เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓๑ ๑๘/๐๕/๒๕๕๕ (จบแล้วคร๊าบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓๑ ๑๘/๐๕/๒๕๕๕ (จบแล้วคร๊าบ)  (อ่าน 452709 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lilyrum

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๒ ๑๓/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #30 เมื่อ18-12-2011 00:28:08 »

คนเขียนรีไรท์ใหม่หรอคะ
คราวนี้เอาให้จบเน้อ อย่าปล่อยให้ค้างเติ่ง เพราะคนอ่านจะลงแดงแล้ววว ฮ่าๆๆๆ

เป็นกำลังใจให้ค่า ^^

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๒ ๑๓/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #31 เมื่อ21-12-2011 08:21:54 »

 รีบๆมาต่อเน้อ o13
คิดถึงซนมากกกกก

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๒ ๑๓/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #32 เมื่อ26-12-2011 15:10:26 »

ตอน๓ บัลลังก์มังกร

คนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่เคียงข้างลูกเสมอแหละ
แม้ว่าตัวจะไม่อยู่ด้วยก็ตาม


“ทายาทของเทียนหลง” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ นั่นก็หมายถึงลูกชายอีกคนของเจ้าพ่อไพฑูรย์น่ะสิ
แล้วมาแอบยืนเก๊กหล่ออะไรอยู่คนเดียว
ไม่ช่วยคนอื่นรับแขกหรือทำตัวให้มีประโยชน์อะไรบ้างเลย
   
“อื้ม ทายาทคนต่อไป ฮ่าๆ”
   
“พ่อขำอะไร” ผมชอบเวลาพ่อยิ้ม พ่อหัวเราะนะ แต่ไม่ชอบให้พ่อขำแบบนี้เลย
   
“อ้าว ไอ้ลูกคนนี้ พ่อจะหัวเราะบ้างไม่ได้เลยหรือไง”
   
ผมได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจในลำคอ พูดอะไรตอนนี้มากไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติพ่อ
และพ่อก็ควรจะให้เกียรติเจ้าของงานด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่มาหัวเราะชอบใจในงานศพที่คนกำลังเศร้าอยู่แบบนี้
แต่จะว่าไป ไอ้คนที่เศร้าก็เห็นมีแต่ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิด
ส่วนที่เหลือดูไม่ออกจริงๆ ว่ามางานศพหรืองานรื่นเริง
   
“สวัสดีครับเจ้าพ่อไพโรจน์” เสียงชายวัยสูงคนกล่าวทักทายพ่อผมที่หน้าประตูศาลา
   
“ครับ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ” ผมว่าพ่ออยากจะพูดคำว่า ‘ดีใจ’ แทนมากกว่า
   
“ขอบคุณครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มาร่วมงาน” น้ำเสียงที่ฟังดูกระแทกกระทั้น
แต่ไม่ทำให้พ่อผมตกใจแม้แต่น้อย กลับยิ้มตอบรับเขาอย่างสบายอารมณ์
   
“ยินดีมาร่วมครับ”
   
“แล้วนี่...” สายตาของเขามองมาทางผม
   
“อ๋อ ลูกชายชื่อวิศิษฏ์ นี่...คุณชนินทร์ เป็นน้องชายเจ้าพ่อไพฑูรย์” ที่แท้ก็เป็นน้องชายผู้เสียชีวิต
   
“เฮ้ย เรียกอาชนินทร์ก็ได้”
   
“ครับ สวัสดีครับ...อาชนินทร์” ผมยกมือไหว้ก้มหัวลงสวัสดีชายร่างสูงท้วมตรงหน้า
   
ถ้าเขาให้ผมเรียกว่าอา ก็แสดงว่าเขาเป็นหนุ่มใหญ่อายุ ๕๐ ต้นๆ
 แต่ถ้าให้ดูที่รูปลักษณ์เขาอย่างเดียวผมก็กะอายุไม่ถูกเลย
ผมยาวขาวทั้งหัว คิ้วก็ขาวเรียงตัวกันไม่เป็นระเบียบ ตาเรียวยาว
จมูกโด่งไม่ผิดจากคนที่ยืนพิงเสาเก๊กหล่ออยู่ตรงนั้นเลย ปากก็ซีดขาว
หรือเขาตั้งใจจะแต่งขาวเป็นการไว้อาลัยพี่ชายเขา แต่งดำมาก็ได้นี่นา
   
“แล้วนี่อยู่ชั้นไหนแล้ว” เขาซักประวัติผม
   
“ม. ๕ ครับ โรงเรียนเดียวกับอะ...พี่ไต้ฝุ่น” คำว่า ‘พี่’ สำหรับมันช่างพูดออกมาได้ยากลำบากจริงๆ
   
“จริงหรอ อานี่แหละเป็นพ่อของมันเอง”
   
ผมยิ้มรับคำตอบ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลยสักนิด
เพราะเป็นที่รู้กันว่ารุ่นพี่ในโรงเรียนที่ชื่อไต้ฝุ่น เป็นลูกชายคนเดียวของคุณชนินทร์ น้องชายเจ้าพ่อเทียนหลงคนก่อน
   
“ครับ ผมขอตัวก่อนดีกว่า คุณอากับพ่อจะได้คุยกันตามสบาย” ผมโค้งหัวขออนุญาตแล้วเดินถือพวงหรีดเข้ามาในงาน
ไม่รู้ว่าผมจะถือมันมาด้วยทำไมให้หนักมือ แล้วทำไมเท้าจะต้องเดินตรงมาทางนี้ด้วยนะ

ผมเดินตรงไปที่เสา เสาต้นนั้นที่มีทายาทที่กำลังรอขึ้นรับตำแหน่งยืนพิงมันด้วยท่าทีที่เบื่อหน่าย
ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเดินมาทางนี้
ชายคนนั้นผมก็ไม่เคยรู้จัก หน้าก็ไม่เคยเห็น
แม้แต่ชื่อผมก็ยังไม่รู้เลย
   
ผมเดินไปยังไม่ทันถึง ข้อมือที่แกว่งไปมาก็ถูกคว้าเอาไว้
ผมหันตัวมาง้างมือที่ถือพวงหรีดเตรียมฟาดไอ้คนนั้นเต็มที่
   
“เฮ้ย เดี๋ยว” เสียงนั้นร้องหลง อีกมือมาจับข้อมือข้างที่ผมเตรียมทำร้าย
   
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อกี้เจอพ่อ ตอนนี้เจอลูก พี่ไต้ฝุ่น ใส่สูทดำเท่มาเชียว
เขาทำหน้ากวนใส่ผม ยักคิ้วลิ่วตา เหมือนอยากจะมีเรื่อง
ผมก็พร้อมที่จะมีเรื่องได้เสมอถ้าเป็นเขา
   
“ปล่อยมือได้แล้ว” ผมสะบัดข้อมือที่ถูกจับอยู่หลวมๆ ออก
   
“อะไรวะ อุตส่าห์แอบฉวยโอกาส ยังรู้ทันอีก”
   
ผมไม่สนใจที่เขาพูด ผมหันหลังให้เขาแล้วจะเดินต่อ
ถ้าผมพูดต่อปากต่อคำกับเขา ก็เหมือนเรากัดหมาตัวที่มันกัดเรา หมามันเป็นบ้า ชอบพาลกัดพาลหาเรื่องของคนอื่นไปทั่ว
ถ้าผมไปกัดเขาตอบ ก็เหมือนลดตัวลงไปกัดกับหมาบ้า
ซึ่งคนที่เสียก็คือตัวผม
   
“เดี๋ยวสิ จะไปไหน” เขาคว้าข้อมือผมเอาไว้

เอาเป็นว่าครั้งนี้ ผมขอกัดกับหมา มองหน้ามันดีๆ มีพลาสเตอร์แปะที่มุมปาก
เพิ่งโดนฟัดมาไม่ใช่หรอ แล้วคนที่ฟัดมันก็ไม่ใช่ใคร ผมเองนี่แหละ 
สงสัยยังไม่เข็ด
   
“นิสัยอยากรู้เรื่องของคนอื่น ที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง เขาเรียกว่า เสือก”
   
“มือนิ่มจัง ขอจับนานๆ ได้ไหม” เขาได้ฟังที่ผมแอบกัดเขาไหมนะ
   
ผมมารู้สึกตัวว่ามือผมอยู่ในอุ้งมือเขาก็ตอนที่เขาพูดนี่แหละ
ผมรีบสะบัดมือเขาออกใหญ่ แต่สะบัดไม่ออกเหมือนคราวแรก
เขาเห็นว่าหน้าผมจะเอาเรื่องเต็มที่ เลยยิ้มเยาะแล้วปล่อยมือออกอย่างง่ายดาย
   
“จะนิ่มกว่านี้ถ้าได้สัมผัสกับหน้า”
   
“ถ้าเอาปากสัมผัสหน้าล่ะ”
   
“ไม่รอด” ผมตอบสั้นๆ
   
“งั้นต้อง...” เขาทำท่าครุ่นคิด “ปากกับปาก”
   
ผมง้างมือจะต่อยเขา แต่เขารับหมัดผมได้ แถมยังจะเอาปากมาจูบมือผมอีก
ผมกำหมัดแน่นพร้อมจะตะบันหน้าเขาเต็มที่ แต่ทำไม่ได้ก็เขายื้อมือผมไว้อย่างนั้น
   
ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงจะอายม้วนหรือรีบขุดดินแล้วเอาหน้ามุดลงไป
เพราะความไร้ยางอายที่ยอมให้ผู้ชายมายืนจูบมือในวัดต่อหน้าแขกที่มาร่วมในงานฌาปนกิจ
แต่บังเอิญว่าผมเป็นบุรุษเพศที่เหมือนเขา
ผมควรจะต่อยเขาให้ปากแตกให้สมกับที่เขาทำ
   
เขาค่อยๆ ปล่อยมือผมให้เป็นอิสระตามความต้องการ
ผมเอามือถูๆ กับกางเกงตัวเอง น่าขยะแขยงชะมัด
แหวะ! น้ำลายเขาอีก
   
“รังเกียจขนาดนั้นเชียว”
   
“คงไม่เข้าใจคำว่าขยะแขยง”
   
“จะว่าไป มือก็ห๊อมหอม แก้มจะหอมแบบนี้ไหมนะ”
   
“เหม็น เหมือนคนที่คิดจะสัมผัส” ปากผมก็ดีไปอย่างนั้น
แต่ในใจนี่โคตรกลัวว่าเขาจะทำเหมือนที่พูด
แต่ก็ไม่แสดงออกให้เขาเห็นมากว่าผมกลัว
ไม่ใช่กลัวเขา แต่กลัวการกระทำของเขา
   
คนเราถ้ารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกลัวอะไร ก็ยิ่งสรรหาความน่ากลัวนั้นแล้วยัดเหยียดแกล้งฝ่ายตรงข้ามเล่น
แต่ถ้าเราทำเฉยๆ เสีย ข่มความกลัวไว้ในใจ ไม่แสดงความรู้สึกของตัวเองให้ศัตรูรู้ เขาก็จะหาทางแกล้งเราไม่ได้
ก็เหมือนกับคำโบราณที่เขาว่ากันไว้ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง’
ถ้าศัตรูมันรู้เรา มันก็รบชนะเราทุกครั้ง ถ้าเราไม่อยากแพ้ ไม่อยากโดนมันแกล้ง
ก็อย่าเผยไต๋ออกมาให้มันรู้
   
“พอดีว่าชอบอะไรเหม็นๆ ด้วยสิ”
   
“งั้นดมปากตัวเองไปละกัน”
   
“กำลังคุยอะไรกัน น่าสนุกเชียว” ชายร่างท้วมเดินเข้ามาขัดจังหวะผมพอดี
   
พี่ไต้ฝุ่นหันไปมองทางพ่อตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจนัก คุณชนินทร์แกมองตาดุสู้สายตาลูก
ผมมองหาพ่อผมที่ไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้แถวหน้าพูดคุยกับคนรอบข้างที่เข้ามาทัก
   
“ครับพ่อ กำลังสนุกเลย”
   
“หรอ งั้น...อาขอขัดจังหวะหน่อยนะ ขอยืมตัวลูกชายอาไปช่วยงานหน่อย”
   
ผมหันกลับมายิ้มหวาน แล้วเอ่ยปากตอบ
   
“ครับ ผมให้ไปเลย ไม่ต้องมาคืน เชิญตามสบาย”
   
พี่ไต้ฝุ่นมันยักคิ้ว แล้วกระตุกยิ้มให้ผม ก่อนจะหันหลังเดินไปพร้อมกับผู้เป็นพ่อ
ผมมองดูทั้งคู่เดินตรงไปยังหน้าศาลา ที่แท้ก็เรียกลูกให้ไปช่วยรับแขกนี่เอง
ดูท่าหมอนั่นจะไม่เต็มใจที่จะมาช่วยงานสักเท่าไร คงอยากจะมาระรานคนอื่นเขาไปทั่วมากกว่า
   
