ตอน๘ ณ ห้องแห่งนั้น
ทำเป็นมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็ยังทำตัวเป็นเด็ก
เด็กยังไงมันก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
ผมกลับมาถึงคฤหาสน์หลังโตของตระกูลศิวโลกเทพ ก็เห็นรถลีมูซีนสีดำเงาที่จอดรับพี่ไต้ฝุ่นจอดอยู่ที่โรงรถแล้ว
โชคดีที่เขาอยู่คนละเรือนกับนายเทียน ไม่อย่างนั้นคงมีเรื่องกันอีกแน่
แต่โชคก็คงไม่ดีเสมอไป เพราะนายเทียนก็ใช่เล่น แล้วนี่เรื่องที่ผมนั่งแท็กซี่กลับมาถ้ารู้ถึงหูเขาผมจะเป็นอย่างไรบ้าง
เขายิ่งกลัวเชลยคนนี้หนีจากไปอยู่
แม้คิดจะหนีก็จริง แต่ผมไม่ได้หนีไปซะหน่อย
เรือนใหญ่เงียบราวกับป่าช้า
เดินผ่านห้องครัวใหญ่เห็นป้ายิ้มกับคนครัวกำลังทำอาหารเย็นให้นายเทียนและพวกคนเรือนอื่น
ผมก็ได้แต่ยกมือไหว้สวัสดียายยิ้ม ไม่ได้เข้าไปช่วยทำอะไรเพราะเกรงว่าจะเข้าไปเกะกะเอาเสียเปล่า
ส่วนพี่โชติกำลังซ่อมไฟ อยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่พี่อนงค์กำลังทำความสะอาดพื้น โดยมียายฟักยืนบ่นอยู่
ผมเข้าไปทักทายพี่โชติกับพี่อนงค์ตามมารยาทไทย พอเหลือบไปเห็นยายฟักยืนมองอยู่ ผมก็ยกมือไหว้ตามมารยาท
แม้ดูว่าเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าผม แต่เราเป็นเด็กก็ควรมีสัมมาคารวะ
ผมไม่ยืนขวางหูขวางตายายฟักนาน รีบเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บในห้อง แล้วหยิบไม้กวาด ไม้ถูพื้นเดินขึ้นข้างบนเรือนใหญ่
เพื่อไปทำความสะอาดตามหน้าที่ ไม่อย่างนั้นคนในบ้านเขาจะหาว่าผมเป็นตัวเชลยที่ไร้ค่า
แม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้ทำงานอย่างนี้ก็ตาม
ชั้นบนของเรือนหลังนี้ปูพื้นตลอดทางด้วยพรมสีแดง แบ่งกั้นเป็นหลายๆ ห้อง
แม้จะมีผู้อาศัยเรือนนี้แค่คนเดียวก็ตาม ประตูทุกห้องถูกปิดหมด ตาเฒ่าพ่อบ้านก็หายหัว
แล้วผมจะรู้ไหมว่าต้องไปทำความสะอาดห้องไหนอย่างไรบ้าง ยิ่งยายยิ้มบอกว่าอย่าไปยุ่งวุ่นวายข้างบนอะไรมาก
แล้วถ้าเกิดผมเปิดประตูไปเจอห้องแห่งความลับของตระกูลนี้ขึ้นมา
นายใหญ่ของที่นี่คงลากคอผมไปตัดทิ้งแน่
ผมตัดสินใจเดินถือไม้กวาด และไม้ถูพื้นไปยังห้องที่อยู่ริมสุด มันดูไกลสายตาผู้คนดี
เผื่อผมทำอะไรผิดจะได้ไม่มีใครเห็น แต่ยิ่งเข้าใกล้ห้องนั้น
ผมก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไร
หันไปมองข้างหลัง ก็พบกับความว่างเปล่า มีเพียงพรมสีแดงที่ผมเหยียบย่ำมาตลอด
หรือจะเป็นเสียงมาจากข้างหน้า มันดังมาจากในห้อง
“อื้อ...อื้อ...” ผมได้ยินเสียงนี้เป็นเหมือนลมที่ผ่านเข้ามาในหูเมื่อผมยืนอยู่หน้าประตูห้องที่อยู่ในสุด
เป็นเสียงสั่นคลอน พูดอะไรไม่ได้ เหมือนโดนทรมานและเอาผ้าปิดปากไว้
มีคนกำลังจะถูกฆ่า!
