สุดขีด 17ตกเย็นหลังจากขี่ม้าทัวร์รอบคฤหาสน์ ดูนั้นดูนี้ไปจนทั่ว พี่ซูสโผล่มาพร้อมรอยยิ้มเจ้าชายแห่งแสงอันสว่างไสวยังแสบตา แถมยังแต่งองค์ทรงเครื่องจัดเต็มพร้อมจะกระโดดลงสระว่ายน้ำได้ทุกเมื่อ ผมและพวกเด็กๆ ถูกไล่ตอนให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะรอบคอบกันไปไหน เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเสร็จสรรพจนผมเหนื่อยที่จะร้องโอ้โหพร้อมทำตาโตตื่นเต้นแล้วล่ะ มันหมดโควตาตั้งแต่ทัวร์รอบคฤหาสน์แล้ว!
ผมนั่งปักหลักอยู่ริมสระน้ำขนาดกว้างใหญ่ตามสัดส่วนคฤหาสน์หลังบิ๊กๆ มองพี่ซูสกับเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน พี่ซูสดูคุ้นเคยกับการเลี้ยงเด็กทีเดียว ก็นั้นสินะ เขาอายุมากแล้วถึงจะดูไม่ค่อยออกก็เถอะ แถมยังมีลูกตั้งสองคนแน่ะ คงจะผ่านการเลี้ยงเด็กมาบ้าง ผมแกว่งขาตีน้ำไปมา ยิ่งมาเห็นภาพนี้ก็ยิ่งอยากจะช่วยพี่ไนซ์มากขึ้นไปอีก ได้อยู่พร้อมหน้ากันมันน่ามีความสุขกว่าสิ? พวกเด็กๆ เองก็เข้ากับที่นี้ได้ขนาดนี้ เพิ่มพี่ไนซ์เข้ามาอีกคนจะต้องสนุกแน่ๆ!
“ไอ้พวกเด็กเหลือขอ หลีกไป! ตัวจริงจ้าวแห่งผืนน้ำมาแล้ว!” เสียงแหบเฮ้วตะโกนดังลั่นทั่วสระว่ายน้ำอย่างร่าเริง ผมหันไปมองเห็นขากางเกงยีนของใครบางคนวิ่งผ่านหน้ากระโจนลงสระดังตูม
ผิวน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง กระแสน้ำพุ่งสูงเป็นน้ำพุยักษ์สาดกระเซ็นไปทั่ว หน้าของคนในสระรับการโจมตีเปียกกันตั้งแต่หัวจดเท้าถ้วนหน้า ผมถอนหายใจปลงตกกับสภาพหมาตกน้ำของตัวเอง ตั้งใจจะไม่เปียกแต่ก็ไม่รอดจนได้ พี่ซูสตะโกนด่าทันทีที่ตั้งหลักได้ ผมเนี่ยเหวอแดกเมื่อเจออาการน็อตหลุดของพี่ซูส เอาออกอากาศไม่ได้ครับ บอกได้คำเดียวว่า... แรงงงงงงงงส์!
“ก๊ากกกกกกกก!!!” ตัวต้นเหตุยืนหัวเราะลั่นกลางสระกับสภาพดูไม่จืดของพี่ชายคนโต หัวเราะมากไปจนสำลักน้ำลายตัวเองจนหัวเราะหน้าดำหน้าแดง พี่ซูสกัดฟันกรอดยกมือขึ้นเหนือหัวคล้ายจะทำอะไรสักอย่าง แต่โดนพี่โพไซดอนร้องแทรกเตือนขึ้นมาซะก่อน
“เอาเลยครับเฮี้ยยย! แต่อยากบอกไว้ว่าในสระนี้ไม่มีแค่ผมเท่านั้นนะ สายฟ้ามันจะช็อตใครบ้างอันนี้ผมไม่เกี่ยวด้วยนะคร้าบ”
พี่ซูสมองเด็กๆ และผมแล้วลดมือลง สูดลมหายใจลึกๆ พยายามจะไม่มองหน้าคนที่ยิ้มเกรียนอย่างได้ใจตรงหน้า พี่โพไซดอนยักไหล่หัวเราะหึๆ อย่างเป็นต่อ
“ไม่แน่จริงอะ งั้นผมไม่เกรงใจนะเฮี้ย ฮ่าห์!” พี่โพไซดอนยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างอารมณ์ดี ยกมือโบกไปด้านข้าง น้ำหมุนตัวเป็นเกรียวคลื่นพุ่งไปกระแทกพี่ซูสจนลอยละลิ่วไปอีกด้านของสระ ร่างของพี่ซูสตกลงสระดังตูม น้ำสาดกระเซ็นเป็นม่านน้ำอีกครั้ง พี่โพไซดอนฮัมเพลงในลำคอ โบกมือไปมาเหมือนกำลังบังคับอะไรบางอย่าง และตอนนั้นฝาแฝดกรีดร้องพร้อมกันเสียงดัง น้ำใต้ตัวดันทั้งสองลอยขึ้น ผมเบิกตากว้างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า!
