พิราบวิ่งลงมาจากรถก่อนจะเห็นร่างของชายคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่บนพื้นถนน เขามองไปรอบตัวเหมือนต้องการคนช่วยแต่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นแม้แต่คนเดียว
“พี่ พี่”ชายหนุ่มร้องเรียกพรางเข้าไปเขย่าร่างนั้นเบา ๆ เม็ดเลือดสีแดงฉานเริ่มไหลออกมาจากปากแผลยาวที่อยู่เหนือคิ้วซ้ายขึ้นไปและทิ้งตัวลงมาตามแนวขมับจนเกิดกลายเป็นเส้นสายสีแดงดูน่าหลัวและถ้าเขาไม่ตาฝาด สีขาว ๆ ที่จมลึกอยู่ในแผลนั้นคงเป็นกระดูกส่วนหนึ่งของกะโหลกศีรษะ
พิราบเริ่มรู้สึกไม่สู้ดีนักแต่อีกฝ่ายดูเหมือนเริ่มจะได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาเขากลอกไปมาก่อนจะกระพริบตาถี่ ๆ เหมือนคนตื่นนอน ก่อนที่มันจะฉายแววเรียบเฉยมึนงงไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อยผิดวิสัยคนปรกติทั่วไป
เจนศิลป์มองไปรอบตัวคล้ายหาอะไรบางอย่างก่อนจะลุกขึ้นอย่างเร็วและถลาออกไปห่างจากอีกฝ่าย
“อะไรว่ะเนี้ย....”เขาพูดน้ำเสียงคล้ายพูดกับตัวเอง
“ผมขับรถชนพี่ ผมขอโทษด้วยนะ”พิราบว่าพรางเข้าไปจับตัวอีกฝ่ายคล้ายต้องการช่วย แต่เจนศิลป์กลับมองเขาด้วยสายตาแปลกอย่างไม่ไว้ใจ เขาขยับกายเสห่างออกไปอีกพรางจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ไม่แน่ใจว่าชายคนนี้เป็นคนปรกติทั่วไปอย่างตนหรือเป็นอมรแสดงอภินิหารแปลงร่างมาอีก “ยังไงไปโรงพยาบาลก่อนนะ....พี่มีแผลด้วย ยังไงก็ไปโรงพยาบาลก่อนแล้วกัน”
เจนศิลป์ขมวดคิ้วก่อนจะรู้สึกปวดตุบที่หน้าผาก เมื่อเอามือสัมพันธ์ดูจึงรู้ว่าเป็นเลือด พิราบรีบเดินเข้ามาพรางเอาผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเข้มของตัวเองกดปากแผลไว้ “ไปเถอะ ไปโรงพยาบาล” ว่าแล้วก็เปิดประตูรถให้เจนศิลป์ขึ้นนั่ง
ถึงจะดูยังไม่ไว้ใจนักแต่เจนศิลป์ก็ขึ้นนั่งข้างคนขับแต่โดยดี
“เดี๋ยวไปนนทเวชแล้วกันนะพี่” พิราบว่าก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไป
“ไม่...ไม่ต้องหลอกพี่ ไปพระนั่งเกล้าเถอะ”เจนศิลป์ตอบน้ำเสียงเรียบเฉยและอ่อนเผลียอย่างประหลาดพรางเอาผ้าเช็ดหน้าที่ทาบอยู่ที่หน้าผากออกดู เลือดสีคล้ำโฉลมอยู่ทั่วทั้งฝืนผ้าเช็ดหน้า ชุ่มย้อมสีน้ำเงินให้กลายเป็นสีดำปนแดงดูน่ากลัว
“พี่จะเอาออกทำไมละครับ....”พิราบพูดพรางเอื้อมมือมาจับผ้าเช็ดหน้าปิดไว้ที่เดิมสายตาเลิกลักมองถนนที เจนศิลป์ที “ไปนนทเวชเถอะ เร็วกว่าด้วย”
เจนศิลป์มองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
“ไปพระนั่งเกล้าเถอะ ผมมีอาเป็นหมออยู่ที่นั่น”
ได้ยินแบบนั้นอีกฝ่ายจึงเงียบไปคล้ายจำนน
“ผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะ” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ “คือ ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ”
“ชั่งเถอะ....”ชายหนุ่มว่าพรางทิ้งหัวไปด้านหลัง “ยังไงวันนี้ก็ซวยตั้งแต่เช้าแล้ว”