ผมมองไปทางพ่อกะว่าจะเดินไปนั่งกับท่าน
แต่หางตาชำเลืองไปมองคนที่ยืนพิงเสาอยู่ท่าเดิม
ผมจึงตัดสินใจเดินไปหาเขา
หน้าหล่อค่อยๆ เงยขึ้นมาเมื่อผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
เขาทิ้งบุหรี่ที่คีบอยู่กับนิ้วลงพื้น แล้วใช้ปลายเท้าขยี้ให้ดับ
   
ยิ่งมามองใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ยิ่งดูดีมีเสน่ห์ หล่อกว่าญาติตัวเองที่ชื่อไต้ฝุ่นอีก
ออร่ากระจายเลย อายุคงมากกว่าผมไม่เกิน ๒-๓ ปี
ในแววตาของเขาทำไมสื่อได้หลายอารมณ์จัง เหมือนเขากำลังสับสนกับตัวเองจนผมดูไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร
แต่แววตาเขาทำให้ผมนึกคำพูดออกได้แค่คำเดียว
   
“เสียใจด้วยนะ”
   
“เลิกเสแสร้งกันได้แล้ว”
   
“หะ...ห๊ะ” ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า
   
“จะมาเยาะเย้ย ก็ไม่ต้องพูดว่าเสียใจหรอก”
   
ผมพอจะเข้าใจแล้ว หลายคนที่มาที่นี่ ก็คงมาเยาะเย้ยสมาคมนี้ตามความรู้สึกของผมในตอนแรก
แล้วก็ไม่แปลกที่คนในตระกูลจะรู้สึกเช่นกัน
คนที่ต้องสูญเสียคนสำคัญในครอบครัวพร้อมกัน ๒ คนแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่เศร้าพอแล้ว
แต่หลายคนที่มาร่วมงานยังมีเจตนาที่จะมาเยาะเย้ยกันอีก
 เป็นผม...ก็คงเศร้าอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
   
“ฉันไม่รู้ว่านายคิดอย่างไร แต่เอาเป็นว่า...ฉันมาแสดงความเสียใจละกัน”
   
ผมหันหลังจะเดินไปหาพ่อ ไม่อยากจะเสวนาคนที่เริ่มจะพูดด้วยไม่รู้เรื่อง
แล้วกะว่าจะไปไหว้ศพทั้ง ๒ ด้วย เพราะตั้งแต่มายังไม่ได้ไปเคารพศพผู้ตายเลย
แต่ขาผมยังไม่ทันได้ก้าว เสียงเขาดังขัดจังหวะขึ้น

   
“ถ้าคิดจะไปไหว้ศพพ่อและพี่ฉันล่ะก็...ไม่ต้อง!”
   
“จะไหว้ศพพ่อและพี่นาย ไม่ใช่ไหว้ศพนาย” ผมพูดอย่างไม่สนใจ แล้วก้าวเท้าเดินหน้าต่อ
แต่ถูกเขาเอาตัวมาขวางไว้

แขกในบริเวณรอบๆ เริ่มหันมามองเหตุการณ์อย่างสนใจ รวมถึงพ่อผมด้วย
แต่ท่านก็นั่งมองอยู่กับที่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร มีแต่จะห้ามลูกน้องที่คิดจะวิ่งมาคุ้มกันผม
   
“ถ้าในใจไม่อาลัย ก็ไม่จำเป็นต้องมาไหว้ ไสหัวออกจากงานไป”
   
“ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าฉันมาแสดงความเสียใจ ไม่ได้สะใจ
คนในนี้มีตั้งมากมายที่เป็นอย่างที่นายคิด ทำไมนายไม่ไปไล่เขาบ้างล่ะ มาไล่แต่ฉันคนเดียว
เอ...หรือว่า ไม่กล้า”
   
“ใคร ใครไม่กล้า”
   
“ก็นายไง” ผมชี้นิ้วไปที่เขา “ทำเป็นเก่งแต่เฉพาะคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างฉัน
แต่กับพวกผู้ใหญ่กว่า ไม่กล้า”
   
“นี่นาย”

เขากระชากคอเสื้อผมขึ้นไปกำแน่น
เขาสูงต่างจากผม ๒๐ เซนติเมตรได้ ผมต้องเขย่งปลายเท้าไปตามแรงดึงของเขา ไม่อย่างนั้นคอผมหักก่อนแน่
ผมอยากจะใช้พวงหรีดที่อยู่ในมือฟาดหน้าเขาจัง
แต่ผมกลับเลือกที่จะยิ้มให้เขางามๆ แล้วพูดเสียงเรียบว่า

“ใช้กำลังเก่งนี่ แล้วสมองล่ะ ใช้เก่งเหมือนกำลังไหม”

ถ้าเขาทำอะไรผม ผมเชื่อว่าพ่อผมที่นั่งมองอยู่เฉยๆ ไม่ปล่อยงานนี้ให้จบไปอย่างราบรื่นแน่
แม้ว่าสมาคมผมจะไม่มีอิทธิพลเท่าสมาคมเจ้าของงานก็ตาม
แต่ตอนนี้สมาคมนี้กำลังขาดผู้นำ ความมั่นคงกำลังระส่ำระส่าย
หลายกลุ่มที่เคยอยู่ใต้อิทธิพลกำลังคิดที่จะแตกแยกออกไปเป็นอิสระ
ถ้าเขาทำร้ายผมตอนนี้ หลายกลุ่ม หลายสมาคมคงได้ทีเหยียบย่ำเขาซ้ำแน่
แล้วไหนจะนักข่าวที่มาทำข่าวเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่อีก

เขาชะงัก แล้วปล่อยมือจากคอเสื้อผม ผมจับแต่งคอเสื้อให้เรียบร้อยเหมือนเดิม

“ที่ปล่อยเพราะสงสาร”

“แต่ฉันกลับสมเพชนาย”

“ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”

“มีอะไรกัน เทียน” สาววัยสูงคนผมยาวรวบมัดตึง สวมแว่นสายตาเดินเข้ามาห้ามทัพกับศึกที่กำลังจะเริ่มขึ้นใหม่

ถ้าผมจำไม่ผิด เจ้าของใบหน้ามนท่าทางใจดีคนนี้ คือ คุณพิสมัย ศิวโลกเทพ ภรรยาเจ้าพ่อไพฑูรย์
ซึ่งนั่นก็หมายถึงเป็นแม่ของหมอนี่

“ทำไมเราต้องเชิญไอ้คนพวกนี้มาด้วย”

“เขาเป็นแขกของเรา ต้องขอโทษด้วยนะหนู”

“ไม่เป็นไรครับคุณอา” ผมยิ้มแล้วก้มหัวโค้งลง

“แต่ไอ้พวกนี้ไม่เคยเคารพนับถือพ่อ”

“แม่บอกแล้วไง ไม่ว่าเขาจะมาด้วยเจตนาอะไร เขาก็ถือว่าเป็นแขกที่ให้เกียรติมาร่วมงาน”

ลูกชายคนเล็กไม่พอใจ ก็สะบัดก้นหนีแม่ทันที
คุณพิสมัยก็ได้แต่ส่ายหน้า ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกเขาอยู่หรอกครับ เลยได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้เขา





งานเผาศพเจ้าพ่อไพฑูรย์ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ผมไม่ได้ไปงานเผาหรอกครับ ไปแค่งานสวดคืนแรกคืนนั้นคืนเดียวพอ
ทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาเจอทายาทของเทียนหลงอีก
แต่แล้ววันนี้ผมก็ต้องทำใจที่จะได้เจอเขาอีกครั้ง
   
แปลกไหมประธานสมาคมคนเก่าพร้อมลูกชายคนโตเสียชีวิตไม่ถึงเดือน แต่ทางสมาคมกลับมีงานมงคลให้ฉลอง
นั่นก็คือการขึ้นรับตำแหน่งของประธานสมาคมคนใหม่
ผมว่าแปลก แปลกสุดๆ แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมไม่รอให้ผ่านไปนานกว่านี้หน่อย
แต่พ่อผมกลับบอกว่าไม่แปลก
   
“ถ้าขาดผู้นำ สมาคมก็คงไม่เป็นปึกแผ่น” พ่อให้เหตุผลระหว่างเดินเข้ามาในงาน
   
“เพราะฉะนั้นก็เลยต้องรีบประกาศตัวผู้นำคนใหม่ หลังพ่อตัวเองตายไม่ถึงเดือน”
   
พรมแดงปูยาวตลอดทางเข้าของงาน
สองฝากฝั่งประดับประดาด้วยดอกไม้ และรูปปั้นมังกรสีแดงยาวตลอดแนว
พอเดินมาถึงปะรำพิธีสวยยิ่งกว่าสวรรค์ซะอีก ถูกตกแต่งด้วยน้ำแข็งแกะสลักเป็นลายเมฆ ลายมังกรเต็มไปหมด
ควันเย็นจากน้ำแข็งลอยไปมาสร้างบรรยากาศให้เหมือนไอสวรรค์
ตรงเบื้องหน้ามีเก้าอี้ตัวโตลายมังกรตั้งเด่นอยู่
งานงามอลังการสมกับความยิ่งใหญ่ของสมาคมเทียนหลง หรือมังกรสวรรค์จริงๆ
   
พ่อผมมาที่นี่ก็เพราะถูกเชิญให้มา
คนที่มาบางคนก็ไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีอะไรกับสมาคมศัตรู มันก็เป็นแค่การปั้นหน้าทำดีแต่ในใจกลับไม่ใช่อย่างที่คิด
ส่วนเจ้าของงานคนเชิญเขาก็เชิญแขกมาเพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของสมาคม จะได้ไม่มีผู้ใดกล้าหือ
และอีกส่วนหนึ่งก็คือสื่อจากสำนักต่างๆ ที่มาทำข่าวประธานคนใหม่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือศิวโลกเทพ

คนรอบข้างที่มาในงานต่างก็จับกลุ่มพากันซุบซิบให้แซดถึงเรื่องประธานสมาคมคนใหม่อย่างไม่เกรงใจเจ้าของงาน
   
“ได้ข่าวว่าเอาเด็กมหา’ลัยมาเป็นประธานคนใหม่นี่นา ตอนแรกนึกว่าจะเอาคุณชนินทร์เป็นแทน”
   
“ใกล้จะหมดเวลาของเทียนหลงที่แสนยิ่งใหญ่แล้วมั้ง ฮ่าๆ”
   
“อีกไม่นาน ก็จะถึงตาสมาคมของเราเรืองอำนาจแล้วแหละ”
   
“นี่มันฉิบหาย นายใหญ่ของเราเป็นเด็กเมื่อวานซืน” ไม่น่าเชื่อว่าลูกน้องจะกล้านินทาเจ้านาย
   
“เราจะต้องก้มหัวให้กับเด็กอย่างนั้นหรอ อย่างนี้เวลากลับบ้านไปคงต้องก้มลงไปกราบลูกแล้วมั้ง”
   
“เราอย่าประมาทไอ้เด็กนั้นเชียว ให้โอกาสมันสักหน่อย รอวันที่มันพลาด แล้วเราค่อยมาว่ากันใหม่”
   
“เหอะ เสียดายคุณทินกรที่ตายพร้อมพ่อ” ถ้าคุณทินกรหรือพี่อาทิตย์ไม่ตาย ก็คงได้ขึ้นครองตำแหน่งนี้แทน
   
“เอาน่า เราควรรีบชิ่งหนีไปหาที่พึ่งใหม่กันจะดีกว่า”
   
ผมรีบเดินตามชิดติดพ่อไม่ทิ้งห่าง ผมไม่อยากมางานแบบนี้เลยจริงๆ
แต่พ่อบอกว่าให้มาศึกษาเอาไว้ สักวันจะต้องถึงคราวผม แต่ผมไม่อยากให้มีวันนั้นเลย
เพราะถ้าวันนั้นมาถึงก็หมายถึงผมต้องสูญเสียคนที่ผมรักไป
นั่นก็คือ...พ่อ
   
“พ่อ เขาจะให้คนๆ นั้นขึ้นครองจริงๆ หรอ” ผมหมายถึงลูกเจ้าพ่อไพฑูรย์ที่เกือบมีเรื่องกับผมในงานฌาปนกิจ
   
“ก็จริงสิ เหลือลูกอยู่คนเดียว ถ้าไม่ให้ลูก แล้วจะให้ใคร”
   
“ก็...น้องชายเขาไง คุณชนินทร์คิ้วขาวนั่น”
   
“มีลูก ก็ต้องให้ลูก คนอื่นไว้ใจไม่ได้หรอก”
   
“แม้แต่ญาติตัวเองน่ะหรอ”
   
“อื้ม แม้แต่ญาติก็ไว้ใจไม่ได้”
   