ไมนอสและแมนทีสจากตอนแรกยังกล้าๆ กลัวๆ ตอนนี้กรี๊ดกร๊าดตื่นเต้นไปกับเกรียวน้ำขนาดใหญ่คล้ายงูยักษ์ซึ่งพาพวกเขาลอยฉวัดเฉวียนไปรอบๆ สระ เสียงหัวเราะดังสนุกสนานของเด็กๆ ทำให้ผมหลุดออกอาการอึ้ง ผมสะบัดหน้าไปมา ตบแก้มสองสามทีเพื่อเรียกสติแล้วกลับมามองเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง คุณพระช่วย... ผมไม่ได้เสียสติ! น้ำมันมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ! ได้ยังไง? เป็นไปได้ยังไง? สมองของผมมึนตึบมืดแปดด้านกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในครั้งนี้
“ระวังหน่อยโพซ! เดี๋ยวพวกเด็กๆ ก็ตกลงมาเจ็บตัวหรอก” พี่ซูสขึ้นมาจากสระตะโกนเตือนน้องชายด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กๆ ไม่มีท่าทีจะตกอกตกใจอะไรเลย ผมมองพี่ซูสแวบหนึ่งแล้วพุ่งเป้าไปที่พี่โพไซดอน เขากระดิกนิ้วเหมือนกำลังเรียกงูน้ำขนาดยักษ์เข้ามาหา เมื่อมันพุ่งพามาพี่โพไซดอนก็กระโดดขึ้นไปยืนกับพวกฝาแฝดบนหัวของมัน ทั้งสามเริ่มเหินฟ้าด้วยงูน้ำขนาดมหึมา ผมก้มมองน้ำในสระที่เหือดแห้งไปเกือบหมด ก็แน่ล่ะ มันไปรวมตัวเป็นงูน้ำตัวนั้นนี่น่า! มันเรื่องอะไรกัน? ความสงสัยที่ผมพยายามที่จะไม่เก็บมาคิดเมื่อครั้งเกิดเรื่องที่โรงพยาบาลในวันนี้ก็ย้อนกลับมาโจมตีอย่างกะทันหัน เร่งให้ผมคิดขึ้นมาจนได้
หรือว่าทุกคนในครอบครัวนี้จะ... ไม่ใช่คนธรรมดา!?
ผมลุกขึ้นพรวดอย่างตื่นตระหนก มันจะเป็นไปได้เหรอ? ในโลกนี้มีเรื่องพิลึกหลุดโลกแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ!? ผมเม้มปากขมวดคิ้วพยายามหาเหตุผลมาอธิบายแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะไม่ว่าทฤษฏีวิทยาศาสตร์เรื่องไหนก็อธิบายไอ้งูน้ำมีชีวิตตัวนั้นไม่ได้เลย! เรื่องอื่นๆ อาจจะพอปลอบใจไปได้บ้างแต่ไอ้เหตุการณ์ตรงหน้าตอนนี้ทำเอาผมเป็นใบ้จำใจยอมรับแบบที่แย้งอะไรใดๆ ไม่ออก โลกใบนี้ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นที่ยังไม่ถูกเปิดเผยอยู่สินะ! โอ ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะว่ามนุษย์ต่างดาวเองก็มีอยู่จริงๆ น่ะ! พระคุณเจ้า เรื่องนี้มันเป็นไปได้อย่างนั้นเหรอครับ!?