พิราบงงงันกับคำตอบนั้นแต่ก็ไม่คิดจะซักไซ้ถามอะไรต่อ ทั้งคู่เงียบกันไปตลอดทางจนถึงโรงพยายาล
“เดินไหวมั้ยพี่ ให้ผมเอารถเข็มมาให้มั้ย” พิราบถามเมื่อรถจอดสนิทในที่จอดรถหน้าอาคารใหญ่ของโรงพยาบาล
“ไม่ต้องหลอก”ว่าแล้วก็เปิดประตูรถเดินออกมา.....หัวแตกขาไม่ได้ขาด.....แม้ในใจเขาจะคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “พี่ ผมยืมโทรศัพท์หน่อยได้มั้ย จะโทรหาอา”
อีกฝ่ายรีบยื่นโทรศัพท์ให้เจนศิลป์ ที่รับมาและกดเบอร์โทรศัพท์โทรออกทันที
“สวัสดีครับ”
“อาหมอหลอ ผมคอมนะ นี่อยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว หัวแตกด้วย”
“ฮะ” อีกฝ่ายทำเสียงไม่เชื่อ “ไปโดนอะไรมา เดี๋ยวจะไปเดี๋ยวนี้ละ”
เจนศิลป์วางโทรศัพท์ก่อนยื่นคืนอีกฝ่ายที่ตอนนี้มองเจนศิลป์ด้วยสายตาเป็นกังวลบอกไม่ถูก
วันนี้ส่วนรอตรวจของผู้ป่วยที่เป็นโถงใหญ่ปูหินอ่อนสีดำสลับขาวดูวุ่นวายด้วยผู้ป่วยที่มารับการรักษาเดินไปมากันขวักไขว่เต็มสถานที่ เสียงดังของเด็กร้องและเสียงพูดคุยดังระงมไปทั่วพอ ๆ กับเสียงประกาศเรียกของนางพยาบาล
ทั้งคู่หาที่นั่งเหมาะ ๆ ก่อนนั่งรอผู้เป็นทั้งหมอและอา ไม่นานพยาบาลสาวคนหนึ่งก็เดินมาถามว่าติดต่อรับการรักษาหรือยัง พิราบตอบไปว่าเจนศิลป์เป็นญาติของหมอที่นี่
“หมอชื่ออะไรค่ะ” เธอถามขึ้น พอสังเกตดูจึงจะรู้ว่าเธอนั้นมีใบหน้าที่สวยงามอย่างประหลาด ด้วยดวงตาเรียวคมบาดลึก ริมฝีปากถูกเติมเต็มด้วยสีแดงก็ฉีกยิ้มอย่างมีนัยไม่คลาย เช่นเดียวกับเล็บมือที่ดูทาด้วยสีแดงดูตัดกับสีขาวชนชุดพยาบาลอย่างน่ากลัว
“เจนภูมิครับ” เจนศิลป์ตอบพรางมองอีกฝ่ายที่ยิ้มไม่คลาย ก่อนจะพยักหน้าและเดินจากไป
“อยู่นี่เองหลอ” นายแพทย์เจนภูมิในชุดสีขาวของหมอเดินมาพรางเอ่ยขึ้น เขามีผิวคล้ำเล็กน้อยไม่เหมือนอย่างหมอทั่วไป รูปหน้าตอบและดวงตาลึกโบ๋เข้าไปในเบ้าดูแล้วเหมือนคนอมโรค รูปร่างสูงโปร่งแต่ค่อนข้างผอมดูแล้วเก้งกางอย่างไรบอกไม่ถูกอีกทั้งมือไม้ยังดูลีบผอมจนเหลือแต่กระดูก
รวมแล้วเขานั้นดูไม่ใช่คนรักษา แต่เป็นคนที่ควรถูกรักษามากกว่า
“อะไรเน้ย ไปโดนอะไรมากัน ตอนแรกนึกว่าพูดเล่นเสียอีก” ผู้เป็นหมอว่าพรางจับเอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือของเจนศิลป์ออก“ลึกเหมือนกันนะนี่ มา ๆ ตามมา เดี๋ยวอาเย็บให้”
ว่าแล้วคนทั้งสองก็เดินตามเจนภูมิไปในห้องตรวจห้องหนึ่งที่ว่างอยู่ ภายในเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเตียงและฉากกันห้องสีเขียวแก่ขึงกั้นไว้ ถัดมาด้านหน้าจึงเป็นโต๊ะทำงานตัวเล็กกับเก้าอี้ของหมอดูไม่สมฐานะเสียเท่าไรนัก
“ไหนมาสิ”เจนภูมิดึงเจนศิลป์ไปด้านในพรางให้นั่งลงบนเตียงและเอาผ้าเช็ดหน้าออกก่อนจะสวมถุงมือยางสีขาวเตรียมดูแผล ปล่อยให้พิราบนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานคนเดียว “ไปโดนอะไรมาเนี้ยฮะ” เจนภูมิว่าพรางพินิจดูแผลของผู้เป็นหลาน
“พี่เขาขับรถชน....”
