บทที่ ๓๐
ขอรักคืน(ครึ่งหลังจ้ะ

)
ซื้อกับข้าวกับปลาไปให้ยายแล้วจ้อยก็พาหัวสมองมึนชามาโรงเรียน ระฆังเคารพธงชาติยังไม่ตี เหล่านักเรียนครูเดินแกร่วเกลื่อนสนาม หากจ้อยไม่สนใจใคร ในหัวอกอันว้าวุ่นเต็มไปด้วยคำถาม ไอ้สิงห์ทะเลาะกับแม่เพราะจ้อยหรือ? มันไปทำอะไรที่โรงสีเถ้าแก่ฮง? ที่มันพูดว่าจะใช้หนี้แทนจ้อยนั้น มันหมายความว่าอะไร? และมันออกจากบ้านไปตัวเปล่าแบบนั้น จะกินจะอยู่อย่างไร ยิ่งคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อพรรค์นั้นด้วยแล้ว..
“จ้อย!” เสียงสดใสร้องเรียกเล่นเอาจ้อยสะดุ้ง ความคิดสะระตะหยุดชะงัก หม่อมราชวงศ์เลอมานกระหืดกระหอบมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มแจ่มใสผิดจากทุกวัน มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากจ้อยลิ่วๆ ไปใต้ต้นหูกวางใหญ่ ยิงคำถามเข้าใส่จนจ้อยตั้งตัวไม่ทัน
“พี่จินดาของจ้อยน่ะ” คำถามกระมิดกระเมี้ยน “เขาดูแลอาจารย์อย่างไรบ้าง”
ก็จ้อยมัวแต่พะวงถึงไอ้สิงห์ของจ้อย เลยไม่ทันได้ทักท้วงอะไร ไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าเพื่อนต่างชนชั้นจะอยากรู้ไปทำไม เขาถามมาจ้อยก็ตอบไปซื่อๆ ละเอียดยิบเท่าที่ความทรงจำของจ้อยจะอำนวย
คุณชายพยักหน้ารับคำอย่างตั้งใจแล้วเริงรื่นจากไป จ้อยมองตามงงๆ ได้ไม่นานก็ต้องกลับมาครุ่นคิดเรื่องของจ้อยต่อ.. คุ้งหัวแหลมอยู่ตั้งไกล ถ้าจ้อยจะไปเสียตั้งแต่เที่ยงนี้ จะกลับมาเข้าเรียนคาบบ่ายทันไหมนะ
เลอมานลิ่วกลับเรือนพักลิงโลด ถ้อยสาธยายของจ้อยอยู่ในหัวแจ่มชัดทุกคำโดยไม่ต้องอาศัยอะไรมาจด เอาความรักแทนปากกา เอาหัวใจมั่นคงของเขาแทนกระดาษ รายละเอียดทุกอย่างของอาจารย์ผู้เป็นดวงใจจักไม่มีวันเลือนลบ
“พี่จินดาเขาก็ดูแลทุกอย่างเท่าที่คนเป็นศิษย์เอกควรทำแหละ ห้องหับก็เก็บกวาดเช็ดถูให้ เรือนพักอาจารย์ไม่มีแม่บ้าน พวกอาจารย์ต้องทำความสะอาดเองทั้งนั้น มีแต่อาจารย์คนึงที่มีพี่จินดาคอยดูแล จริงๆ อาจารย์ก็ไม่อยากให้พี่ทำหรอกนะ แต่ดูเหมือนพี่จะยินดีทำให้เอง ตื่นเช้ามาที่หลับที่นอนก็เก็บให้ อาจารย์คนึงเขาชอบดอกมหาหงส์ พี่ก็จะเด็ดจากต้นที่ตีนบันไดไปวางไว้ข้างหมอนให้ทุกเช้า แล้วก็เตรียมกาแฟเตรียมอาหารเช้า กาแฟนี่อาจารย์เขากินกาแฟดำนะ อ้อ เสื้อผ้าก็เหมือนกัน พี่จินดาเขาคอยซักรีดให้ตลอด ดูแลเสียจนอาจารย์คนอื่นเขาแซวว่าถ้าพี่เป็นผู้หญิง เสียงแห่ขันหมากคงดังลั่นทุ่ง” เลอมานหมายใจมั่นแม่น
จินดา.. ขออย่าได้ห่วงอาจารย์เลย จากนี้เขาจะดูแลแทนให้เอง จะทำให้ดีเทียบเท่าที่จินดาเคยทำ
อาจารย์.. ช่องว่างในอกซ้ายที่เกิดกลวงขึ้นนับแต่จินดาจากไป เล็กจะเป็นคนถมมันเอง!