“แต่ลูกเขา แก่กว่าผมไม่กี่ปีเองนะพ่อ”
   
“๓ ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัย เพิ่งอายุ ๒๐ เขาชื่อทิวากร หรือเทียน
เวลาคุยกับใครก็เรียกชื่อเขาด้วยนะ ไม่ใช่เรียกลูกเจ้าพ่อไพฑูรย์ หรือไอ้คนนั้น”
ใช่แล้ว เขาชื่อเทียน ผมก็นึกชื่อมาตั้งนาน เคยได้ยินแม่เขาเรียกชื่อเขาเมื่อครั้งนั้นครั้งเดียว
   
“เทียนไข หรือเทียนพรรษาล่ะพ่อ”
   
“ไม่ใช่ธูปเทียน แต่เป็นภาษาจีน แปลว่าท้องฟ้า หรือสวรรค์”
   
บรรพบุรุษหมอนั่นเป็นคนจีนที่อพยพเข้ามาในไทยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
พอมาถึงรุ่นเขาตอนนี้ก็พอมีเชื้อจีนอยู่บ้าง แต่อาจจะเหลือนิดหน่อยเหมือนกับผม
   
“ชื่อสูง สักวันหนึ่งก็ต้องตกลงมา”
   
“งั้นลูกต้องเป็นพยัคฆ์ที่คอยขย้ำมังกรตัวนั้นให้ร่วงตกลงมา”
   
ผมยังไม่ทันจะได้แย้งคำพ่อประการใด เสียงพิธีกรบนเวทีก็ขัดขึ้นมาบอกให้ทุกคนประจำที่ให้เรียบร้อย
ฝ่ายลูกน้อง ลูกสมุนหรือสมาคมที่อยู่ใต้อำนาจของเทียนหลงให้ยืนเป็นแถวอยู่ฝั่งด้านซ้ายของบัลลังก์
ส่วนแขกต่างสมาคมที่ให้เกียรติมาร่วมงานอย่างผม ถูกจัดให้นั่งบนเก้าอี้ที่วางเป็นแถวยาวอย่างมีระเบียบ
สื่อมวลชนผู้มาทำข่าวนั่งสงบที่เก้าอี้แถวหลังสุด รอเวลาที่ประธานสมาคมคนใหม่จะอนุญาตให้สัมภาษณ์
โดยทุกคนที่อยู่ในงานหันหน้าเข้าหาบัลลังก์กันหมด
   
ผมนั่งหันซ้าย หันขวาด้วยความตื่นตาตื่นใจท่ามกลางความเงียบสงบปราศจากเสียงของผู้คน
ไม่นานผู้คนก็หันขวับไปทางด้านขวาของตัวเองเป็นทางเดียวกัน
   
ชายหนุ่มที่ผมเคยปะทะคารมด้วยเมื่อวันนั้น
วันนี้เขามาในชุดเสื้อเชิ้ตดำ ผูกเนกไทดำลายขวางขาว สวมสูทสีขาวสะอาดตาเช่นเดียวกับกางเกง
ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงเหมือนเดิม ลูกสมุนชุดดำเดินขนาบข้างสองคน
เขาเดินมาด้วยท่าทีที่สง่า ไหล่กว้างผายตึง สายตาแน่วแน่มองตรงไปข้างหน้า
เดินอ้อมมาทางด้านหลังของพวกลูกสมุนที่ยืนตรง
แล้วเลี้ยวมาเดินช่องกลางระหว่างแถวลูกสมุนกับเก้าอี้ของผู้มาร่วมงาน
ลูกสมุนที่เดินตามมาหยุดยืนอยู่แค่หน้าสุดของแถว
คอยให้ประธานคนใหม่ของพวกเขาขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ตามลำพัง
พร้อมกับที่ลูกน้องทุกคนโค้งศีรษะลงทำความเคารพ
   
ผมเห็นภาพนี้แล้วขนลุกแทนชายที่นั่งหน้านิ่งบนบัลลังก์ลายมังกร
ดูเขาทำหน้าซะสิ อย่างกับจะดุใครในงาน
ประธานคนใหม่ไม่เอ่ยปากอะไรสักคำ ปล่อยให้คุณชนินทร์ อาของตัวเองเป็นคนพูดพล่ามไปเรื่อย
จะว่าไป วันนี้ผมยังไม่เห็นคุณพิสมัย แม่ของเขาเลย
   
“มองหาใคร” เสียงพ่อผมกระซิบถามข้างๆ หู
   
“แม่ของ...คุณทิวากร เขาไปไหน วันนี้ยังไม่เห็นเลย”
   
“ได้ข่าวว่าเขาไม่มา” คำตอบนี้ทำให้ผมประหลาดใจเป็นอย่างมาก
   
“จริงหรอพ่อ นี่วันสำคัญของลูกเขาแท้ๆ”
   
“ก็เพราะเป็นวันสำคัญแบบนี้น่ะสิ เขาถึงไม่มา
เขายังทำใจไม่ได้ที่จะให้ลูกเขาขึ้นมารับตำแหน่งที่เสี่ยงแบบนี้
ตอนพ่อรับตำแหน่ง ย่าลูกก็ทำใจไม่ได้ แต่ก็มาร่วมงานนะ น้ำตาไหลกลางงานเลย”
   
ถ้าผมต้องถึงวันนั้นจริงๆ จะมีใครเสียใจ รับไม่ได้แบบนี้บ้างไหมนะ
แม่ผมก็จากไปตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้
จะเหลือก็เหลือแต่แม่นมคนเดียวที่เปรียบเสมือนแม่
   
“แต่น่าจะมาร่วมงานหน่อยก็ดี คอยยืนเคียงข้างลูก ไม่งั้นคุณทิวากรคงต้องรู้สึกโดดเดี่ยวแน่”
   
“คนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่เคียงข้างลูกเสมอแหละ แม้ว่าตัวจะไม่อยู่ด้วยก็ตาม
แต่พ่อว่าอีกไม่นานหรอก ไอ้เจ้าพ่อคนใหม่คงต้องได้โดดเดี่ยวจริงๆ แน่”
   
“ทำไมพ่อพูดอย่างนั้นล่ะ”
   
“มันยังเป็นเด็ก ไม่มีใครอยากก้มหัวให้กับเด็กหรอก”
   
แล้วถ้ามีเหตุให้ผมต้องเป็นเจ้าพ่อคนใหม่ด้วยอายุที่น้อยเช่นนี้
นั่นหมายถึงผมจะไม่ได้รับการเคารพจากใครเลยอย่างนั้นหรอ
วงการนี้มันช่างย่ำแย่จริงๆ ถ้าเลี่ยงได้ ผมจะไม่มีทางแตะต้องวงการนี้เป็นอันขาด
   
“แล้วเขาจะทำไรต่อล่ะพ่อ ให้คุณทิวากรนั่งหน้าตายอยู่บนบัลลังก์อย่างเดียวน่ะหรอ”
   
“เดี๋ยวเขาก็เปิดโอกาสให้นักข่าวสัมภาษณ์นิดหน่อยเกี่ยวกับธุรกิจบังหน้า
เสร็จแล้วก็เข้าห้องประชุมลับที่มีแต่หัวหน้าสมาคมที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขา”
   
“ซึ่งไม่เกี่ยวกับพ่อ”
   
“อื้ม ไม่เกี่ยว พ่อไม่ได้เป็นลูกสมุนเดินตามตูดมันสักหน่อย”
   
“งั้นเรากลับกันเถอะ น่าเบื่อจะตาย”
   
“รอให้มันลงมาจากบัลลังก์มาให้นักข่าวสัมภาษณ์ก่อนสิ แล้วค่อยกลับ จะออกไปตอนนี้ได้ไง”
   
ผมก็ได้แต่นั่งเงียบ สายตามองตรงไปเบื้องหน้าอย่างจดจ่อ
แม้ว่าจะมีเสียงคำพูดที่ออกลำโพงต่างๆ นานามันก็ไม่ได้เข้าหูผมเลย
ผมได้แต่คิดว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร เขาจะรู้ไหมหนอว่ามีแต่คนคิดไม่เคารพเขาทั้งนั้น
แม้กระทั่งพวกที่เคยอยู่ใต้อำนาจสมัยผู้เป็นพ่อก็เถอะ
แล้วถ้าเขายังมีนิสัยเลือดร้อนอย่างเมื่อตอนงานศพล่ะก็...คงหลุดจากตำแหน่งได้เร็ววัน หรือไม่สมาคมเทียนหลงคงมีเหลือแต่ชื่อ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2012 21:52:42 โดย แสนเสน่หา »

ออฟไลน์ Bowbonk

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-4
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #33 เมื่อ26-12-2011 16:54:14 »

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #34 เมื่อ27-12-2011 08:22:25 »

 o13 
 :กอด1: น้องซน

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #35 เมื่อ27-12-2011 12:14:22 »

ง่าาาาาา  รี  เร็ว ๆ ได้ มั้ย ง่ะ


คน อ่าน จะ ขาด ใจ ตาย แย้ว

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #36 เมื่อ27-12-2011 18:25:41 »

 :L2: :กอด1:

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #37 เมื่อ27-12-2011 18:49:48 »

ใจเย็นๆ เน้อ

ออฟไลน์ Lilyrum

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #38 เมื่อ27-12-2011 19:14:01 »

คนเขียนกลับมาอัพแล้ว ><

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #39 เมื่อ29-12-2011 15:11:30 »

 o13 อยากให้ทันตอนเก่าจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
« ตอบ #39 เมื่อ: 29-12-2011 15:11:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pare_140

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-6
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #40 เมื่อ29-12-2011 19:42:04 »

พึ่งเข้ามาอ่านค่าาา

ซนน่ารักมากกก

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๓ ๒๖/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #41 เมื่อ30-12-2011 14:34:21 »

ตอน๔ แววตาเจ้าพ่อ

เขาอาจจะคิดอะไรอยู่ก็ได้ แต่ผมไม่สามารถมองสายตาเขาออกจริงๆ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เพราะนั่นมันเป็นแววตาของเจ้าพ่อ


กว่าผมจะได้กลับถึงบ้าน ผมก็จดจำรายละเอียดของใบหน้าเจ้าพ่อคนใหม่ได้เป็นอย่างดีแล้ว
ตอนแรกคิดว่าจะแป๊บเดียว ที่ไหนได้ดันมีพิธีอะไรต่ออีกก็ไม่รู้
ผมนั่งมองหน้าเขาจนเบื่อเลยทีเดียว

ตกเย็นมาผมก็นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับพ่อ
เป็นกฎที่ผมตั้งขึ้นมาเองเลยว่า ไม่ว่าพ่อจะยุ่งอย่างไร หรือผมจะไปเที่ยวเตร่ทำการบ้านกับเพื่อนที่ไหน
ทุกเย็นเราต้องมากินข้าวพร้อมหน้ากันสองคนพ่อลูก
ซึ่งพ่อผมก็เห็นดีเห็นงามด้วย แล้วทำแบบนี้มาตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้วครับ
   
วันนี้แม่ครัวทำอาหารจานโปรดของผมไว้หลากหลาย จนเลือกกินไม่ถูกเลยทีเดียว
แม่นมเดินเข้ามาคอยดูแลความเรียบร้อย
   
“วันนี้คุณหนูเป็นไงบ้างคะ เหนื่อยหรือเปล่า”
   
“น่าเบื่อสุดๆ เลย ไอ้คนที่นั่งบนบัลลังก์ก็ได้แต่ทำหน้าบึ้งตึง เห็นแล้วเสียทัศนียภาพ”
   
“แล้วลูกคิดยังไงกับเขา” บ้าหรอ! จู่ๆ พ่อก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา
ผมยังสนใจผู้หญิง ไม่ได้เป็นเกย์สักหน่อย
   
“พ่อหมายความว่าไง”
   
“พ่อหมายถึง ในฐานะที่ลูกจะต้องขึ้นเป็นใหญ่แทนพ่อ ลูกมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเขา
ผู้นำคนใหม่ที่ยังเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัย แต่กลับต้องมาปกครองผู้คนมากมาย
อีกทั้งธุรกิจเป็นร้อยล้าน คิดว่าเขาจะไปรอดไหม”
   
“เขายังอ่อนประสบการณ์ก็จริง แต่ก็อย่าเพิ่งไปดูถูกเขา
ถ้าเขาเริ่มต้นเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเรื่อยๆ อีกทั้งฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่
ในอนาคตเขาก็อาจจะยิ่งใหญ่ได้เหมือนพ่อของเขา”
   
“ฮ่าๆ เด็กสมัยนี้ความคิดก้าวไกล เพราะฉะนั้นพ่อก็ควรจะต้องรีบจัดการ”
   
“พ่อจะทำอะไร”
   
จากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของพ่อ มันก็เริ่มทำให้ผมกินข้าวไม่ลง
แม้ว่าวันนี้จะมีแต่อาหารจานโปรดที่ถูกแม่ครัวบรรจงปรุงแต่งมาอย่างดีก็ตาม
   
“มันถึงเวลาแล้ว ที่มังกรจะต้องร่วงจากฟ้า ไอ้เด็กนั่นต้องตกบัลลังก์
สมาคมเทียนหลงจะย่อยยับ แล้วเราจะได้ขึ้นเป็นใหญ่”
   
“พ่อ ผมไม่เห็นด้วย ผมไม่อยากเห็นพ่อต้องมาทำอะไรชั่วๆ แบบนี้”

ผมวางช้อนส้อมในมือเสียงดังจนแม่นมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามากระซิบเตือน

“ใจเย็นๆ คุณหนู ลองฟังเหตุผลคุณท่านก่อน”

“ไม่เย็นแล้วนม เหตุผลของพ่อจะมีอะไรนอกจากอำนาจ อยากยิ่งใหญ่จนต้องทำร้ายคนอื่น”

“พ่อไม่ได้ทำร้ายใคร พ่อก็แค่ทำให้มันหมดอำนาจ” คำพูดของพ่อช่างฟังไม่ขึ้นจริงๆ

“ด้วยวิธีการอะไรล่ะพ่อ ถ้าไม่ใช่กลโกง” ผมเกี่ยวข้องกับวงการเจ้าพ่อ วงการแห่งอำนาจเถื่อนนี้มาตั้งแต่เกิด
แม้ว่าผมจะไม่เคยเข้าไปยุ่งโดยตรง แต่พ่อก็มักจะพาผมเข้าสังคม ให้ผมออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อย
แล้วทำไมผมจะไม่รู้ว่าวงการนี้เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ

“ก็พ่อให้ลูกช่วยคิดนี่ไง ว่าจะทำยังไงดี แบบไม่ต้องให้เลือดตกยางออกกันมากนัก ไม่อย่างนั้นพวกเราคงเดือดร้อน”

“ให้ผมช่วยคิดในฐานะอะไร ลูกของพ่อหรือ...”

“ทายาทสมาคมราชาพยัคฆ์” พ่อพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าในฐานะนั้น ผมไม่มีความเห็น ผมเคยคิดว่าสักวันเราจะต้องเหนือทุกคน
แต่นั่นหมายถึงว่าเราจะทำมันด้วยความถูกต้อง แต่ถ้าจะเหนือทุกคนด้วยเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้
ผมก็ไม่อยากมีอำนาจเหนือใครทั้งนั้น”

“นี่นมสอนลูกฉันมายังไง ถึงได้มาต่อปากต่อคำกับพ่อมันแบบนี้”

“ไม่มีใครสอนให้ผมทำแบบนี้นอกจากพ่อหรอกครับ
ถ้าพ่อไม่คิดเรื่องนี้ ผมก็คงไม่ต้องมานั่งทำบาปด้วยการเถียงพ่อตัวเองหรอก”
   
“เออ...คุณหนูพอเถอะค่ะ ที่คุณพ่อของคุณหนูทำไปก็เพราะอยากให้คุณหนูสบาย มีอำนาจเหนือทุกคน
สมาคมของเราจะได้เป็นที่ยิ่งใหญ่ไงคะ”

การที่เรามีอำนาจมันจะดี มันจะสบายอย่างนั้นหรอ ทำไมผมไม่คิดแบบนั้นเลย
ผมก็เห็นพ่อมีอำนาจในตัวอยู่แล้วแต่ก็ไม่เห็นว่าพ่อจะสบาย
พ่อยังต้องเหนื่อยในการขวนขวายหาอำนาจมาเพิ่ม
แถมยังนำเรื่องเดือดร้อนมาให้แก่คนรอบข้าง ไม่เจ็บหนัก ก็ตายเหมือนแม่ผม
อย่างนี้ยังอยากให้ผมมีอำนาจอยู่อีกหรอ
   
ผมก็ไม่ได้เป็นคนดีไปกว่าคนอื่นนักหรอก
ถึงแม้ผมจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้  สังคมที่กลุ่มคนพยายามเอาชนะกันด้วยเล่ห์เหลี่ยม
แต่เพียงเพราะผมรู้สาเหตุการตายของแม่ ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจมืดพวกนี้
แม้ว่าตอนนั้นผมยังเด็ก แต่ผมก็รู้ว่าการสูญเสียมันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน
ผมถึงไม่อยากให้ตัวเอง หรือใครก็ตามต้องสูญเสียสิ่งที่รักไป
   
“ผมไม่ต้องการจะมีอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น” ผมพูดประโยคสุดท้าย แล้วลุกขึ้นเดินหนีออกไปจากห้องรับประทานอาหารทันที
ไม่สนใจคำห้ามปรามของแม่นมแม้แต่น้อย





“เฮ้ย นี่ๆ พวกแกดูนี่” เสียงห้าวๆ ของเพื่อนผู้ชายในห้องที่แม้ร่างกายจะบึกบึน แต่จิตใจยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก
อย่างว่าแหละครับ โรงเรียนผมเป็นชายล้วน มีผู้ชายไม่แท้เยอะแยะแต่ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา
   
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วห้อง ผมเพิ่งเดินเข้ามาก็เลยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
เห็นแต่พวกเพื่อนๆ ที่มาโรงเรียนกันแล้วเข้าไปมุงอยู่ที่โต๊ะของใครบางคน
ผมเดินไปวางกระเป๋าที่โต๊ะตัวเอง แล้วค่อยเดินไปรวมกลุ่มเพราะความอยากรู้
   
“มีอะไรกันวะ”
   
“นี่ๆ แกดูนี่ นายทิวากร หรือเทียน เจ้าพ่อคนใหม่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์
หล่อมาก อายุแก่กว่าเราไม่กี่ปี ฉันชอบ แกรู้จักหรือเปล่าวะ” เพื่อนผมชี้นิ้วไปที่หนังสือพิมพ์หน้าสังคม
เห็นรูปหน้านายทิวากรเต็มบาน ส่วนบานข้างๆ ก็เป็นรูปงานฉลองที่ผมได้ไปมา
   
“นี่ไงๆ ไอ้ซน ไอ้ซนไปงานมาด้วย”
   
ผมมองไปอีกรูปหนึ่งที่เป็นบรรยากาศในงาน มีรูปผมติดมาด้วย แต่ติดมาแบบว่าครึ่งหน้า
พวกนี้ก็ตาดีกันจริงๆ ที่เห็นผมได้ หรือแสงออร่าผมจะทอประกายจนเป็นจุดเด่น
   
“จริงหรอยะ ซนไปงานนั้นมาจริงๆ หรอ พี่เทียนตัวจริงหล่อไหมแก” เจ้าของหนังสือพิมพ์ลุกขึ้นถามผมอย่างสนใจ
แถมเพื่อนสาวของเจ้าหล่อนทั้งหลายก็หันมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มองแบบนี้ผมก็กลัวนะเนี่ย
   
“อื้ม ไปมา ตัวจริงหรอ...ก็งั้นๆ อะ เหมือนในรูปนี้แหละ”
ความจริงผมอยากจะบอกว่าตัวจริงเขาหล่อกว่าในหนังสือพิมพ์มาก
หล่อแบบออร่ากระจาย ใครไปงานอยู่ใกล้ๆ เขาก็คงดับ
   
“ฉันล่ะอยากเข้าไปเป็นสะใภ้บ้านหลังนี้จัง หล่อกันทั้งบ้าน
ไม่ว่าพี่ไต้ฝุ่น หรือพี่เทียน กรี๊ด นี่ฉันอยากเห็นหน้าพี่ชายพี่เทียนที่ตายจังเลย ว่าจะหล่อแค่ไหน น่าเสียดาย”
   
“เดี๋ยวคืนนี้เขาก็ออกมาให้เธอเห็นหรอกย่ะ”
   
“ก็ดีสิยะ จะได้เจอผีหล่อๆ มาหลอก เอ...หรือว่าจะเป็นเทพบุตร” นั่นเล่นถึงคนตายเลยนะ
   
“ผีหลอกผีได้ด้วยหรอวะ” ผมสัพยอก
   
“อ๊าย ไอ้ซน”
   
“ซนแกก็ไปว่ามัน อีนี่มันเน่าเกินผีแล้ว”
   
“ไอ้เพื่อนเลว นิสัยไม่ดี ชอบแกล้งคนสวย” คำพูดของเธอเรียกเสียงโห่ไปได้ทั่วห้องเลย
ก็ดูร่างของนางคนที่ชมตัวเองว่าสวยซะก่อนสิ บึกบึนยิ่งกว่าผมอีก
   
“คนนี้น่ะหรอ ที่แกเล่าให้ฟัง” พงษ์ถาม
ใช่ ผมเล่าเรื่องที่ปะทะคารมกับเจ้าพ่อคนใหม่ในงานศพให้พงษ์ฟัง
เขายังว่าผมกลับเลยว่าผมก็ปากดีไม่น้อยหน้าไอ้เจ้าพ่อคนนี้หรอก
ชิ เขาปากดี กวนตีนกว่าผมเป็นไหนๆ
   
“เรื่องอะไรหรอ เล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ”
   
“ก็ไอ้ซนมันไปกวนตีนเจ้าพ่อสุดหล่อของพวกแกไง”
   
“ไอ้ซนแกกล้าดียังไงไปกวนตีนพี่เทียนสุดหล่อของฉันยะ”
   
“ไม่ได้กวนตีนสักหน่อย แค่พูดคุยกันเฉยๆ”
   
“แล้วคุยอะไรล่ะ รีบๆ เล่ามาสักทีสิ สุดสวยคนนี้รอฟังมานานแล้ว
เดี๋ยวก็ถึงเวลาเข้าแถวก่อนพอดีหรอก เล่าเร็วๆ” ไอ้คนสวยสุดๆ ประจำห้องเร่ง
   
“เรื่องไรต้องเล่าให้พวกแกฟังอะ อยากรู้ไปถามพี่เทียนสุดหล่อของแกดูสิ” คงจะตามตัวเจอหรอกนะ ถึงเจอก็คงไม่รู้เรื่อง
เพราะเขาคงลืมผมไปแล้วแหละ ก็เคยคุยกันแค่ครั้งเดียวเอง
   
“ไอ้ซน...อย่าลีลา ขอร้อง” เสียงเข้มมาเชียว
   
“ก็ไม่มีอะไร แค่คุยกันเฉยๆ”
   
“ไอ้ซน เล่ามาดีๆ สิ เอายาวๆ แบบละเอียด หรือแกจะเก็บพี่เทียนของฉันไว้กินคนเดียว”
   
“จะบ้าหรือไง ข้ายังชอบผู้หญิงนะ” ถึงสภาวะรอบข้างผมจะมีพวกอนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกันอยู่เกลื่อนกลาด
แต่ผมก็ยังไม่โน้มตามไปนะ
   
“อ่าจ้า ถ้างั้นก็รีบๆ เล่ามาสักทีเถอะ”
   
“เออๆ ก็วันก่อนนู้นไปงานศพพ่อกับพี่นายเทียนของพวกแก แล้วไปเจอนายเทียน
มันกวนตีนนิดๆ หน่อยๆ หาว่าข้ามาเยาะเย้ย แล้วกันท่าจะไม่ให้ข้าไปไหว้ศพอีก ก็เลยเกือบมีเรื่อง แค่นี้ จบ”
   
“แค่นี้หรอ พี่เทียนอาจกำลังโศกเศร้าอาดูรก็ได้ เลยหงุดหงิดนิดๆ หน่อยๆ
แกนั่นแหละนิสัยไม่ดี เอาพี่เทียนมาเผา หาว่าพี่เทียนนิสัยไม่ดี”
   
“อ้าว ก็แกบอกให้ข้าเล่าเองนี่หว่า เดี๋ยวนี้เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนหรอ”
   
“ก็จริงนี่นา แกดูรูปนี้สิ พี่เทียนหล่อจัง ดูท่าจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่น
อ๊าย แกดูสายตาที่เขามองฉันสิ ฉันเขินอะ” หล่อนท่าจะบ้า รูปนายเทียนมองตรงๆ ก็หาว่ามองตัวเธอเอง
   
อย่างว่าแหละครับ คนกำลังเพ้อกำลังฝัน มองอะไรก็เข้าข้างตัวเองไปซะหมด
เหอะ ถ้าเป็นหน้านายเทียนจริงๆ ผมจะจิ้มตาให้บอดเลย ไม่ชอบเอาเสียเลย
สายตาดุๆ นั่น มันคมกริบแทบจะบาดคนที่ขวางหน้าได้อยู่แล้ว
   
“ตื่นได้แล้ว นี่มันจะเข้าแถวแล้วนะ”
   