“อะไร โดนรถชน” เจนภูมิพูดเสียงสูง สายตายังจดจ่ออยู่ที่แผลไม่วางตา
“ทำไมละอา” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงติดตลก “มันน่าจะเป็นมากกว่านี้หรือไง”
“เอ้อ แกจะบ้าหรือไง ไอ้เด็กคนนี้” เจนภูมิว่าพรางถอดถุงมือยางออก “........ไม่เป็นอะไรมากหลอก ไม่โดนเส้นเลือดหรืออะไร รออยู่นี่นะเดี๋ยวให้พยาบาลมาล้างแผลให้”
ว่าแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้ความเงียบคลอบงำคนทั้งคู่อีกครั้ง
“แล้ว.....”เป็นพิราบเองที่เอ่ยขึ้นหลังจากผ่านไปนานหลายนาที “พี่ชื่ออะไรหลอครับ”
“คอมครับ” เขาตอบพลางขยับตัวมาที่ปลายเตียงให้พ้นฉากกั้น “แล้วพี่ละชื่ออะไร”
“ หนึ่งครับ....คือผมต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ มันเป็นความผิดของผมเอง”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ” เจนศิลป์พูดยิ้ม ๆ พรางโบกมือไปมา “มันเป็นอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดหลอกครับ”
อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ พรางก้มหน้าลงและเกาหัวเล็กน้อย
“ว่าแต่”เจนศิลป์ว่า “พี่อายุเท่าไรกัน ถึงเรียกผมว่าพี่แบบนี้”
“ยี่สิบครับ”
“อ้าว” ชายหนุ่มร้อง “งั้นก็ไม่ต้องเรียกพี่แล้วละ รุ่นเดียวกัน”
“งั้นหลอ...”ไม่ทันจบคำพิราบก็ไอขึ้นจนตัวโยนประจวบเหมาะกับนางพยาบาลที่เดินเขามาพร้อมสิ่งของที่ห่ออยู่ในผ้าสีเขียวเต็มสองมือ เธอคลี่มันออกบนเตียง เจนศิลป์ถึงรู้ว่าเป็นชุดทำความสะอาดแผล เข็มฉีดยา และเอ็นเย็บแผล เธอค่อย ๆ คำความสะอาดแผลให้เจนศิลป์อยู่นานจนชายหนุ่มไม่ทันเห็นตอนเจนภูมิเดินเข้ามา
“เอายาชามั้ย” ผู้เป็นอาถามขึ้น
“แล้วมันเย็บกี่เข็มละอา”
“แค่นี้....”เขาทำสีหน้าคิด “สามเข็มก็พอมั้ง”
“งั้นไม่ต้องก็ได้ครับ...นิดหน่อย”
เวลาผ่านไปหลายสิบนาทีพร้อมกับเสียงโอดโอยของเจนศิลป์ที่ดังขึ้นเป็นระยะ
