All I want # 15
“ว่ายังไงนะ?”
“ฉันบอกว่าโอโนเสะซังรับเด็กคนนั้นไปเป็นลูกบุญธรรมแล้ว”
ดวงตาคมเบิกกว้าง ยกมือขึ้นเสยเรือนผมสีทองของตนอย่างรู้สึกสับสน วายะไม่อยากจะเชื่อคำพูดนั้น บางทีคิริฮาระอาจจะแกล้งอำเขาเล่นก็ได้ แต่อีกใจก็รู้ดีว่านายแบบหนุ่มไม่มีวันล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้
เป็นลูกบุญธรรมตระกูลโอโนเสะ...นั่นหมายความว่าโทโมกิจะอยู่สูงเกินกว่าเขาจะเอื้อมคว้าได้ไปตลอดกาล
ถ้วยกาแฟใบสวยที่มีควันกรุ่นลอยออกมาถูกวางลงตรงหน้าพร้อมกับเสียงนุ่ม ๆ
“ดื่มให้ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะครับ วายะซัง” เป็นนัตสึเมะที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ
วายะพยักหน้ารับรู้แต่ไม่มีทีท่าว่าจะรับถ้วยไปดื่ม สองมือกุมขมับ ว้าวุ่นใจเสียจนไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับความรู้สึกของตนดี
คิริฮาระได้แต่มองอาการแบบนั้นของโฮสต์หนุ่มแล้วก็ถอนใจ นี่เป็นข่าววงในที่ไม่มีใครรู้นอกไปจากคนในตระกูลโอโนเสะ ซึ่งเขาเองก็รู้มาจากโอโนเสะ ทาคายะที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาและเป็นน้องชายของท่านประธานแห่งลูนาติก ลัสท์อีกที
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าพี่เขาคิดอะไร มันออกจะกะทันหันเอาเรื่อง พี่สะใภ้ก็เก่งเหลือเกิน ท่าทางจะยอมรับได้ง่าย ๆ เลยละ”
นั่นคือคำบอกเล่าของทาคายะ ซึ่งคิริฮาระเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่ออกมาจากปากของคนในตระกูลเองก็แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องโกหก
โอโนเสะ ฮิซาโนบุมีลูกชายแล้วสามคน คนโตได้รับบริษัทลูกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของลูนาติก ลัสท์ไปบริหารดูแล คนรองกำลังเป็นเลขา ฯ ของประธานบริษัทเครือเดียวกัน ส่วนคนเล็กกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยและไม่ได้มีท่าทีว่าจะจับงานด้านนี้ต่อ
ถ้าให้มองจากภายนอก ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเด็กที่โอโนเสะรับไปเป็นลูกบุญธรรมจะต้องเกี่ยวข้องกับโอโนเสะไม่ทางใดทางหนึ่งเป็นแน่ เรื่องลูกนอกกฎหมายของนักธุรกิจระดับนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพียงแต่...นั่นมันดีกับโอโนเสะและโทโมกิแล้วจริงหรือ
ในที่สุดวายะก็เงยหน้าขึ้นและเอื้อมมือไปหยิบกาแฟที่นัตสึเมะชงให้มาจิบ ก่อนจะถอนใจยาวราวกับจะระบายความอัดอั้นในใจออกไป
“ทีนี้...นายคงตัดใจได้แล้วสินะ” คิริฮาระเอ่ยขึ้นเบา ๆ
หากโฮสต์หนุ่มส่ายหน้า “ไม่หรอก ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ในเมื่อฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้”
หากไม่รู้ว่าโทโมกิอยู่ที่ไหน เขาก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ร้อนรน ไม่คิดจะออกตามหาหรือดิ้นรนจะไปเจอหน้า เขาคงแค่ทำใจว่าโทโมกิคงจะมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้...โดยที่มีตราประทับของเขาติดตัวไปตลอดกาล แต่นี่เขารู้แล้วว่าโทโมกิอยู่ที่ไหน และมันไม่ได้ไกลจากตัวเขาเลย แค่ขึ้นลิฟท์ด้านหลังไปก็มีโอกาสจะได้พบ...แล้วเขาจะหักห้ามใจตัวเองได้อย่างไร
“วายะซังครับ ผมคิดว่าบางทีแบบนี้มันอาจจะดีกว่า” เป็นนัตสึเมะที่ทำลายความเงียบขึ้น
“ดีกว่ายังไง?” โฮสต์หนุ่มขมวดคิ้ว
“ดีที่จะตัดใจครับ” มาสเตอร์หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังอย่างที่นาน ๆ จะได้เห็นสักครั้ง “ตระกูลโอโนเสะเป็นตระกูลใหญ่ และถ้าจะพูดกันตรง ๆ คือมันอยู่คนละโลกกับเราโดยสิ้นเชิง คนอย่างพวกเราไม่มีวันจะได้เหยียบย่างเข้าไปในโลกของพวกเขาเหล่านั้น”
“แต่เวลามีงานมันก็มีโอกาสได้เจอนี่” วายะเถียง เขาเคยได้เจอพวกลูกชายของโอโนเสะหลายครั้ง จนได้พูดคุยกันเสียด้วยซ้ำ
“ผมไม่คิดว่าโอโนเสะซังจะให้เด็กคนนั้นออกงานนักหรอกนะครับ”
“ทำไม?”