กำลังจะมีฆาตกรรมเกิดขึ้นในห้องนี้ ผมควรทำอย่างไรดี
วิ่งลงไปข้างล่าง ทำไม่รู้ไม่ชี้ แล้วหนีกลับบ้านไปซะ หรือจะเข้าไปห้าม
ถ้าอย่างนั้นฆาตกรมันก็ต้องรู้ว่าผมเห็น แล้วใครกันที่เป็นฆาตกร
จะมีใครถ้าไม่ใช่เจ้าของบ้าน นี่หรือเหตุผลที่ไม่ให้คนอื่นขึ้นมาข้างบน
นายเทียน...นายกำลังเป็นฆาตกร
“อย่านะ...เออ...” ผมเปิดประตูเข้าไปก็ต้องยืนตาค้าง ทั้งไม้กวาดและไม้ถูพื้นที่ถืออยู่ปล่อยร่วงลงพื้น
“ว๊าย!”
ฆาตกรที่ผมว่ากำลังนอนคร่อมเหยื่อสาว ผมรีบผลุบตาลงต่ำมองพื้น
ซากชุดนักศึกษา ไม่ว่าจะเสื้อนักศึกษาสีขาวของชายและหญิง หรือกระโปรงขนาดเล็ก
แม้ผมจะรีบผลุบตาลงต่ำให้เร็วขนาดไหน แต่ภาพที่ผมเห็นชั่ววินาทีก็ยังติดตาเสมอ
ภาพแผ่นหลังเปลือยเนียนเข้มที่สักรูปมังกรจีนตัวยาวอยู่กลางหลัง โชคดีของชายคนนั้นที่ยังใส่กางเกงนักศึกษาไว้อยู่
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่างของเขารีบคว้าผ้าห่มไปคลุมตัว แต่ไม่ทันสายตาผม
เพราะผมจดจำชุดชั้นในสีแดงแรงฤทธิ์ที่หล่อนใส่อยู่ได้ ผมเข้ามาผิดเวลา และผิดห้องจริงๆ
“เออ...คือ นาย เอ้ย คุณทิวากร ผมขอโทษ” ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เลยไม่รู้ว่านายเทียนทำสีหน้าอย่างไรบ้าง
แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้ผมพอเข้าใจกับคำว่า ‘แขก’ ที่ยายยิ้มเคยพูดไว้
“รีบออกไปสิยะ มัวยืนเซ่ออะไร” เสียงเล็กกลับตวาดผมเสียงดัง
“ภาพอุจาดอย่างนี้ คงไม่อยากยืนมองนาน”
“นี่นาย นายควรให้เกียรติแขกของฉันหน่อยนะ” เสียงเข้มดังขึ้น
“รังเกียจพอได้ ให้ไปเต็มๆ เลย”
“นี่ใครกันคะเทียน เด็กกะโปโล พูดจาทุเรศ”
“เด็กกะโปโลพูดจาทุเรศ ก็ดีกว่ากุลสตรีไทย ทำตัวน่ารังเกียจ”
“คนรับใช้ที่บ้าน อย่าไปสนใจมันเลย” นายเทียนพูดตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์
“เชิญตามสบายเถอะคุณ ผมไปก่อน” ผมหลับตารีบก้มเก็บของที่ร่วงอยู่บนพื้นแล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไป
“เดี๋ยว ใครให้ไป เมื่อกี้นายเข้ามามีธุระอะไร”
“มาทำตามหน้าที่ที่เชลยคนหนึ่งควรทำตามที่เจ้านายมอบหมาย”
“หน้าที่อะไรของนาย ใครอนุญาตให้ขึ้นมา” นายเทียนพูดห้วนๆ แล้วเดินตรงมาหน้าผม
สงสัยเขาคงจะลืมไปแล้วว่าสั่งอะไรผมไว้
ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้เขาทำให้ผมแทบอยากจะกระโดดเข้าไปกัดคอมัน
อิจฉา อิจฉาในสรีระเรือนร่างของมัน ร่างสูงโปร่ง ผิวเข้มเนียน กล้ามเนื้อเป็นมัด ไหล่กว้าง หน้าอกผาย
หน้าท้องมีแต่กล้ามเนื้อแน่นเป็นลูก หาไขมันไม่เจอเลย มีขนขึ้นรำไรยาวต่ำจากสะดือลงไป นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่!
