า “มาเถอะ กินข้าว”
   หญิงสาวไม่ตอบ เธอหันมาและกอดอีกฝ่ายไว้แน่น
   “แน่นะที่บอกว่าจะรอ”
   “แน่....”ชายหนุ่มกระซิบตอบ “จริงสิ....ลืมบอกไป เดี๋ยวไม่ต้องไปทำรายงานแล้วนะ เราบอกธาว่าสาไม่ค่อยสบาย เราเลยอยู่ดู ธาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเราสองคนค่อยพิมพ์กัน”
   “อ้าว แล้วไอ้คอมละ”
   “เห็นธาบอกว่ามาไม่ได้แล้ว.....ชั่งเถอะ กินข้าวดีกว่า เม่นหิวแล้ว”


...

เม้มกานเยอะ ๆ นาครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ 

 
:a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4: :a4:
...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 15-12-2007 16:41:53

ชายหนุ่มเร่งเดินสุดฝีเท้าไปที่หน้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยกลางแสงแดดสีส้มที่สว่างฉายไปทั่วท้องฟ้า ถ้าเขาไม่รีบกว่านี้คงไปทำงานสายแน่ ที่จริงเขาลางานแล้วแต่ดูเหมือนคนจะขาดเจ้าของร้านจึงตามเขาไปทำงาน
   เมื่อมาถึงเขาก็เห็นหญิงสาวสวมแว่นยืนทำหน้าเฉยเมยอยู่
   “สาเราขอโทษนะ”เขาว่าพรางหอบจนตัวโยน
   “ไม่รู้สิเม่น.....เราทำงานอยู่คนเดียวนะวันนี้”เธอว่าอย่างเบื่อหน่าย “สากับแม่นก็ไม่มา.....”
   “โถ่....เราขอโทษจริง ๆ เอาน่า นะ บุญคุณครั้งนี้จะไม่ลืมไปจนวันตายเลย” ชายหนุ่มว่าพรางยิ้มกลบเกลื่อนความผิด
   “จริงนะ....”อีกฝ่ายกลับถือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาจนเจนศิลป์ทำตัวไม่ถูก
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยน ธาราถึงกับหัวเราะ “พูดมาแล้วนะ ห้ามลืมด้วย งั้นเอ้า”เธอว่าพรางส่งตั้งหนังสือในมือให้ มันสูงจนเกือบถึงคางของเจนศิลป์ “คืนนี้ก็ไม่ต้องนอนแล้วกัน....ส่วนนี้เราพอจะสรุปให้แล้วว่าต้องใช้ตรงไหนบ่าง.....ตามนี้นะ ไม่ต้องรีบ แต่ต้องเสร็จ เข้าใจ๊” เธอว่าพรางยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินไป ชายหนุ่มร้องเรียก
“นี้เอาจริงหลอ ธา”
“จริง.....”เธอพูดน้ำเสียงติดตลกอย่างร้ายกาจ ชายหนุ่มจึงเงียบไป
หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตางงงัน “เอางี้” เธอพูดขึ้นในที่สุด “เดี๋ยวเรานั่งแทคซี่ไปส่ง ยังไงก็ต้องไปหาพ่อที่ไซด์งานอยู่แล้ว ไปมั้ย”
ชายหนุ่มพยักหน้าเร็ว ๆ พรางยิ้ม “ไป ๆ ๆ ๆ”
เมื่ออยู่บนรถชายหนุ่มเอาแต่ถามถึงเนื้อหารายงานไม่ขาดจนดูเหมือนระยะทางระหว่างมหาวิทยาลัยกับท่าน้ำนนทบุรีนั้นสั้นลงเหลือเพียงอึดใจเดียว
“งั้นเราไปนะ สา”ชายหนุ่มว่าพรางเปิดประตูรถเมื่อถึงจุดหมาย
ธาราอึกอักอักอยู่ชั่วครู่ก่อนมือจะไปคว้าเอามือของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว ทั้งสองทำหน้างงใส่กันหลายวินาที
“ทะ ทำงานดี ๆ นะ”เธอพูดแค่นั้นก่อนจะปล่อยมือ ชายหนุ่มดูงง ๆ แต่ก็รับคำไป
เวลาผ่านไปอย่างรีบเร่งราวกับติดปีกบินจนชายหนุ่มไม่กล้าเหลือบมองนาฬิกาติดผนังยามเดินเข้ามาในร้านที่ตนทำงานอยู่ เพื่อนร่วมงานสี่ห้าคนของเขามองชายหนุ่มเป็นตาเดียวคล้ายตำหนิซึ่งเจนศิลป์ก็พอรู้ว่าเพราะอะไร เขาเดินไปหลังครัวโดยไม่สนใจคนเหล่านั้นมากนักก่อนจะวางหนังสือและของต่าง ๆ ไว้บนโต๊ะตัวเล็กพรางตั่งท่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ไม่นานเพื่อนคนหนึ่งของเขาก็ส่งเสียงมา
“ไอ้คอม เฮียเรียก”
เขานิ่วหน้าเล็กน้อยคล้ายไม่เข้าใจก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานของนายจ้าง
นายจ้างหรือที่ทุกคนเรียก เฮีย นั้นเป็นชายร่างท้วมผิวขาวอย่างคนจีน อีกทั้งยังชอบสวมเสื้อเชิตสีสันฉุดฉาดจนน่าเกลียด รอบคอและข้อมือมีสร้อยทองเส้นหนาร้อยพันอยู่เต็มคล้ายอวดความมั่งมีของตัวเอง
“มีอะไรครับเฮีย” ชายหนุ่มพูดหลังจากเปิดประตูกระจกสีดำเข้าไป ภายในนั้นมีอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้กลิ่นบุหรี่และกระดาษเก่าคลุ้งอยู่ทั่ว
อีกฝ่ายละสายตาจากกระดาษที่ถืออยู่มาที่ต้นเสียง อีกมือยังคีบบุหรี่ไม่วาง “นั่งก่อนสิ คอม”
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตามคำ อีกฝ่ายจึงดับบุหรี่ที่คีบอยู่ในมือลงที่เขี่ยแก้วอันเล็ก
“เออ .... คอมช่วยดูนี่ให้เฮียหน่อยสิ ใช่คอมเขียนหรือเปล่า” เขาว่าพรางยื่นกระดาษที่ถืออยู่ให้เจนศิลป์ ชายหนุ่มรับมาและดูอยู่ครู่หนึ่ง มันเป็นรายการสต๊อกของเมื่อสองสามวันก่อน ชายหนุ่มจำได้เลา ๆ ว่าตนอยู่บาร์น้ำ
“ครับ.....ผมเขียนเอง มีอะไรหรือครับ” เขาว่าก่อนยื่นกระดาษคืนอีกฝ่าย ชายคนนั้นรับไป
“มันก็....”เขาทิ้งหางเสียงไปพรางยกมือขึ้นเกาคิ้ว สายตามองกระดาษไม่วางตา “ไม่มีอะไรหลอก เพียงแต่......สต๊อกมันหายไป”
หัวคิ้วของเจนศิลป์ขมวดเข้าหากันทันที  “หายหลอครับ....”
 “อือ....ฮันเด็ตลังครึ่ง” เขาเงียบไปก่อนจะว่าต่อ “เราพอจะรู้มั้ยว่าหายไปไหน”
เจนศิลป์ส่ายหน้า หัวคิ้วยังไม่คลายตัว “ไม่รู้สิครับ....ตอนผมเช็คมันก็เหลือเท่านี้แล้ว”
อีกฝ่ายมองเจนศิลป์ไม่ว่างตา สายตานั้นให้ความรู้สึกเหมือนตำรวจมองคนร้ายมากกว่านายจ้างมองลูกจ้าง “ไม่รู้ได้ยังไงละ ในบาร์น้ำมีเราอยู่คนเดียวนะ”
“งั้นผมคงเช็คผิดเองละครับ.....ยังไงให้ผมเช็กอีกรอบมั้ยครับ” เจนศิลป์พยายามใจเย็นอย่างที่สุด
“ไม่ต้อง”อีกฝ่ายว่าด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นพรางโบกมือไปมา “เฮียให้คนอื่นเช็คแล้ว มันก็ได้เท่านี้ เฮียไปเช็คเองก็ได้เท่านี้”ก่อนตบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง “เราบอกเฮียมาดีกว่าว่าของมันหายไปไหน”
“ผมไม่รู้จริง ๆ ครับเฮีย......”
“ไม่รู้....จะไม่รู้ได้ยังไง ในบาร์มีเราอยู่คนเดียว เหล้าลังครึ่งไม่ใช่ว่ามันจะหายไปง่าย ๆ นะ...... เฮียถามตรง ๆ เถอะ เราเอาไปให้ใคร แม่เราใช่มั้ย”
ชายหนุ่มถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน เส้นคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเก่าจนดวงตาแทบหลุดหายไปในเบ้า
“เฮียพูดอะไรเนี้ย แม่ผมไม่ได้เกี่ยวด้วยเลยนะ”
   อีกฝ่ายดูไม่พอใจกับท่าทีของเจนศิลป์เช่นกัน
   “ทำไม....คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ว่าแม่ลื้อเป็นยังไงหลอ ”
“รู้ไม่รู้ผมไม่สนใจ ไม่สนใจด้วยว่าเฮียไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน แต่แม่ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไงว่ะ ก็แม่ลื้อมันขี้เมาแดกเหล้าที่สี่ขวดห้าขวด คนเขารู้กันทั่วไปหมด”
“อะไรเนี้ยเฮีย มันมากไปแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดพรางกำมือแน่น ตัวเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ
“ทำไม หนอย.....ตอนที่ลื้อมาของานอั้วทำนี่แทบจะกลาบตีนเลียตีนอั้ว ทีตอนนี้ถูกจับได้ว่าเป็นไอ้ขี้ขโมยทำมาเป็นชึ้นเสียง คนอย่างลื้อนี้มันเลี้ยงไม่เชื่องจริง ๆ เก๋าเจ็ง” ว่าแล้วก็ถุยน้ำลายเหนียวยืดลงพื้น
  ถึงตรงนี้หากในตัวของเจนศิลป์มีปืนคงจะกราดยิงใส่ร่างนั้นจนพรุนไม่มีชิ้นดี หากในตัวเขามีมีดก็คงจะกระหน่ำแทงจนอีกฝ่ายกลายเป็นผ้าขี้ริ้วเปื้อนเลือดน่าสมเพชไปแล้ว หากแต่ถ้าชายหนุ่มทำเช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นอย่างที่มันพูด บุญคุณที่ครั้งหนึ่งมันเคยให้งานให้เงินนั้นกลายเป็นกำแพงอันใหญ่คอยขวางกั้นไม่ให้เจนศิลป์ทำอะไรวู่วามไป ไม่นานเขาก็เรียกสติกลับคืนมา
“ถ้าเฮียพูดถึงขนาดนั้นผมคงไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว”เขาว่าพรางลุกยืน อีกฝ่ายมองตามอย่างเกรง ๆ “ค่าของที่หายเฮียก็เอาเงินเดือนผมไปก็แล้วกัน น่าจะพอชดใช้ให้เฮียได้  ส่วนเรื่องงาน ผมว่าเฮียคงไม่เอาผมไว้แน่ งั้นผมไปนะครับ” จบคำก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วเดินออกมาจากห้องตรงกลับไปเอาของที่อยู่ด้านหลังครัวและกลับบ้านโดยไม่สนใจสายตาของคนพวกนั้นที่พากันมองอย่างมีนัย
ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่สนใจหรือใส่ใจกับสายตาเหล่านั้น เช่นเดียวกับที่ไม่สนใจว่าของที่หายไปนั้นหายไปได้อย่างไร ใครเอาไป หรือเอาไปทำไม สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้คือ สิ้นเดือนนี้เขาจะเอาอะไรมาใช้จ่าย เงินเดือนก็ไม่ได้ ส่วนเงินที่ได้จากงานถ่ายภาพเมื่อเช้าก็เพียงสามพันบาท หักค่าน้ำค่าไฟแล้วก็น่าจะเหลือสองพันเศษ ไหนจะค่ารถ ค่าข้าว ค่าอะไรอีกจิบปาถะคิดไปคิดมาอยู่ได้นานสุดก็ครึ่งเดือน
“เชี้ยเอ้ย”ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเสียอารมณ์พรางทิ้งกองหนังสือไว้กับพื้นและนั่งลงตรงขั้นบันไดหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง มือซ้ายล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพรางเหมอมองออกไป
สายน้ำที่ไหลเอื่อยของแม่น้ำเจ้าพระยาถูกแสงอาทิตย์สาดส่องฉาบโฉลมจนกลายเป็นสีส้มอมแดงดูแล้วชวนอ้าวว้างจนน่าใจหาย 
บางครั้งเจนศิลป์ก็รู้สึกว่าตัวเองก็เหมือนกับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยานั่น เอาแต่ไหลเอื่อยช้าไปข้างหน้าโดยไม่รู้เลยว่าทางข้างหน้านั้นจะเป็นเช่นไร มีอะไรรออยู่ หรือจุดหมายปลายทางนั้นอยู่ตรงไหน ในทุก ๆ วันเขาก็เอาแต่ไหลไปอย่างอ่อนล้า รอคอย และเฝ้าภาวนาว่าสักวันการเดินทางของเขาจะสิ้นสุดลงเสียที สักวันที่การรอคอยของเขาจะถึงจุดหมาย
บางสิ่งทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งออกจากภวังค์ เขาหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาดูมันบอกเวลาหกโมงเย็นแล้ว
“ชิบหายแล้ว ลืมซื้อข้าว” คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นหยิบกองหนังสือและเดินกลับบ้านทันที โดยไม่ลืมแวะซื้อมาม่าจากร้านค้าแถวนั้นติดมือกลับไปด้วย
ทันทีที่เจนศิลป์เปิดประตูบ้านเข้าไปเสียงฝักบัวจากชันสองก็ดังมาประทบหูชายหนุ่มทันที ความกังวลแปลกประหลาดที่แผ่ซ่านไปชั่วร่างทำให้ชายหนุ่มเดินตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำด้านบน ประตูเปิดอ้าอยู่และสิ่งที่ชายหนุ่มพบก็คือ ร่างเปลือยของหญิงกลางคนนั่งหัวพิงผนังด้านหนึ่งโดยมีน้ำจากฝักบัวโปรดปลายใส่ร่างไม่ขาด ชายหนุ่มตกใจแทบสิ้นสติ เขารีบตรงไปปิดน้ำและร้องเรียก
“แม่ แม่....แม่” เจนศิลป์จับตัวเธอและต้องตกใจกับความเย็นชืดที่ร่างนั้นแผ่ออกมา สีหน้าและริมฝีปากเธอซีดขาวจนน่ากลัวอีกทั้งดวงตายังปิดแน่น
เธอคนนั้นไม่กระดิกตัวอยู่นาน ก่อนจะลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมองอีกฝ่าย
“อะไร”
เจนศิลป์แทบยิ้มออกเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นแม่
“ทำอะไรเนี้ยแม่”เขาว่า “อยู่นี่นะเดี๋ยวคอมไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้”
สิ้นคำเขาก็เดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาห่อตัวของหญิงคนนั้นไว้และพากลับห้องก่อนจะหาเสื้อผ้าหนา ๆ มาให้ใส่ ตัวเธอสั่นเทาด้วยความหนาวและสีหน้ายังไม่มีสีเลือดขึ้นมา ชายหนุ่มจึงกลับลงไปทำมาม่ามาให้เธอกิน
หญิงคนนั้นกินจนหมดและหลับไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก เจนศิลป์ยังคงนั่งดูเธออยู่อย่างนั้นเป็นนานเพราะความเป็นห่วง ดูเธอดีขึ้นมากแล้ว สีหน้าดูมีเลือดมากขึ้น ตัวก็หยุดสั่น แต่เห็นแบบนั้นแล้วก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มหายเหนื่อยไปได้แม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งทำให้ชายหนุ่มเจ็บปวดใจมากกว่าเก่าหลายเท่า เจ็บปวดใจที่แม่ของตัวเองเป็นแบบนี้ เจ็บปวดที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอคนนั้นถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย เขาไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเธอต้องการอะไร หรือเพราะเขาทำอะไรผิดกันถึงต้องมาชดใช้ความผิดอยู่อย่างนี้
ยิ่งคิด ชายหนุ่มก็ยิ่งไม่เข้าใจ
เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่มตรงเจนศิลป์จึงเดินออกมาจากห้องและเริ่มล้างถ้วยชาม เก็บกวาดบ้าน รวมถึงอะไรอีกหลายอย่างจนเวลาร่วงเข้าห้าทุ่มไปหลายสิบนาทีกว่าเขาจะได้นั่งลงและเริ่มอ่านหนังสือที่ธาราเอามาให้ เจนศิลป์จดอะไรขยุกขยิกลงสมุดเล่มเก่าไปพรางอ่านเนื้อหาจากหนังสือไปพราง ในปากก็คาบบุหรี่ไว้แน่น นาน ๆ ครั้งถึงจะคืบมันออกและเขี่ยมันลงขวดน้ำ ความเครียดเริ่มโถมเข้ามาเมื่อเนื้อหาเริ่มตันไปหมด หัวคิ้วเริ่มขมวดแน่นเข้าทุกทีจนเกิดเป็นรอยย่นตรงหว่างคิ้ว อีกทั้งมวนบุหรี่ก็ถูกจุดถี่ขึ้นตาม เขาทิ้งก้นบุหรี่มวลที่หกลงขวดก่อนคว้าซองมาเคาะสองสามที ภายในนั้นว่างเปล่า
“สัตว์เอ้ย”เขาว่าพรางปาซองบุหรี่ที่ขยำจนเป็นกล้อมกลมทิ้งไปที่มุมห้อง สิ้นเสียงตกพื้นของซองบุหรี่ ดวงไฟในห้องก็พลันดับลง
“เชี้ยไรอีกเน้ย”เขาว่าอย่างหัวเสียพรางเงยหน้ามองที่ดวงไฟ ก่อนจะหันไปมองด้านนอกหน้าต่าง ดวงไฟอื่น ๆ ก็ดับเช่นกัน “แม่ง งานก็โดนไล่ออก แม่ก็ขี้เมา เงินก็ไม่มีใช้ ไฟแม่งก็ดับ ซวยชิบหายเลย”เขาตะโกนโหวกเหวกก่อนถีบราวเสื้อผ้าล้ม เสื้อผ้ากระจายไฟทั่ว
“มันช่วยได้หรือ”
เหมือนว่าหูฝาดแต่เขาได้ยินเสียงบางอย่างลอยมาในอากาศอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มเงียบลงทันที พรางกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“สิ่งที่เจ้าทำ.....มันช่วยได้หรือ”เสียงนั้นถามซ้ำ
ชายหนุ่มมองไปในความมืดที่อยู่รอบตัวพรางย้ำกับตัวเองว่าไม่ได้หูฝาดไป มีบางคนอยู่ในนี้ กับเขา อยู่ในความมืดที่ไหนสักแห่ง
“ใครว่ะ....”เจนศิลป์ร้องถามทั้งที่คอเริ่มแห้งผาก เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วผิวหนังเช่นเดียวกับเส้นขนที่รุกชันขึ้นทำให้อากาศรอบตัวย็นลงถนัดใจ
เสียงนั้นหัวเราะ “สิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่ที่ว่าข้าคือใครหลอเด็กน้อยเอ๋ย......มันอยู่ที่ว่าการทำเช่นนั้นของเจ้ามันทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นนั้นหายได้จริง ๆ หรือเปล่าต่างหาก”
“พูดเรื่องส้นตีนไรเนี่ย” ชายหนุ่มตะโกนลั่นพรางหันซ้ายหันขวาไปทั่ว “ใครว่ะไอ้สัตว์” จบคำเจนศิลป์ก็สะดุดบางอย่างจนล้มลงไปนั่งกับพื้นเต็มแรง เขายันตัวเองหมายจะลุกขึ้นแต่ขาเขากลับสั่นปวกเปียกจนไม่มีแรงจะยืนต่อไป
“กลัวหรือ”เสียงนั้นยังคงดังมาอีก “เหตุไดเจ้าจึงกลัว เด็กน้อยเอ๋ย”
“มึงจะเอาอะไรว่ะ กูไม่มีอะไรให้หลอกนะมึง” ชายหนุ่มยังตะโกนพรางมองไปรอบ ๆ และต้องหยุดสายตาอยู่ที่ผนังที่อยู่ตรงหน้า
ที่ตรงนั้นมีแสงจากพระจันทร์สาดซ่องลงมาจนเห็นผนังสีฟ้าชัดเจน แต่ตรงกลางผนังกลับมีก้อนเงาสีดำประทับอยู่
“ข้าไม่ใช่ภูตผี”เงาก้อนกลมนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนรูปไปที่ละเล็กละน้อย “หรือปิศาจร้าย ข้าหาใช่มนต์ดำหรือสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ไม่มีทางเลย เด็กน้อยเอ๋ย.....”เงานั้นยืดขึ้นจนเต็มผนังก่อนจะหดตัวอีกครั้ง “ที่เจ้าถามข้าว่าข้าคือใคร....” สิ่งนั้นยืดตัวเองช้า ๆ จนกลายเป็นแทงยาวสูงขึ้นไปไนผนัง “หาใช่ว่าข้านั้นจะตอบเจ้าไม่ได้ แต่เหล่าพวกเจ้านั้นขนานนามข้าในหลายชื่อ มากมายเป็นหมื่นเป็นแสน บ่างเยินยอ บ่างสาปแช่ง แล้วแต่สิ่งที่ข้าทำกับคนเหล่านั้น แต่มีอยู่เพียงนามเดียวเท่านั้นที่ข้าโปรดปราณมากที่สุด ข้าจะให้เจ้าเรียกข้าตามนามนั้น จงเรียกข้าว่า อมร”
“อมร”ชายหนุ่มทวนคำ พรางมองเงานั้นที่ค่อย ๆ แบ่งตัวเองจนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
“ใช่แล้ว.....เพราะอมรคือผู้ไม่ตาย ข้าคือผู้ไม่ตาย ไม่ดับศูนย์”
“แล้ว.....”ชายหนุ่มพูดทั้ง ๆ ที่ตัวสั่นด้วยความกลัว เหงื่อผุดขึ้นจนผมชุ่มน้ำไปหมด “ต้องการอะไร”
   เสียงนั้นหัวเราะ “นั้นสินะ.....สิ่งที่ข้าต้องการคืออะไรกัน”
   เสียงนั้นหยุดปล่อยให้ชายหนุ่มงงงันกับเรื่องนี้ หรือว่าเขากำลังฝัน
   “ข้านั้นกำเนิดเกิดขึ้นพร้อมกับจักรวาลแห่งนี้ เด็กน้อยเอ๋ย เวลาในชีวิตข้านั้นไร้ขีดจำกัดได ๆ โดยสิ้นเชิง ไร้ความตาย ไร้ความกลัว ไร้ความกังวลได ๆ ที่จะคอยกัดกินใจให้เจ็บปวด” เงานั้นค่อย ๆ กลายเป็นรูปร่างที่ชายหนุ่มคุ้นตา “แต่สิ่งนั้นก็เป็นดั่งดาบสองคมที่มีทั้งส่วนดีและร้าย ชีวิตของข้านั้นชั่งน่าเบื่อและไร้ความสนุกเป็นเวลานาน เวลาในชีวิตข้าหมดไปกับการมองหาความบันเทิงใหม่ ๆ ที่จะทำให้เวลาผ่านไปโดยเร็ว ข้ามองหา และมองหา และมองหามานานแสนนาน
จนในที่สุดข้าได้มาพบกับพวกเจ้า เด็กน้อยเอ๋ย เหล่าสิ่งมีชีวิตที่เล็กระจ่อยร่อยราวกับเม็ดฝุ่นธุลีในจักรวาลนี้ กลับทำให้ข้าสงสัยอย่างที่สุด เมื่อข้าพบพวกเจ้าข้าเอาแต่มองดูพวกเจ้าด้วยความสงสัย พวกเจ้ากำเนิด พวกเจ้าเติบโต พวกเจ้าเรียนรู้ พวกเจ้าต่อสู้ พวกเจ้าฆ่าฟัน พวกเจ้าเจ็บปวด และสุดท้ายพวกเจ้าก็ตาย มันช่างน่าขันนัก น่าขันในความต่ำช้าไร้ความเจริญของชีวิตพวกเจ้า แต่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น เด็กน้อย ท่ามกลางความป่าเถื่อนต่ำช้าเหล่านั้นกลับมีบางสิ่งที่ข้าไม่อาจจะเข้าใจได้แทรกอยู่ สิ่งนั้นทำให้ข้าสงสัย สงสัยในความงดงามที่ข้าไม่เคยได้เห็นจากชีวิตได ๆ ในจักรวาลนี้ สงสัยในผลของสิ่งนั้นที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ มากมายบนโลกที่เจ้าอาศัยอยู่
หลายครั้งข้าทดสอบพวกเจ้าด้วยการขัดขวางพวกเจ้า แย้งชิงพวกเจ้าหรือแม้แต่ทำลายพวกเจ้าด้วยสิ่งต่าง ๆ นา ๆ และผลของการทดสอบนั้นก็ทำให้ข้าประหลาดใจเสียทุกครั้งไป ทุกสิ่งที่ข้าคาดเดากลับไม่เป็นไปตามความคิดข้า เด็กน้อยเอ๋ย ข้าไม่อาจทนสงสัยได้อีกต่อไปแล้ว”
เงานั้นค่อย ๆ ปูดโปนออกมากผนังจนกลายเป็นร่างสีดำยืนอยู่ตรงหน้าเจนศิลป์ที่นั่งตัวแข็งด้วยความกลัว
“เจ็ดวัน เด็กน้อยเอ๋ย อีกเจ็ดวันต่อจากนี้ไปก่อนที่เจ้าจะตายเป็นเวลาเจ็ดวันที่เจ้าต้องทำให้ข้าเข้าใจสิ่งนั้น นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ......” 


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 15-12-2007 17:12:08
 
:m4:หวักดีครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ :m4:
           มาแล้ว ๆ ๆ ๆ ตอนไหม่ เป็นไงบ่างครับ หวังว่าจะสนุกนะครับ (ถึงแม้ว่าจะแอบหักเรื่องเล็กน้อยก็ตาม  :m23: (รู้สึกผิดนะนี่  :m17: )) แต่ก็หวังว่าทุกคนจะสนุกกัยเรื่องที่ผมเขียนนะครับ  :m11:

           อยากจะบอกว่าช่วงนี้กลายเป็นไอ้เป๋ไปเลยอ่าครับ  :m26: ทำไมหลอ ก็เพราะไอ้ส้น Teen ตัวดี ดันอยู่ไม่สุก เจือกไปโดนขวดแป๊ปซี่ตกใส่อะดิครับ เลยกลายเป็นไอ้เป๋ไปเลย (พี่สาวเรียกอี DJ เป๋อ่าครับ  :m28: )  ช่วงนี้เลยต้องเดินแขยง ๆ ๆ ๆ ไปโน่นมานี้คนเดียว คนก็มองเหมือน "ไอ้เชียนี้ดัดจริต ทำเป็นผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน  :m29: " ที่จริงแล้วมะช่ายยยยยยยยยยยยยยย ตีนเจ็บมั่งเหอะครับบบบบบบบบบบบบบบบบบ  :m16: จะมองกันทำไมนักหนา  :m16: แล้ววันนั้นขึ้นรถเม มีนักศึกษาท่าทางน่าจะเป็นรุ่นน้องที่ม.คนหนึ่งก็ลุกให้นั่ง รู้สึกเหมือนเป็นอภิสิทธิ์ชนยังไชอบกล แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกกระดากใจเลยบอกเขาว่า "ไม่ต้องก็ได้คับ ไม่ได้ขาขาด  :m23: " น้องเขามองแบบประมาณว่า "กูหวังดีทำไมมึงต้องกวนส้นตีกูด้วยละ"  :m16:

           เกือบโดนโดดที่ขาคู่แล้ว แต่โชคดีถึงม.ก่อน เลยชิ่งเดินหนี พอถึงเวลาเรียนเพื่อน ๆ ก็น่ารัก ให้ผมเดินโชว์ ไอ้เราก็เหมือนคนบ้า บอกให้เดิน ก็เดิน แล้วพวกแม่งก็หัวเราะบอก "ไอ้เป๋ ไอ่เป๋ " บางคนใจดีมาก ๆ ให้ทำท่า อ่างเชิญยิ้มให้ดู น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :a5:

เอี้ย ชีวิต.........

ยังไงก็ขอให้สนุกกับเรื่องที่ผมเขียนนะครับ

แงบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ


:a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 15-12-2007 19:38:32
 :impress:ดีใจจังมาต่อแล้ว :a11:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 16-12-2007 15:48:24


[size=100pt]มาแว้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว[/size]
...

-เจงดิพี่แว่น ได้จับมือกับเขาแล้วเจง ๆ อะน้า-
- จริง- ธาราตอบอีกฝ่ายพรางยิ้ม วันนี้เธอย้ายตัวออกจากเอ็มเอนเอ็นมาอยู่ที่แชตรูมในเวปหนึ่งซึ่งดูคึกคักกว่ามาก
- จริงดิแว่น คนอย่างแกเนี่ยนะ- คนที่พิมพ์มานั้นเป็นเพื่อนของธาราอีกคน เธอรู้จักเขาในชื่อ เจี๊ยว ชายอายุยี่สิบเก้าผู้ดูจะเจนโลกอย่างโชคโชน –ฉันไม่เชื่อแกหลอก-
- ฉันบอกว่าจริง ก็จริงดิเจี๊ยว จะโกหกแกทำบ้าอะไร-
- ช่ายยยยยยยยยยยยยยยย พี่เจี๊ยวแม่ง- ด๋อย ชายอายุสิบเก้าสอดขึ้น เขาดูเป็นเด็กชายปากไม่ค่อยดีเท่าไรในสายตาของธารา
- ว่าแต่เขาว่างายบ่างละพี่-แอมมี่ถามขึ้น
- ก็อึ้ง ๆ แต่ก็ไม่ว่าไร-
- เฮ้อ ๆ ๆ มีอึ้งด้วย- ด๋อยว่า – อดแหลก ว่ามั้ยพี่เจี๊ยว
- ล้าน % -
   - โห มะให้กำลังใจพี่แว่นแลย ไรว้า-
   - แล้วว่าที่อึ้ง ๆ นี่ ว่าเขาจะมีใจให้แว่นมั้งเปล่า-
   - มะแน่น้า เขาอาจจะชอบพี่แว่นเหมือนกันกะได้-
   - โห แอมมี่ มะช่ายกาตูนตาหวานนาจ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ- ด๋อยล้อ
   - แกก็ลองบอกเขาไปตรง ๆ เลยดิ กลัวไร-
   - กลัวดิ เดี๋ยวเขาไม่เอาทำไงละ -
   - อาวงี้ดิพี่ แอมมี่แนะนำ นับหนึ่งถึงสิบ ตอนเขาหลับ ถ้าเขาตื่นมาก่อนก็แสดงว่าเขามีจาย-
   - 55+ ดูหนังมากไปแล้วแอมมีจ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ-
   - ไรละด๋อย ชอบขัดจางเงยยยยยยยยย   --*--  -
   -55555+-ธาราพิมพ์พรางหัวเราะ
   - ถ้ามันง่ายอย่างงั้นได้ก็ดีดิ ว่ามั้ยแว่น-
   - อือ....-
   -เพราะใจคนเรา ยากแท้หยั่งถึง-
   - โห เน่าสัด ดะ 5555+-
   -เห็นโดยยยยย-
................................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 16-12-2007 15:50:24
พิราบยืนอยู่ด้านนอกของระเบียงกว้างที่เปิดโล่งมองเห็นทิวทัศของแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างชัดเจน ผืนน้ำนั้นดูแน่นิ่งไม่ไหวติ่งภายไต้เงาดำที่ห่มคลุมค่ำคืนนี้ให้ดำมืดโดยไร้แสงจันทร์ สายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านมาหอบเอาความเงียบงันมากัดกินใจของพิราบจนเกิดกลายเป็นความรู้สึกที่เคว้งคว้างในอกชวนทรมาน เขาเกลียดเวลากลางคืน มันมืดเกินไป เงียบเกินไป และทรมานเกินไป ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุไดมันจึงเป็นเช่นนั้น แต่มันก็เป็นเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว นานเสียจนเขาอยากที่จะลืมจุดเริ่มต้นของมัน แต่ยิ่งอยากจะลืมมันเท่าไรความทรมานนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเท่านั้น ค่ำคืนก็ยิ่งยาวนานขึ้น ความมืดก็ยิ่งมืดขึ้นและความเงียบก็ยิ่งเงียบงันขึ้นกว่าเก่ามากมาย มันมีชื่อเรียกหรือเปล่านะ สิ่งนี้ เรียกว่าความเหงาหรือปล่า......
   วันนี้พิราบอยู่บ้านทั้งวันไม่ได้ไปไหนเพราะความเหนื่อยอ่อนที่เกาะอยู่ในใจทำให้ร่างกายดูอ่อนแอไปถนัด ทั้งตัวร้อนรุม ๆ เหมือนเป็นไข้ หน้ามืดเป็นระยะ อีกทั้งยังไอแห้งจนแสบคอ ถึงจะกินยาไปหลายเม็ดเขาก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับไปได้
   “โรคนอนคนเดียวไม่หลับ” ชายหนุ่มพึมพำพรางยิ้มกับชื่อโรคที่ตัวเองคิดเองก่อนจะไอเอาลมหายใจร้อนภายในออกมาจนตัวโยน
   เขายืนอยู่อย่างนั้นเป็นนานจนฟ้าเริ่มสาง มองดูท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีทีละน้อยอย่างยินดี วันใหม่แล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว นาฬิกาตีบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าเมื่อพิราบตรงไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปเรียน
    กว่าทุกอย่างจะพร้อมให้ชายหนุ่มออกจากบ้านก็เลยเก้าโมงเช้าไปนาน เขาค่อย ๆ เคลื่อนรถออกจากบ้านก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังมา สายตามองชื่อผู้โทรมาก่อนรับสาย
   “ครับแม่”
   “ว่าไงลูก....ทำอะไรอยู่”
   “ขับรถครับ กำลังจะไปเรียน”เขาตอบด้วยเสียงราบเรียบ
   “หลอ เป็นไง สบายดีนะ”
   “ครับก็เหมือนเดิม แล้วแม่อยู่ไหนครับนี่”
   “อยู่โรงงาน นัดลูกค้าไว้”
   “อ๋อ”เขาร้องพรางหักพวงมาลัยเลี้ยว “พ่อละครับ”
   “อยู่นี่ละ จะคุยมั้ยละ”
   “ไม่...”ไม่ทันตอบเสียงของบิดาก็ดังมา
   “ว่าไงไอ้ลูกแก้วพ่อ”
“ครับพ่อ”เขาตอบอย่างเสียไม่ได้
“ไปไหนแต่เช้าละ เรียนหลอ”
“ครับ กำลังจะไปเรียน”
“เสียงเป็นอะไร ไม่ค่อยสบายละสิ ก็บอกแล้วอย่างกินเหล้าให้มันมากนัก”
“ครับรู้แล้วครับ” พิราบทำเสียงเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน
“รู้ตลอดนะ แกนะ ทำตามบ่างซี้”ว่าแล้วก็หัวเราะร่วน “เออ ๆ เดี๋ยวพ่อวางก่อนนะ ลูกค้ามาแล้ว”
“ครับ ๆ สวัสดีครับพ่อ”
“เออ ๆ” แล้วก็วางหูไป
ชายหนุ่มเอื้อม มือไปเอาโทรศัพท์วางไว้ที่ข้างเกีย แต่ดูเหมือนมือเขาจะไม่แข็งแรงเหมือนเก่าก่อนจึงทำให้โทรศัพท์หลุดมือลงไปอยู่ข้างเท้า
“โถ่เอ้ย”เขาร้องพรางเอื้อมมือลงไปเก็บขึ้นมา แต่พอสายตากลับมามองถนนอีกครั้ง ร่าง ๆ หนึ่งก็พลันกระเด็นขึ้นมาอยู่บนฝากระโปรงรถก่อนจะกลิ้งตกลงไปด้านล่าง

...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 16-12-2007 15:53:48
สองชั่วโมงก่อนหน้า
       เจนศิลป์ลือตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงียพรางมองไปรอบตัวรางกับจำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ได ราวเสื้อผ้าล้มละเนละนาดอยู่มุมห้องจนเสื้อฝ้ากระจายเต็มไปหมด เช่นเดียวกับตัวเขาที่นอนแผ่หลาไม่เป็นท่าาห่างจากที่นอนมาไกลหลายฟุต อาการปวดคอและตัวทำให้ชายหนุ่มต้องปิดร่างกายตัวเองจนเสียงกระดูกลั่นดังขึ้นไปทั่วก่อนจะยืนขึ้นทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในหัว
   “ฝันบ้าอะไร แปลกชิบหาย”เขาพึมพำก่อนจะเดินลงไปด้านล่างและแง้มประตูของหญิงกลางคนดู เธอยังคงหลับอยู่ แต่มีขวดเหล้าที่เหลือเพียงน้อยนิดตั่งไว้บนโต๊ะตัวเล็ก เธอคนนั้นคงตื่นมาดื่นเมื่อคืนนี้เป็นแน่ ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ อย่างหมดแรงก่อนจะเดินออกไปภายนอกเพื่อซื้ออาหารเช้ามากินในสมองยังติดใจเรื่องฝันเมื่อคืนไม่หาย ฝันบ้าอะไรประหลาดแท้ เงาเดินได้อย่างงี้ อมรอย่างงี้ ชีวิตไม่มีวันตายอย่างงี้ สงสัยบ้าบอสวรรค์วิมานห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ พูดจาวกวนชิบหาย แต่ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งติดใจอะไรบางอย่างอย่างบอกไม่ถูก
   ตลาดในตอนเช้าแบบนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนเดินขวักไขว่พร้อมกับเสียงตะโกนดังโหวกเหวก กลิ่นคาวของอาหารสดคระครุ้งผสมผสานกันจนกลายเป็นกลิ่นชวนแปล่งจมูก ลูกค้ายืนคุยกับแม่ค้าอย่างออกรส แต่พอชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นก็ดูเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างจะพลันหยุดลงทันที สายตานับสิบ ๆ จากรอบด้านจ้องมองเขาเป็นตาเดียว บางคนพากันซุบซิบโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย พอชายหนุ่มมองไป คนพวกนั้นก็พากันหลบตากันหมด
คงเป็นเรื่องที่เขาโดนไล่ออกเป็นแน่ ในสถานที่แบบนี้เรื่องราวต่าง ๆ มักจะแพร่กระจายออกไปเร็วกว่าไฟที่ไหม้ลามทุ่ง โดยเฉพาะเรื่องเสื่อมเสียของใครสักคน
   “ป้าดำ เอาข้าวต้มหัวปลาถุงหนึ่ง” เขาว่ากับแม่ค้าขายข้าวต้ม เธอตาลีตาลานมาขายให้เขาอย่างมีพิรุต
   “เป็นไงบ่างละ เห็นเขาว่าออกจากงงานแล้วไม่ใช่หลอ”
   ชายหนุ่มยิ้มและไม่คิดจะตอบอะไร ไม่ว่าเขาพูดอะไรไปมันก็เป็นเพียงแค่คำแก้ตัวของคนผิดเท่านั้นเอง
   เจนศิลป์รับถุงข้าวต้มมาและเดินออกมา เขาชินเสียแล้ว ชินกับการว่าร้ายลับหลังแบบนี้ ชินกับการถูกกล่าวหาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มานานแสนนาน เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่กับแม่สองคนใหม่ ๆ ก็เป็นแบบนี้......พ่อมันทิ้งไป......ไปอยู่กับเมียน้อย........แม่มันขี้เมาจะตาย........ไม่ทำมาหาแดกอะไรสักอย่าง........คำพูดเหล่านั้นดังแว่วมาตามลมแห่งกาลเวลาจนเจนศิลป์ชินชาและยอมรับมันผ่านหูไปโดยดี
แต่ก็ใช่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนร้ายกาจไปเสียทั้งหมด คนดี ๆ ก็มีมากอยู่ อย่างนางทองแม่ค้าขายขนมถังแตก เธอเป็นหญิงชราอายุเจ็ดสิบเศษที่ดูแข็งแรงผิดธรรมดาแถมยังนิสัยขาด ๆ เกิน ๆ อย่างประหลาด ชอบพูดจาเสียงดังโหวกเหวกจนไม่มีใครกล้าวุ่นวายกับเธอมากนักแต่กับเจนศิลป์ดูเธอจะเอ็นดูช่นหนุ่มเป็นพิเศษ
นางทองเคยเล่าว่าเธออยู่ที่ตลาดนี้มาตั้งแต่ยังสาวจึงถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่คนหนึ่งของตลาด แถมเธอยังรู้จักผู้คนมากมายจนดูเหมือนต่อให้อีกฝ่ายไม่รู้ตัวหรือไม่เคยเห็นหน้ากัน เธอก็ยังรู้จักอยู่ดี อย่างครั้งแรกที่เธอพบเจนศิลป์ เธอยังลูปคางของชายหนุ่มไปมาพรางว่า “ลูกบ้านสุดซอยใช่มั้ยละเรา.....น่าเอ็นดูจริง ๆ” 
“เราไม่ได้ทำใช่มั้ย”เธอโพรงขึ้นทันทีที่เห็นเจนศิลป์เดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน สีหน้าเธอดูคาดหวังคำตอบไว้แล้ว
“เรื่องอะไรครับป้า ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เขาพูดพรางตีหน้ายิ้ม
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้น่า บอกป้ามาตรง ๆ”
ชายหนุ่มมองอีกฝ่าย “ผมไม่ได้ทำครับป้า”
“นั้นไง” เธอพูดเสียงดังคล้ายตะโกนพรางตบมือฉาดใหญ่ “กูว่าแล้ว พวกมึงได้ยินแล้วใช่มั้ย หลานกูบอกว่าไม่ได้ทำ ที่นี้ถ้าไอ้อีตัวไหนนะยังเอาไปพูดอีกนะมึง กูจะด่าให้แม่งไม่เหลือซากคนเลย คนมันเป็นคนดี ยังไปดึงไปชุดให้เฮี้ยตามสันดานพวกมึงอีก เอ้าลูก ขนม ป้าให้เอาไปกิน”
   เธอว่าพรางส่งถุงขนมมาให้
   “ไม่เอาครับป้าน่าเกลียดตายเลย”
   “อย่าขัดใจคนแก่น่า....เอาไป” เธอยัดถุงขนมใส่มือชายหนุ่ม เขาจึงยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณและจากมาพร้อมรอยยิ้ม เสียงของเธอยังดังตามหลังมาอีกไกล   
   เจนศิลป์เดินเขาซอยมาด้วยความเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก ถุงขนมถังแตกแก่วงไปมาในมือพร้อมกับร้อยยิ้มน้อย ๆ ที่อยู่บนใบหน้า นึกแล้วก็ยิ่งขำกับสีหน้าคนพวกนั้นที่เจื่อนลงทันทีที่นางทองเริ่มพูด ยิ่งเรื่องความฝันเมื่อคืนแทรกเข้ามาเขาก็ยิ่งขำ ไอ้นั้นว่าอย่างไรนะ อีกเจ็ดวันเขาจะตายงั้นหลอ
   “ใช่ อีกเจ็ดวันเจ้าจะตาย” เสียงดังแปลกประหลาดทำให้ชายหนุ่มรีบหันไปมองทางต้นเสียง
   เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายท่าทางสกปรกมีหนวดเคลารุงรังสีดำ ดวงตาผลุบหายไปในดงผมที่ฝูเหนียว อีกทั้งยังแต่งตัวด้วยถูกพราสติกหลากสี
   ชายหนุ่มมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตางงงัน หัวเราะเผยให้เห็นฝันสีเหลืองสกปรก “เจ็ดวัน.....เจ็ดวัน”
   เจนศิลป์เร่งฝีเท้ากลับบ้านด้วยสีหน้าซีดเผือก จากเดินกลายเป็นเดินอย่างเร็ว จากเดินอย่างเร็วกลายเป็นวิ่ง และจากวิ่งกลายเป็นวิ่งไม่คิดชีวิตโดยมีเสียงชายคนนั้นไล่หลังมาไม่ห่าง “เจ็ดวัน เจ็ดวัน”
   เขาหยุดวิ่งเอามือเท้าเข่าทั้งสองข้างหอบจนตัวโยนอยู่หน้าบ้านตัวเองพร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มตัว สิ่งที่เขาเห็นนั้นมันคืออะไร แต่ไม่ทันที่จะได้คำตอบ ลูกบอนสีสดใสก็กลิ้งมาอยู่ตรงหน้าและหยุดที่ปลายเท้าเขา
   “เจ้าสัญญากับข้าไว้แล้วนะ” ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมอง คราวนี้อีกฝ่ายเป็นเด็กหญิงตัดผมทรงหน้าม้าสั่นเต่อ ผิวขาวสะอาดรับกับพวงแก้มสีชมพูดูอิ่มเอมดวงตาหยี่เล็กและรอบยิ้มอย่างไร้เดียวสา เธอสวมชุดกระโปรงสีชมพูดูน่ารักกับรองเท้าผ้าใบสีขาว
   ชายหนุ่มหยุดหอบหายใจ พรางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตกตะลึงก่อนจะหันมองไปรอบตัว เด็กหญิงวิ่งมาเก็บลูกบอลไปตีเล่นอีกครั้ง
   “เจ้าสัญญาว่าจะตอบข้อสงสัยของข้าแล้ว”
   “หนู....”ชายหนุ่มกลั้นใจพูดทั้งที่ตัวทั้งตัวสั่นไปด้วยความกลัว “หนูพูดเรื่องอะไรเนี้ย.....พ่อแม่อยู่ไหน”
   “นี่....เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่เด็กหญิงคนนี้ เหตุไดมนุษย์ถึงชอบหลอกตัวเองกันนักนะ” ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปกับคำตอบ ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงของเด็กหญิงอย่างแน่นอน แต่คำพูดต่าง ๆ เหล่านั้นกลับไม่น่าจะใช่เลย
   “ถ้างั้น”เขาว่าพรางยืดตัวขึ้นยืนตรง “....อมรใช่มั้ย”
   เด็กหญิงฉีกยิ้มพรางพยักหน้า
   ชายหนุ่มถึงกับเข่าอ่อนแรงลงจนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นถนนหน้าบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก นี่มันเรื่องจริงหรือ เรื่องเมื่อคืนนั้นไม่ใช่ความฝันหลอกหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เขาเอามือกุมหัวไว้แน่นราวกับไม่เชื่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่ ๆ มันจะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไร
   “พวกเจ้าทุกคนอ่อนแอแบบนี้หรือเปล่านะ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงที่บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้าและเอาลูกบอลกดที่หัวของเขาไว้ เธอยิ้ม ชายหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนคนบ้าและเดินเข้าไปในบ้านอย่างรีบเร่งโดยมีเสียงของเด็กหญิงตามหลังมา “ข้าจะรออยู่นี่นะ”
เจนศิลป์คว้าโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในครัวขึ้นกดเบอร์
   เสียสัญญาณดังอยู่สองสามทีก่อนที่จะมีเสียงตอบรับ
   “อาหมอหลอครับ”
   “อือ”อีกฝ่ายว่า “มีอะไรคอม รีบพูดหน่อยนะอาทำงานอยู่”
   “ครับคือ ผม....”ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดีจึงอึกอักอยู่อย่างนั้น
“คอม”อีกฝ่ายว่านำเสียงเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่า”
ชายหนุ่มอึกอักอีกก่อนจะว่าต่อ
 “คือ....ผมว่าผมไม่ค่อยสบายนะครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี.....เลยอยากให้อาหมอช่วยหน่อย”
“โถ่เอ้ย นึกว่าอะไร เข้ามาสิ ตอนไหนก็ได้”
“ครับ งั้นเดี๋ยวไปตอนนี้เลยครับ” เขาว่าอย่างรีบเร่งก่อนจะว่างไป
เจนศิลป์รีบเดินขึ้นเอาข้าวเช้าไปให้มารดาก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาจากบ้าน เขาสวมชุดนักศึกษาแขนยาวกับการเกงสีดำ
ชายหนุ่มค่อย ๆ แง้มประดูออกมาจากบ้าน เด็กหญิงหายไปแล้ว ไอ้คนบ้านั้นก็ไม่อยู่ จะมีก็แต่เสียงคนกวาดถนนที่อยู่ไกล ๆ กับเสียงน้ำกระทบกันในแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น ชายหนุ่มโล่งอกก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาจากบ้านและเริ่มเร่งฝีเท้าคล้ายหนีอะไรบางอย่าง เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ อาจจะเพราะความเครียด ใช่ เพราะเครียดที่ถูกไล่ออกจากงานแน่ ๆ ทำให้เขากลายเป็นคนวิปลาสไปแบบนี้ โถ่เอ้ย ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ใครจะอยู่ดูแลมารดาเขาละ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นไอ้เฮียส้นตีนนั้น
“มัวทำอะไรอยู่ ข้ารอเจ้าอยู่ตั้งนาน” เสียงของผู้ชายดังขึ้นแต่ชายหนุ่มไม่คิดจะหันไปมอง
อย่าไปมอง อย่าไปสนใจ เขาเฝ้าบอกตัวเองอยู่อย่างนั้น
“ข้าพูดกับเจ้านะ เด็กน้อย เหตุไดเจ้าไม่ตอบข้า”
เจนศิลป์ยังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปอีทั้งยังเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นตามไปด้วย
“ข้าว่า เหตุไดเจ้าไม่พูดกับข้า”สิ้นเสียงอาการปวดแปลกประหลาดก็เล่นเข้าสู่สมองของชายหนุ่มทำที เขารู้สึกราวกับหัวกำลังจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ ในวินาทีนั้น
“อ้า....”เขาร้องอย่างทรมารพรางยกมือขึ้นกดหัวไว้แน่น สายตาพรันหันไปมองต้นเสียงที่บัดนี้สวมเสื้อกั๊กของพนักงานกวาดถนนกับกางเกงสีกากีขายาว มือทั้งสองข้างกระสานกันแน่นโดยมีไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาวอยู่แนบอก“ทำอะไรเน้ย”
“สั่งสอน ตักเตือน ลงโทษ”อีกฝ่ายว่าพรางมองดูชายหนุ่มอย่างสนุกสนาน “พวกเจ้าเรียกมันว่าอะไรกันละ”
“โถ่เอ้ย.....พอเถอะ...พอแล้ว ผมยอมแล้ว”ชายหนุ่มว่าอย่างจนตลอก
“สัญญาสิว่าเจ้าจะตอบทุกคำถามที่ข้าถามไป”
“สัญญา อะไรก็ได้ พอเถอะ เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
สิ้นคำ ความเจ็บปวดนั้นก็พรันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ชายหนุ่มสะบัดหัวแรงสองสามทีพรางหอบหายใจถี่ ๆ
“จงเชื่อเถอะ เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าไม่ได้เสียสติ และข้ามีตัวตนอยู่จริง” 
“ทำแบบนี้ทำไม....” เจนศิลป์วิ่งเข้ากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นพรางตะโกนใส่หน้า “จะทำแบบนี้ไปทำไม” 
อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้านได ๆ  “หาคำตอบ”
ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงตะแบงเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ใส่ ก่อนจะตั้งท่าเดินหนีไป
“ข้าว่า”อมรเดินตามไป “เจ้ากับข้าต้องทำตามความเข้าใจอะไรกันบางอย่างก่อน”
“อะไร อะไรอีกละทีนี้”ชายหนุ่มหยุด อมรหยุดตาม “ถามจริง ๆ เถอะ ต้องการอะไรกันแน่เนี้ย”
“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้ว ข้ากำลังหาคำตอบอยู่”
”คำตอบ คำตอบส้นตีนเหี้ยอะไร”
“อย่าใช่คำพูดแบบนั้นกับข้า” อมรว่าก่อนอาการปวดจะปรากฏที่หัวของชายหนุ่มอีกครั้งถึงคราวนี้จะไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรกแต่ก็มากพอให้เจนศิลป์จำนน
“พอเถอะ ๆ ๆ “เขาพูดรัว ๆ ก่อนจะพูดต่อเมื่อความเจ็บปวดหายไป “คำตอบอะไรละ ถามมาสิ จะตอบให้”
อมรมองขึ้นฟ้า รอบตัว มองลงพื้น มองอยู่อย่างนั้นหลายรอบคล้ายหาอะไรบางอย่างก่อนจะยิ้มและหันมา
“ไม่ใช่ตอนนี้”
“ฮะ.....อะไรเนี้ย...พอจะให้ถามก็ไม่ถาม พอไม่ให้ถามก็จะถาม เป็นอะไรของ.....”ชายหนุ่มหยุดพรางพยายามหาสัพนามแทนตัวอีกฝ่าย “คุณเนี่ยหา”
“ไม่ต้องกังวลไป”เขาว่ารางมองเจนศิลป์ด้วยรอบยิ้มแปลกประหลาด “อีกไม่นานหลอก”
ชายหนุ่มส่ายหน้าหนีพรางหันไปเตะก้อนหินที่อยู่บ้างทาง “ซวยชิบหาย งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มีใช้ แม่ก็ขี้เมา แถมยังมาเจอะเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรอีกก็ไม่รู้ ทำไม่ซวยงี้ว่ะ”
อมรหัวเราะชอบใจ “วางใจเถอะ เด็กน้อยเอ๋ย เจ็ดวันจากนี้ไป ทุกสิ่งก็จะสิ้นสุดแล้ว”
เจนศิลป์หันมา “อะไร....”
“อีกเจ็ดวัน เจ้าจะตาย” สีหน้าที่เรียบเฉยของอมรทำให้เจนศิลป์หัวเราะ
“อะไร”เขาเค้นเสียงขึ้นจมูก “คนอย่างผมเนี่ยนะจะตาย ไม่มีทาง”
“เหตุไดละ” อมรว่า “เจ้ากังขาในอำนาจหยั่งรู้แห่งข้าหรือ เด็กน้อย”
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่แววตาเขาตะโกนก้องว่าใช่ชัดเจนจนอีกฝ่ายเค้นเสียงขึ้นจมูกคล้ายดูหมิ่นความกล้านั้น
“ถ้าเช่นนั้น” ชายคนนั้นว่าพรางลากไม่กวาดทางมะพร้าวเดินไปรอบตัวชายหนุ่ม “หากข้าบอกว่า ความตายในอีกเจ็ดวันของเจ้า จะเป็นสิ่งประกันชั้นดีให้แก่ชีวิตอันเป็นสุขและยาวนานของหญิงคนนั้นละ”เขาว่าพรางชี้ไปยังบ้านของเจนศิลป์ที่อยู่ลิบ ๆ 
“ฮะ....”เจนศิลป์ร้องขึ้นพรางถอยห่างออกมาจากอีกฝ่าย “อย่ามาพูดตลกน่า.....ไม่มีทางที่......คุณทำไม่ได้หลอ.....ใช่มั้ย.......”
อมรใช้นิ้วชี้เคาะไปที่ศีรษะตัวเอง “ระวังหัวด้วยละ”
ไม่ทันขาดคำ แรงกระแทกก็พุ่งเข้าใส่ร่างชายหนุ่มจากด้านข้างก่อนที่โลกทั้งโลกจะพลันดับไป


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 19-12-2007 14:46:30
กลัวอ่ะ :m15:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 23-12-2007 04:58:42
กลัวอ่ะ :m15:


หลอครับ  :m25: จริงหลอครับ......55555555 สงสัยว่าจะไม่ถนัดเรื่องรัก ๆ แบบนี้จริง ๆ เสียด้วยสินะครับ  :m23:  :m23:  :m23:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 25-12-2007 14:47:59
พิราบวิ่งลงมาจากรถก่อนจะเห็นร่างของชายคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้นถนน เขามองไปรอบตัวเหมือนต้องการคนช่วยแต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นแม้แต่คนเดียว
“พี่ พี่”ชายหนุ่มร้องเรียกพรางเข้าไปเขย่าร่างนั้นเบา ๆ เม็ดเลือดสีแดงฉานเริ่มไหลออกมาจากปากแผลยาวที่อยู่เหนือคิ้วซ้ายขึ้นไปและทิ้งตัวลงมาตามแนวขมับจนเกิดกลายเป็นเส้นสายสีแดงดูน่าหลัวและถ้าเขาไม่ตาฝาด สีขาว ๆ ที่จมลึกอยู่ในแผลนั้นคงเป็นกระดูกส่วนหนึ่งของกะโหลกศีรษะ
พิราบเริ่มรู้สึกไม่สู้ดีนักแต่อีกฝ่ายดูเหมือนเริ่มจะได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาเขากลอกไปมาก่อนจะกระพริบตาถี่ ๆ เหมือนคนตื่นนอน ก่อนที่มันจะฉายแววเรียบเฉยมึนงงไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยผิดวิสัยคนปรกติทั่วไป
เจนศิลป์มองไปรอบตัวคล้ายหาอะไรบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นอย่างเร็วและถลาออกไปห่างจากอีกฝ่าย
“อะไรว่ะเนี้ย....”เขาพูดน้ำเสียงคล้ายพูดกับตัวเอง
 “ผมขับรถชนพี่ ผมขอโทษด้วยนะ”พิราบว่าพรางเข้าไปจับตัวอีกฝ่ายคล้ายต้องการช่วย แต่เจนศิลป์กลับมองเขาด้วยสายตาแปลกอย่างไม่ไว้ใจ เขาขยับกายเสห่างออกไปอีกพรางจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ไม่แน่ใจว่าชายคนนี้เป็นคนปรกติทั่วไปอย่างตนหรือเป็นอมรแสดงอภินิหารแปลงร่างมาอีก  “ยังไงไปโรงพยาบาลก่อนนะ....พี่มีแผลด้วย ยังไงก็ไปโรงพยาบาลก่อนแล้วกัน”
เจนศิลป์ขมวดคิ้วก่อนจะรู้สึกปวดตุบที่หน้าผาก เมื่อเอามือสัมพันธ์ดูจึงรู้ว่าเป็นเลือด พิราบรีบเดินเข้ามาพรางเอาผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเข้มของตัวเองกดปากแผลไว้ “ไปเถอะ ไปโรงพยาบาล” ว่าแล้วก็เปิดประตูรถให้เจนศิลป์ขึ้นนั่ง
ถึงจะดูยังไม่ไว้ใจนักแต่เจนศิลป์ก็ขึ้นนั่งข้างคนขับแต่โดยดี
“เดี๋ยวไปนนทเวชแล้วกันนะพี่” พิราบว่าก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไป
“ไม่...ไม่ต้องหลอกพี่ ไปพระนั่งเกล้าเถอะ”เจนศิลป์ตอบน้ำเสียงเรียบเฉยและอ่อนเผลียอย่างประหลาดพรางเอาผ้าเช็ดหน้าที่ทาบอยู่ที่หน้าผากออกดู เลือดสีคล้ำโฉลมอยู่ทั่วทั้งฝืนผ้าเช็ดหน้า ชุ่มย้อมสีน้ำเงินให้กลายเป็นสีดำปนแดงดูน่ากลัว
“พี่จะเอาออกทำไมละครับ....”พิราบพูดพรางเอื้อมมือมาจับผ้าเช็ดหน้าปิดไว้ที่เดิมสายตาเลิกลักมองถนนที เจนศิลป์ที “ไปนนทเวชเถอะ เร็วกว่าด้วย”
เจนศิลป์มองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“ไปพระนั่งเกล้าเถอะ ผมมีอาเป็นหมออยู่ที่นั่น”
ได้ยินแบบนั้นอีกฝ่ายจึงเงียบไปคล้ายจำนน
“ผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะ” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ “คือ ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ”
“ชั่งเถอะ....”ชายหนุ่มว่าพรางทิ้งหัวไปด้านหลัง “ยังไงวันนี้ก็ซวยตั้งแต่เช้าแล้ว”
พิราบงงงันกับคำตอบนั้นแต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ถามอะไรต่อ ทั้งคู่เงียบกันไปตลอดทางจนถึงโรงพยายาล
“เดินไหวมั้ยพี่ ให้ผมเอารถเข็มมาให้มั้ย” พิราบถามเมื่อรถจอดสนิทในที่จอดรถหน้าอาคารใหญ่ของโรงพยาบาล
“ไม่ต้องหลอก”ว่าแล้วก็เปิดประตูรถเดินออกมา.....หัวแตกขาไม่ได้ขาด.....แม้ในใจเขาจะคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “พี่ ผมยืมโทรศัพท์หน่อยได้มั้ย จะโทรหาอา”
อีกฝ่ายรีบยื่นโทรศัพท์ให้เจนศิลป์ ที่รับมาและกดเบอร์โทรศัพท์โทรออกทันที
“สวัสดีครับ”
“อาหมอหลอ ผมคอมนะ นี่อยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว หัวแตกด้วย”
“ฮะ” อีกฝ่ายทำเสียงไม่เชื่อ “ไปโดนอะไรมา เดี๋ยวจะไปเดี๋ยวนี้ละ”
เจนศิลป์วางโทรศัพท์ก่อนยื่นคืนอีกฝ่ายที่ตอนนี้มองเจนศิลป์ด้วยสายตาเป็นกังวลบอกไม่ถูก
วันนี้ส่วนรอตรวจของผู้ป่วยที่เป็นโถงใหญ่ปูหินอ่อนสีดำสลับขาวดูวุ่นวายด้วยผู้ป่วยที่มารับการรักษาเดินไปมากันขวักไขว่เต็มสถานที่ เสียงดังของเด็กร้องและเสียงพูดคุยดังระงมไปทั่วพอ ๆ    กับเสียงประกาศเรียกของนางพยาบาล
ทั้งคู่หาที่นั่งเหมาะ ๆ ก่อนนั่งรอผู้เป็นทั้งหมอและอา ไม่นานพยาบาลสาวคนหนึ่งก็เดินมาถามว่าติดต่อรับการรักษาหรือยัง พิราบตอบไปว่าเจนศิลป์เป็นญาติของหมอที่นี่
“หมอชื่ออะไรค่ะ” เธอถามขึ้น พอสังเกตดูจึงจะรู้ว่าเธอนั้นมีใบหน้าที่สวยงามอย่างประหลาด ด้วยดวงตาเรียวคมบาดลึก ริมฝีปากถูกเติมเต็มด้วยสีแดงก็ฉีกยิ้มอย่างมีนัยไม่คลาย เช่นเดียวกับเล็บมือที่ดูทาด้วยสีแดงดูตัดกับสีขาวชนชุดพยาบาลอย่างน่ากลัว
“เจนภูมิครับ” เจนศิลป์ตอบพรางมองอีกฝ่ายที่ยิ้มไม่คลาย ก่อนจะพยักหน้าและเดินจากไป
“อยู่นี่เองหลอ” นายแพทย์เจนภูมิในชุดสีขาวของหมอเดินมาพรางเอ่ยขึ้น เขามีผิวคล้ำเล็กน้อยไม่เหมือนอย่างหมอทั่วไป รูปหน้าตอบและดวงตาลึกโบ๋เข้าไปในเบ้าดูแล้วเหมือนคนอมโรค รูปร่างสูงโปร่งแต่ค่อนข้างผอมดูแล้วเก้งกางอย่างไรบอกไม่ถูกอีกทั้งมือไม้ยังดูลีบผอมจนเหลือแต่กระดูก
รวมแล้วเขานั้นดูไม่ใช่คนรักษา แต่เป็นคนที่ควรถูกรักษามากกว่า
 “อะไรเน้ย ไปโดนอะไรมากัน ตอนแรกนึกว่าพูดเล่นเสียอีก” ผู้เป็นหมอว่าพรางจับเอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือของเจนศิลป์ออก“ลึกเหมือนกันนะนี่ มา ๆ ตามมา เดี๋ยวอาเย็บให้”
ว่าแล้วคนทั้งสองก็เดินตามเจนภูมิไปในห้องตรวจห้องหนึ่งที่ว่างอยู่ ภายในเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเตียงและฉากกันห้องสีเขียวแก่ขึงกั้นไว้ ถัดมาด้านหน้าจึงเป็นโต๊ะทำงานตัวเล็กกับเก้าอี้ของหมอดูไม่สมฐานะเสียเท่าไรนัก
“ไหนมาสิ”เจนภูมิดึงเจนศิลป์ไปด้านในพรางให้นั่งลงบนเตียงและเอาผ้าเช็ดหน้าออกก่อนจะสวมถุงมือยางสีขาวเตรียมดูแผล ปล่อยให้พิราบนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานคนเดียว “ไปโดนอะไรมาเนี้ยฮะ” เจนภูมิว่าพรางพินิจดูแผลของผู้เป็นหลาน
“พี่เขาขับรถชน....”
“อะไร โดนรถชน” เจนภูมิพูดเสียงสูง สายตายังจดจ่ออยู่ที่แผลไม่วางตา
“ทำไมละอา” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงติดตลก “มันน่าจะเป็นมากกว่านี้หรือไง”
“เอ้อ แกจะบ้าหรือไง ไอ้เด็กคนนี้” เจนภูมิว่าพรางถอดถุงมือยางออก “........ไม่เป็นอะไรมากหลอก ไม่โดนเส้นเลือดหรืออะไร รออยู่นี่นะเดี๋ยวให้พยาบาลมาล้างแผลให้”
ว่าแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้ความเงียบคลอบงำคนทั้งคู่อีกครั้ง
“แล้ว.....”เป็นพิราบเองที่เอ่ยขึ้นหลังจากผ่านไปนานหลายนาที “พี่ชื่ออะไรหลอครับ”
“คอมครับ” เขาตอบพลางขยับตัวมาที่ปลายเตียงให้พ้นฉากกั้น “แล้วพี่ละชื่ออะไร”
“ หนึ่งครับ....คือผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ มันเป็นความผิดของผมเอง”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ” เจนศิลป์พูดยิ้ม ๆ พรางโบกมือไปมา “มันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดหลอกครับ”
อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ พรางก้มหน้าลงและเกาหัวเล็กน้อย
“ว่าแต่”เจนศิลป์ว่า “พี่อายุเท่าไรกัน ถึงเรียกผมว่าพี่แบบนี้”
“ยี่สิบครับ”
“อ้าว” ชายหนุ่มร้อง “งั้นก็ไม่ต้องเรียกพี่แล้วละ รุ่นเดียวกัน”
“งั้นหลอ...”ไม่ทันจบคำพิราบก็ไอขึ้นจนตัวโยนประจวบเหมาะกับนางพยาบาลที่เดินเขามาพร้อมสิ่งของที่ห่ออยู่ในผ้าสีเขียวเต็มสองมือ เธอคลี่มันออกบนเตียง เจนศิลป์ถึงรู้ว่าเป็นชุดทำความสะอาดแผล เข็มฉีดยา และเอ็นเย็บแผล เธอค่อย ๆ คำความสะอาดแผลให้เจนศิลป์อยู่นานจนชายหนุ่มไม่ทันเห็นตอนเจนภูมิเดินเข้ามา
“เอายาชามั้ย” ผู้เป็นอาถามขึ้น
“แล้วมันเย็บกี่เข็มละอา”     
“แค่นี้....”เขาทำสีหน้าคิด “สามเข็มก็พอมั้ง”
“งั้นไม่ต้องก็ได้ครับ...นิดหน่อย”
เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีพร้อมกับเสียงโอดโอยของเจนศิลป์ที่ดังขึ้นเป็นระยะ
“แล้วก็ทำเป็นปากดีไม่เอายาชา” เจนภูมิว่าพรางถอดถุงมือยางออก ปล่อยให้นางพยาบาลปิดแผลให้เจนศิลป์
“โถ่อา ใครจะไปรู้ว่าจะเจ็บแบบนี้ละ” พอเห็นนางพยาบาลยิ้มน้อย ๆ ชายหนุ่มจึงไม่คิดพูดอะไรต่อ
เสียงไอโขกของพิราบดังขึ้นก้องจนเจนภูมิหันมามอง
 “นี่เราไม่สบายหรือเปล่าเนี้ย”ผู้เป็นหมอว่าพรางเดินตรงเข้าไปสัมพัทธ์คอและหน้าของอีกฝ่าย “มีใข้นิเรา”จบคำเขาก็ให้นางพยาบาลไปนำเอาเครื่องมือตรวจต่าง ๆ มา ไม่นานก็ตรวจเสร็จ
“งั้นเดี๋ยวเราทั้งคู่ไปรอรับยาหน้าห้องนะ” ชายหนุ่มทั้งคู่ไหว้เจนภูมิพรางลากลับ แต่ผู้เป็นอาเรียกหลานไว้คล้ายนึกอะไรออก “จะเข้าบ้านก่อนหรือเปล่าเรา”
“เปล่าครับ กะว่าจะไปเรียนต่อ”อีกฝ่ายตอบอย่างเร็วเขารู้ดีว่าอาหมอไม่ชอบให้เขาหยุดเรียบบ่อย
“ก็ดีแล้วละ.....เย็น ๆ อาแวะเข้าไปนะ”
“ครับ” เจนศิลป์รับคำก่อนจะเดินจากมา
พอประตูห้องปิดลง พิราบก็เอ่ยขึ้น
“อาของคอมนี่ใจดีเหมือนกันเน้อ”
“อือ....”เจนศิลป์รู้สึกแปลก ๆ ที่คนรุ่นราวคราวเดียวกับตนเรียกชื่อของเขาตรง ๆ แบบนี้ “เป็นอย่างนี้ละ บางที่เรายังคิดอยู่เลยว่าแกน่าจะไปเป็นหมอเด็กมากกว่า แต่หน้าแกคงไปไม่ไหว”
พิราบหัวเราะชอบใจพรางนึกถึงหน้าตอบ ๆ กับตาลึกโบ๋นั่น “เป็นจริง ๆ เด็กคงกลัวอาเขาแย่เลย”   
 เจนศิลป์พยักหน้าพรางขำ “ว่าแต่.....” เจนศิลป์ลากเสียงยาว “หนึ่งไปทำอะไรแถวตลาดนนแต่เช้าหลอถึงได้มาขับรถชนเราได้เน้ย”
“โห...เอางั้นเลยหลอ..” อีกฝ่ายดูอึ้ง ๆ เหมือนตั้งตัวไม่ถูกก่อนตอบ “บ้านเราอยู่แถวนั้นนะ”
“เฮ้ย จริงดิ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“อ้าว บ้านคอมก็อยู่แถวนั้นหลอ”
“อือ” ชายหนุ่มพยักหน้า
“ แปลกว่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเหมือนกัน” พิราบว่า “แล้วเรียนที่ไหนเนี่ย สุวรรณพิทักษ์หรือเปล่า”
   “โห...”เจนศิลป์ร้อง “ไม่มีตังขนาดนั้น....เราอยู่ วิทยศาตรา”
   อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “สอบเข้าหลอ.....”
   เจนศิลป์พยักหน้ารับ
   “เฮ้ย....เก่งว่ะ....เราก็ไปสอบเหมือนกันแต่ไม่ติด”
   “หลอ....ไม่หลอกมั้ง” ชายหนุ่มตอบพรางยิ้มน้อย ๆ 
   “แล้วเรียนคณะอะไรละ”
   “บริหาร....แล้วหนึ่งละ” เจนศิลป์ถามกลับพรางหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้หน้าช่องรับยา
   “นิเทศ โฆษณา”
   “อือ...”เจนศิลป์ร้องในลำคอพราพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงเข้าใจ
   ไม่ทันที่ทั้งคู่จะคุยอะไรกันต่อ เสียงขานชื่อของทั้งสองก็ดังขึ้น เจนศิลป์รีบผุดลุกในทันที
   “เฮ้ย ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวเราไปเอง คอมนั่งรออยู่นี่ละ....”ว่าแล้วก็เดินไปโดยไม่รีรอ ปล่อยให้เจนศิลป์นั่งลงกับเก้าอี้ช้า ๆ อีกครั้ง
   “ท่าทางจะเป็นคนดีนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ร่างของชายหนุ่มนั่งลงสนิท เขาหันไปมองต้นเสียงก่อนจะรู้ว่าเป็นหญิงสาวในชุดสีขาวสะอาดเธอมีปากและเล็บสีแดงจัดจ้านแต่เจนศิลป์รู้ในทันทีว่าเธอคนนั้นไม่ใช่นางพยาบาลทั่วไป
   “อมร.....”เขาเอ่ยเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายยิ้ม
   “เจ้านี่เรียนรู้เร็วนัก”เธอคนนั้นว่าพรางกอดออกขึ้นแต่สายตายังมองไปยังพิราบไม่ว่างตา “ไม่ผิดเลยที่ข้าเลือกเจ้า”
    “นี่มาทำอะไรที่นี่เน้ย....เลิกตามผมได้แล้ว”
   “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้นหากยังไม่ได้คำตอบ....เด็กน้อยเอ๋ยแล้วเป็นเจ้าเองที่สัญญากับข้าว่าจะให้คำตอบนั้น.....เจ้าคงไม่คิดจะผิดสัญญานะเด็กน้อย.....”อมรว่าพรางหันมาจ้องเจนศิลป์ด้วยสายตาดุจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีพรางถอนหายใจแรง ๆ คล้ายจำนน
   “ก็แล้วเมื่อไรละถึงจะถามละ....ถามมาจะได้ตอบ ๆ แล้วก็ไปให้พ้น ๆ ซักที....รออะไรอยู่ได้”
   “เช่นนั้นก็ได้.....”ชายหนุ่มรีบหันมาเพราะคำตอบนั้นก่อนจะเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น
   “มาสิ.....”
   “ไป...ไปไหนละ”
   “ไปหาคำถามของข้า....”ว่าแล้วเธอก็ออกเดินไปปล่อยให้ชายหนุ่มหนุ่มงงงันอยู่อย่างนั้นหลายวินาที เขามองไปทีพิราบที่ตอนนี้อยู่หน้าช่องรับยาก่อนจะตัดสินใจออกเดินตามอมรในร่างของนางพยาบาลไป
   หญิงคนนั้นเดินนำหน้าเจนศิลป์ไปตามทางเดินยาวสีขาวภายในตึกผู้ป่วยที่ดูเงียบงันและไร้ผู้คนจนเสียงจังหวะการเดินของเธอดังก้องกังวานราวกับเสียงระเบิดในสงคราม เจนศิลป์เร่งตามเธอไปไม่ห่าง เลี้ยวไปตามมุมของทางเดินและขึ้นบันไดไปอีกหลายชั้น ก่อนที่เขาจะพบว่าตัวเองนั้นอยู่หน้าห้องใหญ่หนึ่งที่มีเตียงวางเรียงรายอยู่เต็ม ที่เหนือขอบประตูห้องนั้นมีป้ายพราสติกสีเขียวตัวหนังสือสีขาวขนาดใหญ่แขวนอยู่ อ่านได้ใจความว่า “วอร์ดผู้ป่วยหญิง ไม่มีกิจห้ามเข้า”
   เจนศิลป์ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นนานก่อนเสียงฝีเท้าของอมรจะแววมาเขาจึงเลี้ยวไปทางซ้ายก่อนจะพบว่าระเบียงด้านนั้นเป็นกระจกใสทั้งหมด อมรอยู่ที่นั้น เธอหยุดและหันหน้าเข้าหากระจกใส เจนศิลป์ตามไป
   “มาทำอะไรที่นี่เน้ย”
   เธอไม่ตอบเอาแต่จ้องผ่านกระจกเข้าไปไม่วางตาจนชายหนุ่มต้องมองตาม ภายในนั้นมีเตียงผู้ป่วยตั้งเรียงกันเป็นระเบียบดูสะอาดตา บ่างมีคนนอน บางมีคนนั่ง บ่างไม่มีคนอยู่เลย เจนศิลป์กวาดตามองไปจนสายตาของเขาหยุดจับจ้องไปที่หญิงกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเตียง ในออมแขนของเธอนั้นมีทารกตัวแดงดูน่ารักคนหนึ่งกำลังร้องให้อยู่ เธอคนนั้นยิ้มพรางเอ่ยบางคำก่อนปลดเสื้อผู้ป่วยออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ตึงแน่นด้วยน้ำนม หญิงคนนั้นช้อนตัวทารกเข้าหาและให้ดื่มนมจากอก ใบหน้าเธอยิ้ม ยิ้มอย่างประหลาด
   เจนศิลป์รู้สึกเจ็บลึกอยู่ในอกคล้ายหัวใจถูกทิ่มแทง
   “หญิงคนนั้น....เหตุไดเธอจึงยิ้ม....” อมรพูดทั้ง ๆ ที่สายตายังจ้องไปยังภายในห้องนั้นไม่วางตา มือเธอข้างหนึ่งวางอยู่ที่กลางหน้าอกของตัวเองอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่น ส่วนอีกมือนั้นทาบไปกับกระจกใสด้านหน้าพรางขยับไปมาคล้ายต้องการชอนไชให้สิ่งกันขวางเป็นรู “เหตุไดเธอจึงดูมีความสุขนัก”
   ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน
   “สิ่งนั้น.....ที่หญิงคนนั้นทำ.....เรียกว่าความรักใช่หรือไม่”
   เจนศิลป์หันมาคล้ายไม่เชื่อหู ก่อนจะหันกลับไป “อาจจะใช่” เขาตอบอย่างเหม่อลอย
   “ฟังเจ้าไม่แน่ใจกัน ทำไม”อีกฝ่ายซักไซ้
   “ก็...”เขายิ้มเฟือน “เรื่องแบบนี้ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหลอกนะ.....ถ้าคุณจะถามเรื่องแบบนี้ผมว่าคุณคงมาหาผิดคนแล้วละ”
   หญิงคนนั้นเงียบไปคล้ายจำนน สายตาเธอยังจับจ้องไปที่ด้านในพรางมองทารกคนนั้นดื่มน้ำนมอย่างเป็นสุข ดวงตาของเขายังปิดแน่นอีกทั้งมือยังถูกห่ออยู่ในถุงผ้าสีฟ้าดูน่ารัก
   “เมื่อนานมาแล้ว” ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น “เคยมีพวกเจ้าคนหนึ่งบอกกับข้าว่า มนุษย์นั้นได้รับความรักตั้งแต่ยังไม่ลืมตาขึ้นดูโลก ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้การเลี้ยงดูจากบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ครั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้นพวกเจ้าจึงเรียนรู้ที่จะมอบสิ่งเหล่านั้นให้กับใครสักคนที่คู่ควร.....” เธอหยุด “เจ้าเจอคน ๆ นั้นหรือยัง”
   “ใคร” เจนศิลป์ถาม
   “คน ๆ นั้น.......ที่คู่ควรกับเจ้า”
   “อ๋อ.....แฟนนะหลอ......อือ....”เจนศิลป์ถอนหายใจเบา ๆ  “ไม่เคย......”
   “ทำไมกัน”
   “มันก็ตอบอยากนะ ....ไม่มีเวลาไปหามั้ง.....”
   “ความรักนั้นต้องออกตามหาหรือถึงจะเจอ”
   “มันก็ไม่เชิงหลอกนะ คนบางคนอยู่เฉย ๆ ก็เจอเอง แต่บางคนหาให้ตายก็ไม่เจอ.....”เขาหยุด “ผมว่ามันสำคัณที่เวลามากกว่า”
   “เวลา.....”อมรทิ้งหางเสียงไว้
   “อือ.....เพราะการที่คนสองคนจะรักกันได้จำเป็นต้องใช้เวลา”
   “มันเป็นเงื่อนไขอย่างนั้นหรือ”
   เจนศิลป์ยิ้มเฟื่อนด้วยสีหน้าลำบากใจพรางยกมือขึ้นกอดอก “จะว่าใช่ก็ใช่น่ะนะสำหลับบางคน แต่กับบางคนมันก็ไม่จำเป็น”
   “ข้าไม่เข้าใจ” อมรพูดพรางละสายตาจากทารกมาที่เจนศิลป์ เขายิ้มเฟื่อนคล้ายไม่เข้าใจเช่นกัน
   “.....ไม่มีใครเข้าใจมันหลอก”
   อมรอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรต่อแต่กลับหันไปที่หัวมุมสุดทางเดินอย่างเร็วคล้ายถูกเรียก
“ข้าต้องไปแล้วเด็กน้อยเอ๋ย ชายคนนั้นกำลังมา”
   “ใคร” ชายหนุ่มหันมาแต่ร่างนางพยาบาลพลันหายไปไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว จะมีก็แต่ร่าง ๆ หนึ่งที่เดินพ้นหัวมุมทางเดินออกมา พิราบนั้นเอง
   “คอม โถ่นึกว่าไปไหนเดินหาซะทั่ว”อีกฝ่ายพูดขึ้นเสียงดัง แต่เจนศิลป์ไม่สนใจ เขามองรอบตัวหาอมร “หาอะไรหลอ”
   “เปล่า ๆ “เขาตอบพรางมองหน้าอีกฝ่าย
   ดูพิราบจะไม่ค่อยเชื่อมากนักแต่ก็ไม่คิดจะถามถึงสิ่งที่หายไปของอีกฝ่ายต่อ “แล้วขึ้นมาทำอะไรบนนี้เนี่ย เราก็หาซะทั่วเลย”
   “อ๋อ....”ชายหนุ่มคิดหาคำตอบ “เราเจอคนรู้จักนะเลยเดินคุยกันมาถึงนี่”
   พิราบทำสีหน้าประหลาดคล้ายไม่เชื่อ แต่เจนศิลป์ก็ชิงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “งั้น...ไปเถอะ เราต้องไปเรียน”
   “เอาจริงหลอ” พิราบท้วง “อย่าเลย.....กลับบ้านเถอะ หยุดสักวันคงไม่เป็นไรหลอก”
   เจนศิลป์ส่ายหัวเร็ว ๆ “ฮึ......ไม่ได้หลอก บอกอาหมอไว้แล้ว....”
   พิราบพยักหน้าช้า ๆ คล้ายเข้าใจและจำนน“งั้น....เดี๋ยวเราไปส่งแล้วกัน”
   “เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเองก็ได้....แค่นี้เอง”
   “เฮ้ย....จะบ้าหลอ เราทำคอมหัวแตกนะ...ไปเถอะเดี๋ยวเราไปส่ง”ว่าแล้วพิราบก็ใช้มือดันหลังให้ชายหนุ่มออกเดินไป
   เจนศิลป์นั่งนิ่งเงียบตลอดทางจนถึงมหาวิทยาลัยคล้ายตกอยู่ในภวังค์ลึกยากหยั่งถึง......คน ๆ นั้นที่คู่ควร.......ในสมองเขาเอาแต่คิดถึงคำพูดนี้ของอมรกลับไปกลับมาหลายรอบ
   “คอม....คอม....”เสียงของพิราบพูดขึ้นจนเจนศิลป์ออกจากภวังค์ เขาหันไปมองหน้าอีกฝ่ายคล้ายไม่เข้าใจจนพิราบอดยิ้มไม่ได้ “ถึงแล้ว”
   “อ้าว....หลอ”เขายิ้มน้อย ๆ คล้ายอายพรางขยับเปิดประตูรถ
   “เดี๋ยวสิ” พิราบว่าพรางจับที่แขนของเจนศิลป์ไว้ มือนั้นร้อนผ่าวราวกับถูกไฟไหม้ เจนศิลป์หยุดทันทีและมองที่มือข้างนั้น พิราบรีบชักมือกลับ “คือ....เราคงต้องของเบอร์คอมไว้นะ”
   “ทำไม....”เจนศิลป์ถามขึ้น ในใจชักเริ่มไม่สู้ดีนักมันทั้งเต้นแรงและสั่นอย่างเร็วจนอกเริ่มเจ็บ
   “คือรถเราเป็นรอยนะ...แล้วไม่รู้ว่าประกันเขาจะคุยกับคอมด้วยหรือเปล่า” พิราบอธิบาย “....ยังไงเอาเบอร์มาก่อนแล้วกันนะ เผื่อประกันเขาจะคุยด้วย”
   ได้ยินดังนั้นในใจเจนศิลป์ก็เริ่มสงบลงบ่าง “อือ...งั้นมาสิ จะบอกให้”



...


 
:oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:

หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 25-12-2007 15:25:28

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย   :o12: ไม่ค่อยมีคนอ่านเลยอ่ะครับ แต่ยังไงก็จะสู้ ๆ ครับ  o7 o7 o7 o7
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 25-12-2007 15:28:51
 :m1:....ชอบแนวแบบนี้มากมาย....มันอ่านแล้วมันอึดอัดในหัวใจ..ดี....ชอบบบบบบ :pig4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 26-12-2007 10:21:47
:m1:....ชอบแนวแบบนี้มากมาย....มันอ่านแล้วมันอึดอัดในหัวใจ..ดี....ชอบบบบบบ :pig4:


 
:m1: :m1: :m1: :m1:ขอบคุณมากครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ    :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 26-12-2007 11:09:24
lสู้ๆนะครับผมเป็นกำลังใจให้นะครับ :oni1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: a_33 ที่ 26-12-2007 19:55:06
มาต่อเถอะนะ
ผมว่าหนุกดีออก จะอ่านเรื่อยๆ
จะคอยตามเม้นทุกครั้งเลย 

:d1: ย้อนหลังนะ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 26-12-2007 20:34:06
 :a12:เข้ามารอ  เมื่อไหร่จะมาต่อน้าๆๆๆๆๆๆๆๆ :m13:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 27-12-2007 01:44:29
:a12:เข้ามารอ  เมื่อไหร่จะมาต่อน้าๆๆๆๆๆๆๆๆ :m13:

            จะรีบมาต่อให้ครับผม  :m13:สัญญา:m13:

มาต่อเถอะนะ
ผมว่าหนุกดีออก จะอ่านเรื่อยๆ
จะคอยตามเม้นทุกครั้งเลย 

:d1: ย้อนหลังนะ

                      แน่นอนครับผม

lสู้ๆนะครับผมเป็นกำลังใจให้นะครับ :oni1:

                        ขอบคุณคราบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ


                      ดีใจจังเลยยยยยยยยยยยยยยย ในที่สุดเรื่องเราก็ขายออกกับเขาเหมือนกันนะ ตอนแรกที่ตัดสินใจจะเอาเรื่องมาลงไว้บอร์ดนี้ นี่ก็คิดอยู่หลายตลบ ตลบตะแลง แซงซ้ายแซงขวา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเรื่องของเรานี่จะขายออกบ่างหรือเปล่า เพราะเรื่องที่เคยเอาไปลงไว้ที่บอร์ดอื่นขอบอกเลยว่า ขายไม่ออกครับ -*-  ขายไม่ออกที่ผมหมายถึงนี่ไม่ใช่ขายไม่ออกแบบธรรมดายี่สิบบาทนะครับ แต่ขายไม่ออกแบบพิเศษสามห้าเพิ่มใข่ดาวด้วย แบบว่าดองเค็มหนอนใชฟอร์มาลีนเอาไม่อยู่กันเลยทีเดียว เขียน ๆ หยุด ๆ เป็นปี ๆ สุดท้ายก็ไม่รอด -_- (55555+ พูดแล้วก็ขำตัวเอง......แกยังขำออกอีกหลอ......) แต่พอมาบอร์ดนี้มีคนให้กำลังใจเยอะก็ดีใจแทบขาดเลยครับ คิดกับตัวเองว่า เออ อย่างน้อยก็ยังมีคนอ่านนะ อย่างน้อยก็ยังมีคนที่คิดว่าเรื่องที่ผมเขียนมีคุณค่าพอที่จะอ่านต่อไป คิดแบบนั้นแล้วก็ยิ่งดีใจครับ (ตอนนี่ใจขาดไปแล้ว....)
                       อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า (เมื่อนานมาแล้ว) ผมเคยดูแคลนคนที่เขียนเรื่องรัก ๆ แบบนี่อยู่มาก  คิดว่าตามกระแสหนังสือหวานหยดติ๋ง ๆ ที่มีให้เกลื่อนตามแผงหนังสือ ยังเคยพูดกับ "คนที่คู่ควร"ของผมเลยว่า "แม่ง...ตามกระแสไปวัน ๆ อ่านแล้วไม่เห็นจะได้สาระเอาคิดอะไร ๆ ได้เลย" แต่พอ "คนที่คู่ควร" ของผมกลายเป็น "คนที่เคยคู่ควร" ก็เลยเริ่มเข้าใจว่า เออ มันคงเป็นแบบนี้ละมั้ง สิ่งที่หนังสือพวกนั้นต้องการจะบอก  (คิดแล้วก็เศร้า) อาจะเป็นเพราะตอนนั้นยังไม่รู้มั้งครับว่าการเสียใครสักคนที่เรารู้สึกว่าพิเศษ (อันนี้พิเศษแบบว่าพระกระโดดกำแพงหม้อใหญ่ใส่ใข่ดาว)ไปนี่เป็นยังไง
                       อาวละ....ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ยังไงก็เป็นกำลังใจกันนะครับ ก็หลวมตัวอ่านกันมาจะครึ่งเรื่องแล้ว ต้องอยู่ด้วยกันจนจบนะครับ สัญญาว่าจะไม่ถอดใจแล้วละ

:m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: 
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 27-12-2007 02:17:09
แนวเรื่องแปลกมากครับ 3-4 ตอนแรก ปูพื้นตัวละคร เลยงง ๆ นิดหน่อย   :m13:

ตอนนี้ไม่งงแล้วล่ะ เริ่มสนุกแล้วล่ะครับ  :m23: :m4:

สองนายเอก เจอกันแล้ว โดยมี อมร และระยะเวลา 7 เป็นเงื่อนไขในความสัมพันธ์   :oni1: :oni1: :oni2:

น่าสนุกครับ จะติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ ครับ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 27-12-2007 02:23:59
แนวเรื่องแปลกมากครับ 3-4 ตอนแรก ปูพื้นตัวละคร เลยงง ๆ นิดหน่อย   :m13:

ตอนนี้ไม่งงแล้วล่ะ เริ่มสนุกแล้วล่ะครับ  :m23: :m4:

สองนายเอก เจอกันแล้ว โดยมี อมร และระยะเวลา 7 เป็นเงื่อนไขในความสัมพันธ์   :oni1: :oni1: :oni2:

น่าสนุกครับ จะติดตามอ่านไปเรื่อย ๆ ครับ  :m1: :m1:


:m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29:ถูกอ่านใต๋หมดเลยเรา :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 27-12-2007 10:50:48
รออยู่นะครับผม :oni1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 27-12-2007 21:54:43
 :a12:เข้ามารอครับ(ไม่ได้ทวงนะครับ) :oni1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมาหยอกไก่ ที่ 28-12-2007 00:28:51
 o2 o2

ตาลายอ่า ขอเว้นบรรทัดบ้าง
แล้วก็ภาษา ไม่ต้องทางการก็ได้นะคับ
มึนอ่า o2
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 28-12-2007 14:11:02
ธารามองชะเง้อออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียนเป็นระยะคล้ายคอยใครบ่างคนอยู่ ในมือก็ลูปหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างร้อนรนจนลืมฟังสิ่งที่ผู้สอนกำลังพูด
ไม่นาน ร่าง ๆ หนึ่งก็เดินลิ่ว ๆ มาพรางเปิดบานประตูออกทำให้เสียงบรรยายหยุดลงทันที สายตานับสิบจ้องมองมายังต้นเสียงจนเจนศิลป์รูปสึกประหม่าก่อนก้มหัวน้อย ๆ เป็นเชิงของอนุญาต อาจารย์ผู้สอนที่เป็นหญิงกลางคนผมสั่นท่าทางทะมัดทะแมงก็ยินยอมโดยพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มบรรยายต่อ
   หญิงสาวคนนั้นดีใจจนแทบหุบยิ้มไม่อยู่
   “ทำไมวันนี้มาช้าจัง” เธอคนนั้นว่าเสียงเบาทันทีที่ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นผ้าปิดแผลที่อยู่บนขมับ “ไปโดนอะไรมานะ”เธอพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
   “รถชน” เขาตอบสั้น ๆ พรางยิ้ม
   “ฮะ........” เธอร้องเสียงสูงอย่างตกใจ “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
   “โถ่สา ถ้ามันเป็นไรมากป่านนี้มันก็ไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หลอก”เสียงกิตติเขาร่วมวง “แล้วมึงไปทำอีท่าไหนว่ะ ถึงโดนรถมันจูบหัวเอา”
   “กูไม่ได้ทำไรเลย....เดินอยู่เฉย ๆ แม่งก็มาชนกู”เจนศิลป์ว่ายิ้ม ๆ  “ซวยชิบหาย”
   จบคำสาริณีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กิตติก็มองทั้งสามพรางส่งสายตาประมาณว่า “อาจารย์มองอยู่ เบา ๆ สิว่ะ” ทำให้ทั้งสี่เงียบไป
   “เออ”สาริณีพูดเสียงเบาพรางชะเง้อมาทางเจนศิลป์ “เมื่อวันอาทิตย์นะ ขอโทษนะ”
   “วันอาทิตย์”เจนศิลป์ทวนคำคล้ายไม่เข้าใจก่อนจะร้อง เฮ้ย ขึ้นมาเสียงดังจนทุกสิ่งในห้องเงียบลงในทันได ผู้สอนหยุดพูด นักศึกษาหยุดเขียน ทุกสายตากลับมาจับจ้องที่ทั้งสี่อีกครั้ง
   “คอม..”อาจารย์ผู้สอนพูดขึ้น “อย่าเสียงดังสิ เขาเรียนกันอยู่นะ มาสายแล้วยัง”
   ชายหนุ่มยิ้มหน้าเป็นก่อนจะยกมือไหว้พรางกล่าวขอโทษอาจารย์
   “อะไรของมึงว่ะคอม”กิตติพูดพรางหัวเราะเบา ๆ “อยู่ดี ๆ ก็ร้อง มึงบ้าป่าวเนี่ย”
   “เปล่า...ไม่ใช่”เขาก้มตัวลง “รายงานอะ กูยังสรุปไม่เสร็จเลย”
   “เฮ้ย.....”สาริณีร้องเบา ๆ “มะรืนส่งแล้วนะเว้ย”
   “เพราะเราให้งานคอมไปทำมากไปหรือเปล่าอ่ะ”  ธาราพูดพรางเอามือวางไว้บนแขนของชายหนุ่ม มันอุ่นอย่างประหลาดจนอกเธอสั่นน้อย ๆ ด้วยความเป็นสุข“ขอโทษนะ”
   “ไม่ใช่หลอก ไม่ใช่” เจนศิลป์เห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าไม่สู้ดีนักจึงยิ้มกลบเกลื่อน “เราแค่เผอหลับไปเลยไม่ได้ทำต่อนะ ไม่เป็นไรหลอก เหลืออีกนิดเดียว สี่ห้าหน้าก็เสร็จ” เขาโกหกไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
   “แล้วมึงจะเอาเวลาไหนไปทำว่ะ เดี๋ยวก็ต้องไปทำงาน เอามาให้กูก็ได้ เดี๋ยวกูกับสาทำต่อเอง”
   “ไม่ต้อง ๆ ๆ กูทำได้....”
   “เอ้า...แล้วงานมึงละไอ้คอม”สาริณีพูด “มึงเอามาให้กูกับเม่นเถอะ พวกกูทำต่อเอง”
   ชายหนุ่มยิ้มเฟือน “กูทำเองไม่เป็นไร ตอนนี้กูว่างแล้ว....ไม่ต้องไปทำงานแล้วละ”
   ทุกคนงงงันไปพักหนึ่งก่อนจะเข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะบอก
   “เฮ้ย.....คอมถูกไล่ออกหลอ” ธาราว่า ชายหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ
   “เรื่องเล็กนะ.....”เจนศิลป์พูดปัดก่อนจะเริ่มทำท่าตั้งหน้าตั้งตาฟังสิ่งที่อาจารย์สอน   
เขามักทำแบบนี้เสมอยามเมื่อไม่ต้องการพูดอะไรต่อไป ธาราสังเกตเห็นมานานแล้วแต่เธอเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น ทำไมเขาถึงชอบเหมอลอยอยู่คนเดียว ทำไมเขาถึงไม่ค่อยชอบพูดจาปราศรัยกับคนรอบข้าง หรือทำไมชอบทำอะไรไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด เท่าที่เธอรู้ก็คือ ชายหนุ่มจะมาเรียนแต่เช้าตรู่ด้วยสีหน้าหม่นหมองและขอบตาดำคล้ำ บางครั้งผมเผ้าก็ยังเปียกชื้นเพราะไม่ได้ทำให้แห้งหลังจากอาบน้ำ เขาจะเข้ามาในห้องเรียนคนแรกและนั่งหลับอยู่กับโต๊ะจนกว่าอาจารย์มาหรือบางครั้งเขาก็หลับอยู่อย่างนั้นทั่งชั่วโมงเรียนโดยไม่ลุกไปไหนหรือทำอะไรเลย พอตกเย็นเขาก็จะรีบเก็บของและเดินออกไปจากห้องเรียนทันที พอคิดดูดี ๆ แล้วอันที่จริงเธอไม่เคยเข้าใจอะไรในตัวเขาเลยด้วยซ้ำไป ไม่เคยรู้ว่าครอบครัวเป็นอย่างไร พ่อแม่อยู่ที่ไหน ทำอาชีพอะไร หรือทำไมเขาถึงต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ หญิงสาวเคยพยายามถามหลายครั้งแต่คำตอบที่ได้กลับมาก็เป็นเพียงความเงียบที่เย็นยะเยือกกับสายตาเหมอลอยไร้อารมณ์ที่ทอดยาวไปไกลคล้ายตัดโลกทั้งโลกนี้ออกไปจากการรับรู้และก้าวเท้าเข้าสู่โลกอีกโลกหนึ่งที่เขาใช้สายใยบาง ๆ ตรึงรัดตัวเองไว้แน่น โลกที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่อยู่รอดได้
ภายในนั้นจะเป็นอย่างไรนะ......บางครั้งหญิงสาวก็ถามตัวเองเช่นนี้ มันจะมืดมั้ยหากต้องเข้าไปภายในนั้น หนาวมั้ยหากต้องอยู่คนเดียวอย่างนั้น มันจะเงียบงันแค่ไหนกันหากต้องอยู่ในที่แบบนั้น แค่คิดภายในอกเธอก็สั่นขึ้นจนเจ็บปวด แต่ถึงจะรู้สึกอย่างนั้นเธอก็ตั้งใจอย่างที่สุดที่จะลองเข้าไปดูสักครั้งว่าภายในเป็นเช่นไร แม้จะต้องถูกสายใยนั้นบาดลึกจนร่างกายเป็นแผล ถึงต้องอยู่ในความมือที่หนาวเหน็บและถูกความเงียบงันกัดกินก็ตาม       
ธาราเผลอมองหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจจนอีกฝ่ายหันมา
“ธามองหน้าเราทำไม” ชายหนุ่มถามขึ้นสีหน้ายิ้มเล็กน้อย หญิงสาวสะดุ้งออกจากภวังค์
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร” เธอตอบ
สักวัน....สักวันเธอจะเข้าไปให้ได้ เธอคิดกับตัวเองเบา ๆ


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 28-12-2007 14:13:14
o2 o2

ตาลายอ่า ขอเว้นบรรทัดบ้าง
แล้วก็ภาษา ไม่ต้องทางการก็ได้นะคับ
มึนอ่า o2


:m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23:จะพยายามแล้วกันนะครับ :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 28-12-2007 14:21:32
นึกว่ามาต่อซะอีก :m29:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 28-12-2007 14:29:26
 :m23:ดีใจจังมาต่อแล้ว แม้ว่าจะนิดเดียวก็ตาม o12

  จะรอติดตามตอนต่อไป สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 06-01-2008 13:24:31
พิราบขับรถเข้าจอดในอาหารจอดรถของมหาวิทยาลัยก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับโทรศัพย์แนบหู เขากำลังคุยกับเจ้าหน้าที่ประกันอยู่
   “งั้นตามนี้นะครับ อีกสองอาทิตย์นะครับ”เจ้าหน้าที่คนนั้นว่า
   ชายหนุ่มไม่ตอบก่อนจะกดวางโทรศัพท์ไปดูเขาอามรณ์ไม่ดีนักแม้ว่าวันนี้อากาศจะแจ่งใสด้วยรอยยิ้มของดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงใสอยู่ทั่วท้องฟ้าสีครามและเมฆน้อยลอยกระจายไปทั่ว
   พิราบเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะตรงไปที่ลิฟที่ใกล้ที่สุด ไม่นานเข้าก็เดินถามถึงโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
   “ไอ้หนึ่ง...ทางนี้”เสียงองอาจ เพื่อนคนหนึ่งของเขาร้องขึ้นจากโต๊ะประจำ อีกฝ่ายเดินไปอย่างเร็วและพบว่ามีเพียงองอาจคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่ “เป็นเห้ยไร ทำหน้า”
   พิราบนั่งลงพรางตอบ “เมื่อเช้ากูขับรถชนคน....ซวยชิบหาย”
   “จริงดิ”อีกฝ่ายทำเสียงสูงและสีหน้าตกใจ “ตายมั้ยว่ะ”
   “ตายพ่อมึงสิ......หัวแตกเท่านั้นละ”
    “เอ้าไอ้เชี้ยนิ....” อีกฝ่ายยิ้ม “แล้วมึงไปชนเขาได้ไงว่ะ”
   พิราบเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง
   “โง่สัตว์อะ” องอาจร้องพรางหัวเราะ แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ขำตาม
   “โง่เห้ยไรละ.....แล้วมึงคิดดูนะกว่าประกันแม่งจะมาเครมรถก็ตั้งสามอาทิตย์ ....ซวยชิบหาย”
   “เฮ้ย...ไมแม่งช้างั้นว่ะ”
   “กูจะไปรู้โครตพ่อแม่งหลอ....”พิราบส่ายหน้า “ถ้าพ่อกูเห็นรถเป็นแบบนี้นะ กูว่าไม่แคล้วโดนโดดถีบขาคู่”
   องอาจหัวเราะ “มึงก็พูดไป ไอ้ห่า.....” แล้วก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นมาได้ “แล้วมึงทำไงว่ะ ชนเขาแล้วหนีหรือเปล่า”
   “มึงบ้าป่ะเนี่ย” พิราบพูดเสียงสูง “กูก็พาไปโรงพยาบาลสิ ไอ้เช้ย คนนะไม่ใช่หมูหมาข้างถนน ชนแล้วหนีง่าย ๆ”
   “เอ้า...กูไม่รู้อะ”องอาจยิ้มอีก “แล้วเขาเป็นไงบ่างว่ะ โวยวายมั้ย”
   “ไม่เลยว่ะ” พิราบพูดพรางกระพริบตาถี่ ๆ “กูก็งงนะเว้ย ไอ้เฮ้ยคยโดนรถชนหัวแตก แม่งไม่ร้องสักคำ บ่นก็ไม่มี......”
   “ไม่ร้องจะเอาเงินมึงบ่างไง”อีกฝ่ายตัดบท
   พิราบเงียบไปครู่หนึ่งคล้ายนึกขึ้นได้“เฮ้ย.....เออว่ะ กูไม่ได้ให้แม่งเลยนิหว่า.....”
   “เออ เรื่องเงินเรื่องทองนี่ลืมตลอด” องอาจกระแนะกระแหน “แล้วคนที่มึงชนนี่ผู้ชายหรือผู้หญิงว่ะ”
   “ผู้ชาย....อายุก็เท่า ๆ กันล่ะ”
   “งั้นแม่งก็ไม่ค่อยเท่าไรหลอก ถ้าเป็นผู้หญิงนะแม่งเรื่องมาก เดี๋ยวก็เป็นแผลเป็น เป็นโน่นเป็นนี่ไม่จบ.....เชื่อกูแม่งไม่พูดก็แปลว่าแม่งไม่เอา......”
   พูดได้แค่นั้นพิเชษกับนาคินทร์ก็เดินเข้ามาทำให้การสนทนาเรื่องอุบัติเหตุประหลาดของพิราบเป็นอันต้องยุติไป
แต่ไม่ใช่กับตัวของพิราบเอง เขาเหมอลอยออกไปจากกลุ่มพรางคิดวกวนอะไรบางอย่างในหัวด้วยความสงสัยเต็มอก สงสัยความรู้สึกประหลาดที่ปรากฏขึ้นเมื่อยามพูดคุยกับชายคนนั้น มันคืออะไรกันนะ ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเพราะประหม่าหรือรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจากความประมาทของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่เพราะตัวเขาเองไม่รู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจเลยยามเมื่อได้คุยกับอีกฝ่าย เขารู้ตัวดีว่าต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแต่กลับไม่รู้สึกว่าเพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ กลับกัน เขากลับรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายอย่างประหลาด เหมือนได้พบกับคนที่คุ้นเคย ได้เจอกับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้พบกันมานาน ทั้ง ๆ ที่ชายหนุ่มแน่ใจว่าเขาไม่เคยพบกับอีกฝ่ายก็ตาม....แล้วมันคืออะไรกันนะ ความรู้สึกนี้

...........................................................................................
   กิตติทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้าพรางมองไปรอบ ๆ ชื่นชมผลงานของตัวเอง แสงอาทิตย์ยามอัสดงเป็นสีแดงอมส้มอ่อน ๆ ส่องผ่านเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องผ่านทางประตูชานที่เปิดอ้าอยู่ รับกับแสงเทียนเล่มเล็กที่วางตัวกระจายไปทั่วทั้งห้องส่องแสงนวลตาชวนฝันสร้างบรรยากาศอิ่มเอมยากจะห้ามใจ อาหารเย็นวันนี้เป็นเพียงข้าวกับแกงสองสามอย่างดูเรียบง่ายแต่ทุกอย่างชายหนุ่มเป็นคนทำเองทั้งหมดทำให้มันดูมีความหมายยิ่งกว่าเก่ามาก ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พรางคิดว่าเธอคนนั้นจะชอบอาหารหรือเปล่า เธออาจจะบ้วนมันทิ้งทันทีที่เอาเข้าปากก็ได้ หรือเธออาจจะชื่นชอบมันจนอยากให้เขาทำให้กินทุกวัน ถ้าเป็นอย่างหลังก็จะดีกว่านะ พอคิดอย่างนั้นภาพของเธอคนนั้นยามเมื่อพูดว่า “อร่อยดี....ทำทุกวันเลยนะ” ก็ลอยมาแต่ไกลทำให้รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาที่มุมปากของชายหนุ่ม
เขาชอบเวลาเธอยิ้ม ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไรหรือตั้งแต่เมื่อไร แต่เขาก็ชอบรอยยิ้มของเธอ ชอบให้เธอหัวเราะ ชอบให้เธออารมณ์ดี ชอบให้เธอมีความสุข ชอบทุก ๆ วินาทีที่ได้อยู่กับเธอ และได้เห็นเธอมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา
แค่คิดแค่นั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเจ็บใจตัวเองขึ้นมาที่เอาเวลาตั้งนานไปใช่กับผู้หญิงที่ชื่อแมวนั้นอย่างไร้ค่ายอมให้ผู้หญิงแบบนั้นปิดหูปิดตาตัวเองเหมือนคนโง่ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขอยู่ใกล้ขนาดนี้ยังไม่เคยมองเห็น ผู้หญิงคนนั้นมันมีอะไรดีนะเขาถึงยอมจมปรักอยู่ได้เป็นปีสองปี ทั้งเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า เอาแต่ใจจนน่าลำคาน ปากร้ายด่าว่าได้ไม่เคยหยุด เทียบกับสาริณีที่เป็นคนใจร้อนแต่มีเหตุผลและรับฟังได้มากพอ ๆ กับพูดแล้วดีกว่ากันอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจในความโง่เขลาของตัวเอง
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มรีบพุ่งตัวไปคว้ามันมาจากหัวเตียงด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่ชื่อที่ปรากฏอยู่นั้นทำให้กิตติลังเลที่จะรับสาย มันขึ้นว่า “แมว”   
...........................................................

 
:m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23:คุยกันท้ายตอน :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23:

เอาไปสั้น ๆ ก่อนนะครับ ระยะนี้รู้สึกไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1467.0

ไปอ่านเรื่อง [RePost & Continue] เรื่องของผม กับคนชื่อ "เอ" (และวี) คับ . . . มาครับ ได้อะไรกลับมาคิดตั้งหลายอย่าง ผมเองเกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวซาวน่าอะไรแบบนั้นสักที ขนาดบาร์เกย์ก็ไม่เคยไปเที่ยวเลย 55555 พูดไปก็เหมือนเป็นคนอ่อนหัดนะครับ เกิดมาเป็นกระเทยทั้งทีอายุก็จะเลขสองอยู่แล้ว บาร์เกย์ก็ไม่เคยไป ซาวน่าก็ไม่เคยไป เลยอยากจะถามเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคนนะครับว่า การที่ไปเที่ยวแบบนั้นมันสนุกมั้ยครับ การไปเปลื้องผ้าเดินกันไปมาให้คนที่บางคนเรายังไม่รู้จักหน้าดูนี่มันสนุกมั้ยครับ ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่ามีจุดประสงค์จะว่าร้ายคนที่ไปเที่ยวแบบนั้นนะครับ แค่อย่างรู้จริง ๆ ว่าตอนที่ไปเที่ยวอะไรแบบนั้นมันรู้สึกอย่างไร.......
อ่านเรื่อง  [RePost & Continue] เรื่องของผม กับคนชื่อ "เอ" (และวี) คับ . ...แล้วเริ่มรู้สึกว่าการที่เกิดมาเป็นคนแบบเรานี่หาคนที่รักเราจริง ๆ ยากจังนะ ผมเองก็เคยมีแฟนด้วยนะครับ แต่ไม่เคยนับว่ามีมากี่คน (ไม่ใช่ว่าเยอะอะไรหลอก แค่ไม่อยากจำนะ) แต่คนที่ผมรู้สึกว่ารักมาก ๆ ก็มีอยู่แค่คนเดียวเอง คบกันอยู่สองปีกว่า ๆ นะถ้าจำไม่ผิด (เคยถึงขนาดบอกไปว่า.....อยากอยู่กันแบบนี้ตลอดไปเลย.....ด้วยนะ) สุดท้ายก็เลิกกัน ตอนที่คบกันผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะซื่อสัตย์กับเขานะครับ แอบไปมีคนโน่นคนนี่อยู่สองครั้ง ครั้งแรกนี่ประชดครับ แต่ครั้งหลังนี่รู้สึกว่าเพราะอยู่ห่างกันมาก พอมีคนมาชอบก็เอาเลย ไม่ได้คิดอะไร พอมาทีหลังก็นึกเสียใจ (แต่เลิกกันไม่ใช่เรื่องนี้นะครับ เรื่องอื่น หรืออาจจะเพราะเขาทนผมไม่ไหวแล้วก็ได้....) พอคิด ๆ แล้วผมคงไม่ต่างอะไรกับคนที่ชื่อ เอก ในเรื่องนั้นเท่าไร ใคร่อยากไม่มีที่สิ้นสุด กระเหี่ยนกระหือรือต้องการไม่มีขีดจำกัด ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดตัวเอง ทำไมตอนเขาอยู่ไม่ทำดีให้มาก รักให้มาก พูดดี ๆ ให้มาก มาตอนนี้กลับมานั่งเสียใจ พร่ำพรรณนาว่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ เสียใจที่เขาทิ้งไปเพราะทนเราไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ
เรื่องนี่ผมของมองให้เขาคนนั้นแล้วกันนะครับ เรื่องรักเรื่องแรกของผม Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย ผมของมอบให้กับ “คนที่คู่ควรตลอดไป”ของผมคนนั้น ถ้าใครคนนั้นอ่านอยู่ ก็อยากให้รู้ไว้นะว่าขอโทษกับทุกอย่างที่ผ่านมา ก่อนที่จะเลิกกันทำแต่สิ่งที่เลว ๆ ไว้ให้ ขอโทษด้วยจริง ๆ แล้วก็ขอบคุณสำหลับสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ให้มา จะเก็บเอาไว้ไม่มีวันลืมเลย (เน่าว่ะ แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ)


 
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 06-01-2008 13:44:00
อย่าลืมาต่อไว ๆ นะครับ  :m4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 06-01-2008 15:47:05
อ้างถึง
เรื่องนี่ผมของมองให้เขาคนนั้นแล้วกันนะครับ เรื่องรักเรื่องแรกของผม Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย ผมของมอบให้กับ “คนที่คู่ควรตลอดไป”ของผมคนนั้น ถ้าใครคนนั้นอ่านอยู่ ก็อยากให้รู้ไว้นะว่าขอโทษกับทุกอย่างที่ผ่านมา ก่อนที่จะเลิกกันทำแต่สิ่งที่เลว ๆ ไว้ให้ ขอโทษด้วยจริง ๆ แล้วก็ขอบคุณสำหลับสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ให้มา จะเก็บเอาไว้ไม่มีวันลืมเลย (เน่าว่ะ แต่รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ)

 :m15:ไม่เน่าหรอกครับ เรื่องของผมเน่ากว่านี้

คือผมกับเพื่อน(ขอใช้คำว่าเพื่อนนะ)คบกันมา11ปี(ไม่รวมสมัยยังเรียนด้วยกันนะ)ยังไม่มีอะไรกันเลยเป็นอะไรที่ไม่ใช่แฟน และมากกว่าคำว่าเพื่อน

  อยู่ด้วยกันตลอดติดกันเป็นปาท่องโก๋ทั้งๆที่ทำงานกันคนละที่ เช้าถึงเย็นถึงตอนเช้ามารับผมไปทำงาน ตอนเย็นมารับกลับบ้าน ตอนหลังเลิกงานคือเวลาของเรา กินข้าวดูหนังฟังเพลง ซื้อของ แต่เวลานอนคือ บ้านใครบ้านมันไม่ว่าจะกี่โมงกี่ยามก็ตาม จะตี4รึตี5ก็จะกลับ คือมาอยู่ที่คอนโดผมตลอด(ผมอยู่คนเดียว ส่วนเพื่อนอยู่บ้านกับแม่แค่2คนเพื่อนผมเป็นลูกคนเดียว โดยที่คุณพ่อเสียนานแล้ว)

ผมและเพื่อนไม่เคยมีแฟนทั้งในสมัยตอนเรียนและตอนทำงาน(ี่ผมสองคนหน้าตาดีทั้งคู่..ขอยกหางตัวเอง) มีคนตั้งข้อสงสัยว่าผมกับเพื่อนเป็นคู่เกย์รึปล่าว แต่ผม2คนก็ไม่เคยตอบโต้อะไรใคร จะอธิบายรึปฏิเสธใครๆถึงเรื่องนี้
ี้และไม่เคยนำเรื่องนี้มาคุยกันเลยเพราะอะไรไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมรักเพื่อนนะแต่ให้ผมบอกไปว่ากูรักมึงนะ คงไม่ใช่ตัวผมแน่ๆ
ผมก็รอเพื่อนบอกรักผม จน11ปีแล้วก็ยังเลย มีแค่การปฏิบัติตัวที่มีต่อกันแค่นั้นที่เสมือนแฟน

จนกระทั่งผมต้องลาออกจากงานเพื่อมาช่วยกิจการของบ้านที่ ตจว. ผมอยากจะบอกอะไรหลายๆอย่างกับเพื่อน แต่ผมก็พูดไม่ได้ ผมพูดได้แค่"อยากไปอยู่ จว.(ที่ผมจะไปอยู่)ไหม๊"
เพื่อนตอบมาว่า "แล้วแม่ของผมหละ จะอยู่กับใคร"
ผมก็บอกกลับไปว่า "ถึงวันหนึ่งที่ เพื่อนผมเบื่ออะไรต่ออะไรแล้ว รึไม่ต้องห่วงใครก็ ไปช่วยผมนะ ผมจะรอ"
เพื่อนตอบมาว่า "ถ้าถึงวันนั้น จะให้คำตอบ"
ผมเลยเปลี่ยนเรื่องคุยว่า"แต่งงานเมื่อไหร่บอกนะ"
เพื่อนมองหน้าผมจ้องตาแล้วพูดว่า"ก็รู้ๆ.....กันอยู่จะให้พูดเหรอ"

แค่นั้นหลังจากที่คุยวันนั้น นี่ก็ 6 เดือนแล้วที่ผมจากมา เจอกันครั้งเดียวเนื่องจาก จว.ที่ผมอยู่ไกลจากเพื่อน และเพื่อนต้องทำงานและผมอยู่ช่วยที่บ้าน โดยนัดกันมาดูหนังเรื่องรักแห่งสยาม ที่ โรงหนังแถบสถานที่ท่องเที่ยวแถวชายหาดที่ไฮโซชอบไป(แต่ผม2คนโลโซครับ ถึก+เถื่อน)

เจอกันครึ่งทาง แบบหนังจบ กินไรนิดหน่อย ก็บ้านใครบ้านมันเพราะมีงานที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบ(ตอนดูหนัง ผมก็ร้องนะเพื่อนไม่ร้อง มีแต่จับมือผมไว้ตลอด ตอนหนังจบ ไปกินเอ็มเคก่อนกลับบ้าน ผมถามเพื่อนว่าคิดยังไงกับตอนจบ

เพื่อนบอกว่าจบแบบนี้ดีแล้ว "โต้งยังต้องทำงานเลี้ยงดูพ่อแม่นะ สุนีย์ก็เริ่มจะอ่อนล้าแล้วตัวผัวพึ่งไม่ได้ โต้งต้องเป็นหลักของบ้านแล้วก็ต้องเป็นที่พึ่งของที่บ้าน จะเลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการมันไม่ได้ มันจะกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ เป็นคนอกตัญญูไป.....มันต้องมีสักวันหนึ่งหละที่อะไรต่ออะไร จะกลับมาอีกครั้งในวันที่ ชีวิตไม่มีภาระหรือพันธะใดๆ ถ้าใจไม่เปลี่ยน คนก็ไม่เปลี่ยน "

เพื่อนพูดตอบมายาวมากมาย ผมเลยหยุด เฉไฉไปคุยเรื่องงานของเพื่อนและ งานกิจการที่บ้านผมอย่างเดียว แล้วบ๊ายบาย

โทรคุยกันทุกวัน ไม่มีหวานๆนะ อยากมากก็แค่ "คิดถึงนะ" ,"เลิกงานกลับบ้านเลยนะ เพราะแม่อยู่คนเดียว", "ว่างหลายๆวัน ลงมาหานะ"  ปีใหมที่ผ่านมาก็ไม่ได้เจอกัน พอดีเพื่อนเข้าเวรวันหยุด สแตนบายออนคอลช่วงปีใหม่(งกโอที)
 
ชีวิตของผมเน่าซะยิ่งกว่าเน่าของคุณอีก

ปล.1ผมอายุ 33 จะ 34 แล้วยังเวอร์จิ้นอยู่ เชื่อรึป่าว(ส่วนเพื่อนผมเวอร์จิ้นรึป่าวไม่รู้ หุๆๆๆ)นี่แหละโครจะเน่าๆๆๆ
ปล.2 เข้ามาอัพบ่อยๆนะ ไม่ชอบทวงจ้าๆๆๆๆ สวัสดีปีใหม่ ย้อนหลัง :pig3:


หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 07-01-2008 01:37:13
อย่าลืมาต่อไว ๆ นะครับ  :m4:

 
:m23: :m23: :m23: :m23: :m23: :m23:แน่นอนครับผม   :m23: :m23: :m23: :m23: :m23:


ขอบคุณ คุณtod_tee มากนะครับ........ชอบจังที่บอกว่า "ก็รู้ ๆ กันอยู่ จะให้พูดหลอ".......นั้นสินะ ถ้ามีสิ่งนั้นมาเชื่อมตรงกลางระหว่างคนสองคน มันก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ใช่มั้ยครับ...... 

ผมเองก็อยากจะเจอเหมือนกันนะ คนที่จะ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 08-01-2008 01:40:02
ความรักบางทีก็เล่นตลกกับเรา ยากที่จะคาดเดาครับ  :o8:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 08-01-2008 03:10:44
ตอนใหม่มาแว้วค๊าบบ


วันนี้อะไร ๆ ก็ดูรวดเร็วจนชายหนุ่มอดใจหายและแอบคิดตั้งคำถามขึ้นในใจไม่ได้ว่าเหตุใดวันอื่น ๆ ถึงดูเชื่องช้ายาวนานกว่ามากนัก รถเมร์ก็ดูวิ่งช้ากว่าวันนี้ การจราจรก็ดูติดขัดมากกว่านี้ ผู้คนก็ดูรีบร้อนน้อยกว่านี้ อาจเป็นเพราะเขาไม่มีอะไรให้เร่งรีบแล้วก็ได้กระมัง ทุกสิ่งจึงดูเร็วกว่าเดิมและเร็วกว่าทุก ๆ วัน รถเมล์วิ่งรวดเร็วดูไม่เชื่องช้าหวานเย็นเหมือนเก่าก่อนอีกทั้งถนนก็ดูรกร้างราวกับเมืองทั้งเมืองว่างเปล่าไร้ผู้อาศัยจนชายหนุ่มใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็มาถึงซอยเข้าบ้าน
   ตลาดยามบ่ายแก่แบบนี้ดูคึกคักขึ้นมาอีกครั้งด้วยร้านรวงและร้านค้าอาหารที่ตั้งเรียงรายไปตามบาทวิทียาวหลายสิบเมตรคู่ไปกับท้องถนนที่การจราจรติดขัดเพราะทางเดินรถแคบลง ผู้คนเดินกันไปมาจับจ่ายอาหารเย็นกันอย่างสนุกสนาน เสียงพ่อค้าแม่ขายร้องตะโกนกันไปมาโฆษณาสินค้าของตัวเองพร้อมกับเสียงต่อรองสินค้าของเหล่าลูกค้า เจนศิลป์เดินอยู่หลายรอบก่อนจะซื้อข้าวพัดไปฝากมารดาและซื้อขนมถังแตกของนางทองมาเป็นอาหารเย็นของตัวเอง
   ชายหนุ่มหยีตาพรางยกมือขึ้นป้องใบหน้าสู้กับแสงแดดบ่ายแก่ที่แผดเผาร้อนแรงจนแผ่นหลังเขาเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ พรางเดินเข้าซอบบ้านของตัวเองด้วยสีหน้าและแววตาที่ว่างเปล่าอย่างประหลาดอีกราวร้อยเมตรก็จะถึงบ้านของเขาแล้วแต่สายตาเขาก็พลันเหลือบไปเห็นร่าง ๆ หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านพร้อมกับลูกบอลสีชมพูในมือ ชายหนุ่มชะลอฝีเท้าลงพรางถอนหายใจยาวอย่างว่างเปล่าก่อนจะเดินต่อไป
   “เจ้ามาแล้ว เด็กน้อยเอ๋ย.....” เสียงเด็กหญิงคนนั้นว่าพรางตีลูกบอลลงพื้นเล่น มันเด้งกลับมาที่มือเธออีกครั้งในอีกวินาทีต่อมา
   ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเก่งก่อนหยิบเอาลูกกุนแจออกมาไขประตูบ้านให้เปิดออก
   “เข้ามาสิ” เจนศิลป์เอ่ยเบา ๆ  อีกฝ่ายทำตามแต่โดยดี
   “บ้านเจ้า น่าอยู่กว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก”อมรว่าพรางนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่สีซีดเก่าดูน่าเกลียด ในมือเธอยังกอดลูกบอลไว้หลวม ๆ 
   “มีอะไรอีกละทีนี้” ชายหนุ่มพูดพรางถอดลองเท้าโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย
   เธอถอนหายใจยาว “เจ้าจะให้ข้าพูดอีกหรือ ข้างเบื่อที่จะพูดแล้ว เด็กน้อยเอ๋ย” 
   ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่ง “งั้นจะทำอะไรก็ทำไปนะ....ผมอยู่ชั้นสอง” ว่าแล้วเจนศิลป์ก็เดินดุ่ม ๆ ไปในครัวพรางหยิบเอาจาน ช้อน แก้วน้ำเปล่าและขวดน้ำเย็นขึ้นไปด้านบน
   ห้องของมาดาเขานั้นดูไม่เปลี่ยนไปจากวันอื่น ๆ เลย หญิงกลางคนนอนหลับเมามายไม่ได้สติอยู่บนเตียง จานข้าวว่างเปล่าตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ กันมีขวดเหล้าที่เหลือเพียงน้อยนิดตั้งอยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งพรางเดินไปที่เตียง วางถุงข้าวพัดและของอื่น ๆ ไว้บนโต๊ะตัวเล็ก
   “แม่....แม่....กินข้าว” เขาว่าพรางเขย่าตัวมารดาเบา ๆ เธอตอบเพียงเสียงประหลาดในลำคอก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง เจนศิลป์สัมพัทธ์เนื้อตัวเธอจึงรู้ว่ามันชุ่มเหงื่อจนชื้นเหนียวไปหมด “จะอาบน้ำมั้ย”
   เธอไม่ตอบ เขาจึงเดินไปหยิบเอาถังใบเล็กในห้องน้ำใส่น้ำมาครึ่งหนึ่งพร้อมกับผ้าขนหนูสะอาด
พอเจนศิลป์เริ่มถูผ้าขนหนูไปตามเนื้อตัวของหญิงการคนจึงรู้ได้ในทันทีว่าเธอนั้นดูซูบผอมกว่าเดิมมาก แขนขาลีบเล็กติดไปกับแนวกระดูกดูน่ากลัว เป้าตาลึกและดำคล้ำ แก้มตอบจนโหนกแก้มลอยเด่นเห็นกระดูกสีขาวด้านในชัดเจน อีกทั้งสีผิวก็คล้ำเหลืองกว่าเดิมที่เขาจำได้มาก
   เห็นแบบนี้ชายหนุ่มยิ่งเจ็บปวดในใจราวกับอกถูกบีบอัดด้วยแรงกดมหาสาร ความรู้สึกสมเพชในความไร้ค่าไม่เอาไหนของตัวเองเริ่มก่อตัวขึ้นในใจที่ละน้อย ถ้าเพียงเขาทำสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ดีมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกอย่างคงไม่ลงเอยแบบนี้ ถ้าตอนนั้นเขาสามารถห้ามไม่ให้พ่อไปได้..... ถ้าตอนนี้เขาสามารถห้ามไม่ให้มารดาของเขาทำร้ายตัวเองแบบนี้ได้......ถ้าเพียงเขาเข้มแข็งมากกว่านี้......ถ้าเพียงเขาพยายามมากว่านี้.......
   ยิ่งคิดก้อนเนื้ออันใหญ่ก็เริ่มก่อตัวบีบอันในอกเขาจนทรมาน มันสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้ สมควรแล้วที่เขาจะเจ็บปวด สมควรแล้วที่เขาจะเสียใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ ที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา เพราะเขาคนเดียว......
   “เหตุไดเจ้าจึงทำเช่นนั้น......”เสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง ชายหนุ่มไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นอมรในร่างของเด็กหญิงชุดกระโปรงยาวสีชมพู
   “มันเป็นหน้าที่.....”เขาตอบพรางถูร่างของหญิงกลางคนต่อไป
   “มิใช่เพราะ รักหรือ.......”เด็กหญิงคนนั้นว่า “เจ้ารักมารดาของเจ้าหรือไม่ เด็กน้อยเอ๋ย”
   “คงรักมั้ง”ชายหนุ่มตอบพรางยิ้ม “ทั้งรักทั้งหน้าที่ มันสองอย่างรวม ๆ กันนะ”
   อมรเงียบไปหลายนาทีพรางจ้องมองคนทั้งสองด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสาก่อนจะพูดขึ้น “เหตุไดนางจึงเป็นเช่นนั้นละ”
   เจนศิลป์ตอบด้วยการชี้ไปที่ขวดเหล้าบนโต๊ะ
   “ข้าไม่ได้หมายถึงเช่นนั้นเด็กน้อยเอ๋ย.....ที่ข้าอยากรู้ก็คือเหตุไดนางจึงเมามายเช่นนั้น......เหตุไดนางจึงเป็นทุกข์ถึงขนาดนั้น”
   “คุณรู้ได้ไงว่าเขาทุกข์ บางทีเขาอาจจะมีความสุขก็ได้นะที่เป็นแบบนี้” ชายหนุ่มพูดจบก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ
   “เช่นนั้นหรือ.....”เด็กหญิงว่าพรางทำสีหน้าครุ่นคิด “นางอาจะมีความสุขอยู่อย่างนั้นหรือ”
   เจนศิลป์หยุดถูตัวให้มารดา ถอนหายใจยาวพรางและหันมาเอาผ้าขนหนูชุบน้ำในถัง “ผมพูดเล่นนะ......ที่จริงที่แม่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะทุกข์ใจนั่นละ.....เขาคงคิดว่าเมาแล้วจะลืมได้มั้ง”
   “ลืมความทุกข์งั้นหรือ.......แล้วนางลืมได้หรือไม่”
   ชายหนุ่มสายหน้าเบา ๆ ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไม่มีใครรู้ความหมายของมัน....ทั้งตัวเขาเองและอมร   
   “แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี.....เด็กน้อยเอ๋ย......เหตุไดนางจึงเป็นเช่นนั้น เหตุไดเจ้าจึงยอมเหนื่อยอ่อนกับภาระหน้าที่มากมาย.......ทั้งที่นางก็สามารถหยุดดื่มกินสิ่งเหล่านั้นได้ หยุดโศกเศร้าเสียใจได้.......และเจ้า....เด็กน้อยเอ๋ย.....เจ้าสามารถทิ้งนางไปได้ทุกเมื่อ ......ไปมีชีวิตที่ดีกว่า.....ไปมีชีวิตของตัวเอง.....”
   คำพูดนั้นควรทำให้เจนศิลป์โกรธและไล่อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหน้าและบ้านของเขาได้ แต่ด้วยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นถามด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เขาจึงไม่รู้จะโกรธไปเพื่ออะไร “นั้นสินะ.....คุณพูดถูก”เขาตอบ “แต่ไม่ทั้งหมดหลอกนะ......แม่เขาหยุดไม่ได้หลอก....ที่จะเศร้านะ......ส่วนผมก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
   “เพราะอะไรกัน....ข้าไม่เข้าใจ”
   ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส “ที่แม่เขาหยุดเศร้าไม่ได้ก็เพราะ....เขารักพ่อไง........เขาเสียใจที่พ่อไม่อยู่แล้ว......ส่วนที่ผมไปไหนไม่ได้ก็เพราะ ผมรักแม่....มันเป็นหน้าที่ลูกที่ต้องดูแลพ่อแม่ของตัวเองยามเจ็บป่วยนะสิ”
   “ที่ต้องรักด้วยหรือ......”อมรเอ่ยขึ้น
   ชายหนุ่มหันไปมองอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า “คงงั้นมั้ง....”
   “ข้าไม่เข้าใจ เด็กน้อย ในโลกที่เจ้าอาศัยอยู่นั้นมีหญิงสาวมากมายเป็นแสนเป็นล้านรอคอยให้เจ้าไปพบเจอ พวกนางงดงาม ฉลาด แข็งแกร่ง และอ่อนหวาน แต่เจ้ากลับอยู่ที่นี่ กับหญิงคนนี้ หญิงเมามายไร้สติที่แทบไปไหนได้ไม่เกินสิบก้าวเดิน.....ข้าไม่เข้าใจ”
   ชายหนุ่มยิ้ม “นั้นสินะ.....”เขาเงียบไปครู่หนึ่งพรางถูผ้าขนหนูไปตามฝ่าเท้าของหญิงกลางคน “คนเรานะ....ไม่เหมือนกันทุกคนหลอกนะ” เขาว่า “กับบางคนเราอาจจะเลือกที่จะรักก็ได้ เลือกที่จะไม่รักก็ได้ เหมือนอย่างกับผู้หญิงพวกนั้นที่คุณว่านั้นละ ผมเลือกที่จะรักใครก็ได้.....ไม่รักใครก็ได้......ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว....แต่กับบางคน เราเลือกไม่ได้เลยว่าจะรักหรือไม่รัก......เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนไดคนหนึ่ง....ทั้งตัวผมเอง....หรือแม่ผม.....อย่างเดียวที่ทำได้ก็แค่รักเขาก็เท่านั้นเอง”ชายหนุ่มหยุดพรางมองสีหน้าของอมรที่แสดงถึงความงุนงงและไม่เข้าใจอย่างเด่นชัด ชายหนุ่มจึงลุกขึ้น โยนผ้าขนหนูลงถังน้ำและพูดต่อ “ก็เพราะสิ่งที่เขามอบให้เรามามันมีค่ามาก สิ่งที่เขาศูนย์เสียเพื่อเราก็มีอีกหลายอย่าง สิ่งที่เขาต่อสู้เพื่อเรา สิ่งที่เขายอมตายเพื่อเรา.....มันมากเหลือเกิน มากเสียจนเราไม่สามารถทำนิ่งเฉยดูดายไม่รักและตอบแทนสิ่งที่อีกฝ่ายให้มาได้.....แม้ว่ามันจะน้อยนิดเพียงไดก็ตามเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาต้องเสียไปเพื่อเรา”
   “แต่มันต้องมากถึงเพียงนี่เชียวหรือ......มีค่ามากถึงครึ่งชีวิตของเจ้าเองเชียวหรือ......”
   “งั้นหลอ”ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก “....ความรักมันเรียกร้องการเสียสละจากเรามากใช่มั้ยละ.....แต่เชื่อผมเถอะอมร....ต่อให้ต้องแลกด้วยทั้งชีวิตของผมเอง ผมก็ให้ได้”ชายหนุ่มยกถังน้ำเดินผ่านเด็กหญิงคนนั้นไป “คุณสัญญาแล้วนะ.....ถ้าอีกหกวันผมตาย....แม่ผมจะมีชีวิตที่มีความสุขไปอีกนานแสนนาน”
   เด็กหญิงมองดูหญิงกลางคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าว่างเปล่า ทั้งดวงตา ใบหน้า ริมฝีปาก เส้นผม ใบหู ทุกอย่างดูว่าเปล่าไร้อารมณ์ได้ ๆ แต่ในความว่างเปล่านั้นกลับมีความเจ็บปวดเย็นยะเยือกซ่อนตัวลึกอยู่ “อย่างนั้นหรือ.....เพียงเพราะรัก.....เท่านั้นเองหรือ......”
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 08-01-2008 14:27:20
อ้างถึง
ผมเลือกที่จะรักใครก็ได้.....ไม่รักใครก็ได้......ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว....แต่กับบางคน เราเลือกไม่ได้เลยว่าจะรักหรือไม่รัก......เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนไดคนหนึ่ง

 :m12:ซึ้งจังครับ.......เรื่องนี้ดีมากมายครับ แต่คนไม่อ่านกัน เนื่องจากชื่อเรื่อง มันฮาร์ดคอดราม่าไปรึป่าว(คิดเอาเอง) :sad2:

 :teach:เวลาเข้ามาอัพ แก้ไขชื่อเรื่องให้มีวันที่อัพเพิ่มเติมด้วยดิ(จะเป็นเด็กวัดสอนสังฆราชรึป่าวก็ไม่รู้ว่ะ) :m23: จะได้เป็นจุดดึงดูดคนเข้ามาอ่าน เพราะผมว่าเนื้อเรื่องมันดีมาก รึมันจะดราม่า สมวัยผมไม่รู้ดิ อิๆๆๆ :haun5:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 08-01-2008 21:46:46
เนื้อเรื่อง อาจจะไม่ถูกใจคนส่วนใหญ่ แต่ผมชอบนะ แบบแอบแฝงปรัชญา ไว้ด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 09-01-2008 02:49:50
อ้างถึง
ผมเลือกที่จะรักใครก็ได้.....ไม่รักใครก็ได้......ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว....แต่กับบางคน เราเลือกไม่ได้เลยว่าจะรักหรือไม่รัก......เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนไดคนหนึ่ง

 :m12:ซึ้งจังครับ.......เรื่องนี้ดีมากมายครับ แต่คนไม่อ่านกัน เนื่องจากชื่อเรื่อง มันฮาร์ดคอดราม่าไปรึป่าว(คิดเอาเอง) :sad2:

 :teach:เวลาเข้ามาอัพ แก้ไขชื่อเรื่องให้มีวันที่อัพเพิ่มเติมด้วยดิ(จะเป็นเด็กวัดสอนสังฆราชรึป่าวก็ไม่รู้ว่ะ) :m23: จะได้เป็นจุดดึงดูดคนเข้ามาอ่าน เพราะผมว่าเนื้อเรื่องมันดีมาก รึมันจะดราม่า สมวัยผมไม่รู้ดิ อิๆๆๆ :haun5:



           มันฮาร์ตคอดราม่าขนาดนั้นเลยหรือครับ :m21:....5555+....ไม่รู้สิครับเพราะตอนที่คิดพร๊อดเรื่องออก ชื่อมันก็เด่งปึ๋งขึ้นมาเหมือนป๊อบอัพเลยอ่ะครับ.....กะว่าจะเปลี่ยนเป็น มนรักยมบาลอยู่...(ล่อเล่นนะครับ(มุขฝืดมั่งเหอะ :m29:))....ยังไงก็อ่านต่อนะครับ ถึงจะมีคนอ่านน้อยแต่ทุกคนที่อ่านต้องมีความสุขแน่นอนครับ (หวังว่านะ:m1:)

               ปล. ไม่ใช่เด็กสอนสังฆราชหลอกครับ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าทำยังไง (โง่จังน้า :m23: เรานี่)


เนื้อเรื่อง อาจจะไม่ถูกใจคนส่วนใหญ่ แต่ผมชอบนะ แบบแอบแฝงปรัชญา ไว้ด้วย อิอิ

            เนื้อเรื่องไม่โดนใจคนส่วนใหญ่นี่ผมไม่ค่อยห่วงเท่าไรหลอกครับ เพราะยังมีคนน่ารัก ๆ นิสัยดี ๆ อ่านอยู่บ่าง (ถึงจะเป็นส่วนน้อยก็ตามเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่นะน่ะ(งงนะนี่ :เฮ้อ:))จะห่วงก็แต่สำนวนที่ผมใช้เท่านั้นละครับ อาจจะเพราะพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่เข้ามาอ่านเรื่องจากบอร์ดนี่ส่วนใหญ่ชอบสำนวนที่มันทันสมัยกว่านี้ วัยรุ่นกว่านี้ เป็นภาษาพูดมากกว่านี้มั้งครับ ผมเลยขายนิยายเรื่องนี้ไม่ค่อยออก (หนีจากบอร์ดอื่นมาก็เพราะแบบนี้ละ) แต่ว่านะ จะให้ผมเปลี่ยนสำนวนหรือเนื้อเรื่องตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้วละครับ.....เพราะถ้าเปลี่ยน มันก็คงไม่ใช่นิยายของผมแล้วละ ...... :m12:(ขอโทษด้วยนะครับ :m15:) อย่างว่าละน้าผู้อับโชคอย่างผมมันก็เป็นแบบนี้ละ

              ยังไงก็ขอความกรุณา :m1:(แกมขอร้อง:m13:ออกไปทางบังคับ :m16:) อ่านต่อด้วยนะครับ....แค่เห็นพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ หลายคนเม้มมาก็ดีใจแล้วละ ขนลุกทุกทีเลยที่เห็นเม้มใหม่ ๆ มา (มะด้ายเวอร์น้า)

           ขอบคุณครับ......... :pig4:
             ปล. ปรัชญาเลยหรือครับ... :m23:...คงไม่ขนาดนั้งมังครับ :m1: :m1:

หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: coloniser ที่ 10-01-2008 06:42:52
 :pig4: ขอบคุณมากเลยคับที่ตามอ่านเรื่องของผม เดี๋ยวผมสอบเสร็จจะตามเก็บเรื่องนี้บ้างละคับ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 11-01-2008 14:34:57
 :a2:สู้ๆๆ ดันแและรอครับ :a12:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: YoOl ที่ 11-01-2008 15:04:44
อ่านไปได้หน่อยเดียวเองครับ ขอตัวแว๊ปไปก่อน

แล้วดึกๆจะมาอ่านต่อให้จบนะครับ

fighting
 :a2: :a2: :a2:

หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: tod_tee ที่ 17-01-2008 20:45:48
 :a6:มาต่อให้จบนะคับ :a2:สู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: remainder.t ที่ 20-01-2008 12:37:14
 :a12:ทวงอีกครั้ง จนกว่าจะมาต่อจนจบ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 21-01-2008 21:27:42
ตามมาทวงด้วยคนครับ  :m23:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 28-01-2008 02:55:21
           ขอโทษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษษครับที่ไม่ได้มาต่อเรื่องตั้งนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน  ขอดีคอมโดนไวรัสครับเลยต้องลงวินโดว์ใหม่หมดเลย เรื่องที่เขียนไว้ก็หายหมด (โหลดหนังโป๊มาดูน้อยไปหน่อยมั้ง เมิง..........) พอดีไปเจอหนังDVDถูกมากกกกกกกกกกก เลยสั่งมาดูตั้ง52แผ่น (หนังธรรมดานะครับ) ตาแฉะไปเลย ยังไงก็จะต่อนะครับ จะต่อแน่นอน 
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 28-01-2008 10:26:43
ครับผม ก็ยังรอต่อไปครับ รอได้

แต่อย่าลืมมาต่อนะครับ  :m4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: remainder.t ที่ 28-01-2008 21:46:01
 :m12:ดูหนังจบ ก็ไปดูหนังโป๊ต่อ เอ๊ย!ม่ายช่ายยยย มาเขียนต่อนะครับ :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 30-01-2008 02:08:23
         
มาต่อแว้วค๊าบ
 

         ธารานั่งจ้องมองเคอร์เซอร์กระพริบอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสายตาเหมอลอยคล้ายคิดอะไรบางอยู่ในหัวสมอง

          วันนี้ทั้งแอมมี่ ด๋อย แล้วก็เจี๊ยว หายเงียบไปไม่มาออนลายด์เหมือนอย่างเคยจนธาราอดรู้สึกเคว้งคว้างและโดดเดี่ยวไม่ได้

            ทำไมเธอต้องรู้สึกแบบนั้นด้วยนะ.......

            บางวินาทีคำถามนี้ก็ผุดขึ้นในหัวของเธอราวกับน้ำพุที่ผุดขึ้นกลางทะเลทราย คนพวกนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอด้วยซ้ำไป ไม่ได้เป็นพี่ เป็นน้อง หรือแม้กระทั้งเป็นเพื่อน คนพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ล่องลอยไปมาเหมือนฝุ่นละอองในอากาศภายในโลกแห่งนี้ บางครั้งฝุ่นพวกนั้นก็จับกลุ่มรวมตัวกันจนดูคล้ายสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินกว่าคำได ๆ จะอธิบายได้ ทั้งแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิต ปลอบโยนยามท้อแท้สิ่งหวัง สั่งสอนยามทำผิดไม่ถูกต้อง ส่งเสริมยามทำสิ่งดีงาม ให้กำลังใจยามเหนื่อยอ่อน แบ่งปันยามขาดเหลือ ทุกสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนในโลกแห่งนี้มีให้กันและหญิงสาวรู้สึกได้ ความห่วงใย ใส่ใจ เอื้ออาทร และบางครั้ง ก็รัก.........

             แต่ทุกสิ่งเหล่านั้น ทุกคน ทุกตัวอักษร ล้วนเป็นเพียงขอมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียงร้อยต่อกันไปมาเหมือนมัดด้ายที่พันกันยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ มันไม่มีจริง ไม่มีตัวตน ไม่มีแม้กระทั้งความรู้สึก มันจอมปลอม ไม่จริงแท้ ไร้จิตวิญาณ ไร้ชีวิต แม้ผู้ที่ส่งมานั้นจะมีตัวตนอยู่จริง แต่สิ่งที่เขาส่งผ่านมานั้นก็ใช่ว่ามันจะจริงเสมอไป มันอาจจะเต็มไปด้วยคำหลอกลวง ใคร่อยาก และหวังผลประโยชน์เป็นเหมือนดังกิเลตตัณหาที่กัดกินอยู่ในจิตวิญาณของคนทุกคน 

              แต่ถึงกระนั้น ต่อให้รู้สึกอย่างนั้นและรู้ดีถึงข้อเท็จจริงนั้น หญิงสาวก็ยังคงล่องลอยเวียนวนอยู่ในโลกแห่งนี้ เป็นเม็ดฝุ่นอิเล็กทรอนิกส์ที่ไขว่คว้างเวียนว่ายอย่างไร้จุดหมาย วันแล้ววันเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าราวกับเชื่อคำลวงหลอกของความสัมพันธ์จอมปลอมเหล่านั้น บ่างดีใจ บ่างร้องให้ บ่างสุขสม บ่างทุกข์ระทม ทั้งที่รู้ว่าข้อมูลเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไปก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็เต็มใจเป็นเหมือนคนโง่และเชื่อความจอมปลอมและคำลวงของโลกแห่งนี้ เพราะสำหลับเธอแล้ว ความจริงนั้นเจ็บปวดเสียทุกครั้งไปเสมอ ทั้งครอบครัว ชีวิต การเรียน หน้าที่ หรือแม้แต่ความรัก ทุกสิ่งล้วนเจ็บปวดเสมอ จอมปลอม โหดร้าย และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป

              เสียงแปลกประหลาดดังมาจากหูฟังอันเล็กที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์พร้อมกับตัวหนังสือทักทายของคนที่เธอคุ้นเคย แอมมี่

              ---ว่างายยยยยยยยยยย พี่แว่นนนนนนนนน -----         
 
               แม้แต่ตัวเธอเอง ก็จอมปลอม.............

............................................................................

หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย/////มาต่อแล้วนะครับ/////// 30/1/51
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 30-01-2008 02:24:35
........
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 30-01-2008 21:52:53
มาอ่านแร่ะครับ มาแบบสั้น ๆ แต่หายคิดถึงไปได้บ้าง   :m4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 31-01-2008 22:36:52
อ่านไปแล้วน้ำตาคลอๆทุกครั้งที่พบฉากของคอมกับแม่ ขอเพียงได้เห็นคนที่เขารักมีความสุข
แม้แต่ัตัวเองจะเหลือชีวิตเพียงหกวันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวเลย หรือจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่พบใครคนนั้น
คนที่เขาจะมอบความรักที่เคยได้มาให้ (เขาเคยได้หรือปล่าว เพราะมันสั้นเหลือเกิน พ่อก็มาทิ้งเขาไว้กับแม่เสียแล้ว) หากดูความเหงาที่เขาได้รับแต่เด็ก ก็จะไปซ้อนทับกับพิราบ ที่แม้จะสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน แต่กลับเหงาและไม่มีใคร เมื่อสองคนพบกันจึงเหมือนมีความผูกพันที่ไม่อาจอธิบายได้
 :m15: :m15: :m15: :m15:

ส่วนธาราก็คงจะน่าสงสารที่แม้เผยความในใจไป เจนศิลป์ก็คงไม่ได้คิดเกินเพื่อนเป็นแน่ โลกเสมือนจริงที่ธาสร้างขึ้น
มันขึ้นกับธาเองต่างหากที่จะสานต่อยอย่างไร อิเล็กทรอนิคส์เป็นแค่โอกาสที่ทำให้เราได้พบกัน มันจะดีจะร้ายขึ้นกับเราสานต่ออย่างไรในชีวิตจริงต่างหาก
 :mc2: :mc2: :mc2:
เม่นกับสาก็อาจจะเสียเวลาไปมากมายกว่าจะกล้าที่ยอมรับความจริงว่าสิ่งที่ดีที่สุดกลับอยู่ใกล้ๆตัว แม้ตอนแรกมันเหมือนจะเป็นเพราะความเมา แต่จริงๆแล้วก็ปฎิเสธตัวเองไม่ได้ว่าูรู้สึกดี
ลองใช้เวลามองและตัดสินใจเลือกสิ่งที่เป็นไปได้ และมีความสุขดีกว่า
 :oni2: :oni2: :oni2:

มาให้กำลังใจครับ ต้องขออภัยที่พลาดเรื่องดีๆนี้นาน จนผ่านมาหลายตอน
เนื่องจากยุ่งๆนิดหน่อย เปิดมาอ่านอีกที ทวนของเก่าไปด้วยก็หยุดไม่ได้เลย
 :m13:
ดึงดูด น่าค้นหา น่าติดตามไปกับบทที่ผู้เขียนบรรจงใส่ฉากซ้อนฉาก สร้างมิติของนิยายออกมาได้ดึงดุดดีครับ
นิยายจะออกแปลกแหวกแนวแบบนี้ ก็ไม่ต้องเสียใจที่คนอ่านน้อยหรอกครับ บางคนเขาอ่านไม่คอมเม้นต์ก็มีครับ
โพสไปเขียนไปเ็ก็บไว้เป็นความภุมิใจดีกว่าที่เคยเขียนนิยายแบบนี้ได้
 :m4: :m4: :m4: :m4:
คนเขียนเปิดเรื่องมาควรจะค่อยๆให้คนอ่านเรียนรู้ตัวละครที่ละตัวช้าเสียก่อน ซึ่งตอนแรกให้ตัวละครโผล่มาที่เดียวเป็นฝูงอาจทำให้คนอ่านงง และโพสค่อยๆรอคนอ่านนิดหนึ่ง พอเห็นเยอะๆพาลคนอ่านจะหมดแรงเอาได้ อิอิ
แต่ที่สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอในการโพส โพสบ่อยๆทีละตอน จะทำให้คนอ่านติดตามและไม่ลืมเรื่องนะ
ว่าแล้วรีบมาโพสได้แล้วครับอยากอ่านต่อแย่แล้ว
อิอิ
 :oni1: :oni1: :oni1:
แผนผังเตือนความจำสำหรับเพื่อนๆครับเผื่อใครจะงง
 :m14:
ไอ้คอม(เจนศิลป์) หนึ่ง(พิราบ)
คอม สา(สาริณี) ไอ้เม่น(กิตติ) ธา(ธารา)
หนึ่ง ฟ้า(องอาจ) กร(กรเทพ) ท๊อป(นาคินทร์) พิเชษ


หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: remainder.t ที่ 03-02-2008 09:32:30
 :m22:สบโอกาส เข้ามาอ่านได้แล้ว ดราม่ามากมายเหมือนเดิม รีบไปหละ อย่าลืมมาต่อน๊า ช่วงไม่มีระยะเวลาปลอดภัยสำหรับผม เลยเข้ามาให้กำลังใจยากสักหน่อย :m4:ขอบคุณครับ ที่มาแต่งต่อ ยังแอบรออยู่นะ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 27-02-2008 16:52:17


มาแว้วค๊าบบบบบบบบบบบบบบ
                   

                     สาริณีเดินออกมาจากห้องน้ำภายในห้องของตัวเอง ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงแต่โทรศัพท์กลางดึงที่โทรเข้ามาหาเธอเมื่อคืนนี้
 
                         ธง.....คนรักของเธอโทรมาเมื่อคืนนี้ และทุกอย่างก็ยังดูเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
......งานยุ่ง.....ไม่มีเวลา.....เสียงของเขาเอาแต่พร่ำพูดแต่คำว่าขอโทษจนบางครั้งเธอแทบจะหลุดปากไปว่าควรจะเป็นเธอเองเสียมากกว่านี่ต้องขอโทษ ขอโทษที่ไม่ซื่อสัตย์กับเขา ขอโทษที่เธอมีคนอื่น ขอโทษที่เธอไม่สามารถทนรอเขาอีกต่อไปได้

                         แล้วเธอนั้นผิดหรือเปล่า.......

                     หลายวันมานี้เธอเอาแต่ถามตัวเองอย่างนั้น เธอผิดหรือเปล่าที่ไม่สามารถทนรอเขาอีกต่อไปได้ ผิดหรือเปล่าที่เธอปันใจไปรักกับใครอีกคนที่สามารถรอเธอได้ เธอต้องการเพียงคนที่รอเธอได้เท่านั้น คนที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีใครบางคนรอให้เธอกลับไปพบ กลับไปพูดคุย กลับไปสัมพัทธ์ ไม่ใช่แค่คำพูดลมปากที่ไร้ตัวตน
อ้อมแขนของใครบางคนประทับกอดแน่นจากด้านหลังจนเธอสะดุ้งออกจากภวังค์
 
                         “เป็นไร ทำหน้าเครียด ๆ” เสียงกิตติดังขึ้นที่ข้างหูของหญิงสาว

                         “เปล่าหลอก....แค่คิดอะไรเพลิน ๆ นะ....”สาริณีว่าพรางเกาะมือของชายหนุ่มที่กำโทรศัพท์ไว้แน่น“ใครโทรมาหลอ.....” 

                         “ที่บ้านนะ.....โทรมาถามว่าปิดเทรมแล้วจะกลับบ้านหรือเปล่า”อีกฝ่ายตอบพรางเอาจมูกดุนที่หลังใบหูของหญิงสาว

                        เสียเคาะประตูดังขึ้น

                       “โถ่..ใครว่ะเนี้ย.....”กิตติร้องอย่างหัวเสียพรางเดินไปเปิดประตูออก แต่ร่างที่อยู่หน้าประตูนั้นก็ทำให้ทั้งสาริณีและกิตติตกใจไปไม่น้อย

                      “อ้าวเม่น.....อยู่นี่ด้วยหลอ”เสียงธาราร้องอย่างตกใจพรางมองชายหนุ่มด้วยสายตาประหลาด ไม่รู้ว่าเธอแปลกใจที่ชายหนุ่มอยู่ในห้องของสาริณี หรือเพราะชายหนุ่มสวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวแล้วอยู่ในห้องของสาริณีกันแน่

                        “ถึงว่าไอ้ห่า ไปเคาะประตูแม่งไม่มีใครเปิด ถอยหน่อยดิ ปวดฉี่” เจนศิลป์ว่าพรางเบียดตัวเองผ่านกิตติก่อนจะโยนกระเป๋ากล้องถ่ายรูปไว้บนเตียงและตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างเร็ว

                         ธารายังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นหลายวินาทีก่อนจะเดินเข้าห้องมาด้วยสายตาสงสัยอย่างบอกไม่ถูก กิตติปิดประตูไล่หลังเธอและเดินไปหยิบเสื้อที่ยับยู่อยู่บนเตียงมาสวม ดูเหมือนเขาจะรู้สึกได้ถึงความสงสัยของธารา สาริณีก็เช่นกันเธอยกมือขึ้นเกาะหัวน้อย ๆ พรางหันหน้าออกไปทางประตูชาน ทั้งหมดจึงไม่พูดอะไรจนเสียงกดชักโครกดังขึ้นและเจนศิลป์เดินออกมาจากห้องน้ำ

                        “โอ้ย.....สบาย”เขาร้องพรางเช็ดมือที่เปียกกับกางเกง ของตัวเอง “เอ้า มาดิ...เปิดคอม”

                       “เปิดมัยว่ะ....”เสียงกิตติพูดอย่างงง ๆ

                       “เอ้า ไอ้บ้า มึงจะไม่ทำรายงานส่งใง พรุ่งนี้แล้วนะมึง วันนี้กูก็อุส่าไปนั่งสรุปมาจนเสร็จ....มึงสองคนนะพิมพ์ไปเลย เดี๋ยวกูกับธานั่งดู”

                       “เช้ย...มึงอะ”สาริณีร้องพรางหัวเราะร่วนคล้ายต้องการกลบเกลื่อนบรรยากาศก่อนหน้าที่อึมครึมชวนวังเวง

                       “ไม่ต้องมาขำเลย.....ไปเลย ไปพิมพ์”เจนศิลป์ว่าพรางดึงสาริณีที่นั่งอยู่บนเตียงให้ลุกขึ้นและเข็นเธอไปนั่งอยู่ข้าง ๆ กิตติที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โดยใช้เก้าอี้ตัวเดียวกัน

                       ธารามองดูชายคนนั้นด้วยสาตาสงสัย

                       “เราว่า.......”ในที่สุดเธอจึงพูดขึ้น “ช่วงนี้ดูคอมจะแปลก ๆ ไปนะ”
   
                      เจนศิลป์ร้องเสียงขึ้นจมูกสั้น ๆ
   
                       “เออว่ะ” เม่นว่าพรางเริ่มพิมพ์ “ตั้งแต่มึงโดนรถชนมานี่กูว่ามึงดูร่าเริงผิดปรกตินะ” 
   
                      “ใช่”ธาราว่า “หัวกระแทกหรือรู้สึกปวดหัวตอนนอนบ่างหรือเปล่า.....เราว่าไปให้หมอดูหน่อยก็ดีนะ”
   
                        ทั้งหมดหัวเราะกันยกใหญ่
   
                       “ธาเราว่ามันคงไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง” สาริณีพูด “เราว่าคงเพราะพอไม่มีงานทำเลยไม่รู้สึกเครียดมากกว่า ดูอย่างวันนี้ดิ ร้อยวันพันปีมันเคยมาห้องเราที่ไหน ชวนกันตั้งเป็นร้อยเป็นพันครั้งมันยังไม่มาเลย”
   
                       “กูมานั่งเฝ้าพวกมึงทำรายงานมั้งเถอะ” ชายหนุ่มว่าพรางยิ้ม
   
                       “ไม่ต้องมาพูดเลยมึงอะ เห็นบางทีงานสำคัณกว่านี้มึงก็ยังไม่มาเลย”กิตติว่าทั้ง ๆ ที่มือยังพิมพ์อยู่
   
                      “ใช่มั้ยละ” สาริณีเสริมพรางยิ้มกับกิตติ
   
                       “เออ แล้วแผลนี่ได้ล้างบ่างหรือเปล่า เดี๋ยวอักเสพนะ”ธาราว่าพรางจ้องไปทีผ้าพันแผลที่อยู่บนหัวของชายหนุ่ม
   
                       “อือ....ลืมเลยนะเนี้ย”
   
                      “เดี๋ยวก็เน่ากันพอดี สา มีที่ทำแผลบ่างหรือเปล่า”
   
                      “มี ๆ อยู่ในลิ้นชักในตู้เสื้อผ้านะ หยิบเอานะธา”
   
                     หญิงสาวเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ไม่นานเธอก็เดินมานั่งที่ปลายเตียงข้าง ๆ เจนศิลป์พร้อมกับกล่องพราสติกใสที่ภายในบรรจุที่ทำแผลอย่างเป็นระเบียบ
   
                     “เอาผ้าพันแผลออกสิเดี๋ยวเราทำให้”ธาราว่า

                     “เดี๋ยวเราทำเองก็ได้....ไม่เป็นไร”

                     “ถ้าทำเองแล้วมันจะเห็นมั้ยละ เร็ว ๆ เข้า” ธาราทำหน้าดุจนชายหนุ่มทำตามแต่โดยดี
หญิงสาวหยิบเอาสำรีชุบแองกอฮอร์จนชุ่มถือไว้ในมือ
   
                     “เอาจริงหลอธา.....ไม่แสบหลอ”
   
                    “นิดหน่อยน่า เร็ว ๆ”
   
                     ไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้น หญิงสาวหยุดมือทันที
   
                     “ครับ”ชายหนุ่มกดรับโดยที่ไม่มองชื่อผู้โทรเข้ามา “......ฮ่ะ”


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 27-02-2008 16:58:38
           

           พิราบนั่งอยู่ในร้านเอ็มเคสุกี้ด้วยท่าทางร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาเขาเหมอมองออกไปนอกร้านที่มีผู้คนเดินกันไปมาขวักไขว่  บ่างนั่งบ่างยืนอยู่หน้าร้านเพื่อรอโต๊ะอาหารว่างซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงความหวังที่แสนริบหรี่เต็มทน ในของชายหนุ่มพลิกโทรศัพย์มือถือของตัวเองไปมาพรางไม่เข้าใจว่าทำไมเขามานั่งอยู่ตรงนี้  ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ และบางที.....บางทีนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ได้

   “รับอะไรเพิ่มมั้ยค่ะ” เสียงพนักงานหญิงคนหนึ่งดังมาพรางหยิบแก้วน้ำของเขาไปเติมให้

   “ยังครับ....รอเพื่อนอยู่”เขาว่าพรางยิ้ม อีกฝ่ายจึงยิ้มตอบและเดินจากไป ชายหนุ่มจึงหันไปมองนอกร้านอีกครั้ง อีกราวสามนาทีต่อมาร่าง ๆ หนึ่งที่ดูคุ้นตาก็เดินผ่านหน้าของชายหนุ่มไป

   “คอม....”ชายหนุ่มร้องเรียกร่างนั้น อีกฝ่ายหันกลับมาอย่างงุนงง
เจนศิลป์ผงกหัวเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่าย

   “โทษทีนะ หลงทางอยู่ตั้งนานไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน” ชายหนุ่มว่าพรางวางกระป๋าใส่กล้องของตัวเองลงข้างตัว

   “ทำไม....ร้านหายากหลอ” 

    “ไม่หลอก แต่เราไม่เคยมานะ เลยไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เดินไปทั่วห้างเลย” เจนศิลป์พูดสีหน้าเรียบเฉย“แล้วนี่....ประกันที่ว่า.....”

   “จะสั่งอาหารเลยมั้ยค่ะ” ไม่ทันพูดจบคำเสียงพนักงานหญิงคนเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างอันผอมแห้งราวกับโครงกระดูกเดินได้พรันปรากฏขึ้น เธอยิ้มจนแก้มที่ตอบอิ่มขึ้นมาดูน่ากลัวก่อนจะยื่นเมนูอันใหญ่มาให้คนทั้งสอง

   “ครับ....คอมกินข้าวมาหรือยัง....”

   “กินมานิดหน่อยแล้ว...แล้วประกันละ.....”

            พิราบไม่ตอบคำถามนั้นเอาแต่สั่งอาหารเสียยกใหญ่จนพนักงานแทบจดตามไม่ทัน “อยากกินอะไรหรือเปล่า....”เขาถามขึ้นราวกับไม่ได้ยินคำถามของเจนศิลป์ก่อนหน้า ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ 

   “งั้นแค่นี้ละครับ”

   พนักงานหญิงทวนรายการอาหารทั้งหมดอีกครั้งอย่างเร็วจนแทบฟังไม่ทันก่อนจะเดินจากไป

   “ว่าแต่วันนี้ไปเรียนมาหลอ....” 

   “อือ....แล้วที่โทรเรียกเรามาเรื่องประกันนี่.....อยู่ไหนหลอ” เจนศิลป์ว่าพรางมองไปรอบตัว

   “อ๋อ....”อีกฝ่ายอึกอัก “เขายังไม่มาเลย....เรานัดเขาไว้ตอนสี่โมงเย็น นี่พึ่งจะบ่ายโมงเอง” พิราบว่าพรางก้มลงมองนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ

   “อือ....”อีกฝ่ายลากเสียงยาวอย่างไร้ความหมายได ๆ แต่พิราบตีความไปว่าชายหนุ่มคงเชื่อตามนั้น “สี่โมงเลยหลอ...เราก็นึกว่ามาถึงจะได้คุยกันเลยซะอีก”

   “ก็เรากะว่าจะชวนคอมมากินข้าวก่อน...เลี้ยงขอโทษประมานนั้นนะ” พิราบว่าพรางมองอีกฝ่ายที่เริ่มยกน้ำขึ้นดื่ม “ทำไมหลอ....มีธุระทีอื่นหรือเปล่า”

   เจนศิลป์วางแก้วน้ำลง “เปล่าหลอก.....แค่เราไม่อยากกลับบ้านเย็นมากนะ....แม่เราอยู่บ้านคนเดียว”

   “อ้าว...”พิราบร้อง “งั้นเดี๋ยวเราขับรถไปส่งเลยก็ได้นะ....ประกันเดี๋ยวเราคุยคนเดียวก็ได้”

   “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร.....”เจนศิลป์พูดพรางยิ้มน้อย ๆ “ไหน ๆ มาแล้ว สั่งข้าวไปตั้งเยอะ กินก่อนก็ได้ยังไม่รีบตอนนี้หลอก.....”

   “หลอ...งั้น” ไม่ทันที่พิราบจะพูดอะไรต่อ พนักงานหญิงคนเดิมก็กลับมาอีกครั้งพร้อมรถเข็นที่มีทั้งอาหารดิบ และคาวอยู่เต็มคัน เธอพูดขออณุญาติอย่างขอไปทีก่อนจะเริ่มย้ายอาหารมาไว้ที่โต๊ะตรงหน้าของคนทั้งสองเมื่อเสร็จเธองึมงำอย่างเร็วอีกสองสามคำจับใจความได้ว่าให้ทานอาหารให้อร่อยนะค่ะ ก่อนจะเดินจากไป พิราบมองตามเธอคล้ายไม่เข้าใจว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ คำชมหรือ... “งั้น คอมก็อยู่บ้านกับแม่สองคนสิ” ชายหนุ่มถามพรางเริ่มคืบอาหารด้วยตะเกียบลงหม้อน้ำที่อยู่ตรงหน้า

   “อือ.....นี่หลอ” เจนศิลป์ตอบพรางยื่นถาดใส่อาหารที่อีกฝ่ายชี้ด้วยตะเกียบและยื่นให้

   “แล้วพ่อละ...ไปไหนหลอ....” พิราบพลังปากถามออกไป

   ชายหนุ่มเงียบไปหลายวินาทีก่อนตอบ “ไม่อยู่แล้วละ” น้ำเสียงของขานั้นบางเบาและเรียบเฉยจนอีกฝ่ายรู้ตัว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเจนศิลป์ที่นั่งนิ่งจ้องมองหม้อน้ำตรงหน้าด้วยดวงตาเหมอลอย “เออ....ขอโทษนะ เราคงถามคอมมากไปแล้ว....”

   “ฮ่ะ...อ๋อ ไม่เป็นไร....”อีกฝ่ายยิ้มกลบเกลื่อนและเงียบไปหลายนาทีก่อนว่า “แล้ว....พ่อกับแม่หนึ่งละเขาว่าไงบ่าง.....”

   “ฮึ....อ๋อ....พ่อกับแม่เราเขาทำโรงงานอาหารอะไรพวกนั้นนะเลยต้องไปเจอลูกค้าบ่อย ๆ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านหลอก....ส่วนใหญ่เราก็อยู่บ้านคนเดียว”

   “เราหมายถึงรื่องรถนะ......”

   “อ้าว....หลอ....”พิราบพูดพรางยิ้มเขิน “ก็ไม่ได้ว่าอะไร.....ก็ยังไม่เห็นเลยไม่ได้ว่าอะไร”ว่าแล้วก็หัวเราะน้อย ๆ ออกมา

   “ถ้าพ่อกับแม่หนึ่งรู้เข้าคงแย่เลยสิ.....รถท่าทางแพงขนาดนั้น”

   อีกฝ่ายหยุดและเอาตะเกียบมาดูดเล่นอยู่ครู่หนึ่ง “ก็คงประมาณนั้นละ.....พอเถอะเรื่องมันยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน เอานี่....อร่อยนะ” พิราบว่าพรางคืบเอากุ้งสามสี่ตัวมาวางไว้ในชามของเจนศิลป์

   “อือ... ขะ...ขอบคุณนะ” อีกฝ่ายรู้สึกแปลก ๆ ที่มีคนทำแบบนี้

   เสียงโทรศัพท์ของพิราบดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะรับสาย

   “เออ...ว่าไง.......กูอยู่ข้างนอก....เออ....แดกข้าวอยู่.......กับคนที่กูเล่าให้มึงฟังไง......เออ....ใช่.....ทำไมละ....วันนี้หลอ....กูไปไม่ได้ว่ะ.....ก็กูอยู่นี่ให้กูไปไงละ.....กูไม่อยากไป.....ขี้เกลียด เออพวกมึงไปกันเถอะ...... เออ พรุ่งนี้เจอกัน...เออ” จบคำชายหนุ่มก็วางสายไป “เพื่อนโทรมาชวนไปเที่ยวอีกแล้ว”

   เจนศิลป์มองอีกฝ่ายคล้ายอยากถามว่า จะบอกทำไม “หลอ......”

   ดูเหมือนพิราบจะไม่เห็นสายตาของอีกฝ่ายจึงถามขึ้น“คอมชอบไปเที่ยวมั้ย....ตามผับตามบาร์พวกนั้นนะ”

   “ก็....ไม่ค่อยเท่าไรนะ.....ไปจนเบื่อแล้ว”

   “จริงหลอ.....ชอบเที่ยวเหมือนกันหลอ”

   “เปล่า” เจนศิลป์ตอบพรางหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม “เราทำงานอยู่ในผับนะ.....เลยได้ไปทุกวันจนเบื่อแล้ว”

   “โถ่” อีกฝ่ายร้องอย่างผิดหวัง “ไอ้เราก็นึกว่าชอบเที่ยว.....แต่ก็ขยันจังนะ เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย....”

   เจนศิลป์ยิ้มน้อย ๆ เป็นเชิงตอบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 27-02-2008 17:03:40
                  หวาดดีคร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ไม่ได้มาอัพซะนาน เป็นไงกันบ่างครับ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ เพราะช่วงนี้มีอะไรวุ่น ๆ หลายอย่าง ทั้งเรื่องงาน เรื่องทื่บ้าน เลยไม่ค่อยได้มาเขียนเรื่องให้อ่านกัน ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

                      ยังไงก็หวังว่าจะติดตามต่อกันนะครับ  :bye2:
 
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 28-02-2008 14:04:58
ขอบคุณนะครับ ที่มาต่อ ดีใจมาก ๆ เลย ครับ  :m4:

ความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกและนายเอก เริ่มคืบหน้าแล้ว เย้ ๆๆ  :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 29-02-2008 13:13:27
เวลาและความเอาใจใส่ต่างหากที่มีผลต่อความรัก
ถ้าอยู่ไกลแต่ให้ความสำคัญ สาคงไม่พลาดไปแบบนี้

เจ้าหนึ่งวางแผนทำอะไรนะ
จะสามารถละลายกำแพงน้ำแข็งที่ถูกพ่อสร้างขึ้นมาของคอมไปได้หรือไม่

รีบๆมาต่ออีกนะครับ

น้อยๆแต่สม่ำเสมอก็ดีครับ
คริคริ

ช่วงนี้ผมยังอ่านไม่ค่อยทันเลย นิยายเยอะมาก แต่อ่านแน่นอนครับเรื่องนี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 10-03-2008 20:08:17
มาบอกว่า เริ่มติดเรื่องนี้อีกคนแล้วครับ อ่านแรก ๆ งงนิดหน่อย

แต่ตอนนี้ โอแล้วครับ

มาต่อด้วยนาครับ  :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 11-03-2008 13:55:24
มาแล้วคร๊าบ


               ธารานั่งนิ่งเหมอมองออกไปน้องหน้าต่างรถแทคซี่อย่างเลื่อนลอย  ท้องฟ้าสีหม่นด้วยเมฆสีเทาไร้แสงอาทิตย์ส่องสว่าง เม็ดน้ำเม็ดเล็ก ๆ ตกกระทบที่หน้าต่างเกิดเป็นจุดสีใสประปลายเต็มทั้งบานกระจก
                “ฝนตก”เธอพึมพำเบา ๆ คล้ายพูดกับตัวเองพรางใช้นิ้วมือทั้งห้าลูปไปตามเม็ดฝนเหล่านั้น มันไม่ให้ความรู้สึกได ๆ เลย ไม่ร้อน ไม่เย็น ไม่ชื้นหรืออุ่น เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกที่อยู่ภายในใจเธอที่มันคล้ายด้านชากับความรู้สึกแบบนี้
                  “ธาชอบคอมใช่มั้ย” เสียงของหญิงสาวดังแว่วมาในหูคล้ายตอกย้ำความด้านชานั้นให้ยิ่งเจ็บปวด ธาราหลับตาลงและเอนหัวไปด้านหลังเหมือนต้องการลืมคำพูดเหล่านั้น ภาพเหล่านั้น แต่มันกลับยิ่งทำให้เธอมองเห็นมันชัดเจนยิ่งขึ้น
                   “ธา เราถามจริง ๆ นะ ชอบไอ้คอมมันใช่มั้ย” สาริณีถามขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังนั่งพิมพ์รายงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และไม่ได้หันกลับมามองอีกฝ่าย มีเพียงแต่กิตติเท่านั้นที่หันมามองผู้ถูกถามอย่างงงงัน
                   “สา....”อีกฝ่ายร้องขึ้นพรางยิ้มและหัวเราะ “พูดอะไรบ้า ๆ .....”
                   “เอ้า...ถามจริง ๆ” สาริณีย้ำอีกครั้งพรางหัวเราะ “ไอ้คอมมันก็ไปแล้ว พูดมาเถอะมันไม่ได้ยินหลอก”
                    หญิงสาวเงียบไป
                    “งั้นก็จริงสิ.....ถึงได้ไม่ตอบแบบนี้”
                    “สา....”เสียงกิตติที่นั่งเงียบมาตลอดร้องขึ้นคล้ายต้องการปรามสาริณี
                     “ธา” หยิงสาวพูดต่อทำเป็นไม่ได้ยินที่ชายหนุ่มร้องเตือน “ที่เราพูดนี่ไม่ใช่ว่าเสือกหรืออะไรนะ....เพียงแต่เราว่าไอ้คอมมันเป็นคนเข้าถึงยากว่ะ”
                     “เพราะอะไรหลอ.....”ธาราพูดขึ้น
                     “ก็....มันไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร บางทีก็เหม่อ ๆ ลอย ๆ เหมือนคนคิดมาก มีอะไรก็ไม่บอกเอาแต่เก็บไว้คนเดียว”
                    “มันอาจจะเขินก็ได้มั้ง สาก็พูดไป”กิตติพูด “บางทีมันอาจจะไม่อยากให้คนอื่นมาเป็นห่วงเดือนร้อนแทนมันก็ได้......ผู้ชายมันก็เป็นแบบนี้ละ เรายังเป็นเลย”
                     สาว่าไม่ใช่หลอก......มันเหมือนกับคอมมันปิดตัวเองมากกว่า เหมือนมันไม่อยากให้ใครมายุ่ง มารับรู้ มาเห็นใจมัน เราว่าถ้าคบกับมันเป็นแฟนไป......ธาอาจจะเสียใจก็ได้นะ”
                    สิ้นคำของหญิงสาวความเงียบงันก็เข้าปกคลุมคนทั้งสามไว้อย่างแน่นหนาคล้ายโซ่ตรวนของนักโทษ ทั้งหมดเงียบไปหลายนาทีและเป็นธาราเองที่พูดขึ้นในที่สุด
                    “ถึงอย่างนั้นเราก็ยังอยากจะลอกดู”
                    "น้องว่าไรนะ.....”เสียงพนักงานขับรถหันมาถามด้วยเสียงอันดังจนหญิงสาวสดุ้ง
                    “ปะ....เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” ธาราตอบไปพรางหันหน้าเหมอออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สายตาจ้องมองเม็ดฝนที่เริ่มตกลงมาหนาตามากขึ้น “ฝนตกใหญ่เลย...........” เธอพึมพำ


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 11-03-2008 14:13:53

                เจนภูมิเดินออกจากลิฟทันทีที่ประตูเปิดออกเผยให้เห็นอาคารจอดรถที่ค่อนข้างมืดทึบและมีรถจอดอยู่บางตา เสียงเม็ดฝนโปรยปรายลงมาทำให้ชายหนุ่มเหลือบมองออกไปด้านนอกผ่านผนังที่เปิดโล่งไร้สิ่งได้ ๆ กั้นขวาง

                   “ฝนตกนี่หว่า....”เขาพึมพำพรางเดินไปยังรถยนต์คันเก่าที่เขาซื้อมาเมื่อห้าปีก่อนด้วยเงินของตัวเอง ก่อนจะขับออกจากอาคารจอดรถของโรงพยาบาลพรางคิดหาจุดหมาย ปรกติถ้าเลิกงานตอนเช้าแบบนี้ส่วนใหญ่ชายหนุ่มจะไปเดินเล่นตามห้าสรรพสินค้า ซื้อเสื้อผ้า ของใช้ หรือไม่ก็ดูหนังไปพราง ๆ ก่อนจะกลับห้องเช่าและนอนเตรียมตัวทำงานต่อไป

                     แต่ในหนึ่งอาทิตย์ เขาจะพยายามเจียดเวลาวันหรือสองวันเพื่อจะไปหาหรือถ้าพูดให้ชัดเจนก็คือไปเยี่ยมพี่สะใภ้ที่ดูอาการจะหนักขึ้นทุกวัน

                   “จะว่าไปแล้ว....วันนั้นก็ฝนตกแบบนี้นี่หน่า” ชายหนุ่มพึมพำพูดกับตัวเองอีกครั้งพรางเทียบรถจอดข้างทางริมบาทวิที เขาจ้องมองดูเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างเลือนลอยและไร้อารมณ์ก่อนที่ภาพความทรงจำเมื่อนานแสนนานมาแล้วจะเข้ามาฉุดดึงเขาให้จมลงสู่ภวังค์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด

                    “ผมจะแต่งงานกับเดือนครับ.....”เสียงชายคนหนึ่งดังแว่วมาตามสายฝน เจนภูมิกระแทกคันเร่งพรางปล่อยครัชจนรถพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างแรง

                    “นี่แฟนพี่ ชื่อเดือน.....”เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เขาเป็นคนรูปร่างสูง ผิวสองสี รูปหน้าคมคายรับกับดวงตาที่แข็งและเป็นประกายแม้จะอยู่ใต้แว่นตาอันใหญ่ก็ตามบอกได้ถึงความเป็นคนตรงและกล้าหาญ อีกทั้งยังชอบพูดและหัวเราะเสียงดังจนบางครั้งมันก็นำเอาปัญหามาให้ “นี่ภูมิ น้องเรา แต่เราเรียก ไอ้หมอ” ชายหนุ่มหันไปพูดกับเดือนเต็ม หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ท่าทางเขินอาย เธอมีดวงตาที่หยีเล็กแต่ฉายแววแข็งกล้าไม่แพ้ชายหนุ่ม รูปจมูกเล็กเข้ากันดีกับดวงตาและรูปปากที่ไม่ใหญ่อีกทั้งผิวของเธอก็ไม่ขาวมากนักทำให้ผมเส้นที่ยาวลงมาถึงกลางหลังนั้นดูกลมกลืนกันดี แต่ดูรวม ๆ แล้วเธอก็ใช่ว่าจะเป็นคนสวยโดดเด่นอะไร เทียบกับผู้หญิงคนก่อน ๆ ของชายหนุ่มแล้วเธอดูจะธรรมดาไปเสียด้วยซ้ำ

                   “ส...สวัสดีครับ” เจนภูมิว่าพราวยกมือขึ้นไหว้ อีกฝ่ายรับไหว้อย่างเขิน ๆ

                   “สวัสดีค่ะ....” เดือนเต็มพูดพรางยิ้ม และในวินาทีนั้นเองที่ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่ รอยยิ้มของเธอช่างงดงามเหลือเกิน มีชีวิตชีวาเหมือนดอกทานตะวันยามเช้า สดใสเหมือนดวงอาทิตย์ สวยงามเหมือนสายรุ่งหลังฝนตก มันทำให้ชายหนุ่มหยุดหายใจไปหลายวินาที

                   “หมอ....ไอ้หมอ...กะจิตกะใจแกนี่จะให้พี่กับเดือนยืนตากฝนกันอย่างนี้หลอไง”เสียงชายหนุ่มผู้เป็นพี่เอ่ยขึ้นจนอีกฝ่ายหันกลับมา

                   “อะ...อ๋อ งั้นเข้าบ้านกันก่อนดีกว่า.....เดี๋ยวผมไปเรียกพ่อกับแม่มาให้”

                   เจนอนันต์พ่อของชายหนุ่มทั้งคู่นั้นเป็นชายท่าทางดุดันและแข็งกร้าวตามแบบของนายทหารชั้นสูง ร่างกายบึกบึน ดวงตาแข็งกร้าว ต่างกับกรรณิการ์ผู้เป็นมารดาที่ดูเรียบร้อย และยิ้มแย้มเสมอ

                  ทั้งห้านั่งลงบนโซฟารับแขกภายในบ้านไม้สองชั้นดูเรียบง่ายตามแบบอย่างของข้าราชการ ไม่หรูหราแต่ก็สมฐานะดี  เจนวิทย์กับเดือนเต็มนั่งประจันหน้ากับเจนอนันต์และกรรณิการ์ โดยมีเจนภูมินั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ห่างจากเจนวิทย์ไม่มาก

                    “ฮึ....”เสียงเจนอนันต์เค้นเสียงขึ้นจมูกพรางเซมองไปทางอื่น “หายไปเป็นปีสองปี....กลับมาคราวนี้มีอะไรกันละ”

                    “พ่อ...”กรรณิการ์ร้องปราม

                    “แม่นะเงียบไปเลยนะ......บทมันจะไปมันได้ลาสักคำมั้ย บทมันอยากจะกลับมามันก็มา ทำอย่างกับเราเป็นหัวหลักหัวตอ” แล้วก็เงียบ

                    “เออ...วิทย์ เป็นไงบ่างลูก....ดูผอม ๆ ไปนะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยพรางเอื้อมมือไปแตะชายหนุ่มที่มือและใบหน้า “.....แล้วนี่ใครกัน หน้าตาท่าทางสะสวยเชียว”

                   “อ๋อ...นี่เดือนครับ แฟนผม เดือนนี่แม่เรา ส่วนนี่พ่อเรา”

                   “สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยพรางไหว้

                   “เจริญ ๆ นะลูกนะ”

                   “สวัสดีค่ะ.....” หญิงสาวหันไปไหว้ผู้เป็นพ่อ อีกฝ่ายยังหันหน้าไปทางอื่นแต่ก็ยังพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้

                   “แล้วคบกันมานานหรือยังละ....ไปเจอะกันได้ยังไงกันฮึ”

                   “ผมกับเดือนเจอกันตอนเรียนมหาลัยนะครับ....คบกันมาได้ห้าหกปีแล้ว”

                   “อ๋อ.......”เจนภูมิเห็นกรรณิการ์หันไปมองผู้เป็นสามีครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “แล้วบ้านเราอยู่ไหนละฮึ...”

                  “บ้านหนูอยู่บางใหญ่ค่ะ...” เดือนเต็มตอบพรางยิ้ม

                  “อ๋อ...ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลนิเน้อ” ผู้เป็นแม่เอ่ยพรางยิ้มตอบ “แล้วเป็นไงบ่างลูก เห็นหมอเขาบอกว่าเราทำงานเป็นนักขงนักข่าวหลอไง”

                 “ครับ...ตอนนี้เป็นทั้งช่างภาพเป็นทั้งนักข่าวให้หนังสือพิมพ์....”เจนวิทย์ตอบพรางมองมาที่ชายหนุ่ม เขานั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

                 “ก็ไอ้แค่นักข่าวกระจอก....มันจะมีอนาคตอะไร”เสียงเจนอนันต์เอ่ยขึ้นลอย ๆ แต่น้ำเสียงดุดันอย่างคนมีโทสะ

                  “ครับ....ก็ถ้าหนังสือพิมพ์ไม่เจ๊งไปก่อนก็ยังพอมีอยู่บ่าง.....”ว่าแล้วก็หัวเราะจนเจนภูมิอดหัวเราะตามไม่ได้ 
 
                  “จริง ๆ ด้วยสิ” กรรณิการ์เอ่ยพรางหัวเราะน้อย ๆ “ว่าแต่.....ที่มาคราวนี้มีธุระอะไรสำคัณหรือเปล่าฮึ.....จะว่าก็ว่าเถอะนะ....วิทย์ ตอนจะไปเราก็ไม่ได้ลาแม่ลาพ่อเลยสักคำนะ แม่กับพ่อก็เป็นห่วงกันแทบแย่ ตามหากันแทบตาย นี่ดีนะหมอเขามาบอกว่าเราได้งานทำแล้วเลยไป แม่เลยหายห่วงไปได้เปราะหนึ่ง....คิดอะไรอยู่กันแน่นะเรานะ”

                  ชายหนุ่มเงียบไปไม่ตอบ เจนภูมิเห็นเขากุมมือของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไว้แน่นคล้ายต้องการความแน่ใจ หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ

                    “พ่อครับ แม่ครับ” เจนวิทย์พูดขึ้นในที่สุด “.....ผมจะแต่งงานกับเดือนครับ....”                   
                 
                   เสียงฟ้าฝ่าดังกัปนาทดังขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบคำบันดานให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันที่เย็นยะเยือกยาวนาน

                     “คุณพระ.....”และเป็นกรรณิการ์เองที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบนั้น เธอเอามือทาบหน้าอกแน่นพรางเอนหลังและหลับตาลง ส่วนสามีของเธอนั้นยังเซมองไปทางอื่น แต่สีหน้าและแววตาของเขาซีดเพือดไร้สีเลือดอย่างเห็นได้ชัด

                      “จริงหลอพี่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เขาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน

                     “ที่จริงพูดว่า “จะ” ก็ไม่ถูกนักหลอนนะ”เจนวิทย์ว่าพรางหันไปยิ้มกับเดือนเต็ม “พี่กับเดือนไปจดทะเบียนสมรสมาเมื่อเช้านี้แล้ว”
 
                    “โอย.......หมอ...หมอ...ไปเอายาดมมาให้แม่ที...” กรรณิการ์ร้องครวนอย่างคนเหนื่อยอ่อนเจนภูมิรีบวิ่งไปตามคำก่อนจะกลับมาพร้อมกับยื่นยาดมให้อีกฝ่าย เธอรับไปดมสองสามครั้งก่อนจะกลืนนำลายอึกใหญ่และพูดต่อ “ทำไมรีบร้อนนักละลูก อายุก็เท่านี้เอง.....แม่เข้าใจนะว่ารักกัน ไอ้จะคบกันหรือจะอะไรกันแม่ก็ไม่ว่าหลอก......แต่ไม่คิดว่ามันเร็วไปสักหน่อยหลอ”

                   “คือเรื่องนั้น.......” เดือนเต็มเอ่ยขึ้นแต่เจนวิทย์ปราบเธอไว้เจนภูมิเห็นเขาบีบมือของหญิงสาวแน่น เธอหันไปมองและเงียบลงคล้ายเข้าใจ

                   “เรื่องนั้นผมกับเดือนเข้าใจดีครับ” เจนวิทย์ว่า “แต่ผมอยากจะทำให้มันถูกต้องเร็วที่สุด ถ้ามันยืดเยื้อนานออกไปมันจะไม่ดีกับทั้งเดือนแล้วก็ลูกผมด้วย.......”

                     “ลูกหลอ.....”กรรณิการ์ทวนคำ

                    “ฮึ”เจนอนันต์แค้นเสียงขึ้นจมูกหนึ่งทีพรางส่ายหน้าแต่เจนภูมิก็ยังแห็นสีหน้าของบิดาที่ดูสับสนและงุนงงอยู่ไม่น้อย “งั้นก็ท้องก่อนแต่งละสิ......”

                    หญิงสาวและชายหนุ่มรับคำพร้อมกัน

                    “แกนะไอ้วิทย์”ชายกลางคนว่าพรางชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มโดยไม่สนใจเสียงภรรยาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่คอยปราม น้ำเสียงเขาดูจะมีโทสะแฝงอยู่มากขึ้นจนเจนภูมิตกใจ แต่โทสะนั้นหาใช่ในแบบที่ต้องการฆ่าฟันอย่างสัตรู แต่เป็นโทสะในฐานะพ่อที่สั่งสอนลูก “แต่ไหนแต่ไร้มาแกมันก็ชอบแหกกฎแหกคอกอยู่เลื่อยไม่เป็นโล้เป็นพาย หัวดื้อก็ที่หนึ่ง สักอยากจะทำก็ทำ ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี เวลาฉันพูดฉันสอนอะไรไปก็ทำเป็นเดินหนีหูทวนลม แล้วเป็นยังไงละห๊ะ.......ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว” จบคำชายกลางคนก็หอบหายใจถี่พรางเอามือกุมหน้าอกแน่น

                   “คุณค่ะใจเย็น ๆ ก่อน....หมอ ไปเอายาให้พ่อทีลูก...” กรรณิการ์ว่าพรางเอามือเข้าไปประคองผู้เป็นสามีไว้ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นทำตามคำมารดาอย่างเร็ว เขาวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนของบิดาและคว้าขวดยาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงก่อนจะตาลีตาลานวิ่งลงมาและยืนขวดยาให้ผู้เป็นแม่
ชายหนุ่มกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมพรางมองไปยังหญิงสาวคนนั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตรงหน้าเป็นแบบนี้ หญิงสาวที่ดูเสียขวัญอยู่แล้วยิ่งดูเสียขวัญขึ้นมากกว่าเดินหลายเท่าตัว หน้าเธอซีดลงไร้สีเลือดหล่อเลี้ยง นิ้วมือบีบกันแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีขาว ดวงตาเธอหมองและมองต่ำลงด่านล่าง

                   หลังจากซัดยาเข้าปากไปและหายใจลึก ๆ สองสามครั้งชายกลางคนก็ดูจะกลับมาเป็นปรกติดี

                  “แม่หนู......” เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงอ่อนเพลียเล็กน้อย “กี่เดือนแล้ว....”

                  “ค่ะ.....”หญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ สีหน้าของเธอซีดขาวกว่าเดิมมาก

                  “ฉันถามว่า กี่เดือนแล้ว”

                  “ก็....”เธอลากเสียงยาวพรางมองเจนวิทย์อย่าวเกรง ๆ เจนภูมิเห็นพี่ชายพยักหน้าตอบเธอ เธอจึงเอ่ยต่อ “สองเดือนแล้วคะ”

                 “งั้นหลอ......”ชายกลางคนว่าพรางแอนหัวไปด้านหลัง ดูเขาจะอารมณ์เย็นลงมาก เจนภูมิสังเกตจากน้ำเสียงและสีหน้า“นี่ฉันจะเป็นปู่แล้วหรือนี่.....”

                  “นั้นสิ..แม่ก็เป็นย่าด้วย”ผู้เป็นมารดาเอ่ยคล้ายต้องการลดความตึกเคลียดลง “.....อะไรกัน ทั้งที่ยังสวยขนาดนี้แท้ ๆ”จบคำก็รัวเราะร่วน

                   เจนภูมิจึงเข้าร่วมวงตาม“งั้นผมก็เป็น....”เขาแกล้งทำท่าว่าพรางนับนิ้วตัวเองไปมา

                   “หมอก็เป็นอาไง”เดือนเต็มที่ตอนนี้ดูจะคลายความตึงเครียดไปมากเอ่ยบอก

                    “อะไรของแกไอ้หมอ เรียนจะจบหมออยู่แล้วแค่ลำดับญาติยังไม่ถูกอีก” เจนวิทย์พูดพรางเอื้อมมือไปขยี่ผมของชายหนุ่มแรง ๆ

                     “แหม่พี่ คนเรามีฉลาดก็มีโง่บ่าง ปน ๆ กันไป”ว่าแล้วก็ชกอีกฝ่ายเข้าที่แขนแรง ๆ เป็นเชิงเอาคืน

                     “เอานี่ ๆ ....พอได้แล้วเล่นกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้ หัดอายแม่เดือนเข้าบ่างสิ”เสียงเจนอนันต์เอ่ยขึ้น จนเจนภูมิต้องหยุดมือ แต่ดูเหมือนโทสะในน้ำเสียงของเขานั้นจะอัทธานหายไปจนหมด “งั้นก็มาเถอะแม่...” ชายกลางคนว่าพรางลุกขึ้น

                     “ไปไหนกันพ่อ....นี่ลูกพึ่งมา ให้ฉันคุยกับลูกให้หายคิดถึงก่อนไม่ได้หรือไง”

                     “เอ้า.....ก็ไปแต่งตัวเตรียมตัวไปคุยกับพ่อแม่ของแม่เดือนนี่ไงละ ว่าที่พ่อตาแม่ยายของไอ้วิทย์ไง...รับรอง แม่ได้คุยจนหน่ำใจแน่”

                      “จริงด้วยสิ” เธอเอ่ยพรางมองมายังคนทั้งคู่ “....งั้นรอแม่ก่อนนะ....”หญิงกลางคนว่าพรางเตรียมตัวลุกตามสามีไป แต่เจนวิทย์ห้ามไว้

                       “ไม่ต้องหลอกครับแม่....พ่อ.....”

                         “ทำไมละ....” กรรณิการ์นั่งลงอีกครั้ง “ไม่ได้หลอกยังไงแม่กับพ่อก็ต้องไป ต่อให้เราไปคุยมาแล้วพ่อกับแม่ก็ต้องไปเจอเขาหน่อย ไม่งั้นน่าเกลียดตายเลย”

                       “ไม่ใช่อย่างนั้นหลอกครับ....คือ...”เจนวิทย์ทำสีหน้าลำบากใจ เจนภูมิเห็นชายหนุ่มหันไปมองหญิงสาว เธอยิ้มน้อย ๆ พรางพยักหน้า

                       “พ่อกับแม่หนู....ท่านไม่อยู่แล้วนะค่ะ......”
   
                       สิ้นคำ กรรณิการ์ก็มองหน้าผู้เป็นสามีที่บัดนี้หย่อยกายนั่งลงที่เดิมอีกครั้ง
   
                      “มันยังไงกัน...ไหนเล่ามาให้แม่ฟังซิ”
   
                       หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ ก่อนว่าต่อ “พ่อหนูเสียตอนหนูอายุห้าขวบนะค่ะ ท่านรถคว่ำตอนไปทำงานที่ต่างจังหวัด ส่วนแม่หนูก็ไปมีสามีใหม่ทิ้งหนูไว้กับปู่ตั้งแต่หกขวบ ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้คุยหรือติดต่อมาอีก”

                      “อะไรกัน....”ชายกลางคนเอ่ยเบา ๆ “แล้วปู่หนูละ...”

                        หญิงสาวยิ้มเศร้า ๆ พรางตอบ “พอหนูอายุสิบเจ็ด ท่านก็ถูกงูกันตอนออกไปรับจ้างเขาทำสวนนะค่ะ นอนเจ็บอยู่สองวัน ก็เสีย”

                        “ตายจริง....”กรรณิการ์เอ่ยพรางเอามือขึ้นแนบอก “แล้วลุงป้าน้าอาญาติพี่น้องหนูละ....”

                         รอยยิ้มของเธอยังคงไม่เลือนหายไปเต่เจนภูมิรู้สึกราวกับว่ามันคล้ายเป็นเหมือนการเย้ยหยันในความโชคร้ายของตัวเธอเอง “พ่อหนูท่านเป็นลูกคนเดียว...ส่วนญาติทางแม่หนูก็ไม่รู้จักใครสักคน....ถึงรู้จักเขาก็คงไม่ช่วยอะไรหนูอยู่ดี....”

                        “นั้นสินะ....” หญิงกลางคนว่า “งั้นเราก็ตัวคนเดียวสิ....อะไรกัน อายุอานามก็ยังแค่นี้แท้ ๆ....แล้วไหนเจ้าวิทย์ว่าหนูเรียนจบที่เดียวกันไม่ใช่หลอ”

                        “ค่ะ...”เธอตอบ “หนูสอบได้ทุนเรียนเลยจบมาได้....”

                          “ตอนที่เรียนจบ...”เจนภูมิหันมาทางเจนวิทย์ที่เอ่ยขึ้นพรางกุมมือหญิงสาวแน่น “ผมก็ถามเดือนว่า แล้วจะเอายังไงต่อ จะกลับบ้านที่บางใหญ่หรือยังไง เดือนเขาถึงเล่าให้ฟัง แต่กว่าจะเล่าให้ฟังก็เค้นกันอยู่นาน พอรู้ว่าเขาตัวคนเดียวไม่มีที่ไปผมก็เลยตัดสินใจออกจากบ้านแล้วก็ไปเช่าห้องอยู่กับเดือนเขา”

                           “เรานี่จริง ๆ น้าวิทย์ ทำไมไม่บอกแม่ดี ๆ ละ” เจนภูมิเห็นกรรณิการ์พูดพรางขมวดคิ้วเล็กน้อย

                           “ผมเองก็อยากบอกนะครับ....แต่ผมไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่มากกว่านี้....อีกอย่างเรื่องนี่ไม่เกี่ยวกับเดือนเขาหลอกครับ ผมตั้งใจไว้นานแล้วว่าถ้าเรียนจบก็จะย้ายออก”

                            “จริง ๆ ครับแม่”เจนภูมิเอ่ย “พี่เข้าพูดให้ผมฟังหลายครั้งแล้ว”

                            “ให้ได้อย่างนี้สิลูกฉัน.....” หญิงกลางคนว่าพรางถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะหันไปทางสามี “เอายังไงดีละพ่อ.....”

                            อีกฝ่ายตอบด้วยการถอนหายใจยาวและเอนตัวมาด้านหน้าพรางชันข้อศอกไว้กับเข่าของตัวเอง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นบอกถึงการใช่ความคิดอย่างหนัก และในสามนาทีต่อมา ริมฝีปากที่แม้นจนกลายเป็นเส้นตรงก็เปิดออก “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้จะไม่มีใครไปไหนทั้งนั้น พรุ่งนี้ตอนเช้าให้แกกับไอ้หมอไปย้ายข้าวของกลับมาอยู่ที่บ้านนี่”

                            “แต่พ่อ.....”เจนวิทย์เอ่ยคล้ายต้องการประท้วง

                             “นี่ฉันไม่ได้ขอแกนะ....”ชายกลางคนพูดน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะลดน้ำเสียงลงมาและว่าต่อ “ถ้าไม่เห็นแกหัวหลักตัวตออย่างฉันกับแม่แก ก็เห็นแก่เมียกับลูกแกจะได้มั้ย.....ตอนแกออกไปทำงานใครจะดูแลเขาห๊ะ.....ถ้าลูกแกเมียแกเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ.....”

                             “พ่อเขาก็พูดถูกนะวิทย์ อยู่ด้วยกันที่นี่แม่ยังดูแลเมียเราได้ ยิ่งท้องแรกแบบนี้ ต้องยิ่งระวังนะรู้มั้ย......” ถึงกรรณิการ์จะพูดแบบนั้นแต่เจนภูมิก็ยังเห็นผู้เป็นพี่ชายมีสายตาแข็งกล้าอย่างคนรั้นและหัวแข็งไม่คลาย หญิงกลางคนก็คงสังเกตเห็นเช่นกันเธอจึงถอนหายใจก่อนพูดต่อ“อะไรที่ลดได้ก็น่าจะลดกันมาบ่าง ไม่ใช่ว่าเอาตัวเองเป็นใหญ่ เราไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้วนะวิทย์ คิดตรงนี้บ่างสิลูก เราจะเป็นพ่อคนแล้วนะ...พ่อเขาก็ถ่อยไปก้าวหนึ่งแล้ว เราก็น่าจะลองถอยดูบ่างนะ”

                                 พอจบคำเจนภูมิก็เห็นสายตาของเจนวิทย์อ่อนลง เขามองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พรางกุมมือเธอไว้แน่น คนทั้งสองมองตากันอยู่นาน จนเจนภูมิเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม
                                  “อย่างนั้นก็ได้ครับ.....”ในที่สุดเจนวิทย์ก็เอ่ยตอบพรางยิ้มน้อย ๆ   
   



                                 เจนภูมิค่อย ๆ แตะเบรกให้รถหยุดตรงหน้าบ้านทาวเฮ้าส์เก่า ๆ หลังหนึ่ง มันเป็นบ้านที่เขาคุ้นเคยดีเพราะพี่สะใภ้และลูกชายของเธออาศัยอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มค่อย ๆ เคลื่อนกายออกมาจากรถก่อนจะเดินไปหยิบข้าวของสองสามอย่างจากด้านหลังและเดินเข้าบ้านไป

                                   ภายในบ้านเงียบอย่างประหลาด 

                                  “คอมไปทำงานแล้วมั้ง....”ชายกลางคนพึมพำพรางยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู มันบอกเวลาห้าโมงเย็นตรงพอดี
                       
                                   เจนภูมิลดมือลงช้า ๆ พรางเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ทอดตัวยาวขึ้นไปบนชั้นสอง  ไม่นานเขาก็มาอยู่ที่หน้าห้องของหญิงคนนั้น ชายกลางคนค่อย ๆ ใช้มือข้างหนึ่งดันประตูที่ไม่เคยล๊อกบานนี้ให้เปิดออก ภายในนั้นดูสะอาดเรียบร้อยอย่างประหลาด มีขวดเหล้าขวนดหนึ่งว่างอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ผู้เป็นอาคิดเอาเองว่าหลานชายของตนคงพึ่งเข้ามาทำความสะอาดเมื่อเร็ว ๆ นี่เป็นแน่ บนเตียงนั้นมีร่างของหญิงคนหนึ่งนอนอยู่ ผมที่ยาวและกระดำกระด่างนั้นนอนตัวสยายไปทั่วทั้งหมอนและปรกครุมใบหน้าที่หันข้างไว้จนหมด แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถบกปิดผิวที่ซีดเหลืองของหญิงกลางคนได้เลย มือเธอข้างหนึ่งยกขึ้นอยู่เหนือหัวส่วนอีกข้างก็วางตัวยาวราบไปกับข้างลำตัว
   
                                       เมื่อเห็นอย่างนี่แล้ว เจนภูมิก็แทบอดกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาค่อย ๆ เดินไปนั่งข้าง ๆ ร่างนั้นพรางใช้นิ้วของตัวเองปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของเธอออก เผยให้เห็นดวงหน้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยจำได้ว่ามีรอยยิ้มที่งดงามแค่ไหน สดใสแค่ไหน และไม่ว่าที่ไดที่เธอเหยียบย่างไป เธอมักทิ้งความสุขและอบอุ่นไว้ให้คนใกล้ตัวเสมอ แต่บัดนี้ เธอผู้นี้กลับกลายเป็นใครบางคนที่เจนภูมิไม่รู้จักอีกต่อไปแล้ว
 
                                        หญิงผู้อมทุกข์ผู้นี้เป็นใครกัน บางครั้งเขาก็ถามตัวเองเช่นนี้ หญิงผู้จมปรักอยู่กับอดีตที่แสนเจ็บปวด หญิงที่ทำร้ายตัวเองและตัดทิ้งทุกสิ่งในโลกนี้ไปราวกับเป็นร่างกายที่ไร้จิตใจผู้นี้เป็นใคร เธอจะรู้หรือเปล่าว่าการทำเช่นนี้นั้นทำร้ายทั้งตัวเธอเอง ความรู้สึกของตัวเธอเอง และคนรอบข้างอย่างแสนสาหัส

                                        เจนภูมิค่อย ๆ ใช้มือลูบใบหน้านั้นราวกับต้องการหาคำตอบที่อยู่ภายใต้ผิวหนังและเลือดเนื้อของหญิงกลางคน และมันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะไม่ได้คำตอบของคำถามนั้นตลอดไป   

...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 11-03-2008 14:23:51

                  “นั้นมันรถอาหมอนิหว่า.....”เจนศิลป์พึมพำคล้ายพูดกับตัวเองก่อนจะหันไปบอกพิราบ “เดี๋ยวหนึ่งจอดตรงนี้ก็ได้....” จบคำไม่นานรถก็ชะลอตัวและหยุดลง

                       เจนศิลป์ค่อย ๆ หยิบกระเป๋ากล้องขึ้นสะพายและตั่งท่าจะลงจากรถก่อนที่พิราบจะเรียกไว้

                       “เรื่องวันนี้นะ......เราขอโทษด้วยนะ” พิราบว่า “ทำคอมเสียเวลาไปตั้งนาน”

                       “ไม่เป็นไรหลอก วันนี้ก็สนุกดี”เจนศิลป์ว่าพรางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะลงจากรถ ก่อนจะหันมาก้มตัวลงมองอีกฝ่าย “เพราะยังไงวันนี้ประกันที่ว่าก็คงไม่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยละ....”จบคำชายหนุ่มก็ปิดประตูและเดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในรถต้องยิ้มกับความไม่เอาไหนในการโกหกของตัวเอง “รู้ทันซะได้....”เขาพึมพำก่อนจะเคลื่อนรถออกไป

                       เจนศิลป์เดินดุ่ม ๆ ตรงไปที่ห้องของมารดา เขาผลักประตูเข้าไป ก่อนจะเห็นเจนภูมิกำลังห่มผ้าให้กับผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มอยู่ 

                      “อาหมอมานานแล้วหลอครับ....”
 
                      อีกฝ่ายหันมาที่ชายหนุ่มช้า ๆ ก่อนตอบ

                      “ก็สักพักแล้วละ นี่ก็พึ่งให้แม่เรากินข้าวแล้วก็นอนไป.....แล้ววันนี้ไม่ได้ไปทำงานหลอ...”

                      ชายหนุ่มทำหน้าลำบากใจก่อนตอบ “ครับ....”

                     อีกฝ่ายเงียบไปจนเจนศิลป์เริ่มทำตัวไม่ถูก

                      “คอม....”เจนภูมิพูดขึ้นในที่สุด “เดี๋ยวขึ้นไปรออาบนห้องเรานะ สักพักอาจะขึ้นไป....มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”

                       “ครับ...”ชายหนุ่มรับคำด้วยความงงงันก่อนจะค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนห้องของตัวเอง

                    เมื่อมาถึงห้อง ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ วางกระเป๋ากล้องลงบนที่นอนก่อนจะทิ้งตัวลงบนนั้นอย่างอ่อนแรง วันนี้เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่น้อย พิราบพาเขาเดินไปทั่วห้างจนขาเขาเมื่อยไปหมด ปากก็ชวนคุยไม่หยุด เดี๋ยวก็ถามนั้น ถามนี่ จนบางครั้งชายหนุ่มก็คิดขึ้นว่าที่ทำแบบนี้อีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ ทำเป็นใจดีเลี้ยงข้าว พาเดินเที่ยว

                   “คนแม่งสบายจนไม่มีไรทำ....”เขาพึมพำกับตัวเองก่อนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจนศิลป์ผุดลุกขึ้นทันทีและเปิดประตู
เจนภูมินั้นเอง เขาเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะว่างขวดเหล้าเปล่าขวดหนึ่งไว้บนโต๊ะหนังสือของชายหนุ่ม

                  “นี่มันอะไรคอม....”เขาว่าพรางหันมามองเจนศิลป์ด้วยสายตาดุดัน

                   “ก็...ขวดเหล้าเปล่าไงครับ....”ผู้เป็นหลานตอบพรางยิ้มทำใจดีสู้เสือ แต่อีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ เขาหันไปหมุนด้านขวดเหล้าด้านที่มีแผ่นสติกเกอร์สีขาวแปะอยู่ให้ชายหนุ่มดู ที่หัวของสติกเกอร์นั้นมีชื่อผับที่เจนศิลป์เคยทำงานประทับอยู่ ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี

                  “นี่เราเอาเหล้าที่ร้านมาให้แม่เรากินใช่มั้ย....” อีกฝ่ายคาดคั้น

                 “ครับ ก็เหล้าของลูกค้า มันเลยกำหนดฝากแล้วก็เลยเอามา”

                 “ทำไมละคอม....นี่เราคิดอะไรอยู่กันแน่เนี้ย”

                 ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบ

                “มันก็ดีกว่าจะไปซื้อไม่ใช่หลอครับ....”เขาว่าพรางพยายามฝืนยิ้ม “ลดค่าใช้จ่ายไปได้ตั้งเยอะ”

                 “ไม่ใช่อย่างนั้นสิคอม อาหมายถึงว่า เราคิดอะไรอยู่กันแน่ที่เอาเหล้ามาให้แม่เขากินแบบนี้ อารักษาแม่เขาก็เพื่อที่จะไม่ให้แม่เขากินมากกว่านี้ แต่เราก็เอามาให้แม่เขากินตลอด.....ตกลงนี่คอมอยากให้แม่เขาหายหรือเปล่า”

                  “อยากสิครับอา....แต่อาหมอ แม่เขาเป็นแบบนี้มาสิบกว่าปีแล้วนะ ผมก็ลองทำทุกอย่างอย่างที่อาหมอบอกแล้ว ไม่เห็นเขาจะดีขึ้นมาเลย.....ผมก็เคยคิดว่าอย่างนี้คงดีกว่า”

                 “แบบนี้แบบไหน...แกหมายถึงอะไร คอม”

                 “ก็ปล่อยให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการไง อยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ ผมเองก็หมดปัญญาจะไปห้ามไปอะไรเขาแล้ว”
 จบคำเจนภูมิก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด ราวกับว่า เขาไม่เข้าใจผู้ที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว

                 "หมายความว่ายังไงกันห๊ะคอม..นี่แก” ผู้เป็นอาทำหน้าเจ็บแค้นก่อนจะถอนหายใจยาว “......อาไม่อยากจะเชื่อว่าแกจะคิดแบบนี้เลยนะ ถ้าพ่อแกรู้เข้าเขาคงผิดหวังมากที่ลูกชายดูแลแม่แบบนี้”

                 ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูกหนึ่งทีพรางยิ้มที่มุมปากอย่างเจ็บปวดก่อนจะเบนสายตามองไปทางอื่นและตอบอีกฝ่าย

                  “พ่อเขาไม่ผิดหวังอะไรทั้งนั้นหลอกครับอา.....เพราะเขาไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรมานานแล้ว....”

                 จบคำ อีกฝ่ายถึงกับเงียบไปและจ้องหน้าชายหนุ่มราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง “นี่แก......แกรู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรนะ”

                 “ผมรู้ดีครับ รู้มานานแล้วด้วย อาก็นาจะทำใจยอมรับได้แล้วนะครับ”

                  “หุบปากเดี๋ยวนี้นะไอ้เด็กอวดดี......”เจนภูมิตวาดก้อง “คิดว่าตัวเองเป็นใครห๊ะ ถึงได้พูดแบบนี้กับฉัน”
ชายหนุ่มเงียบไปจนอีกฝ่ายพูดขึ้น

                   “ในเมื่อแกคิดแบบนี้ ฉันกับแกก็คงไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว.....”จบคำเจนภูมิก็เดินออกไปจากห้องปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงรถแล่นออกไปจากหน้าบ้าน

                   “ทำแบบนี้จะดีหรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจนชายหนุ่มต้องหันไปมอง ต้นเสียงนั้นเป็นหญิงรูปร่างผอมในชุดฟอร์มประหลาด ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าเธอคือพนักงานในร้ายเอ็มเคสุกี้

                   “คุณจะมาเข้าใจอะไร....”เจนศิลป์พึมพำตอบก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ อีกฝ่ายแบบมือขอเขาจึงหยิบใส่มือเธอไปหนึ่งมวลและเดินไปนั่งบนขอบหน้าต่าง

                    “ถูกต้องแล้วเด็กน้อยเอ๋ย.....ข้าไม่เข้าใจสิ่งไดเลยแม้แต่น้อย”เธอว่าพรางพ่นควันสีขาวออกมา “แต่ชายคนนั้นดูเจ็บปวดมากเลยนะ....”

                    “งั้นหลอ....” ชายหนุ่มตอบพรางสีหน้าหมองลง “สิ่งที่ผมพูดออกไปอาจจะผิดก็ได้”

                     แล้วทั้งสองก็เงียบไปคล้ายถูกจองจำอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปล่อยให้ควันสีเทาหม่นลอยมวนตัวไปมาอยู่ละหว่างคนทั้งสอง

                    “แต่สิ่งที่เจ้าพูดไป....” ในที่สุดอมรก็พูดขึ้น “มันก็เป็นความจริงมิใช่หรือ....และมันก็เป็นการดีที่ชายคนนั้นจะยอมรับความจริง มิใช่หรือ.....”

                   “ก็คงใช่....” เจนศิลป์ว่าพรางยกบุหรี่ขึ้นสูบ “แต่บางครั้ง สิ่งที่ดีก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไปหลอกนะ....บางครั้งการโกหกตัวเองไปวัน ๆ มันก็เป็นการดีเสียกว่า”

                  “ทำไมกัน....ข้าไม่เข้าใจ”

                 ชายหนุ่มหันมามองอีกฝ่ายพรางปล่อยควันสีขาวออกทางปาก “เพราะบางครั้งความจริงมันก็เจ็บปวดเกินไปนะสิ......เกินกว่าที่ใครสักคนจะยอมรับมันไหว....”

                 อมรละสายตาจากชายหนุ่มแต่ในดวงตายังฉายแววไม่เข้าใจอย่างเด่นชัด ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อเพราะทั้งกายและใจของเขาในตอนนี้หมดแรงและอ่อนล้าเกินกว่าจะคิดหาคำพูดต่อไปได้

                “เจ้าว่าชายคนนั้น จะเข้าใจหรือไม่....”

               “อาหมอนะหลอ....” เขาว่าพรางเค้นเสียงขึ้นจมูก “เขาไม่เข้าใจหลอก”

                “ไม่ใช่....ข้าหมายถึงอีกคน คนที่เจ้าไปกินข้าวด้วยวันนี้ เขาจะเข้าใจเจ้าหรือไม่......”
   
               “หนึ่งนะหลอ......”ชายหนุ่มเงียบไป “คงไม่หลอก....”

               "ทำไมเจ้าจึงคิดเช่นนั้นละ....ชายคนนั้นบอกเจ้าอย่างนั้นหรือ”

                “ไม่ใช่หลอก แต่คนอย่างเขานะ......” เจนศิลป์หันไปมองสายตาของอีกฝ่ายที่เหมือนต้องการถาม “คนอย่างเขาที่มีคนคอยยัดทุกอย่างใส่มือให้ตลอดแบบนั้นนะ จะไปเข้าใจอะไร.....”

                  “ทุกอย่าง....งั้นหรือ” อมรทิ้งหางเสียงไว้คล้ายต้องการคำตอบ “ทั้งที่ข้าคิดว่าเจ้าทั้งสอง เหมือนกันขนาดนั้นแท้ ๆ .......”

                  ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากอย่างขมขื่น “ยังไง...เขามีรถดี ๆ ใช้ ส่วนผมแค่ล้อข้างเดียวยังไม่มีปัญญาซื้อเลย เขามีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่เป็นสิบ ๆ ส่วนผมมีแค่เสื้อสี่ตัวกับกางเกงยีนส์ตัวเดียว เขามีเงินใช้ทั้ง ๆ ที่เอาแต่หายใจไปวัน ๆ ส่วนผมต้องทำงานแทบตายเพื่อให้ได้เงินใช่ไปถึงสิ้นเดือน ผมกับเขาแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย นอกจากเป็นคนเพศผู้เหมือนกัน”

                  อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเสียงดังคล้ายขันในคำพูดของอีกฝ่าย “อาจจะใช่ก็ได้นะ.....แต่ก็มีอีกหลายสิ่งที่ชายคนนั้นเหมือนกับเจ้า เชื่อข้าเถอะ เด็กน้อยเอ๋ย....บางอย่างนั้นที่แม้แต่ รถ เสื้อผ้า หรือเงินตราก็มิอาจจะซื้อหาได้.....”

                 เจนศิลป์อ้าปากคล้ายต้องการพูดต่อ แต่อีกฝ่ายกลับตัดบท “ข้าต้องไปแล้ว....” เธอคนนั้นว่าพรางทิ้งก้นบุหรี่ลงขวดน้ำและเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามหลังด้วยสายตางงงันก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น 


...

เดาซิใครโทรมา   :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 11-03-2008 14:44:40
                      หวาดดีคร๊าบ...................มาต่อแล้วนะครับ ยังไงก็ฝากเม้มกันมาก ๆ ด้วยละกัน

                          ตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่ร้านได้เกือบเดือนแล้วน่าเบื่อม๊าก มาก (บอกหรือยังว่าผมทำงานอยู่ผับของพี่สาว.....คงยังมั้ง....) เน็ตก็มะมี โทรทัศน์ก็ไม่มี ไม่มีส้นตีนส้นมืออะไรสักอย่าง มีแต่คอมเครื่องน้อย ๆ เอาไว้ดูหนังฟังเพลงแล้วก็เขียนเรื่องไปเรื่อย ๆ ตกดึกก็ทำงาน ตื่นมาก็ทำโน่นทำนี่แป๊บเดียวก็หมดไปอีกวัน ฟงแฟนก็ไม่มีกับเขา เศ้ราจายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยจางงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงเงิยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

                          เขาว่าเวลาอายุยี่สิบแล้วคนเราจะคิดถึงความสุขในอนาคตมากขึ้น ส่งสัยท่าจะจริงนะครับ เพราะช่วงนี่ผมเอาแต่คิดว่าอีกสิบปียี่สิบปีเราจะเป็ยยังไง ยังจะลอยไปลอยมาเป็นผีลืมหลุมอยู่อย่างนี้หรือเปล่านะ.......หรือว่าจะกลายเป็นอะไรไป....บางก็เหงาเข้าเส้นเลือดอยากมีคนคุยด้วยสักคน แต่พอมาคิดดูแล้ว ผมเองอาจจะไม่เหมาะกับความรักก็ได้มั้งครับ.....มีกี่ครั้งก็พังไม่เป็นท่า เลยเขียนเรื่องแก้เหงาไปวัน ๆ แล้วก็หวังว่าสักวัน จะเจอใครสักคนเท่านั้นเอง ถ้าอีกยี่สิบปีผมยังเขียนเรื่องอยู่ได้ก็ดีสินะครับ......อย่างน้อยมันก็เป็นไม่กี่อย่างที่ผมทำแล้วมีความสุข ผมเองก็เชื่อเสียเหลือเกินครับว่าเมื่อถึงวันนั้นคงจะมีสักคนที่อยู่เคียงข้างเราได้และตลอดไป แต่นับวัน ความเชื่อนั้นก็เหมือนจะค่อย ๆ เหือดหายเหมือนเม็ดนำค้างบนใบหญ้าตอนเช้า อีกไม่นานมันก็คงเหือดแห้งหายไปกับแสงอาทิตย์.........

                          ปล. เขาว่าน้องพิช รักแห่งสยาม เป็นหลีดของธรรมศาสตร์จริงเปล่าครับ ถ้าจริงก็น้า...................อุส่าปลี้มเสียงร้อง



 :bye2:
 
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 11-03-2008 23:08:02
สวัสดีครับ ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ เลือกชะตาไม่ได้ แต่เลือกที่จะกำหนดความสุขให้ชีวิตไม่ได้

อย่างผมสิ... วัน ๆ ทำแต่งาน เช้ายันเย็น วัน ๆ เจอผู้คนมากมาย ก่ายกอง น่าเบื่อ อยู่ในห้องประชุมเกือบทุกวัน

มองดูน่าเบื่อนะ แต่ผมกลับคิดว่ามีความสุข เพราะเราได้เจอผู้คน ได้แชร์ความคิด ไม่ต้องนั่งคิดอยู่คนเดียว

เลิกงานมาตอนเย็น ก็มาท่องเน็ตบ้าง อ่านหนังสือบ้าง อ่านนิยายในบอร์ดบ้าง ก็มีความสุขดีครับ

เรื่องงาน คิดว่า มีงานทำดีกว่าไม่มีนะครับ

---------------

คนโทรมาเดาว่า ไม่ "ธารา" ก็ "พิราบ" ครับ หุหุ พิราบคงชอบ "เจนศิลป์" เข้าแล้วล่ะ

แอบดีใจครับ ที่มาต่อแบบยาว ๆๆ  :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 12-03-2008 12:04:51
คิดว่าไม่เป็น นายพิราบ ก็ธารา แหละ

ความน่าจะเป็นคือ พิราบ  :o8:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 15-03-2008 14:23:11
                   
  มาแล้วคร๊าบ



                           พิราบเดินออกมาจากห้องน้ำโดยสวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวเดียวและใช้มือข้างหนึ่งถูผ้าเช็ดตัวสีขาวไปมาทั่วศีรษะ ส่วนมืออีกข้างก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดดู มันบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาที

                          “จะนอนหรือยังน้า” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างด้านหนึ่งข้องห้อง สายตาก็จ้องมองไปที่บ้านทาวเฮาส์ที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ดวงไฟที่ชั้นสามยังส่องสว่างอยู่ อีกทั้งที่หน้าต่างยังมีเงาราง ๆ ของใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
พิราบยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวพรางยกโทรศัพท์ขึ้นกด แต่แล้วคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง

                           เขาจะทำแบบนี้ไปทำไมกัน......คำถามนั้นค่อยซึมลึกลงไปในสมองและกัดกินวิญาณเขาทีละน้อยราวกับน้ำกรด ทิ้งส่วนที่เหลือไว้เพียงความกลัวที่ไม่อาจเข้าใจได้ เขาค่อย ๆ ลดโทรศัพท์ลงและเดินไปยังชานที่อยู่อีกด้านของห้อง สายลมเย็นของแม้น้ำเจ้าพระยาพัดมาทำให้อกของชายหนุ่มสั่นด้วยความหนาวแต่ถึงอย่างนั้นสมองเขาก็ยังคงพยายามคิดหาคำตอบอยู่

                          ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นแทบไม่มีสักครั้งที่เขารู้สึกว่าเป็นที่ต้องการของใครสักคน ทั้งพ่อแม่ที่เอาแต่ทิ้งเขาไปทำงานจนบางครั้งก็แทบจะไม่เจอะหน้ากันเป็นเดือน ทั้งเพื่อนฝูงที่คบหากับเขาก็เพราะความมั่งมีของเขาเอง หรือแม้แต่พวกผู้หญิงพวกนั้นที่หลงใหลในสิ่งภายนอกของชายหนุ่มและแสดงออกมาอย่างชัดเจนอย่างไม่ต้องสังเกต คนพวกนั้นต่างหวังในเงินทอง ความมั่งมี หน้าตา และกามอารมณ์จนบางครั้งพิราบก็รู้สึกคลื่นเหียนและสะอิดสะเอียนเต็มทนที่ต้องอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ แต่กับชายคนนั้น มันต่างออกไป

                         ในครั้งแรกที่ชายหนุ่มพูดคุยชายคนนั้น มันเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้จากอีกฝ่าย ความรู้สึกว่าเขานั้นเป็นที่ต้องการของใครสักคน เป็นที่ยอมรับและไม่ต้องการหรือหวังอะไรจากความมั่งมีของเขาเองเขารู้สึกได้ถึงการที่อีกฝ่ายยอมรับในตัวตนของเขาจริง ๆ ยอมรับเขาในฐานะใครสักคน พอมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็อย่างที่จะรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ อยากจะพูดคุยให้มากกว่านี้ อย่างจะเข้าใจให้มากกว่านี้ และเป็นที่พึ่งให้ให้ยามทุกข์ เป็นที่พักยามเหนื่อยล้า เป็นคนแรกที่ถูกคิดถึง ไม่ใช่คนสุดท้ายยามจนตลอกและไร้หนทาง 

                         ถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองนั้นกลายเป็นอะไรไปแล้ว เขาชอบชายคนนั้นหรือ เขาต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกเช่นเดียวกับเขาหรือเปล่าและหากไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะเสียใจหรือไม่.....

                         “นี่กูชอบผู้ชายหลอว่ะเนี้ย” ชายหนุ่มพึมพำออกมาคล้ายไม่เชื่อตัวเอง ใจหนึ่งของเขาสั่นสะท้านคล้ายตอบรับคำพูดที่เขาเอ่ยออกมา แต่อีกใจหนึ่งกลับบอกกับเขาว่าไม่ใช่ เขาเพียงแค่ต้องการใครสักคนยอมรับและต้องการเขาจริง ๆ เท่านั้นเอง

                       ชายหนุ่มสะบัดหัวสองสามทีคล้ายต้องการไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัวก่อนที่จะกดโทรศัพท์และยกมันขึ้นแนบหู เสียงสัญญาณดังอยู่สองสามครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสาย

                      “อือ ว่าไง” เสียงตามสายนั้นพูดขึ้นน้ำเสียงดูแปลกออกไป

                     “อือ คอมหลอ....เป็นอะไรหรือเปล่า....เสียงดูเหนื่อย ๆ นะ”

                     “เปล่าหลอก”อีกฝ่ายบอกปัดไปอย่างขอไปที “ทะเลาะกับที่บ้านนิดหน่อยนะ ไม่มีอะไร”

                     “หลอ...เรื่องที่วันนี้กลับบ้านดึกหรือเปล่า” พิราบว่าพรางเกาหัวไปมาด้วยผ้าผืนเดิม

                    “เปล่าหลอก....เรื่องอื่นนะ แล้วที่โทรมานี่มีอะไรหรือเปล่า.....” เจนศิลป์ตัดบท

                   “อ๋อ....คือ” ชายหนุ่มพยามหาคำพูดที่ไม่ทำให้เขาดูแปลกประหลาดและแสดงเจนตนามากเกินไป แต่ไม่ว่าคิดอย่างไรมันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะพูดออกมาได้โดยอีกฝ่ายจะไม่แปลกใจ “จะโทรมาถามว่าพรุ่งนี้ว่าหรือเปล่า”

                  “ทำไมหลอ” อีกฝ่ายพูดน้ำสียงเหนื่อยแต่ติดตลกเล็กน้อย “ประกันจะมาคุยอีกแล้วหลอ.....”

                  “เปล่าหลอก” ชายหนุ่มหัวเราะ “โกรธหรือเปล่าเนี้ย เราขอโทษนะ”

                   “เปล่า ๆ ” อีกฝ่ายหัวเราะตาม น้ำเสียงดูคลายจากความเครียดไปมาก “ไม่เป็นไร......เห็นเราเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยแบบนั้นไปได้ “

                   “แล้วว่าไงละ พรุ่งนี้ดึกหน่อยว่างหรือเปล่า”

                   “ดึกหน่อยหลอ” อีกฝ่ายทวนคำอย่างประหลาดใจ “ทำไมละ....มีอะไร”

                   “ก็บอกมาก่อนว่าว่างหรือเปล่า” พิราบเอ่ยพรางยิ้มน้อย ๆ ราวกับเขินอาย

                  “ว่าง....มีอะไร” น้ำเสียงของเจนศิลป์นั้นดูเคลือบแครงในคำพูดของอีกฝ่ายอย่างมาก

                  “เรากะว่าพรุ่งนี้เราจะไปเดินเล่นสะพานพุธนะ ไปด้วยกันมั้ย”

                   “หลอ.....” ชายหนุ่มลากเสียงยาวก่อนว่าต่อ “แล้วเพื่อนหนึ่งละ ไม่มีใครไปด้วยแล้วหรือไง ถึงมาชวนเรา”

                   “โถ่ เราชวนคอมคนแรกเลยนะเน้ย...” คำพูดนั้นหลุดออกมาโดยที่ผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องการแม้แต่น้อย เขาจึงรีบหาข้อแก้ตัวใหม่ทันที “แล้วอีกอย่างพวกมันไม่มีใครไปหลอก คงมีแค่เรากับคอม ว่าไง ไปนะ”

                     “คงได้ละมั้ง...ต้อง...” ไม่ทันที่เจนศิลป์จะพูดจบพิราบก็พูดตับบทขึ้น

                      “งั้นตามนี้นะ พรุ่งสักสองทุ่มเราไปรับ แค่นี้แล้วกัน....รีบนอนนะ”

                    “เดี๋ยวสิ...”

                    มีเสียงของอีกฝ่ายร้องออกมาแค่นั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะกดวางสายไป เขายิ้มน้อย ๆ ราวกับเด็กเล็ก ๆ ที่ได้อย่างสมใจก่อนที่จะอ้าปากหาวออกมาวอดใหญ่ก่อนที่ความเหนื่อยอ่อนจะแล่นเข้าโถมใส่ร่างจนเปลือกตาแทบจะเปิดอยู่ต่อไปไม่ได้ แปลกเหลือเกินที่เขารู้สึกง่วงและอยากนอนมากขนาดนี้ ทั้งที่บนเตียงเขานั้นว่างเปล่าไร้ร่างของใครซักคนมาเคียงข้าง ทั้งที่เขายังไม่ได้ร่วมกามกิจกับใครซักคนนั้น ทั้งที่เขายังไม่ได้กินยาแก้ปวดหรือยานอนหลับ แต่เขากลับหาวออกมา 

                    ชายหนุ่มเก็บความเคลือบแครงนั้นไว้ในส่วนลึกของสมองก่อนที่จะล้มตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า เขาค่อย ๆ หลับตาลงและก่อนที่ความอ่อนล้านั้นจะเอาชนะและพาสตีของเขาล่องลอยไป เสียงของเจนศิลป์ก็ดังแว่วมาพร้อมกับรอยยิ้มของเขา .....ไม่เป็นไรหลอก วันนี้ก็สนุกดี...............     


.................................................................................



คนที่เดาถูกเอาไปเลย สิบคะแนน o13 ............เย้
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 15-03-2008 19:15:47
หุหุ นายพิราบ มีความสุขจริงนะ  :o8: :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 17-03-2008 22:20:24
พิราบนี่ดูเป็นนายเอกที่อบอุ่นจัง  :o8: :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 21-03-2008 12:23:19
                       
o7 o7 o7 o7 o7

มาแล้วครับ   


o7 o7 o7 o7 o7


                         “แปลกจัง....ป่านนี้แล้วคอมยังไม่มาอีก” เสียงธาราว่าพรางมองออกไปยังนอกห้องเรียน ก่อนจะหันมาที่สาริณีและกิตติที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาทั้งสองคุยและหัวเราะกับเรื่องบางเรื่องจนไม่ทันฟังสิ่งที่ธาราพึ่งเอ่ยออกมา
                             
                                “ฮะ....อะไรนะ ธา เราไม่ทันฟัง” เสียงสาริณีว่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

                                “เราบอกว่าทำไมป่านนี้คอมยังไม่มาอีก”

                                 “เราว่า มันคงไม่มาแล้วละ....”กิตติว่าพรางชะเง้อมองออกไปนอกห้องเรียน “คงไม่ค่อยสบายมั้ง เพราะไงปรกติมันก็ไม่ค่อยหยุดเรียนอยู่แล้ว....”

                                 “ก็ใช่นะสิ.....นี้ก็จะสอบปลายภาคแล้วด้วย....เป็นอะไรไปหรือเปล่าก็ไม่รู้” ธาราพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

                                 “โถ่ ธาอย่าคิดมากไปเลย” สาริณีพูดพรางเอามือข้างหนึ่งลูปที่ไหลของอีกฝ่ายคล้ายต้องการปลอบโยน “ไม่แน่มันอาจจะไปหางานทำก็ได้”

                                 หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ แต่สีหน้ายังไม่คล้ายกังวล “ยิ่งช่วงนี้คอมทำตัวแปลก ๆ อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าจะคิด.....”เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้นคล้ายไม่ต้องการคิดต่อไปแต่คนทั้งสองกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะหมายถึงอะไร

                                 “คงไม่หลอก.....ไอ้คอมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”กิตติว่าก่อนจะหยุดคล้ายคิดอะไรบางอย่าง “แต่จะว่าไปแล้ว....ช่วงนี้มันก็แปลก ๆ นะ ไม่แน่.....”

                                 พูดได้แค่นั้นสาริณีก็เอาสอกกระทุ้งเข้าที่ชายโครงอย่างแรงพรางทำหน้าดุ ก่อนจะหันหมายจะพูดอะไรต่อ แต่อีกฝ่ายกลับเก็บของเข้าประเป๋าของตัวเองและตั้งท่าจะลุกขึ้น

                                “ธา...จะไปไหน”หญิงสาวถามขึ้นด้วยหน้าตางงงัน

                                “เราจะไปหาคอมที่บ้านนะ....เผื่อว่าจะเป็นอะไรไป”

                                “เฮ้ย...”ชายหนุ่มร้องขึ้นเสียงดัง “อย่าเลย เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจนะ.....อย่าไปเลย อีกอย่างธาก็ไม่รู้ว่าบ้านไอ้คอมมันอยู่ไหน....เดี๋ยวก็หลงหลอก”

                                 “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราโทรไปถามคอมเอง.....แล้วอีกอย่าง”เธอพูดแค่นั้นก่อนจะหันมาจ้องหน้าคนทั้งสองด้วยสายตาอ่อนโยน “เราว่าไม่ใช่แค่คอมหลอกที่แปลกไปนะ....ใช่มั้ยละ” จบคำเธอก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้สาริณีและกิตติอยู่ต่อสู้กับสายตานับสิบ ๆ ที่จ้องมาที่คนทั้งสอง

                                  “ว่าไงละเรา”เสียงอาจารย์ผู้สอนดังขึ้น “จะไปกับเขาหรือยังไง”


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 21-03-2008 12:26:35
 

                        เจนศิลป์ตื่นขึ้นในตอนเที่ยงและต้อนรับวันใหม่ด้วยการบิดตัวเองไปมาอยู่บนที่นอนสองสามทีด้วยความเกลียดคร้าน เขาแทบจำไม่ได้ว่านอนตื่นสายแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร ตื่นมาโดยที่ไม่รู้สึกว่าไม่ต้องเร่งรีบหรือมีอะไรคอยอยู่ ไม่ต้องรีบอาบน้ำ ไม่ต้องรีบแต่งตัว ไม่ต้องรีบเดินหรือวิ่ง มันให้ความรู้สึกราวกับว่าโลกนี้ไร้ซึ่งเวลาแบะอนาคตอีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่ตัวเขาเท่านั้น
                        เจนศิลป์เดินลงมาด้านล่างพร้อมกับผ้าเช็ดตัวและหายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานเขาก็เดินออกมาด้วยร่างกายที่สะอาดและความสดชื่นเต็มเปี่ยม ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของมารดาเพื่อกับเก็บจานชามที่เขาเอาขึ้นมาใส่อาหารให้หญิงกลางคนเมื่อเช้านี้ อาหารนั้นแทบไม่ถูกแตะต้องจากหญิงกลางคนเลย ข้าวหายไปเพียงไม่กี่คำ กับข้าวหายไปเล็กน้อย ชายหนุ่มมองดูผู้เป็นมารดาที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียงก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยขึ้น

                        “แม่....ไม่หิวหลอ....กินข้าวไปนิดเดียวเอง”

                       สิ่งที่ตอบกลับมานั้นเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไร้สุ่มเสียงได ๆ เช่นเคย ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหันไปเห็นขวดเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งวางอยู่ที่ปลายเตียงอีกด้าน เขามองมันด้วยสายตาเจ็บปวดและหันไปที่ร่างของหญิงคนนั้นคล้ายต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนใจและหันไปเก็บจานชามขึ้นซ้อนกันก่อนยกมันออกมาจากห้อง แต่ทันที่ที่เขาเดินผ่านประตูห้องออกมา ความเงียบงันทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็พังทลายลงด้วยเสียง ๆ หนึ่ง เสียง ๆ นั้นดังขึ้นกระทบทั้งแก้วหูและหัวใจของเจนศิลป์จนทำให้ดวงใจของเขานั้นแทบแตกออกเป็นเสี่ยง เสียงนั้นลอยตัวแผ่วเบาอยู่ในอากาศ ซึมผ่านผนังและเข้ากัดกินชายหนุ่มทีละน้อยราวกับพิษร้ายที่ทำลายร่างกายเขาจากภายใน เสียงแห่งความเจ็บปวด เสียงของความโดดเดี่ยว เสียงของความคับแค้นและโศกเศร้า

                        เธอคนนั้นกำลังร้องให้

                        ในเวลาแบบนี้ชายหนุ่มควรจะทำอย่างไรดี เขาควรเข้าไปปลอบโยนหรือเปล่า เข้าไปสวมกอดร่างนั้นด้วยแขนทั้งสองข้างและพร่ำพูดบางอย่างที่เขาก็รู้ดีว่าจะไม่เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือแค่เขาเข้าไปนั่งข้าง ๆ ร่างนั้นและไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

                         แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น เจนศิลป์กลับไม่สามรถทำอะไรไปได้มากกว่านิ่งฟังเสียงนั้นด้วยความเจ็บปวด คำพูดต่าง ๆ มากมายเมื่อคืนแล่นผ่านเข้ามาในสมองเขาราวกับลูกกระสุนปืนที่แล่นผ่าทะลุร่างเนื้อฉีกกระฉากให้หัวใจเขาเป็นรูโหว่ใหญ่ “ก็ปล่อยให้เขาทำอย่างที่เขาต้องการ อยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ”

                          นั้นคือคำพูดที่ชายหนุ่มบอกแก่ผู้เป็นอาไปเมื่อคืน แต่เขาไม่ได้หมายความถึงเช่นนั้นเสียทั้งหมด......ในสายตาของเจนภูมิและคนอื่น ๆ ต่างมองเห็นเขาและมารดาอยู่ใกล้กันแน่นแฟ้นด้วยสายสัมพันธ์นั้นล้ำลึกเกินกว่าคำได ๆ จะบรรยายได้ แต่แท้ที่จริงแล้วทั้งเขาและหญิงกลางคนต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างกันไกลแสนไกล ไกลกันเกินกว่าที่ใครสักคนจะจิตนาการได้ ราวกับอยู่กันคนละฝากฟ้า คนละผืนแผ่นดิน คนละโลก คนละจักรวาล คนละเอกภพและไม่ว่าเจนศิลป์จะต้องการเอื้อมคว้าอีกฝ่ายไว้ด้วยอ้อมแขนและมือนั้นมากเท่าไร ยอมแลกมากแค่ไหน ยอมเสียเพียงได ยอมเจ็บปวดและอ่อนล้ามากเท่าไรมันก็เปล่าประโยชน์.....อีกฝ่ายจะไม่มีวันรู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึก ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่เขาเข้าใจ มองไม่เห็นในสิ่งที่เขามองเห็น.....เพราะทั้งเขาและเธอคนนั้นต่างศูนย์เสียสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งนั้นมีความหมายสำหรับคนทั้งสองแตกต่างกัน     

                            ชายหนุ่มค่อย ๆ หย่อนกายลงนั่งข้างพนังห้องด้านนอกราวกับหมดแรง เส้นเลือดทุกเส้นในร่างของเขากำลังบีบรัดตัวเองจนเจ็บปวด ลำคอแห้งผากราวกับน้ำในร่างเขากำลังเหือดหายไป แต่ถึงจะเป็นปวดถึงขนาดนั้นน้ำตาเขากลับไม่ไหลออกมาแม่แต่หยดเดียว มันไม่ใช่ไม่เคยมีแต่มันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะเขารู้ดี รู้ดีว่าน้ำตานั้นไม่เคยช่วยอะไรได้เลย มันมีแต่จะทำให้เจ็บปวดมากขึ้น ตอกย้ำความอ่อนแอของตัวเอง แสดงความไร้ค่าอันน่าสมเพชและไม่ว่าเขาจะเสียมันไปมากเท่าไร ชายคนนั้นก็ไม่มีวันกลับมา
เสียงโทรศัพท์บ้านที่อยู่ด้านล่างดังขึ้นจนเจนศิลป์ออกจากภวังค์ เขาผุดลุกขึ้นโดยเร็วและยกกองจานชามมาในครัวและรับโทรศัพท์

                           “ครับ....”เขาเอ่ยสั้น ๆ

                           “คอม...นั้นคอมหรือเปล่าค่ะ” เสียงอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวและชายหนุ่มก็จำได้ดี ธารา

                           “อือ...ธาหลอ ว่าไง มีอะไรหลอ”

                           “...เปล่าหลอกไม่มีอะไร เห็นวันนี้ไม่เป็นไปเรียนเลยโทรมาถามดูว่าคอมเป็นอะไรหรือเปล่า”

                            “อ๋อ...เปล่า ๆ เราไม่ได้เป็นอะไร แค่เหนื่อย ๆ นะ เลยไม่ได้ไปเรียน...”

                           “ หลอ....เห็นปรกติไม่เคยหยุดเรียนเลยป็นห่วง นี่เราก็อยู่แถวตลาดนน บ้านคอมอยู่แถวนี้ไม่ใช่หลอ...”

                           “อ้าว...หลอ”ชายหนุ่มทำเสียงประหลาดใจ “ก็ใช่....แล้วมาทำอะไรแถวนี้ละ...นี่ก็พึ่งเที่ยงกว่า ๆ เอง วันนี้มีเรียนถึงเย็นไม่ใช่หลอ”

                           “ก็...ใช่นะน่ะ”อีกฝ่ายเอ่ยเบา ๆ พรางหัวเราะน้อย ๆ “แต่เบื่อ ๆ ก็เลยขี้เกรียจเรียน จำได้ว่าคอมเคยบอกว่าบ้านอยู่แถวนี้เลยลองมาดู....แล้วคอมออกมาได้มั้ยละ....หาข้าวแถวนี้กินกัน”
ชายหนุ่มเงียบไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน

                           “ยังไงก็ต้องไปซื้อข้าวเที่ยงให้แม่อยู่ดี”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะกรอกเสียงใส่หูโทรศัพท์ “งั้นเดี๋ยวเราออกไปแล้วกัน.....”
.................................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 21-03-2008 12:33:59


                            “โอ๊ย.........ร้อน ๆ ๆ ๆ ๆ ร้อนชิบหาย มันจะร้อนไปถึงไหนว่ะ”เสียงนาคินทร์ว่าพรางนั่งลงในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ในมือเขาโบกสมุดเล่มเล็กไปมาเมื่อให้รู้สึกเย็นลง
“แล้วมึงจะให้มันถึงไหนละ”กรเทพว่า “เทือกเขาหิมาลัยเลยมั้ย”

                                  “โหย...สัตว์นี้..”อีกฝ่ายว่าพรางหัวเราะก่อนจะมองไปรอบ ๆ โต๊ะที่มี พิเชษ กรเทพ และองอาจนั่งอยู่ “อ้าว....ไอ้หนึ่งมันไปไหนว่ะ....”

                                   “หาข้าวแดก...โน่นไงมานั่งละ” พิเชษตอบพรางมองไปด้านหลังของนาคินทร์ เมื่อชายหนุ่มหันไปเขาจึงเป็นพิราบกำลังเดินมาพร้อมกับถาดอาหารในมือ
ชายหนุ่มนั่งลงข้าง ๆ นาคินทร์พรางมองไปรอบโต๊ะ “อ้าว พวกมึงไม่แดกข้าวหลอว่ะ....”

                                   “โอ้ย....พวกกูแดกจนไม่รู้จะแดกไงแล้ว.....มีแต่มึงกับไอ้ท๊อบเนี้ยละ ลงมาช้า....” องอาจว่า

                                   “เอ้า....ไอ้เหี้ยกูเรียนอยู่”นาคินทร์ร้องประท้วงเช่นเดียวกับพิราบที่แม้จะมีอาหารอยู่เต็มปาก แต่ก็ทำเสียงอือในลำคอคล้ายเห็นด้วยกับนาคินทร์

                                     “เอ้า..กูก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ...” อีกฝ่ายหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะว่าต่อ“แล้วไงเนี้ย....เย็นนี้ไปไหนดี”

                                     “ไม่รู้ว่ะ.....กูเบื่อ ๆ อยากนอนอยู่บ้านบ่าง”เสียงนาคินทร์ว่า

                                     “เฮ้ย ได้ไงว่ะ...มึงนี่เลวขั้นเทพจริง ๆ ว่ะ” กรเทพว่าพรางทำหน้าเสียอารมณ์
“เออ...”องอาจเสริม “ไอ้กรแม่งจะพาเด็กแม่งมาให้รู้จักสักหน่อย”

                                       ไม่ทันจบคำกรเทพก็ส่งฝ่ามือไปที่หัวขององอาจเป็นเชิงสั่งสอน อีกฝ่ายตอบโต้ด้วยการชกเข้าที่แขนพรางหัวเราะ

                                        “แล้วมึงละ...ไอ้หนึ่ง แดกอยากเดียวเลยมึง” พิเชษเอ่ยพรางมองอีกฝ่ายที่กินข้าวอย่างอร่อย พิราบเงียบไปก่อนกลืนอาหารลงคอและตอบ
 
                                         “กูคงไม่ไปว่ะ...กะว่าจะไปเดินเล่นสะพานพุธหน่อย.....”

                                          “ไรว่ะ...”กรเทพร้อง “มึงก็ไม่ไป ไอ้ท๊อบก็ไม่ไป...”

                                           “กูเปลี่ยนใจแล้ว กูไป ไปดูหน้าเด็กมึงหน่อย ได้ข่าวว่าสวยใช่ได้นิหว่า...จริงเปล่าว่ะ ไอ้ฟ้า”

                                          “โอ้ยไอ้เหี้ย...หาได้ตามตลาดนัดทั่วไปล่ะว่ะ”
ว่าแล้วก็หัวเราะกันเสียงดัง

                                            “มึงไม่ไปจริงหลอว่ะไอ้หนึ่ง....” องอาจว่า “แล้วมึงไปเดินสะพานพุธคนเดียวเนี้ยนะ....ไปกับพวกกูเหอะ”

                                             “ใครว่ากูไปคนเดียว....ไปกับเพื่อนกู”พิราบเอ่ยพรางดูดน้ำอัดลมไปอึกใหญ่สีหน้าเรียบเฉย

                                              “ใครว่ะ...”อีกฝ่ายซักต่อ

                                                “พวกมึงไม่รู้จักหลอก เด็กม.วิทยศาตรา”
                         
                                                "เอ้า.....ไปรู้จักกันได้ไงว่ะ...อย่าบอกนะมึง ผู้หญิงใช่มั้ยว่ะ” ว่าแล้วก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่

                                                 “ส้นตีนเหอะ ผู้ชาย....”พิราบว่าพรางยิ้มน้อย ๆ “พวกมึงจะไปกับกูมั้ยละ”

                                                 เสียง ไม่ ดังละงมไปทั่ว

                                                  “งั้นก็ตามใจ....กูไปก่อนนะ มีเรียนต่อ...ไอ้ท๊อบ ไปมั้ยเนี้ย วิชานี้เขาเช็คชื่อนะมึง”พิราบหันไปพูดกับนาคินทร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

                                                  “ไปดิ ไป ๆ...”อีกฝ่ายตอบพรางลุกขึ้นแต่ก็หันมาที่ องอาจ พิเชษและกรเทพอีกครั้ง “สามทุ่นนะ.....ข้าวสาร ร้านเดิม”

                                                  “เอ้าไอ้เห้ย......” เสียงกรเทพร้องประท้วงแต่ไม่ทัน อีกฝ่ายเดินลิ่ว ๆ ไปกับพิราบแล้ว

  ...


หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 21-03-2008 12:39:27
 
 
                          “แปลกจังนะ....จำไม่ได้แล้วว่านั่งคุยกับคอมแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร” เสียงธาราว่าหลังจากดูดโอเลี้ยงสีดำเข้มเขาไปจนหมดแก้ว ทั้งสองนั่งอยู่ในร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งในตลาดนนทบุรี ตัวร้านนั้นเป็นเพียงเคาร์เตอร์ที่ทำจากป้ายหาเสียงง่าย ๆ ดูพอเป็นพิธี ข้าง ๆ มีเตาแก๊สขนาดเล็กใช้ประกอบอาหาร เลยไปจากนั้นก็เป็นแถวโต๊ะเหล็กธรรมดาทั่วไปอย่างที่ใช้กันตามร้านก๋วยเตี๋ยวยาวตอกันไปราบสี่หึงห้าตัว และเพราะไร้กำแพงได ๆ กั้นเป็นสัดส่วนทำให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของชีวิตนับสิบนับร้อยที่พากันเดินจับจ่ายสิ่งของอย่างคึกคัก

                            “หลอ....นั่นสิ”เจนศิลป์ตอบพรางฝืนยิ้มน้อย ๆ
 
                            “แล้ว....”หญิงสาวลากเสียงยาวคล้ายลังเลก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป “ที่บ้านเป็นไงบ่าง”

                            “ก็ดี....”อีกฝ่ายตอบพรางพยักหน้าน้อย ๆ กับสายตาทีเสมองลงเบื้องล่างจนหญิงสาวอดสงสัยไม่ได้ว่านั้นเป็นเพียงการตอบคำถามแบบกลาง ๆ หรือเป็นการโกหกกันแน่

                              “หลอ...”หญิงสาวเอ่ยคล้ายย้ำ อีกฝ่ายพยักหน้าอีก สายตายังไม่กลับมามองที่เธอ ทั้งคู่เงียบไปไม่นานก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้น

                              “แล้วธาละ....ที่บ้านเป็นไง พี่ชายกลับมาหรือยัง”

                               ธาราเคยบ่นเรื่องนี้ให้ทั้งกิตติ สาริณี และเจนศิลป์ฟังหลายครั้ง

                              “ยัง เห็นเขาบอกว่าจะกลับมาก็อีกสามสี่วันนั้นละ....”

                              “แล้วเขาไปเรื่องอะไรหลอ.....เห็นไปนานแล้วนะ”

                               หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ “ไม่มีเรื่องอะไรเลย....พี่เราเขาก็เป็นแบบนี้ละ คิดอยากจะไปไหนก็ไป คิดอยากจะมาก็มา ไม่สนใจใครหลอก ทั้งพ่อแม่หรือญาติพี่น้องจนบางครั้งก็ดูเหมือนขวางโลก ไม่เอาอ่าว แต่ถ้าเราเป็นเขาเราก็คงทำแบบเดียวกัน...”

                                “ทำไมละ...”เจนศิลป์ถามขึ้น สายตาเขากลับมาจ้องมองที่หญิงสาวอีกครั้ง

                                “ก็เขานะ....เป็นลูกชายคนแรกของครอบครัว เลยถูกคาดหวังไว้ว่าจะให้มารับช่วงกิจการรับเหมาต่อจากอาป๊า ถูกเขี้ยวเข็นให้เรียนได้เกรดดี ๆ คะแนนสูง ๆ ถูกส่งไปเรียนกวดวิชา จ้างอาจารย์มาสอนที่บ้าน สารพัดจะสอน ทั้งภาษาจีน อังกฤษ คณิต เคมี ฟิสิก เรียนกันเหมือนคนบ้า” หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ เช่นเดียวกับชายหนุ่ม “เชื่อมั้ยคอม บางครั้งเรียนกันหามรุ่งหามค่ำ ไม่หลับไม่นอน ตอนเช้าพอเราเดินลงมาก็เห็นพี่เรานั่งตาแข็งหน้ามันแผลบอ่านหนังสืออยู่ ส่วนคนสอน สลบหงายเงิบอยู่บนกองหนังสือ” เสียงหัวเราะของเธอหลุดรอดอกมาอดไม่ได้ที่ชายหนุ่มจะหัวเราะตาม

                                   “หลอ”

                                   “อือ....แต่พอผลออกมาไม่ได้ดั่งใจ....” รอยยิ้มของเธอคอย ๆ จากหายไปทีละน้อย ราวกับเม็ดน้ำที่ถูกทรายดูดกลืน “.......ก็ถูกคนรอบข้างเอาไปเปรียบกับคนนั้นคนนี้ ลูกญาติคนนั้น ลูกเพื่อนคนนี้ จนสุดท้ายพอเอ็นเข้ามหาวิทยาลัยที่อาป๊าอาม้าอยากให้เข้าไม่ได้อาป๊าก็ด่าไปหลายยก พวกญาติก็ดูแคลน คนพวกนั้นนะ บางครั้งก็มองดูพี่เราเหมือนเป็นคนโง่ปัญญาอ่อน บางครั้งก็เหน็บแนม กระแนะกระแหน จนพอผ่านไปได้ไม่ถึงปีพี่เราก็เตลิดไปเลย ตอนเรียนก็หนีเที่ยวกับเพื่อน หายไปทีสี่ห้าวัน บางครั้งเข้าบ้านก็เมาจนแทบต้องคลานขึ้นห้องนอน โดนจับขึ้นโรงพักก็หลายครั้ง แต่ก็ประคับประคองจนเรียนจบมาได้ ตอนแรกใคร ๆ ก็คิดว่าคงจะจบแค่นั้น แต่เปล่า พี่เราก็ยังออกไปข้างนอกเหมือนเดิน เที่ยวไปเรื่อยบางครั้งก็ไปต่างประเทศ ไม่มีใครรู้ว่าไปประเทศอะไร ไปยังไง เอาเงินที่ไหนไป....” เธอพูดพรางทอดสายตาไปไกลเหมือนมองเห็นภาพต่าง ๆ เหล่านั้นอยู่อีกปลายฟากหนึ่งของสายตา ความรู้สึกเหล่านั้นแผ่ปรกคลุมคนทั้งสองราวกับเป็นคอนกรีตที่เททับทั้งสองร่าง ทั้งอึดอัดและเย็นยะเยือก

                                       “บางครั้งเราก็คิดนะ...”ธาราเอ่ยหลังจากเงียบไปนาน น้ำเสียงนั้นฟังดูเรียบเฉยแต่แผงเร้นไปด้วยความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด “ว่าถ้าเราเป็นอย่างพี่ก็คงดี.....หนีไปให้ไกล...ไกลเท่าที่เราต้องการได้โดยไม่รู้สึกว่าทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง”
 
                                        เจนศิลป์จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า เขาเงียบไปคล้ายถูกความดำมืดที่กัดกินหญิงสาวดูดกลืนเข้าไปในจิตใจของเธอ เข้าไปอยู่ในจิตใจที่แสนโดดเดี่ยว แร้นแค้น สิ้นหวัง มันช่างเป็นสถานที่ ๆ ดูคุ้นเคยเสียจริง ๆ

                                         “การหนีนะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับละยะทางที่มองเห็นได้เท่านั้นหลอกนะ.....”ในที่สุดชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรแต่ในนั้นกลับมีบางสิ่งลอยตัวเบาบางอยู่คล้ายผ้าขาวบางที่ห่มคลุม  หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสายตาสงสัย “กับบางคน...การหนีคือการออกเดินทางไปยังที่ไกลแสนไกล หนีจากครอบครัว หนีจากปัญหา หนีจากสิ่งแวดล้อม หนีจากทุก ๆ อย่าง.....แต่กับบางคน....” เขาหยุดพรางมองเข้าไปในตาของหญิงสาว “ต่อให้ยังอยู่กับที่ อยู่กับคนเดิม ๆ สถานที่เดิม ๆ ปัญหาเดิม ๆ สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ก็ยังหนีอยู่ดี” ชายหนุ่มเค้นเสียงขึ้นจมูกเบา ๆ พรางกระตุกยิ้มน้อยที่มุมปากราวกับเจ็บปวด “ แต่ไม่ว่าจะหนีด้วยวิธีไหน สุดท้ายสิ่งที่เราต้องการจะหนีก็ไม่ได้หายไปไหนจริง ๆ หลอก มันจะยังอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าเรา ทุกครั้งที่เรามอง ทุกครั้งที่เราลืมตา ทุกครั้งที่เราหายใจ มันจะยังอยู่....” เสียงของเขานั้นบางเบาราวกับหมดแรงที่จะเอ่ยต่อไป สายตาว่างเปล่ามองลงต่ำคล้ายจมลึกเข้าสู่อีกสถานที่ ที่ ๆ เธอไม่อาจเข้าไป

                                              หญิงสาวไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงรู้สึกเช่นนั้น ทำไมเขาจึงเจ็บปวด ทำไมเขาจึงดูเหมือนแบกรับสิ่งต่าง ๆ ไว้มากมายตลอดเวลา พลันทำให้หญิงสาวนึกถึงสายใยเหล่านั้น สายใยที่ครั้งหนึ่งมันเคยตรึงรัดเขาแน่นราวกับเป็นพัธนาการ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นเหมือนสิ่งที่คอยพยุงค้ำจุนให้เขาอยู่รอดและมีชีวิตเพื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกวัน แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว ราวกับถูกกรรไกรอันใหญ่ตัดจนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้เป็นเหมือนเศษซากสิ่งของที่แตกกระจายออกเพราะไร้สิ่งพัธนาการ นอนตัวแน่นิ่งอยู่ที่มุมห้อง ป้องกันตัวเองด้วยรูปลักษณ์ที่ไร้รูปทรงและความแหลมคมที่จะบาดลึกกับใครก็ตามที่ต้องการจะจับต้อง หากแต่เขาคนนี้ไม่ใช้ทั้งแก้วหรือกระเบื้อง แต่เป็นเพียงปูนสีขาวที่มิอาจจะทำให้ได้เจ็บปวดได้ แล้วทำไม ทำไมเขาต้องสร้างภาพลักษณ์แบบนั้นขึ้นมาด้วย
 
                                                “แล้วคอมละ.....”ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “เคยหนีบางหรือเปล่า”
   
                                                 เจนศิลป์หันมา เขายิ้มน้อย ๆ แต่ไม่ตอบคำถามนั้นปล่อยให้อากาศและเสียงผู้คนลอยผ่านไปแทนคำตอบ

                                                  “จริงสิ....”เจนศิลป์เอ่ยขึ้น “วันนี้เราจะไปสะพานพุธ...ไปด้วยกันหรือเปล่า”

                                                  “หลอ...”หญิงสาวร้อง “ก็ดีสิ เราเบื่อ ๆ พอดี แล้วมีใครไปบ่างละ” เธอถามอย่างคาดเดาคำตอบไว้แล้วว่าคงไปเพียงสองคน เธอกับเขา
“ก็มีเพื่อนเราแถวบ้านไปด้วย.....ชวนไอ้เม่นกับสาไปด้วยสิ”
“หลอ” หญิงสาวผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ทำให้ความอยากจะใกล้ชิดอีกฝ่ายลดน้อยลงไป “งั้นเดี๋ยวเราโทรไปชวนเม่นกับสาให้ แล้วกี่โมงละ...”

                                                    “เพื่อนเราเขาจะออกจากนี้ตอนสองทุ่ม....จะมาเจอกันที่นี้หรือจะไปเลยละ”

                                                     “อือ...คงไม่มานี่แล้วละ ไปเจอกันที่โน่นเลยก็ได้ เรานั่งรถแทคซี่ไปใกล้กว่า....งั้นสักสี่ห้าทุ่มไปเจอะกันที่โน่นนะ” เธอว่าพรางยกนาฬิกาที่ข้อมือด้านในขึ้นดูก่อนร้องขึ้น “ว้าย...จะสี่โมงแล้วหลอเนี้ย ตายละ เราไปก่อนนะคอม เดี๋ยวกลับบ้านเย็น อาป๊าบ่นบ้านแตกแน่...”ว่าแล้วก็สะผายกระเป๋าขึ้นไหล่ก่อนยกมือขึ้นโบกไปมา “บ๊ายบาย....”ชายหนุ่มยกมือขึ้นเป็นเชิงเดียวกันก่อนจะมองดูร่างนั้นออกเดินอย่างเร็วและหายลับไปกับกลุ่มคน

  ................................................................................................   



 :sad2: :sad2: :sad2:  สี่ตอนแหล่ม ๆ เล่นเอาหมดแรงเลย  :sad2: :sad2: :sad2:



หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 21-03-2008 13:11:19
 :angry2:...พี่คร้าบบบบ  ไม่เห็นออนเอ็มเลยอ่ะเพ่

นี้แหละเน่อคนเรา

แล้วเป็นไงบาง สบายดีป่าวครับ

อย่าสูบควันให้มากน่ะเพ่


ปล.เป็นห่วง

ไว้คุยกัน  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 21-03-2008 14:53:50
หูย มาแบบจุใจ อ่านเพลินเลยครับ  :m4: :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 23-03-2008 23:50:07
ไปต่างจังหวัดเพิ่งกลับมาครับ มาต่อแบบยาว อ่านแบบจุใจ

จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามซะแล้ว  :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 25-03-2008 14:01:52


ตอนใหม่มาแล้วครับผม


                     ชายหนุ่มเดินเข้าซอยบ้านของตัวเองด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในมือเขาแกว่งถุงข้าวต้มหัวปลาไปมาพรางยังคิดถึงคำถามนั้นของธารา

                         “แล้วคอมละ.....เคยหนีบ่างหรือเปล่า”

                         หนีหรือ.....ตัวเขาเองเป็นใครกันถึงได้ไปสั่งสอนเรื่องนั้นเรื่องนี่ให้ใครต่อใคร ทำเป็นรู้มากรู้มายทั้งที่จริง ๆ เขาก็เป็นเพียงคน ๆ หนึ่งที่ดำเนินชีวิตไปวัน ๆ อย่างเลื่อนลอย อีกวันต่อไปอีกวัน.....อีกเดือนต่อไปอีกเดือน.....อีกปีต่อไปอีกปี......ในทุกครั้งที่คิดว่าน่าจะถึงจุดหมาย แต่มันก็หลับกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นไม่จบไม่สิ้น วนเวียนอยู่อย่างนั้นราวกับวังน้ำวน วนเวียน ล่องลอย ไร้จุดหมาย

                          “หนีหลอ...”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ พรางหัวเราะอย่างขมขื่น เขาหนีมาทั้งชีวิต หนีจากแม่ที่เมามายไร้สติ หนีจากพ่อที่จากไปอย่าเลือดเย็น หนีจากความจริงที่แสนเจ็บปวดนั้น หนีจากปัญหาต่าง ๆ มากมายด้วยแรงและกำลังทั้งหมดเท่าที่มี ไม่สนใจวันคืน ไม่สนใจเวลา เอาแต่หนี และหนี และหนีอยู่อย่างนั้น จนมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็หนีมาไกล ไกลแสนไกลนับจากจุดเดิม ไกลเกินกว่าจะมองเห็นหรือจดจำ แต่ต่อให้ไกลแค่ไหน ยาวนานเพียงไดสิ่งเหล่านั้นก็ยังไล่ตามเขามาติด ๆ ไล่ตามเขาราวกับเป็นเงาที่จะตามหลอกหลอนเขาตลอดไป จนวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็จบสิ้นลง

                           ไร้เรี่ยวแรงจะวิ่งหรือเดินต่อไป แขนขาไร้แรงที่จะก้าวย่าง ดวงตาไร้ความอยากที่จะลืมตาตื่น สมองไร้ความต้องการที่จะคิด จิตใจไร้แรงที่จะรับรู้ ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มหยุดลง ปล่อยให้ทุกสิ่งอย่างถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นยักษ์ที่โถมใส่ร่าง ในตอนแรกเขาพยายามขัดขืน ออกแรงว่ายวนเวียนอยู่อย่างนั้นราวกับคนโง่ที่พยายามปาหินไปยังพระจันทร์ จนในที่สุดเขาก็เรียนรู้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เรียนรู้ว่าสุดท้ายแล้วหินที่ปาขึ้นไปมันจะกลับตกลงมาทำร้ายตัวเขาเอง สู้ดูดกลืนมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตวิญาณ ปล่อยให้มันซึมลึกลงไปในเนื้อหนัง เส้นเลือดและกระดูกจะง่ายกว่า  ปล่อยให้มันกัดกินเท่าที่มันต้องการ สนองทุกสิ่งที่พวกมันอยากได้ ทำทุกอย่างตามที่มันเรียกร้องและสุดท้าย เขาก็กัดกินมันเป็นอาหาร หล่อเลี้ยงวิญาณของตัวเองต่อไป

                   ชายหนุ่มค่อย ๆ ใขล๊อกประตูบ้านเข้าไปก่อนจะคว้าชาม ช้อนและแก้วน้ำขึ้นไปด้านบน เทอาหารใส่ชาม เทน้ำใส่แก้ว และวางมันไว้ที่เดิม หญิงกลางคนยังนอนนิ่งในท่าเดิมไม่เปลี่ยน แต่เสียงนั้นหายไปแล้ว มันชั่งให้ความสงบที่แสนเจ็บปวดเหลือเกิน
 
                   ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินออกมาก่อนจะขึ้นห้องของตัวเองไป ทำไมเวลาแบบนี้ทำไมอมรถึงไม่ออกมานะ ทั้ง ๆ ที่ตลอดสองสามวันมานี่ทุกครั้งที่ชายหนุ่มอยู่คนเดียว ครุ่นคิด หรือเจ็บปวด เขาจะออกมา เอ่ยคำถามที่แสนเจ็บปวดและแทบจะไร้ทางตอบออกมามากมาย บีบเค้นคำตอบนั้น รีดเร้นมันจากเลือดเนื้อและจิตใจของชายหนุ่มด้วยความไร้เดียงสาและเลือดเย็น
   
                             ชายหนุ่มนั่งอยู่ขอบหน้าต่างพรางมองดูแสงสีต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ภายนอก แสงสีส้มทอดตัวยาวไปตามสายน้ำนั้น ระยิบระยับสดใส
 
                             ไม่นานเขาก็หันไปคว้าประเป๋ากล้องขึ้นสะพายบ่าและเดินออกจากบ้านไป

                   ตลาดในเวลาสี่โมงเย็นเศษนั้นดูกลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะไร้ผู้คนเดิน แต่เพราะผู้คนนั้นหันไปจับจ่ายอาหารสำเร็จมากกว่าของสด ทำให้ภายในตลาดที่เป็นแหล่งของสดนั้นร้างไป พ่อค้าแม่ขายต่างพากันทยอยปิดร้านกัน บ่างนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสา บ่างนั่งจับดูสินค้าของตัวเองก่อนจะโยนมันลงเข่งขยะ บ่างล้อมวงกินเหล้าเคร้าเสียงเพลงที่ขับขานกันเองอย่างออกรส
 
                    คนพวกนี้นั้นแทบไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่ม ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีอดีตหรืออนาคต มีแต่ปัจจุบันที่ต้องทำไปวัน ๆ จากจุดเริ่มต้นกลายเป็นจุดจบ และจากจุดจบก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้ง

                    ชายหนุ่มกดชัตเตอร์รัว ๆ สองสามครั้ง แดดยามบ่างนี้ดูสวยงามอย่างประหลาด มันเป็นสีส้มอมแดงดูสดใสและเปี่ยมไปด้วยพลังแต่เคลือบแฝงไปด้วยความเศร้าที่นอนตัวอ่อยอี่งอยู่ในบรรยากาศ วันกำลังหมดไป จุดจบกำลังจะมาถึงแล้วและมันกำลังกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
   
                              ชายหนุ่มเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย นานครั้งเขาจะหยุดและกดชัตเตอร์บันทึกภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้ จนมารู้ตัวอีกครั้งเขาก็มายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนแห่งหนึ่ง ความรู้สึกในใจเขานั้นกู่ร้องบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขาอีกแล้ว ใช่มันเคยเป็น แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
 
                     ชายหนุ่มเคยศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้เมื่อตอนม.ต้นและม.ปลาย มันเป็นโรงเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่งในจังหวัดตั่งอยู่ในเขตวัดและติดกับตลาด ทำให้รู้ได้ในทันทีว่านักเรียนที่นี่ไม่ใช่คนที่จะเติบโตขึ้นเป็นรัฐมนตรีหรือผู้นำประเทศอะไรแบบนั้น หากแต่เป็นชนชั้นล่างและกลางที่ใส่ใจในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันมากกว่าสลดใจไปกับข่าวการฆ่าฟันกันในอิสราเอล อย่างน้อย นั้นก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มสัมพัทธ์รู้มา
   
                              ในสนามฟุตบอลเล็ก ๆ ที่เขียวขจีไปด้วยสีที่ทาฉาบไปทั่วนั้นยังมีเด็กในชุดนักเรียนสีขาวกับกางเกงสีกากีวิ่งเตะบอลพราสติกกันไปมาอย่างสนุกสนาน บนอัฐจรรย์มีเด็กนักเรียนหญิงจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส ครูอาจารย์นั่งอยู่ตามห้องพักสะสางงานและพูดคุยกันถึงเรื่องวันนี้ ช่วงเวลาแห่งอดีต....กลิ่นอายของแดดยามเย็นย่ำ......มันช่างเป็นเวลาที่แสนน่าโหยหาเสียเหลือเกิน

                               ในวัยนั้นเขาทำอะไรอยู่นะ เขาถามตัวเองและไม่น่าแปลกที่มันจะไม่มีอะไรตอบกลับมา ในหัวเขาดำมืดไปด้วยความทรงจำที่ไร้เรื่องราว เขาจำไม่ได้แล้ว ที่จริงเขาแทบไม่เคยจำเรื่องราวต่าง ๆ นับแต่บิดาเขาจากไปไม่ได้เลย ความทรงจำนั้นเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เขาจำได้ และมันช่างเจ็บปวดเหลือเกินที่เป็นแบบนั้น

                                “เจนศิลป์....เจนศิลป์หรือเปล่า...” เสียงหนึ่งดังขึ้น จากด้านหลังขณะที่เขาเดินไปมาในห้องเรียนที่เขาจำได้เลา ๆ ว่าเคยเข้ามาเรียนอยู่ ชายหนุ่มหันไปและพบกับหญิงกลางคนคนหนึ่ง เธอคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเขา แต่ทั้งหน้าตา ผิวพรรณ และเสื้อผ้านั้นดูต่างกันลิบลับ เธอมีดวงตาที่ฉายแววประหลาด แข็งกล้าแต่อ่อนหวาน ผมหยิกขอดนั้นรับกันดีกับใบหน้าที่เรียวยาว ดวงตาหยีเล็ก ริมฝีปากบางแต่กลับยิ้มจนสุด

                                “ครูธารทิพย์.....ครูธารทิพย์หรือเปล่าครับ....” ชายหนุ่มค้นในสมองอยู่นานจนเจอชื่อนี้ซุกตัวอยู่ในหลืบมุมที่ตกตะกอนของความทรงจำ

                                “จ๊ะ...แหม ว่าจะจำได้นะ” เธอว่าพรางหัวเราะ

                                หญิงผู้เป็นครูคนนี้ได้พบกับเจนศิลป์ครั้งแรกเมื่อตอนอยู่ชั้นประถม และเมื่อเขาขึ้นชั้นมัธยมปลาย เธอก็ย้ายมาสอนที่นี่พอดี นั้นนับเป็นเรื่องแปลก แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือเธอเป็นรุ่นน้องของเจนวิทย์ พ่อของชายหนุ่มเมื่อตอนสมัยเรียน ทำให้เธอรู้จักทั้งบิดาและมารดาของเขา

                                “แม่เป็นไงบ่างละ...”เธอถามขึ้นพรางเดินไปตามทางเดินของอาหารเรียน

                                “เหมือนเดิมครับ....”ชายหนุ่มตอบเรียบ ๆ พรางคลึงกล้องที่ห้อยอยู่ที่คอไปมา

                                “เฮ้ย.....พี่เดือนนะพี่เดือน....ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ....ถึงตอนเรียนจะกินบ่อยก็เถอะ.....”เธอพูดพรางถอนหายใจยาว แต่ก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าผู้เป็นผู้ใหญ่ไม่ควรพูดอะไรแบบนั้นออกมา จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วเป็นไงบ่างละเรา การเรียน....”

                                “ก็ดีครับ.....” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ น้ำเสียงราบเรียบ

                                “แล้วเรื่องงานละ.....เห็นเขาว่าถูกไล่ออกเพราะขโมยของ” เธอคนนี้ไม่เคยเลยที่จะตั้งคำถามโดยเกรงกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย นั้นละที่ทำให้ชายหนุ่มชอบเธอคนนี้มากกว่าผู้รวมอาชีพคนอื่น ๆ 

                                “ครูคิดว่าไงละครับ.....”ชายหนุ่มย้อนถามพรางยิ้ม เธอยิ้มตอบ

                                “นั้นสิ.....มันไม่ใช่สิ่งที่เราทำ...”

                                “แต่เป็นสิ่งที่คนอื่นคิดต่างหาก ที่ตัดสิน” ชายหนุ่มต่อคำของอีกฝ่าย เธอจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม

                                “พ่อเธอชอบพูดแบบนั้น.....ตลอดเลยละ.....”เธอว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “พอเถอะ พอเถอะ พูดกันแต่เรื่องแบบนี้ มีหวังฉันแก่ลงไปอีกหลายปีแน่....” ชายหนุ่มหัวเราะกับคำพูดนั้น “มาเถอะ....ไปห้องชมรมกัน”

                                 “จะ...จะดีหรือครับ”

                                 “มาเถอะน่า.....” เธอว่าพรางดึงแขนของชายหนุ่มเดินลงบันไดมา

                                 ทั้งคู่เดินลงมายังชั้นล่างสุดก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งที่ดูมืดทึบและรกรุงรัง ทั้งชั้นวางของที่แน่นไปด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย กล่องกระดาษวางตามพื้นห้อง รูปภาพใส่กลอบนับสิบ ๆ ที่เรียกตามผนังจนแน่นอีกทั้งยังมีเด็กนักเรียนในชุดสีขาวกางเกงสีกากีนั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งหญิงและชายรวมแล้วราวสิบคนได้ นั้นยิ่งทวีความรู้สึกรุงรังเข้าไปอีกเป็นทวีคูณ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ และคุ้นตากับรูปที่อยู่บนผนังมากที่เดียว 

                                  “อะไรกันเนี้ยพวกเธอ นี่ห้องชมรมนะไม่ใช้ห้องมั่วสุม...” เสียงของเธอคนนั้นดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดค้นความจำของตัวเอง “ไอ้อลงกต ลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ดี ๆ สิ ทำตัวเป็นขอทานนอนตามฟุตบาทไปได้...”เธอหันไปว่านักเรียนชายคนหนึ่งที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่กับพื้นห้อง เขารีบตารีตาลานลุกขึ้นในทันที

                                  ชายหนุ่มพึ่งประจักรแก่สายตาวันนี้เองว่าเธอคนนี้มีอำนาจในฐานะครูมากแค่ไหน ตอนเขาเรียนอยู่ม.สี่นั้นเธอก็ย้ายมาเป็นอาจารย์ที่นี่พอดี เขาจำไม่ได้แล้วว่าเธอรับผิดชอบสอนวิชาอะไรแต่ดูเหมือนจะเป็นพวกสังคมอะไรสักอย่าง
 
                                  “เอา ๆ ฟัง ๆ” เธอเริ่มเอ่ยเสียงดังอีกครั้งหลังจากที่เห็นพวกลิงทะโทนทั้งหลายเขาที่เขาทาง “วันนี้อาจารย์มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก”เธอว่าพรางดันหลังของเจนศิลป์ให้ก้าวไปข้างหน้า “นี่พี่เจนศิลป์....” เสียงกล่าวสวัสดีและการยกมือไหว้ปรากฏไปทั่วจนเจนศิลป์ยกมือขึ้นรับแทบไม่ทัน “เขาเป็นรุ่นพี่พวกเธอ เคยเรียนอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นเจ้าของรูปนั้น นั้น แล้วก็ทั้งผนังนั้นด้วย”

                                  เจนศิลป์ร้องอ๋อขึ้นในทันที ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่มองมาทางเขาอย่างแปลกประหลาดนับสิบคู่ เขายิ้มแห้ง ๆ เป็นเชิงตอบ

                                  “ยังไงมีอะไรก็ถามพี่เขานะ.....เดี๋ยวอาจารย์มา”

                                  “อ้าว....ไปไหนละครับ” เจนศิลป์รีบหันไปถามอีกฝ่าย เธอยิ้มน้อย ๆ

                                  “เดี๋ยวครูมา เอาของไปเก็บที่โต๊ะก่อน” เธอว่าแค่นั้นแล้วก็เดินออกไป ปล่อยให้เจนศิลป์ต้องเผชิญกับความเงียบที่แสนเย็นยะเยือกและสายตาชวนสงสัยเหล่านั้น ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ และหันไปมองดูภาพเบนผนัง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยถ่ายภาพเหล่านี้ ภาพเด็กตัวเล็กนั่งซุกตัวอยู่ในเสื้อตัวยาวมอซอภายใต้ใต้แสงไฟจากเสาไฟ ภาพหญิงชรานั่งเคี้ยวหมากในชุดม่อฮ่อมและหมวกชาวนา ภาพพ่อค้าปลาช่อนกำลังทุบหัวปลาดูโหดร้ายและทารุณ.....
 
                             ในตอนนั้น เขามองภาพของโลกใบนี้แบบไหนกันนะ......

                             “พี่ชอบถ่ายขาวดำหลอครับ” เสียงหนึ่งดังมาจนเจนศิลป์ต้องหันไปมอง ผู้ถามเป็นชายคนที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนกับพื้นนั้นเอง ดูจากใบหน้าและการพูดจา เขาน่าจะอยู่ราวม.สี่         
 
                                   “อือ....”เจนศิลป์ตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันไปดูรูปเหล่านั้นอีกครั้ง

                                   “ทำไมละพี่....ผมว่ามันดูจืด ๆ ไปนะ.....” เสียงหัวเราะและเสียงหยอกเย้าดังขึ้น
ชายหนุ่มหันไปมองต้นเสียงอีกครั้งพรางยิ้มแห้ง เขาชั่งไม่เหมาะกับบทบาทที่ธารทิพย์ทิ้งไว้ให้เสียเลย

                                   “แล้ว...อลงกตใช่มั้ย....ชอบภ่ายภาพสีหลอ”

                                   อีกฝ่ายพยักหน้าและทำเสียงอือในลำคอพลันทำให้มีฝ่ามือของคนข้าง ๆ ประทับเข้าใส่หัวอย่างแรง

                                   “อือเหี้ยไร ครับสิ” ผู้ที่พูดนั้นเป็นชายท่าทางเอาเรื่องไม่น้อย น่าจะอยู่ม.ห้าหรือหก
ชายหนุ่มยิ้มขำก่อนว่าต่อ “พี่ว่าภาพถ่ายมันก็ช่วยบอกนิสัยคนถ่ายนะ อย่างอลงกตชอบถ่ายภาพสี คงเพราะเรามองเห็นไอ้นั้นไอ้นี่เป็นอย่างที่มันเป็น สวยอย่างที่มันสวย น่าเกลียดอย่างที่มันน่าเกลียด มองมันอย่างผิวเผิน ตัดสินมันจากสายตา....”ชายหนุ่มว่าพรางลากเก้าอี้มานั่ง “แต่พี่ว่าบางครั้ง ถ้าเรามองสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราต่างออกไปอีกนิด มันอาจจะทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปก็ได้นะ”

                                    อลงกตทำหน้ามุ่ย “งงครับพี่”

                                   “พี่เขาจะบอกว่า เรื่องของพี่เขา มึงไปเสือกอะไรกับเขาด้วย....”เสียงหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังดังมา พลันทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นไปทั่ว

                                    “แล้วพี่ชอบถ่ายภาพขาวดำเพราะแค่ไม่ชอบภาพสีแค่นั้นหลอครับ” เสียงชายคนที่ตบหัวอลงกตดังขึ้น ชายหนุ่มพึ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายไว้เคราที่ปลายคางด้วย มันดูเขากันดีกับผิวสีคล้ำนั่น

                                    “ไม่ใช่ว่าไม่ชอบภาพสีหลอก เพียงแต่ชอบภาพขาวดำมากกว่า”

                                    “งั้นภาพสีหรือขาวดำถ่ายยากกว่ากันละค่ะ” เสียงหญิงสาวด้านหลังถามขึ้น

                                    “พี่ว่ายากง่ายเหมือนกัน อยู่ที่คนถ่าย”

                                    “คนถ่ายเก่งไม่เก่งอย่างงี้หลอครับ”อลงกตเอ่ยอีกครั้ง

                                    “เปล่า...คนถ่ายเห็นสิ่งที่จะถ่ายแบบไหนต่างหาก”

                                    “งั้นพี่ช่วยดูนี่ให้ผมหน่อยสิครับ.....”อลงกตว่าพรางหยิบเอากระเป๋าที่อยู่ข้าง ๆ เท้าขึ้นมาเปิดแล้วยื่นกระดาษอัดภาพมาให้สี่หาแผ่น
 
                                    หลังจากนั้นมหกรรม “ช่วยดูภาพให้หน่อย” ก็เกิดขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเรื่องอัดภาพแล้วก็อะไรอีกหลายอย่างจนเวลาผ่านไปนานพอดูกว่าที่ธารทิพย์จะกลับมา

                                    “เอ้ามา...เปิดห้องอัดภาพให้แล้ว” เธอว่าพรางเปิดประตูห้องเล็ก ๆ ด้านในนั้นให้เปิดอ้าออก ทุกคนต่างกรูกันเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว มีแต่เจนศิลเท่านั้นที่ดูไม่กระเหี้ยนกระหือรืออย่างเข้าไป เขาแยกตัวออกมานั่งเหมอมองออกไปทางประตูเงียบ ๆ แสงแดดดูจะไม่อ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อยมีแต่จะยิ่งเพิ่มสีแดงอันทรงพลังนั้นเขาไปในลำแสง พลันทำให้สนามฟุตบอลกลับหลายเป็นสีอย่างที่ชายหนุ่มจำไม่ได้ว่ามันเคยเป็นมาก่อน แสงสีส้มแดงทอดยาวจากอีกฝากสนามมายังตัวเขา มันดูทรงพลังและร้อนแรงอย่างน่ากลัว

                                     “เอานี่.....”ธารทิพย์ เอ่ยพรางยืนบางสิ่งให้ชายหนุ่ม เขารับมาพรางมองอีกฝ่ายอย่างอยากจะถามว่าอะไร เธอคนนั้นไม่ตอบเอาแต่จ้องมองมันที่อยู่ในมือของชายหนุ่มจนเขาหงายมันขึ้นจึงรู้ว่านั่งคือรูปภาพที่อัดใส่กลอบอย่างดี
 
                                      ภาพนั้นเป็นภาพของใครบางคน นั่งอยู่บนอัฐจรรย์ ในมือถือสิ่งของบางอย่าง เขามองเห็นมันไม่ชัดนักเพราะแสงในภาพพุ่งตรงมายังกล้องอีกทั้งยังเป็นภาพขาวดำจึงทำให้ร่าง ๆ นั้นดูดำมืดจนแยกไม่ออก

                                      “ใครครับ...”ชายหนุ่มเอ่ยพรางมองมายังธารทิพย์

                                      “ก็เธอไง” อีกฝ่ายตอบพรางยิ้ม “อะไรกัน จำไม่ได้หลอกหลอ....เธอนะ ชอบทำอย่างนี้ประจำละตั้งกล้องเอาไว้แล้วก็ถ่ายตัวเอง....”

                                      ชายหนุ่มพยายามค้นลงไปในสมองแต่ก็พบเพียงความทรงจำที่มืดมิตรเท่านั้น ความเงียบเข้าปรกคลุมคนทั้งสองพร้อมด้วยสายลงเย็นที่พัดมาคล้ายปราณีช่วยบรรเทาความร้อนที่แสนสาหัส แต่มันไม่อาจช่วยอะไรเจนศิลป์ได้เท่าไรนัก แท้ที่จริงแล้วมันกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีก

                                      “เธอชอบนั่งตรงนั้นมากเลยนะ” ธารทิพย์เอ่ยขึ้นพรางชี้ไปอีกฝั่งหนึ่งของสนามที่มีอัฐจรรย์งวางยาวเรียงราย ในมือข้างที่เธอชี้มีบุหรี่ที่จุดแล้วติดอยู่ “ตอนพักกลางวันหรือตอนเย็น เธอชอบไปนั่งอยู่ตรงนั้น กินขนมถังแตกบ่าง นั่งเหมอบ่าง.....”

                                      ชายหนุ่มนิ่งฟังพรางมองลงมายังภาพนั้นที่อยู่ในมือ

                                      “มันก็แปลกดีนะที่ครูก็อยู่ตรงนี้ มองเธอจากตรงนี้ทุกวัน ห่างกับเธอแค่ไม่กี่เมตร รู้เรื่องทุกอย่าง แต่กลับช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย”

                                       “ไม่หลอกครับครู...”ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น “ครูช่วยผมได้เยอะเลยครับ”

                                      อีกฝ่ายกระตุกยิ้มคล้ายขมขื่นใจพรางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ ๆ ตรงข้ามกับเจนศิลป์และยกบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะปล่อยควันขาวออกมาพวงใหญ่ “เชื่อมั้ย....ครั้งแรกที่ครูเห็นเธอนะ ครูจำได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าเป็นเธอแน่ ๆ ลูกชายของพี่วิมย์”

                                      “จริงหลอครับ” ชายหนุ่มละสายตามาที่หญิงคนนั้นพรางยิ้มน้อย ๆ

                                      “อือ”เธอพยักหน้าพรางอัดบุหรีอีกครั้ง “ก็เล่นหน้าเหมือนกันขนาดนั้น จำไม่ได้ก็บ้าแล้ว”

                                       ชายหนุ่มหัวเราะ “หลอครับ ผมเหมือนพ่อมากเลยหลอครับ”

                                      “เหมือนมาก เลยละ” เธอเน้นเสียงที่คำว่าเหมือนมากจนฟังเหมือนเป็นอักษรตัวโตบนกระดาษสีขาว “ทั้งรูปร่าง หน้าตา แววตา นิสัย ท่าทาง ท่าเดิน ถอดแบบกันมาไม่มีผิด อ๋อ แล้วก็ชอบกินขนมถังแตกเหมือนกันอีก”

                                       ว่าแล้วเจนศิลป์ก็ขำออกมา       

                                       ธารทิพย์นิ่งมองดูเขาที่ยิ้มด้วยสายตาอ่อนโยนพรางปรากฏคำถามมากมายขึ้นในใจ ทำไมเด็กคนนี้ถึงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้นะ ทำไมเขาดูราวกับไม่บุบสลายไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงดำเนินชีวิตราวกับทุกสิ่งเป็นปรกติดี ยังเดิน ยังนั่ง ยังคิด ราวกับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย อะไรที่คอยค้ำให้เขาก้าวเดินต่อไปยังวันข้างหน้า มันคืออะไร

                                        แต่แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดพรายขึ้นสมองของเธอสั่นครอนหัวใจราวกับเครื่องช๊อตไฟฟ้า สิ่งที่บุบสลายไปแล้วจะมีอะไรให้ต้องบุบสลายอีกละเศษสากที่แตกหักแล้วมีอะไรให้เสียหายอีก.....

                                 “ครูดีใจนะที่เธอยังยิ้มอยู่ได้....” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบางแต่ราบเรียบราวกับธารน้ำเย็นที่ไหลเอื่อย

                                         ชายหนุ่มมองดูอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน

                                         “ผมว่าผมไปดีกว่าครับ ขืนอยู่ต่อไปคงทำให้ครูแก่ลงไปอีกเป็นสิบปีแน่”เขาว่าพรางยิ้มและยื่นกรอบรูปคืนอีกฝ่าย
 
                                         “เก็บไว้เถอะ....”เธอเอ่ยพรางยืนขึ้นเช่นกัน “มันอยู่บนโต๊ะครูมาสองปีกว่าแล้ว ช่วยครูไว้เยอะ ลองให้มันช่วยเธอดูบ่าง”
 
                                         เจนศิลป์มองอีกฝ่ายคล้ายไม่เข้าใจ เธอยิ้ม และไม่ตอบคำถามนั้น

                                         ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้พรางกล่าวลาและหันหลังเดินไป จนเมื่ออีกฝ่ายเรียก

                                         “โลกนี่นะ....ไม่ได้มีแต่สีขาวกับดำหลอกนะ”

                                         ชายหนุ่มยิ้มรับคำนั้นไว้และกล่าวลาอีกครั้งก่อนจะออกเดินไปด้วยก้าวย่างที่หนังอึ้งกว่าเดิมหลายเท่า
 
                                         “ขาวกับดำหลอ” ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ


.......... ยังไม่จบนะครับ มีต่อ ...........................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 25-03-2008 14:13:54

           
                         สิ่งที่ธารทิพย์พูดนั้นถูกต้องที่สุด เจนศิลป์ไม่อาจจะแย้งได้......เพราะ “โลกนี้” ของเธอต่างจาก “โลกนี้” ของชายหนุ่ม โลกใบนี้ของธารทิพย์นั้นคงเป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันมากมาย ทั้งสีฟ้าครามท้องทะเล สีเขียวขจีของผืนป่า สีม่วงอมแดงของดวงดาว สีส้มจ้าของแสงแดด แต่โลกใบนี้....ที่ชายหนุ่มรู้จัก มันมีแต่สีขาวและดำ ไม่มีแดงร้อนแรงหรือฟ้าสดใสหรือชมพูหวานแหวว มีเพียงแต่ขาวกับดำ.....ใช่หรือไม่.....ดีหรือเลว.....ถูกหรือผิด..... กล้าหรือกลัว......ทำหรือไม่ทำ.......เพียงเท่านั้นและเพราะความเชื่อเชื่อเช่นนั้นที่ทำให้เขาสามารถประคับประคองชีวิตตัวเองมาได้สิบปี

                               แต่ในตอนนี้จิตใจของชายหนุ่มหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยแท่งเหล็ก ความรู้สึกเคว้งคว้างในอกที่ชวนสงสัยว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่นั้นเริ่มทักทอสายใยเหนียวขึ้นตลึงรัดร่างกายจนก้าวย่างของชายหนุ่มเริ่มอ่อนแรงและสุดท้ายเขาก็หยุดพักที่ริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา 

                               หรือว่าเขาจะคิดผิดนะ....ชายหนุ่มคิด หรือว่าสิ่งที่เขาเชื่อ สิ่งที่ยึดถือ สิ่งที่เขาสัทธาจะผิดทั้งหมด ชายหนุ่มงุนงงและสงสัยจนยากที่จะกลับบ้านไปเพื่อทำสิ่งเดิม ๆ ที่ทำมาตลอดชีวิตอีกครั้ง เขาค่อย ๆ ปืนขึ้นนั่งบนขอบกันริมเขื่อน จ้องมองดูพระอาทิตย์สีส้มทอแสงสดใสร้อนแรงจนแปลเปลี่ยนชุบย้อมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสายสายให้กลับกลายเป็นสีเดียวกันนั้นทั้งผืนน้ำ ลูกคลื่นเล็ก ๆ ทอแสงระยิบระยับไปมาตามจังหวะ นาน ๆ ครั้งจะมีเรือขนทรายหรือด่วนลำยาวแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดคลื่นน้ำใหญ่ซาดซัดเข้าหาฝั่งปะทะกับริมเขื่อนจนละอองน้ำกระเซนขึ้นมาถึงตัวชายหนุ่ม

                               มันช่างจับใจเหลือเกิน ช่วงเวลาที่กำลังจะหมดไปนี้ ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเพื่อเป็นสัญญาณของการหมดวัน มันทอแสงส้มอมแดงร้อนแรงราวกับเป็นคำอำลาอันแสนทรงพลังเกินกว่าที่ใครจะต้านทานได้ และเหมือนก้อนเมฆทั้งหลายจะรู้ถึงข้อความที่ส่งผ่านนั้นมันจึงทิ้งตัวลอยห่างออกไปดูอ้อยอิ่งแต่ก็ไม่อาจจะหลบจากรัสมีของแสงนั้นได้ทำให้เกิดลำเงาสีดำพาดผ่านเคียงคู่ไปกับลำแสงสีส้ม

                                ....... เขาจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกแบบนี้ได้อีกกี่ครั้งนะ.....สามหรือว่าสี่ นับตั้งแต่อมรมาหาเขา มันเป็นครั้งแรกเลยที่เดียวที่เขานับวันเวลาที่เหลืออยู่บนโลกนี้ หรือจะให้ถูกก็คือครั้งแรกในรอบสิบปีเลยที่เขานับวัน นับว่าเขาจะมีเวลาอยู่กับแม่เขาอีกเท่าไร นานแค่ไหน แล้วเมื่อเขาจากไป แม่เขาจะรู้สึกอย่างไร ดำเนินชีวิตเช่นไร แบบไหน เธอจะอยู่ได้หรือ ชายหนุ่มพยายามนึกภาพของหญิงกลางคน ๆ นั้นยามเมื่อไร้เขาอยู่ข้างกายแต่ก็ไม่อาจจะทำได้....สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงเงาดำหนึ่งเงาที่ไม่อาจจะประกอบขึ้นเป็นรูปร่างอะไรได้เลย
แต่เขาก็เชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเธอต้องอยู่ได้......ชายหนุ่มเชื่อเช่นนั้น เพราะเขารู้ดีว่าตัวตนของเธอคนนั้นแข็งแกร่งมากกว่าภายนอกที่แสดงออกมา เธออ่อนโยน กล้าหาญและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี.....           
   
                           .....หนีไปให้ไกล...ไกลเท่าที่เราต้องการได้โดยไม่รู้สึกว่าทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง
คำพูดนั้นของธาราผุดขึ้นใจสมองของเจนศิลป์พลันทำให้เขานึกถึงภาพของใครบางคนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ภาพแผ่นหลังของชายคนหนึ่งเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปตามทางที่มืดมิด ก่อนจะหายลับไปกับห้วงแห่งกาลเวลา....จะมีทางมั้ยที่เราจะตัดสินใจเดินจากไปโดยใจไม่คิดถึงสิ่งที่ทิ้งมา จะมีทางมั้ยที่เราจะไม่หวนคิดถึงสิ่งที่เราจะไม่มีวันกลับไปหาอีก จะมีทางมั้ยที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เราทำไปแล้ว .....ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้.... ไม่อาจเข้าใจในสิ่งนั้น ไม่รู้ว่าชายคนนั้นคิดอะไรอยู่เมื่อเดินจากไปวันนั้น เขารู้สึกอย่างไรขณะเดินจากไป ห่วงหาหรือเปล่า กลัวหรือเปล่า เศร้าเสียใจหรือเปล่า หรือเพียงแค่ เดินจากไปเท่านั้น   

                                 “เจ้าว่ามันสวยหรือไม่....”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง ชายหนุ่มดูไม่สะทกสะท้านมากนัก แต่ก็ไม่หันไปมองอีกฝ่ายอาจเพราะต้องการหลบเลี่ยงไม่ให้เจ้าของเสียงนั้นเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ นี้ก็เป็นได้

                                 “สวยสิ....สวยมากเลยละ....”เขาตอบ

                                 “สวยอย่างที่มันเป็น หรือสวยอย่างที่เจ้าต้องการให้มันสวย....”

                                 ชายหนุ่มหันมาที่อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าเขาจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นอยู่ในชุดนักเรียนสีขาวกับกางเกงสีกากี ผมตัดสั้นเกรียนทำให้ใบหน้าดูคมคายอย่างประหลาด ผิวขาวสะอาดนั้นต้องกับแสงอาทิตย์จนกลับกลายเป็นสีส้มแขนทั้งสองข้างถูกใช้ต่างไม้ค้ำยัน มันเกยกันอยู่บนริบเขื่อนที่ชายหนุ่มนั่ง สายตาจ้องมองไปยังต้นแสงอย่างไม่เกรงกลัว

                                 “เป็นเด็กม.ปลายไม่ค่อยเข้ากับคุณเท่าไรนะ....”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ

                                 “แล้วการที่ข้าเป็นเด็กห้าขวบกับลูกบอลสีชมพู หรือเป็นชายวิกรจริตนั้นดีกว่าหรือไร”

                                 ชายหนุ่มหัวเราะเคล้าไปกับสายลมที่พัดผ่านไป

                                 “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยเด็กน้อยเอ๋ย....เจ้าเห็นมันสวยอย่างที่มันเป็นหรือสวยอย่างที่เจ้าอย่างให้มันสวย”
 
                                 ชายหนุ่มเงียบไป ก่อนจะว่า “คุณก็ฟังอยู่ด้วยใช่มั้ย......”

                                 “ข้าฟังเจ้าเสมอ เด็กน้อยเอ๋ย....แม้ข้าจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ตาม”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอยู่นานปล่อยให้สายลมที่พัดผ่านไปหอบเอาละอองน้ำมาประทะใบหน้าของตัวเองมันให้ความรู้สึกประหลาดที่ทั้งไม่ร้อนหรือเย็น
 
                                 “พ่อผมเคยบอกไว้.....” เจนศิลป์เอ่ยขึ้นในที่สุด “ของบางอย่างมันไม่ได้เกิดมาสวยเลยหลอก...หน้าที่ของคนถ่ายภาพก็คือหมุนมันไปรอบ ๆ แล้วก็เลือกมุมที่คิดว่าสวยที่สุด แอบซ่อนความอัปลักษณ์ของมันไว้ให้มิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะถ่ายมันเก็บไว้” ชายหนุ่มหยุดพรางล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ อัดควันสีขาวเข้าไปเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันออกมา “โลกนี้และความจริงที่อยู่บนโลกนี้ก็เป็นแบบนั้นละ....มันทั้งอัปลักษณ์และโหดร้ายจนเราต้องหมุนมันไปรอบ ๆ เพื่อมองหามุมมองที่พอจะรับได้ โหดร้ายน้อยที่สุด งดงามที่สุด แล้วก็จดจำมันไว้อย่างนั้น”
 
                                 “เป็นสีขาวหรือว่าดำ...”อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ พรางยกบุหรี่ขึ้นสูบอมรจึงถามต่อ“ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่หญิงคนนั้นพูดกับเจ้าก็เป็นสิ่งที่ผิดนะสิ.....ที่ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่สีขาวและดำ”
“เปล่าหลอก...”ชายหนุ่มว่าพลางปล่อยควันสีขาวออกมาจากปาก “เพียงแต่เขามองโลก มองความจริงต่างจากมุมของผมก็เท่านั้นเอง”

                                 “ทำไมละ....เหตุไดจึงเป็นเช่นนั้น”
 
                                 เจนศิลป์ถอนหายใจยาว “การเลี้ยงดู การเติบโต สภาพแวดล้อม ประสบการณ์......มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ทำให้ผมกับครูธารทิพย์มองโลกต่างกัน”
 
                                 “แล้วกับหญิงคนนั้นละ...ที่เจ้ากินข้าวด้วยวันนี้ เขามองโลกต่างจากเจ้าหรือไม่.....”

                                  ชายหนุ่มฟังคำถามนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “อาจจะเหมือนกันอยู่บ่าง แต่ก็ไม่เหมือนกันซะทั้งหมดหลอก....

                            “แล้วชายคนนั้นละ....ที่ชื่อหนึ่ง.....”

                                 “โอ้ย....." ชายหนุ่มร้อง "รายนั้นไม่ต้องพูดถึงหลอก.....นี่อมร คนเราทุกคนต่างก็มีมุมมองแตกต่างกันออกไป ไม่มีใครหลอกที่จะมองโลกนี้เหมือนกับใครไปซะหมด”

                                   อมรเงียบไปคล้ายใช้ความคิด เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่เอาแต่จ้องมองไปยังดวงอาทิตย์นั้น มันเริ่มถูกผืนแผ่นดินกัดกินไปเกือบครึ่งแล้วและอีกไม่นานมันคงจะหมดไป 

                                   “นี่อมร.....”หลังจากเงียบไปนานหลายนาที เจนศิลป์ก็เอ่ยขึ้น “.....แม่ผมเขาจะมีความสุขมั้ยถ้าผมตายไปแล้ว”
 
                                   “ข้าไม่รู้ เด็กน้อยเอ๋ย....ข้าไม่อาจจะรู้ได้”

                                   “แต่คุณบอกเองว่า ถ้าผมตาย แม่ผมจะมีชีวิตที่เป็นสุขและยาวนานไม่ใช่หลอ.... คุณบอกเองนะ” น้ำเสียงราบเรียนของชายหนุ่มนั้นเจือไปด้วยโทสะเล็กน้อยแต่เขาก็ยังไม่ระสายตาจากเบื้องหน้า
   
                                    “ถูกต้องแล้ว ข้าพูดเช่นนั้น....”อมรตอบ “หากแต่ความหมายของข้านั้นคือ นับแต่วินาทีที่ชีพเจ้าดับสูญไป มารดาของเจ้าจะมีชีวิตที่ยืนนาน ไม่ทุกข์ด้วยขาดแครนปัจจัยทั้งสี่ ไม่ทุกข์ด้วยโรคภัย นางจะมีชีวิตที่สมหวังจวบจนลมหายใจสุดท้ายของนางหลุดลอยไป” อมรหยุด “ส่วนนางจะรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องพรากจากกับเจ้า หรือการจากไปของเจ้าจะมีผลอย่างไรกับนางนั้น ข้าไม่อาจจะรู้ได้....”

                                     เจนศิลป์ยิ้มที่มุมปากอย่างเจ็บปวดใจ “คิดว่าคุณรู้อนาคตเสียอีก....”
อมรทำเสียงขึ้นจมูกแต่ฟังดูคล้ายถอนหายใจมากกว่า ก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “ข้ารู้อนาคต.....เจ้าพูดถูกแล้วเด็กน้อยเอ๋ย หากแต่อนาคตที่ข้าร่วงรู้ได้นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของทั้งหมด....พูดเช่นนี้ไปเจ้าอาจจะไม่เข้าใจนัก ข้าจะอธิบาเช่นนี้ก็แล้วกัน”อมรสูดหายใจลึก

                                      “.....เจ้ารู้จักพรมลิขิตหรือไม่.....หรือโชคชะตา.....หรือชะตากรรม......หรือสิ่งไดก็ตามที่พวกเจ้าคิดว่าถูกกำหนดขึ้นโดยบางสิ่งเพื่อให้เจ้าเดินไปตามทางนั้น เป็นเหมือนเส้นทางที่ถูกกรุยกลายไว้แล้วรอให้พวกจ้าเดินไปพบกับบางสิ่ง เรียนรู้สิ่งนั้น และเดินทางต่อไป....”อมรหยุดและจ้องมองไปในดวงตาของเจนศิลป์

                                      “แล้วมันไม่ใช่หลอ......” ชายหนุ่มเอ่ย

                                      อมรส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่เลย ไม่แม้แต่น้อย.....สิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าชะตากรรมนั้นแท้จริงแล้วรูปลักษณ์ของมันก็ไม่ต่างจากผืนน้ำที่อยู่ต่อหน้าเจ้าในตอนนี้ มันกว้างใหญ่ เคลื่อนไหวตลอดเวลา ไร้ทางคาดเดา และพวกเจ้าทุกคนก็อยู่บนผืนน้ำนั้น เป็นเหมือนเส้นด้ายที่ล่องลอยอ้อยอิ่งเคลื่อนย้ายไปตามกระแสน้ำนั้น หนึ่งชีวิตแทนหนึ่งเส้นด้าย หนึ่งความยาวแทนอายุขัยที่พวกเจ้ามี ดังนั้นบนผืนน้ำนั้นจึงมีเส้นด้ายนับแสนนับล้านเส้นพัวพันวนเวียนกันอยู่มากมาย ทุก ๆ การสัมพัทธ์กันของเส้นด้ายเหล่านั้นเป็นสิ่งแทนการพบกันของพวกเจ้าแต่ละคน บางเพียงผาดผ่านกัน บ่างเฉียดกลายกันเพียงผิวเผิน บ่างก็แทบไม่เคยแม้แต่เฉียดใกล้กันเลย......และบ่าง....ก็เกี่ยวกระหวัดรัดกันจนเกิดเป็นปมยุ่งเหยิง”

                                      อมรหยุดหายใจอีกครั้งก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนตรงและเอามือทั้งสองข้างยัดลงไปในกระเป๋ากางเกง “มารดาเจ้าและเจ้าก็เป็นเช่นนั้นเอง เด็กน้อยเอ๋ย.....ความสัมพันธ์ของเจ้าทั้งคู่นั้นแน่นแฟ้น ยุ่งเหยิง แนบแน่น ราวกับปมที่พัวพันกันอย่างไร้ระเบียบ รัดแน่นเกินกว่าใครจะแก้ให้แยกออกจากกันได้ ซับซ้อนเกินกว่าใครจะเข้าใจ และนับวัน ปมนั้นก็ยิ่งรัดแน่นกันขึ้นมากกว่าเดิมเรื่อย ๆ......” อมรในร่างของเด็กชายยิ้มน้อย ๆ “ดูเหมือนข้าจะออกนอกเรื่องไปมากแล้ว....นั้นละคือ ชะตากรรม พรหมลิชิต โชคชะตา......อนาคตที่ข้าสามารถรู้ได้.......ข้ารู้ว่าเจ้าเกิดเมื่อไร และจะลิ้นเมื่อไดโดยไล่ไปตามเส้นด้ายของเจ้า....ซึ่งมันไม่ยากเลยเมื่อเส้นด้ายของเจ้านั้นช่างสั้นและรอบด้านก็ไร้ซึ่งเส้นได้อื่น ๆ มาพัวพันธ์ ทั่งชีวิตของเจ้ามีเพียงปมใหญ่ปมเดียวเท่านั้น นั้นคือมารดาของเจ้า หญิงสาวผู้ซึ่งถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่เฝ้ามอง และทันทีที่ชีวิตของเจ้าสิ้นสุดลงพร้อม ๆ กับกับการสรายไปของปมด้ายนั้น  เด็กน้อยเอ๋ย เมื่อถึงตอนนั้น ผู้คนเหล่านั้นก็จะพร้อมเข้ามาอุ้มชูชีวิตของนางให้ดำเนินไป ขมวดปมแห่งความสัมพันธ์อันใหม่ขึ้นกับนาง แม้ว่ามันจะไม่แนบแน่นกันอย่างที่นางเคยมีกับเจ้า แต่มันก็จะไม่รัดแน่นจนทำร้ายทั้งนางและอีกฝ่าย อย่างที่มันเคยทำร้ายเจ้ากับมารดา......”อมรเงียบไปคล้ายจมลึกลงสู่ห้วงความคิดของตัวเองเช่นเดียวกับเจนศิลป์ เขาเอาแต่จ้องมองดวงอาทิตย์ที่บัดนี้ส่วนที่เลยพ้นขอบฟ้ามาเหลือเพียงน้อยนิด แต่มันก็ยังทอแสงกล้าไม่ต่างจากเดิม ความมืดบนท้องฟ้าเริ่มย่างกลายมาจากอีกฝั่ง ดวงดาวบนฟ้าเริ่มทอแสง ดวงจันทร์ที่วันนี้ดูบางราวกับเส้นผมนั้นลอยเด่นขึ้นจากมุมหนึ่งของฝากฟ้า   

                                     “สิ่งนั้น....ความสัมพันธ์อันรัดแน่นที่เจ้ามีต่อมารดานั้น....เรียกว่าความรักใช่หรือไม่.....” อมรเอ่ยขึ้นในที่สุด

                                     “ใช่....”เจนศิลป์ตอบเบา ๆ

                                     “เช่นนั้นแล้ว เหตุไดมันจึงทำร้ายเจ้ากับมารดาเจ้าละ....ทั้งที่ความรักนั้นควรจะเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ใช่หรือ....”

                                     เจนศิลป์ยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง “ความรักนะเป็นสิ่งที่ดี....ตราบไดที่มันมีไม่มากเกินไป”เจนศิลป์พูดพรางมองอีกฝ่าย “ก็เหมือนอย่างที่คุณว่านั้นละ เปรียบความรักก็เหมือนปมบนเส้นด้ายนั่น ยิ่งรักมากเท่าไร ปมมันก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น...ยิ่งผูกพันมากขึ้นเท่านั้น.......ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น.....จนสุดท้าย ด้ายเส้นที่เล็กกว่า อ่อนแอกว่า ก็จะขาดเพราะรับแรงตึงแน่นไม่ไหว..........” ชายหนุ่มหยุด “ความรักที่มากเกินไป มันก็เป็นแบบนี้ละ.....นอกจากมันจะทำร้ายตัวเราเองแล้ว ยังทำร้ายคนที่เรารักด้วย”         

                                       อมรมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่บัดนี้ดูเรียบเฉยแต่แฝงเร้นไปด้วยความหม่นหมอง “หากรู้เช่นนั้นแล้ว เหตุไดเจ้าไม่หยุดละ ลดทอนความรักนั้น ให้เบาบางลง....”

                                      เจนศิลป์ไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืนบนริมเขื่อนนั่นก่อนจะหันหลังและกระโดดลงมายืนอยู่ข้างอมร

                                      “ผมก็เคยบอกคุณไปแล้วนิ......แต่ชั่งเถอะ พูดไปคนอย่างคุณก็ไม่เข้าใจหลอก....”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินจากไป ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนมองตามหลังอย่างสงสัย
 
                                      “คนอย่างข้า อย่างนั้นหรือ......”

                                      เจนศิป์เดินกลับบ้านด้วยท่าทางและจิตใจที่อ่อนล้ากว่าเดิมหลายเท่า 

                                      “ลดทอนความรักนั้น ให้เบาบางลง”คำ ๆ นั้นของอมรทำให้ชายหนุ่มนึกสมเพชในความไม่รู้ของอีกฝ่าย หากว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งง่าย ๆ อย่างที่พูด มันก็ดีนะสิ หากสิ่งนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เขาคงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ ไม่ต้องมาทำงานมากมายอย่างนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องสนใจ และไม่ต้องถูกผู้เป็นอาด่าว่าแบบนี้
 
                                      ปลายเท้าของชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าห้องของหญิงกลางคน เขาหวังว่าจะเห็นเธอคนนั้นยังนอนอยู่ไม่ลุกไปไหนแต่ภาพของหญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียงก็ไม่อาจทำให้เขาประหลาดใจไปได้  ตรงหน้ามีชามข้าวต้มที่ช้อนล้วงหล่นไปอยู่กับพื้นก็ปรากฏแก่สายตา เธอจ้องมองมายังผู้มาถึงด้วยสายตาว่างเปล่า ว่างเปล่าอย่างไร้สิ่งไดเจือปน
 
                                       เจนศิลป์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินไปเก็บช้อนนั้นขึ้นจากพื้นและลงไปหยิบคันใหม่มา เขานั่งลงตรงหน้าของเธอ และเริ่มป้อนข้าวให้กับผู้เป็นมารดา ...... แล้วปมอันใหญ่นั้น.....ก็บีบรัดหัวใจเขา.....อย่างเจ็บปวด

.......................................................................................

 :a6: :a6: :a6:ตอน(โครต)ยาวก็เล่นเอาหมดแรงอีกแล้วครับผม :a6: :a6: :a6:

...


หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 26-03-2008 23:39:00
ตอนโครตยาว อ่านแล้ว แอบเครียด  o2
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 26-03-2008 23:59:33
มาต่อแล้วหรอ เย้ๆๆ มาทีเพียบเลย
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 31-03-2008 20:37:03
เย้ ๆ หายไปหลายวัน กลับมาอ่านต่อ เจออย่างยาว  :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 06-04-2008 14:21:00
มาแล้วครับ


                   กิตติกำลังหยิบเสื้อผ้าในตระกล้าขึ้นใส่ไม้แขวนเพื่อตากให้แห้งขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาเดินไปหยิบมันจากโต๊ะหัวตียงก่อนจะเห็นชื่อผู้ที่โทรเข้ามา ชายหนุ่มหันไปมองรอบห้องก่อนจะรู้ว่าสาริณีกำลังอาบน้ำอยู่ 

                       “มีอะไรอีกละ....บอกแล้วว่าอย่าโทรมาอีก....”ชายหนุ่มว่าพรางเดินออกจากห้องมายังโถงทางเดินด้านนอก

                       “แมวขอโทษ...แมวผิดไปแล้ว” หญิงคนนั้นว่าระคนเสียงสะอื้นให้ “ยกโทษให้เราเถอะนะ....”
 
                      “อะไรเนี้ยแมว....พอเถอะ” ชายหนุ่มว่า แต่สีหน้าก็ดูเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่น้อย “เม่นกับแมวเลิกกันไปแล้ว มันจบแล้ว จะมาทำแบบนี้เพื่ออะไรเนี้ย”

                     “ก็แมวไม่อยากเลิกกับแม่น....แมวรักเม่นนะ”
หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหวอย่างเจ็บปวดราวกับถูกก้อนน้ำแข็งแห้งราดรด ทำไมเขารู้สึกแบบนี้นะ ทั้งที่รู้คำตอบนั้นอยู่เต็มอก แต่เขาก็ไม่อย่างจะรับความจริงข้อนั้น

                     “แล้วไอ้คนที่ชื่อกรอะไรนั้นละ....มันไม่อยากได้แมวแล้วหรือไง”

                    “ทำไมเม่นพูดอย่างนั้นละ”เสียงเธอสะอื้นให้มากกว่าเดิม ชายหนุ่มพยายามบอกกับตัวเองว่านั้นเป็นเพียงสิ่งลวงตาที่หญิงคนนั้นเสกสรรปั่นแต่งขึ้นมาทั้งหมด ไม่มีความจริงอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะทำแบบนั้นในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเชื่อทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของเธอเสมอ “แมวกับกรไม่มีอะไรกันจริง ๆ ทำไมเม่นไม่เชื่อแมวละ...วันนั้นที่แมวเดินหนีมาไม่ใช่ว่าเพราะอยากเลิกกับเม่นนะ แต่เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าเม่นจะพูดแบบนั้นออกมาได้......มันไม่ได้เกี่ยวกับกรเลยจริง ๆ”

                    “แล้วมาบอกอะไรตอนนี้ละแมว ทำไมไม่บอกตั้งแต่วันนั้น ไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้....” ชายหนุ่มถอนหายใจยาวราวกับตนได้พูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป “....เม่นไม่อยากกลับไปเจอะอะไรเดิม ๆ อีกแล้ว....เม่นไม่อยากกลับไปเป็นตัวตลกโง่ ๆ ที่คอยตามแมวเหมือนหมา คอยให้เพื่อนแมวหัวเราะใส่หน้า เม่นพอแล้วละแมว”
เธอคนนั้นเงียบไปคล้ายยอมจำนนต่อคำพูดของชายหนุ่ม และอีกหลายวินาทีต่อมานั้นก็เต็มไปด้วยความเงียบที่แสนอึดอัด เต็มไปด้วยการใช้ความคิดของทั้งสองฝ่ายก่อนที่ชายหนุ่มจะกดตัดสายของเธอไป กิตติเดินเข้าห้องด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะลื่นล้มอยู่ตรงหน้าห้อง เขาเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าหญิงคนนั้นออกมาจากห้องน้ำแล้ว   

                     “ใครโทรมาหลอ.....”สาริณีเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่ตัวยังอยู่หลังประตูตู้เสื้อผ้าทำให้ชายหนุ่มไม่อาจจะเห็นสิหน้าของเธอได้ยามเมื่อถามคำถามนั้น
 
                     “ที่บ้านนะ....ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มโกหกไปพรางโยนโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องแล้วไว้บนเตียงก่อนจะกลับไปตากผ้าต่อ
 
                     “แล้วที่บ้านแม่นโทรมาเรื่องอะไรหลอ...”

                    “ก็เรื่องทั่วไปนะ จะกลับบ้านมั้ย กินข้าวหรือยัง เรียนเป็นยังไง.....”
หญิงสาวเงียบไปและเป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอจะได้ยินสิ่งที่เขาคุยหรือเปล่า ถ้าเธอได้ยิน เธอจะคิดอย่างไร เธอจะโกรธหรือเปล่า แต่เธอมีสิทธที่จะโกรธด้วยหรือ......
ชายหนุ่มแขวนเสื้อตัวสุดท้ายไว้บนราวก่อนจะเอนตัวและหัวออกไปนอกชานมองดูยามเย็นอันเงียบเชียบนั้นด้วยความคิดที่วุ่นวายอยู่ในหัว

                    ตลอดระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมานั้นชายหนุ่มไม่อาจพูดได้เต็มปากได้ว่าเขาไม่มีความสุขที่ได้อยู่และแนบชิดกับสาริณี เขามีความสุขอย่างมากล้น แต่ความสุขนั้นกลับถูกห่มคลุมไปด้วยความรู้สึกที่หนักหน่วงจนปวดร้าวไปทั้งใจ ความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่เขาทั้งสองมี สิ่งที่กระทำ สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะจริงนั้นแท้ที่จริงแล้วมันเป็นสิ่งจริงแท้แน่หรือ มันถูกต้องแน่หรือ หญิงสาวคนนั้นต้องการเขาจริง ๆ หรือเปล่า เขาอยู่ในที่แห่งไดในจิตใจและชีวิตของเธอ เป็นคนรัก เป็นเพื่อน หรือบางสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างนั้น ชายหนุ่มไม่อาจจะให้คำตอบนั้นได้ เพราะทุกครั้งที่ชายคนนั้นของหญิงสาวโทรเข้ามา เธอจะรีบวิ่งไปหาและรับมันอย่างรีบร้อนราวกับไม่อาจคอยที่จะพูดคุยกับเขาคนนั้นได้อีกต่อไปแล้วแม้แต่วินาทีเดียวก็ตาม น้ำเสียงที่นุ่มนวลนั้น แววตาที่เป็นประกาย รอยยิ้มที่ผุดพราย และท่าทางทางกายมันบ่งบอกอย่างเด่นชัดว่าเธอยังไม่ต้องการหยุดความสัมพันธ์นั้น กลับกัน เธอมีความสุขอย่างเหลือล้มเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย

                     ตัวเขากับเธอคนนั้นเป็นอะไรกัน.....ชายหนุ่มถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอย่างเหนื่อยอ่อน สาริณีเห็นเขาเป็นอะไรกัน เป็นสิ่งของที่วางอยู่ในห้องไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ เป็นสัตว์เลี้ยงที่เธอเชื่ออย่างสนิตใจว่าสื่อสัตย์กับเธอเพราะรู้ว่าเขาไม่มีที่ไปหรือ หรือเธอเห็นเขาเป็นเพียงเพื่อนสนิตที่คอยอยู่ใกล้ ๆ คอยปลอบใจเธอยามอ่อนล้า ชายหนุ่มไม่รู้จริง ๆ

                      เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้น เขาหันไปทางต้นเสียงจึงเห็นสาริณีเดินมาและยื่นมันให้กับเขา
“ธาโทรมา”เธอว่าพรางใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมของตัวเองไปมา

                      กิตติรับมันจากมือเธอและกดรับสาย

                     “ว่าไง”เขาว่า

                     “วันนี้ไปสะพานพุธกัน.....แค่นี้นะ ตังค์หมดแล้ว...”เสียงของอีกฝ่ายฟังดูสดใสกว่าปรกติมากก่อนจะวางสายไป

                     ชายหนุ่มทำสีหน้างงงันเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง

                     “มีอะไรหลอ.....” สาริณีถามพรางนั่งลงบนขอบเตียง เธอยังไม่หยุดเช็ดผม

                    “ธาโทรมาชวนไปสะพานพุธ.....ไปมั้ย”

                   “กี่โมงละ”เธอถามพรางมองหน้าอีกฝ่าย เขาหลบสายตานั้น

                   “ไม่รู้สิ...ไม่ได้บอก เห็นว่าตังค์จะหมดก็วางไปเลย....ไปมั้ย”ชายหนุ่มทิ้งทายด้วยคำถามเดิม
เธอทำหน้าคิดก่อนตอบ

                   “ไปก็ได้มั้ง....อยู่แต่ที่ห้องเบื่อจะตายไป...”

                   แล้วทั้งสองก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่สาริณีจะถามขึ้น

                   “เม่นว่าธาจะรู้หรือเปล่า....”       

                   “รู้อะไรหลอ....”ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ

                   “เรื่องของสากับเม่นไง”

                   กิตติเงียบไปหลายวินาทีก่อนเอ่ยตอบ “ก็คงรู้ละมั้ง ถ้าไม่รู้ก็คงไม่พูดแบบนั้นหลอก”

                   หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับชายหนุ่ม กิตติตอบสายตาของเธอด้วยการจ้องเข้าไปในตาของหญิงสาวราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนและไม่เคยรู้ว่าดวงตาของเธอนั้นสวยแค่ไหน

                   “สา...”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ พรางยกมือขึ้นลูบหัวที่เบียกชื้นของเธอเรื่อยลงมาถึงไหล่ อีกฝ่ายหันมาและเห็นชายหนุ่มจ้องเธอไม่วางตา “เม่นรักสานะ....”

                   ดวงหน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ตอนเธอคุยกับชายคนนั้นเธอก็ไม่ยิ้มแบบนี้ มันเป็นยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยเห็นมา 

                   “อะไรเม่น....”เธอว่าพรางหัวเราะ “เม่นไม่ใช่หมอนะ จะ รักสาได้ยังไง”

                    ชายหนุ่มหัวเราะตามคำพูดของเธอ

                    “อะไรว้า....จะซึ้งสักหน่อยก็ไม่ได้.....”

...........................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 06-04-2008 14:31:23
 


                  เจนศิลป์ก้าวเท้าออกมาจากรถของพิราบและหันไปปิดประตูเบา ๆ ก่อนจะมองไปรอบตัว

                  ที่ ๆ เขายืนอยู่นี้เป็นวัดแห่งหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าชื่อวัดอะไร แต่ดูเหมือนพื้นที่วัดเกือบทั้งหมดจะถูกใช้เป็นที่จอดรถไปหมดแล้ว ทั้งพื้นที่รอบเมรุ ลานปฏิบัติธรรม พื้นที่ว่างเกือบทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยรถหลายสิบคันดูแล้วชวนให้คิดว่านี่คงเป็นเหตุผลส่วนใหญ่ของคนสมัยนี้กระมังที่จะหันหน้าเข้าวัด.....ใช่จอดรถ

                  แต่ถึงกระนั้นกลิ่นไอแบบอารามก็ยังคงลอยตัวอยู่หนาแน่น ทั้งความเงียบอย่างสงบ ร่มเงาของต้อนไม้หนาทึบและเสียงกิ่งก้านกระทบกันยามต้องสายลม ยิ่งเป็นเวลากลางคืนแบบนี้ความมืดมิดยิ่งทำให้สิ่งเหล่านั้นแผ่ปรกคลุ่มไปทั่วทั้งบริเวณกอดรัดผู้คนที่อยู่ที่นี่ให้รู้สึกถึงความผิดบาปที่ตนเคยก่อไว้ 

                  “ไปกันยังละ” เสียงพิราบดังมาจากด้านหลัง เจนศิลป์หันไปทางต้นเสียงและพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเปิดผ่าคลอบเลนส์ของกล้องที่แขวนอยู่ที่คอ

                  “ไม่อยากจะเชื่อนะเนี่ยว่าคอมจะถ่ายรูปเป็นด้วย.... ตอนแรกนึกว่าสะพายกระเป๋ากล้องทำเทห์สะอีก” พิราบว่าพรางมองอีกฝ่ายกระชับสายกระเป๋ากล้องที่พาดอยู่บนไหล่ข้างซ้ายให้แน่น

                  เจนศิลป์ยิ้ม “ก็นิดหน่อยนะ....ไม่ได้เก่งอะไรหลอก”

                  ไม่ทันจบคำคนทั้งสองก็ก้าวออกมาจากเขตวัดและภาพของตลาดสะพานพุธก็ปรากฏแก่สายตา

                  เจนศิลป์จำไม่ได้แล้วว่าเขาได้ยินชื่อนี้ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไรแต่เขาก็แอบนึกภาพของมันไว้ในหัวอย่างชัดเจน ร้านรวงที่ตั้งเรียงกันไปตามความยาวของสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เขาคิดเอาเองว่ามันคงมีสภาพไม่ต่างจากตลาดนัดตามงานวัด มีปลาหมึกปิ้งกับหอยทอดผัดไทยอะไรพวกนั้นวางตัวอยู่คู่กับสินค้าอุปโภคต่าง ๆ  แต่เขาก็ได้ประจักรแก่สายตาวันนี้เองว่าภาพในสมองของเขานั้นผิดไปอย่างไม่เหลือเค้าเดิม

                   ตลาดสะพานพุธนั้นคือกลุ่มก้อนร้านค้าต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ลิมบาทวิทียาวไปจนสุดสายตาไม่ต่างกับรอบนอกของตลาดนนทบุรีที่ชายหนุ่มรู้จัก บีบดันให้ผู้คนนับร้อยต้องลงมาเดินอยู่บนท้องถนนที่การจราจรขวักไขว่ แสงไฟนิออนส่องสว่างไปทั่วทุกก้าวเดิน บางช่วงที่บาทวิทีจะมีขนาดใหญ่ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองช่องเพื่อจะได้ตั้งร้านค้าได้มากขึ้นแต่แทบไม่มีทางเดินให้ผู้คนเข้าไปจับจ่าย เสียงเพลงฟังไม่ได้ศัพท์ดังแววมาตามสายลมปะปนกับเสียงพูดคุยตะโกนกันของผู้คนที่เดินเบียดกันไปมา

                   เจนศิลป์ยืนมองด้วยความงงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงพิราบจะดังขึ้น

                   “เป็นไรคอม...”

                   เขาส่ายหน้าพรางยิ้มคล้ายขำกับความโง่เง่าของตัวเอง “แล้ว ไปทางไหนดี”

                   “อือ...ไปทางสะพานดีกว่า....ของเยอะกว่าด้วย”

                    เจนศิลป์พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะออกเดินตามพิราบไป
 
                    ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาจับจ่ายซื้อของที่นี่นั้นดูเหมือนจะหลากหลายจนยากที่เจนศิลป์จะจัดหมวดหมู่ แต่โดยรวมแล้วผู้คนเหล่านี้นั้นแตกต่างกันอยู่สองสิ่งอย่างชัดเจน

                   นั้นคือวัยและสถานะภาพที่บ่งบอกออกมาจากการแต่งกาย

                   เจนศิลป์ชายสายตามองไปรอบ ๆ พรางพยายามประเมินสิ่งที่เห็นด้วยสายตา เด็กหญิงแต่งกายด้วยเสื้อยืดตัวเล็กและกางเกงขาสั้นกุดแต่อายุคงไม่เกินสิบสี่ดูแล้วให้ความรู้สึกเจนโลก ชายหนุ่มที่เดินไปมาด้วยกางเกงยีนส์สีซีดและเปลือยท่อนบนที่มีรอยสักรูปสิงสาราสัตว์มากมายนอนตัวขดกันไปมาตามลำแขน แผ่นหลังและหน้าอกปะปนไปกับอัครทางศาสนา หญิงสาวบางคนแต่งกายด้วยเพียงเสื้อยืดและกางเกงยีนส์แต่กลับให้ความรู้สึกที่ห่างไกลจากระดับของเจนศิลป์มาก ชายหนุ่มบางพวกก็เดินไปไหนมาไหนเป็นกลุ่มก้อนด้วยการแต่งกายคล้าย ๆ กัน เสื้อยืดสีดำ กางเกงทรงพิตสีเดียวกันที่เมื่อดูแล้วอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าเนื้อหนังไปอยู่ที่ไดหมด อีกทั้งทรงผมแปลกประหลาดและขอบตาสีดำนั้นก็ชวนให้แปลกใจเหลือเกินว่าคนพวกนั้นต้องการอะไรกับชีวิตกันแน่ ยามที่กลุ่มคนเหล่านั้นเคลื่อนขบวนไปไหนมาไหนผู้คนรอบข้างจะแหวกทางจนเกิดที่ว่างพอให้พวกคนเหล่านั้นผ่านไปดูไปแล้วเจนศิลป์ก็รู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นช่างเป็นสิ่งมีชีวิตแสนสบายที่ไม่ว่าจะไปที่ใด คนในสังคมก็จะเว้นที่ว่างรอบกายให้เสมอ เจนศิลป์หยุดและถ่ายรูปกลุ่มคนเหล่านั้นไว้ก่อนจะเดินจากมา

                    ทั้งสองเดินดูสินค้าต่าง ๆ ไปอย่างไม่มีจุดหมาย นาน ๆ ครั้งพิราบจะฉุดแขนอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปในร้านนั้น ออกร้านนี้ คุยนั้นคุยนี่กับพ่อค้าแม่ขายอย่างไม่มีสาระมากนัก จนมาถึงช่วงหนึ่งของตลาดที่กับติดริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา กลิ่นชื้นแห้งคุ้นจมูกลอยเข้ามาปะทะหน้าเจนศิลป์ปะปนไปกับกลิ่นกายและลมหายใจของผู้คนนับร้อย ๆ จนเพียงแค่หายใจเอาอากาศเขาปอดก็กลายเป็นเรื่องยากแสนยาก พวกจึงหลบออกมาเดินบนท้องถนนด้านนอกแทน

                     “คนเยอะชิบหายเลย....” เจนศิลป์เอ่ยเบา ๆ พรางมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น

                     “ก็งี้ละ...สะพานพุธ...คอมไม่เคยมาหลอ”พิราบถามขึ้น

                     เจนศิลป์พยักหน้าน้อย ๆ พรางยิ้ม

                     “ถ้าเป็นคนอื่นคงแปลกมากเลย....แต่ถ้าเป็นคอมก็คงไม่แปลกหลอก...”อีกฝ่ายพูดเสียงสูง “ขนาดเอ็มเคในห้างยังหาไม่เจอะเลย.....”ว่าแล้วก็หัวเราะเช่นเดียวกับเจนศิลป์

                     ทั้งสองเดินดูสินค้ากันไปอีกพักหนึ่งปากก็พูดคุยเรื่องต่าง ๆ กันมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพิราบเสียมากกว่าที่พูดนั้นพูดนี่ไปเลื่อย ส่วนเจนศิลป์ก็เพียงเออออไปตามนั้นอย่างไม่คิดอะไรมากบางครั้งเขาก็แกล้งอีกฝ่ายด้วยการหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อถ่ายภาพปล่อยให้คนพูดเดินพูดคนเดียวไปไกล พอพิราบรู้ตัวก็จะวิ่งกลับมาหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ 

                      “อะไรว้า....เราน่าลำคารขนาดนั้นเลยหลอไง” พิราบเอ่ยพรางยิ้ม

                      “ก็ไม่เชิง” เจนศิลป์ยิ้มตอบ

                      เจนศิลป์สังเกตว่าสินค้าส่วนใหญ่ของที่นี่นั้นจะเป็นเสื้อผ้าตามแฟชั่นเสียมาก รองลงมาก็เป็นพวกเครื่องประดับ เข็มขัด เครื่องเงินที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าว่าแท้ไม่มีเหลืองไม่มีลอก ต่อลงมาอีกก็เป็นพวกรองเท้า และสุดท้ายก็เป็นของกิน บุหรี่แปลก ๆ โถรูปทรงประหลาด

                      “เขาเรียกมะละกูด” พิราบเอ่ยเมื่อเห็นเจนศิลป์หยุดดู “ดูดแล้วแม่งโครตเปื่อยอะ” ต่อลงมาอีกก็เป็นพวกของเล่น ของละเมิดลิขสิทธิ์จำพวกซีดีเพลง หนังอย่างว่าที่ขายกันอย่างถึงตัวกลุ่มเป้าหมายชนิดที่คนจบปริญาเอกการตลาดยังต้องยอมสิโรราบ

                       “น้องโป๊มั้ยน้อง....”ชายหนึ่งเอ่ยขึ้นพรางใช้แขนโอบคอเจนศิลป์ไว้ราวกับรู้จักคุ้นเคยกันมาเป็นสิบปี ในมือก็ถือซองหนังอย่างว่าปากก็โอ้อวดสัพคุณต่าง ๆ ทั้งลีลา เชื่อชาติ หรือแม้แต่สายพันธุ์ของสิ่งที่ร่วมรัก
แต่เจนศิลป์ดูจะไม่สนใจตัวสินค้ามากนักแต่ดูจะงงงันกับมิตรภาพอันแน่นแฟ้นที่อีกฝ่ายให้มามากกว่า

                       “ไม่เอาครับพี่ ไม่เอา” เสียงพิราบที่หันมาเห็นเข้าเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียก่อนจะดึงแขนของเจนศิลป์ออกเดินไป

                       “เขาขายกันแบบนี่เลยหลอ....ไม่หลัวถูกตำรวจจับหรือไง” เจนศิลป์เอ่ยพรางหันไปมอง ชายคนนั้นยังคงกวักมือและร้องเรียกเขาอยู่

                      “จะไปกลัวทำไมเล่า....”อีกฝ่ายตอบยิ้ม ๆ “ตำรวจมันก็ดูเหมือนกัน ทำอย่างกับมันไม่ดู......เฮ้ย...ร้องเท้าสวยดี....เดี๋ยวเราดูรองเท้าก่อนนะ” จบคำอีกฝ่ายก็เดินเข้าไปในร้านรองเท้าที่มีทั้งตั้งทั้งแขวนเต็มไปหมด เจนศิลป์มองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกมาหยุดที่ร้านติดกัน

                       ร้านที่ตั้งอยู่ติดกันนั้นเป็นร้านขายเครื่องกระดับเงิน ทั้งต่างหู แหวน สร้อย สินค้าถูกวางอยู่บนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำอย่างดีตัดกับสีเงินแวววาว บ่างก็วางอยู่ในตู้กระจกหน้าคนขาย

                       “เงินแท้นะน้อง ใส่แล้วไม่เหลืองไม่ลอก” เสียงคนขายที่เป็นชายตัวดำท้วมเอ่ยขึ้นหลังจากกลืนเส้นก๋วยเตียวที่ค้างอยู่ในปากจนหมดและมันนับเป็นรอบที่ร้อยแปดแล้วที่ชายหนุ่มได้ยินแบบนี้ เขาจึงแค่ยิ้มและพยักหน้าโดยไม่มองอีกฝ่าย ตาก็มองดูไปตามแถวเครื่องประดับเหล่านั้นอย่างไม่นึกอยากได้อะไรเป็นพิเศษ จนสายตาเขามาหยุดอยู่ที่แหวนวงหนึ่ง มันเป็นแหวนทรงสี่เหลี่ยมดูแปลกตา ผิวเรียบไม่มีลวดลายอะไรแต่ด้วยรูปทรงนั้นทำให้มันดูโดเด่นกว่าวงอื่น ๆ

                        เจนศิลป์หยิบขึ้นมาดู รูสวมดูออกจะเล็กไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับรูปทรงด้านนอก

                        “ชอบหลอ.....”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เจนศิลป์หันไปมองจึงรู้ว่าเป็นพิราบ

                        “อ้าว....ได้รองเท้าหรือเปล่าละ”เจนศิลป์เอ่ยพรางมองอีกฝ่าย

                        “นี่ไง....”พิราบตอบพรางยกถุงรองเท้าขึ้นให้ดูก่อนจะถามขึ้น “แล้วไงละ....ชอบวงนี้หลอ”

                        “อือ...แต่คงเล็กไป”

                        “แล้วลองใส่หรือยังละ...ถ้าไม่ลองก็จะรู้ได้ไง พี่...ลองใส่ได้มั้ยครับ” พิราบเอ่ยอย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบจากเจนศิลป์ คนขายพยักหน้าทั้งที่เส้นก๋วยเตี๋ยวคาปากอยู่ พิราบจึงคว้าแหวนจากมือของเจนศิลป์ไป
 
                        “แหวนแบบนี้เขาต้องใส่นิ้วโป้งกัน...”พิราบว่าพรางลองใส่เข้าไปที่นิ้วโป้งของเจนศิลป์แต่ไม่ได้เพราะแหวนเล็กเกินไป
 
                       “ก็บอกแล้วว่าแหวนมันเล็กไป.....มาเดี๋ยวเราลองใส่เอง”เจนศิลป์เอ่ยอย่างหัวเสียเล็กน้อย

                       “งั้นก็ลองนิ้วอื่นดูแล้วกัน” พิราบไม่ยอมให้แหวนแก่อีกฝ่าย เขาลองใส่เข้าไปที่นิ้วก้อย

                       “หลวม...”เจนศิลป์เอ่ยบอกอีกฝ่าย พิราบจึงขยับมาอีกหนึ่งนิ้ว

                      “นี่ไง ใส่ได้แล้ว” พิราบเอ่ยพรางยิ้มก่อนที่จะรู้ว่าตอนนี้แหวนวงนั้นอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเจนศิลป์ เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาประหลาด ทั้งสับสน และไม่แน่ใจ

                      “เราว่านิ้วนี้ไม่ค่อยดีว่ะ....ลองนิ้วอื่นดีกว่า” จบคำพิราบก็ดึงแหวนออกจากนิ้วของเจนศิลป์ แต่มันติดอยู่ที่ข้อนิ้วไม่สามารถเอาออกได้ ทั้งคู่ลองเอาออกอยู่นานจนเสียงพ่อค้าเอ่ยขึ้น

                      “แหวนมันติดแล้วละน้อง ของมันเจอะเจ้าของแล้วอย่าไปฝืนมันเลย ซื้อไปเถอะ”

                      พิราบมองหน้าของเจนศิลป์ที่ตอนนี้สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ได้ ๆ เอาแต่มองไปที่แหวนวงนั้น และความไม่แน่ใจก็เริ่มปรากฏขึ้นในหัว เขากำลังทำอะไรอยู่นะ....ก็แค่แหวนวงเดียวไม่ใช่หรือ...หรือมันมีความหมายมากกว่านั้นกัน

                      “เท่าไรครับพี่” พิราบเอ่ยพรางล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา

                     “เฮ้ย...ไม่เป็นไร เราออกเองก็ได้...”

                     “ไม่ต้องหลอก”ว่าแล้วก็ควักเงินออกมาจ่ายให้คนขาย และทั้งคู่ก็เดินจากมา

                      พิราบพาเจนศิลป์เดินไปจนทั่วโดยที่เริ่มพูดน้อยลงทุกทีจนเจนศิลป์รู้สึกได้ ทั้งคู่เข้าร้านนั้นออกร้านนี้อีกสามสี่ร้านจนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนนี้สิ่งของเริ่มเต็มไม้เต็มมือไปหมดอีกทั้งขาก็เริ่มล้าหมดแรงก้าว เขาทั้งสองจึงพากันหย่อนกายลงนั่งริมโป๊ะเรือ มันยื่นเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ในเวลานี้ดูเงียบสงบอย่างแปลกประหลาด ท้องน้ำมือมิดไร้วี่แววชีวิตได ๆ เสียงน้ำกระทบตัวกันเบา ๆ ใต้โป๊ะฟังดูน่าขันปะปนไปกับเสียเพลงเบา ๆ ที่ลอยตามลมมา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นสะพานพุธทอดตัวยาวออกไปจนถึงอีกฝั่งของแม่น้ำ แสงไฟจากสะพานยังคงส่องสว่างแม้ว่ายวดยานจะน้อยลงแล้วก็ตาม

                       เจนศิลป์จ้องมองดูแหวนที่อยู่บนมือพรางหมุนมันไปมา “ขอบใจนะเรื่องแหวน”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา

                      “เฮ้ย...ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก อีกอย่างเราก็เป็นคนทำมันติดเราก็ต้องรับผิดชอบสิ”อีกฝ่ายยิ้มเป็นคำตอบ ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เจนศิลป์จะหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบอีกฝ่ายหันมาเห็นเข้าจึงเอ่ยถามขึ้น “คอมสูบบุหรี่ด้วยหลอ”
 
                       “อือ” ชายหนุ่มตอบก่อนจะปล่อยควันสีขาวออกมา

                        “สูบมานานหรือยัง กี่ปีแล้ว” อีกฝ่ายถามต่อ

                        “ก็...”เจนศิลป์กลอกตาขึ้นด้านบนคล้ายนึกอะไรบางอย่าง “....สักม.สอง ม.สาม ได้มั้ง”

                        “โห...งั้นก็นานแล้วสิ” ชายหนุ่มเอ่ย “ทำไมต้องสูบละ...เครียดหลอ”

                       เจนศิลป์ยิ้มน้อย ๆ พรางเขี่ยบุหรี่ลงแม่น้ำด้านล่าง “ก็ไม่เชิงหลอก”

                       “งั้นสูบทำไมละ”พิราบเอ่ยคล้ายคาดคั้น

                        เจนศิลป์เงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “บางครั้งเวลาสูบบุหรี่มันก็เหมือนได้หยุดพักนะ...มันช่วยให้เราลืมปัญหาต่าง ๆ ไปพักหนึ่งก่อนจะเริ่มทำอะไรต่อไป”

                         พิราบเสมองไปทางอื่นคล้ายใช้ความคิด“งั้นคอมก็มีเรื่องต้องคิดมากนะสิ...เครียดเรื่องอะไรละ บอกได้หรือเปล่า...”

                         เจนศิลป์ถอนหายใจน้อย ๆ “ที่บ้าน งาน เงิน ทุกอย่างนั้นละ”

                         “เงินด้วยหลอ...อ้าวที่บ้านไม่ได้ให้เงินใช้หรือไง”

                         “ก็ไม่เชิงหลอก....”เจนศิลป์พูดเสียงสูง สีหน้าดูเรียบเฉยอย่างประหลาด “ที่บ้านเรามีแค่เรากับแม่ แม่เราเขาก็ไม่ค่อยสบาย เราก็ต้องหางานทำเอาเงินมาใช้”

                          “อ้าว แล้วญาติละ....เขาไม่ช่วยไม่อะไรเลยหลอ” พิราบถามต่อ

                           “เขาก็ช่วยบ่าง แต่เราก็ไม่อยากเป็นภาระเขามากนะ อย่างอาหมอที่หนึ่งเจอะวันนั้นเขาก็ช่วยนะ แต่เราไม่อยากให้เขาเดือดร้อน”

                            “งงว่ะ...” อีกฝ่ายพูดพรางยิ้มและเกาหัวตัวเองไปมา “เขาให้ คอมก็น่าจะรับไว้นะ”

                           เจนศิลป์ถอนหายใจอีกครั้งคล้ายหนักใจก่นจะเอ่ยต่อด้วยเสียงราบเรียบ “หนึ่งพูดได้ก็เพราะว่าหนึ่งมีมากไง แต่กับเรา เราคงทำไมได้หลอก ถ้าไปเอาของเขามามาก ๆ มันก็เหมือนต้องพึ่งเขาตลอดไป มันจะเคยตัว สู้เราหาเอง ใช่เอง คิดเอง ทำเองดีกว่า”

                            จบคำทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งจนเจนศิลป์เริ่มคิดว่าสิ่งที่เขาพูดไปนั้นอาจจะรุนแรงจนไปทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายก็เป็นได้

                             “แต่ของบางอย่าง มีมากก็ใช่ว่าจะแทนของบางอย่างได้นะ” ในที่สุดพิราบก็เอ่ยขึ้น “อย่างเวลาเหงา ๆ มีเงินมากแค่ไหน ก็ทำให้มันหายไปไม่ได้หลอก”

                              “อย่างหนึ่งนะหลอเหงา” เจนศิลป์เอ่ยพรางยิ้มน้อย ๆ คล้ายดีใจ “ไอ้เราก็คิดว่าจะเพื่อนมีแฟนเยอะสะอีกนะ”

                               พิราบยิ้มและหัวเราะออกมา “มันก็มีนะน่ะ....แต่บางทีคนเยอะคนน้อยมันก็ไม่เกี่ยวหลอก บางครั้งคนเยอะ ๆ มันก็ทำให้เหงากว่าเวลาเราอยู่คนเดียวก็มี”

                               เจนศิลป์พยักหน้าคล้ายเข้าใจก่อนที่ทั้งคู่จะเงียบไปอีกครั้ง

                               “แล้วคอมละ ไม่มีแฟนหลอ”

                               เจนศิลป์ส่ายหัวน้อย ๆ พรางยกบุหรี่ขึ้นสูบ

                                “ทำไมละ...อย่างคอมนี่ก็ใช่ว่าเป็นคนไม่ดีนะ หน้าตาก็ดี ขยันก็ขยัน คิดว่าจะมีสาวติดเยอะสะอีก”

                               “ไม่มีหลอก....วัน ๆ ทำแต่งานอย่างเดียว ไม่มีเวลาไปหา” เจนศิลป์ตอบยิ้ม ๆ พรางพ่นควันออกมาจากปาก“แล้วหนึ่งละ ไม่มีแฟนหลอ”

                                อีกฝ่ายถอนหายใจยาว“ไอ้ที่ประเดี๋ยวประด๋าวมันก็มีนะ...แต่ที่เป็นตัวเป็นตน คิดจริงจังอะไรด้วยมันก็ยังไม่มี”

                                “ทำไมละ” เจนศิลป์ว่าพรางมองหน้าพิราบ

                                “ยังไงดีละ....ก็” อีกฝ่ายเกาหัวและยิ้มน้อย ๆ “....มันเหมือนยังไม่เจอะละมั้ง”
ไม่ทันที่จะว่าอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ของเจนศิลป์ก็ดังขึ้น เขาหันไปยิ้มกับพิราบก่อนจะหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อผู้โทรเขามาคือธารา พลันทำให้ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ เขาลืมบอกพิราบไปว่า สาริณี ธารา และกิตติจะมาด้วย

                                “เดี่ยวเรามานะ” ชายหนุ่มเอ่ยพรางเดินออกมาปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียว

                                พิราบมองตามหลังของเจนศิลป์ไปพักหนึ่งก่อนจะเสมองออกไปยังท้องน้ำเบื้องหน้า มันดูดำมืดและหดหู่ไม่ต่างจากอารมณ์ความรู้สึกของเขาในตอนนี้

                                 เขาต้องการอะไรกันแน่.....มันคือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขานับตั้งแต่คืนวาน เขาต้องการอะไรกับความสัมพันธ์อันนี้ เขาต้องการอะไรจากอีกฝ่าย เขาต้องการอะไรจากการได้อยู่ใกล้กับชายคนนั้น...ชายหนุ่มไม่อาจจะหาคำตอบได้ ความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่ายนั้นมันยากเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด อีกทั้งตอนที่แหวนนั่นถูกใส่เข้าไปที่นิ้วของเจนศิลป์ ทำไมใจเขาถึงกระตุกแข็งราวกับหวาดกลัว มันก็เป็นเพียงแหวนวงหนึ่งที่ใส่ได้พอดีกับนิ้วนางไม่ใช่หรือ มันเป็นเพียงเท่านั้น แต่ทำไมเขาต้องรู้สึกราวกับมันบ่งบอกถึงบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น ชายหนุ่มไม่อาจจะรู้ได้ และไม่อาจจะรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร เขาจะรู้สึกไม่แน่ใจแบบนี้หรือเปล่า กลัวสิ่งที่ตัวเองรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า ไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองรู้สึกอับอีกฝ่ายหรือเปล่า
นับตั้งแต่เขาเกิดมาบนโลกใบนี้เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นเป็นบางอย่างที่แตกต่างจากสิ่งที่ติดตัวมา เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะเป็นคนที่นึกรักในเพศเดียวกันหรือบางสิ่งที่เหมือนหรือคล้ายสิ่งนั้น เขาแน่ใจว่าตัวเองนั้นชื่นชอบในสิ่งที่เพศตรงข้ามมี ทุกสัดส่วน ทุกสัมพัทธ์ ทุกความรู้สึก เขาชอบสิ่งเหล่านั้นและตลอดมาเขาหื่นกระหายใคร่ได้พวกเธอเหล่านั้นเสมอมา

                              แต่เขาเคยรักพวกผู้หญิงเหล่านั้นด้วยหรือ....คำตอบนั้นเขารู้อยู่เต็มหัวใจ เขาไม่เคยนึกรักพวกผู้หญิงเหล่านั้นแม้แต่น้อย สำหลับเขาแล้วพวกเธอก็เป็นเหมือนเครื่องช่วยหายใจให้เขาข้ามพ้นช่วยเวลาที่ยากลำบาก ช่วยให้เขาสามารถทนอยู่กับค่ำคืนหนึ่งไปได้อีกคืน ช่วยให้เขาไม่ต้องอยู่คนเดียวและเอาแต่ครุ่นคิดถึงแต่ความเป็นจริงของโลกไปนี้ ครุ่นคิดว่าทำไมเขาต้องอยู่คนเดียวและถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งของไร้ชีวิตเย็นชืดที่แค่สัมพัทธ์ก็ชวนขยะแขยง ทำไมเขาต้องอยู่บนโลกนี้ที่แสนโดดเดี่ยวและอ้าวว้าง......ทำไมเขาต้องเหงาด้วย....
แต่เมื่อชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นในชีวิตเขา มันเหมือนกับว่ามีบางอย่างมาดึงเขาขึ้นมาจากห้วงแห่งความคิดและความรู้สึกเหล่านั้น ค่ำคืนที่เคยยาวนานราวกับไม่มีวันจบสิ้นกลับกลายเป็นเพียงชั่วพริบตา วันเวลาที่เคยหมุนผ่านไปโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางทั้งที่ที่เขาไม่ต้องการกลับกลายเป็นเขายอมทำทุกวิทีทางเพื่อให้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของอีกฝ่าย ทั้งโกหกหรือยื่นขอเสนอที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสปฎิเศษ และทั้งที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายเพียงไม่กี่วันแต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าเขารู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายรู้สึก ความอ้างว้างที่อีกฝ่ายมีมันบ่งบอกออกมาทางสายตานั่น รอยยิ้มที่อีกฝ่ายมีมันดูเหมือนฝืนทนและเย้ยหยันโลกใบนี้หากแต่แท้ที่จริงแล้วมันคือความโดดเดี่ยวที่อีกฝ่ายเผชิญ ความหยิ่งทรงนั้นก็เป็นเหมือนเกราะแก้วบาง ๆ ที่ห่อหุ้มชายคนนั้นเอาไว้

                                สำหลับเขาแล้วชายคนนั้นเป็นเหมือนกับกระจกเงาที่สะท้อนภาพของตัวเขาเองกลับหัว.....ถึงแม้ว่าจะเหมือนกันอยู่บ่าง แต่เขาทั้งสองก็แตกต่างกันอยู่ดี

                                พิราบยันตัวเองลุกขึ้นยืนพรางใช้มือทั้งสองข้างถูหน้าและดวงตาของตัวเองไปมา เขาไม่อยากจะคิดถึงสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว มันจะเป็นอย่างไร แบบไหน เขาไม่อยากสนใจ เพราะในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข เขาก็อยากจะทำมันต่อไป อีกฝ่ายหรือคนนับสิบนับล้านจะคิดแบบไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาและเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่เขามีให้กับอีกฝ่ายจะเป็นความรู้สึกที่คนเหล่านั้นคิด

                                  พิราบเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่วันนี้บางเบาราวกับเส้นผมที่โค้งงอดูสวยอย่างประหลาด อาจเพราะจันทร์เสี้ยวก็ได้กระมั้งที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ ครุ่นคิดถึงแต่สิ่งนี้

                                   ชายหนุ่มสดุ้งอย่างตกใจก่อนจะมองไปรอบตัวคล้ายหาอะไรบางอย่าง 

                                   “เพื่อนเรามาหานะ...”เสียงเจนศิลป์ดังมาจากด้านหนึ่ง ชายหนุ่มหันไปทางต้นเสียงนั้น “เราลืมบอกหนึ่งไปว่าเราชวนเพื่อนมาด้วย.....ไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”

                                   “ฮะ...อ๋อไม่เป็นไร”พิราบเอ่ยตอบ “แล้วตอนนี้เพื่อนคอมอยู่ไหนละ ถึงหรือยัง”

                                   “อือ...เห็นบอกว่าอยู่แถวลานพระรูป....ไกลหรือเปล่า”

                                   “ไม่หลอก เดินไปก็ถึง...งั้นก็ไปกันเถอะ”ว่าแล้วเขาก็ก้มตัวลงคว้าถุงสิ่งของต่าง ๆ และออกเดินไป


........................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 08-04-2008 21:02:03
เข้ามารายงานตัวว่าอ่านแล้วครับ ยังชอบเหมือนเดิม  :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 16-04-2008 11:23:23
มาแล้วครับ


                 ลานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้นเป็นลานกว้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เปิดโล่งให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนและปรกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่มากมายดูร่มรื่น ด้านในตรงกลางของลานนั้นมีพระบรมรูปสีดำสนิทของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชประทับนั่งบนบันลังทอดพระเนตรออกไปด้านหน้าคล้ายต้องการตัดสินผู้ที่เดินเข้ามาในบริเวณนี้ ยิ่งในเวลากลางพระบรมรูปยิ่งดูเหมือนเงาสีดำขนาดใหญ่เสียดแทงขึ้นไปในอากาศดูแล้วน่ากลัวและน่าเกรงขามอย่างประหลาด รอบ ๆ บริเวณนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทำให้เกิดมุมมืดที่พอมองเห็นได้ว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเงาดำมากมายที่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจนัก

                       สาริณี กิตติ และธารานั่งอยู่ตรงบันไดหน้าพระบรมรูป ที่ ๆ ดูแล้วน่าจะอันตรายน้อยที่สุด สว่างมากที่สุด และปลอดภัยมากที่สุด

                       พวกเขาทั้งสามนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความเงียบงันและบรรยากาศที่ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แม้มันจะเบาบางแต่สาริณีก็รู้สึกได้ ความเครือบแครง ความสงสัย ความไม่แน่ใจปรากฏขึ้นในใจเธอนับตั้งแต่ชายคนนั้นเอ่ยคำนั้นออกมา เขารู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะหรือ รู้สึกอย่างที่คำ ๆ นั้นให้ความหมายนะหรือ มันเร็วไปหรือเปล่าที่ชายคนนั้นจะเอ่ยคำนั้นออกมา หรือมันเป็นเพียงลมปากที่ไม่มีความหมายได ๆ หรือมันเป็นฝางเส้นสุดท้ายของเขาคนนั้น เธอไม่รู้จริง ๆ

                      “มาแล้ว...”เสียงธาราเอ่ยพรางลุกขึ้นจนสาริณีต้องออกจากภวังค์ เธอมองไปตามสายตาของอีกฝ่ายจึงเป็นร่างเงาดำ ๆ สองร่างเดินมาแต่ไกล ไม่นานเธอจึงได้รู้ว่าหนึ่งในสองร่างนั้นเป็นเจนศิลป์
วันนี้เขาสวมเสื้อแขนยาวหนา ๆ เก่า ๆ ลายทางขวางกับกางเกงยีนส์ตัวเดิมและรองเท้าแตะหูหนีบดูให้ความรู้สึกมอซออย่างประหลาด ขัดกับอีกร่างที่เดินมาคู่กัน เขาเป็นชายหนุ่มท่าทางหน้าตาดี ผิวขาวและสูงพอ ๆ กับเจนศิลป์ สวมเสื้อยืดคอปกกับกางเกงยีนส์ดูเข้ากันและเหมอะสมกับทรงผมสั้นและรูปร่างที่มีกล้ามเนื้อเล็กน้อย

                        คงรวยน่าดู สาริณีประเมินชายคนนั้นจากสายตาก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจึงหันไปและเห็นกิตติมองดูเธอจากด้านหลังด้วยสายตาราบเรียบ หญิงสาวจึงก้าวถอยลงมาและจับมือเขาไว้แน่นก่อนยิ้มน้อย ๆ เป็นเชิงตอกย้ำว่าเธอจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

                         “รอนานมั้ย”เจนศิลป์เอ่ยถามคนทั้งสามพรางยิ้ม

                         “ไม่หลอก.....”ธาราว่าพรางมองอีกฝ่าย วันนี้เธอดูมีบางอย่างแปลกไปจนเจนศิลป์สังเกตเห็น เสื้อยืดพอดีตัวสีขาวดูน่ารักเข้ากันดีกับกระโปรงจีบยีนส์ตัวสั้นและรองเท้าผ้าใบ ถึงเธอจะอายุยี่สิบแล้วแต่ด้วยรูปร่างที่เล็กทำให้มันดูเหมอะสมและเข้ากับเธอเป็นอย่างดี “วันนี้ธาสวยจังนะ...”ชายหนุ่มว่าพรางยิ้ม

                          “หลอ” อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ และก้มหน้าลงอย่างเขินอาย

                          “แล้ว นี่เพื่อนมึงหลอ” กิตติเอ่ยขึ้นพรางกุมมือของสาริณีไว้แน่น

                         “อือ...นี่หนึ่งเพื่อนกูแถวบ้าน”ชายหนุ่มว่า “หนึ่งนี่เพื่อนเราที่เรียนเซ็กเดียวกัน นี่ธา สา แล้วก็เม่น”
ทั้งหมดยกมือขึ้นและผงกหัวเป็นเชิงทักทาย

                          “โห....แล้วนี่ซื้อของกันสนุกเลยสิเนี้ย” สาริณีเอ่ยพรางมองไปยังมือทั้งสองข้างของพิราบ “ไรว้า ไม่รอกันมั้งเลย”

                          “แล้วกว่าพวกคุณ ๆ ท่าน ๆ จะมากัน นี่มันกี่ยามแล้วละครับผม” เจนศิลป์เอ่ยพรางยิ้ม

                          “เออ ๆ พวกกูผิดเองละ”สาริณีตัดบททำหน้ามุ่ย “แล้วจะไปกันยังละ....                 
 
                    “อือ ๆ “เจนศิลป์ร้องก่อนจะออกเดินตามกิตติและสาริณีไปก่อน ไม่นานเขาก็สังเกตุเห็นมือของทั้งที่สองเกาะกุมกันไว้แน่น

                         “ธา”ชายหนุ่มเอ่ยพรางมองไปทางร่างที่อยู่ด้านข้างของตัวเองก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงดังเล็กน้อย “วันนี้คนเยอะนะ ต้องจับมือกันไว้เดี๋ยวหลง”

                         สาริณีและกิตติหันมาคล้ายรู้ถึงความหมายนั้น “อะไรของมึงไอ้คอม” กิตติพูดพรางยิ้มเขิน ๆ

                         “เปล้า กูพูดไปงั้นละ เห็นแล้วเลี่ยน” ว่าแล้วคนทั้งหมดก็หัวเราะ

                         “แล้ว...”ธาราเอ่ยขึ้นพรางมองมายังเจนศิลป์และพิราบ “คอมกับหนึ่งรู้จักกันมานานแล้วหลอ”
เจนศิลป์เมื่อได้ฟังคำถามก็ยิ้มแห้ง ๆ กับพิราบ “ก็...ตั้งแต่เราโดนหนึ่งขับรถชนหัวแตกละ”

                         “เอ้า...หลอ”ธาราได้ฟังก็ยิ้มตามคล้ายรู้ว่าตนถามคำถามที่มี่ควรออกไป จึงเปลี่ยนเรื่องคุยแทน “แล้วหนึ่งเรียนที่ไหนหลอ....”

                          “สุวรรณพิทักษ์ ครับ” พิราบตอบ “นิเทศ โฆษณา”

                          “อือ...” ธาราเอ่ย

                          “แล้วนี่เรียนเซ็กเดียวกันหมดเลยหลอครับ”พิราบเอ่ยถามบ่าง

                          “อือ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วละ”หญิงสาวเอ่ยตอบ

                          “ทำไงก็หนีไม่พ้น สงสัยทำกรรมร่วมกันมามากมั้ง”เจนศิลป์พูดขึ้นพรางหัวเราะเช่นเดียวกับธาราและพิราบ

                          ทั้งหมดเดินกันไปตามฝูงผู้คนที่ยิ่งดึกก็ยิ่งมากขึ้นทุกที ปากก็พูดคุยกันไปตามเรื่องต่าง ๆ ดูแล้วไม่ค่อยมีสาระอะไรมากเท่าไรนัก นานครั้งธาราจะเงียบไปและเฝ้ามองพิราบและเจนศิลป์จากด้านหลังพรางพยายามคิดว่าสิ่งบาง ๆ ที่เชื่อมคนทั้งสองนี้ให้เข้ากันคืออะไร

                          เธอรู้สึกถึงมันนับตั้งแต่คำแรกที่เจนศิลป์แนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก ทุกน้ำเสียงในทุกคำพูดมีบางสิ่งปะปนออกมาอย่างเบาบางจนเธอนึกสงสัย ในสายตาที่ทั้งสองมองกันที่แม้จะดูไม่มากมายแต่ก็มากพอที่เธอจะสังเกตุเห็น ในการสนทนาที่ดูเหมือนเจนศิลป์จะไม่สนใจในคำพูดของอีกฝ่ายมากนักแต่กลับนิ่งฟังและตอบทุกคำได้อย่างไม่มีหลงประเด็น อีกทั้งรอยยิ้มนั้น รอยยิ้มที่ธาราเห็นไม่บ่อยนักจากเจนศิลป์รอยยิ้มที่ไม่ดูเหมือนสมเพชและเวทนาตนเอง รอยยิ้มที่ไม่ฝืนทนและเหมือนพยายามแบกรับโลกใบนี้ไว้

                          หญิงสาวพยายามนึกหาคำตอบของคำถามนั้นแต่ในทุกคำตอบที่เธอหาได้มันก็ไม่มีเลยแม้แต่คำตอบเดียวที่จะทำให้เธอพอใจ

                          หญิงสาวมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อโทรศัพท์ของพิราบดังขึ้น มันบอกเวลาเทียงคืนสิบห้านาที

                          “เออว่าไง....สะพานพุธ ทำไม.....เออ มึงเมาป่าวว่ะเนี้ย......อะไรของมึง......มึงอยู่ไหนละ” พิราบว่าพรางมองไปรอบตัว “เซเว่นไหนว่ะ....อ๋อ ไอ้ตรงร้านขนมจีนนะน่ะ.....เออ ๆ เดี๋ยวกูไป”

                           จบคำพิราบก็หันมาทางเจนศิลป์ “คอมไปกับเรามั้ย...เพื่อนเรามาหา จะได้แนะนำให้รู้จัก...เม่น สา ธา ด้วย ไปมั้ย” น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นดูตื่นเต้นและดีใจจนธาราไม่เข้าใจแน่ว่าเพราะอะไร

                             “อือ...ไปก็ได้ ยังไงเดี๋ยวพวกเราก็กลับกันและแล้วละ...ร้านมันเริ่มปิดกันแล้ว”เสียงแม่นว่าพรางหันมามองที่สาริณี ก่อนที่คนทั้งหมดจะออกเดินไป

                              เมื่อมาถึงหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ภาพของชายราวสามสี่คนที่นั่งอยู่ตรงบันไดหน้าร้านก็ปรากฏแก่สายตา บ่างก็สูบบุหรี่ บ่างก็ยกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่ม ดูแล้วให้ความรู้สึกอันตรายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นร่างของพิราบเดินมา ชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นและเดินทรงมาที่อีกฝ่าย

                              “เชี้ยไรเนี่ย ไหนว่าพวกมึงไม่เมากันมาไง” พิราบเอ่ยอย่างหัวเสียและมองไปที่กลุ่มคนที่ยังนั่งอยู่ด้านหลัง

                              “กูอะไม่เมา” องอาจว่าพรางทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นและใช้เท้าขยี่จนแหลก “แต่เพื่อนมึงอะ เมาแล้วนักเลงชิบหาย แม่งจะไปมีเรื่องกันพับ หาตีนมาให้พวกกูซะงั้นอะ”

                              พิราบฟังพรางมองไปยังตัวปัญหาที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดพรางโอบหญิงสาวคนหนึ่งใว้ในอ้อมแขนปากก็กระซิบอะไรกันบางอย่าง เธอคนนั้นดูไม่ค่อยมีความสุขนักสังเกตได้จากใบหน้าที่เสหันออกไปทางอื่นและท่าทางที่ดูไม่สบายตัว

                               “มันพาผู้หญิงที่ไหนมาด้วยว่ะ” พิราบเอ่ยพรางหันกลับมามองที่องอาจ

                               “กูก็ไม่รู้....พอแม่งออกมาก็จะมาหามึงลูกเดียวเลย พวกกูก็ไม่รู้จะทำไง มึงช่วยไปเครียร์หน่อยดิว่ะ”

                               “เครียร์เหี้ยไร มึงก็รู้ว่าเวลาแม่งเมาแม่งฟังใครที่ไหน.....”น้ำเสียงของพิราบฟังคุ่นเคืองไปด้วยโทสะ
จบคำอีกฝ่ายก็นิ่งเงียบไปพรางเกาหัวตัวเองไปมาอย่างแรงคล้ายจนปัญญาก่อนสายตาจะหันไปเห็นกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของพิราบ

                               “เพื่อนมึงหลอ”องอาจเอ่ยถาม

                               “เออ” พิราบหันไปมองคล้ายลังเลก่อนจะเดินนำองอาจเข้าไปหาคนทั้งหมด

                               “นี่เพื่อนเรา ชื่อฟ้า ไอ้ฟ้า นี่คอม ธา สา แล้วก็เม่น เพื่อนกูแถวบ้าน....”

                               องอาจยิ้มพรางผงกหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย “ขอโทษด้วยนะ...พอดีเพื่อนเรามันเมากันมา....ทำพวกนายเสียอารมณ์กันหมดเลย”

                               “ไม่เป็นไรหลอก....อย่าคิดมากไปเลย”สาริณีว่าพรางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปมองกิตติที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
   
                                แต่ในตอนนี้ดูเหมือนสติและวิญาณของกิตติจะหลุดลอยไปไกลจนยากที่หญิงสวาวจะดึงกลับมาได้ ดวงตาที่มองออกไปนั้นเบิกโพรงราวกับตกใจ หัวคิ้วผูกเข้าหากันแน่นอย่างเปี่ยมไปด้วยโทสะ ริมฝีปากบางซีดเผยอออกก่อนที่คำ ๆ หนึ่งจะเล็ดลอดออกมาอย่างบางเบา

                   “แมว”จบคำกิตติก็ปล่อยมือจากสาริณีและเดินดุ่มไปทางร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่ เขาหยุดตรงหน้าเธอห่างออกไปเพียงไม่กี่ช่วงก้าวก่อนจะเอ่ยชื่อนั้นอีกครั้ง หญิงคนนั้นหันมา วินาทีแรกมันว่างเปล่าก่อนจะแปลเปลี่ยนกลายเป็นสายตาที่แปลกประหลาดเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ปะปนไปมายุ่งเหยิง

                    “เม่น....”เธอเอ่ยเสียงเบาพรางลุกขึ้น “มาทำไรที่นี่”
   
                                “เราน่าจะถามแมวมากกว่านะว่ามาทำอะไรที่นี่” กิตติย้อนพรางจ้องมองอีกฝ่าย มองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นของเธอราวกับต้องการค้นหาวิญญาณและความจริงแท้ที่อีกฝ่ายหลบซ่อนมันอย่างมิดชิด
   
                                 “เฮ้ย...ไรว่ะ” ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หญิงสาวลุกขึ้นด้วยท่าทางโซเซไร้เรี่ยวแรง กิตติมองไปที่ร่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะละสายตากลับมาที่หญิงสาวราวกับชายคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง
   
                                 “ไหนว่าไม่มีอะไรกันไง”
   
                                 เธอคนนั้นนิ่งเงียบก่อนจะเสมองไปทางอื่นพรางยกมือขึ้นปัดผมที่ยาวระแก้มขึ้นทัดหู
   
                                 “มึงยุ่งอะไรกับเมียกูเนี่ย....”ชายคนนั้นเอ่ยอีกครั้งด้วยเสียงอันดังก่อนจะผลักกิตติให้ถ่อยห่างออกไป “อ๋อ....นี่ใช่มั้ยแฟนเก่าแมวที่ชื่อมงชื่อเม่นอะไรนั้นนะ ที่แมวว่าแม่งไม่มีน้ำยาใช่มั้ย”ชายคนนั้นเอ่ยพรางกระตุกยิ้ม “แค่ทำให้ผู้หญิงมีความสุขยังไม่ได้ มึงจะไปทำไรแดกว่ะ”

                   จบคำโทสะทั้งหมดของกิตติก็เอ่อล้นออกมาท้วมท้นจนกลืนกินสติทั้งหมดของเขาให้ตกอยู่ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวก่อนจะชุบย้อมจิตใจของชายหนุ่มให้ดำมืดและไร้สติ มือที่กำแน่นนั้นถูกส่งออกไปปะทะกับโหนกแก้มของอีกฝ่าย ชายคนนั้นเมื่อรู้ว่าถูกกระทำจึงหันมาและโถมร่างทั้งร่างเข้าใส่กิตติจนทั้งสองลงไปครุกฝุ่นอยู่กับพื้น กำปั้นของชายคนนั้นส่งออกมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกับกิตติที่สู้อย่างไม่คิดชีวิต ทั้งต่อย ผลัก และกระชาก
   
                               “ เฮ้ย....พอแล้ว” ไม่ทันจบคำของนาคินทร์ ร่างทั้งสองร่างก็ถูกมือของเจ้าของเสียงจับให้ออกจากกัน “เรื่องเฮ้ยไรเนี้ย”
   
                               “ไอ้สัตว์ มึงก็ถามแม่งสิ” กรเทพที่บัดนี้ถูกพิเชษคว้าตัวไว้เอ่ยเสียงดัง “เจ๊ดแม่ง อยู่ดี ๆ ก็ต่อยกู”
   
                               นาคินทร์มองไปยังกิตติที่บัดนี้ถูกทั้งพิราบและเจนศิลป์จับตัวไว้แน่น อีกฝ่ายจ้องกลับมาอย่างไม่กลัวเกรางพรางถ่มน้ำลายสีแดงสดและเม็ดฟันสีขาวลงพื้น นาคินทร์จึงหันไปพูดกับพิราบ “มึงพาใครมาด้วยเนี้ย ไอ้หนึ่ง”
   
                              “เพื่อนกูเองอ่ะ” อีกฝ่ายตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะถูกกิตติออกแรงสะบัดจนแขนของตัวเองหลุดออกจากพันธนาการ 
   
                              “แล้วมึงพาเพื่อนมึงมาต่อยเพื่อนกูเนี่ยนะ....”
   
                              พิราบดูจะตกใจและขุ่นเคืองในคำพูดของอีกฝ่ายมาก “เพื่อนมึงหลอ กูจะพาเพื่อนกูมาต่อยเพื่อนมึงทำต้นตีนอะไร เจ๊ดแม่ง รู้กูยังไม่รู้เลยว่าพวกมันต่อยกันเรื่องอะไร”
   
                              นาคินทร์เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะมองไปยังกิตติ “เฮ้ย.....มึงอ่ะ...ทำงี้หมายความว่าไงว่ะ”
   
                              กิตติไม่ตอบ เอาแต่จ้องมองไปยังกรเทพและหญิงคนนั้นด้วยสายตาดุร้ายราวกับสัตว์ป่า นาคินทร์มองตามไปจึงรู้ในที่สุด
   
                            “นี่เธอ...”นาคิทร์หันไปพูดกับหญิงคนนั้น “เธอรู้จักกับมันหรือเปล่า”

                             อีกฝ่ายไม่ตอบเอาแต่นิ่งเงียบ จนนาคินทร์เริ่มโมโหจึงพูดขึ้นอีกครั้งด้วยสียงอันดัง “เราพูดกับเธอนะ....ตอบสิ รู้จักมันมั้ย”

                              หญิงสาวตกใจจนสะดุ้งแต่ก็พยักหน้ารับ

                             “มันเป็นแฟนเธอใช่มั้ย”นาคินทร์เค้นต่อ

                              “แฟนเก่า”หญิงสาวตอบกลับมาด้วยเสียงเบาและดูไม่เต็มใจนัก แต่เพียงแค่นั้นก็เกินพอแล้วสำหลับกิตติเขามองเธอด้วยสายตางงงันอย่างสุดแสนพรางพยามคิดว่าสิ่งมีชีวิตเพศเมียที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คืออะไรกันแน่ สิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นจิตใจของเธอนั้นคือสิ่งใด เธอหลอกลวง ปั่นแต่งคำโกหกและใช้มันกับเขาเพื่ออะไร และเพราะอะไรทำไมเขาถึงเชื่อคำเหล่านั้น ...ชายหนุ่มละสายตาที่เริ่มเอ่อล้มด้วยน้ำใสอย่างจนปัญญาที่จะหาคำตอบก่อนจะหันหลังกลับและออกเดินจากไป.....

 
................................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: re_rain ที่ 16-04-2008 12:28:57
ชอบเรื่องนี้นะ  :pig4:สำหรับเรื่องดีๆ
อ่านแล้วให้ความรู้สึกหลายๆอย่างไม่รู้จิ บอกไม่ถูก :m29:
แต่ไงจะติดตามอย่างต่อเนื่องนะ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 17-04-2008 16:09:12
ขอบคุณครับที่มาต่อ เริ่มเข้มข้นล่ะ  :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 20-04-2008 00:47:42
มาติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไปครับ  :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 26-04-2008 17:11:33
ตอนใหม่ครับผม
                 

                     พิราบค่อย ๆ แตะเบรกให้รถชะลอตัวและหยุดสนิทที่หน้าบ้านของเจนศิลป์ คนทั้งสองเงียบไปนานปล่อยให้ความเงียบที่ชวนอึดดัดแผ่กระจายไปทั่วคันรถ เจนศิลป์นิ่งมองพิราบที่บัดนี้เอาแต่จ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยวงตาที่ไร้อารมณ์ เขาไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไรอยู่ หรือมันจะไม่มีอะไรอยู่เลยในดวงตาคู่นั้น
                    
                    “วันนี้.....”ในที่สุดพิราบก็เอ่ยขึ้นพรางหันมามองที่เจนศิลป์ “เราค้างบ้านคอมได้มั้ย”
   
                    จบคำเจนศิลป์ก็กระพริบตาถี่ราวกับไม่เชื่อหูพรางก้มหน้าหลบสายตาของอีกฝ่าย ดวงใจของเขาอุ่นชาอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันสั่นไหวและเต้นแรงราวกับตอบรับคำขอนั้นแต่เจนศิลป์ก็นิ่งเงียบไปและไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายปล่อยให้ความเงียบกลับมาบีบรัดคนทั้งสองอีกครั้ง
ในตอนนี้เจนศิลป์ไม่รู้แน่ว่าเขาต้องการอะไรจากความสัมพันธ์อันนี้และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เขาพูดขอสิ่งนั้นออกมาเพื่ออะไร ...ใจหนึ่งเขาอย่างจะตอบรับคำขอนั้น หากแต่อีกครึ่งหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม เขากลัวสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สิ่งที่จะตามมา สิ่งที่เขารู้สึก มันใช่สิ่งนั้นหรือเปล่า หากใช่แล้วเขากำลังกลายเป็นอะไร

                      แต่มันต้องมีด้วยหรือ....ในที่สุดคำถามหนึ่งก็มาปลุกเจนศิลป์ให้ออกจากภวังค์....มันต้องมีสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นด้วยหรือ มันต้องมีสิ่งที่จะตามมาด้วยหรือ แล้วสิ่งที่เขารู้สึกมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาเข้าใจก็ได้
พิราบมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจพรางถอนหายใจ “เราแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวนะ.....อย่างน้อยก็อยากหาเพื่อนคุยด้วย....ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ”          
   
                       เจนศิลป์นิ่งไปอีกครั้งก่อนเอ่ยขึ้น “....งั้นหนึ่งก็ค้างกับเราก็ได้”จบคำเจนศิลป์ก็เปิดประตูรถและเดินออกมาปล่อยอีกฝ่ายนิ่งไปราวกับไม่แน่ใจก่อนจะขยับออกจากรถเช่นกัน
   
                        เจนศิลป์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบพวงกุณแจออกมาไขประตูบ้านโดยมีพิราบยืนอยู่ด้านหลัง และเมื่อประตูเปิดออกชายหนุ่มก็เดินนำอีกฝ่ายเข้ามาด้านในและไม่หันหลังไปมองอีกฝ่ายที่กำลังมองไปรอบตัวคล้ายสำรวจ
   
                         “เดี๋ยวหนึ่งนั่งรอเราแป็บหนึ่งนะ...”เจนศิลป์ว่าและหันมามองพิราบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าน้อย ๆ เขาจึงเดินขึ้นชั้นสองไป
   
                        เจนศิลป์เดินไปเปิดประตูห้องของหญิงกลางคนทันทีก่อนกลิ่นเหม็นฉุนแสบจมูกจะดันตัวเข้าปะทะหน้าชายหนุ่มอย่างแรง เขาเอื่อมมือไปกดสวิดไฟ มันกระพริบสองสามครั้งก่อนที่แสงสว่างจะสาดส่องขึ้น ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบห้องจนสายตามาหยุดอยู่ที่กับกองอาเจียนสีขาวที่นอนตัวอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก ข้าง ๆ มีขวดเหล้าที่ด้านในว่างเปล่าวางอยู่ บนเตียงนั้นมีร่างของหญิงกลางคนนอนหลับคว่ำหน้าไม่ได้สติ ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ร่างนั้นพรางพลิกร่างให้นอนหงายขึ้น ดูเหมือนว่าเธอจะล้างตัวทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินออกมาคว้าถังน้ำใบเดินและลงมือทำความสะอาดกองของเสียนั้น
   
                       เขาไม่ชอบเวลาแบบนี้เลยแม้แต่น้อย.....เวลาที่มีคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราวและสถานการณ์ที่ชายหนุ่มพบเจอะมาที่บ้านและต้องรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะตามมาด้วยคำถามมากมายของคนเหล่านั้น

                       ทำไมแม่เป็นแบบนี้..........เป็นนานแล้วหลอ.........ทำไมถึงเป็นหนักขนาดนี้.......ไม่พาไปหาหมอหลอ..... ได้ยากินหรือเปล่า........ไม่หาจิตแพทย์มาหรือยัง

                       คนเหล่านั้นมักถามชายหนุ่มแบบนี้เสมอและเมื่อคำถามเหล่านั้นหมดไปมันก็จะตามมาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วงที่แสนทรมารคล้ายคนเหล่านั้นไม่แน่ใจว่าควรอยู่ต่อหรือเปล่า และไม่นานพวกเขาก็จะรู้ในที่สุดว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ พวกเขาควรอยู่ก่อนจะตัดสินใจเดินจากไป

                        บางครั้ง คนเหล่านั้นจะทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ชายหนุ่มได้ฟังจนคุ้นชิน ด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ต่างกัน ด้วยการสัมพัทธ์ที่เขาไม่รู้สึกถึงไออุ่นได ๆ

                     ..........ทนไว้นะ......อดทนไว้.......ยังไงก็แม่เรา.......อย่าทิ้งแม่นะ.........ต้องเข้มแข็งนะ......ดูแลแม่ดี ๆ
 
                     ทุกครั้งที่ชายหนุ่มได้ยินคำเหล่านั้น มันเหมือนเขาถูกหอกอันใหญ่ทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจ ทำไมคนเหล่านั้นต้องพูดสิ่งนั้นออกมาด้วย พูดออกมาราวกับว่าเขานั้นยังอดทนไม่พอ ยังเข้มแข็งไม่พอ ยังดูแลหญิงคนนั้นดีไม่พอ....ยังรักเธอไม่พอ..... คนพวกนั้นจะรู้อะไร พวกเขาก็เอาแต่แกล้งทำเป็นห่วงใยและห่วงหาทั้งที่แท้จริงแล้วก็ได้แต่พร่ำพูดคำที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองกลายเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น ทำให้ตัวเองดูเป็นคนดีที่ห่วงใยคนตกทุกข์ พวกเขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้และทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้พบเห็นสิ่งที่ชายหนุ่มเห็น ไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่เขาเข้าใจ แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นว่ารู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี แกล้งทำเป็นใส่ใจทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันก็เป็นได้แค่เพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะจากไป ทิ้งชายหนุ่มและมารดาให้อยู่กันตามลำพังเหมือนเดิมก่อนที่พวกคนเหล่านั้นคนใหม่จะย่างกลายเข้ามาในบ้านของเขา วนเวียนกลายเป็นวังวนอยู่อย่างนั้น

                     จนในที่สุด ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่าหากจะยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้นั้น ตัวเขาต้องเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ อย่าได้แสดงความอ่อนแอออกมาเด็ดขาด อย่าได้ให้ใครเห็นว่าเขาท้อแท้และสิ้นหวัง เก็บงำสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ในส่วนลึกที่ดำมืดอย่าให้มันแสดงตัวออกมา เขาไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร ไม่ต้องการความเห็นใจหรือช่วยเหลือ ไม่ต้องการให้ใครมารับรู้ถึงสิ่งที่เขาทำและทุ่มเท ไม่ต้องการให้ใครมาใส่ใจและไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไรหรือรู้สึกอย่าไรเขาก็จะรวบรวมความเข้มแข็งที่มีทั้งหมดและยืนขึ้นให้ได้

                      “คอม โทรทัศน์มัน.....”เจนศิลป์รีบเงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นพิราบยืนอยู่หน้าห้องสายตาจ้องมองมายังหญิงคนนั้น เขามองเธอสลับไปมากับชายหนุ่มด้วยสายตางงงันและไม่เข้าใจ

                      “โทรทัศน์มันเป็นอะไรหลอ” เจนศิลป์เอ่ยขึ้นพรางโยนผ้าลงถังน้ำ เขาทำความสะอาดเสร็จพอดี

                      “มัน....ไม่มีช่องเคเบิ้ลหลอ” อีกฝ่ายถามต่อสายตาเลิกลักก่อนเซหลบเจนศิลป์

                       “ไม่มีหลอก....ถอยหน่อยสิ เราจะเอานี่ไปทิ้ง”

                       อีกฝ่ายถอยห่างออกไปจากประตูเปิดทางให้เจนศิลป์หิ้วถังน้ำไปที่ห้องน้ำ ไม่นานเขาก็ทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จโดยมีพิราบยืนมองอยู่ที่หน้าประตูและไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

                       “เดี๋ยวเราอาบน้ำก่อนนะ...หนึ่งรอเราอยู่นี่ก็ได้” เจนศิลป์เอ่ยอย่างเร็วโดยไม่มองอีกฝ่ายก่อนเดินหิ้วผ้าเช็ดตัวหายไปในห้องน้ำ เมื่อเขามาถึงห้องของตัวเองอีกครั้งก็เห็นพิราบถอดกางเกงขายาวเหลือแต่กางเกงบ๊อกเซอร์ลายทางตัวสั้นกับเสื้อตัวเดิมนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างพรางมองออกไปด้านนอก ชายหนุ่มเดินหลบไปแต่งตัวอีกด้าน เขาหยิบเสื้อตัวหลวมยาวสีกลมท่ามาสวมกับกางเกงแตะบอลขาสั้นถึงหัวเข่า

                        “ดูอะไรอยู่”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพรางยกบุหรี่ขึ้นสูบ อีกมือก็ใช้ผ้าเข็ดตัวขยี้ผมที่สั้นตืดหนังหัวไปมา

                        “บ้านเราเอง” เขาว่าพรางชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปไม่มาก มันเป็นบ้านขนาดใหญ่ดูโอ่อ่าที่สุดในเขตหมู่บ้านจัดสรร ทั้งตัวบ้านที่ใหญ่เป็นพิเศษ ด้านหลังของตัวบ้านติดแม้น้ำเจ้าพระยาและมีชานที่ยืนออกไปจนลอยอยู่เหนือแม่น้ำ สีขาวของตัวตึกตัดกับกระจกสีดำที่รายล้อมอยู่โดยรอบ อีกทั้งยังมีสีเขียวของต้นไม้ใหญ่น้อยประดับประดาอยู่ทั่วไปหมด

                         “บ้านหนึ่งใหญ่จังนะ....”เจนศิลป์เผลอพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายยิ้มแห้ง ๆ ก่อนตอบ

                        “ใหญ่ไปก็เท่านั้น....อยู่มันคนเดียวก็ไม่เข้าใจว่าจะใหญ่ไปทำไม”

                         ทั้งคู่เงียบไปทำให้เจนศิลป์ห้วนนึกถึงบรรยากาศเดิม ๆ ที่เริ่มกลับมาอีกครั้งจนเขารู้สึกได้ บรรยากาศอันกระอักกระอ่วงชวนทรมาร ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้ในสมองของพิราบคงจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายนับร้อยนับพัน มันคงเป็นคำถามเดิม ๆ ที่เขาเคยได้ยินจากพวกคนเหล่านั้นมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาจะไม่ยอมฟังมันอีกต่อไปแล้ว

                        “หนึ่ง...ไปล้างฟิล์มกัน” เจนศิลป์ชิงเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายอ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง ดูเขางงงันไม่น้อย

                         “ฮ่ะ....ตอนนี้นะหลอ....จะบ้าไงตอนนี้ใครเขาจะเปิดร้าน”

                         “ใครว่าจะไปให้ร้านเขาล้าง เราจะล้างเอง”

                         พิราบนิ่งไป “แต่เราล้างไม่เป็นนะ”

                         “เอ้า...ไหนว่าเรียนนิเทศ” เจนศิลป์ว่าพรางเดินไปยังกระเป๋ากล้องและหยิบม้วนฟิล์มในกล่องใส่ฟิล์มสีขาวออกมา

                         “ก็ใช่ไง”อีกฝ่ายว่าพรางกระโดลงจากขอบหน้าต่าง

                          “เขาก็ต้องเรียนถ่ายภาพกันไม่ใช่หลอ พวกเข้าแล็ปอันภาพอะไรแบบนั้นนะ”

                          “มันก็ใช่หลอก แต่เราไม่ค่อยได้เข้าเรียน เราไม่ชอบนะ น้ำยามันเหม็นติดมือ”

                          เจนศิลป์หันไปมองอีกฝ่ายพรางขมวดคิ้วและยิ้ม

                          “แล้วงั้นจะเรียนนิเทศทำไม....”

                          “โถ่ คนเรามันก็ต้องมีถนัดไม่ถนัดสิ” พิราบแย้งพรางเดินตามเจนศิลป์ลงมาด้านล่าง “แล้วนี่จะไปไหนเนี้ย”

                          “ไปเอาน้ำยาล้างฟิล์มในตู้เย็น หนึ่งรอเราอยู่นี่ก็ได้”

                           อีกฝ่ายไม่ทำตามคำ เขาเดินตามเจนศิลป์ลงมาถึงชั้นหนึ่งและมองดูชายหนุ่มหยิบแกลอนน้ำสีขาวสี่ห้าใบออกมาจากตู้เย็น ด้านข้างของแกลอนนั้นมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาเมจิสีน้ำเงินอย่างดีติดอยู่

                           พิราบส่งมือไปคว้างแกลอนสองสามใบออกจากมือของเจนศิลป์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูไม่เต็มใจนักแต่ก็ปล่อยในที่สุด

                           ทั้งคู่เดินตามกันขึ้นมาที่ชั้นสามอีกครั้งก่อนเจนศิลป์จะตรงไปเปิดประตูที่อยู่ตรงข้ามห้องตัวเองให้อ้าออก กลิ่นอับที่เบาจางไหลเวียนออกมาขณะที่ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดสวิสไฟ

                          
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 26-04-2008 17:15:32
                           “โห...”พิราบร้องพรางมองไปรอบห้อง “บ้านคอมมีห้องมืดด้วยหลอเนี้ย”

                           “ของพ่อเรานะ....”เจนศิลป์เอ่ยตอบพรางวางแกลอนลงที่ด้านหนึ่งของห้องพรางเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำที่อยู่เหนือซิ้งน้ำดูพลันเมื่อเห็นน้ำไหลออกมาเป็นปรกติดีเขาจึงปิดมันและหันไปคว้ากล่องกระดาษที่อยู่ในชั้นข้าง ๆ ออกมา โดยไม่สนใจพิราบที่เดินดูและพินิดสิ่งต่าง ๆ ไปทั่วห้อง
ห้อง ๆ นั้นเป็นเพียงห้องเล็ก ๆ ที่ไม่ใหญ่อะไรแต่กลับสามารถจัดสรรพื้นที่วางสิ่งของได้อย่างลงตัว ทั้งชั้นวางของที่อยู่ชิดผนัง ซิ้งน้ำที่ไม่ทำใหญ่โตเกินความจำเป็น อีกทั้งยังมีกล่องไฟที่ใช้ดูพิล์มวางอยู่คู่กับเครื่องอัดภาพที่มีรูปร่างคล้ายกล้องจุลทรรศน์ขนาดใหญ่ ด้านข้างมีแกนใช้ลำหลับปรับโฟกัสเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ กล้องอัดภาพจะไม่มีที่ส่องจากด้านหลัง เวลาจะอัดภาพผู้ใช้ต้องนั่งอยู่ด้านหน้าเครื่อง ใส่ฟิล์มที่จะอัดเข้าไปในช่องใส่ฟิล์มที่อยู่ชิดกับตำแหน่งที่ควรเป็นเลนส์และดูภาพที่ตกกระทบที่พื้นจากตรงนั้นแล้วจึงค่อยปรับโฟกัส ความสว่าง และค่าอื่น ๆ

                             ด้านข้างของตัวเครื่องจะมีเครื่องมีอีกอันหนึ่งวางอยู่ มันเป็นกล่องสีดำที่มีช่องตัวเลขดิจจิตอลอยู่ด้านบน ด่านล่างจะเป็นปุ่มกดสามสี่ปุ่ม พิราบจำไม่ได้แล้วว่ามันมีชื่อเรียกว่าอะไร แต่หน้าที่ของมันคือกำหนดระยะเวลาที่จะให้แสงจากเครื่องอัดภาพที่ส่องผ่านฟิล์มหรือก็คือภาพที่เราต้องการจะอัดตกกระทบบนกระดาษอัดภาพ กระดาษอัดภาพนั้นจะเป็นกระดาษที่ไวต่อแสง เมื่อมันได้รับแสงจากเครื่องอัดก็จะทำให้เกิดภาพขึ้นแต่ไม่ใช่ในทันที หลังจากนำกระดาษอัดภาพผ่านแสงจากเครื่องอัดภาพเสร็จก็ต้องนำกระดาษอัดภาพนั้นไปแช่ไว้ในน้ำยาหยุดภาพและสร้างภาพเสียก่อนจึงจะได้ภาพที่ต้องการ

                              ชายหนุ่มละสายตาจากเครื่องนั้นมาและมองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ห้องดูเล็กและคับแคบ แต่ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างถึงได้ไปอัดตัวอยู่เพียงด้านเดียวของห้อง ปล่อยให้ผนังอีกด้านว่างโล่งจนน่าสงสัย

                         ชายหนุ่มหันไปทางอีกฝ่าหมายจะถามคำถามนั้นแต่กลับเห็นเจนศิลป์กำลังลื้อค้นสิ่งของออกมาจากกล่องด้วยท่าทางขมักเขม่น   

                        “คอมทำไรเนี่ย”ชายหนุ่มถามพรางเดินไปนั่งลงตรงหน้าของอีกฝ่ายโดยมีกล่องกระดาษขั้นตรงกลาง

                         “หาแท้งค์ใส่...”พูดไม่ทันจบคำ เจนศิลป์ก็ร้องออกมาว่าเจอะแล้วพรางชูสิ่งนั้นไว้ในมือคล้ายเด็กเล็ก ๆ ที่เจอะของเล่นชิ้นสำคัณ แทงค์ที่ชายหนุ่มพูดถึงคือคือกล่องสแตนเลตรูปวงกลมที่มีฝาปิดเป็นยางสีดำมิดชิด ด้านบนมีจุกใช้ลำหลับเติมน้ำยาลงไปไปด้านใน

                         พิราบมองดูอีกฝ่ายผนึกกล่องและนำไปเก็บที่เดิมจึงเห็นขดเหล็กเส้นที่ม้วนตัวเป็นรุปก้นหอยถี่ ๆ ว่างอยู่บนพื้นข้าง ๆ แท้งค์ และเทปใส เขาหยิบมันขึ้นมาดูจึงรู้ว่ามันเป็นขดสองขดประกบกันอยู่คล้ายล้อรถโดยยึดกันด้วยแกนเหล็กสามอันที่อยู่ตรงกลางของขดเหล็กเส้น ขดทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่แนบสนิตกันแต่แยกจากกันอยู่ราวหนึ่งถึงสองนิ้วเพื่อใช้ม้วนฟิล์มเข้าไป

                          “นี่จะล้างฟิล์มจริง ๆ นะหลอ” พิราบถามพรางลุกขึ้นและถือสิ่งทั้งสองไว้ในมือ

                          “อือ...ทำไม...ทำไม่เป็นอะดิ”เจนศิลป์เอ่ยยิ้ม ๆ พรางคว้าสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายมา “อยากทำมั้ยละ เดี๋ยวจะสอน”

                           “ไม่เอาอะ...เคยทำแล้ว ยากชิบหาย”พิราบตอบก่อนทำหน้าบึ้งคล้ายถอดใจ

                            “ไม่ยากหลอก มาสิ เดี๋ยวสอน”

                           พิราบยิ้ม “เชื่อได้ป่ะเนี่ย...คนสอนดูไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรนะ”

                           “ โห ดูซีพี่ด้วยน้อง ดูด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยพรางใช้มือตบที่หัวไหลตัวเองไปมาและยิ้ม     

                          จบคำเจนศิลป์ก็เดินนำอีกฝ่ายไปที่ซิ้งน้ำเละเริ่มเอาม้วนฟิม์มที่ถูกดึงแผ่นฟิล์มออกมาราวสามเซนติเมตร ติดเข้ากับแกนเหล็กของขดเหล็กเส้นโดยใช้เทปใส เมื่อเสร็จเขาก็ยื่นมันใส่มือของอีกฝ่าย
“ถือไว้” จบคำชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปกดสวิสไฟที่อยู่ตรงหน้าพอดีพลันทำให้ห้องทั้งห้องมืดลง

                           “โห...นี่ทำสวิสไฟไว้กี่อันเนี้ย”พิราบเอ่ยในความมืดก่อนจะรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่พลันปรากฏและเกาะกุมมือเขาไว้แน่น ชายหนุ่มตกใจจนขนทั่วตัวลุกชันก่อนจะถอยขาไปด้านหลังตามสันชาตญาณแต่ก็ไม่อาจไปไหนได้เพราะติดร่างของอีกฝ่าย

                            “โอ๊ย เหยียบตีน”เจนศิลป์ร้องขึ้นพรางชักเท้าของตัวเองออก

                            “โทษ ๆ” พิราบร้องออกมาเช่นกันก่อนจะเริ่มรวบรวมสติตัวเองให้กลับคืนมา
 
                            “จะตกใจทำไมเนี่ย”ชายหนุ่มเอ่ยพรางหัวเราะ

                             “ไม่ตกใจได้ไง มือเย็นสะขนาดนั้น”

                            “เอ้า....ผิดอีก....เฮ้ย จับแบบนั้นไม่ได้เดี๋ยวฟิล์มก็ติดรอยนิ้วมือหมดพอดี ต้องจับแบบนี้” เจนศิลป์ว่าพรางคลำไปทั่วมือของพิราบพรางจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง “เอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งบีบตรงหนามเตยแบบนี้...เบา ๆ ดิ เดี๋ยวฟิล์มหัก”

                              “ยุ่งยากว่ะ...”พิราบเอ่ยอย่างหัวเสียคล้ายเด็กไม่ได้ดั่งใจ

                              “อะไร แค่นี้ก็บ่นสะและ ขนาดยังไม่ได้เริ่มเลยนะเนี้ย”

                               พิราบถอนหายใจยาวเสียงดังคล้ายแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเจนศิลป์จะไม่สนใจมากนัก

                              “เออ อย่างงั้นละ....ทีนี้ก็หมุนรีล ค่อย ๆ นะ บอกว่าอย่าบีบฟิล์มแรง เดี๋ยวก็เสียกันพอดี”

                             เสียงพิราบถอนหายใจยาวดังมาอีกครั้งราวกับเหนื่อยหน่ายเต็มทนตามมาด้วยเสียหัวเราะในลำคอของเจนศิลป์ ก่อนที่เสียงทั้งหมดเหล่านั้นจะจางหายไปคล้ายถูกกลืนกินโดยความมืดที่รายล้อมอยู่รอบตัวคนทั้งคู่ ความเงียบที่ครั้งหนึ่งเคยนอนแน่นิ่งไม่แสดงตัวออกมาคล้ายงูอิ่มที่ไร้พิษสงแต่บัดนี้มันกลับเผยเขี้ยวเล็บอันน่าเกรงขามและเข้าเกี่ยวกระหวัดรัดตรึงร่างคนทั้งสองไว้แน่น หากแต่มันไม่เจ็บปวด พิราบไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย แต่กลับให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดชวนสงสัย และเหมือนว่าความเงียบนั้นจะเป็นกฎเหล็กสำคัณของช่วงเวลานี้ พวกเขาจึงสงบคำของตัวเองไว้ปล่อยให้อณูอากาศที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวเป็นสิ่งกำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามครรลองของมัน

                              และดูเหมือนไม่ใช่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่ไม่ส่งเสียงได ๆ ออกมา แต่รอบกายก็เงียบสนิทจนสุ่มเสียงแม้เพียงเล็กน้อยก็ดังก้องกังวานราวกับเป็นการระเบิดกัมปนาท โสทประสาทของพิราบสามารถรับเสียงที่ในยามปรกติจะไม่ได้ยินราวกับความมืดทำให้ประสาทรับรู้นั้นขยายขีดจำกัดมากขึ้นจนเกินความต้องการ ทุกเสียงและทุกการสัมพัทธ์เป็นเหมือนสิ่งหนักหนากว่าที่ควรเป็นหลายเท่า

                              เสียงเจนศิลป์ขยับเท้าไปมาดังขึ้นเป็นระยะ เสียงหัวใจของพิราบที่เต้นอยู่ในหูดังตุบ ๆ คล้ายเสียงกระเดื่องของกลองชุดตามวงดนตรี เสียงลมหายของอีกฝ่ายที่ละเลียดลามเลียมาตามลำคอจากด้านหลังของพิราบ ชายหนุ่มสามารถรู้สึกได้ถึงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นผ่านหน้าอกที่แน่บชิดอยู่กับแผ่นหลังของเขา เป็นจังหวะที่ช้าแต่หนักหน่วงราวกับค้อนใหญ่ที่ทุบลงบนแท่งหิน อีกทั้งมือที่เคยเย็นเหยียบคล้ายน้ำแข็งนั้นก็เริ่มอุ่นขึ้นอย่างประหลาดเช่นเดียวกับอ้อมแขนของเจนศิลป์ ทุกครั้งที่ผิวแขนของทั้งคู่ต้องกระทบกันพิราบจะรู้สึกราวกับเลือดในตัวร้อนขึ้นเสมอ ขนทั่วตัวลุกชัน มือแข็งขยับไม่มาไม่สะดวก เม็ดเหงื่อเริ่มหลังไหลออกมาตามตัว
ชายหนุ่มพึ่งสังเกตว่าฝ่ามือที่แผ่กว้างของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้นุ่มนิ่มอย่างคนทั่วไปแต่กลับสากกระด้างราวกับแผ่นกระดาษทรายบ่งบอกถึงภาระหนักหน่วงที่มือนั้นแบกรับอยู่ พลันทำให้ความสงสัยในสมองเขากลับมาอีกครั้งจนเริ่มวนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน พิราบรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ต้องการตอบคำถามเหล่านั้นเพราะมันล้วนเป็นคำถามที่จะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายให้จนดิ่งลง แต่เขาก็อยากจะรู้ให้มากกว่านี้ อยากจะช่วยให้ได้มากกว่านี้ อยากจะเข้าใจอีกฝ่ายให้ได้มากกว่านี้ ความรู้สึกทั้งสองเริ่มผลักกันไปมาอยู่ในหัวของชายหนุ่มแต่สุดท้ายความอย่างรู้ก็เป็นฝ่ายชนะไป

                         “คอม....”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น อีกฝ่ายทำเสียใจลำคอรับคำนั้น “แม่คอม...เขา....เป็นอะไรหลอ”

                          มือของเจนศิลป์หยุดเคลื่อนไหวทันทีจนพิราบรู้สึกได้ แต่ไม่นานมือนั้นก็เริ่มขยับอีกครั้ง
เจนศิลป์รู้ดีว่าไม่ช้าไม่นานอีกฝ่ายคงต้องถามคำถามเหล่านั้นออกมาเป็นแน่ คำถามเดิม ๆ ที่เขาตอบมานับล้าน ๆ ครั้งจนเหนื่อยหน่ายเหลือเกินที่จะเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาเพราะทุก ๆ คำที่เล็ดลอดออกมาจากปากเขานั้นล้วนเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าเขานั้นอ่อนแอมากแค่ไหน ขลาดเขลามากพียงได และไร้ค่ามากเกินกว่าสิ่งไดบนโลกนี้ อีกฝ่ายจะรู้หรือเปล่าว่าคำถามเหล่านั้นเป็นเหมือนกับเข็มแหลมนับสิบนับร้อยที่คอยทิ่มแทงร่างเนื้อของเขาให้เจ็บปวด

                          “เขาเมานะ...ติดเหล้า” เจนศิลป์เอ่ยตอบเสียงเบา

                          “นานแล้วหลอ.....”

                           เจนศิลป์เงียบไปอีกพักหนึ่งก่อนตอบ “ก็...แปดเก้าปีได้แล้วมั้ง ตั้งแต่พ่อเราเขาไม่อยู่” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูไม่สะทกสะท้านแต่หัวใจเขากลับบีบแน่นจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งอก
   
                          “งั้นคอมก็เริ่มทำงานตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะสิ...”พิราบถามต่อด้วยน้ำเสียงเบาบาง

                          “ไม่หลอก....ตอนแรกเขาก็ไม่ได้เป็นหนักขนาดนี้ ก็ยังพอทำงานได้อยู่ แต่พอเราขึ้นม.หนึ่งเขาก็เริ่มไม่ไหว เราก็เลยออกหางานทำ”

                           “แล้วทำอะไรไม่ได้เลยหลอ....ลองพาเขาไปหาหมอหรือยัง”

                           “แล้วหนึ่งคิดว่าเราไม่ทำอะไรเลยหลอ.....”ชายหนุ่มย้อนอีกฝ่ายพรางเค้นเสียหัวเราะน้อย ๆ ก่อนเงียบไปแล้วว่าต่อ “ที่พอทำได้นะ เราทำหมดแล้ว อาหมอก็ลองมาหมดแล้ว จิตแพทย์เอย ยารักษาเอย ขนาดหมอดูเราก็ยังเคยพามาที่บ้านเลย” เจนศิลป์เอ่ยพรางหัวเราะ “แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเหมือนเดิม...” คำสุดท้ายของชายหนุ่มนั้นฟังดูว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับห้องที่มืดมิตรนั้นได้กัดกินจิตใจของเขาเข้าไปด้วย
   
                            “แล้วคอม.....”พิราบลากเสียงยาวอย่างลังเล “เหงาบ่างมั้ย....ไม่ท้อแท้บ่างหลอ....”
   
                            “ถ้าบอกว่าไม่เหงา ไม่ท้อแท้ มันจะเหมือนโกหกหรือเปล่าละ....”เจนศิลป์พูดเคล้าเสียงหัวเราะ

                            จบคำเจนศิลป์เงียบไปเช่นเดียวกับพิราบที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี ความเงียบที่ครั้งหนึ่งมันเคยโอบอุ้มร่างทั้งสองไว้ให้ใกล้ชิดกันบัดนี้กลับเข้าทำร้ายและฉุดดึงให้ทั้งสองตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

                            “แต่เป็นหนึ่งนี่ก็โชคดีมากเลยนะ....”และเป็นเจนศิลป์เอ่ยที่เอ่ยขึ้นก่อน “มีทุกอย่าง ทั้งบ้านดี ๆ ทั้งรถสวย ๆ เพื่อนเยอะแยะ เห็นแล้วเรายังอิจฉาเลย”

                            พิราบได้ฟังก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “...จะอิจฉาเราทำไม เราว่าเป็นเราสะอีกที่ต้องอิจฉาคอม”

                            “ทำไมละ....ยังไง งง”

                            พิราบหัวเราะและยิ้ม “นี่แกล้งโง่ป่ะเนี่ย....ยังไงดีละ...เออ...แม่เราเคยบอกว่า คนเรานะ อย่าเทียบกันที่ฐานะเงินทอง แต่ให้เทียบกันที่ความเป็นคน เราว่า เรากับคอมถ้าเทียบกันในฐานะของเงินทองหรืออะไรพวกนั้น แน่ละเราก็ต้องอยู่เหนือกว่าคอมอยู่แล้ว เพราะบ้านเรารวย พ่อแม่เราเขาหาเก่ง .....แต่ถ้าถอดพวกสิ่งของเหล่านั้นออกจนเหลือแต่เนื้อแท้ความเป็นคนแล้วตัวเราก็มีแต่ตัว ไร้ค่า ว่างเปล่าเหมือนแทงค์ที่ไม่มีรีลไม่มีฟิล์ม ใครเขาจะต้องการ ชั่งกิโลไปก็ได้ไม่กี่ตังค์” พิราบหยุดและหัวเราะ “....ไม่เหมือนกับคอมที่ต่อให้ไม่มีของพวกนั้น คอมก็ยังเป็นคอมอยู่ เพราะทุกอย่างที่เป็นคอมมันอยู่ในนั้น ในตัวคอม คอมยังมีแม่ที่ต้องคอยดูแล มีงานที่ให้รับผิดชอบ ชีวิตคอมมีความหมายมากกว่าของเราเราเยอะ เชื่อเราสิ”

                             เจนศิลป์นิ่งฟังคำเหล่านั้นด้วยหัวใจที่อุ่นชื้นอย่างประหลาด ตลอดมาคนที่ถามคำถามเหล่านั้นมักพูดมาเพียงแค่คำโง่เงาอย่าง เข้มแข็งไว้ อดทนไว้ แต่ไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียวบอกกับเขาว่าชีวิตของเขามีค่าและมีความหมาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าชีวิตเขานั้นมีความหมายสำหลับมารดาของเขาหรืองานของเขา แต่การที่มีใครบางคนมาบอกและพูดให้ฟังแบบนี้มันช่วยทำให้เขาแน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง ทำให้เขารู้ว่าถึงแม้เข้าจะไม่ต้องการให้ใครมาช่วยหรือสนใจแต่ก็ยังมีคนบางคนที่ใส่ใจเขาและรู้ถึงสิ่งที่เขาทำ

                             “หนึ่ง”เจนศิล์เอ่ยเบา ๆ อีกฝ่ายหันมาตามเสียงเรียกนั้นจนชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย จมูกของชายคนนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าเขาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร “ขอบใจนะ”

                              พิราบฟังคำนั้นและปล่อยให้มันไหลผ่านซึมลึกเข้าไปในจิตใจและวิญญาณ ก่อนจะมารู้ตัวว่าคำ ๆ นั้นเริ่มเกาะกุมอยู่ที่ใจเขาและแผ่ความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนไปทั่วทั้งร่างกายกระตุกให้หัวใจเขาพองโตและเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเป็นอะไรไปนะ...ความรูสึกนี้......

                              “ว่าแต่...” พิราบเอ่ยขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้อีกฝ่ายรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ “พ่อของคอมนี่ทำงานอะไรหลอ....ถึงได้มีห้องมืดแบบนี้”

                              “อ๋อ...เป็นช่างภาพกับนักข่าวนะ....เอาละ เรียบร้อย หนึ่งปล่อยก่อนสิเดี๋ยวเราจะได้เอาใส่แท้งค์”

                             จบคำของอีกฝ่ายไม่นาน ห้องทั้งห้องก็กลับมาสว่างอีกครั้งพร้อม ๆ บรรยากาศแปลก ๆ ชวนอึดอัดที่ปรากฏขึ้นทันที พิราบหลบสายตาไม่มองหน้าเจนศิลป์ เจนศิลป์ก็เช่นกัน

                              “แล้วทำไงต่อละ....”พิราบว่าพรางยกกล่องวงกลมสแตนเลดที่ถูกปิดแน่นด้วยจุกยางสีดำขึ้นมาไว้ในมือและมองดูมัน
 
                              “ก็...เดี๋ยวก็เติมน้ำยาอีกสามตัว ก็เสร็จแล้ว...” เจนศิลป์ตอบพรางมองดูสิ่งนั้นในมือของพิราบสลับกับใบหน้าของอีกฝ่าย

                               ทั้งคู่จ้องมองดูมันอยู่อย่างนั้นเป็นนานก่อนที่เจนศิลป์จะหัวเราะออกมาเช่นเดียวกับพิราบที่เริ่มเกาหัวอย่างเคอะเขิน

   
................................................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 28-04-2008 22:01:40
เย้ ๆ เริ่มคืบหน้าไปอีก 1 Step  :m4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 30-04-2008 23:59:50
ชอบจังเลยครับ เรื่องนี้ จขกท. เขียนได้ดีอ่ะ อ่านแล้วอิน แถมได้คิดด้วย

มาเป็นกำลังใจให้และรอตอนต่อไปครับ  :m4: :m4: :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 05-05-2008 03:19:59
           
ตอนไหม่ครับผม




           เจนภูมินั่งอยู่บนเก้าอี้สีเหลืองสดพรางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกใสด้วยสายตาและอารมณ์ที่แสนเย็นยะเยือกด้วยความหม่องหม่น เขาจ้องมองยามกลางคืนที่กำลังเคลื่อนคล้อยและแปลเปลี่ยนเป็นกลางวันอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มฉายแสงสีฟ้าครามสดใสไร้ก้อนเมฆ คระเคล้าไปกับตึกรามที่เคยซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความดำมืดมิตรของราตรีที่บัดนี้เริ่มเผยตัวและรูปทรงออกมาอย่างช้า ๆ คล้ายเหนียมอายในแสงอาทิตย์ รอบกายของชายกลางคนว่างเปล่า เก้าอี้สีเหลืองที่วางรายล้อมโต๊ะสีขาวตัวอื่น ๆ ไร้สิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตประจำจับจองเป็นเจ้าของ เจนภูมิยกมือซ้ายขึ้นดูนาฬิกาที่ข้อมือมันบอกเวลาเกือบตีสี่ครึ่งแล้ว เลยเวลาออกเวนเขามาสิบห้านาทีพอดี

             ชายคนนั้นยกมือขึ้นถูใบหน้าของตัวเองแรง ๆ สามสี่ครั้งพรางปล่อยลมหายใจยาวออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

             มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่รู้สึกมานานแสนนานแล้ว ทั้งความเหนื่อยอ่อนอย่างบอกไม่ถูกของร่างกายที่ประดังเข้ามาคล้ายลมพายุโถมใส่ร่าง ความอ่อนล้าของสมองที่ดูจะชาชินไปเสียหมดทุกสิ่ง และมันก็ดูน่าแปลกที่เขารู้สึกเช่นนั้น ทั้งที่ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่กับแต่ความเจ็บ ความตาย และความโศกเศ้ราของคนแปลกหน้าที่บางครั้งแม้ชื่อของคนเหล่านั้นเขาเองยังไม่สามารถจำได้ หลายครั้งที่มีคนถามเขาว่าเขาเป็นหมอทำไม....การได้อยู่ท่ามกลางความหมองหม่นของอารมณ์และผู้คนเหล่านั้นมีความสุขมากนักหรือ.....ไม่เหนื่อยหน่ายหรือท้อแท้บ่างหรือที่ไม่สามรถช่วยทุกชีวิตไว้ได้....มันน่าแปลกเหลือเกินที่เขาไม่เคยถามตัวเองเช่นนั้นมาก่อน ไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน ถึงจะหดหู่หรือไม่มีความสุขบ่างบางครั้ง แต่มันก็ไม่ถึงกับเหนื่อยหน่ายหรือเหนื่อยอ่อนเช่นนี้
 
              เขาพึ่งเริ่มรู้สึกเช่นนั้นไม่นานมานี้.....สองสามวันก่อนเขามีปากเสียงรุนแรงกับผู้เป็นหลาน....นับแต่วินาทีนั้น สมองเขาก็วนเวียนอยู่แต่กับคำถามที่ไม่เคยคิดถามมาก่อนในชีวิต มันซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นวนเวียนไปมาคล้ายปลาในบ่อที่หาทางออกจากที่คุมขัง เขาดิ้นลนและพยายามเพื่อหาคำตอบนั้นหรือหยุดคิดไปเสีย แต่มันก็เป็นการยากยิ่งที่จะทำเช่นนั้น
   
               เขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน......สิ่งนี้....สิ่งที่เขาตรากตรำและไขว่คว้าอยู่คืออะไร.....เขาทำมันไปเพื่ออะไร....

               ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่ามีคำตอบของคำถามนั้น เขามีชีวิตอยู่เพื่อหญิงคนนั้นและเด็กชายคนนั้น เขาทำทุกอย่างเพื่อให้คนทั้งสองมีสิ่งที่ดีขึ้น มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น และหวังเพียงว่ามันจะทดแทนในสิ่งที่พวกเขาศูนย์เสียไปได้ แต่ยิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งตระหนักว่าชายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ตอนนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่สามารถดูแลตัวเองและมารดาได้ เป็นชายหนุ่มที่แข็งกล้าและดุดันไม่ต่างจากผู้เป็นบิดา แน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ยโสและจองหองในสักศรี
   
               และเป็นวันนั้นเองที่เขามองเห็นเงา ๆ หนึ่งอย่างชัดเจนที่สุด เงาดำของอดีตที่ทาบทับอยู่บนตัวของเจนศิลป์ หลอมรวมกับวิญญาณจนเป็นเนื้อเดียวกัน เงาดำของชายคนที่ชื่อเจนวิทย์
   
                เจนภูมิค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าพรางหลับตาลงหลายวินาทีก่อนจะหันหลังและเดินออกมาจากห้องนั้น เขาไม่อยากคิดถึงสิ่งเหล่านี้ต่อไปแล้ว มันหนักหนาเกินกว่าเขาจะรับไหว อีกทั้งบาดแผลลึกที่เขาเคยคิดว่าหายดีไปนานแล้วแต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มันก็จะกลับมาหลั่งรินเม็ดเลือดสีแดงสดอีกครั้งคล้ายต้องการบอกว่ามันไม่ได้จางหายไปไหน แต่อยู่ตรงนั้น ในส่วนไดส่วนหนึ่งของสมอง ในจิตวิญญาณของเขาและรอเพียงวันเวลาที่เหมาะสมเพื่อแสดงตัวออกมา ตอกย้ำความเจ็บปวดให้ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกหลายสิบเท่า ตอกย้ำว่าเขาไม่อาจทดแทนสิ่งที่คนทั้งสองศูนย์เสียไปได้ ตอกย้ำว่าแม้เขาจะต้องการมากแค่ไหนเขาก็ไม่อาจช่วยหญิงคนนั้นได้ มันช่างเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องรับรู้ความจริงข้อนั้น

                “ผมรู้ดีครับ รู้มานานแล้วด้วย อาก็นาจะทำใจยอมรับได้แล้วนะครับ”

                 คำพูดของผู้เป็นหลานแววมาในหู คงเป็นสิ่งนี้สินะที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกกับเขา การยอมรับความจริงและเผชิญหน้าอยู่กับมัน แม้จะเจ็บปวดแต่มันก็ดีกว่าการหนีไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น การทำมันให้เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งกว่า มันเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงนั้นและดำเนินชีวิตต่อไปราวกับไม่เคยมีสิ่งนั้นเกิดขึ้น เจนภูมิไม่อาจทำได้ ไม่อาจทำเป็นลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขโดยที่ไม่รู้สึกว่าชายคนนั้นได้ทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง ได้ทิ้งภาระอันหนักหนาและยากจะเข้าใจไว้ให้เขา ภาระที่ไม่ใช่เพียงต้องการแค่เงินตราแต่ทั้งยังต้องการบางสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถให้หรือทดแทนได้

                 บางครั้งเจนภูมิก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังแบกเศษแก้วหัวใจที่แตกสลายของชายหญิงคู่นั้นไว้บนไหล่ทั้งสองข้างและออกเดินไปตามทางที่ทอดยาวไกลในความมืด มันไม่มีทางเลยที่เศษแก้วเหล่านั้นจะไม่ตกหล่นหรือศูนย์หายไประหว่างทาง อีกทั้งยังทิ่มแทงฝ่ามือและแผนหลังของเขาจนเป็นแผลเหวอะหวะ มันทั้งเจ็บปวดและอ่อนล้า...ถึงจะรู้ว่าคนทั้งสองไม่ได้ตั้งใจ แต่ความเจ็บปวดนั้นมันก็ไม่ต่างกัน

                  เจนภูมิมารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ตัวเองหยุดยืนอยู่ที่โถงทางเดินข้างวอร์ดผู้ป่วยหญิง ผนังด้านหนึ่งถูกทำขึ้นด้วยกระจกใสแผ่นยาวจนมองทะลุเข้าไปได้ถึงด้านในที่ยังคงสงบและไร้การเคลื่อนไหวได ๆ ชายกลางคนจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นเป็นนาน

                  “หมอ.....”เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นที่ด้านซ้ายมือของเขา
 
                  “ครับพี่....”เจนภูมิที่ในขณะนั้นยังเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายขานรับเสียงเรียกพรางมองไปยังอีกฝ่าย เขาเป็นชายท่าทางผอมแห้งและสูง ดวงตาที่ดุดันนั้นจมลึกเข้าไปในเบ้าที่ดำคล้ำแต่ยังคงฉายแววมุ่งมั่นแม้อ่อนเพลียมากก็ตาม ผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลังเป็นจุกอันเล็ก ๆ และสวมเพียงเสื้อยืดที่มีตัวอักษรว่านิคอมเป็นภาษาอังกฤษสีเหลืองติดอยู่ที่ด้านหลังกับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนประจำจนดูแล้วไม่ค่อยถูกกาลเทศะเสียเท่าไร แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะเดือนเต็มนั้นเกิดปวดท้องและมีน้ำเดินตอนเลยเที่ยงคืนไปไม่นานทำให้บ้านทั้งบ้านตื่นตระหนกและวุ่นกันใหญ่ก่อนจะรีบพาเธอส่งโรงพยาบาล

                  เวลาผ่านไปยังไม่ทันที่ดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าดีนัก เด็กชายตัวน้อยก็ลืมตาขึ้นดูโลก เจนภูมิยังจำวินาทีนั้นได้ดี หญิงสาวจ้องมองชีวิตน้อย ๆ ในอ้อมแขนด้วยดวงตาเอ่อล้นเฉกเช่นเดียวกับเจนวิทย์ที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ห่าง

                  “เจนศิลป์....ต้องเป็นเจนศิลป์....” เสียงเจนวิทย์พึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจุมพิษที่หน้าผากของหญิงสาว “นะจ๊ะ...ให้ลูกเราชื่อเจนศิลป์....” หญิงสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่น้ำใส ๆ จะเอ่อล้มออกมา

                  “เจนอีกแล้วหลอ....”เสียงกรรณิการ์ดังขึ้น “บ้านนี้จะมีอีกกี่เจนกัน...แค่สามเจนนี่ก็ปวดหัวจะตายแล้ว” เจนอนันต์ยิ้มออกมาพรางกอดอกและมองไปยังเจนวิทย์ที่ยังยิ้มไม่หุบและเกาหัวไปมา

                   “แล้วชื่อเล่นละครับ....หลานผมต้องมีชื่อเล่นด้วยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกพรางตรงเข้าเอานิ้วเขี่ยที่แก้มของเด็กน้อยคนนั้นเล่น

                   “หมอก็ลองตั้งดูสิ....เราจะเรียกหลานเราว่าอะไรดี.....” เดือนเต็มเอ่ยพรางเช็ดน้ำตาที่ทิ้งตัวไหลลงมาถึงคาง

                   “จะดีหรือครับพี่เดือน....”

                  “เอาน่า ไอ้หมอ แกก็ลองคิดมาดูสิ” เจนวิทย์ว่าพรางมองดูอีกฝ่ายทำหน้าคิดอยู่นานจนเริ่มหมดความอดทนจึงหันไปหยิบแก้วน้ำที่ใส่น้ำจนเต็มหมายจะเอามาให้ผู้เป็นภรรยา และเป็นจังหวะเดียวกันที่เจนภูมิหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่แผ่นหลังของพี่ชาย

                  “คอม..คอมไงครับพี่...”

                  “คอม ค่อมอะไรของแกไอ้หมอ....” เจนอนันต์เอ่ยพรางปล่อยมือออกมากการกอดรัดที่อก “ชื่อประหลาดแท้”

                   “เอ้าพ่อ...จำไม่ได้หลอว่ากล้องตัวแรกที่พ่อซื้อให้พี่เขาก็ยี่ห้านิคอมนี่ไง.....เห็นเวลาพี่วิทย์เขาเอาออกมาใช้ทีก็ชอบพูดว่า คอมลูกพ่อ อย่างอแงนะลูก แบบนี้”

                 ได้ยินอย่างนั้นเจนอนันต์ก็หันไปทางเจนวิทย์พรางทำตาคล้ายถามว่าจริงหรือ อีกฝ่ายส่ายหัวเร็ว ๆ พรางทำตาโต

                  “จริงด้วย พี่ก็เคยได้ยินนะ” เดือนเต็มเสริม “หนูยังเคยพูดเลยค่ะว่า ถ้ามีลูกจริง ๆ เขาจะรักเหมือนกล้องตัวนั้นหรือเปล่า”

                  “แกนี่ท่าจะประสาทนะวิทย์ คุยกับกล้องถ่ายรูป” กรรณิการ์เอ่ยเสียงตำหนิ

                  “ผมเปล่านะแม่”อีกฝ่ายปฏิเศษพรางยื่นแก้วน้ำให้ผู้เป็นภรรยา


                  “แกนะ.....ชอบเดือนใช่มั้ย”ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบและดวงตาก็ยังคงมองไปยังเบื้องหน้าฉุดรั้งให้เจนภูมิกลับมาสู่โถงทางเดินนั้นอีกครั้ง

                   จบคำถามนั้นชายหนุ่มก็หันกลับไปมองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าผ่านทางกระจกใส

                   “พี่เดือนเขาก็ดีนิครับ...พี่ถามทำไม...”

                    “ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น....แกอย่ามาเฉใฉจะได้มั้ย...”นำเสียงของอีกฝ่ายยังคงราบเรียบเช่นเดิม “แกชอบเดือนมากกว่า...มากกว่าที่ควรจะเป็นใช่หรือเปล่า”

                     อกของเจนภูมิอัดแน่นและชายโครงทั้งสองก็เริ่มบีบตัวจนทั่วร่างท่อนบนเจ็บปวดไปหมด น้ำในลำคอพลันหายไปอย่างไม่รู้ตัวจนเป็นการยากที่จะเปล่งเสียได ๆ ออกมา “พี่รู้...” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นในที่สุดด้วยเสียงอันเบาบางคล้ายกระซิบและร่างที่เริ่มสั่นเทาน้อย ๆ อย่างคนขลาดเขลา 

                     อีกฝ่ายแค่เพียงพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าแกคิดจะแย้งเขาไปจากฉัน.....แกก็อย่าได้หวังเลยว่าแกจะไม่ตายก่อน” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบและท่าทางนิ่งเฉย แต่เจนภูมิก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอย่างที่พูดจริงทุกถ่อยคำไม่มีการเปรียบเปรย ทั้งหมดทั้งมวลที่เขาทำได้ก็แค่เพียงเงียบไปปล่อยให้อากาศธาตุบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของตัวเขาไปยังผู้เป็นพี่ชาย บอกเล่าว่าสิ่งที่เขามีให้หญิงคนนั้นเป็นเพียงบางสิ่งที่ไม่สมควรอย่างที่สุด มันผิดบาปและเขาไม่ใช่คนโง่เง่าเกินไปจนไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น เขารู้ดี....รู้ดีพอ ๆ กับที่รู้ว่าความรู้สึกที่เขามีให้แก่หญิงคนนั้นมันสะอาดและไร้อันตรายเกินกว่าจะเป็นสิ่งผิดและไม่ถูกต้องได้......สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาไม่รู้คือสุดท้ายแล้วสิ่งที่เขามีให้แก่หญิงสาวคนนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่

                      “แต่ว่านะ....”ในที่สุดเจนวิทย์ก็เอ่ยขึ้น “ถ้าวันหนึ่งฉันเป็นอะไรไป....”
           
                       “พี่วิทย์....”เจนภูมิเอ่ยพรางหันมาทางอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงบางเบากว่าครั้งแรก
   
                      “ฟังฉันก่อนสิภูมิ....”อีกฝ่ายเรียกชื่อของชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแต่เจนภูมิไม่รู้สึกตกใจหรือกลัวแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกราวกับตัวเองนั้นถูกฉุดดึงขึ้นมาจากอะไรบางอย่างที่ตกลงไปนานแสนนาน ราวกับว่าชายคนนั้นได้ถูกฉุดรั้งเขาขึ้นจากบ่อน้ำแห้งที่มืดมิตรและบางครั้งก็ชวนทรมารเพื่อมาพบกับภายนอกที่โปล่งใสและเบาสบายอย่างบอกไม่ถูกมันให้ความรู้สึกที่ประหลาดและชวนสงสัย “ถ้าวันหนึ่งฉันเป็นอะไรไปแกจะสัญญาได้มั้ยว่าแกจะดูแลเมียฉันกับลูกฉัน.....จะไม่ทิ้งหรืออะไรแบบนั้น ดูแลพวกเขาแทนฉัน”

                        “ทำไมพี่พูดแบบนั้นละ....” เจนภูมิพูดเสียงเบา “พูดเหมือนพี่จะเป็นอะไรไปวันนี้พรุ่งนี้งั้นละ”
   
                       “แล้วมันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรือไง....”เจนวิทย์หันมาสบตากับเจนภูมิ ชายคนนั้นไม่ได้สวมแว่นยิ่งทำให้ดวงตาที่แข็งกล้านั้นทะลุทะลวงเข้าไปในความรู้สึกของชายหนุ่มจนเหมือนฉีกทึ้งร่างทั้งร่างนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่จะมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “.....เมื่อก่อนนะฉันก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน คงไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้หลอกมั้ง....คนอย่างฉัน อายุอย่างฉัน ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งมากมายในชีวิต เหลือเฟือพอสำหลับทุกอย่าง ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรอคอย....พอคิดแบบนั้นชีวิตฉันมันก็มีแต่ขี้เกรียจ ไม่ค่อยมีสาระ บ้า ๆ บอ ๆ ไปวัน ๆ แกก็เห็นใช่มั้ยละ” ชายคนนั้นหยุดและหัวเราะออกมา เช่นเดียวกับเจนภูมิ “.......แต่พอฉันเริ่มทำงานนักข่าว ไปเห็นไปเจออะไรมากขึ้นมันก็ทำให้ฉันเริ่มรู้ว่า คนเรานะ ต่อให้เป็นคนดี หรือคนเลว อายุมาก หรือน้อย คนแก่อายุแปดสิบ หรือเด็กอายุแปดวันมันก็ไม่ต่างกัน คนเราทุกคนอยู่ห่างจากความตายเท่า ๆ ทั้งนั้น....มันเท่ากันไปหมด....ไม่มีใครอยู่ห่างกว่า หรือใกล้กว่า เวลาก็เอามาใช้ตัดสินอะไรไม่ได้ มันไม่เคยเลือกเวลา หรือสถานที่ หรือคน หรืออายุ มันเพียงแค่มา ทวงคืนสิ่งที่มันเคยให้ และเอาคืนไปเท่านั้นเอง.....

                          พอรู้อย่างนั้นฉันก็เริ่มกลัว ทั้งที่เมื่อก่อนอะไรอย่างนั้นมันไม่เคยมาเฉียดใกล้สมองฉันเลยแม้แต่น้อย แต่พอเริ่มคิดว่า....คนอย่างฉัน ทำงานอย่างฉัน ไม่รู้จะถูกลูกตะกั่วฝังเข้าหัววันไหน คนชอบก็มาก แต่คนเกลียดที่อยากให้ฉันตาย ๆ ไปก็ยิ่งมากกว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว กลัวจะเป็นอะไรไป....กลัวว่าจะตายไปโดยที่ยังมีเรื่องเยอะแยะที่ยังไม่ได้ทำ กลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจ กลัวว่าจะมีใครไปทำร้ายแกกับพ่อกับแม่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วถ้ามันจะทำอะไรขึ้นมาฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคิดกลัวอยู่ดี” เขาเหสายตากลับไปยังหญิงคนนั้นและยิ้มออกมา “แต่พอฉันเจอะเดือน......ผู้หญิงคนนั้น....ไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอทำให้ฉันหลงลืมมันไปได้ หลงลืมไปว่าฉันเคยเป็นใคร ทำอะไร มันก็เหมือนกับว่าทุกๆ วันที่ฉันอยู่กับเขาความกลัวมันก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ คำที่เขาพูดกับฉันมันเหมือนเป็นอะไรสักอย่างที่คอยเติมเต็มใจฉัน ทำให้ฉันรู้ว่าการที่ได้มีใครสักคนอยู่ด้วยกัน รักกัน มีความสุขด้วยกัน มันเป็นยังไง
 
                          และยิ่งตอนนี้ฉันมีคอม....เด็กคนนั้น....ลูกฉัน....เขาทำให้ฉันไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่กลัวตายหรืออะไรทั้งนั้น ต่อให้ฉันตายไปตอนนี้ฉันก็ไม่กลัว” เจนวิทย์เหลือบมามองอีกฝ่ายที่ทำหน้าคล้ายไม่เข้าใจก่อนจะยิ้มออกมา “แกเองอาจจะไม่เข้าใจก็ได้.....ไม่สิ ทำหน้าอย่างนั้น แกคงไม่เข้าใจแน่ แต่ถ้าวันหนึ่งแกเจอใครสักคนที่แกรักเขาหมดหัวใจแกก็อาจจะเข้าใจก็ได้นะ....วันที่แกได้รักใครสักคนด้วยทั้งหมดของตัวแกเอง ....ทั้งหมดของชีวิตแก...โดยที่แกไม่กลัวที่จะต้องดูแล รัก เอาใจใส่ อยู่ด้วยกัน หรือแม้กระทั้ง....แยกจากกัน”

                           จนถึงตอนนี้ เจนภูมิก็ยังไม่อาจจะเข้าใจอยู่ดีว่าคำพูดของเขาคนนั้นหมายถึงอะไร

                           ชายกลางคนยืมเหมอมองเข้าไปในวอร์ดผู้ป่วยหญิงอยู่อย่างนั้นจนแสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาด้านใน มันเป็นแสงสีส้มสว่างจ้าและร้อนแรงจนเขาต้องหยี่ตาที่อ่อนล้าลงเพื่อจ้องมองดูมัน


...
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 05-05-2008 03:35:18

                     
                 -งั้นหลอ....คิดไปเองมั้งแว่น....- เจี๊ยว เพื่อนทางอินเตอร์เน็ตของธาราพิมพ์ตอบกลับมาเมื่อธาราเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นและความรู้สึกที่เธอมีต่อมันจนจบ

                  -น้านดิพี่แว่น เขาอาจจะมะได้มีไรกันก็ด้านน้า- แอมมี่เสริม

                  -เฮ้ย...มันก็ไม่แน่น่า ผู้หญิงสมัยนี้เดาใจยากจะตาย วันนี้เดินกับผู้ชายอยู่ดี ๆ มาอีกวันก็เอาทอมสะแล้ว-

                  - แกก็พูดเกินไปไอ้ด๋อย- เจี้ยวปลามอีกฝ่าย

                  -น่านดิ พี่แว่นอย่างปายฟังแม่งเลย- แอมมี่ว่า –อีกอย่างผู้หญิงบางทีมานก็เอาทอมไปเปนแฟชั่นงั้นละ ไม่มีไรทำก็เอาทอม เหมือนสื้อผ้าอะ-
 
                   -แล้วรู้ได้ไงละแอมมี่จ้า-

                   -มะรู้ได้ไง ก็ฉันเป็นผู้หญิงนิหน่า-

                    ธาราหัวเราะเบา ๆ พรางนิ่งไปและจ้องมองตัวเคอร์เซอร์กระพริบในจอคอมพิวเตอร์.... เธอไม่แน่ใจว่าการที่เธอโกหกไปว่าตัวเธอเป็นผู้ชายและคนที่เธอแอบชอบนั้นเป็นผู้หญิงที่หันไปเดินควงกับผู้หญิงด้วยกันนั้นจะเป็นการดีและได้คำแนะนำที่ถูกต้องหรือเปล่า...ที่จริงเธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่าการที่เธอโกหกคนทั้งสามนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันจะมีประโยชน์อะไร มีค่าอะไร และทำไมเธอถึงต้องโกหกด้วย มันดูไร้เหตุผลเหลือเกินกับการที่โกหกคนแปลกหน้าที่เธอแทบไม่รู้จักมาก่อน ไม่เคยเห็นหน้าหรือแม้แม้ทั้งได้ยินเสียง มันช่างไร้ค่าและไร้เหตุผลสิ้นดี

                     แรกเริ่มที่เธอรู้จักกับโลกแห่งนี้นั้นก็เมื่อหลายปีก่อน....นับตั้งแต่วินาทีนั้น โลกทั้งโลกที่เธอเคยรู้จักก็ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดเล็ก ๆ บนหาดที่กว้างใหญ่ มันเล็กกระจ่อยร่อยและไร้ค่าอย่างสุดประมาณ
โลกแห่งใหม่ที่เธอได้ค้นพบนี้มันช่างน่าตื่นเต้น เต็มไปด้วยสิ่งตื่นตาตื่นใจ ประสบการณ์ของผู้คนมากหน้าหลายตา และมันกว้างใหญ่เหลือเกิน.....กว้างมากพอที่จะปันพื้นที่เพียงไม่กี่เม็กกะไบด์เพื่อที่จะให้เธอใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น หลบซ่อนจากบ้าน จากครอบครัว จากโรงเรียน จากโลก จากทุกสิ่งทุกอย่าง หลบซ่อนตัวเองจากความไร้ค่า ไรตัวตน ไร้ความคิด ให้มากลายเป็นใครอีกคนที่อยู่ในอีกโลกหนึ่งนี้ โลกที่เธอคิดเอาเองว่าเธอมีตัวตนอยู่จริง โลกที่เธอคิดเอาว่าจริงแท้ และที่สำคัญที่สุด โลกที่พ่อและแม่ของเธอจะไม่สามารถย่างกายเข้ามา

                   ... และการที่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างสมบูรณ์ธาราก็จำเป็นต้องกลายเป็นอีกคนด้วยเช่นกัน ดังนั้นหญิงสาวจึงอุปโลกน์ชายหนุ่มชื่อแว่นขึ้นมา ชายหนุ่มอายุยี่สิบปลาย ๆ ที่โดดเดี่ยว ขี้เหงา อบอุ่น และมันก็ดูเป็นเรื่องสนุกสำหลับเธอ การที่ได้เห็นคนอื่น ๆ หลงคำโกหกของเธอเหมือนควายโง่ที่ยอมให้ชาวนาจูงจมูกไปไหนต่อไหน มันทำให้หญิงสาวรู้สึกมีอำนาจครั้งแรกในชีวิต มีอำนาจที่สามารถกำหนดสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง กำหนดอารมณ์ กำหนดความต้องการ กำหนดความคิด และกำหมดตัวตนของเธอเองได้เป็นครั้งแรก

                    และทุก ๆ ครั้งที่มีใครมาให้ความสำคัณกับเธออย่างหัวปักหัวปำหรือหลงคำโกหกของเธอว่าเป็นจริงนั้น เธอมักยิ้มออกมาเสมอ มันไม่ใช่รอยยิ้มอย่างควายโง่ที่ยอมให้ใครจูงจมูก ไม่ใช่รอบยิ้มของหุ่นเชิดที่เต้นไปตามจังหวะเชิดของพ่อแม่ ไม่ใช้รอยยิ้มของคนที่มีสมองใช้เพียงเพื่อจดจำ แต่เป็นรอบยิ้มอย่างคนร้าย มันสะใจ สมเพช และมีอำนาจเหนือกว่า

                    แต่ตอนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นได้พลันมลายหายไปหมดแล้ว มันไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว เธอไม่รู้สึกสนุกหรือรื่นเริงกับการโกหกอีกต่อไป วันเวลาได้ผันเปลี่ยนความรู้สึกเธอให้กลายเป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไปมันให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วงอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ เธอเหนื่อยหน่ายเหลือเกินกับที่ต้องเป็นใครอีกคนที่เธอไม่ใช่ ต้องเป็นใครที่เธอไม่รู้จัก เป็นใครคนที่เธอรู้ดีอยู่แกใจว่าไม่ใช่เธอ

                    .....จะว่าไปแล้ว ชายชื่อแว่นที่หญิงสาวอุปโลกน์ขึ้นมานั้นก็เป็นเหมือนกำแพงบาง ๆ ที่กันกลางระหว่าเธอกับโลกแห่งนั้น เพื่อบิดบังตัวเธอ ทำให้เธอรู้สึกมีอำนาจ เป็นที่ซ่อนในที่ซ่อนอีกชั้นหนึ่ง และนับวัน กำแพงนั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้าหาตัวเธอที่ละน้อยจนบีบทับตัวเธอให้เจ็บปวด บางครั้งเธอก็นึกอยากจะทำลายกำแพงนั้นให้หายไปต่อหน้า แต่ธาราก็กลัวเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น เพราะเมื่อเธอไร้ชายหนุ่มที่ชื่อแว่นแล้ว เธอคงกลายเป็นเพียงหญิงสาวเปลือยเปล่าโดดเดี่ยวยืนอยู่ในโลกที่แสนกว้างใหญ่และแห้งแล้งนั้น....ไร้อำนาจ ไร้ความรู้สึก ไร้ตัวตน

                    -แล้วถ้า เป็นผู้ชายละ- ในที่สุดธาราก็พิมพ์ตอบกลับไป –ถ้าเราเป็นผู้หญิงแล้วไปชอบผู้ชายที่เขาไปชอบผู้ชายด้วยกันละ-

                   -นั้นก็คงเป็นอีกเรื่องนะน่ะ- เจี้ยวพิพ์ตอบกลับมาคนแรก –เพราะถ้าเป็นเกย์หรืออะไรแบบนั้นมันก็ยากส์-

                   -ช่าย เพราะไอ้พวกนี่ถ้าไม่ใช่เสือไบก็คงไม่เอาผู้หญิงหลอก-ด๋อยตอบกลับมาอีกคน

                   - แล้วแกรู้ด้ายไงด๋อย แกเปนเกย์หลอ-แอมมี่หยอกอีกฝ่ายพรางส่งตัวการ์ตูนหัวเราะออกมาสี่ห้าตัว

                    -แล้วแกถามทำไมว่ะ...อย่าบอกนะว่าแกชอบผู้ชายด้วยกันแว่น-

                    -ไม่ใช่ละ-ธาราปฏิเศษก่อนจะชิงเปลี่ยนเรื่องพูด –แค่อยากรู้เฉย ๆ ...ว่าแต่เจี้ยวว่ามันผิดหรือเปล่า-

                    - อะไรผิดว่ะ-

                    -ก็การที่คนเราชอบเพศเดียวกัน มันผิดหรือเปล่า-

                    -ผิด ผมบอกได้เลย- ด๋อยแทรกขึ้น

                     -เสือกไอ้ด๋อย แว่นมันคุยกับฉันอยู่-

                    -โด่พี่ ไมต้องด่ากันด้วยละ....เรื่องแบบนี้มันง่ายจะตายไป-

                    -จริงหลอ-ธาราพิมพ์ต่อไป

                    -จริงดิพี่แว่น ผุ้ชายเขาสร้างให้มาเป็นคู่กับผู้หญิง เจือกไปชอบผู้ชาย แม่งบ้าไปแล้ว-

                    -อ้ายบ้าด๋อย อ้ายผู้ชายจิดใจคับแคบ- แอมมี่พิมพ์กลับมาด้วยตัวอักษรตัวโต

                     -ช่าย ไอ้ผู้ชายจิตใจคับแคบ-  เจี้ยวร่วมด้วย –อย่าไปฟังมันเลยแว่น....ที่แกถามว่ามันผิดมั้ยหลอ.....งั้นแล้วอะไรละที่ถูก-

                      ธารานิ่งไป

                     -ถ้าแกไปถามคนที่เป็นเกย์หรืออะไรแบบนั้นเขาก็ต้องบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผิดอยู่แล้ว แต่ถ้าแกไปถามไอ้คนจิตใจคับแคบมองโลกแค่ด้านเดียวอย่างไอ้ด๋อยมันก็ต้องบอกว่าผิด คนเราผิดหรือถูกมันต่างคนต่างมองว่ะ แกพอเข้าใจใช่มั้ยว่ะแว่น-

                      -ไม่รูดิเจี้ยว-

                      ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักไปคล้ายคนทั้งสามกำลังรอคำพูดของเจี้ยวอยู่           

                     -งั้น....ก็อย่าง ถ้าว่ามีเด็กคนหนึ่งไปขโมยเงินแกว่ามันผิดมั้ย-

                      -อารายพี่เจี้ยว ถามเรื่องเกย์ มาโผล่เด็กขโมยเงินได้ไงเนี่ย- ด๋อยว่า

                      - ไอ้ด๋อย เงียบไปเลย ถ้าแกไม่ตอบมานี่ไม่มีใครว่าแกแขนขาดหลอกนะ...-

                      -ผิดดิ พี่เจี้ยวถามแปลก ๆ –แอมมี่ว่า

                      เจี้ยวกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง-อือ งั้นถ้าเด็กคนนั้นมีพ่อติดยา แม่ขายตัว ส่วนตัวเองก็โดนพ่อกระทืบไม่เว้นแต่ละวันแล้วยังมีน้องอีกสองคนที่ต้องหาข้าวให้กิน แต่ตัวเองไม่มีสักแดง ไม่รู้จะทำไงเลยต้องไปขโมยเงินคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็รู้ว่าผิด ไม่อยากจะทำผิด แต่ก็ต้องทำเพราะไม่รู้จะทำไง แกยังว่ามันยังผิดอีกมั้ย-

                       ทั้งหมดเงียบไปไม่มีใครพิมพ์ตอบ
 
                       -มันก็ผิดนะน่ะ...แต่ก็น่ายกโทษให้- และเป็นด๋อยที่ตอบกลับมาเป็นคนแรก

                       -ใช่มั้ยละ.....นั้นละที่ฉันจะบอก โลกเรานะไม่ได้มีแต่ผิดหรือถูกสองอย่างหลอกนะ ไอ้ที่อยู่กลาง ๆ มันก็มีด้วย เรื่องที่แกถามก็เหมือนกันแว่น จะถามว่ามันผิดหรือถูกมันก็เป็นวิทยาศาสตร์เกินไป มันตอบไม่ได้ เพราะจิตใจคนเราไม่ใช่แค่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง หรืออีเท่ากับเอ็มซีกำลังสองอะไรแบบนั้น แต่เพราะมันไม่ผิดหรือถูก มันอาจจะผิดสำหลับแกกับด๋อยเพราะแกเอาเขามาทำเมียไม่ได้ เพราะกับแกหนึ่งบวกกับอีกหนึ่งไม่ได้มันเลยผิด แต่มันก็ถูกสำหลับเขาเพราะเขาทำอย่างนั้นแล้วมีความสุข มันอยู่ตรงกลาง ถ้าแกรักเขาจริง แกก็น่าจะมีความสุขที่เห็นเขาสุขไม่ใช่หลอไง-

                       ธารานิ่งไป นิ่งอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทั้งสมอง ร่างกาย จิตใจ มันว่างเปล่าไปหมด ว่างเปล่าจนน่าสงสัยว่าเพราะเหตุไดเธอจึงรู้สึกเช่นนั้น


......................................................
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: re_rain ที่ 05-05-2008 08:00:26
 :a2:ในที่สุดก็มา
จารอตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-05-2008 09:01:06
เย้ อ่านทันแล้ว อ่านเรื่องนี้แล้วต้องมีสมาธิค่อนข้างมาก มีอะไรให้คิดตามได้ตลอด

ยังไงก็มาต่อเร็วๆ นะคะ   :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 11-05-2008 00:24:35
เข้ามาลงชื่อติดตามอ่านครับ  :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: re_rain ที่ 14-05-2008 00:23:14
 :m22:  ทุกกกกกกกวัน  แต่ o7 ยังไม่มา
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: momo_2007 ที่ 15-05-2008 23:52:34
ง่า กำลังสนุกเลยคับ มาต่อไวๆน้า อย่าหายไปไหนหละคับ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 21-05-2008 22:35:36
เข้ามารอครับ ติดตามความสัมพันธ์ระหว่างหนึ่งกับคอมต่อไป  :oni3: :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 05-06-2008 22:04:12
มาดันครับ กลัวจะตกหน้าไปซะก่อน

ยังรออ่านอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-06-2008 21:03:45
ดันๆ  :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: re_rain ที่ 17-06-2008 15:51:31
ประกาศ คนแต่งหาย  :m32:

ถ้าใครพบเจอ :m22:

กรุณาจับมาคืนเจ้าของ :laugh:

เฮ้ย! ต่อมาด่วน

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 20-06-2008 13:09:30
ดองได้ที่แล้วครับ ต่อได้แล้วนาครับ  :oni3:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 27-06-2008 14:26:44
             
            โทดน้าคร๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ขอโทด ๆ ๆ ๆ ๆ  :m23: :m23: ไม่รู้ว่าจะขอโทดกี่ครั้งดีถึงจะพอ แต่ก็ต้องขอโทดอีกครั้งที่ได้ได้มาต่อเรื่องตั้งนาน :m23:  ที่จริงมันมีเหตุผลนะครับ  :m12: คือเรื่องของเรื่องก็คือ นิยายเรื่องนี้นะตอนแรกคิดแค่ว่าจะลงไว้ที่เวปอย่างเดียว แต่พอไปเห็นลิงค์ของการประกวด Yong Thai Artist Award 2008  o13 เข้าก็เลยเกิดอยากจะส่งเรื่องเขาประกวดบ่าง :m1:  แล้วพอดีกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่เลยต้องรีบเร่งเขียนให้ทันส่งประกวด  o2 จนถึงวันนี้ก็นอนไปได้นิดหน่อยเองครับ ยิ่งเขียนยิ่งมัน แถมเครียด แล้วก็ปรับแก้อีกตั้งหลายที่ ก็เลยไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ ยังอยากจะอ่านอยู่หรือเปล่า เพราะถ้าอ่านต่อจากตอนนี้ไปรับรองว่าเนื้อเรื่องมันจะเปล่ง ๆ ชอบกล ยังไงถ้าอยากอ่านก็บอกนะครับ จะได้เอาต้นฉบับไปฝากเวปให้เพื่อน ๆ โหลดกัน ยังไงก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับผม

              ปล.ถ้ารู้ว่าเวปไหนดีก็บอกด้วยนะครับ เพราะไม่เคยฝากไฟด์มาก่อน ถ้าฟรีจะมาก ๆ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 27-06-2008 14:44:53
สวัสดีครับ เข้ามาเจอพอดีเลย นึกว่ามาต่อ

ยังอยากอ่านต่อครับ ผมชอบแนวเรื่องแบบนี้น่ะครับ อ่านแล้วมันได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง

สำหรับเว็บฝากไฟล์ ผมส่งไปให้ทาง PM แล้วนะครับ เพราะไม่แน่ใจว่า ลง Link ในนี้แล้ว ผิดกฎหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: momo_2007 ที่ 27-06-2008 14:52:18
อยากอ่านต่อครับ นึกว่าจะเป็นอีกเรื่องที่คนแต่งหายสาปสูญไปแล้วซะอีก ดีใจ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: hustsu ที่ 30-06-2008 17:49:20
แก้คำผิดด้วยก็ดีนะคะ ถ้าจะส่งประกวด ยังอ่านไม่หมดหรอกลองเลื่อนๆมาก่อน เนื้อเรื่องแหวกแนวดีนะคะ พยายามใช้สำบัดสำนวนดี(ซึ่งรู้สึกว่ามากไปจนดูลิเกชอบกล)
 แต่คำบางคำ เขียนผิดชนิดที่ว่า มันมีคำนี้ในภาษาไทยด้วยหรอ เป็นคำง่ายๆที่เขียนผิดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เอาเท่าๆที่จำได้นะคะ เช่น สัมพัทธ์ เข้าใจว่าต้องการให้สื่อว่า "สัมผัส" (งงมากว่า สัมพัทธ์ มันมาได้เยี่ยงไร สัมพัทธ์น่าจะเป็นพวกค่าสัมพัทธ์ไรพวกนี้่นี่นา )
ศรัทธา ,รถเมย์ , ปกติ ,หรอ,หรอก ,พลาง( พราง จะแปลว่า อำพราง ) , วิญญาณ ( ถ้าเราไม่ผิดเองนะ ) ,ไข ,ประจัก ( ไม่น่าจะใช้ จักร นะ ) ,ขี้เกียจ ( คำนี้ถือว่าเป็นคำที่เขียนผิดบ่อยนะ แต่อย่างมากก็เห็นเป็น ขี้เกียด ขี้เกลียด แต่ขี้เกรียจ โอ้แม่เจ้า ) ,ใด ( ที่จริงพวก สระ ไ กับ ใ สมควรจะใช้ให้ถูกนะ ) ,สลาย ( สราย เกิดมาเพิ่งเคยเห็น ) ,บ้าง ,ขาดแคลน ( ขาดแครน แครนตัวนี้มีความหมายด้วยหรอ ไม่รู้นะ ) ,รัศมี ,แปรเปลี่ยน,ช่าง ( ชั่งนี่มันพวก ชั่งน้ำหนักแล้วล่ะ )

เท่าที่พอนึกออก( กับที่ลองๆแวบๆหาในตอนล่าสุด )

ตอนแรกจะไม่พูดหรอกค่ะ เพราะว่าเราเองอ่านแล้วก็พิจารณาเองได้ว่ามันหมายถึงคำว่าอะไร ซึ่งตอนอ่านอาจจะรู้สึกหงุดหงิดปนขำขันซักหน่อยก็เหอะ ( ประมาณว่า แม่เจ้า มีความสร้างสรรค์ในการคิดคำมาก อันที่จริง ปกติเวลานึกคำที่ถูกต้องไม่ออก ก็น่าจะเขียนเป็นคำอ่านง่ายๆ เช่น สัมผัด อย่างเงี๊ยะ ยังพอดูดี แต่ สัมพัทธ์ มีการใช้การันต์ด้วยล่ะ ทึ่งมากๆ )
แต่เห็นว่าคิดจะส่งประกวด ก็เลยอยากให้แก้คำก่อน เดี๋ยวส่งไปทั้งแบบนี้ อาจจะทำให้กรรมการมองเรื่องนี้เป็นแนวคอมเมดี้ไปอย่างที่เราอ่าน ทั้งๆที่ธีมมันดราม่าซะ

แต่ถ้า คุณคนแต่งเห็นว่าถูกต้องแล้ว ก็ออกมาบอกได้นะคะ เพราะบางทีมันอาจจะเป็นคำโบราณซึ่งเราอาจจะไม่รู้ เพราะอ่านๆไป ก็เหมือนอ่านพวกบทละครใน หรือ พงศาวดาร สมัยอยุธยาซะอย่างนั้น ( ดูเล่นสำบัดสำนวนเสียเหลือเกิน เหมือนนิยายอังกฤษรุ่นเก่าๆที่ประโยคนึงใส่adj.ปาไปเสียบรรทัดกว่า เนื้อความอยู่คำๆเดียว เนื้อเรื่องยาวเป็นสิบหน้า MI ดันเหลือ 3 บรรทัด แต่เราชอบนะถ้ามันเข้ากับธีมเรื่องและเขาสามารถเลือกคำได้เหมาะเจาะกับอารมณ์ในช่วงนั้น ซึ่งธีมเรื่องส่วนใหญ่ที่ใช้การพรรณนายืดยาวสวยหรู มักจะเป็นแนวแฟนตาซี โบราณ หรือเรื่องที่ต้องจะ่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ หรูหรา อลังการงานสร้าง ประมาณนั้น นิยายไทยเก่าๆหน่อยที่ถูกทำเป็นละครบ่อยๆเนี่ย จะเน้นหนักไปทางบรรยาย หรือ ไม่ก็เพชรพระอุมา เราอ่านข้ามพวกบรรยายไปเลย หลังๆเริ่ม เออ ชั้นรู้แกยู่ในป่าาา อะไรนักหนายะ ชั้นจะอ่านฉากผู้กองกับแงซายยย)

ชักจะออกทะเลมากไป ยังไงก็จะรออ่านต่อนะคะ ขอให้โชคดีในการประกวดค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 04-07-2008 10:55:51
             แวะเข้ามาเลยเจอข้อความนี้เข้า

สวัสดีครับ เข้ามาเจอพอดีเลย นึกว่ามาต่อ

ยังอยากอ่านต่อครับ ผมชอบแนวเรื่องแบบนี้น่ะครับ อ่านแล้วมันได้คิดอะไรหลาย ๆ อย่าง

สำหรับเว็บฝากไฟล์ ผมส่งไปให้ทาง PM แล้วนะครับ เพราะไม่แน่ใจว่า ลง Link ในนี้แล้ว ผิดกฎหรือเปล่า

ขอบคุณครับ จะเข้าไปดูแล้วถ้าไม่ติดขัดอะไรจะลงให้ในวันเสาร์นี้นะครับ

อยากอ่านต่อครับ นึกว่าจะเป็นอีกเรื่องที่คนแต่งหายสาปสูญไปแล้วซะอีก ดีใจ ฮ่าๆๆ

555+++ยังไม่หายไปไหนครับผม :m1:

แก้คำผิดด้วยก็ดีนะคะ ถ้าจะส่งประกวด ยังอ่านไม่หมดหรอกลองเลื่อนๆมาก่อน เนื้อเรื่องแหวกแนวดีนะคะ พยายามใช้สำบัดสำนวนดี(ซึ่งรู้สึกว่ามากไปจนดูลิเกชอบกล)
 แต่คำบางคำ เขียนผิดชนิดที่ว่า มันมีคำนี้ในภาษาไทยด้วยหรอ เป็นคำง่ายๆที่เขียนผิดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เอาเท่าๆที่จำได้นะคะ เช่น สัมพัทธ์ เข้าใจว่าต้องการให้สื่อว่า "สัมผัส" (งงมากว่า สัมพัทธ์ มันมาได้เยี่ยงไร สัมพัทธ์น่าจะเป็นพวกค่าสัมพัทธ์ไรพวกนี้่นี่นา )
ศรัทธา ,รถเมย์ , ปกติ ,หรอ,หรอก ,พลาง( พราง จะแปลว่า อำพราง ) , วิญญาณ ( ถ้าเราไม่ผิดเองนะ ) ,ไข ,ประจัก ( ไม่น่าจะใช้ จักร นะ ) ,ขี้เกียจ ( คำนี้ถือว่าเป็นคำที่เขียนผิดบ่อยนะ แต่อย่างมากก็เห็นเป็น ขี้เกียด ขี้เกลียด แต่ขี้เกรียจ โอ้แม่เจ้า ) ,ใด ( ที่จริงพวก สระ ไ กับ ใ สมควรจะใช้ให้ถูกนะ ) ,สลาย ( สราย เกิดมาเพิ่งเคยเห็น ) ,บ้าง ,ขาดแคลน ( ขาดแครน แครนตัวนี้มีความหมายด้วยหรอ ไม่รู้นะ ) ,รัศมี ,แปรเปลี่ยน,ช่าง ( ชั่งนี่มันพวก ชั่งน้ำหนักแล้วล่ะ )

เท่าที่พอนึกออก( กับที่ลองๆแวบๆหาในตอนล่าสุด )

ตอนแรกจะไม่พูดหรอกค่ะ เพราะว่าเราเองอ่านแล้วก็พิจารณาเองได้ว่ามันหมายถึงคำว่าอะไร ซึ่งตอนอ่านอาจจะรู้สึกหงุดหงิดปนขำขันซักหน่อยก็เหอะ ( ประมาณว่า แม่เจ้า มีความสร้างสรรค์ในการคิดคำมาก อันที่จริง ปกติเวลานึกคำที่ถูกต้องไม่ออก ก็น่าจะเขียนเป็นคำอ่านง่ายๆ เช่น สัมผัด อย่างเงี๊ยะ ยังพอดูดี แต่ สัมพัทธ์ มีการใช้การันต์ด้วยล่ะ ทึ่งมากๆ )
แต่เห็นว่าคิดจะส่งประกวด ก็เลยอยากให้แก้คำก่อน เดี๋ยวส่งไปทั้งแบบนี้ อาจจะทำให้กรรมการมองเรื่องนี้เป็นแนวคอมเมดี้ไปอย่างที่เราอ่าน ทั้งๆที่ธีมมันดราม่าซะ

แต่ถ้า คุณคนแต่งเห็นว่าถูกต้องแล้ว ก็ออกมาบอกได้นะคะ เพราะบางทีมันอาจจะเป็นคำโบราณซึ่งเราอาจจะไม่รู้ เพราะอ่านๆไป ก็เหมือนอ่านพวกบทละครใน หรือ พงศาวดาร สมัยอยุธยาซะอย่างนั้น ( ดูเล่นสำบัดสำนวนเสียเหลือเกิน เหมือนนิยายอังกฤษรุ่นเก่าๆที่ประโยคนึงใส่adj.ปาไปเสียบรรทัดกว่า เนื้อความอยู่คำๆเดียว เนื้อเรื่องยาวเป็นสิบหน้า MI ดันเหลือ 3 บรรทัด แต่เราชอบนะถ้ามันเข้ากับธีมเรื่องและเขาสามารถเลือกคำได้เหมาะเจาะกับอารมณ์ในช่วงนั้น ซึ่งธีมเรื่องส่วนใหญ่ที่ใช้การพรรณนายืดยาวสวยหรู มักจะเป็นแนวแฟนตาซี โบราณ หรือเรื่องที่ต้องจะ่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ หรูหรา อลังการงานสร้าง ประมาณนั้น นิยายไทยเก่าๆหน่อยที่ถูกทำเป็นละครบ่อยๆเนี่ย จะเน้นหนักไปทางบรรยาย หรือ ไม่ก็เพชรพระอุมา เราอ่านข้ามพวกบรรยายไปเลย หลังๆเริ่ม เออ ชั้นรู้แกยู่ในป่าาา อะไรนักหนายะ ชั้นจะอ่านฉากผู้กองกับแงซายยย)

ชักจะออกทะเลมากไป ยังไงก็จะรออ่านต่อนะคะ ขอให้โชคดีในการประกวดค่ะ :L2:

5555555+++.....อย่างนั้นหลอครับ ต้องขอยอมรับก่อนเลยว่าผมเป็นคนที่อ่อนภาษาไทยมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ คำผิดเลยมากเสียสักหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะครับผม ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เป็นห่วงเรื่องเข้าประกวด ผมก็พยายามแก้ใขให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ผลอาจจะไม่ได้ออกมาดีมากก็ได้ แต่ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ......ส่วนเรื่อง adj.หรือประโยคขยายนี่(ไม่รู้เขาเรียกกันอย่างนี้หรือเปล่า555++)ที่ใส่เข้าไปมาก ๆ ไม่ใช่ว่าอยากจะโชว์ว่าตัวเองเก่งตัวเองแน่หรืออะไรหลอกนะครับแค่อยากจะให้คนอ่าน(ที่น่ารักและหน้าตาดีทุก ๆ คน)เข้าใจความรู้สึก ความคิด คำถาม ภาพรวมของตัวละครและเรื่องราวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนหนังหรือภาพยนต์ที่เขาก็มีเพลงประกอบใช้สื่อในเรื่องพวกนี้ ซึ่งถ้าถามผมที่เป็นคนเขียน....ผมพอใจนะครับที่มันออกมาเป็นแบบนี้(ถึงส่วนใหญ่มันจะออกมาเป็นเหมือนลิเกน่ะนะ....5555++++) ผมว่าของบางอย่างถ้าเดินหน้าเร็วไปก็ไม่ดีช้าไปก็ไม่ได้...มันต้องมีเร็วมีช้าสลับกันไปถึงจะน่าติดตาม.....งานเขียนถ้าเราไม่ลองทำอะไรไหม่ ๆ ดูบ่าง เอาแต่ยึดติดอยู่กับคำว่า "ที่ผ่าน ๆ มา" หรือ "มักจะ" นี่ผมว่ามันไม่เข้าท่าเสียเท่าไร(โดยเฉพาะงานเขียนที่เป็นบันเทิงคดี) เพราะมันจะเป็นเหมือนเราไปจำกัดทางให้ผู้อ่านอ่านแต่สิ่งเดิม ๆ ซ้ำไปมาจนน่าเบื่อ....แม้ผลมันจะออกมาไม่ได้ดีเด่จนได้รับคำชื่นชมปรบมือหรือสวยหรูจนเป็นคุณค่าให้คนรุ่นหลังอีกยี่สิบสามสิบปีได้อ่าน....แต่มันก็คุ้มที่ได้ทำไม่ใช่หลอครับ......5555555+++++ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ขอบคุณจริง ๆ นะครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงแล้วก็ติดตามเรื่องที่ผมเขียน จุดไหนที่บอกว่าชอบผมก็จะเก็บไว้แล้วก็พัฒนาต่อไป ส่วนเรื่องที่ไม่ชอบ....(หยุดคิดไปห้านาทีกว่า)....ผมก็ต้องขอบอกว่าก็คงต้องไม่ชอบต่อไปแล้วก็ทำใจว่ามันอาจจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดก็ได้นะครับ (โดยเฉพาะเรื่องคำขยายความ)555555+++.... แต่ว่าผมรับฟังคำติชมเหล่านั้นนะครับแล้วก็จะพยายามทำให้มันดีขึ้นต่อไปครับ....     
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 04-07-2008 11:11:20
รออยู่นะครับ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ติดตามมานานครับ  :m1: :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 05-07-2008 11:17:14

ฝากไฟด์ให้แล้วนะครับ เต็มที่เลยนะครับผม


http://www.up2box.com/download.php?file=0807058afb226ffa315d0af9da8b5026ead1bd

หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 05-07-2008 16:33:21
ขอบคุณคร๊าบบบ ดาวน์โหลดมาแร่ะ  :oni2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 06-07-2008 12:30:35
ขอบคุณครับ ขอโหลดไปอ่านก่อน แล้วจะมาเม้นท์ทีหลังต่อนะครับ  :oni2: :m4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: BeePed ที่ 07-07-2008 04:31:59

ก่อนอื่นขอบอกว่าตามอ่านมาตั้งแต่ต้นที่มาอัพ แต่ไม่เคยคอมเมนท์เลยคะ ขอขอบคุณที่มาลงเรื่องดีๆให้อ่านกัน
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   


ชอบพล็อตเรื่องนะคะ ไม่เหมือนเรื่องอื่นในเล้านี้  แต่ก็จะเป็นแนวที่เห็นเวลาเค้าส่งประกวดกัน
คือเป็นแนวที่ต้องขบคิดตีความหมาย  ซึ่งส่วนตัวก็ชอบนะคะ  ได้ฝึกสมองให้คิดตามดีคะ

ก่อนอื่นต้องขอชมนะคะว่า หลายๆประโยคหรือแนวคิดนี่ดีมากๆ  o13 o13 เหมือนกับผู้เขียนได้ผ่านโลกและเข้าใจโลกมานาน โดยเฉพาะหน้า 175 เรื่องความหมายของความรักเนี้ย กินใจสุดๆคะ ไม่ทราบว่าคิดออกมาได้อย่างไร  อ่านแล้วน้ำตาไหล คิดตามแล้วก็...เออ...จริงแฮะ มันก็เป็นอีกความหมายหนึ่งของความรักได้เหมือนกัน

เรื่องการบรรยายซีนอารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวนั้นก็ทำได้ดีมากๆคะ  เรื่องตอนจบ จบแบบนี้ก็ดีเหมือนกันคะ ได้อารมณ์อีกแบบ

เรื่องที่จะติก็มีเรื่องการสะกดคำผิดคะ  สะกดผิดเยอะเหมือนกันนะคะ แทบทุกหน้า  ดังนั้นถ้าจะส่งเข้าประกวด และยังพอมีเวลา น่าจะแก้คำผิดให้หมดก่อนคะ

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะค่ะ  :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 22-07-2008 10:38:02
อ่านกันจบแล้วก็บอกด้วยนะครับว่าชอบหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: JiGsAw ที่ 01-08-2008 19:09:40
ดีคร้าบ
ผมอ่านจบแล้วนะ.....
จบดีมากครับ.. ผมชอบ
มันดูนามธรรมดี
จับต้องไม่ได้แต่รู้สึกได้
ขอให้เม้นท์ถึงคนเขียนนะครับ
ผมติดตามอ่านของคุณมานานและดีใจมากที่ได้อ่านจนจบ :bye2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: re_rain ที่ 12-08-2008 15:09:11
 :serius2:

ลบไปแย้ว

ไปดาวน์โหลดไม่ทัน

 :sad2:

อยากอ่านต่ออ่ะ

:o12:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: JiGsAw ที่ 13-08-2008 15:11:44
:serius2:

ลบไปแย้ว

ไปดาวน์โหลดไม่ทัน

 :sad2:

อยากอ่านต่ออ่ะ

:o12:


ผมเก็บไว้อยู่นะ... หลังไมค์ครับ..
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 04-11-2008 13:20:39
หวัดดีครับผมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

ไม่รู้ว่ายังจำกันได้หรือเปล่านะครับ หายไปตั้งหายเดือน หวังว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ ยังจำกันได้นะครับ

ที่มาวันนี้จะมาแจ้งข่าวความคืบหน้าของนวนิยายของผมนะครับ

อย่างที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ บางคนทราบแล้วว่าผมได้ส่งนวนิยายเรื่อง Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย เขาประกวดการแข่งขัน

รางวัลศิลปะเพื่อเยาวชนไทย 2551 (Young Thai Artist Award 2008) มูลนิธิซิเมนต์ไทย

ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ผมก็ได้ทราบข่าวความคืบหน้ามา นั้นคือ.....

นวนิยายของผมได้เข้ารอบเป็นหนึ่งในหกเล่นสุดท้ายครับ  :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

ซึ่งก็ต้องขอบคุณสำหรับกำลังใจทุก ๆ กำลังใจที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ ให้มานะครับ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ ทุกตัวอักษรที่ทั้งติทั้งชมกันมา

ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า

สำหลับนวนิยายเรื่องนี้ก็(น่าจะ)ได้ตีพิมพ์ด้วย ผมคิดเอาเองว่าคงราว ๆ ปีหน้า หวังว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ คงจะช่วยอุดหนุนนะครับ  :m13: :m13: :m13:

แล้วก็มีข่าวมาประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับ คือ

ในวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน 2551 เวลา 14.00 น จะมีการแถลงข่าวผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่ Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน


ถ้าเพื่อน ๆ สนใจงานถ่ายภาพ งานศิลป์ทั้งสองและสามมิติ หนังสั้น และที่สำคัณวรรณกรรมก็ลองแวะไปแล้วกันนะครับ (ขอร้องนะครับ ไปกันนะครับ..)

วันนั้นผมก็ต้องไปด้วย ถ้าเพื่อน ๆ ผ่านไปเจอก็ทักทายกันนะครับ (พูดเหมือนตัวเองเป็นดารา)  :m23:

ส่วนการประกาศผมจริงจะมีขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 2551 ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า กรุงเทพฯ
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุก ๆ ความหวังดีที่ทุก ๆ คนให้มานะครับ ขอมคุณมาก ๆ และผมสัญญาว่าจะเขียนเรื่องมาให้อ่านกันอีกแน่นอนครับ

 :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 04-11-2008 14:54:26
ยินดีด้วยนะครับ สำหรับนิยาย และผลของความพยายามและผลของการสร้างสรรค์ผลงาน  :L2: :m4: :mc4:

ผมยังอ่านไม่จบเลยครับ แต่ก็อ่านไปเยอะพอสมควรแล้ว ใกล้จบแล้วล่ะ

แล้วยังไงถ้าจบแล้ว ผมจะมา Comment ให้ครับ  :m1:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: VitamiN ที่ 04-11-2008 21:33:53
โอวว
ชอบแนวนี้มากๆเลยค่ะ (ปิ๊งสุดๆก็ตอนมีเงื่อนไข7วันตายนี้แหละ โอวววถูกใจ :m13:)

โดยส่วนตัวเราเองนั้น จะเป็นคนโลกแคบก็ว่าได้(ไม่ค่อยพบปะผู้คนซักเท่าไหร่ ทำให้ตามใครเขาไม่ค่อยทัน)
พอได้อ่านมุมมองของตัวละครแต่ละคนในนี้
ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ได้รู้จักใครๆมากขึ้น รู้จักความเป็นจริงส่วนหนึ่งของสังคม
ส่วนหนึ่งที่เราอาจจะไม่ได้พบเจอในชีวิตจริง

จะว่าไป พี่ชายธารา ก็เจอมาคล้ายกับเราเลย
ครอบครัวคนจีน ตั้งความหวังไว้กับลูกหลานทุกคนสูง
ใครทำไม่ได้ก็จะโดนว่า โดนเอาไปเปรียบเทียบกับคนนู้นคนนี้เป็นประจำ
แต่เราก็เข้าใจเค้านะ ว่าที่เค้าว่าเค้าดุ เพราะเค้าหวังดี
อย่างน้อยเราก็คิดว่า เรายังโชคดีกว่าพี่ชายธาราอยู่
...
(อ่ะ ออกนอกเรื่องไกลแล้ว)


เราอ่านจบแค่ที่ลงในนี้อ่ะค่ะ พึ่งมาอ่าน แหะๆ
อยากอ่านตอนต่อไป จนจบอ่ะ
มีไหมค้า ขอความเมตตากรุณา :t4: ปิ๊งๆ


ปล.อยากไปงานมากเลย :oni2: เพื่อนก็ชวนไปอยู่
ถ้าไปได้ก็จะไปแน่ :oni1:  หุหุหุ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 05-11-2008 10:43:01
คุณ VitamiN  ถ้าอยากได้ไปอ่านต่อ ส่ง Message บอก e-mail มาให้ผมก็นะครับ เดี๋ยวจะส่งไปให้  :m23:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-11-2008 18:07:05
ยินดีด้วยครับ
 o13
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: VitamiN ที่ 05-11-2008 18:52:46
คุณ VitamiN  ถ้าอยากได้ไปอ่านต่อ ส่ง Message บอก e-mail มาให้ผมก็นะครับ เดี๋ยวจะส่งไปให้  :m23:

โอววว ขอบคุณมากๆเลยค่า :m4:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: @#Jackie#@ ที่ 06-11-2008 00:14:28
คุณ VitamiN  ถ้าอยากได้ไปอ่านต่อ ส่ง Message บอก e-mail มาให้ผมก็นะครับ เดี๋ยวจะส่งไปให้  :m23:

โอววว ขอบคุณมากๆเลยค่า :m4:
 :pig4:

ส่งให้แล้วนะครับ  o13
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: VitamiN ที่ 06-11-2008 03:03:05
ได้รับปุ๊บ ก็อ่านปั๊บ :m13:

จบได้ดีนะค่ะ (น้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง o7)

แต่งงนิดๆ แบบว่า
ตายแบบนี้มันเหมือนโดนหลอกให้ตายไงไม่รุอ่ะ เหอๆ
คือถ้าอมรไม่บอกว่าเจ้าจะตาย
คอมก็จะไม่ต้องทำแบบนั้นหนินา
แบบว่า ถ้าไม่ทำแบบนั้น แล้วจะตายแบบไหน?อ่ะคะ
แบบหัวใจวายตายคล้ายพวกคนหมดอายุไขอะไรแบบนี้หรือเปล่า เป็นไปได้ไหม

อ่อ หรืออาจจะเป็นว่า จะได้ไม่มีใครหาพบ(....เดี๋ยวก็....ขึ้นมาเหอๆ)

ที่จริงเราเป็นพวก พอตอนจบ ก็อยากอ่านความรู้สึก ความเป็นไปของตัวละครที่เหลือด้วยอ่ะ
แต่ ก็นะ

แบบนี้มันก็สวยดี ตัวคุณแม่เอง ก็คงจะคิดได้แล้ว
ส่วนคุณยมฑูตก็สงสัยต่อไป 555+

สุดท้าย เสียดายพิราปอ่ะ เฮ่อ :เฮ้อ:

ขอบคุณที่เขียนให้อ่านกันนะคะ :t2:
:pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 06-11-2008 04:57:01
สนุกดีครับนั่งอ่านสามชั่วโมง ขอตินะครับ คำผิด
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: keivet001 ที่ 07-11-2008 11:23:59
ได้รับปุ๊บ ก็อ่านปั๊บ :m13:

จบได้ดีนะค่ะ (น้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง o7)

แต่งงนิดๆ แบบว่า
ตายแบบนี้มันเหมือนโดนหลอกให้ตายไงไม่รุอ่ะ เหอๆ
คือถ้าอมรไม่บอกว่าเจ้าจะตาย
คอมก็จะไม่ต้องทำแบบนั้นหนินา
แบบว่า ถ้าไม่ทำแบบนั้น แล้วจะตายแบบไหน?อ่ะคะ
แบบหัวใจวายตายคล้ายพวกคนหมดอายุไขอะไรแบบนี้หรือเปล่า เป็นไปได้ไหม

อ่อ หรืออาจจะเป็นว่า จะได้ไม่มีใครหาพบ(....เดี๋ยวก็....ขึ้นมาเหอๆ)

ที่จริงเราเป็นพวก พอตอนจบ ก็อยากอ่านความรู้สึก ความเป็นไปของตัวละครที่เหลือด้วยอ่ะ
แต่ ก็นะ

แบบนี้มันก็สวยดี ตัวคุณแม่เอง ก็คงจะคิดได้แล้ว
ส่วนคุณยมฑูตก็สงสัยต่อไป 555+

สุดท้าย เสียดายพิราปอ่ะ เฮ่อ :เฮ้อ:

ขอบคุณที่เขียนให้อ่านกันนะคะ :t2:
:pig4: :L2:


ขอบคุณสำหลับคำชมครับ....(แค่บอกว่าร้องให้กับตอนจบก็ถือว่าผมทำสำเร็จแล้วละ.... :m1:)

ที่บอกว่าเหมือนโดนหลอก....อือ...จะว่าไงดีละ....คือ ถ้าคอมไม่ทำแบบนั้น อรมก็ต้องเป็นคนทำอยู่ดี...คือผมว่าการที่คอมทำแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าทำไปตามที่อมรบอกทั้งหมดหลอกครับ ที่เขาต้องตายก็เพื่อให้แม่เขาได้มีชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป (เพราะอมรบอกว่า "ถ้าเขาตาย แม่เขาจะมีชีวิตที่เป็นสุข") ดังนั้นการที่เขาตายคงไม่ใช่เพราะอรมหลอกครับ แต่ก็เพื่อแม่เขานะ....(ที่บอกว่าจะให้คอมตายเพราะหัวใจวายนี่....คงไม่เทห์เท่าไรมั้งครับผมว่า  :laugh: :laugh: :laugh: )

สำหลับตอนจบ....คือที่จริงผมอยากจะเว้นที่ว่างให้ผู้อ่านได้คิดเอาเองนะครับ ถ้าสมมติว่าผมเขียนไปว่าอย่างนั้นอย่างนี้หลังจากคอมตาย มันเหมือนกับว่าเราไปจำกัดว่าต้องเป็นแบบนี้นะ แบบนั้นนะ ซึ่งก็ยังมีอีกหลาย ๆ คนที่อยากจะให้เป็นอีกอย่าง ผมก็เลยไม่เขียนดีกว่า อยากจะให้ผู้อ่านคิดกันไปเอง (ทำเป็นพูดดี ที่จริงมันเส้นตายส่งประกวดพอดีต่างหาก  :m29: :m29:)



ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่อ่าน  :oni2:

สนุกดีครับนั่งอ่านสามชั่วโมง ขอตินะครับ คำผิด

บอกกันทุกคนเลยครับ เริ่มรู้สึกผิดแล้วสิ  :m15: :m15: :m15: :m15:

ยินดีด้วยครับ
 o13


ครับผม


คุณ VitamiN  ถ้าอยากได้ไปอ่านต่อ ส่ง Message บอก e-mail มาให้ผมก็นะครับ เดี๋ยวจะส่งไปให้  :m23:


อีตาคนนี้เขาเป็นใครเนี่ย....ชักอยากเห็นหน้าแล้วสิ o12 o12 o12 o12

ยินดีด้วยนะครับ สำหรับนิยาย และผลของความพยายามและผลของการสร้างสรรค์ผลงาน  :L2: :m4: :mc4:

ผมยังอ่านไม่จบเลยครับ แต่ก็อ่านไปเยอะพอสมควรแล้ว ใกล้จบแล้วล่ะ

แล้วยังไงถ้าจบแล้ว ผมจะมา Comment ให้ครับ  :m1:



ขอบคุณครับ  :m1: :m1: :m1: :m1:



หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-11-2008 19:35:28
อ่านจบแล้ววววววว
  :m15: :m15: :m15:
ขอติคำว่า หลอ หลอ นะคะ บางทีตัวละครเป็นผู้ใหญ่ ยังรับคำว่าหลอ อยู่อีก เลยสะดุดนิดนึง

แต่ก็สงสัยเหมือนกัน บางทีคอมไม่ต้องตายก็ได้นิ เพราะแม่เขาก็คิดได้แล้ว ไม่เห็นเกี่ยวกับการตายของคอมตรงไหน
แถมตายเหมือนกับการฆ่าตัวตายอีก พลอยทำให้คิดว่า อมรนี่บังคับให้ตายเองรึเปล่า อาจจะยังไม่ถึงที่ตายของคอมจริงๆ สักหน่อย

แต่ก็เสียน้ำตาไปเยอะอยู่นะ

ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 07-11-2008 22:52:27
ยินดีด้วยนะครับ สำหรับความสำเร็จขั้นเล็ก ๆ ที่ได้มา  :mc4: :oni2:

แต่อย่างที่หลายคนว่าไว้ครับ คำผิดเยอะจริงๆ นะครับ แต่ของอย่างนี้แก้ไขได้ครับ

โดยให้ความสำคัญกับมันอีกสักนิดหนึ่ง ตรวจทานให้ละเอียดหน่อย ก็ได้แล้วครับ  :m1: :m13:

หวังว่าคงจะได้เห็นนิยายเรื่องใหม่ เร็ว ๆ นี้นะครับ  :m23:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหมาหยอกไก่ ที่ 03-03-2009 01:38:17
ดีใจด้วยนะที่นิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัล
ตามอ่านตั้งแต่เริ่มเขียนแล้วแหละ
แล้วก็รู้ตอนที่ได้รางวัลด้วย

ขอบคุณนะที่มองนิยายรักๆในแง่ดีขึ้น

ไปแระ

ดูแลตัวเองด้วย ^^

"คนที่เคยคู่ควร"


หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: โมโม ที่ 18-03-2009 16:26:58
ฮึกๆ ฮึกๆ

พึ่งเข้ามาอ่าน อยากอ่าน อะ อยากอ่านตอนจบ

ทำไงดี อยากอ่าน

อ่านตอนแรก ออกงงนิดหน่อย(แบบตัวละครเยอะโพด)

อ่านแล้วได้อะไรดีๆเยอะ เก่งนะครับนี้


ดีใจด้วยกะรางวัล


ป๋อหล๋อ..... แล้วทำไงผมถึงจะได้อ่านจนจบหล่ะนี้ ค้างคาสุดฤทธิ์
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: Ferfa ที่ 18-03-2009 19:27:06
 :z13: จิ้มเปิ้ลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล

เพิ่งอ่านจบเหมือนกันค่ะ ตอนจบน้ำตาซึมเลย :sad11:
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: littlebeer ที่ 14-11-2011 03:18:14
ผมเพิ่งตามมาอ่านอ่ะครับ

แล้วตอนนี้จะโหลดที่เหลือมาอ่านมันก็โหลดไม่ได้แล้ว

อยากจะขอผู้ใจดีที่มีโหลดเก็บไว้

ช่วยอัพให้โหลดใหม่หน่อยนะครับ

จักขอบคุณเป็นอย่างมากเลย
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: littlebeer ที่ 18-11-2011 09:01:22
อยากอ่านต่อครับมีใครใจดีเก็บไว้บ้าง
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: lovely2min ที่ 08-03-2012 13:25:13
งื้อ เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่อนี้
ช้าไปหนอเรา
ฮือฮือ กะลังสนุกสนาน น้ำตาไหลพราก
อยากอ่านต่อง่ะ งือ ทำไงดี ฮือออออออออออออ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: LuN@tiC ที่ 08-03-2012 16:28:55
อ่านยังไม่จบเล้ยย :sad4: :sad4:

แต่ว่าแต่เรื่องนี้สนุกมากๆๆ ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 07-11-2020 21:03:27
ตัวละครเยอะมาก แต่ละตัวยังไม่ทันไม่มีบทบาทอะไรตัวใหม่เข้ามาอีกแล้ว อ่านยากกว่าหนังสือเรียนอีก
สะกดผิดเยอะแยะไปหมด
พราง ที่ถูกคือ พลาง
โทรศัพย์ ที่ถูกคือ โทรศัพท์
เกีย์ ที่ถูกคือ เกียร์  ฯลฯ
ถ้าใช้ word พิมพ์แล้วขึ้นตัวแดง ต้องรู้ว่าคุณสะกดผิดแล้วนะ
หัวข้อ: Re: Seven Day 7 วัน คนเหงา ความรัก ความตาย
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 07-11-2020 21:22:09
เวลาอาหารเย็นของครอบครับนี้ดูผิวเผินจะเหมือนอบอุ่นและเป็นกันเองอย่างมาก แต่ธารารู้ดีถึงสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวใหญ่ตามแบบอย่างของคนจีน มีสมาชิกทั้งหมดราวสิบห้าคนได้ ทุก ๆ วันเวลาสอง(คืออะไรไม่เข้าใจ)ทุกคนต้องมานั่งกันอยู่ที่โต๊ะไม้กลมใหญ่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและกินอาหารร่วมกันพลางเล่าสิ่งต่าง ๆ ให้กันฟังอย่างออกรส เสียงพูดคุยภาษาไทยปนจีนจะดังระงมไปทั่วทั้งห้องที่มีขนาดใหญ่โตพร้อมของประดับใหญ่โตมากมาย ทั้งกระถางกระเบื้องลงลายสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่ ภาพเขียนใส่กรอบแบบจีน และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ทุก ๆ วันธาราจะรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นล่องหนอยู่ในห้องใหญ่แห่งนี้ อาป๊าและอาม้าของเธอนั้นจะนั่งอยู่ข้างกับพี่สาวคนโตและน้องชายของเธอส่วนเธอเองนั้นจะนั่งอยู่ท้ายสุดของครอบครัว ที่จริงแล้วเธอจะมีพี่ชายคนรองนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยแต่ตอนนี้เขาออกเดินทางไปต่างประเทศที่นั่งข้างเธอจึงว่างอยู่
   เธอและพี่ชายคนรองสนิทกันมากเป็นพิเศษ อาจด้วยเพราะเป็นลูกคนที่สองและสามซึ่งอยู่ตรงกลางพอดีจึงทำให้มีอะไร ๆ คล้ายกันอยู่หลายอย่าง การที่เขาไม่อยู่ตรงนั้นมันทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก
   หญิงสาวเหม่อมองไปยังที่นั่งข้าง ๆ ที่ว่างเปล่าด้วยสายตาโหยหา
   “อาเจ้ ข้าว” เสียงน้องชายของเธอดังขึ้นพลางส่งโถข้าวกระเบื้องให้เธอ
   “ขอบใจ อาตี๋เล็ก”
   ธาราแบ่งข้าวใส่จานเพียงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มรับประทานอย่างเบื่อหน่าย เสียงญาติ ๆ ของเธอพูดคุยกันเสียงดังคับห้อง อาป๊าของเธอที่มีผิวขาวและรูปร่างอ้วนท้วนเล่าเรื่องงานรับเหมาที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำอย่างอารมณ์พลางพ่นเศษอาหารในปากออกไปยามหัวเราะจนดูคล้ายคล้ายหมู เธอเบือนหน้าหนีอย่างอับอายก่อนจะลุกเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ตะกละตะกลาม
   ห้องของเธอเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีข้าวของอย่างห้องเด็กผู้หญิงทั่วไป เตียงใหญ่ถูกวางชิดริมหน้าต่างด้านในสุดและปูทับด้วยผ้าปูที่นอนสีฟ้าลายโดราเอม่อนเช่นเดียวกับหมอนข้าง ผ้าห่มและหมอน ตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีอ่อนถูกวางอยู่ที่ปลายเตียง ข้าง ๆ เป็นโต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้ชนิดเดียวกัน ข้างเตียงอีกด้านเป็นโต๊ะหัวเตียงเล็ก ๆ ใช้วางโคมไฟรูปโดราเอม่อนแต่งตัวเป็นเทพีเสรีภาพ ถัดจากโต๊ะหัวเตียงมาจะเป็นโต๊ะวางคอมพิวเตอร์จอพลาสม่าสีดำดูราคาแพง ห้องของเธอไม่มีโทรทัศน์เพราะตอนที่เธอซื้อคอมพิวเตอร์มา อาป๊าบอกกับเธอว่าถ้าจะเอาคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องก็ต้องเอาโทรทัศน์ออกไป ไม่อย่างนั้นเธอจะเป็นนางอายหลบอยู่ในห้องตลอดไม่ไปไหนอีก แต่เธอคิดว่าปรกติก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเธออยู่แล้วแม้ว่าเธอจะอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นก็ตาม
   ธาราทิ้งตัวลงบนเก้าอื้ตัวใหญ่ที่ทำเป็นรูปโดราเอม่อนกำลังกอดคนที่นั่ง ก่อนเริ่มท่องไปในโลกที่เธอรู้สึกว่าตัวเธอนั้นมีตัวตนอยู่จริงและมีค่าสำหลับใครสักคน ในโลกแห่งนั้นเธอสามารถไปไหนก็ได้อย่างใจเธอต้องการ พูดคุยกับใครก็ได้โดยไม่รู้สึกเขินอายไม่ว่าจะเชื่อชาติใด ศาสนาใดเธอสามารถพูดคุยได้หมด และส่วนที่เธอชอบที่สุดก็คือเธอสามารถเป็นใครทำอาชีพอะไรก็ได้ในโลกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์.นี้ ทั้งหญิงระบำเปลื้องผ้าในลาสเวกัส ไอดอลชายหน้าหวานชื่อดังในญี่ปุ่น หมอศัลยกรรมให้คำปรึกษาแก่ผู้เดือดร้อนในอินเดีย และที่เธอชอบที่สุดคือหนุ่มใหญ่ขี้เหงาในกรุงเทพ
   ไม่นานนักก็มีคนเข้ามาทักทายเธอผ่านโปรแกรมพูดคุย เอ็มเอสเอ็น ชื่อที่ขึ้นอยู่บอกให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนเก่าที่พูดคุยกับเธอมานานผ่านโลกเสมือนจริงแห่งนี้ สำหรับเธอ ธาราคือพี่แว่นชายวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่ขี้เหงาและอบอุ่น และสำหรับธารา อีกฝ่ายคือแอมมี่เด็กสาวน่ารักวัยมัธยมปลาย
   -  ดีค่ะพี่แว่น-
- อือ...ว่าไงจ๊ะ แอมมี่ วันนี้โดดเรียนอีกหรือเปล่า-
- เปล่านะ วันนี้เขาปะเรียนโด้ย-
ธาราชินเสียแล้วกับการพิมพ์ข้อความแบบนี้ของอีกฝ่ายถึงบางครั้งมันจะทำให้เธอปวดหัวบ้างก็ตาม
-จริงนะ ไม่หลอกพี่แว่นนะ
-เจง เจง- อีกฝ่ายพิมพ์มาพร้อมกับไม้ยมกสามแถวเต็ม
-แล้วเป็นไงบ่าง เรียนอะไรบ้างวันนี้-
-เรียนรู้ที่จาร้าก- ตามมาด้วยไม่ยามกอีกสองแถวครึ่ง
   ธาราอมยิ้ม
   - เหรอ แล้วตอนกลางวันกินอะไรบ่างหรือเปล่า เลิกไดเอ็ดได้แล้วนะ-
   - เขากินต๊ะหลายอย่าง พี่ล่ะกินอะไรบ่าง-
   - กินแต่ไก่วันนี้ ปวดตามข้อไปหมดแล้วเนี่ย สงสัยจะเป็นเก๊าท์-
   - เจงหลอพี่  ไปหาหมอยัง-
   - ไปแล้ว หมอบอกว่าเป็นเก๊าท์สายพันธุ์ใหม่ รักษาไม่หาย-
   - เจงอะ-
   - อือ โรค เก๊าๆๆๆๆๆๆๆๆๆร้ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆโตๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเองๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆน้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ-   
    ธาราหัวเราะเบากับความไร้สาระของตัวเอง
-แล้วพี่ได้บอกร้ากกับคน ๆ น้านไปยาง- อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีคล้ายไม่พอใจที่เจอคนไร้สาระกว่าตัวเอง
-ยังเลย แต่เมื่อวานได้คุยกับเขาด้วย-
-เจงอ่ะ เขาว่างายบ่างละ-
-ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่พยักหน้าเฉย ๆ เอง-
-ดีจางน้า-
-ดียังไง....พี่ไม่เข้าใจ-
-ก็ดีที่อย่างน้อยพี่ยังมีคนให้ร้าก ให้คิดถึงไง-
ธาราจ้องมองข้อความนั้นอย่างครุ่นคิดและเหม่อลอย
-คงอย่างนั้นมั้ง--
หญิงสาวนั่งอยู่แบบนั้นจนถึงเกือบเที่ยงคืนก่อนจะหาข้ออ้างไปนอน อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเธอไปโดยดี แต่หลังจากผ่านไปหลายสิบนาที ธาราก็ได้ล้มตัวลงนอนบนเตียง
      “เก๊าร้ากโตเองน้า”หญิงสาวพึมพำพลางยิ้มก่อนจะผลอยหลับไป
.......................................................................................