“อย่างแรกคือเขายังเด็กมาก โดยทั่ว ๆ ไปยังไม่อยู่ในช่วงวัยที่ควรจะได้รู้และสนใจเรื่องธุรกิจประจำตระกูลด้วยซ้ำ อย่างที่สองคือการเป็นลูกบุญธรรมน่ะ...มันตีความไปได้หลายอย่างนะครับ บางทีมันก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงและหน้าตาของวงศ์ตระกูลโดยตรงด้วย” นัตสึเมะอธิบาย
วายะนิ่งคิดแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “แต่ถ้าเกิดวันนึงได้ไปเจอกันที่งานเข้าล่ะ จะทำยังไง?”
“กว่าจะถึงตอนนั้นยังอีกหลายปีครับ บางทีวายะซังอาจจะไม่ได้เป็นโฮสต์หรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับลูนาติก ลัสท์แล้วก็ได้ เรื่องจะได้เจอกันก็เป็นอันจบ หรือถ้ายังอยู่และได้ไปเจอกันจริง ๆ...ถึงตอนนั้นถ้ายังต้องการเขาอยู่ จะลองดูอีกสักทีก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”
น่าแปลกที่คำพูดของนัตสึเมะทำให้วายะใจเย็นลงได้อย่างประหลาด
“ตอนนี้ก็คิดเสียว่าเด็กคนนั้นได้ตายจากคุณและไปอยู่ในโลกอื่นแล้วก็แล้วกันนะครับ” ผู้เป็นเจ้าของร้านพูดแล้วก็พยักเพยิดไปทางกาแฟที่ชายหนุ่มถืออยู่ในมือ “เดี๋ยวจะเย็นซะหมดนะครับ กาแฟชืด ๆ มันไม่อร่อยหรอก”
วายะพยักหน้าแล้วดื่มกาแฟอีก ก่อนจะสังเกตว่ารสชาติแปลกไปกว่าที่เคยดื่ม “ทำไมวันนี้กาแฟมันนุ่ม ๆ กว่าปกติล่ะ มาสเตอร์?”