“เป็นอะไร?”
“อ๊ะ! ปะ เปล่าครับ” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ พี่เฮดีสก็โผล่เข้ามาที่ด้านหลังแบบเงียบกริบ เขาถามขึ้นตอนที่ผมกำลังติดอยู่ในความขัดแย้งระหว่างเชื่อและไม่เชื่อ พี่เฮดีสมองผมที่ทำท่าทางลุกลิกอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรต่อ เขาหันไปมองพี่ชายที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“แด๊ดดดด! มาขี่งูน้ำด้วยกันไหมฮะ!?” แมนทีสยกมือป้องปากตะโกนถามเสียงดัง ไมนอสหันมาเห็นแด๊ดดี๊ที่ยืนทำหน้านิ่งก็ร้องตะโกนเชิญชวนอีกแรง ไม่ต้องรอถามคำตอบ พี่โพไซดอนจัดการพุ่งเข้ามาในจุดที่ผมกับพี่เฮดีสยืนอยู่อย่างรวดเร็ว แว๊กกก! จะเซอร์วิสกันเกินไปแล้วคร้าบบบ ผมไม่อยากถูกตัวที่ไม่ทราบสปีชี่ย์ชนตายหรอกนะ! ผมทำอะไรไม่ถูกจะวิ่งก็กลัวจะลื่นหกล้มเจ็บตัวอีก
ผมยึกๆ ยักๆ รีรอตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำยังไง ตรงกันข้ามกับพี่เฮดีสที่ยืนสงบนิ่งไม่หวั่นไหวแม้วันมามาก เขาใจเย็นเสียจนผมดูเป็นเจ๊กตื่นไฟ พี่เฮดีสยกมือขึ้นห้าม โอ๊ยยยย ไม่นะ พี่จะไปสู้กับงูน้ำยักษ์ตัวนั้นด้วยมือข้างเดียวนี่นะ!? ผมตกอกตกใจกับความบ้าบิ่นของพี่เฮดีส รีบพุ่งตัวเข้าไปกอดช่วงเอวของเขา กะจะลากตัวให้พ้นจากระยะการพุ่งตัวของงูน้ำ เอาเข้าจริงผมไม่มีแรงลากพี่เฮดีสให้ขยับได้เลย ผมกอดพี่เฮดีสแน่นหลับตาปี๋เมื่องูตัวนั้นเข้ามาใกล้พร้อมพุ่งตัวเข้าใส่แบบจังๆ แว๊กกกกกก!!!
“จงกลายเป็นน้ำแข็ง”ผมได้ยินเสียงพี่เฮดีสพูดอะไรบางอย่างตามด้วยเสียงกรอบดังต่อๆ กันเหมือนเสียงโดมิโนแก้วล้มต่อกัน เสียงร้องดังตกใจดังจากสองฝาแฝดเหมือนพวกเขาเห็นอะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง กะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นก้อนคล้ายน้ำแข็งทอดตัวยาวเป็นสายเหมือนสะพานน้ำแข็งตรงหน้า เอ๊ะ นี่มัน...งูตัวนั้นนี่! ทำไมมันถึงได้แข็งเป็นน้ำแข็งก้อนแบบนี้ไปได้ล่ะ!?