*****************************
ณ ห้องพักอาจารย์ คนึง วนาสัยนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่โต๊ะทำงาน การบ้านนักเรียนที่เปิดผ่านไปแต่ละหน้าไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิด ใจมันเฝ้าพะวงแต่รอยหวานละมุนที่ยังเจือจางอยู่บนริมฝีปาก
ไม่น่าเลย เมื่อเช้านี้พลาดเข้าจนได้ ถูกจับได้เสียแล้ว เพราะความ ‘ตัดไม่ขาด’ ตัวเดียว จะทำให้กำแพงที่เขาพากเพียรก่อมาพังทลายหมด กำลังคิดว่าจะแก้ไขความผิดพลาดนี้อย่างไร ดวงหน้าผ่องแผ้วของโจทย์ที่เขาย่องเข้าหาเมื่อเช้าก็โผล่พ้นขอบประตูเข้ามา ราวกับจะมาทวงจูบที่จำเลยคนนี้ขโมยไป
“อาจารย์..” เสียงใสกังวานมาพร้อมรอยยิ้มเปื้อนแก้ม โดยไม่รอคำอนุญาต ร่างโปร่งบางประคองถ้วยกาแฟเดินกร๊องแกร๊งเข้ามา คนึงมองอย่างพรึงเพริด
ยอมรับว่าชั่วขณะหนึ่ง แสงเช้าอาจหลอกตา เขาเห็นภาพใครอีกคนทับซ้อน
ถ้วยกาแฟกระเบื้องคู่ใจถูกวางลงบนโต๊ะด้วยทีท่าที่พยายามระงับ ‘ความกระโดกกระเดก’ ไว้อย่างสุดความสามารถ ก่อนถอยออกไปยืนอมยิ้ม หูตาวับวาว
วันนี้มาแปลก?!
ถ้วยกาแฟตรงหน้า คราบกาแฟเป็นรอยกระฉอกตรงขอบแก้ว แถมยังมีผงสีน้ำตาลหกเกลื่อนจานรอง ไอร้อนยังลอยกรุ่นอยู่เหนือของเหลวสีน้ำตาลใสที่ดูจะเจือจางกว่าปกติ
ความเอ็นดูแผ่ซ่านขึ้นมาจากก้นบึ้ง หากเขาพยายามปกปิดไว้ภายใต้ใบหน้าขึงตึงอย่างแนบเนียน หนูเล็กของครู.. ตั้งใจชงกาแฟมาให้ครูหรือ? ดอกฟ้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน มีแต่คนเฝ้าพะเน้าพะนอเอาใจ อุตส่าห์ชงกาแฟมาให้หมาวัดอย่างครูหรือ?
กาแฟหน้าตาขี้ริ้ว หากคนึงแน่ใจว่าคนชง ใส่หัวใจมาด้วยเต็มเปี่ยม
หัวใจที่เขาไม่อาจเอื้อม
หัวใจที่เขาพยายามผลักไส
คนึงรีบปัดความเอ็นดูทิ้ง ความรักที่เกิดขึ้นชั่ววูบในวันนี้มันจะทำลายชีวิตของเล็กจนพังพินาศในวันหน้า เพื่อให้วันนั้นมาไม่ถึง เกลียดชังครูเถิด.. หนูเล็กของครู
มือใหญ่ยกกาแฟขึ้นจิบอย่างเสียมิได้ แค่ปลายลิ้นแตะก็กระแทกถ้วยคืนจานดังเปรื่อง เล่นเอาคนที่รอคำชมใจจดจ่อหน้าเสีย
“รสชาติเหมือนน้ำล้างแก้ว” แค่ผรุสวาจาไม่พอ ซ้ำสาดที่เหลือออกนอกหน้าต่างให้ช้ำเล่น “คราวหลังไม่ต้องชงมา เสียดายของ”
คนึงไม่ทันได้อยู่ดูสีหน้าหม่อมราชวงศ์เลอมาน ไม่ทันได้เห็นว่าดวงตาที่มองมาอย่างปวดร้าวนั้นมีน้ำตาเอ่อคลอหรือไม่ แค่เห็นริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่น ชายหนุ่มก็เก็บหนังสือบนโต๊ะปึงปัง เดินหนีออกมาไม่สนใจ