“เห็นดูเครียด ๆ ก็เลยชงอะไรนุ่ม ๆ ให้หน่อยน่ะครับ ก็กาแฟปกติที่วายะซังเคยดื่มนั่นแหละ แต่เติมโกโก้ลงไปเพิ่มให้มันเป็นมอคค่าน่ะครับ”
“อะไรกัน ทำไมฉันได้ดื่มแต่เอสเปรสโซล่ะ ทีวายะยังได้ดื่มกาแฟแปลก ๆ เลย” คิริฮาระโวยขึ้น
“คนเริ่มดื่มกาแฟจากเอสเปรสโซก็ดื่มเอสเปรสโซต่อไปเถอะ กาแฟอย่างอื่นมันไม่อร่อยหรอก” นัตสึเมะยักไหล่
“นี่นายพูดแบบนี้มาสี่ปีแล้วนะ”
“แล้วจะพูดต่อไปด้วย”
วายะนั่งฟังเพื่อนรักคนละขั้วต่อล้อต่อเถียงกันไปพลางก็คิดถึงคำพูดของนัตสึเมะ...เขากับโทโมกิอยู่กันคนละโลก มันก็จริง ถึงเขาจะทำงานให้ลูนาติก ลัสท์และโอโนเสะ แต่เขาไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตระกูลโอโนเสะเลย รู้แต่ว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีธุรกิจมากมายในมือ ซึ่งเขารู้จักแต่ธุรกิจสกปรกอย่างโฮสต์คลับหรือธุรกิจผิดกฎหมายเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้รู้อะไรอีก เขาเป็นเพียงแค่ลูกจ้างคนหนึ่งในจำนวนหลายพันคนของโอโนเสะที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดนายใหญ่เป็นพิเศษบ้างเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะตำแหน่งโฮสต์อันดับหนึ่งเขาคงไม่มีวันได้เผยอหน้าเข้าไปในสังคมของโอโนเสะเป็นแน่ แม้ตอนนี้ก็เถอะ โลกของโอโนเสะอยู่เกินความเข้าใจของเขา ที่นัตสึเมะพูดมาเรื่องลูกบุญธรรมนั่น เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกี่ยวพันไปถึงชื่อเสียงหน้าตาของตระกูล
โทโมกิตายไปแล้ว...ตายจากโลกของเขาและไปอยู่ในโลกใหม่ที่เขาไม่รู้จักแล้ว
หากไม่ได้พบกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สักวันความสับสนเร่าร้อนในใจก็คงจะบรรเทาลงได้ เหมือนที่มันเคยสงบมาได้หลายเดือนก่อนหน้านี้ สุดท้ายมันอาจจะกลายเป็นความทรงจำที่เขาจะเก็บกอดไปตลอดชีวิต ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยต้องการใครคนหนึ่งมากมายเพียงไหน...เหมือนกับที่ความทรงจำที่มีต่อใครอีกคนยังคงตกตะกอนอยู่ในหัวใจของเขา
...
โทโมกินั่งอยู่ที่ขอบหน้าต่างห้องนอนพลางทอดสายตาออกไปยังสวนญี่ปุ่นที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์ปลายฤดูร้อน ฟูกนอนปูเอาไว้กลางห้องกว้างขนาดสิบเสื่อที่ตกแต่งเรียบง่าย มีเพียงโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มุมด้านหนึ่งของห้อง ชั้นวางของที่มีทั้งโทรทัศน์และเครื่องเสียง กับตู้เสื้อผ้าและราวแขวนผ้า บรรยากาศสมกับเป็นห้องญี่ปุ่นในเรือนแบบญี่ปุ่นจริง ๆ
แต่ทั้งที่ห้องก็กว้างขวาง แต่โทโมกิกลับรู้สึกอึดอัด เขาไม่เคยอยู่ในห้องแบบนี้มาก่อน ที่แมนชั่นของพ่อกับแม่นั้นเป็นสไตล์ตะวันตก เครื่องเรือนทั้งหมดก็เป็นแบบตะวันตก ถ้าไม่นับการไปเข้าค่ายทัศนศึกษาตอนเด็ก ๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้นอนฟูกปูพื้น แต่แม้จะนอนมาเป็นอาทิตย์แล้วก็ยังไม่ชิน เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจว่าถ้ายังไม่ง่วงจริง ๆ เขาจะยังไม่นอน เพราะนอนไปก็ได้แต่พลิกตัวไปมาไม่ยอมหลับอยู่ดี
เสียงประตูกระดาษเปิดครืดดึงให้โทโมกิหันมามอง พอเห็นผู้มาเยือนก็รีบกระเด้งลงมาจากขอบหน้าต่างเหมือนโดนเข็มแทง แต่นั่นก็ไม่เร็วไปกว่าสายตาคมกริบที่จ้องมองมา