“น่าเบื่อฉิบหาย ไอ้บ้าดีสสส!” พี่โพไซดอนที่ยืนอยู่บนหัวงูน้ำที่แข็งตัวเป็นน้ำแข็งก้มลงมาต่อว่าน้องชายที่ยืนนิ่งอยู่ พ่อหมีเถื่อนทำหน้ามุ่ยเมื่อโดนขัดความสนุก เขาหิ้วตัวเด็กๆ ลื่นไถลลงมาโดยใช้งูน้ำแข็งต่างสไลเดอร์ ลื่นปรืดเดียวถึงพื้นอย่างปลอดภัยหมดจด พี่โพไซดอนส่งตัวเด็กน้อยฝาแฝดมาให้ผมแล้วเดินออกไป ปากบ่นอะไรพึมพำคนเดียว
“เฮ้ย อย่าเอาตัวเปียกๆ เข้าบ้าน เช็ดตัวก่อน!” พี่ซูสตะโกนบอกตามหลังน้องชาย พี่ซูสนี่สมกับเป็นพี่ชายคนโตจริงๆ นั้นแหละ บ่นเรื่องหยุมหยิม ซีเรียสในเรื่องที่เป็นจุดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ
พี่โพไซดอนไม่หยุดเท้าเลยสักนิด เขาแค่ปรบมือหนึ่งครั้ง น้ำในตัวก็พุ่งออกมาจากสาดลงไปในสระพอดิบพอดี ที่ทำให้ผมทึ่งสุดๆ ก็คือตัวของพี่โพไซดอนแห้งสนิท! ขนาดผมที่เปียกลู่จับตัวเป็นก้อนก็กลับมาพลิ้วสลวย! เจ๋งสุดๆ ไม่ต้องเสียเวลาเช็ดตัวเลย! พี่ซูสสาวเท้ามาหยุดยืนข้างพี่เฮดีสตะโกนกำชับน้องชายที่ยังคงสภาพโจรป่าไว้ทุกระเบียบนิ้ว
“ไอ้โพซ! รีบโกนหนวดโกนเคราตัดผมให้เรียบร้อยก่อนกินข้าวด้วยนะโว้ย! ได้ยินหรือเปล่า!?”
“คร้าบบบบบ” พี่โพไซดอนโบกมือตอบกลับเสียไม่ได้ ท่าทางไม่ใส่ใจจะทำตาม พี่ชายผู้เหมือนจะควบตำแหน่งพ่อถอนหายใจกลุ้มแล้วหันมารับเด็กๆ จากผม
“ดีสจัดการให้เรียบร้อยแล้วพาเนรัญไปอาบน้ำเตรียมตัวทานมื้อเย็น” ใบหน้าหล่อมีแววเหนื่อยนิดๆ เอ่ยกับพี่เฮดีสด้วยเสียงราบเรียบแล้วพาเด็กๆ เดินออกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัว
พี่เฮดีสพยักหน้ารับนิดๆ แล้วหันมามองน้ำแข็งก้อนใหญ่ตรงหน้า ซึ่งถ้ามองผ่านๆ เหมือนเป็นประติมากรรมน้ำแข็งเลยแฮะ ทิ้งไว้แบบนี้ก็สวยดีแต่สยดสยองยังไงชอบกล ถ้าคนอื่นมาเห็นจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แหงๆ ไอ้ที่บอกว่าจัดการให้เรียบร้อยคงจะหมายถึงให้จัดการไอ้ก้อนน้ำแข็งนี่สินะ? มันก้อนใหญ่ขนาดนี้แล้วจะจัดกวาดยังไงให้มันเรียบร้อยได้ล่ะเนี่ย? ผมจ้องพี่เฮดีสรอดูว่าเขาจะทำยังไงด้วยความสนอกสนใจ พี่เฮดีสเอียงหน้ามองมาที่ผมแล้วหันกลับไปมองงูน้ำแข็งตรงหน้า เขาสะบัดข้อมือพึมพำเบาๆ งูน้ำแข็งตัวนั้นก็แตกโพละค่อยๆ แตกร้าวเปลี่ยนสถานะจากของแข็งไปเป็นของเหลวอย่างมหัศจรรย์สุดๆ แล้วมันก็ค่อยๆ ไหลลงไปในสระ ไม่นานงูน้ำตัวนั้นก็หายตัวไป และน้ำในสระก็กลับมามีปริมาณและระดับความสูงเท่าเดิม!