“แล้วก็ทำเป็นปากดีไม่เอายาชา” เจนภูมิว่าพรางถอดถุงมือยางออก ปล่อยให้นางพยาบาลปิดแผลให้เจนศิลป์
“โถ่อา ใครจะไปรู้ว่าจะเจ็บแบบนี้ละ” พอเห็นนางพยาบาลยิ้มน้อย ๆ ชายหนุ่มจึงไม่คิดพูดอะไรต่อ
เสียงไอโขกของพิราบดังขึ้นก้องจนเจนภูมิหันมามอง
“นี่เราไม่สบายหรือเปล่าเนี้ย”ผู้เป็นหมอว่าพรางเดินตรงเข้าไปสัมพัทธ์คอและหน้าของอีกฝ่าย “มีใข้นิเรา”จบคำเขาก็ให้นางพยาบาลไปนำเอาเครื่องมือตรวจต่าง ๆ มา ไม่นานก็ตรวจเสร็จ
“งั้นเดี๋ยวเราทั้งคู่ไปรอรับยาหน้าห้องนะ” ชายหนุ่มทั้งคู่ไหว้เจนภูมิพรางลากลับ แต่ผู้เป็นอาเรียกหลานไว้คล้ายนึกอะไรออก “จะเข้าบ้านก่อนหรือเปล่าเรา”
“เปล่าครับ กะว่าจะไปเรียนต่อ”อีกฝ่ายตอบอย่างเร็วเขารู้ดีว่าอาหมอไม่ชอบให้เขาหยุดเรียบบ่อย
“ก็ดีแล้วละ.....เย็น ๆ อาแวะเข้าไปนะ”
“ครับ” เจนศิลป์รับคำก่อนจะเดินจากมา
พอประตูห้องปิดลง พิราบก็เอ่ยขึ้น
“อาของคอมนี่ใจดีเหมือนกันเน้อ”
“อือ....”เจนศิลป์รู้สึกแปลก ๆ ที่คนรุ่นราวคราวเดียวกับตนเรียกชื่อของเขาตรง ๆ แบบนี้ “เป็นอย่างนี้ละ บางที่เรายังคิดอยู่เลยว่าแกน่าจะไปเป็นหมอเด็กมากกว่า แต่หน้าแกคงไปไม่ไหว”
พิราบหัวเราะชอบใจพรางนึกถึงหน้าตอบ ๆ กับตาลึกโบ๋นั่น “เป็นจริง ๆ เด็กคงกลัวอาเขาแย่เลย”
เจนศิลป์พยักหน้าพรางขำ “ว่าแต่.....” เจนศิลป์ลากเสียงยาว “หนึ่งไปทำอะไรแถวตลาดนนแต่เช้าหลอถึงได้มาขับรถชนเราได้เน้ย”
“โห...เอางั้นเลยหลอ..” อีกฝ่ายดูอึ้ง ๆ เหมือนตั้งตัวไม่ถูกก่อนตอบ “บ้านเราอยู่แถวนั้นนะ”
“เฮ้ย จริงดิ ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“อ้าว บ้านคอมก็อยู่แถวนั้นหลอ”
“อือ” ชายหนุ่มพยักหน้า
“ แปลกว่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเหมือนกัน” พิราบว่า “แล้วเรียนที่ไหนเนี่ย สุวรรณพิทักษ์หรือเปล่า”
“โห...”เจนศิลป์ร้อง “ไม่มีตังขนาดนั้น....เราอยู่ วิทยศาตรา”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “สอบเข้าหลอ.....”