“ไปนั่งอยู่ตรงนั้นอีกแล้วเหรอคะ โทโมกิซัง บอกกี่ครั้งแล้วคะว่ามันอันตราย ห้ามขึ้นไปนั่งอีก” เสียงเข้มงวดเต็มไปด้วยแววตำหนิ
“ขะ...ขอโทษครับ นายแม่” โทโมกิลงมานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนเสื่อทาทามิ
“แล้วทำไมถึงยังไม่นอนคะ ดึกป่านนี้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เดี๋ยวก็ไม่มีแรงหรอกค่ะ แล้วดูสิ เปิดมุ้งลวดทิ้งไว้ยุงก็เข้ากันหมดพอดี” ว่าพลางเธอก็เดินมาดึงมุ้งลวดหน้าต่างปิด
โทโมกิขยับตัวอย่างอึดอัด เธอคนนี้คือโอโนเสะ ยูคาริ ภรรยาคู่บุญของโอโนเสะ ฮิซาโนบุ นายแม่ผู้ควบคุมดูแลจัดการงานทุกอย่าง รวมไปถึงทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนใหญ่ของตระกูลโอโนเสะนี้ด้วย แม้จะมีหัวหน้าแม่บ้านคอยช่วยดูแลบรรดาคนรับใช้แล้ว แต่ยูคาริก็รับหน้าที่ดูแลโทโมกิด้วยตัวเอง เธอมีหน้าที่อบรมและฝึกฝนเขาในฐานะคนของตระกูลโอโนเสะคนหนึ่ง เหมือนกับที่เคยทำให้ลูกชายทั้งสามคน
“เอาละค่ะ ทีนี้ก็นอนได้แล้ว ราตรีสวัสดิ์ โทโมกิซัง” เธอก้มหัวให้น้อย ๆ
“ระ...ราตรีสวัสดิ์ครับ นายแม่” โทโมกิรีบโค้งตอบทั้งที่ยังนั่งอยู่อย่างนั้น
ยูคาริปิดไฟแล้วออกจากห้องไป โทโมกิจึงได้ถอนใจยาว...ไม่ชินจริง ๆ...ยังไงก็ไม่ชินอยู่ดีนั่นแหละ แต่นี่เป็นทางที่เขาเลือกเอง เพราะงั้นไม่ว่าจะเป็นยังไงเขาก็จะต้องเดินต่อไป
จากวันนั้นที่โทโมกิพาร่างอันสะบักสะบอมไปหาโอโนเสะ เวลาได้ผ่านมาร่วมสองเดือนแล้ว ด้วยคำพูดคำนั้นของเด็กหนุ่มทำให้โอโนเสะต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับเด็กสักคนมาเป็นลูกบุญธรรม แต่เมื่อดูจากสภาพครอบครัวและสถานการณ์แล้ว โอโนเสะก็ไม่คิดว่ามันจะยากเกินไปนัก
ในคืนนั้นเขาให้โทโมกินอนพักที่ห้องพักส่วนตัวที่อยู่ติดกับห้องทำงาน อาการของโทโมกิไม่ค่อยดีนัก ทางด้านร่างกายยังไม่เท่าไร แต่ทางด้านจิตใจนับว่าแย่ทีเดียว เด็กหนุ่มเหม่อลอยและพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องใช้เวลาพักใหญ่จึงจะกล่อมให้หลับไปได้
“เอายังไงดีครับ คุณน้า?” ยามานากะถามขึ้นเมื่อโอโนเสะออกมาจากห้องพัก สรรพนามที่ใช้เรียกแปลกไปกว่าเคย บอกให้รู้ถึงจุดมุ่งหมายของการพูดคุยว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัวที่จะคุยกันฉันญาติ
โอโนเสะเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน “นั่นสินะ”
ยามานากะถอนใจเบา ๆ “ที่จริง...ผมเคยคิดจะบอกคุณน้าอยู่เหมือนกัน แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับครอบครัวของคุณน้าด้วย ผมก็เลยไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ดูจากอะไรหลาย ๆ อย่างแล้ว ทั้งตัวเด็กคนนั้นเอง แล้วก็สิ่งที่คุณน้าทำลงไป...ผมว่านี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้นะครับ”
“หมายความว่าจะให้ฉันรับเด็กคนนั้นมาเป็นลูกงั้นเรอะ?” โอโนเสะช้อนตาขึ้นมอง
“ครับ ผมคิดแบบนั้น” ยามานากะตอบอย่างหนักแน่น
ท่านประธานแห่งลูนาติก ลัสท์ยกสองมือขึ้นมาประสานกันบนโต๊ะ หลุบตาลงต่ำ และครุ่นคิด “นี่มันเรื่องใหญ่มากนะ”
“ผมทราบครับ ทั้งใหญ่ทั้งยุ่งยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้”
“จะเอาเหตุผลอะไรไปแย่งลูกเขามาล่ะ?”