“ทำหน้าเหมือนผิดหวังอยู่นะ”
“เปล่า...เอ่อ ก็นิดหน่อยครับ” ผมเงยมาปฏิเสธอย่างรวดเร็วแต่ก็ชะงักเปลี่ยนใจตอบเสียงงุบงิบกลับไปตรงๆ แหม ไอ้เราก็นึกว่าจะได้เห็นอะไรอลังการฟูลเพาเวอร์กว่านี้ซะอีก ถึงมันน่ามหัศจรรย์แค่ไหนแต่ถ้าเทียบกับพลังบังคับน้ำสุดอลังการงานสร้างของพี่ไพไซดอนแล้วล่ะก็...พลังของพี่เฮดีสน่าเบื่อสุดๆ ไปเลย! ใช้คำพูดงั้นเหรอ? แหม อย่างกับจะประชดกันแน่ะ คนพูดน้อยดันมีพลังใช้คำพูดซะนี่! สีหน้าของพี่เฮดีสเริ่มตึง ผมจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“พี่ทำแบบเมื่อกี้ได้ยังไงเหรอครับ?”
“ฮึ” พี่เฮดีสทำเสียงในลำคอเหมือนรู้ทันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาดึงผมให้เดินตาม ระหว่างนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ
“ถ้ามีจิตใจมุ่งมั่นและความพยายามแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นคำพูดใดก็จะกลายเป็นความจริงได้ทั้งนั้นแหละ”
ไม่จริงอะ! ถึงผมจะมีใจมุ่งมั่นและความพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีทางสั่งให้น้ำแข็งตัวได้หรอกนะครับ! พี่เฮดีสเหลือบมองผมด้วยหางตา ถอนหายใจเบื่อหน่ายเหมือนผมเป็นตัวโง่งม ผมย่นหน้าใส่ตอบกลับ
“คนธรรมดาไม่มีทางทำได้หรอกน่ะครับ”
“งี่เง่า แม้แต่คนธรรมดาถ้ามุ่งมั่นและพยายามมากพอ ไม่ว่าจะได้ลั่นวาจาอะไรไว้ก็ย่อมทำให้คำพูดนั้นเป็นจริงได้ทั้งนั้น”
ผมพยายามครุ่นคิดคำพูดของพี่เฮดีสที่อุตส่าห์อธิบายอะไรยาวๆ ให้ฟัง ซ้ำยังเป็นประโยคที่ลึกซึ้งมากซะด้วย ถึงผมจะบื้อไปนิดแต่ไม่ถึงกับโง่หรอกนะครับ เขาไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เขาทำแน่ แต่หมายถึงถ้าเราพูดอะไรไว้ มันจะกลายเป็นความจริง ถ้ามีความมุ่งมั่นและพยายามมากพอ... ผมยิ้มออกมานิดๆ เงยหน้ามองพี่เฮดีสซึ่งเดินทอดน่องอยู่ข้างๆ
“ผมว่าประโยคเมื่อกี้ ไม่พี่ซูสก็พี่โพไซดอนเป็นคนพูดไว้แน่ๆ ใช่ไหมครับ?”
“...” พี่เฮดีสเร่งความเร็วเดินหนีออกไปด้วยความไวอันน่าเหลือเชื่อทันที
หว่า~ แค่แซวนิดแซวหน่อยไม่เห็นต้องงอนกันเลยนี่น่า ผมยักไหล่แล้วก้าวขายาวๆ เพื่อตามคนข้างหน้าให้ทัน เอาล่ะ พอทานข้าวเสร็จผมก็จะรู้เรื่องราวสุดมหัศจรรย์พันลึกของตระกูลนี้แล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเหล่าทวงเทพแห่งโอลิมปัสกันแน่? ทำไมพวกเขาถึงได้ทำสิ่งเหนือธรรมชาติแบบนั้นได้? ตกลงพี่ไนซ์จะเป็นยังไง? อีกเดี๋ยวผมก็จะได้รู้แล้ว ตอนนี้ชักจะเริ่มตื่นเต้นแล้วแฮะ!