เจนศิลป์พยักหน้ารับ
“เฮ้ย....เก่งว่ะ....เราก็ไปสอบเหมือนกันแต่ไม่ติด”
“หลอ....ไม่หลอกมั้ง” ชายหนุ่มตอบพรางยิ้มน้อย ๆ
“แล้วเรียนคณะอะไรละ”
“บริหาร....แล้วหนึ่งละ” เจนศิลป์ถามกลับพรางหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้หน้าช่องรับยา
“นิเทศ โฆษณา”
“อือ...”เจนศิลป์ร้องในลำคอพราพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงเข้าใจ
ไม่ทันที่ทั้งคู่จะคุยอะไรกันต่อ เสียงขานชื่อของทั้งสองก็ดังขึ้น เจนศิลป์รีบผุดลุกในทันที
“เฮ้ย ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวเราไปเอง คอมนั่งรออยู่นี่ละ....”ว่าแล้วก็เดินไปโดยไม่รีรอ ปล่อยให้เจนศิลป์นั่งลงกับเก้าอี้ช้า ๆ อีกครั้ง
“ท่าทางจะเป็นคนดีนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ร่างของชายหนุ่มนั่งลงสนิท เขาหันไปมองต้นเสียงก่อนจะรู้ว่าเป็นหญิงสาวในชุดสีขาวสะอาดเธอมีปากและเล็บสีแดงจัดจ้านแต่เจนศิลป์รู้ในทันทีว่าเธอคนนั้นไม่ใช่นางพยาบาลทั่วไป
“อมร.....”เขาเอ่ยเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายยิ้ม
“เจ้านี่เรียนรู้เร็วนัก”เธอคนนั้นว่าพรางกอดออกขึ้นแต่สายตายังมองไปยังพิราบไม่ว่างตา “ไม่ผิดเลยที่ข้าเลือกเจ้า”
“นี่มาทำอะไรที่นี่เน้ย....เลิกตามผมได้แล้ว”
“ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้นหากยังไม่ได้คำตอบ....เด็กน้อยเอ๋ยแล้วเป็นเจ้าเองที่สัญญากับข้าว่าจะให้คำตอบนั้น.....เจ้าคงไม่คิดจะผิดสัญญานะเด็กน้อย.....”อมรว่าพรางหันมาจ้องเจนศิลป์ด้วยสายตาดุจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีพรางถอนหายใจแรง ๆ คล้ายจำนน
“ก็แล้วเมื่อไรละถึงจะถามละ....ถามมาจะได้ตอบ ๆ แล้วก็ไปให้พ้น ๆ ซักที....รออะไรอยู่ได้”
“เช่นนั้นก็ได้.....”ชายหนุ่มรีบหันมาเพราะคำตอบนั้นก่อนจะเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้น
“มาสิ.....”
“ไป...ไปไหนละ”
“ไปหาคำถามของข้า....”ว่าแล้วเธอก็ออกเดินไปปล่อยให้ชายหนุ่มหนุ่มงงงันอยู่อย่างนั้นหลายวินาที เขามองไปทีพิราบที่ตอนนี้อยู่หน้าช่องรับยาก่อนจะตัดสินใจออกเดินตามอมรในร่างของนางพยาบาลไป
หญิงคนนั้นเดินนำหน้าเจนศิลป์ไปตามทางเดินยาวสีขาวภายในตึกผู้ป่วยที่ดูเงียบงันและไร้ผู้คนจนเสียงจังหวะการเดินของเธอดังก้องกังวานราวกับเสียงระเบิดในสงคราม เจนศิลป์เร่งตามเธอไปไม่ห่าง เลี้ยวไปตามมุมของทางเดินและขึ้นบันไดไปอีกหลายชั้น ก่อนที่เขาจะพบว่าตัวเองนั้นอยู่หน้าห้องใหญ่หนึ่งที่มีเตียงวางเรียงรายอยู่เต็ม ที่เหนือขอบประตูห้องนั้นมีป้ายพราสติกสีเขียวตัวหนังสือสีขาวขนาดใหญ่แขวนอยู่ อ่านได้ใจความว่า “วอร์ดผู้ป่วยหญิง ไม่มีกิจห้ามเข้า”