“ดูท่า...ไม่ต้องมีเหตุผลเขาก็คงแทบอยากยกลูกให้แล้วละครับ” ยามานากะทำสีหน้ารังเกียจขึ้นมาแวบหนึ่งเมื่อพูดถึงพ่อแม่ของโทโมกิ “แต่ถ้าคุณน้าจะหาเหตุผล ก็อย่างเช่น...คุณน้านึกอยากจะดูแลลูกเล็กสักคน เพื่อทดแทนส่วนที่ไม่เคยได้ดูแลลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองเลย พอนึกได้ว่าอยากจะทำอย่างนั้น ฮิโรอากิคุงก็โตเกินไปเสียแล้ว ตอนนี้ก็เลยอยากหาเด็กมาซ้อมมือไว้เผื่อเอาไว้รับมือหลานบ้าง...อะไรแบบนี้ดีมั้ยครับ?”
โอโนเสะหยิบยางลบบนโต๊ะขว้างหัวยามานากะแล้วก็แม่นเสียด้วย “พูดอะไรระวังปากหน่อย เดี๋ยวก็โดนหรอก”
“ก็โดนแล้วนี่ครับ” ยามานากะลูบหัวตัวเองป้อย ๆ “แต่...ถ้าพูดกันตามตรง คุณน้าก็เป็นห่วงเด็กนั่นใช่มั้ยล่ะครับ?”
ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว ทั้งโอโนเสะและยามานากะอยู่กับโทโมกิตั้งแต่เข้ารักษาตัวและบำบัดจิตตั้งแต่แรก เขาเห็นสภาพแหลกเหลวเกินเยียวยาของครอบครัวซานาดะที่ไม่ว่าโทโมกิจะเข้มแข็งสักแค่ไหนก็ไม่น่าจะผ่านไปได้ด้วยตัวคนเดียว ซ้ำสภาพจิตใจของเด็กหนุ่มก็ยังเป็นแบบนี้อีก มันยากเกินไปที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตามลำพังได้ จริงอยู่ว่าพวกเขาทำธุรกิจด้านมืดผิดกฎหมายและได้เห็นคนผิดปกติทางใจมากมายเสียจนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากให้เด็กคนไหนโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ผิดปกติแบบนั้น โอโนเสะรู้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้ปกตินัก แต่ลูกชายทั้งสามก็ยังโตมาเป็นคนปกติได้ภายใต้การดูแลของภรรยาที่แสนดีของเขา...ต้นไม้ที่เกิดมาจากเมล็ดพันธุ์ไม่ดีอาจจะโตขึ้นมาอย่างบิดเบี้ยวและแคระแกร็น แต่ถ้าบำรุงดูแลรักษาดี ๆ ก็สามารถโตขึ้นเป็นไม้ใหญ่ที่สวยงามได้...เด็ก ๆ ก็เป็นเช่นนั้น...โทโมกิต้องการคนดูแลเอาใจใส่มากกว่านี้ เพื่อที่จะโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งมั่นคงต่อไป
หลังจากนิ่งคิดอยู่นาน ในที่สุดโอโนเสะก็เอ่ยขึ้น
“ยามานากะ บอกให้ทนายรวบรวมข้อมูลซิว่าการจะรับบุตรบุญธรรมต้องทำยังไงบ้าง เตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยเท่าที่จะทำได้ ขาดเหลืออะไรให้มาคุยกับฉัน”
“ครับ”
“แล้วก็...ช่วยจัดคนไปคอยดูแลโทโมกิที่แมนชั่นด้วย อย่าให้เกิดเรื่องอย่างคืนนี้ขึ้นอีก”
เช้าวันรุ่งขึ้น ยามานากะก็จัดให้ชายหนุ่มคนหนึ่งไปส่งโทโมกิที่แมนชั่นและคอยดูแลเด็กหนุ่มในเรื่องการเรียนด้วย ผู้ที่ยามานากะส่งมาเป็นคน “ใน” บ้านโอโนเสะที่อายุราวยี่สิบกว่า ๆ ชายหนุ่มคุ้นเคยกับการดูแลรับใช้คนในบ้านโอโนเสะเป็นอย่างดีและยังมีความรู้ความสามารถพอที่จะเป็นครูสอนพิเศษได้