ช่วงมื้อเย็นมีคนร่วมโต๊ะมากกว่าที่คิดไว้ทำให้ผมนั่งตัวเกร็งตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เหงื่อไหลจนกลายเป็นน้ำตกอยู่แล้วครับ ผมจะแนะนำคนที่เพิ่มมาล่ะกันนะครับ ผมนั่งข้างพี่เฮดีสยิ้มนิดๆ ให้กับสาวผมทองคนสวยซึ่งนั่งอยู่ข้างพี่ซูส อ่า ไม่ต้องเดาให้ยากหรอกครับ นั่นแหละภรรยาสุดที่รักของพี่ซูสเขาล่ะ บอกได้คำเดียวว่าสวยโคตรอย่างกับนางฟ้าซีเคร็ตวิคตอเรีย เธอกระตือรือร้นทำความรู้จักกับผมด้วยท่าทางเป็นกันเอง และแนะนำตัวว่าชื่อ
‘เรเนีย’ เป็นคนฝรั่งเศสตั้งแต่เกิด เธอพูดไทยได้ด้วยถึงจะไม่ชัดแต่เดาออกว่าพูดอะไร
คนที่นั่งถัดไปเป็นสาวน้อยผมน้ำตาลแดงมะฮอกกานีซึ่งสวยสุดๆ เช่นกัน มีเค้าหน้าของพี่ซูสและพี่เรเนียชัดเจน จากที่พี่ยูเคยเล่าให้ฟังผมเดาไว้ว่าต้องเป็น
‘เฮเลน’ ลูกสาวของพี่ซูสแน่ๆ ดูจากภายนอกไม่น่าจะอายุเกินสิบห้าปี เธอไม่ค่อยสนใจผมค่อนข้างจะไม่ชอบเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเธอเกลียดผม นี่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมรู้สึกอึดอัดไม่น้อยกับการตั้งแง่ของเฮเลนแต่จะโทษเธอไม่ได้หรอกครับ ก็ผมเป็นคนนอกที่จู่ๆ ก็เสนอหน้ามานั่งทานข้าวแบบไม่มีที่มาที่ไป
และคนสุดท้ายคือ
‘อะโฟรไดท์’ น้องสาวคนเล็กของสามพี่น้องมหาเทพที่พี่ยูย้ำนักย้ำหนาว่าสวยยยยยยโคตรรรรรร! และมันก็สวยยยยยยโคตรรรรรร! จริงๆ ครับ! แวบแรกที่เห็นผมอ้าปากค้าง หัวใจเต้นตึกตัก รู้สึกขัดเขิน ทำอะไรไม่ถูก ได้พี่เฮดีสตบยุงที่เกาะบนแก้มเต็มฝ่ามือถึงเรียกสติกลับมาได้ ให้ตายเถอะ ขนาดตอนนี้ยังรู้สึกเจ็บแปลบๆ ตรงแก้มอยู่เลย ถ้าไม่บอกว่าตบยุงผมคงคิดว่าเขาหวงน้องสาวอยู่แน่ๆ ตบมาได้แรงฉิบ! อะโฟรไดท์น่าจะอายุไล่เลี่ยกับพี่เฮดีสเพราะเวลาเธอพูดกับพี่เฮดีสเรียกธรรมดาไม่มีพี่นำหน้า และเธอก็จดๆ จ้องๆ ผมพรางยิ้มๆ ไปด้วยมันเป็นท่าทางที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง
ไอ้การที่ถูกสาวสวยระดับมหากาฬทั้งสองมองพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้แบบนี้ มันน่าจะทำให้ผมเจริญอาหารใช่ไหมล่ะครับ แต่ทำไมกันนะผมถึงรู้สึกว่ามันชวนขนลุกยังไงไม่รู้ สายตาที่มองมานั้นห่างไกลคำว่าชื่นชอบหลงใหลแต่มันกลับเต็มไปด้วยความทึ่งปนเห็นใจ อะไรหนอที่ทำให้สองสาวมองผมด้วยสายตาเช่นนี้
ผมก้มหน้าก้มตาทานข้าวซึ่งแน่นอนว่าเป็นอาหารที่หรูกว่าทุกครั้งที่เคยกินมา สมาชิกครอบครัวเหมือนมาไม่ครบเพราะผมยังไม่เห็นพ่อหรือแม่ของพวกพี่เฮดีสเลย จากที่จำได้พี่ยูบอกว่าพี่ซูสมีลูกสาวหนึ่งลูกชายหนึ่งซึ่งผมเห็นแค่ลูกสาว เพอร์ซีอุสหายไปกัน? แล้วยังมีลูกของพี่โพไซดอน เอ๋...จำได้ว่าเป็นลูกชายน่ะ ชื่อ...อืม เฮฟเฟสตัสนี่แหละ เอ๊ะ? หรือเปล่า? แต่พี่ซูสพูดเหมือนพี่โพไซดอนยังไม่แต่งงานนี่? แล้วมีลูกแล้วอย่างนั้นเหรอ? ผมเอียงหน้าครุ่นคิดอย่างงุนงง
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ พี่ซูสเปิดรายการซูสพบประชาถามไถ่สาระทุกข์สุขดิบของสมาชิกในครอบครัวแล้วจึงปล่อยให้ไปพักผ่อนตามอัธยาศัย เฮเลนขออนุญาตไปค้างบ้านเพื่อน ตามด้วยอะโฟรไดท์ที่ขอตัวไปเที่ยวกับเพื่อนเช่นกัน ส่วนพี่เรเนียภรรยาของพี่ซูสขอตัวไปพักผ่อนเพราะรู้สึกเพลียๆ สองฝาแฝดไมนอสกับแมนทีสถูกพ่อบ้านหน้าขรึมพาเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ทั้งสองหน่อเล่นน้ำจนเหนื่อยระหว่างรอทานมื้อเย็นเลยเผลอผล็อยหลับไป ดังนั้นคนที่เหลือจึงมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน พวกเรานั่งอยู่ในห้องโถงที่เดิมและกำลังรับฟังพี่ซูสบ่นเป็นตาแก่วัยกลางคน
“ฉันบอกให้แกโกนหนวดไม่ใช่เหรอวะไอ้น้องเวร!?”
“โอ๊ย ผมไปไว้หนวดบนหัวเฮี้ยหรือไง บ่นจัง” พี่โพไซดอนย้อนกลับมันซะทุกประโยค พี่ซูสไม่ยอมแพ้ พยายามเกลี่ยกล่อมให้น้องชายละเส้นทางมหาโจร พี่โพไซดอนก็เอาหูไปนานเอาตาไปไร่ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา พอพี่ซูสเงียบไปเพราะเหนื่อยพี่โพไซดอนก็โต้กลับด้วยการยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่น
“เฮี้ยไม่รู้หรือไง หนวดมันเสน่ห์ของลูกผู้ชายนะโว้ย ไม่โกนหรอก!”
“เออ รู้โว้ยแต่ที่แกไว้เนี่ยมันเป็นฤๅษีแล้ว!”
“ดีเลย จะได้เข้าป่าไปบำเพ็ญศีล” พี่โพไซดอนบอกหน้าตายกลับทำเอาพี่ชายคนโตเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ สั่งจริงจังด้วยท่าทางเด็ดขาด แข็งไม่ยอมถอย
“ถ้าพรุ่งนี้ยังเห็นอยู่ล่ะก็กูจะเอาไฟเผาให้เรียบเลย มึงรู้ว่ากูพูดจริง!”