“ไอ้บ้าซน ฉันไม่ได้ฝันย่ะ”
   
“งั้นแกก็คงละเมอ” พงษ์พูดแซว
   
“เฮ้ยๆ พวกแก ข้ามีไรให้ดู” เสียงเหนื่อยหอบของไอ้หมอดูเพื่อนผมดังมาก่อนตัวอีก
   
เปรมวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้อง มือข้างหนึ่งถือกระเป๋า อีกข้างถือหนังสือพิมพ์กำไว้แน่น ราวกับว่ามีเรื่องใหญ่อะไร
พวกเพื่อนในห้องที่รวมกลุ่มสุมหัวกันตั้งแต่ทีแรกก็แตกตื่นไปทางเปรมด้วยความอยากรู้ข่าวที่เขาจะนำมาบอก
   
“อะไรหรอไอ้เปรม รีบๆ บอกมาสิ ฉันอยากรู้” คนสวยของห้องก็ยังโอเว่อร์เหมือนเดิม
   
“ข้ามีข่าวที่พวกสาวๆ ในห้องจะต้องสนใจแน่ๆ มานำเสนอ
นี่ๆ ดูนี่ นายทิวากร หรือเทียน เจ้าพ่อคนใหม่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์
ข้าเห็นว่าหน้าตางั้นๆ แต่คงตรงสเป็คพวกแกเลยหยิบมาให้ดู”
เปรมอ่านพาดหัวข่าวเดียวกันกับหัวข้อที่พวกผมได้อ่านกันไปแล้ว
เล่นเอาแก๊งสาวๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตาฟังข่าวแทบจะรวมใจใช้ฝ่ามืออรหันต์แสกกระบาลเปรมทันที
   
“ไอ้เต่า พวกเราพูดกันจบไปแล้วย่ะ”





เรื่องที่นายเทียนขึ้นรับตำแหน่งประธานสมาคมเทียนหลงกลายเป็นหัวข้อสนทนาของนักเรียนทุกระดับชั้น
ไม่ว่าจะเพศที่ ๓ ที่ออกแนวปลื้มมากมายกับหน้าตาของนายเทียน
หรือผู้ชายแท้ๆ บางคนก็เอ่ยปากชมเพราะความเท่และอำนาจบารมีของเขา
แต่ก็มีบางพวกที่อิจฉา
   
เป็นธรรมดาของคนเรา มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด
จะทำให้ทุกคนรักเราทั้งหมดเลยคงเป็นไปไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าไม่ต้องสนใจว่าจะมีคนรักเรามากแค่ไหน
แต่ทำตัวให้คนเกลียดเราน้อยมากที่สุดก็พอ เพราะอารมณ์คนมันยากแท้หยั่งถึง
คนเราถ้าลองมีอารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียดหรืออิจฉาใครขึ้นมาสักคนสิ
การกระทำชั่วๆ ทั้งหลายก็สามารถทำได้หมดอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองหรอก
   
ผมได้ยินคนพูดเรื่องนายเทียนตั้งแต่ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ
จนถึงตอนนี้ที่เป็นเวลาเลิกเรียน ผมเดินออกไปรอรถที่หน้าประตูโรงเรียนกับพงษ์
ยังได้ยินเสียงคนแซ่ซ้องสรรเสริญนายเทียนกันอยู่เลย
   
“พี่เทียนนี่เกิดมาโชคดีจนน่าอิจฉาจริงๆ เลย แกว่าป่ะ” พงษ์ก็เริ่มเปิดประเด็น
   
“ทำไมวะ”
   
“แกคิดดู หน้าตาก็ดี บ้านก็รวย มีอำนาจล้นฟ้า แถมได้เป็นเจ้าของกิจการหลายร้อยล้าน
เออ...จะว่าไปแกอาจจะไม่รู้สึกอิจฉาก็ได้ เพราะแกก็โชคดีไม่แพ้กัน”
   
“งั้นหรอ บางเรื่องที่ตัวเองคิดว่ามันไม่ดี แต่คนอื่นกลับอิจฉา แปลกเนอะ”
   
“แปลกก็แปลก ว่าแต่แกเถอะไม่กลับบ้านหรือไง ไม่ต้องมายืนคอยเป็นเพื่อนข้าหรอก”
ความจริงรถผมมาจอดเทียบท่าตั้งแต่โรงเรียนยังไม่เลิกแล้ว แต่ผมยืนรอเป็นเพื่อนพงษ์
   
“รถแกท่าจะนาน ให้ข้าไปส่งไหม”
   
“เหอะๆ” พงษ์ชำเลืองมองไปที่รถผม “ไม่ดีกว่าว่ะ เสียเวลาแก” ดูท่าจะกลัวคนขับรถบ้านผมนะ
   
“อ้าว น้องซน รอใครอยู่หรอครับ ยังไม่กลับบ้านอีกหรอ หรือว่า...มารอเจอหน้าพี่ก่อนกลับ”
สำหรับใครหลายคนคงอยากได้ยินเสียงสวรรค์ของเทพบุตรตนนี้
แต่สำหรับผมขอเรียกว่าเป็นเสียงนรกละกัน
   
“ครับ ฝันดีมาหลายคืน อยากลองฝันร้ายดูบ้าง” ผมฉีกยิ้มกว้างตอบไปแบบเรียบๆ
สีหน้าของเขาดูตกลงนิดๆ แล้วกลับมายิ้มใหม่ได้
   
“สงสัยอยากจะฝันโดนงูรัดเอาน่ะสิ”
   
“กลัวจะเป็นไส้เดือนดินมากกว่า”
   
“ขอเก็บเอาเป็นเหยื่อปลาได้เปล่าวะไอ้ซน ปลาน่าจะชอบนะ” พงษ์เป็นลูกคอเสริมผม
   
“นี่น้อง เงียบไปเลย อย่าพูดมาก” พี่ฝุ่นดุเสียงเบาๆ แต่ก็ทำให้เพื่อนผมกลัวได้
ใครจะไม่กลัวเขาล่ะ ครอบครัวเขายิ่งมีอิทธิพลเป็นเจ้าพ่อซะขนาดนั้น
ยิ่งตอนนี้เลื่อนกลายมาเป็นน้องเจ้าพ่อแล้ว ใครๆ ก็กลัวโดนสั่งเก็บน่ะสิ
ส่วนผม...พวกเพื่อนๆ แทบจะเล่นตบหัวอยู่ทุกวัน
   
“ปากเพื่อนผมมีไว้ให้พูดครับ มันเลยชอบพูด ก็เหมือนปากพี่นั่นแหละที่มีไว้เห่า ก็เลยชอบ...เห่า”
   
“นอกจากเห่า ปากพี่ยังชอบจูบปากบางๆ อมชมพูด้วยนะ” เขาพูดทีเล่นเอาผมเม้มปากไว้แน่น
   
“แหม ไม่บอกก็คงไม่รู้นะเนี่ย เห็นปากแบบนี้ นึกว่าจะชอบจูบแต่แข้งชาวบ้านอย่างเดียว”
   
“ปากดีจังเลยนะ” พี่ฝุ่นเดินมาคว้าแขนผมเข้าไปจับ แล้วกระชากตัวให้เข้าไปหาเขา
   
คนที่ทยอยเดินมาก็ต่างหันมาให้ความสนใจผมกับเขา
พงษ์ก็ได้แต่ยืนเหรอหรา ไม่รู้จะทำอย่างไร
แต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งอะไรหรอกครับ ก็ได้แต่มองแล้วเอาไปนินทา
   
“ปล่อย” ผมออกคำสั่งนิ่งๆ แต่คิดหรอว่าคนนั้นจะทำตาม
   
“แลกกันสิ”
   
“มีอะไรที่ต้องแลกด้วยหรือไง”
   
“จูบ แลกกับปล่อยแขน” เขายื่นปากเข้ามาใกล้ๆ หน้าผม
ทำแบบนี้กะไม่สนใจสายตาชาวบ้านเลยหรืออย่างไร
   
“เคยได้ยินสำนวนนี้ไหม เล่นกับหมา หมาเลียปาก” ผมใช้อีกมือหนึ่งผลักหน้าเขาออกไป
แล้วสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออก
   
“งั้นพี่ยอมเป็นหมาให้ซนเล่น พี่จะได้เลียปากไง”
   
“หึ ถ้าเป็นหมาพันธุ์แพงๆ หมาไทย หรือหมาข้างถนนธรรมดา ผมชอบเล่นหมดแหละ
แต่เผอิญว่าไม่ค่อยชอบเล่นกับหมาขี้เรื้อนสักเท่าไหร่ โทษทีนะครับ”
   
“พูดแบบนี้ไม่แรงไปหน่อยหรอ”
   
“อ้าว รู้สึกว่าแรงด้วยหรอ นึกว่าจะไม่รู้สึกอะไรซะอีก ก็เห็นว่า...ด้าน”
ให้ตายเถอะ ผมพูดออกไปได้อย่างไร ถ้าเป็นคนอื่นคงโดนต่อยปากแตกไปแล้วแน่ๆ จ
ะว่าไป...ผมก็แรงจริงๆ นั่นแหละ
   
“เอาเถอะ เห็นว่าน่ารักน่ะเนี่ย เลยให้อภัยได้ แต่ที่ไม่น่าให้อภัยเลยคือ เมื่อวันงานทำไมไม่เข้ามาทักพี่บ้าง”
   
“ก็เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องทัก”
   
“โหย เฮ้ย รถมาแล้ว เดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ จะกลับด้วยกันไหม เดี๋ยวพี่ไปส่งถึงบนห้องเลย”
   
ผมหันไปเห็นรถลีมูซีนคันใหญ่สีดำสนิท ติดฟิล์มดำมืดจนไม่สามารถมองทะลุไปข้างในได้
รูปร่างไม่ต่างอะไรกับรถผมนัก รถคันดังกล่าวมาจอดเทียบไม่ห่างไปจากตัวนายไต้ฝุ่น
 ผมละความสนใจจากรถแล้วหันมาตอบเจ้าตัว
   
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ไม่เป็นไร เอาน้ำใจพี่ช่วยรีบพาตัวเองกลับไปเถอะ”
   
“แล้วเจอกัน” เจ้าตัวพูดแล้วเดินจากไป
   
ประตูรถถูกเปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ ทุกสายตาของคนที่เดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้นต่างหันไปจับจ้องที่ประตู
แล้วหยุดการกระทำที่กำลังทำอยู่ราวกับถูกมนตร์สะกดเอาไว้
รวมทั้งไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมด้วย
   
“กรี๊ด...กรี๊ด...แก แกดูนั่น แกดู” เสียงแหลมๆ ของผู้ชายอ้อนแอ้นที่อยู่ไม่ไกลผมดังขึ้น
   
“อ๊าย พี่เทียนของฉัน พี่เทียนจริงๆ ด้วยแก” คนอีกกลุ่มต่างพากันสะกิดให้มอง
   
“หล่ออะ ทำไมหล่อมากมายขนาดนี้ พี่ไต้ฝุ่นอยู่ที่นี่ตั้งนาน ฉันก็เพิ่งเคยเห็นพี่เทียนกลับพร้อมวันนี้นี่แหละ”
   
“แก ตัวจริงหล่อมาก หล่อกว่าในรูปเยอะเลยแก
แกดู แกดูสิ คราวนี้พี่เขามองมาทางฉันอีกแล้ว” คนสวยประจำห้องพร้อมกับผองเพื่อนมาอยู่ข้างๆ ผมตอนไหนไม่รู้
   
ผมหันไปมองบุคคลที่นั่งเฉยอยู่ในรถ ผมรู้สึกว่ากำลังคิดเหมือนพวกสวยถึก
สายตาคมคู่นั้นกำลังจับจ้องมาที่คนที่ชมตัวเองว่าสวย
ไม่สิ มาที่ผมมากกว่า ผมไม่ได้คิดไปเองนะ เขามองผม แล้วผมก็มองเขา สายตาเราทั้งคู่ประสานกัน
แต่ในแววตาผมรู้สึกตกใจนิดๆ ที่ได้เผชิญสายตาคู่ดุแบบนั้นจังๆ แม้ว่าจะอยู่ไม่ใกล้กันก็ตาม
แต่สายตาคู่นั้นกลับมองมาที่ผมนิ่งเฉย ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกอะไร
เขาอาจจะคิดอะไรอยู่ก็ได้ แต่ผมไม่สามารถมองสายตาเขาออกจริงๆ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เพราะนั่นมันเป็นแววตาของเจ้าพ่อ


ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #42 เมื่อ30-12-2011 14:38:01 »

เหมือนจะเคยลงมาแล้วใช่ป่ะ ยังไงก็อย่าหายไปอีกนะครับ รอติดตามอยู่ครับ

ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #43 เมื่อ31-12-2011 17:47:47 »