โทโมกิไม่ได้ไปโรงเรียนมากว่าครึ่งปีแล้วจึงจำเป็นต้องเรียนพิเศษเพื่อจะได้เรียนทันคนรุ่นเดียวกันโดยไม่ต้องซ้ำชั้น โดยพื้นฐานแล้วโทโมกิไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเท่าไรนัก ความรู้จึงอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย หากคนเป็นครูก็ใจเย็นเอาเรื่อง ค่อย ๆ ตะล่อมสอนเอาจนได้แม้นักเรียนร่ำ ๆ จะอาละวาดอยู่หลายครั้ง
ผ่านไปราวหนึ่งอาทิตย์ ระหว่างที่โทโมกิกำลังเรียนพิเศษอยู่ พ่อกับแม่ก็ปึงปังมาที่ห้องพร้อมกับเสียงเอะอะเอ็ดตะโร
“โทโมกิ! แกอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ! โทโมกิ!!”
โทโมกิชะงักมือที่กำลังทำแบบฝึกหัด ทอดถอนใจแล้ววางดินสอลง ก่อนจะเยี่ยมหน้าออกไปดูที่ห้องนั่งเล่น พ่อยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่กลางห้อง ส่วนแม่นั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่โซฟา และในห้องนั้นยังมีผู้ชายอีกคนที่โทโมกิไม่เคยเห็นหน้า
“อ้อ! มาแล้วเหรอ ไอ้ตัวดี มานี่เลย!” ผู้เป็นพ่อปราดเข้ามาหมายจะคว้าแขน แต่ถูกครูสอนพิเศษขวางไว้
“อย่าแตะต้องเขานะครับ”
“อะไร? แกเป็นใครกันเนี่ย มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” พ่อมองชายหนุ่มหัวจรดเท้า
“ผมเป็นครูสอนพิเศษของซานาดะคุงที่ท่านโอโนเสะส่งมาครับ” เขาอธิบายอย่างราบเรียบ
“อ้อ คนของไอ้แก่นั่น...” น้ำเสียงเหมือนจะเข่นเขี้ยว “แต่แกไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องในครอบครัว ถอยไปซะ”
มือใหญ่เอื้อมมาจะคว้าร่างของโทโมกิอีกครั้ง แต่ถูกครูสอนพิเศษปัดเฉไปง่าย ๆ
“ถึงจะเป็นเรื่องในครอบครัว แต่ผมมีหน้าที่ดูแลไม่ให้ซานาดะคุงถูกทำร้ายด้วยครับ”
ซานาดะผู้พ่อตั้งท่าจะโวยวายอีก แต่สายตาคมกริบที่ส่งมาจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นครูสอนพิเศษทำให้ต้องหุบปากเงียบ แล้วก็ถูกแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเรียบ ๆ ที่เคร่งขรึมเป็นทางการ
“ผมว่าซานาดะซังใจเย็น ๆ แล้วมานั่งคุยกันดีกว่าครับ คุณผู้หญิงก็รออยู่แล้วด้วย”
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเทาเข้มผายมือไปยังโซฟาราวกับเป็นเจ้าบ้านเสียเอง โดนคนที่รับมือได้ยากกระหนาบหน้าหลังแบบนี้ ผู้เป็นพ่อของโทโมกิก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่เดินกระแทก ๆ ไปนั่งที่โซฟาตัวเดียวกับภรรยา
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ ทีนี้ก็เชิญซานาดะคุงด้วยครับ” ชายหนุ่มผายมือไปที่โซฟาอีกตัว