“...แม่ง ทีตัวเองไว้ไม่เห็นมีใครว่าอะไร” พี่โพไซดอนบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ พี่ซูสทำเสียงในลำคออย่างดูแคลน
“อย่างน้อยตอนกูไว้ก็ดูดีกว่ามึงตอนนี้ล่ะกัน”
พี่เฮดีสที่นั่งฟังพี่ชายทำศึกน้ำลายอยู่นานก็ขยับตัวส่งเสียงเป็นครั้งแรก อ้าว ไม่ได้แอบหลับอยู่หรอกเหรอ? โอเค! คงรู้ว่าผมแค่ประชดเท่านั้นเอง
“เมื่อไรจะเข้าเรื่องครับ จะได้ไปหลับไปนอนกันสักที”
“แหม อยากส่งตัวเข้าหอเร็วๆ อะดิ” พี่โพไซดอนหัวเราะคึๆ ในลำคอมองพี่เฮดีสแบบรู้ทัน เขาเอ่ยกลั้นเสียงหัวเราะและยิ้มล้อเลียนให้กับคนที่นั่งหน้านิ่งเป็นพื้นปูนซีเมนต์ เมื่อคนถูกแซวไม่มีท่าทีจะเขินหรือเล่นด้วย พี่โพไซดอนก็ต้องเงียบไม่เซ้าซี้และทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ดวงตาสีครามซึ่งแตกต่างจากเหล่าพี่น้องเหลือบมองมาที่ผม
“เอาล่ะ วันนี้ฉันจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฟังล่ะกัน อะแฮ่ม เป็นการเฉลิมฉลองในวันมงคลสำคัญยิ่งของน้องชายที่ร้ากกก ก็อย่างว่าล่ะ ตอนนี้มันหุงข้าวแดงไม่ทันแล้ว เฮ้อ ใครจะไปคิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้กันล่ะ ไอ้เรารึก็นึกว่าจะได้เห็นวันนี้ตอนที่มีลูกสามลูกชายบวชนู้นแต่ดันโดยมันชิงตัดหน้าไปซะก่อน แถมยังเจริญรอยตามพี่ชายคนโตสวมวิญญาณเป็นนางงามอมตะ รักเด็กกินตับเด็ก!”
“พอเถอะ! มึงจะแซะกูอีกนานไหม!?” พี่ซูสไม่ไหวจะอดลุกขึ้นตวาดเบรกการจิกกัดนอกกรอบของน้องชาย ชายผู้มีมาดสุภาพชนที่สุดโมโหจนควันออกหู หน้าแดงก่ำซึ่งอันนี้ผมเองไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายหรือโมโหกันแน่ กินดงกินเด็กอะไรของเขาวะ? ผมไม่เห็นจะเข้าใจ พี่โพไซดอนฉีกยิ้มกว้างยักไหล่ไม่มายด์ โบกมือให้พี่ชายนั่งลงเมื่อพี่ซูสนั่งลงก็เริ่มเล่าอีกครั้ง ผมยืดตัวขึ้นเบิกตารอคอยด้วยความตื่นเต้น
“อะแฮ่ม กาลครั้งหนึ่ง...น๊านนานนนน!” พี่โพไซดอนหยุดแล้วถอนหายใจเฮือก ผมเลิกคิ้วกับท่าทางของเขา พี่ซูสเองก็ทำหน้าเอือมระอาเอ่ยออกไป
“เป็นอะไรของมึงอีก?”
“มันนานเกินไปอะเฮี้ย ผมเหนื่อย”
“เหี้ยยยยย” คำด่ามาพร้อมกับฝ่ามือเทพที่โบกศีรษะของคนเหนื่อยเต็มแรงจนหน้าเกือบทิ่มโต๊ะ พอได้ลงไม้ลงมือพี่ซูสเหมือนรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง กลับมานั่งรอคอยคนเล่นตลกไม่ดูเวล่ำเวลาเล่าเรื่อง
โชคดีที่พี่ซูสชิงลงมือไปซะก่อนไม่งั้นพี่โพไซดอนเจอของหนักกว่านี้แน่ ผมแอบเห็นพี่เฮดีสคว้าขวดใกล้ๆ มือมาถือไว้น่ะครับ แหม เกือบหัวแตกแล้วไหมล่ะพี่โพไซดอน!
“ถ้ามึงยังเล่นมุกควายอีกล่ะก็ได้กินมื้อดึกแน่” พี่ซูสเอ่ยดักเอาไว้กลัวน้องชายจะเลี้ยวออกนอกทางอีก พี่โพไซดอนหันไปมองพี่ชายทำตาโตสนใจ
“กินอะไรเหรอเฮี้ย?”
“ยำตีน!” สั้น กระชับ ได้ใจความ พี่โพไซดอนเงียบไปเลย
อ่านต่อรีล่าง 