มาแล้วๆ  :L1:
พอคนเขียนมารีไรท์ใหม่คนที่เคยอ่านยังไม่ค่อยรู้มั้ง
ต้องรอซักแป๊บ แล้วคนจะเยอะเหมือนครั้งแรก สู้ๆ  :กอด1:
ปล.เม้นท์ถี่คงไม่ว่ากันเพราะรักเรื่องนี้จริงๆ

Pairwha

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #44 เมื่อ31-12-2011 20:40:35 »

เพิ่งจะเคยอ่าน น่าสนใจดีจ้า
รอๆตอนต่อไป   :กอด1:

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #45 เมื่อ01-01-2012 11:45:46 »

มาแล้วๆ  :L1:
พอคนเขียนมารีไรท์ใหม่คนที่เคยอ่านยังไม่ค่อยรู้มั้ง
ต้องรอซักแป๊บ แล้วคนจะเยอะเหมือนครั้งแรก สู้ๆ  :กอด1:
ปล.เม้นท์ถี่คงไม่ว่ากันเพราะรักเรื่องนี้จริงๆ

หวังว่าจะเป็นอย่างนี้นะครับ

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #46 เมื่อ01-01-2012 13:29:10 »

น้องซนนนน > <

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #47 เมื่อ01-01-2012 13:40:08 »

เอามารีไรท์ใหม่ก็ยังหนุก น่าติดตามเหมือนเดิม

ออฟไลน์ Cc-kun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #48 เมื่อ01-01-2012 14:17:38 »

รอจุดเปลี่ยนค่ะ

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #49 เมื่อ02-01-2012 20:15:48 »

รอจุดเปลี่ยนค่ะ

รออีกไม่นานครับ ก็จะถึงจุดเปลี่ยนแล้ว
อย่าเป็นกำลังใจให้ซนอย่างเดียว เป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยเน้อ

ดีใจจังที่มีคนติดตามเรื่องนี้ด้วย
หวังว่าคนอ่านจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ นะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
« ตอบ #49 เมื่อ: 02-01-2012 20:15:48 »





ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #50 เมื่อ02-01-2012 21:04:04 »

รอๆๆๆๆครับ  รอให้ถึงตอนปะทะแรงๆ

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #51 เมื่อ02-01-2012 21:31:48 »

รออ่านตอนต่อจากก่อนรีไรท์อยู่นะจ๊ะ :impress2:เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนจ้า

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #52 เมื่อ03-01-2012 08:52:44 »

รอๆๆๆๆครับ  รอให้ถึงตอนปะทะแรงๆ

ถ้าเกิดถึงตอนนั้น อย่าบอกให้เบามือนะครับ เพราะเบามือกันไม่ได้แน่ อิอิ


รออ่านตอนต่อจากก่อนรีไรท์อยู่นะจ๊ะ :impress2:เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนจ้า

อ่านย้อนฆ่าเวลาไปก่อนครับ ตอนเก่าก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงนิดๆ หน่อยๆ นะ บางทีอาจส่งผลไปถึงตอนใหม่ก็ได้ครับ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจมกาๆ เลยครับ

รักคนอ่านจัง

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๔ ๓๐/๑๒/๒๕๕๔
«ตอบ #53 เมื่อ03-01-2012 21:11:01 »

ตอน๕ เพียงเพราะอำนาจ

อำนาจมันมีอะไรดี
ทำไมคนถึงอยากมีอำนาจมาครองจนต้องมาแย่งชิงกัน


“เรียบร้อยดีใช่ไหม” เสียงพ่อผมดังขึ้นในห้องโถงทำเอาเท้าผมที่เดินอยู่หยุดชะงัก
   
ผมย่องเบามาที่ผนังข้างประตูรูปโค้งเพื่อแอบฟังเรื่องที่พ่อพูดอยู่
ถ้าเป็นปกติผมอยากรู้ผมก็จะเข้าไปนั่งฟัง นั่งออกความคิดเห็นด้วย
แต่ครั้งนี้ก็ยังแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ต้องมาแอบฟังแทนที่จะเข้าไปนั่งฟังดีๆ
   
“ครับนายท่าน ผมส่งคนไปยุแยงพวกเหล่าก๊กน้อยๆ ของพวกมันแล้ว อีกไม่นานก็คงสำเร็จ”
   
“อืม ดีแล้ว มีอะไรคืบหน้าก็รีบมาบอก”
   
“ครับ นายท่าน”
   
“ซน มีอะไรหรือเปล่า เข้ามาหาพ่อสิ” ว่าแล้วเชียว ไม่สามารถรอดไปจากสายตาของพ่อได้
   
ผมเดินก้มหน้าเข้ามาหาพ่อ พ่อเรียกให้ไปนั่งบนโซฟาข้างๆ แล้วส่งสัญญาณทางสายตาให้ลูกน้องที่เข้ามารายงานเมื่อครู่ออกไป
   
ลูกน้องคนดังกล่าวโค้งหัวรับคำสั่ง แล้วหันมาก้มหัวทักทายผมเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไป
ผมรอให้ลูกน้องคนนั้นเดินพ้นไปจนลับตา แล้วไม่รอช้า เปิดประเด็นถามข้อสงสัยกับพ่อ
   
“พ่อส่งคนไปยุแยงใคร”
   
“ก็พวกเหล่าก๊กเล็กก๊กน้อยที่อยู่ใต้อำนาจของเทียนหลงไง ไอ้พวกเสี่ยเสริม ป๋าศักดิ์ อะไรพวกนี้”
   
“นี่พ่อจะหมายความว่า พ่อตั้งใจจะโค่นเทียนหลงเขาจริงๆ หรอ”
   
“ก็เออน่ะสิ ถ้าไม่หมายความว่าอย่างนั้น จะหมายถึงอะไรล่ะ
ลูกจำไว้นะ อะไรมันก็ไม่สำคัญเท่ากับความสามัคคีหรอก จะอยู่หรือไปก็ขึ้นอยู่กับความสามัคคีนี่แหละ
พวกพรรคเล็กพรรคน้อยพวกนั้นกำลังคิดแปรพรรคอยู่ ไม่มีใครอยากก้มหัวเคารพเด็กหรอก”
   
“พ่อก็เลยส่งคนไปยุแยงพวกนั้นเป็นการกระตุ้นให้แตกคอกับพรรคเทียนหลงงั้นหรอ”
   
“ใช่ เพียงเท่านี้แหละ เพียงแค่คำพูดของคน ต่อให้พรรคนั้นจะยิ่งใหญ่เพียงไหน
ถ้าเราสามารถเป่าหูให้พวกนั้นคิดทรยศกันได้ เราก็จะโค่นสมาคมนั้นได้อย่างง่ายดาย
โดยที่เราก็จะไม่ต้องสูญเสียกำลังคน”
   
“พ่อทำเพื่ออะไร” ผมรู้คำตอบในใจอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากพ่อชัดๆ อีกครั้ง
   
“ลูกรู้ไหม สมาคมเราเป็นรองแค่สมาคมเทียนหลงเท่านั้น ถ้าสมาคมเทียนหลงเหลือไว้แต่ชื่อ
ลูกน้องของมันก็จะเข้ามาขอพึ่งใบบุญเรา แล้วอย่างนี้ใครจะเป็นใหญ่ได้ ถ้าไม่ใช่เรา”
   
“และใครจะมีอำนาจมากที่สุด ถ้าไม่ใช่เรา ใช่ไหมพ่อ”
   
“ใช่ ถูกต้องที่สุด”
   
ไม่พ้นเรื่องอำนาจอีกตามเคย ผมไม่เข้าใจจริงๆ อำนาจมันมีอะไรดี ทำไมคนถึงอยากมีอำนาจมาครองจนต้องมาแย่งชิงกัน
อำนาจทำให้มีเงินทอง อำนาจทำให้จากผิดกลายเป็นถูก
อำนาจทำให้ไม่มีคนมาย่ำยี ไม่มีคนมาทำร้าย แต่กลับย่ำยี หรือทำร้ายใครก็ได้อย่างนั้นหรอ
   
แล้วถ้าเราไม่มีอำนาจมาครองล่ะ นั่นหมายถึงเราต้องจน ต้องเป็นคนผิด ต้องถูกย่ำยี และถูกทำร้ายอย่างนั้นหรอ
นี่หรือเหตุผลของการอยากมีอำนาจ
   
“อำนาจที่เรามีอยู่มันก็น่าจะพอแล้วนี่นา”
   
“ยัง ยังไม่พอหรอก”
   
“ยังไม่พอ หรือพ่อไม่รู้จักพอกันแน่ เอาล่ะ ถ้าพ่ออยากมีอำนาจขนาดนั้นผมก็ไม่ขัด
แต่พ่อกำลังประมาทไปอย่างหนึ่ง”
   
“อะไร” พ่อหันมาใช้สายตาคาดคั้นให้ผมรีบคายคำตอบออกมา
   
“ผมไม่รู้ว่าพ่ออยากมีอำนาจมากขนาดไหน รู้เพียงแต่ว่าความโลภของพ่อกำลังบังตาให้พ่อขาดสติ ทำให้พ่อประมาท
พ่อลองนึกดูดีๆ สิ”
   
“หมายความว่าไง”
   
“พ่ออย่าลืมสิ เทียนหลงมีนายทิวากรเป็นประธานสมาคมก็จริง
แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่าเทียนหลงจะมีแค่ประธานสมาคมที่อ่อนประสบการณ์สักหน่อย
ยังมีอาของเขาที่ชื่อชนินทร์ คุณชนินทร์ช่วยพ่อของนายทิวากรปกครองตั้งแต่ไหนแต่ไรจนมาถึงรุ่นลูก
เรื่องนี้พ่อก็น่าจะรู้ดี เล่ห์กลในวงการคุณชนินทร์ก็คงไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายของเขา หรือพ่อแม้แต่น้อย
มีหรือที่เขาจะอ่านเกมพ่อไม่ออก”
   
พ่อก้มหน้าลงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วค่อยเงยหน้ามาตอบ
   
“แล้วไง ไอ้ชนินทร์มันก็อยากขึ้นครองตำแหน่ง มันก็อยากให้ลูกมันได้สืบทอด
มีหรือที่มันจะช่วยไอ้ทิวากร หลานชายของมันปกครองสมาคม”
   
“เขาอยากครองตำแหน่งก็จริง แต่นั่นหมายถึงครองตำแหน่งประธานสมาคมเทียนหลง ไม่ใช่สมาคมอื่น
ถ้าพ่อโค่นเทียนหลง เท่ากับว่าสมาคมเขาหายไป แล้วเขาจะเอาที่ไหนปกครองล่ะพ่อ
ยังไงซะตอนนี้เขาก็ต้องช่วยหลานพยุงสมาคมเอาไว้ไม่ให้สมาคมล่มซะก่อน
แล้วจะไปแย่งชิงอำนาจกันเองก็ไว้ทีหลัง”
   
ปกติพ่อผมจะเป็นคนรอบคอบมากกว่านี้ น้อยนักที่จะทำอะไรพลาด
แต่ครั้งนี้เหมือนพ่อโลภมาก ขาดสติ ทำอะไรรีบร้อน ที่ต้องเร่งทำก็เพราะหมอนั่นยังเป็นเด็กอ่อนประสบการณ์ในด้านนี้
ความรู้เล่ห์กลก็อาจจะไม่ทันเพราะเขาแทบจะไม่เคยเอาตัวมายุ่งเกี่ยวกับวงการนี้เลย
   
“เอาน่า เชื่อพ่อ แกเป็นลูกไม่ต้องมาสอนพ่อหรอก พ่ออยู่วงการนี้มานานเท่าไหร่ รู้อะไรดีทุกอย่าง”
   
“ใช่ พ่ออยู่วงการนี้มานาน รู้ทุกอย่างดีหมด แต่ผมแค่เตือนว่าครั้งนี้พ่อพลาด
คอยดูเถอะ ความโลภของพ่อจะพาภัยเข้าสู่ตัวพ่อเอง”
   
“นี่แกแช่งพ่อหรอ ที่พ่อทำไปทุกอย่างก็เพื่อลูกนะ”
   
“ครั้งนี้พ่อทำเพื่อตัวเองต่างหาก เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ
ถ้าพ่อทำเพื่อผมจริง พ่อก็คงไม่ทำเรื่องแบบนี้ หรือถ้าจะทำ ก็น่าจะรอให้ฝ่ายนู้นเจนวงการนี้ซะก่อน
เราจะได้ดูมีศักดิ์ศรีขึ้นมาหน่อย”
   
“พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้ห่วงเรื่องศักดิ์ศรีหรอก แต่รู้กำลังสงสารมัน ลูกอยู่ฝ่ายไหนกันแน่เนี่ย”
   
“ใช่ ผมสงสารเขา ก็เพราะผมเป็นลูกพ่อ อยู่ฝ่ายพ่อนี่แหละ ผมเลยไม่อยากให้พ่อทำอะไรที่เสี่ยงแบบนี้”
   