“กะ...ก็ ก็...เออ...ก็ที่คุณสั่งไง สั่งเมื่อวานว่าให้ผมมาทำความสะอาดข้างบน” ผมกำลังข่มอาการอิจฉาของตัวเอง
“นี่นายไปหัดพูดผม พูดคุณมาจากไหน”
“ก็คุณเป็นนายใหญ่ พี่โชติบอกว่าเวลาคุยกับคุณต้องเรียกคุณว่าคุณทิวากร
คิดว่าผมอยากพูดดีกับคุณนักหรือไง อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”
“แต่นายก็ต้องพูด พูดทุกครั้งที่คุยกับฉัน มันจะได้ตอกย้ำตัวนายเองว่ามาที่นี่ในฐานะอะไร”
“ฉัน เออ...ผมรู้ ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม...ครับ คุณทิวากร ผมจะได้ไป”
“เดี๋ยว ไปเตรียมน้ำให้ฉันอาบ” เขาสั่งเสร็จก็เดินขึ้นไปบนเตียงที่มีแขกคนสำคัญนอนรอให้ท่าอยู่
อย่างที่เขาว่า คนดีย่อมทำดี คนชั่วก็ย่อมทำชั่ว
ส่วนคนอุบาทว์อย่างเขาก็มักที่จะชอบทำอะไรอุบาทว์อย่างนี้ไม่สนใจสายตาคนนอกอย่างผม
ผมรีบตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ในตัวห้องนอนขนาดใหญ่ ห้องน้ำถูกประดับตกแต่งด้วยความหรูหราเหมือนแบบบ้าน
อ่างอาบน้ำรุ่นแพงตั้งอยู่ริมในสุดโดยมีม่านบางกั้นไว้ ของแบบนี้บ้านผมก็มี เลยไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะทำ
ผมนั่งที่ขอบอ่างน้ำสีขาวไม่ใช่รอน้ำที่เปิดไว้ให้เต็มอ่างเพราะน้ำมันจะปิดเองโดยอัตโนมัติเมื่อถึงระดับที่กำหนด
แต่ที่ผมนั่งรอคือรอเวลาที่สามารถออกไปได้ ช่วงเวลาที่รอมันช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมานและน่าหงุดหงิดใจมากที่สุด
เสียงของคนข้างนอกครางดังมาต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทั้งเสียงของแขกกิตติมศักดิ์และเจ้าของบ้านดังมาอย่างไม่เกรงใจผม
เสียงเตียงที่สั่นแรงคนทั้งสองที่กำลังประสานร่างกลายเป็นหนึ่ง
จนผมต้องเร่งเปิดน้ำแรงหวังว่าจะช่วยกลบเสียงนี้ได้ แต่ก็ไม่เลย เสียงนี้ยังดังเล็ดลอดผ่านให้ผมได้ยิน
จะให้ผมเดินออกไปโดยที่เจ้าตัวยังทำกิจกรรมเมื่อครู่อยู่ละก็...ไม่มีทางซะหรอก
แล้วนี่เมื่อไรจะเสร็จ น้ำในอ่างเต็ม ระบบก็ทำการปิดน้ำโดยอัตโนมัติ เสียงข้างนอกก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
เหมือนอยู่ในเหตุการณ์สดด้วยเลย ผมก็เป็นผู้ชาย มีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผู้ชายไม่เว้นแม้แต่อารมณ์และความต้องการ
เขาต้องการอะไร ผมก็มีเหมือนมันนั่นแหละ ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหนนี่ มีทางเดียว ข่มอารมณ์เอาไว้
หลับตา ปิดหูให้สนิท แล้วหายใจเข้าลึกๆ อย่าไปคิดถึงมัน อย่าไปฟังมัน แล้วทุกอย่างจะดีเอง
“อือ...อ๊า...เทียน อ๊า...”
“อะ...ซี๊ด...โอ๊ว อา...” เสียงสุดท้ายของนายเทียนดังหอบกระเส่า
แม้ผมจะไม่เคยทำกิจกรรมเข้าจังหวะนี้ แต่ผมก็รู้ว่านี่มันหมายถึงว่าเกมนี้จบแล้ว ถ้าไม่มีเกมใหม่มาต่อนะ
ผมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง แล้วเดินออกจากห้องน้ำ เห็นผู้หญิงนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมตัว
ส่วนนายเทียนนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินสวนผมเข้ามาในห้องน้ำอย่างสบายตัว โดยที่เราไม่ได้ทักอะไรกันเลย
ก็แน่ล่ะ...จะให้ผมทักหรือถามว่าอะไร ผมควรที่จะเงียบและรีบเดินออกไปให้เร็วที่สุดต่างหาก
ผมเดินลงมาข้างล่าง นี่มันก็ห้าโมงกว่าแล้ว แสงอาทิตย์ยังส่องจ้า อากาศก็ร้อนอบอ้าว สภาพอากาศเริ่มวิปริตแปรปรวน
ร้อนได้ทุกฤดู จากเดิมที่เคยอยู่ห้องที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย กลับต้องมาอยู่ห้องพัดลม
ตอนแรกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้สบาย แต่แค่คืนเดียวที่ผ่านมา ก็ทนกับความร้อนแทบไม่ได้
ดีหน่อยที่เป็นเรือนไม้ พอจะระบายความร้อนไปได้บ้าง
คนในเรือนใหญ่เงียบหมด เห็นแต่ลุงวัย ๕๐ กว่าก้มๆ เงยๆ อยู่ที่สวนหน้าบ้าน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และอยากเข้าไปตีสนิทหามิตรเอาไว้ เลยเดินตรงเข้าไปหา
ในมือลุงแกมีกรรไกรตัดหญ้าด้ามโต กำลังใช้มันเล็มหญ้าตรงมุมขอบที่ไม่สามารถใช้รถตัดหญ้าได้
ปากแกก็ฮัมเพลงไปเรื่อยอย่างมีความสุข แม้เหงื่อไหลย้อยลงบนใบหน้าแกเป็นเม็ด
“ลุง สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นทักว่าอย่างไรดี
ลุงแกเงยหน้ามามองผมด้วยท่าทีงุนงง ก็เพิ่งเคยเห็นผมครั้งแรกจะไม่งงได้อย่างไรกัน แล้วได้แต่ฉีกยิ้มหวานไปให้
“เอ็งเป็นใคร”
“ชื่อซนครับ เป็นคนรับใช้ใหม่ที่บ้านหลังนี้”
“ยังเรียนอยู่เลยนี่หว่า ทำไมถึงมาทำงานที่นี่วะ” ลุงแกมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
พิจารณาตัวผมในคราบชุดนักเรียนก็เกิดความสงสัย
“เออ...คือว่า...” ผมอ้ำอึ้งไม่รู้จะหาคำตอบอะไรมาให้ลุงแกดี สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่พูดความจริงออกไป
“ช่างเถอะ เอ็งบอกว่าเอ็งเป็นคนรับใช้ใช่ไหม”
“ครับ ลุง”
“ถ้าอย่างนั้นเอ็งมาช่วยข้าตัดหญ้าหน่อย ข้ามีธุระ” แกว่าพลางยื่นกรรไกรตัดหญ้านั้นให้ผม
แต่ผมยังยืนเฉยไม่ยื่นมือไปรับ ก็ผมตัดหญ้าไม่เป็นน่ะสิ ทำงานในบ้านพอได้ เพราะเคยผ่านมาบ้าง
แต่ตัดหญ้าแต่งต้นไม้ทำงานสวนแบบนี้ผมไม่เคยทำ
“มัวแต่ยืนเอ๋ออยู่ทำไม รับกรรไกรไปตัดหญ้าสิ” เสียงหญิงสูงวัยดังขึ้นข้างหลังผม เล่นทำผมสะดุ้งแล้วหันกลับไปมอง
ที่แท้ก็เป็นยายฟักนี่เอง
“ไม่ใช่หน้าที่ผมครับ”
“ไม่ใช่หน้าที่ แต่แกเป็นคนรับใช้ งานทุกอย่างในบ้านคือหน้าที่ของคนรับใช้หมด หรือแกจะอู้งาน”
“แล้วทำไมยายไม่ทำเองล่ะครับ ยายก็คนรับใช้ งานนี้ก็ถือว่าเป็นงานยายเหมือนกัน”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก กล้าต่อปากต่อคำได้ไง เอ็งจะไม่ช่วยคนแก่ๆ อย่างข้ากับยายฟักเลยหรือไง” ตาลุงเอ่ยขึ้นเสียงเข้มเชียว
ที่แท้กำลังโยนงานหนักมาให้ผมทำ
“ไอ้พวกคุณชายไฮโซก็อย่างนี้แหละ ทำงานหนักไม่เป็น” ยายฟักยังปากดี
“ก็ไปตามนายใหญ่ของยายมาทำสิ อยากจะรู้ว่าเขาจะเป็นคุณชายไฮโซที่ทำงานหนักไม่เป็นเหมือนที่ยายพูดไหม”
“แกอย่าลามปามไปถึงนายใหญ่นะ”
“ไม่ได้ลามปาม ก็ยายเป็นคนพูดเองว่าคุณชายไฮโซทำงานอย่างนี้ไม่เป็น
นายใหญ่ของยายก็เป็นคุณชายไฮโซเหมือนกัน คนที่พูดจาลามปามน่าจะเป็นยายมากกว่า”
“มันเป็นใคร มาจากไหนยายฟัก ถึงได้มากล้าต่อปากต่อคำแบบนี้ ทำตัวเหมือนพ่อแม่ไม่เคยอบรมสั่งสอน”
ตาลุงแก่พูดจาแบบนี้ มีหรือที่ผมจะยอม เหยียบถิ่นศัตรูแล้วจะมีอะไรที่ต้องกลัวอีก
“ลูกเจ้าพ่อไพโรจน์ แต่เข้ามาเป็นเชลย”
“ที่แท้ก็เชลย เลยทำตัวไร้มารยาทแบบเชลย”
“มารยาทควรที่จะนำมาใช้กับบุคลที่มีมารยาทด้วยเท่านั้น ลุงทำงานของลุงไปเถอะ ผมขอโทษที่มารบกวน”
ผมก็เพิ่งมาฉุกคิดได้เมื่อมีสติ ว่าไม่ควรที่จะต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ให้แรงขนาดนี้ อย่างไรเสียเขาก็มีวุฒิวัยสูงกว่าเรา
อย่างน้อยเราก็ควรให้เกียรติเขาเหมือนญาติผู้ใหญ่
เราเป็นเด็กไทย เรื่องมารยาทก็ต้องเป็นแบบไทยคือการเคารพผู้อาวุโสกว่าแม้ว่าเขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่าเคารพก็ตาม
ผมหันหลังจะเดินเลี่ยงหนีแต่ก็ถูกยายฟักรั้งไว้ ทำเอาผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนหันไปสบตา เชิงถามว่ามีธุระอะไรอีก
“คิดจะชิ่งหนี ไม่ยอมทำงานหรือไง”
“ผมก็กำลังจะไปทำงานของผมอยู่นี่” ผมกะว่าจะขึ้นข้างบนไปทำงานอีกครั้ง แต่ทำแค่รอบนอกหรือห้องอื่นพอ ไ
ม่ได้จะเข้าไปในห้องนั้นอีกนะ ไม่อยากเห็นภาพอะไรที่ต้องทำให้สายตาเสีย
“แกก็เพิ่งลงมาจากชั้นบนไม่ใช่หรือไง”
“ครับ แต่ยังทำไม่เสร็จ”
“ที่แท้ก็แอบอู้งานข้างบนมาเดินเตร็ดเตร่แถวนี้ เพราะฉะนั้นแกก็ทำงานสวนนี่ให้เสร็จไปก่อน
แล้วค่อยขึ้นไปทำความสะอาดข้างบนต่อ”
“งานสวนนี่เป็นงานลุงหรืองานยายกันแน่ ดูยายเป็นเดือดเป็นร้อนอยากให้ผมทำงานแทนลุงเขาจัง”
คำพูดของผมเล่นทำเอายายฟักแกอ้ำอึ้งไม่มีอะไรจะตอบ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ทัน
แผนแกล้งให้ผมทำงานของยายฟัก กับแผนหลบงานของตาลุงคนนี้ ผมรู้ทันตั้งแต่แรกแล้ว
“แล้วเอ็งช่วยข้าทำงานหน่อยไม่ได้เลยหรือไง” ลุงแกทำน้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจ
“หรือว่าคนตระกูลนู้นไม่มีน้ำใจ” ยายฟักทำเป็นเยาะเย้ย
เอาวะ...ทำก็ทำ เอาเวลาต่อปากต่อคำกับคนแก่มาตัดหญ้า ป่านนี้คงเสร็จไปครึ่งแล้ว
“ก็ได้ๆ ผมช่วยก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าศารทูลนฤบาลแล้งน้ำใจเหมือนศิวโลกเทพ”
ผมพูดเสร็จก็คว้าเอากรรไกรตัดหญ้าที่อยู่ในมือลุงคนนั้นมาถือ
ยายฟักอ้าปากเหมือนจะด่าผมต่อ แต่แกคิดอย่างไรไม่รู้ หุบปากแล้วเดินจากไป
ส่วนตาลุงแกก็ยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้ไม่ต้องทำงาน แล้วเดินหนีหายไปหลังยายฟัก
ผมนั่งยองลง แล้วค่อยๆ ใช้กรรไกรในมือเล็มหญ้าไปเรื่อย มันก็ตัดง่ายอยู่นี่หว่า ไม่เห็นจะยากเกินความสามารถไอ้ซน
เพียงแต่มันแค่ร้อน และเหนื่อยเท่านั้นเอง แดดก็ไม่ค่อยมี แต่ลมไม่พัดมาเลย ร้อนจะเป็นบ้า
เหงื่อไหลชุ่มเสื้อนักเรียนหมดแล้ว ผมทอดสายตายาวไป ยังเห็นส่วนที่ผมต้องใช้กรรไกรเล็มอีกตั้งเยอะ
ไม่น่าบ้าจี้ไปรับปากตามเสียงยุเลย
ผมใช้กรรไกรตัดหญ้าให้กระจุยตามแรงโมโหตัวเองที่ยอมทำอะไรแบบนี้ รู้สึกหนักๆ หัว มึนไปหมด
ท้องก็ร้องเพราะความหิว สายตาเริ่มพร่ามัวไปตามความมืด ขาทั้งสองข้างที่ผมนั่งยองต้องทรุดลงไปราบกับพื้นเพราะความเมื่อย
จนไม่สามารถพยุงตัวได้ แรงทั้งกายอ่อนล้าไปหมดจนต้องปักหัวกรรไกรลงดินเพื่อพยุงตัวเอาไว้
เหงื่อไหลย้อยไปทั่วใบหน้า งานยังไม่เสร็จแบบนี้ผมควรทำอย่างไรดี
จะลุกไปทั้งๆที่ยังไม่เสร็จเดี๋ยวเขาจะหาว่าคนบ้านศารทูลนฤบาลไม่เอาไหน แต่ถ้าให้ทำต่อ ก็คงไม่ไหวจริงๆ
ตาทั้งสองข้างหนักเหมือนมีอะไรมารั้งไว้ให้ปิดลง ร่างกายผมทรุดลงไปนอนกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงโลกด้วยความอ่อนล้า
และหมดแรง