ถ้าจะมีหัวใจใครอยู่ในกาแฟแก้วนั้น ป่านนี้มันคงนองไหลไร้ค่าไปกับพื้นดิน รอแสงแดดส่องมาก็ระเหยหายไปในที่สุด
*****************************
สิ่งที่เต้นตุบอยู่ในอกซ้ายของมนุษย์นั้นน่าประหลาดนัก มันก็แค่ก้อนเนื้อเท่ากำปั้น ใครจะเชื่อ.. แค่มีความรักบรรจุอยู่ภายใน เหมือนใยรักหนาแน่นร้อยรัดเป็นเกลียวฟั่น จะตัดจะดึงอย่างไรก็ไม่ขาดเสียที
อย่าว่าแต่อาจารย์คนึงเลยที่จะแปลกใจ เลอมานเองยังแปลกใจตน ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยหยิบจับงานบ้านเลยสักครั้ง แม้จะอยู่โรงเรียนประจำ แต่บุตรชายท่านทูตก็มีคนรับใช้คอยทำทุกอย่างให้เสมอ เขาเคยมองว่างานพวกนี้คืองานชั้นต่ำ และงานชั้นต่ำก็ต้องเป็นของคนชั้นต่ำ คนเกิดมาสูงส่งเหมือนหงส์ในกรงทองอย่างเขาหรือจะลดตัวลงไปหยิบจับ
แล้วนี่อะไร...
หม่อมราชวงศ์หนุ่มค่อยๆ จับจีบแขนเสื้อเชิ้ตวางบนผ้าผวยปูรอง ปลายนิ้วจุ่มน้ำในขันรองหินพรมลงพอชื้น หยิบเตารีดที่บรรจุถ่านร้อนไว้เต็มนาบลงใบตองด้านนวล ก่อนยกมาวางบนเสื้อที่วางแผ่ตรงหน้า
เครื่องแบบข้าราชการสีกากีของอาจารย์คนึง
เตารีดยิ่งดูจะทวีความหนักอึ้ง เมื่อมือเขาแสบร้อนและแดงเป็นปื้นแบบนี้ จะอะไรเสียอีก ก็ตอนกลางวันเขาหอบเสื้อผ้าอาจารย์มาซัก อาศัยช่วงทุกคนพักเที่ยงพอดี เด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็น ที่ไหนได้ อาจารย์โผล่มาที่ลานซักล้างเงียบๆ มาตอนไหนไม่มา ทำไมต้องมาเห็นตอนเขากำลังกอดเสื้ออาจารย์แนบอก จรดปลายจมูกสูดกลิ่นกายที่ยังหลงเหลืออย่างน่าอาย
อาจารย์ยืนมองนิ่งตอนเขาใช้ถังสังกะสีตักน้ำจากตุ่มมาเทใส่กะละมังทุลักทุเล แล้วพอเขาตีฟองพูนเป็นภูเขา ฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงของผงซักฟอกก็สำแดงเดช มือที่ไม่เคยแตะงานหนักทั้งแสบและร้อนผ่าวไปหมด เขาไม่บ่นสักคำ ได้แต่กัดฟันอดทน
พอหันไปสบตาอาจารย์ ดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างสมเพช ค่อนแคะให้คำหนึ่งว่าซักให้สะอาดก็แล้วกัน ก่อนจากไปอย่างไม่ใยดี
หึ! คิดหรือว่าคนอย่างเขาจะยอมแพ้ จะทำทุกอย่างให้อาจารย์ยอมรับให้ได้ละ
หรือความพยายามจะสัมฤทธิ์ผล เมื่อกำลังรีดผ้าอยู่ดีๆ อาจารย์ก็เปิดประตูเข้ามา!