เจนศิลป์ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นนานก่อนเสียงฝีเท้าของอมรจะแววมาเขาจึงเลี้ยวไปทางซ้ายก่อนจะพบว่าระเบียงด้านนั้นเป็นกระจกใสทั้งหมด อมรอยู่ที่นั้น เธอหยุดและหันหน้าเข้าหากระจกใส เจนศิลป์ตามไป
“มาทำอะไรที่นี่เน้ย”
เธอไม่ตอบเอาแต่จ้องผ่านกระจกเข้าไปไม่วางตาจนชายหนุ่มต้องมองตาม ภายในนั้นมีเตียงผู้ป่วยตั้งเรียงกันเป็นระเบียบดูสะอาดตา บ่างมีคนนอน บางมีคนนั่ง บ่างไม่มีคนอยู่เลย เจนศิลป์กวาดตามองไปจนสายตาของเขาหยุดจับจ้องไปที่หญิงกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเตียง ในออมแขนของเธอนั้นมีทารกตัวแดงดูน่ารักคนหนึ่งกำลังร้องให้อยู่ เธอคนนั้นยิ้มพรางเอ่ยบางคำก่อนปลดเสื้อผู้ป่วยออกเผยให้เห็นหน้าอกที่ตึงแน่นด้วยน้ำนม หญิงคนนั้นช้อนตัวทารกเข้าหาและให้ดื่มนมจากอก ใบหน้าเธอยิ้ม ยิ้มอย่างประหลาด
เจนศิลป์รู้สึกเจ็บลึกอยู่ในอกคล้ายหัวใจถูกทิ่มแทง
“หญิงคนนั้น....เหตุไดเธอจึงยิ้ม....” อมรพูดทั้ง ๆ ที่สายตายังจ้องไปยังภายในห้องนั้นไม่วางตา มือเธอข้างหนึ่งวางอยู่ที่กลางหน้าอกของตัวเองอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่น ส่วนอีกมือนั้นทาบไปกับกระจกใสด้านหน้าพรางขยับไปมาคล้ายต้องการชอนไชให้สิ่งกันขวางเป็นรู “เหตุไดเธอจึงดูมีความสุขนัก”
ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน
“สิ่งนั้น.....ที่หญิงคนนั้นทำ.....เรียกว่าความรักใช่หรือไม่”
เจนศิลป์หันมาคล้ายไม่เชื่อหู ก่อนจะหันกลับไป “อาจจะใช่” เขาตอบอย่างเหม่อลอย
“ฟังเจ้าไม่แน่ใจกัน ทำไม”อีกฝ่ายซักไซ้
“ก็...”เขายิ้มเฟือน “เรื่องแบบนี้ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหลอกนะ.....ถ้าคุณจะถามเรื่องแบบนี้ผมว่าคุณคงมาหาผิดคนแล้วละ”
หญิงคนนั้นเงียบไปคล้ายจำนน สายตาเธอยังจับจ้องไปที่ด้านในพรางมองทารกคนนั้นดื่มน้ำนมอย่างเป็นสุข ดวงตาของเขายังปิดแน่นอีกทั้งมือยังถูกห่ออยู่ในถุงผ้าสีฟ้าดูน่ารัก
“เมื่อนานมาแล้ว” ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น “เคยมีพวกเจ้าคนหนึ่งบอกกับข้าว่า มนุษย์นั้นได้รับความรักตั้งแต่ยังไม่ลืมตาขึ้นดูโลก ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้การเลี้ยงดูจากบิดามารดาผู้ให้กำเนิด ครั้นเมื่อเติบใหญ่ขึ้นพวกเจ้าจึงเรียนรู้ที่จะมอบสิ่งเหล่านั้นให้กับใครสักคนที่คู่ควร.....” เธอหยุด “เจ้าเจอคน ๆ นั้นหรือยัง”
“ใคร” เจนศิลป์ถาม
“คน ๆ นั้น.......ที่คู่ควรกับเจ้า”
“อ๋อ.....แฟนนะหลอ......อือ....”เจนศิลป์ถอนหายใจเบา ๆ “ไม่เคย......”
“ทำไมกัน”
“มันก็ตอบอยากนะ ....ไม่มีเวลาไปหามั้ง.....”