“ทำเรื่องเสี่ยงๆ ก็มีแค่ได้กับเสีย”

“ใช่พ่อ มีแค่ได้หรือไม่ก็เสีย แต่ไม่มีทางที่จะมีค่าเท่าเดิม
ผมอยากให้พ่อตรองดูให้ดี เมื่อก่อนพ่อเป็นอย่างไร พ่อสอนให้ผมมีศักดิ์ศรี มีสติ ไม่บุ่มบ่าม ไม่โลภ
แต่ตอนนี้พ่อกำลังขาดสิ่งนั้นเพราะคำๆ เดียว นั่นก็คือ อำนาจ” ผมทิ้งท้ายด้วยประโยคยาวๆ เพื่อจะกระตุ้นให้พ่อได้คิดบ้าง
   
ผมเดินหนีขึ้นมาบนห้องท่ามกลางเสียงตะโกนตามหลัง
แต่ผมก็ไม่สนอะไร มุ่งหน้าเดินเข้ามาหมกตัวอยู่ในห้องอย่างเดียว เอนกายนอนลงบนเตียงใหญ่ที่แสนนุ่ม
   
ตอนนี้ผมควรจะรู้สึกอย่างไรดีนะ ดีใจกับมหาอำนาจยิ่งใหญ่ที่ผมกำลังได้ครอบครอง
สมเพชตัวเองที่ต้องเอาอำนาจนั้นมาด้วยวิธีที่ไร้ศักดิ์ศรี หรือต้องสงสารฝ่ายตรงข้ามที่กำลังจะถูกโค่นในไม่ช้า
หรือผมควรสะใจดี

~ก๊อก ก๊อก ก๊อก~
   
“ขอนมเข้าไปได้ไหมคะคุณหนู” เสียงแม่นมดังขึ้นทางประตูห้อง
   
“ครับ เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อค”
   
แม่นมเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่แววตาซ่อนความเป็นห่วง
ในมือถือแก้วทึบสีขาวทรงสูงที่บรรจุโกโก้ร้อนแล้ววางมันลงไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียงผม
แม่นมเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้โต๊ะทำการบ้านซึ่งไม่ห่างจากเตียงผมสักเท่าไร
   
“ดื่มโกโก้ร้อนก่อนสิคะ มันช่วยผ่อนคลายความเครียด”
   
“ซนไม่ได้เครียดอะไรสักหน่อย ซนแค่เหนื่อย อยากมานอนพัก”
   
“นมได้ยินเสียงคุณท่านกับคุณหนูเถียงกัน นมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ปล่อยให้ผู้ใหญ่ตัดสินไปเถอะ
ทุกๆ ครั้งที่คุณท่านตัดสินใจอะไรก็แทบไม่เคยพลาด เรื่องที่พลาดก็นิดๆ หน่อยๆ แก้ปัญหาได้ตลอด”
   
“แล้วถ้าเกิดเรื่องนี้พลาดขึ้นมาอีกล่ะ”
   
“เดี๋ยวคุณท่านก็แก้ได้เหมือนทุกครั้ง คุณหนูเชื่อใจคุณท่านหรือเปล่าล่ะคะ”
   
“เชื่อ แต่ว่านมลองคิดดูสิถ้าเกิด...” ผมพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ถูกแม่นมชิงตัดบทเสียก่อน
   
“ถ้ายิ่งคิดมันก็ยิ่งเครียด ยิ่งปวดหัว ยิ่งไม่สบายใจ ก็อย่าคิดมันเลยค่ะ ปล่อยวางมันไว้ที่ห้องโถงซะ
นมรู้ว่าคุณหนูเป็นห่วงคุณท่าน แล้วคุณท่านก็เป็นห่วงคุณหนูไม่แพ้กัน
เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่คุณท่านจะทำให้คุณหนูเดือดร้อน หรือไม่สบายใจแน่นอน”





“หน้ามุ่ยมาเกือบทั้งอาทิตย์แล้ว เป็นอะไรหรือเปล่าแก” เสียงพงษ์ถามผมในขณะที่ผมยืนรอรถเป็นเพื่อน

จะว่ายืนรอเป็นเพื่อนก็ไม่เชิงหรอก เพราะว่าวันนี้รถผมยังไม่มารับ ซึ่งผิดปกติจากทุกวัน
ผมกะไว้ว่าส่งพงษ์ขึ้นรถ แล้วค่อยโทรตาม แต่ปกติถ้ารถเสียหรือมีปัญหาก็น่าจะโทรมาบอกกันก่อน
หรือไม่ก็เอารถคันอื่นมารับแทน

“เปล่า แค่มีอะไรให้คิดเฉยๆ” ผมพยายามทำตามที่แม่นมบอกแล้ว แต่มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี

ในหัวผมมีแต่เรื่องนี้มาเกือบทั้งสัปดาห์
เรียนอะไรก็แทบไม่รู้เรื่อง เพื่อนชวนคุยก็ไม่สน จะเล่นอะไรก็รู้สึกว่ามันไม่สนุกซะทุกอย่าง
มีอาการเบื่อๆ มาตลอดสัปดาห์เลย

“เรื่องอะไร บอกได้ไหม”

“เรื่องไร้สาระน่ะ อย่าไปสนใจเลย” ผมเลือกที่จะไม่บอกพงษ์
เพราะเรื่องบางเรื่องคนเป็นเพื่อนกันก็ไม่ควรที่จะรู้ เรื่องนี้เป็นเรื่องลับในสมาคมของผม ผมก็ไม่ควรนำมาแพร่ให้ใครได้รู้
เพราะมันอาจจะไม่ได้รู้แค่คนๆ เดียว แต่อาจจะรู้ไปถึงหูของฝ่ายตรงข้ามก็ได้

“อดีตมันผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่ถึง ที่แกยืนอยู่เขาเรียกว่าปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นมาสนใจดีกว่าว่าเมื่อไหร่รถแกจะมา รถข้ามาแล้วเว้ย”

ผมมองตรงไปเห็นรถพงษ์กำลังแล่นมาจอด

“อื้ม แกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวรถข้าก็คงมา”

“เออ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” พงษ์โบกมือลา แล้วก้าวเท้าเดินขึ้นรถไป

ผมรอให้รถพงษ์แล่นออกไป แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะโทรถามคนขับรถ
แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดโทรออก ก็เห็นรถลีมูซีนสีดำมาจอดอยู่ตรงหน้าผม ป้ายทะเบียนนี้ผมคุ้นๆ แต่ไม่ใช่รถที่บ้านผมแน่
เพราะลีมูซีนที่เที่ยววิ่งรับพ่อผมอีกยี่ห้อหนึ่ง แล้วนี่รถของใคร

ผมพยายามถอยหลังให้ห่างจากรถคันนั้นด้วยความไม่ไว้ใจและเผื่อผมจะไปยืนขวางทางคนขึ้นรถ
แต่มองดูแล้วก็ไม่มีใครมาขึ้นรถคันนี้เลย จะเป็นรถพี่ไต้ฝุ่นก็คงไม่ใช่
เพราะผมเห็นเขาขึ้นรถกลับไปแล้ว

“เชิญขึ้นรถครับ” ชายชุดดำที่ออกมาจากประตูข้างคนขับเดินมาหาผม

“มะ...ไม่อ่ะ” ผมสั่นหัวปฏิเสธ อย่างไรมันก็ไม่ใช่รถบ้านผม หรือจะเป็นคันใหม่ก็คงไม่ใช่ เพราะนี่ไม่ได้ป้ายแดงสักหน่อย

ผมพยายามตั้งสติแล้วกดโทรศัพท์จะโทรไปหาคนที่บ้าน
นี่มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ มีใครเล่นตลกอยู่
ผมเป็นลูกเจ้าพ่อในวงการมืดนี้มา ผมก็พอจะรู้จักกับคำว่า ‘ลักพาตัว’
แม้ว่าผมไม่เคยจะถูกลักพาตัวก็ตาม แต่ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะโดนอย่างนั้น

ผมไม่ทันจะได้กดโทรออก โทรศัพท์มือถือก็ถูกชายคนเดิมแย่งไปจากมือ
ยิ่งตอนนี้คนในโรงเรียนเริ่มบางตา ทั้งครู อาจารย์ ภารโรง รวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
นี่ผมกำลังซวยใช่ไหม

ผมไม่เสียเวลาอ้าปากถามไอ้คนนั้นที่แย่งโทรศัพท์ผมไป
มือถือเครื่องเดียวซื้อใหม่ได้ แต่ชีวิตทั้งชีวิตหาใหม่ไม่ได้
ผมรีบวิ่งออกมาโบกรถแท็กซี่ที่กำลังขับผ่านอย่างรีบร้อน

อย่าลนสิวะไอ้ซน ตั้งสติไว้ แท็กซี่กำลังจะจอดแล้ว แกกำลังจะรอดแล้วไอ้ซน   

“ไม่ไปแล้วครับ” ชายท้วมคนเดิมเปิดประตูรถแล้วบอกกับคนขับ

ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองยืนเอ๋ออยู่นาน รีบวิ่งหนีไปในจังหวะที่เขาเปิดประตูไปบอกนี่แหละ
วิ่งไปสุดฝีเท้าแรงม้า แรงคน หรือแรงควายเท่าที่มีเลยก็ว่าได้

สิ่งใดที่ขวางทางผมอยู่ ไม่ว่าสิ่งของ หรือจะเป็นคน ผมก็ขอชนแหลก เหงื่อผมไหลเป็นเม็ด ทั้งเหนื่อย ทั้งกลัว
ใจผมเต้นผิดจังหวะ นี่ผมกำลังเจอกับอะไรอยู่ สายตามองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวช่วย
แต่กลับไม่มีเลย ผู้คนที่ผ่านไปมาก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลยสักคน

แต่วิ่งอย่างไรผมก็วิ่งไม่พ้นคนท้วมที่ตามมา แม้ว่าทางสรีระร่างกายผมจะได้เปรียบเขาอยู่มาก
เพราะเขาทั้งท้วม ทั้งตัวใหญ่ ใครจะคิดว่าเขาสามารถวิ่งตามผมมาได้ทัน
หรือว่าขาผมสั้นเกินไปก็ไม่รู้

“ปล่อยนะ ปล่อย ใครก็ได้ช่วยด้วย ปล่อยโว้ย” ผมพยายามร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
คนนั้นเขาเอาแขนล็อคคอผมจากด้านหลัง แล้วลากมายังที่รถ

มีหลายสายตาที่มองมา แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยแม้แต่คนเดียว ไ
อ้บ้าเอ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นนี่ ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุด

เขาลากผมมาถึงรถอย่างง่ายดาย ประตูยาวถูกเปิดออก
เห็นบุคคลในชุดนักศึกษาชายที่นั่งอยู่ในรถเล่นทำเอาผมตกใจจนแทบจะทรุดไปกองอยู่กับพื้น

“นายเทียน”

กำลังเกิดอะไรขึ้น นายเทียนโผล่มาเอาตัวผมไป ในขณะที่พ่อผมกำลังโจมตีฝ่ายเขาอยู่
หรือว่าเกมนี้กำลังกลับเป็นตาลปัตร
คนที่กำลังโดนเล่นงานไม่ใช่ฝ่ายเขา แต่กลับเป็นฝ่ายผม

“ขึ้นรถ” เสียงคนที่ลากคอผมอยู่ออกคำสั่ง

“ไม่ ปล่อยนะ ไม่ไปไหนทั้งนั้นโว้ย ปล่อย”

เขาไม่ปล่อยให้ผมโวยวายนาน เพราะจะยิ่งกลายเป็นจุดสนใจของคนเข้าไปใหญ่
เขาผลักผมให้ขึ้นมาบนรถจนหน้าแทบจะคว่ำ แล้วเขาก็ขึ้นนั่งประกบตัวผม

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างชายชุดดำที่ลากตัวผมมา กับนายเทียนนายใหญ่ของพวกเขา
นั่งตรงนี้เสียเปรียบชัดๆ ถูกประกบข้างไม่ให้ทำอะไรได้

ไม่ว่าจะน่ากลัวแค่ไหน แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ ไม่สิ ต้องสู้กับมังกร

“จะพาไปไหน” ผมเอ่ยคำถามสั้นๆ

“สมาคมมังกรสวรรค์” ไอ้ร่างยักษ์คนเดิมตอบ

“ไม่ ฉันไม่ไป พาฉันไปส่งที่บ้านเดี๋ยวนี้”

“ตอนนี้คุณถูกควบคุมตัวอยู่ คุณไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น” ไอ้ลูกสมุนปากดี อ้วนก็อ้วนยังจะมานั่งเบียดผมอีก

ผมนั่งเงียบพยายามใช้ความคิด เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล
แต่ผมเล่นกลไม่เป็น ก็ต้องกลับมาใช้เล่ห์เหมือนเดิม
รถวิ่งด้วยความเร็วสูง แต่ถนนโล่ง คงไม่ถึงขั้นตาย อย่างมากก็แค่พิการ แขนหัก ขาหัก หรือหัวจะขาดก็ไม่รู้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา ล้วนมีวันดับสูญ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ผู้ที่ชนะทุกอย่าง ยกเว้นความตาย
อย่างไรซะคนเราก็ต้องตายเหมือนกัน
แต่สำหรับผม ผมขอเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือตัวเองดีกว่าตายด้วยน้ำมือศัตรูให้ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี

“เฮ้ย พ่อมาช่วยแล้ว” ผมชี้นิ้วไปนอกรถด้วยความดีใจ

ชายร่างท้วมที่นั่งเบียดผมหันไปด้วยความตกใจ
ผมใช้จังหวะนี้เอาสันมือฟาดไปที่คอเขาแรงๆ เล่นให้ลูกกระเดือกยุบเลย
แล้วรีบเปิดประตูรถออกหวังจะกระโดดลง
ตายเป็นตาย!