“อาจารย์!” เลอมานดีใจจนออกนอกหน้า อาจารย์กลับมาแล้ว คืนนี้จะมานอนที่นี่ จะไม่ทิ้งเขาไปไหนอีกแล้วใช่ไหม
หากคนที่เพิ่งเข้ามากลับตีหน้ายักษ์ “ทำอะไรอีก!?” คำถามหงุดหงิด “พอได้แล้ว เอาไปเก็บไป ไม่ต้องมาทำให้ผมหรอก”
“จินดาทำได้เล็กก็ทำได้” เลอมานเถียงคำไม่ตกฟาก ทว่าเมื่อดวงตาสีเข้มคู่นั้นหยุดนิ่งลงตรงมือแดงจัดที่จับหูเตารีดแน่น คนปากเก่งรีบเอามือกุมกันไว้
เสียงทุ้มครางอ้อ “เพราะอย่างนี้สินะถึงพากเพียรมาทำนู่นทำนี่ให้” เขาหัวเราะในคอดั่งจะเยาะ และแล้วประโยคถัดมา ก็ส่งผลให้ความยินดีที่ได้เจอหน้าคนรักระเหิดหายดั่งละอองน้ำที่ถูกเตารีดนาบ
“ที่ห้ามนี่ผมไม่ได้ห่วงคุณนะ ผมห่วงเสื้อผมมากกว่า” เสียงทุ้มค่อนไม่ดูดำดูดี “เกิดเสียหายไป ครูจนๆ อย่างผมไม่มีปัญญาซื้อใหม่หรอก”
“ถ้ามันขาด ผมจะซื้อให้ใหม่ก็ได้” คนรั้นหายอมแพ้ไม่ คว้าเตารีดนาบลงเสื้อซ้ำๆ พยายามทำเหมือนช่ำชอง แต่ก็ทุลักทุเลเต็มทน
“ตัวไหนก็ไม่เหมือนตัวนี้ ตัวนี้มีรอยมือจินดา” สิ้นคำพูดนั้น มือเรียวชะงักงัน “ผมไม่อยากให้คุณแตะด้วยซ้ำ”
ไม่ใช่เพียงความยินดีแล้วที่ระเหิดหาย หัวใจชั้นลึกลงไปดั่งถูกถ่านร้อนนาบจนเกรียมไหม้ ผะผ่าวมาถึงกระบอกตา
เตารีดเจ้ากรรมทำพิษซ้ำ ถ่านไม้ที่ลุกแดงอยู่ในรังจู่ๆ ก็แตกปุ กระเด็นตกลงบนเนื้อผ้า คนไม่ทันยั้งคิดรีบหยิบออก.. ด้วยปลายนิ้ว!
“ทำอะไร!” เสียงห้าวตะคอกลั่น คนตัวโตก้าวปราดเดียวถึงตัว “จนได้สิน่า!” เขาดุเสียงดังจนเลอมานสะดุ้ง มือใหญ่ข้างนั้นยื่นมา.. ทำท่าจะคว้ามือกัน ก่อนชะงัก หันไปคว้าเสื้อแทน คนเจ็บตัวได้แต่กุมมือกันหน้าม่อย
อ้อ.. ห่วงเสื้อ.. เสื้อที่จินดาเคยรีด..
เขาหายไปครู่หนึ่ง กลับมาพร้อมแง่งว่านหางจระเข้โยนลงบนตัก “ทาซะ เกิดลูกหลานเขาเป็นอะไรไป ผมชดใช้ท่านพ่อคุณไม่ไหวหรอก”
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์หยิบมาทาเซื่องซึม อ้อ.. ห่วงท่านพ่อจะพิโรธ..
ภารกิจวันแรกล้มเหลว..
ไม่ได้เรื่องเลย.. ไม่ได้เรื่องสักอย่าง..
แต่เลอมานหายอมแพ้ไม่ คอยดูก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ วันต่อๆ ไป เขาต้องทำได้ดีกว่านี้แน่ รับรอง!
*****************************
แดดอ่อนเหลืองรำไรพาสีเหลืองทองคำฉาบทิวเมฆไกลโพ้น แสงสีหมากสุกกระจายทั่วฟ้า ฉาบหน้าจ้อยจนต้องหยีตา ท้องน้ำสะท้อนแดดเป็นประกายระยับ นกยางสีขาวเกาะกลุ่มไกวปีกช้าพาฝูงกลับรวงรัง เสียงกระดึงจากคอวัวของพวกเกวียนขนถ่านดังแว่วมาแต่ไกล กิ่งตาลแห้งถูกลมตีเสียงดังแกรกกราก
โรงสีไฟของเถ้าแก่ฮงอยู่ไกลไปทางเบื้องตะวันตกลิบๆ พู้น จ้อยต้องพายเรือพ้นปากคลองเมืองออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เข้าหน้าหนาวแบบนี้ แม่น้ำจะมีคลื่นลมแรง ลมพัดล่องพาเรือบดของจ้อยไปฉิวๆ แทบไม่ต้องออกแรงพายให้เมื่อย
แม้ใจจ้อยจะบินไปโรงสีตั้งแต่ตอนพักเที่ยง แต่ก็คิดถูกแล้วที่ค่อยออกมาตอนเลิกเรียน ระยะทางอันไกลโขบวกกับเปลวแดดยามเที่ยง ไหนจะขากลับที่ต้องพายเรือทวนน้ำ จ้อยคงกลับมาเข้าเรียนคาบบ่ายไม่ทันแน่ๆ
จ้อยพาเรือเฉียงข้ามแม่น้ำ หนีคุ้งน้ำยาวไปฝั่งหัวแหลม โรงสีที่ตั้งทะมึนอยู่ริมน้ำเหมือนปราสาทขังยักษ์อยู่ภายในก็ปรากฏแก่สายตา เสียงเครื่องยนต์อันเกิดจากเชื้อเพลิงแกลบส่งเสียงหึ่งๆ สะท้อนไปทั่ว สะพานปูนที่ทอดจากโรงสีออกไปริมน้ำมีโป๊ะจอดเรือ เรือบรรทุกข้าวเปลือกขนาดสามเกวียนจอดนิ่งริมฝั่ง คนงานหลายคนยังทำงานง่วน เสียงพูดคุยดังแว่วอยู่ไกลๆ
จ้อยจอดเรือเทียบโป๊ะแล้วก้าวขึ้นไป จับกังไม่ใส่เสื้อเนื้อตัวมันปลาบนับสิบชะงักมอง ทั้งคนที่ใช้ขอเหนี่ยวกระสอบข้าวเปลือกลงมา ทั้งคนที่มีกระสอบหนักร้อยสิบโลอยู่บนหลัง
มันแน่ล่ะ นักเรียนครูสะอาดสะอ้านมาโผล่อยู่กลางดงกุลี ใครต่อใครย่อมหันมองเป็นตาเดียว สายตาบางคู่.. มองมาอย่างสอดรู้ แต่มีบางคู่.. มองเอามองเอาด้วยลูกตาวาววับ
จ้อยพยายามมองหาคนที่มาตามหา ใจหนึ่งก็ประหวั่นกับสถานที่และผู้คนอันไม่เคยคุ้น หากอีกใจที่แฝงลงไปลึกเร้น มีความยินดีซุกซ่อน จ้อยจะได้เจอหน้ามัน หลังจากไม่ได้เจอมาตั้งนาน
“มาหาใครเรอะ” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นข้างหลัง จ้อยหันไปมอง คนงานรุ่นพ่อตัวดำเป็นเหนี่ยง ริมฝีปากหนาคาบมวนยาเส้นพ่นปุ๋ยๆ แกมองหัวจรดเท้าเห็นเครื่องแบบแล้วก็ตัดสินใจเรียก “ครู”
“รู้จักนายสิงห์ไหมจ๊ะ” หนุ่มน้อยถามนอบน้อม
“สิงห์ไหนวะ”
“ลูก..ลูกชายกำนันเสริม”
“อ้อ” แกหัวเราะเฮ่อะ “ไอ้ตะเข้คับคลองน่ะเรอะ” นักเรียนครูนึกฉงนกับฉายานั้น ตะเข้คับคลอง? ทำไมจึงเป็นตะเข้คับคลอง?
“นู่น” ชายคนงานบุ้ยปาก นิ้วอันหยาบกร้านและเล็บดำเขรอะชี้ไปทางโคนต้นไม้ใหญ่ จ้อยหันมองตามมือชี้ ไม่ยักกะเห็นลูกชายกำนัน เห็นแต่คนงานคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ ผมยาวระบัดต้นคอ ผิวคล้ำแดดมันปลาบ กล้ามเนื้อหลังไหล่ล่ำสันเป็นมัด ดูจากท่าทางแล้วคงกำลังพุ้ยข้าวเข้าปาก
จ้อยสายหน้าระอา เอาเถิด.. ถามคนนี้ไม่ได้ความ เปลี่ยนไปถามคนนั้นแทนก็ได้ หนุ่มน้อยสาวเท้าเข้าไปใกล้ ก้มหน้าลงถาม
“น้าครับ” สิ้นเสียงจ้อย ชายแปลกหน้าหันมาทันใด “น้าพอจะรู้..”
แค่ใบหน้านั้นหันมา ถ้อยคำที่จ้อยจะพูดติดขัดอยู่ในลำคอ ต่างฝ่ายต่างตกใจ!
‘มัน’ ตกใจที่เห็นจ้อยมาที่นี่ แต่จ้อยตกใจเสียยิ่งกว่า อยู่ใกล้กันแค่คืบ แต่จ้อยจำ ‘มัน’ ไม่ได้
ไอ้สิงห์....
ร่างสูงทะมึนผึงขึ้นยืนตระหง่าน จ้อยจึงได้เห็นมันเต็มตา มัน.. มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ เมื่อก่อนนี้.. ถึงมันจะเถื่อนถ่อยเป็นสันดานอย่างไร แต่พออยู่ใต้เสื้อผ้าราคาแพง มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลัง มันจึงยังมีราศีลูกชายกำนันจับ แล้วดูตอนนี้.. คนตัวยักษ์ตรงหน้าหมดมาดนักเลงคุมตลาด ใบหน้ารกเครา เนื้อตัวอาบเหงื่อมีแต่ร่องรอยเคี่ยวกรำลำเค็ญ กางเกงขาก๊วยที่ใส่มอมแมมและเก่าจนเนื้อน่าย
เหมือน.. เหมือนกุลี เหมือนโจรป่า!
สิ่งเดียวที่เหมือนเดิมคือสายตาที่มันมองจ้อย
นักเรียนครูเพิ่งสังเกต ในห่อใบตองที่ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นข้าว พอได้เห็นใกล้ๆ แท้จริงแล้วมันคือ.. มันคือหัวมันขี้หนูต้ม
ราคาถูกที่สุดในบรรดาของกินที่แม่ค้าหาบสาแหรกมาขายหน้าโรงสี
“มาทำไม!” มันต้อนรับจ้อยด้วยการตะคอกใส่หน้า หนวดครึ้มเหนือริมฝีปากยังมีเศษมันต้มสีขาวติด “กลับไป!”
นักเรียนครูเม้มปากแน่น ไม่ต้อนรับไม่ว่า ยังมีหน้ามาไล่กันอีก
“เอ็งมายังไง”
“พะ..พายเรือมา..” เสียงเล็กตะกุกตะกัก และโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม มือใหญ่เทอะทะก็คว้าแขนจ้อยหมับ จ้อยถึงกับสะดุ้ง ไอ้
สิงห์มันมือหยาบ..จ้อยรู้.. แต่หนนี้มือมันแข็งกระด้างและสากระคายมากขึ้นกว่าเก่า มันลากจ้อยหัวซุนกลับมาที่โป๊ะ พวกคนงานมองตามเป็นตาเดียว
“ดงเสือดงตะเข้ทั้งนั้น กลับไปซะ” มันกระซิบลอดไรฟัน แทบจะโยนจ้อยลงเรือ “แล้วอย่ามาอีก!”
จ้อยหน้าชา อย่าว่าแต่หน้า.. หัวใจก็เหมือนจะชาวาบไปด้วยความผิดหวังความเสียหน้าประดังประเด ดูรึ คนเขาอุตส่าห์มาหา มันจะดีใจที่เห็นหน้ากันสักนิดก็หาไม่ ไม่นึกเลยว่าคนที่เคยเดินตามกันต้อยๆ จะมาไล่จ้อยเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างนี้ ไหนจะตกใจกับสารรูปมัน อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า.. ตั้งแต่พ้นชายคาบ้านกำนันมาอาศัยลำแข้งตัวเองที่นี่ มันใช้ชีวิตแบบไหน มันกินอยู่อย่างไร มันลำบากมากไหม
นึกแล้วอยากตบหน้าตัวเองสักฉาด! มันยังไม่ห่วงจ้อยเลยสักนิด แล้วจ้อยจะเป็นห่วงมันทำไม!
จ้อยคิดอยู่ในใจตลอดทางที่จ้ำพายทวนกระแสน้ำกลับบ้าน คอยดูเถอะ จ้อยจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก ถ้าเห็นจ้อยมาหามันอีกล่ะก็ เรียกจ้อยว่าลูกหมาได้เลย!
*****************************
(มีต่อจ้า

)