“ความรักนั้นต้องออกตามหาหรือถึงจะเจอ”
“มันก็ไม่เชิงหลอกนะ คนบางคนอยู่เฉย ๆ ก็เจอเอง แต่บางคนหาให้ตายก็ไม่เจอ.....”เขาหยุด “ผมว่ามันสำคัณที่เวลามากกว่า”
“เวลา.....”อมรทิ้งหางเสียงไว้
“อือ.....เพราะการที่คนสองคนจะรักกันได้จำเป็นต้องใช้เวลา”
“มันเป็นเงื่อนไขอย่างนั้นหรือ”
เจนศิลป์ยิ้มเฟื่อนด้วยสีหน้าลำบากใจพรางยกมือขึ้นกอดอก “จะว่าใช่ก็ใช่น่ะนะสำหลับบางคน แต่กับบางคนมันก็ไม่จำเป็น”
“ข้าไม่เข้าใจ” อมรพูดพรางละสายตาจากทารกมาที่เจนศิลป์ เขายิ้มเฟื่อนคล้ายไม่เข้าใจเช่นกัน
“.....ไม่มีใครเข้าใจมันหลอก”
อมรอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรต่อแต่กลับหันไปที่หัวมุมสุดทางเดินอย่างเร็วคล้ายถูกเรียก
“ข้าต้องไปแล้วเด็กน้อยเอ๋ย ชายคนนั้นกำลังมา”
“ใคร” ชายหนุ่มหันมาแต่ร่างนางพยาบาลพลันหายไปไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว จะมีก็แต่ร่าง ๆ หนึ่งที่เดินพ้นหัวมุมทางเดินออกมา พิราบนั้นเอง
“คอม โถ่นึกว่าไปไหนเดินหาซะทั่ว”อีกฝ่ายพูดขึ้นเสียงดัง แต่เจนศิลป์ไม่สนใจ เขามองรอบตัวหาอมร “หาอะไรหลอ”
“เปล่า ๆ “เขาตอบพรางมองหน้าอีกฝ่าย
ดูพิราบจะไม่ค่อยเชื่อมากนักแต่ก็ไม่คิดจะถามถึงสิ่งที่หายไปของอีกฝ่ายต่อ “แล้วขึ้นมาทำอะไรบนนี้เนี่ย เราก็หาซะทั่วเลย”
“อ๋อ....”ชายหนุ่มคิดหาคำตอบ “เราเจอคนรู้จักนะเลยเดินคุยกันมาถึงนี่”
พิราบทำสีหน้าประหลาดคล้ายไม่เชื่อ แต่เจนศิลป์ก็ชิงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “งั้น...ไปเถอะ เราต้องไปเรียน”
“เอาจริงหลอ” พิราบท้วง “อย่าเลย.....กลับบ้านเถอะ หยุดสักวันคงไม่เป็นไรหลอก”
เจนศิลป์ส่ายหัวเร็ว ๆ “ฮึ......ไม่ได้หลอก บอกอาหมอไว้แล้ว....”
พิราบพยักหน้าช้า ๆ คล้ายเข้าใจและจำนน“งั้น....เดี๋ยวเราไปส่งแล้วกัน”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปเองก็ได้....แค่นี้เอง”
“เฮ้ย....จะบ้าหลอ เราทำคอมหัวแตกนะ...ไปเถอะเดี๋ยวเราไปส่ง”ว่าแล้วพิราบก็ใช้มือดันหลังให้ชายหนุ่มออกเดินไป
เจนศิลป์นั่งนิ่งเงียบตลอดทางจนถึงมหาวิทยาลัยคล้ายตกอยู่ในภวังค์ลึกยากหยั่งถึง......คน ๆ นั้นที่คู่ควร.......ในสมองเขาเอาแต่คิดถึงคำพูดนี้ของอมรกลับไปกลับมาหลายรอบ
“คอม....คอม....”เสียงของพิราบพูดขึ้นจนเจนศิลป์ออกจากภวังค์ เขาหันไปมองหน้าอีกฝ่ายคล้ายไม่เข้าใจจนพิราบอดยิ้มไม่ได้ “ถึงแล้ว”
“อ้าว....หลอ”เขายิ้มน้อย ๆ คล้ายอายพรางขยับเปิดประตูรถ
“เดี๋ยวสิ” พิราบว่าพรางจับที่แขนของเจนศิลป์ไว้ มือนั้นร้อนผ่าวราวกับถูกไฟไหม้ เจนศิลป์หยุดทันทีและมองที่มือข้างนั้น พิราบรีบชักมือกลับ “คือ....เราคงต้องของเบอร์คอมไว้นะ”
“ทำไม....”เจนศิลป์ถามขึ้น ในใจชักเริ่มไม่สู้ดีนักมันทั้งเต้นแรงและสั่นอย่างเร็วจนอกเริ่มเจ็บ
“คือรถเราเป็นรอยนะ...แล้วไม่รู้ว่าประกันเขาจะคุยกับคอมด้วยหรือเปล่า” พิราบอธิบาย “....ยังไงเอาเบอร์มาก่อนแล้วกันนะ เผื่อประกันเขาจะคุยด้วย”
ได้ยินดังนั้นในใจเจนศิลป์ก็เริ่มสงบลงบ่าง “อือ...งั้นมาสิ จะบอกให้”
...