“หยุด แล้วปิดประตูซะ” เสียงทุ้มของคนที่ผมเคยปะทะฝีปากดังขึ้น

ผมรู้สึกถึงโลหะกลมๆ มาจ่อที่หัว ผมเคยจับ เคยฝึก แต่ไม่เคยโดนใครเอามาปืนมาจ่อหัวแบบนี้
แต่คิดหรอว่าผมจะกลัว ในเมื่อผมตัดสินใจจะกระโดดผมก็จะกระโดด
เป็นตายเท่ากันกับที่อยู่ให้เขาเอาปืนจ่อหัวอย่างนี้

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัว ลูกน้องเขาก็ปิดประตูเสียแล้ว
เขาผลักผมให้นั่งลงเหมือนเดิม นายเทียนก็ยังคงถือปืนจ่อที่หัวผมไว้ ถ้ารถเบรกแล้วมันลั่นขึ้นมานะ
ผมตายแน่

“จะไปไหน” คำถามสั้นๆ ออกจากปากนายเทียน

“กลับบ้าน ฉันจะกลับบ้าน นายไม่มีสิทธิ์กักตัวฉัน แล้วเอาฉันไปไหนมาไหนตามใจชอบได้นะ”

“จะเรียกร้องหาสิทธิ์อะไรอีก”

“ก็สิทธิ์ที่ฉันควรมีไง สิทธิ์ในความเป็นคนของฉัน ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่นายจะสามารถกักขังหรือพาเอาไปไหนก็ได้”

“หึ นายไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหรอก แต่ถ้าเป็นสัตว์ป่าล่ะไม่แน่”

“นายมันก็แค่เจ้าพ่อมือใหม่ คงไม่มีใครสั่งสอนล่ะสิว่าเจ้าพ่อกับโจรมันต่างกัน นายเลยเลือกใช้วิธีอย่างโจร”

“โจรหรอ ถ้างั้นพ่อนายก็ยังคงเป็นมือใหม่อยู่ล่ะสิ ถึงได้ใช้วิธีอย่างโจรเหมือนกัน”

ผมนิ่งเงียบกับคำพูดของเขาเพราะผมรู้ดีว่าพ่อกำลังทำอะไรลงไป ผมเลยเถียงไม่ออกและไม่มีอะไรจะเถียง
นายเทียนรู้ เขารู้แล้วว่าพ่อผมกำลังเล่นงานเขาอยู่ แล้วเขาก็กำลังจะเล่นงานผมกลับเหมือนกัน
แต่ที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่ตัวผมแล้ว ยังมีพ่อสมาคม ธุรกิจ รวมถึงคนในบ้านอย่างแม่นมที่น่าเป็นห่วง

“พาฉันกลับบ้านได้ไหม”

“ไม่” เสียงเฉียบขาดของคนที่เอาปืนจ่อหัว

ผมหันไปมองหน้าเขา สบกับสายตาคมคู่นั้นอย่างไม่เกรงกลัว
สายตาคู่นี้ไม่เหมือนกับคู่ที่ผมเห็นเมื่อวันนั้น สายตาคู่นี้มีแต่แววตาแห่งความโกรธแค้น พร้อมที่จะเอาคืนได้ทุกเมื่อ

“ถ้าคิดจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่ไร้น้ำใจและความเมตตาอย่างนี้ ใครเขาจะอยากมาเคารพและภักดี”

“หุบปากแล้วนั่งเงียบๆ ซะ”

“ฉันไม่เงียบ จนกว่านายจะพาฉันกลับบ้าน”

“ถ้ายังพูดอีกแม้แต่คำเดียว ฉันยิงหัวนายให้กระจุยแน่” เขาขู่ผม
แต่อย่าคิดว่าผมจะกลัวจนต้องร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิตจากเขานะ
ผมก็มีศักดิ์ศรีอยู่พอตัว

“ยิงสิ ยิงเลย ถ้านายไม่พาฉันกลับบ้านนายก็ยิงเลย ไอ้เจ้าพ่อไร้คุณธรรม”
   
ผมหลับตาปี๋เมื่อได้ยินเสียงเขาเหนี่ยวไกปืน
ไม่น่าท้าทายเขาเลย ตายแน่ ไอ้ซน ปากดีนัก ไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า ปลาหมอตายเพราะปากหรือไง
แกกำลังเป็นปลาหมอที่กำลังจะตายเพราะปากของแกเอง
ไม่ได้ถูกเบ็ดเกี่ยวปากด้วย แต่กำลังจะถูกลูกปืนเป่าสมอง
   
~แกร๊ก~
   
เสียงเขาลั่นไก เสียงแปลกๆ แบบนี้
เขาหลอกผม!
ปืนนั่นไม่มีกระสุน ผมเสียค่าโง่ให้เขาจนได้ รู้อย่างนี้กระโดดหนีลงไปตั้งแต่แรกก็คงจะดี
   
“ใจกล้ากว่าที่ฉันคิดไว้เยอะนี่”
   
“กล้ากว่านี้ฉันก็เคย” แต่หัวใจนี่หล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มตั้งแต่เขาเหนี่ยวไกแล้วแหละ

“หึ แน่ใจหรือเปล่าล่ะว่าจะกลับไปที่บ้านก่อน” เขายิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

“นายทำอะไรไว้”

เขาไม่ตอบแล้วนั่งนิ่งเงียบไป ผมมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง ในใจก็นึกถึงแต่ที่บ้าน
รถวิ่งเปลี่ยนเส้นทางไปที่บ้านผมแทน ผมได้ยินคนขับโทรศัพท์พูดกับปลายสายด้วยเสียงที่เบามากจนผมฟังไม่รู้เรื่อง
ผมนั่งด้วยท่าทีที่กระสับกระส่าย อยากให้รถขับเร็วกว่านี้ อยากกลับไปถึงบ้านไวๆ
คนบ้าที่นั่งข้างๆ ผมมันต้องทำอะไรไว้แน่
ผมรู้สึกใจเสียกับลางสังหรณ์ของตัวเองแล้วสิ

รถคันที่ผมนั่งขับมาถึงที่บ้าน บ้านผมก็จริงแต่มันไม่เหมือนเดิม
มีชายฉกรรจ์ในชุดดำที่ผมไม่คุ้นหน้ายืนตามจุดต่างๆ
ผมหันหน้าไปทางนายเทียนด้วยความสงสัย แต่เขาก็ได้แต่ทำหน้านิ่งไม่ตอบอะไร

รถจอดสนิทที่ประตูบ้าน ผมลงจากรถด้วยการคุมตัวของชายร่างท้วมที่ลากผมมา
ที่บ้านเงียบสงัด เหมือนไม่มีใครอยู่
ปกติแม่นมต้องออกมายืนรอรับผม แล้วนี่แม่นมหายไปไหน

“ทำไมเป็นแบบนี้” ผมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กลัวว่าความจริงจะเป็นอย่างที่ผมคิด

นายเทียนไม่ตอบ เขาได้แต่แสยะยิ้มออกมาจนผมอยากจะเข้าไปต่อยหน้าเขาจริงๆ
เขากำลังเล่นบ้าอะไรกับบ้านผมอยู่นะ

นายเทียนเดินนำผมไปที่ห้องโถง ห้องที่ผมกับพ่อเถียงกันเมื่อวันก่อนนั้น
ส่วนผมก็ถูกลูกน้องคนเดิมเดินคุมตัวอยู่ไม่ทิ้งระยะห่างจากนายเทียนสักเท่าไร
ผมเดินไปด้วยใจที่สั่นจนแทบจะดิ้นหลุดออกมาจากหน้าอกอยู่แล้ว
เดินผ่านผนังที่ผมเคยแอบฟังพ่อคุยกับลูกน้องเพราะมันปราศจากผู้คน
แต่วันนี้มีบุคคลชุดดำประปรายยืนอยู่บริเวณนั้น ที่เอวเหน็บกระบอกปืนไว้กับกางเกง
ผมผ่านพ้นผนังกั้นนั้นไป ก็เห็น...

“พ่อ!”




   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2012 09:12:13 โดย แสนเสน่หา »

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๕ ๐๓/๐๑/๒๕๕๕
«ตอบ #54 เมื่อ03-01-2012 22:18:13 »

เข้ามา +1 เป็นกำลังใจให้นะคะ
จะได้ทันที่เคยลงไว้เนาะะะ
อยากอ่านแล้วอ่ะ ,, อันนี้ถือว่าทบทวน อ่านอีกกี่รอบก็ได้

><

ออฟไลน์ BaII

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๕ ๐๓/๐๑/๒๕๕๕
«ตอบ #55 เมื่อ03-01-2012 22:30:12 »

มาต่อให้จบนะคับ คนแต่ง ตอนแรกไม่อยากเข้ามาอ่านเพราะว่ากลัวไม่ต่อให้จบแบบคราวที่แล้ว
แต่ก็ขอเข้ามาอ่านอีกรอบแล้วกัน ให้กำลังใจคนเขียนด้วย สู้ๆนะคับ ปล. คิดถึงน้องซนนะ คุณพี่เทียนด้วย ห้าๆ

Pairwha

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๕ ๐๓/๐๑/๒๕๕๕
«ตอบ #56 เมื่อ03-01-2012 22:39:20 »

วอทสแฮปเพนเฮียร์  :m28:
ปูเสื่อรอตอนต่อไป
 :กอด1: นักเขียน

แสนเสน่หา

  • บุคคลทั่วไป
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๕ ๐๓/๐๑/๒๕๕๕
«ตอบ #57 เมื่อ04-01-2012 09:17:12 »

เข้ามา +1 เป็นกำลังใจให้นะคะ
จะได้ทันที่เคยลงไว้เนาะะะ
อยากอ่านแล้วอ่ะ ,, อันนี้ถือว่าทบทวน อ่านอีกกี่รอบก็ได้

><

ครับ อยากลงต่อให้ทันตอนนั้นเร็วๆ เหมือนกัน
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนะ


มาต่อให้จบนะคับ คนแต่ง ตอนแรกไม่อยากเข้ามาอ่านเพราะว่ากลัวไม่ต่อให้จบแบบคราวที่แล้ว
แต่ก็ขอเข้ามาอ่านอีกรอบแล้วกัน ให้กำลังใจคนเขียนด้วย สู้ๆนะคับ ปล. คิดถึงน้องซนนะ คุณพี่เทียนด้วย ห้าๆ

ครั้งนี้จบแน่นอน ถ้าไม่ติดขัดอะไรเสียก่อนนะครับ เช่น ไม่มีใครเข้ามาอ่านหรือเม้นสักคน(แต่ถ้ามีอย่างน้อยสอง สามคน ก็ยินดีที่จะอัพต่อให้)
ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วยนะครับ


วอทสแฮปเพนเฮียร์  :m28:
ปูเสื่อรอตอนต่อไป
 :กอด1: นักเขียน

อะไรจะเกิด ก็คงต้องติดตามต่อไปครับ
บอกใบ้ให้ว่า นับจากนี้ พระเอกกับนายเอก จะออกมาคู่กันเยอะขึ้นแล้ว
 :กอด1: คนอ่านด้วย

รักคนอ่าน คนเม้น ทุกคนนะ

ออฟไลน์ anuruk97

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-4
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๕ ๐๓/๐๑/๒๕๕๕
«ตอบ #58 เมื่อ04-01-2012 11:18:52 »

จะทันตอนเก่าแล้ว....++++ :sad4:

ออฟไลน์ coraline

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: เชลยเจ้าพ่อ {Yaoi} ตอน๕ ๐๓/๐๑/๒๕๕๕
«ตอบ #59 เมื่อ05-01-2012 08:03:14 »

ดีใจนะพี่กลับมา..จะรอเสมอจ๊ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด