มหาหงส์ บทที่ ๓๗ : คอย (ครึ่งหลัง๒๐%) [๒๔ ก.ย. ๒๕๖๒]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: มหาหงส์ บทที่ ๓๗ : คอย (ครึ่งหลัง๒๐%) [๒๔ ก.ย. ๒๕๖๒]  (อ่าน 713186 ครั้ง)

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13

ออฟไลน์ quiicheh.

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-9
คาดว่าครูคนึงโดนเอาคืนหนักกว่าแน่ๆ
ตามอ่านมาวันนึงเต็มๆค่ะ โฮกกกกสนุกมากกกก
อยากให้คุณดอกไม้มาต่อเร็วๆจัง อยากรู้เรื่องของคุณเล็ก
สงสารนางมากกกกกกกกกกกกกก กลับอังกฤษเลย
อยู่ไปก็ไม่มีใครสนใจฮึยยยย

โนคอมเม้นกับจ้อยสิงห์ ไม่ชอบที่จ้อยทำกับคุณเล็ก
แค่รู้แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้แล้วตัวเองล่ะ... หนักกว่าคุณเล็กอีก
มองจ้อยแบบติดลบมากยิ่งตอนที่คุณเล็กจับมือกะครูคนึงตอนกินข้าว
ละจ้อยแอบเค้นในใจ โหยยยยโมโหหหหหห นั้นมันคนที่ช่วยแกมาตลอด
ถูกแล้วล่ะ คุณเล็กเค้าหงส์จริงๆ จ้อยนี่อะไรไม่รู้
แต่ขอปาไรใส่สิงห์ค่ะ ไม่แมนเลย เชื่อแต่คนอื่น เชื่อสมองตัวเองบ้าง
แม่ก็ร้ายลูกยังซื่อบื่ออีก ไม่ไหวๆๆๆๆๆ รำ

อยากให้คุณดอกไม้มาต่อเร็วๆมากค่ะะะะ
จะอยู่เคียงข้างคุณเล็กเอง
ขอด่าครูคนึงก่อนจบรีพรายส์ คำพูดคำจานี่เชือดใจคนฟังมาก
รักมากแค่ไหน คุณเล็กถอยก็ไม่ผิด
โอ้ยยิ่งคิดยิ่งเครียดดดดด มองไม่เห็นทางที่คุณเล็กกะครูคนึงจะประจบกันได้เลย พรากกกกกกกก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-07-2014 12:52:24 โดย quiicheh. »

ออฟไลน์ vassalord4822

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ four4

  • รักนี้ชั่วนิรันด์
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รอคุณดอกไม้
รอทุกตัวละครจ้าาาาาาาา

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
รอจ้าาาา คิดถึงงงงงงง :hao5:

ออฟไลน์ jj_girl

  • รูปโปรไฟล์ขำๆ นะคะ / Cr.สาววายในตำนาน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 343
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ในที่สุดก็ตามอ่านจนทัน

เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ถอนหายใจเป็นร้อยครั้งแล้วล่ะมั้ง

คุณดอกไม้เขียนเรื่องได้ดีมากจริงๆค่ะ นับถือๆ  :pig4:



วิ่งเข้าวิ่งออกเล้าเป็ดมาก็นานเป็นปีสองปี     แล้วฉันพลาดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร :z3:

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13
แฟนคลับถามถึงกันกรม  มาต่อเถอะค่ะ T.T

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
ขอแปะไว้ก่อนนะค้าาาาาาา :3123:

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
พิโถ่ถังงงง  เราะท่านหญิงดารารึเปล่า? ตอนแรกว่าน้องจ้อยน่าสงสารแล้ว ตอนนี้เลอมานน่าสงสารกว่า :ling1: :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ดอกไม้

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +326/-1
บทที่ ๒๙

แล้วจะรู้ว่าพี่รัก

(ครึ่งหลังนะแจ๊ะ :L2:)   


แม้ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด  แต่จ้อยก็ ‘แงะ’ หม่อมราชวงศ์เลอมานออกจากที่นอน  บังคับให้ไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้า  และลากไปโรงอาหารได้สำเร็จ 

จ้อยยังยืนยันคำเดิม  เขาไม่ได้ห่วงใยอะไรนักหรอก  ก็แค่กลัวคุณชายจะตรอมใจตายคาห้อง  ทิ้งตำนานสยองขวัญของวิญญาณอาลัยรักไว้หลอกหลอนเหล่าอาจารย์และนักเรียนทั้งโรงเรียนฝึกหัดครู 

   แม้อกจะไหม้ไส้จะขมปานใด  แต่ด้วยขัตติยะมานะที่เจือจางไหลเวียนอยู่ในมโนนึก  สั่งให้เลอมานรักษากิริยาได้อย่างดีเยี่ยม  นอกจากเสื้อผ้าเรียบกริบหอมสะอาดและเรือนผมที่ไม่กระดิกสักเส้น  ท่วงท่ายังสง่างามไม่บกพร่อง  หลังตรง  ปลายหูขนานไหล่ผึ่งผาย  แม้วงหน้าที่เชิดตรงนั้นจะเผือดสีไปบ้างก็ตามที 

   เขาเป็นหลานแม่ทัพ  เป็นลูกนักการทูต  หากเด็จปู่และท่านพ่อมาทอดเนตรเห็นเขาถูกพิษรักเล่นงานจนทรุดโทรมเป็นผีตายซาก  คงไม่แคล้วกัดลิ้นสิ้นพระทัยตายวันละหลายหน

   เพลาเที่ยงกว่าผู้คนในโรงอาหารยังคลาคล่ำ  เพียงเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ปรากฏกาย  ทุกสายตาก็มองมาเป็นตาเดียว  มีหันไปกระซิบกระซาบกันบ้าง

   พวกเขา – จ้อยและเลอมานหาสนใจไม่  หรืออีกนัยคือ ‘พยายาม’ ไม่สนใจ

   “คุณชายรออยู่นี่นะ” น้ำเสียงเป็นประโยคบอกเล่า  หากในดวงตา  ชี้ชัดว่านี่เป็น ‘คำสั่ง’ หน้าจ้อยมีรอยยิ้มด้วย  หากเป็นยิ้มที่ดูอิหลักอิเหลื่อชอบกล “วันนี้พี่นกแก้วทำราดหน้าด้วย  เดี๋ยวจ้อยไปเอามาให้”

   บุตรท่านทูตรับคำเป็นมั่นเหมาะ  นั่งหลังตรงหน้าเชิดรอเพื่อนอยู่ที่โต๊ะ  พยายามเค้นความเข้มแข็งที่ยังหลงเหลือออกมา  มันเป็นการเสียหน้า ที่ต้องเติมคำว่า ‘อย่างยิ่ง’ ต่อท้าย  หากเขาแสดงท่าทีระทดท้อออกมาต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน 

   ดวงตาสีน้ำตาลใสกวาดมองไปรอบๆ  หากเพียงเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่ง  ความทระนงที่อุตส่าห์เค้นขึ้นหล่อเลี้ยงนัยน์ตาก็พลันมลายหายไปสิ้น 

   ห่างไปไม่ไกล  อาจารย์คนึงร่วมโต๊ะอยู่กับเพื่อนอาจารย์  สรวลเสเฮฮา  ไม่ปรายตามาทางนี้สักนิด

   เลอมานมองคนรักละห้อยหา  เรือนร่างสูงใหญ่  เส้นผมสีดำสนิท  จมูกโด่งเป็นสันรับกับเครื่องหน้าคมคาย  ทุกสิ่งทุกอย่างตราตรึงในรอยจำ  ติดตามไปแม้ในฝันทุกค่ำคืน  เขา.. เขาคิดถึงอาจารย์เหลือเกิน..

   ความเข้มแข็งพ่ายแพ้ลงอย่างย่อยยับ  เหมือนเรือน้อยกลางคลื่นลมแปรปรวน  ซัดเซกลางคลื่นเสน่หา  อับปางลงสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่อันมีนามว่า ‘ความรัก’

   กว่าจะรู้ตัวอีกที  เด็กหนุ่มก็ไปหยุดยืนอยู่ตรงโต๊ะนั้นแล้ว

   “อาจารย์..” เสียงที่เค้นขึ้นจากลำคอแผ่วหวิวเหลือเชื่อ  ทุกคนในโต๊ะหันมองเป็นตาเดียว  หากสายตาใครต่อใครไม่อาจสั่นคลอนใจเขาได้เท่าสายตาของคนคนเดียว

   คนรัก.. ไม่สิ.. อดีตคนรักเหลือบมองกันเพียงหางตา  จากนั้นก็ไม่หันมาอีกเลย

   คนที่เหลือสบตากันกระอักกระอ่วน  ไม่มีแม้สักคนเชื้อเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะ  หากเขาไม่แยแสใคร  เขาสนใจเพียงเจ้าของดวงตาสีนิลคู่นั้น 

   “อาจารย์สบายดีไหมครับ” พูดออกไปแล้วสมเพชนัก  นี่หรือคำที่คนเคยร่วมเรียงเคียงหมอนทักทายกัน  หากเขานึกคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ออก 

   คนึงไม่เหลียวมองกันเลย  เสี้ยวหน้าคมสันเบือนหนีไปทางอื่น  เลอมานได้แต่กลืนก้อนสะอื้นลงอก  ทำไม?  แค่มองหน้ากันสักหน่อยก็ไม่ได้หรือ  ทำไมทำอย่างกับเขาเป็นเศษสวะน่าชัง  เขาเสียอีกที่มองอีกฝ่ายไม่ละสายตา  แม้แต่วิธีที่มือใหญ่คลึงรอบปากแก้วอย่างที่เจ้าตัวทำเสมอยามให้ความคิด  เขาก็ยังคิดถึง       

   จ้อยประคองชามราดหน้ากลับมาที่โต๊ะ  ทันทีที่เห็นเลอมานยืนทื่ออยู่ข้างโต๊ะนั้น  รอยยิ้มที่บรรจงปั้นไว้ตบตาชาวบ้านว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจางหายไปวับ  โทสะพุ่งวาบ  หม่อมราชวงศ์สูงศักดิ์หรือไรที่ยืนตาละห้อยอยู่นั่น  หรือลูกหมาตัวหนึ่งที่วอนขอให้ใครก็ได้โยนเศษอาหารให้มันสักนิด! 

   นักเรียนครูปรี่เข้าไปหาเด็กไม่รักดี “คุณชายเล็ก” กระซิบเสียงแผ่ว  มือข้างที่ไม่เจ็บกระตุกชายเสื้อเชิ้ตราคาแพงยิกๆ “ไปเถอะ”
   ดูเถอะ.. สนใจเสียที่ไหน  หากคุณชายหันมามองหน้าจ้อยตอนนี้จะได้เห็นลูกตาถลึงแทบฉีก  หูตึงหรือไรไม่ทราบ  หรือความรักมันบังตาจนหูหนวกตาบอดไปหมด 

   “กลับไปที่โต๊ะเดี๋ยวนี้” ประโยคชักชวนทวีความเข้มข้นขึ้นกลายเป็นคำสั่ง  เลอมานยังโยกโย้ไม่เข้าท่า  หากดวงตาที่หันกลับมามีรอยรื้นแจ่มชัด

   อย่าเชียวนะ!  อย่าได้ทำน้ำตาหยดตรงนี้!

   “ไม่รักหน้ารักชื่อหรือไง” หลานยายช้อยกระซิบกรอด  ฉุดข้อมือหลานรัฐบุรุษกลับโต๊ะ  ออกแรงแทบลาก!  พอถึงโต๊ะก็แทบว้ากเพ้ย 

   “เข้าไปหาเขาทำไม” จ้อยเอ็ดไม่ไว้หน้า  หากรักษาระดับเสียงไว้พอได้ยินกันแค่สองคน “เห็นไหม  แม้แต่หน้าคุณเขายังไม่อยากมองเลย”    

   มือเล็กสาละวนหมุนพวงเครื่องปรุงตักนั่นโรยนี่  หากหางตายังเห็นคนหัวดื้อเหลียวกลับไปมองโต๊ะนั้น “อย่าหันไปเชียวนะ”
   เลอมานสะอื้นเงียบๆ  หมดกัน.. ทั้งที่เขาตั้งใจจะเข้มแข็ง  หากเพียงเห็นหน้า  หัวใจทั้งดวงก็ไหวยวบ  พลังชีวิตคล้ายจะถูกดวงตาหมางเมินคู่นั้นสูบหายไปจนสิ้น  รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผืนดินแห้งผาก  ไม่มีแม้น้ำสักหยดหล่อเลี้ยง

   ยกเว้นในม่านตา...

   “อย่าร้อง..” จ้อยกระซิบ  ในเสียงทอดเอื้อมีความอาทรเจือปน “ไม่อายเขาหรือ  คนมองกันใหญ่แล้ว”

   เลอมานเพิ่งรู้ตัว  เขาทำน้ำตาร่วงลงชามราดหน้าเผาะๆ   

   จ้อยถอนใจพรู  มองหน้าคนปาดน้ำหูน้ำตา  สลับกับลูกตาสับปะรดของพวกสอดรู้สอดเห็น 

   “โธ่.. คุณชาย” จู่ๆ จ้อยก็โพล่งเสียงดัง “กินเผ็ดไม่ได้แล้วใส่พริกทำไม”

   คุณชายหายเศร้าไปอึดใจ  ก้มมองชามราดหน้าตัวเองงงๆ  ใสแจ๋ว  ไม่มีแม้เศษพริก  ก็แน่ละ.. จะไปมีได้ยังไง  เขาไม่ได้โรยพริกลงไปสักหน่อย

   “ดูสิเผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหล ฮะๆๆๆๆ” จ้อยหัวเราะร่วนอย่างขบขันเสียเต็มประดา  อาศัยตอนเลอมานยังเป็นไก่ตาแตก  หนุ่มน้อยก็ลุกพรวด  บอกสั้นๆ ว่าไปกินที่อื่นกันเถอะ  อีกฝ่ายก็ลุกตามอย่างว่าง่าย 

   “ถือเองนะ  จ้อยมือเจ็บ” จ้อยรีรอ  ให้คุณชายเดินนำหน้าไปก่อน  เดี๋ยวจะคอยระวังหลัง  เผื่อคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจะวิ่งปรูดกลับไปที่โต๊ะนั้น

   นั่นปะไร  ไม่วายเหลียวหลังไปมองละห้อยหา  จ้อยอยากจะซัดหลังสักเพี๊ยะ

   อ้อ.. มือจ้อยไม่ว่าง  เปลี่ยนเป็นเอาราดหน้ายีหัวเสียดีไหม!

   จ้อยละหน่ายนัก  เด็กดื้อ  ไม่เชื่อฟัง  มีลูกศิษย์แบบนี้จะจับตีให้เข็ดหลาบทีเดียวเชียว

*************************

   ราดหน้าชามนี้เค็มแท้แน่แล้ว  ไม่ต้องเติมน้ำปลา  อาศัยหยดน้ำจากดวงตาหม่อมราชวงศ์เลอมานร่วงลงชามเผาะๆ 

   ร้องไปเถิด.. อยากร้องก็ร้องไป.. ที่นี่  ศาลาน้อยริมท่าท้ายโรงเรียน  ไม่มีใครเห็น  อยากร้องแค่ไหนก็ร้องออกมาเสียให้พอ  จ้อยจะไม่ห้ามแม้คำเดียว 

   น้ำในคลองใส  ลมเย็นผะแผ่ว  เถาขจรที่ขึ้นพันเลื้อยรอบเสาคงไม่ปากเปราะไปบอกใคร  ว่ามีคนใจสลายคนหนึ่งร้องไห้อย่างน่าอับอายอยู่ที่นี่

   จ้อยเอ็ดเพื่อนให้กินเสียบ้าง  อย่าเอาแต่ร้องไห้ร้องห่ม  มือสั่นเทาก็ตักราดหน้าเข้าปากอย่างว่าง่าย  พอลิ้นรับรสก็เบ้หน้าเหยเก  เค็มล่ะซี 

   เลอมานฝืนกินไปได้แค่แมวดม  จ้อยไม่บังคับกันอีกต่อไป 

   น้ำคลองสีน้ำตาลใสไหลเอื่อย  กอผักตบชวาลอยน้ำผ่านหน้าไป  จ้อยถอดรองเท้าถุงเท้าพันขากางเกงขึ้น  จุ่มเท้าลงในน้ำใสเย็น  มองท้องฟ้านับก้อนเมฆไปเรื่อยเปื่อย  ป่านนี้คงได้เวลาเข้าเรียนแล้ว  แต่ช่างเถิด  โดดเรียนสักคาบคะแนนสอบจ้อยคงไม่ลดลงหรอก 

   “จ้อย..” จู่ๆ เสียงแหบแห้งก็เรียก  จ้อยหันมอง  เห็นดวงตาแดงช้ำเต็มไปด้วยความโศกา “โกรธฉันหรือเปล่า”

   “เรื่องอะไร” จ้อยถามกลับ  เบือนหน้าหนีไปมองท้องน้ำ  จ้อยโกรธคุณชายจริงๆ  ค่าที่ลักลอบมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ซึ่งเป็นผู้ชายด้วยกัน  โกรธคนหน้ามืดตามัวที่ไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ตนทำนั้น ‘ผิด’ และ ‘บาป’ เพียงใด  ไม่รู้ตัวเลยว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องเจ็บและเสียใจที่สุดคือตัวเอง  หนำซ้ำชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอาจต้องมามัวหมองไปด้วย 

   “เรื่อง..” เสียงเลอมานขาดห้วง  คล้ายกำลังกลืนก้อนแข็งลงคอ “พี่ชายจ้อย..”

   จ้อยหันขวับ  จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง 

   ความสำนึกผิดพรั่งพรูเป็นสายน้ำหลาก “ฉันขอโทษ.. ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เขา..”

   “ไม่เกี่ยวกันเลย” คนฟังโพล่งขึ้นกลางคัน “คุณชายเป็นพระพิรุณหรือ  สั่งฟ้าสั่งฝนให้เทลงมาวันนั้นหรือ” ดวงตากลมใสเคลือบความเข้มแข็งวาววาม “พี่จินดาจมน้ำตาย  เพราะวันนั้นมีพายุลานเท  ไม่ใช่ความผิดคุณชายเลย  อย่าโทษตัวเอง”

   “ฉันขอโทษ.. ฉันขอโทษ..” บุตรท่านทูตสะอื้นฮั่ก  น้ำตาพรู “ฉันนึกว่าจ้อยโกรธฉันเพราะเรื่องนี้.. ฉันขอโทษจริงๆ”
   จ้อยคว้ามือสั่นสะท้านที่เอาแต่เช็ดน้ำตามากุมไว้  ใจไหวยวบ  มือที่อยู่ในมือให้ความรู้สึกแปลกประหลาด  เหมือนกำลังอุ้มปลาเล็กๆ ตัวหนึ่งไว้  สัมผัสความเย็นชืดที่รอไออุ่น  ไร้ญาติขาดมิตร  เถลือกไถล  ดวงตาใสแจ๋วซึ่งละม้ายโหยหาแอ่งน้ำของตัวเอง 

   ให้ตายสิ  จ้อยขบปากแน่น  ทำไมผู้ชายคนนี้มีความเศร้าและเปราะบางในตัวเองมากขนาดนี้  จ้อยมองเพื่อนอย่างแสนสงสาร  เวทนาจับใจ

   ยังมิหนำซ้ำมากำพร้ามิตร
   มิรู้จะคิดปลงลงที่ไหน
   จะหารักสักคนก็จนใจ
   ที่ฝากไข้ฝากผีไม่มีเลย**


แขนเล็กโอบไหล่เพื่อนเอาไว้  รั้งร่างที่สั่นสะท้านเข้ามา.. กอด..

   กอด.. เช่นที่เลอมานเคยกอดจ้อยเมื่อครั้งจ้อยซุกกายอยู่ในหุบเหวดำมืด  มือเย็นชืดคู่นั้น  มือที่เคยฉุดจ้อยขึ้นมาพบแสงสว่าง  จ้อยบีบมันเอาไว้แน่น 

   สายลมอันใดหนอพัดพาเด็กหนุ่มสองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวมานั่งเคียงข้างกัน  ปลอบประโลมกันและกันในยามทุกข์เช่นนี้  โชคชะตาหรือเล่า   

   ดวงตาสีอ่อนทอดมองท้องน้ำไหลเอื่อย  หรือชีวิตก็เป็นเช่นนี้  เหมือนกระแสน้ำ  ที่บางครั้งไหลมารวมกันแล้วแยกเป็นสาขา  วันนี้พบ.. วันหน้าก็ต้องจาก.. หากแต่วันที่ยังอยู่ด้วยกัน  มิควรถนอมรักใคร่กลมเกลียวกันไว้ดีกว่าหรือ  เพราะวันใดที่ต้องจากกัน  เราจะได้ไม่ต้องมาเสียใจว่าครั้งยังชิดใกล้  เรายังดีต่อกันไม่พอ

   หม่อมราชวงศ์เลอมานมาอยู่ที่นี่ได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว  อีกไม่กี่เดือนก็ต้องกลับอังกฤษ  กลับไปมีชีวิตของตัวเอง  เข้าเรียนมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลก  จบออกมาเป็นนักกฎหมายอย่างที่ท่านพ่อปรารถนาให้เป็น  ส่วนจ้อยก็อยู่บนทางสายเก่าของจ้อย  เรียนหนังสือของจ้อยต่อไป  เรียนจบเมื่อไรก็สอบบรรจุเป็น…

   ครู....

   จ้อยชะงัก  ความคิดสะดุดอยู่ที่คำว่า ‘ครู’

   หนุ่มน้อยก้มมองมือขวาของตนที่ยังมีผ้าพันแผลพอกหนา  ขยับนิ้วทั้งห้าได้  แต่หากแปลบตึงทุกครั้งยามที่พยายามกำมือทำท่าจับปากกา.. จับชอล์ก..

   จ้อยมองเห็นเส้นทางอนาคตของจ้อยแยกออกเป็นสองทาง 

   ทางหนึ่ง.. ครู..

   อีกทางหนึ่ง.. คนพิการ..

*****************************

ย่ำค่ำ  อากาศขมุกขมัวเหมือนกางมุ้งเปื้อนฝุ่นคลุมครอบท้องฟ้า  หัวใจของจ้อยก็หม่นมัวไม่ต่างกัน 

   ในครัวของเรือนกำนัน  จ้อยสาละวนเก็บกวาดสำรับอาหารที่นายเพิ่งกินเสร็จ  ความจริงจ้อยเบาแรงลงไปเยอะ  เพราะจานชามแต่ละใบเรียบเกลี้ยงไม่มีแม้เศษอาหารสักนิด  ใครไม่รู้คงเข้าใจว่าเสน่ห์ปลายจวักของจ้อยอร่อยเลิศล้ำ  ถ้วยชามรามไหที่เก็บกลับมาจึงเกลี้ยงเกลาราวกับมุดหน้าลงไปเลียแบบนี้

   จากนั้นจึงได้เวลาอาหารของจ้อย  มือเล็กเปิดฝาหม้อแล้วถอนใจ  ข้าวหอมมะลิที่หุงใหม่หอมกรุ่นเมื่อตอนเย็นถูกกวาดเสียเกลี้ยงหม้อ  เหลือแต่ข้าวเย็นแข็งโกกที่หุงตั้งแต่เช้าคาอยู่ก้นหม้อบุบๆ ใบนี้  มือเล็กๆ ค่อยๆ กวาดมันออกมา  เอาเถอะ.. คิดเสียว่ากินข้าวตัง 

   กระป๋องในน้ำพริกฝีมือยายวางหลบอยู่ในซอกตู้กับข้าว  จ้อยหยิบออกมาเปิดฝาดู  ใจแป้วไปเมื่อพบว่ามันแห้งขอดเหลือติดก้นกระป๋อง  ไข่ต้มสิบฟองของยายหมดไปหลายวันแล้ว  ถึงจ้อยจะพยายามจำกัดจำเขี่ยอย่างไร  แต่วันหมดอายุของไข่ต้มก็สั้นเกินกว่าที่จะเก็บไว้กินได้หลายๆ วัน  มือขาวตักข้าวแข็งเป็นกรวดคลุกน้ำพริกชืดหืนเข้าปาก  ไม่เป็นไรหรอก  แค่นี้ไม่หนักหนา  จ้อยถูกกระทำมามากกว่านี้จ้อยยังผ่านมันมาได้ 

   น้าแป้นเปิดประตูเข้ามาเห็นจ้อยนั่งกินข้าวหน้าเตา  ดวงตาแกสลดเหมือนจะร้องไห้  ในมือมีหม้อแกงว่างเปล่าเหลือแต่เศษใบมะกรูดติดอยู่ขอบหม้อ

   “ครู..” เสียงแกสั่นเครือ “น้าพยายามห้ามแล้ว  แต่คุณนายสาดทิ้งหมด”

   จ้อยเพียงปรายตามองแสดงอาการรับรู้  น้าแป้นถอนใจหนักก่อนปรูดเข้ามาเหมือนอดรนทนไม่ได้ “ครูรอเดี๋ยวนะ  น้าจะเจียวไข่ให้”

   “น้ายังไม่เข็ดอีกหรือ” หนุ่มน้อยพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “วันก่อนก็แอบเจียวไข่ให้จ้อย  ป้าทรัพย์มานับไข่ตอนเช้า  เห็นหายไปใบหนึ่ง  แกโกรธถึงขั้นหักเงินน้า”

   หน้าหญิงกลางคนหม่นลงเหมือนราหูอม จ้อยยิ้มปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ  จ้อยไม่อยากให้น้าเดือดร้อน”

   หากในหัวจ้อยยังนึกถึงคำพูดของเมียกำนัน  ครั้งแกโยนกับข้าวที่ยายฝากมาใส่หน้าจ้อย 

   “ไหนๆ ยายแกก็ฝากมาให้แกกินคนเดียวแล้ว  แกก็กินของยายแกไปก็แล้วกัน!”

   เรือนครัวสั่นสะเทือนกึงๆ เหมือนจะถล่ม  ร่างสูงใหญ่ทะมึนบุกเข้ามาราวพายุ  ไม่ต้องหันไปมองจ้อยก็รู้ว่าใคร  เอะอะมะเทิ่งเป็นช้างทะลายโขลงแบบนี้มีอยู่คนเดียวในบ้าน 

   จ้อยรีบซ่อนชามอาหารเย็นที่เพิ่งกลืนไปได้สองคำ  จ้อยไม่ได้อาย  แต่จ้อยไม่อยากให้มันมาเห็นจ้อยในสภาพน่าเวทนา  จ้อยไม่อยากได้รับความสงสารจากมัน 

   แต่มีหรือจะพ้นสายตาไอ้สิงห์ไปได้ 

   มือใหญ่รี่เข้าไปคว้าชามข้าว  เพ่งมองแล้วหัวใจสลดวูบ  ปลายข้าวแข็งเป็นกรวดคลุกกับเศษน้ำพริกเก่าสีคล้ำ  ข้าวหมายังมีสภาพดีกว่านี้  เอาไอ้ที่อยู่ในชามนี่เทให้หมามันยังยกขาเยี่ยวใส่เลย! 

   แผ่นอกกว้างกระเพื่อมรุนแรง  ถึงว่า.. เขาสังเกตมาระยะหนึ่งแล้วว่าน้องซูบลง  กับข้าวกับปลาที่กินทุกวันก็เห็นแม่เททิ้งให้หมาหมด  หลงนึกไปว่าจ้อยคงกินกับพวกน้าแป้น  ที่ไหนได้  ไปรีดเอาความกับมารดา  แกบงการไว้เสร็จสรรพ  จัดแจงให้จ้อยทำงานจนต้องกินข้าวเป็นคนสุดท้าย  แม้แต่ของเหลือจากสำรับของบ่าวยังถูกเททิ้งไม่เหลือหลอ  แล้วสั่งให้จ้อยกินแต่น้ำพริกกับไข่ต้มที่ยายช้อยเอามาให้!   

   มือใหญ่ได้แต่กำหมัดแน่น  เขาจะทำอะไรได้  ในเมื่อคนที่โกรธสุดจิตสุดใจในตอนนี้คือ.. ผู้ให้กำเนิด 

   “กี่วันแล้ว” เสียงห้าวเค้นถามลอดไรฟัน “กินแบบนี้มากี่วันแล้ว” ดวงตาวาวโรจน์จ้องวงหน้าซูบซีดตรงหน้าเขม็ง  น้องไม่ตอบ  ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ากัน

   “อา..อาทิตย์กว่าแล้วจ้ะ” น้าแป้นละล่ำละลักตอบให้  สิงห์กัดฟันกรอด  ฉวยคว้าข้อมือเล็ก  เรี่ยวแรงน้อยนิดพยายามขัดขืน  แต่นักเลงหนุ่มยิ่งบีบแน่นเหมือนคีมเหล็ก  ลากหัวซุนออกไปจากครัว  ตรงไปยังมอเตอร์ไซค์คันยักษ์ที่จอดไว้ใต้ถุนเรือน 

   “จะไปไหน!!” นั่นปะไร  เสียงตะคอกกราดเกรี้ยวดังลงมาจากหัวบันได  แม่ยืนเท้าเอวจังก้าเป็นยักษ์ขมูขีอยู่บนนั้น 

   “พาน้องไปกินข้าว!” สิงห์ตะโกนตอบไม่ยำเกรง  มือยังกำมือน้องแน่นยิ่งกว่าแน่น 

   “น้องเรอะ!?” แม่กรีดเสียงแหลมสูง “แกเรียกใครว่าน้องนะตาสิงห์!”

   ไม่รู้ว่าคำนั้นมันมีอะไรนักหนา  จึงมีฤทธิ์ให้แม่เต้นผางเป็นเจ้าเข้า  เหตุการณ์จากนั้นสุดแสนชุลมุนชุลเก  มีข้าวของถูกเขวี้ยงลอยมาเป็นห่าฝน  ไอ้สิงห์เอาตัวหนาๆ ของตนเป็นกำแพงบังจ้อยเอาไว้  แสงไฟที่ส่องลอดออกมาจากเรือนส่องให้เห็นหน้าน้องขาวซีดเป็นกระดาษ 

   แม่เคย ‘ตามใจ’ เขามาทุกเรื่อง  ยกเว้นแต่เรื่องจ้อย  ที่ดูเหมือนให้ตายก็ไม่มีวันลงให้  คำด่าจำพวก ‘ไอ้ลูกไม่รักดี’ ‘ไอ้ลูกทรพี’ ‘เห็นขี้ดีกว่าไส้’ แหวกว่ายอากาศมาเข้าหู  สิงห์ไม่เข้าใจเลย  ว่าแค่การที่เขารักใครสักคนหนึ่งสุดหัวใจมันอกตัญญูต่อแม่ตรงไหน

   “หยุดนะ!” แม่ร้องลั่นเมื่อเห็นเขาคว้ามอเตอร์ไซค์ “รถเครื่องที่แกขี่มันก็เงินแม่!”

   นักเลงหนุ่มขบกรามแน่น  สายตาที่มองผู้ให้กำเนิดเปี่ยมด้วยความผิดหวังสุดแสน  มือใหญ่เขวี้ยงกุญแจรถทิ้งลงพื้นไม่ใยดี  ฉุดมือน้องจ้ำเดินเร็วรี่หนีเสียงด่าทอโหวกเหวกไม่หยุด

   ตรงไปยังท่าน้ำหลังบ้าน  เรือน้อยของน้าเวกจอดอยู่ตรงนั้น

*******************************

(มีต่อก่ะ :hao7:)

ออฟไลน์ ดอกไม้

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +326/-1
ค่ำแล้วตลาดโต้รุ่งยังคึกคัก  จ้อยนั่งตัวลีบอยู่ในร้านข้าวหมูแดงชื่อกระฉ่อน  คนนั่งเต็มทุกโต๊ะ  เสียงสั่งอาหารวุ่นวายจอแจ  จ้อยยังอกสั่นขวัญบินกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย  ตั้งแต่รู้จักไอ้สิงห์มา  เพิ่งเคยเห็นมันทะเลาะกับแม่ใหญ่โตก็วันนี้  คุณนายพูนทรัพย์ก็เช่นกัน  จ้อยเพิ่งเคยเห็นแกด่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนรุนแรงขนาดนี้ 

เพราะจ้อยหรือ?

มือใหญ่วางขวดน้ำแดงลงตรงหน้า  เปิดฝาปักหลอดมาให้เสร็จสรรพ  จ้อยเพียงเหลือบมองแล้วเบือนหน้าหนี  แอบลูบข้อมือตัวเองป้อยๆ  ไม่ได้สมัครใจมากับมันสักนิด  ถูกมันฉุดกระชากลากถูมาทั้งนั้น 

   คนตัวโตถอนใจแผ่วเบา  ลากเก้าอี้หัวโล้นมานั่งชิดอย่างถือวิสาสะ  จ้อยเขยิบหนีออกห่างจนไหล่แทบไปเกยกะหน้าอกนางแบบในปฏิทินข้างฝา  มันทำท่าขยำไหล่ตัวเองอย่างเมื่อยขบ  ก็แน่ละ.. พายจ้ำเอาๆ จากบ้านกำนันมาถึงตลาดในชั่วเคี้ยวหมากจืดเช่นนี้  ไม่เมื่อยได้อย่างไรไหว 

   “กินอะไรดี” มันถาม  จ้อยสั่นหัวแทนคำตอบ 

   “ไม่หิวหรือ” มันถามอีก  จ้อยก็ส่ายหน้าอีก 

   “แต่เมื่อกี้เอ็ง..” 

   “บอกว่าไม่หิว!” จ้อยตะคอกใส่อย่างหมดความอดทน  แต่แล้ว...

   โครกกกกกกกกกกกกกก

   ท้องไส้ประท้วงอย่างหน้าไม่อาย  จ้อยมองหน้าไอ้สิงห์แล้วเม้มปากแน่น  ดังออกปานนี้มันต้องได้ยินแน่ๆ  สองมือกุมท้องตัวเองไว้  มันจะได้ไม่ส่งเสียงโครกครากประจานใครได้อีก 

   หนุ่มน้อยเบือนหน้าหนีสายตาคู่นั้น  ป่านนี้มันคงยิ้มหยัน  เยาะเย้ยคนอวดดีที่ปากเก่งบอกว่าไม่หิว  แต่แท้จริงแล้วไส้กิ่วแทบจะขาด 

   “ข้าวหมูแดงจานนึง  พิเศษด้วย!” เสียงห้าวตะโกนสั่ง  เฮียเจ้าของร้านรับคำเสียงดัง  จ้อยหันมองหน้ามัน  ดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองมา  ทว่าไม่มีแม้เศษเสี้ยวความขบขันสักนิด  ผิดจากที่คาดเอาไว้โข 

   มันมองจ้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

   “กินน้ำ” มือใหญ่คว้าขวดน้ำแดง  ดึงหลอดยื่นมาจ่อปาก  จ้อยเบือนหน้าหลบ  อยากจะจองหองบอกว่าไม่กินอยู่หรอก  แต่สีแดงสดสวยนั้นล่อใจเสียจริง  หยดน้ำเกาะพราวรอบขวดท่าทางเย็นเฉียบ  รสชาติมันจะยังหวานซ่าชื่นใจเหมือนเดิม  เหมือนเมื่อตอนจ้อยได้ลิ้มรสมันครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีก่อนโน้นไหม 

   จ้อยกลืนน้ำลายเอื๊อก  เหล่ตามองปลายหลอดที่มันจะป้อนให้ “กินเองได้” เสียงเล็กอ้อมแอ้ม  ยื่นมือไปรับ  มันทำท่าเหมือนไม่ยอมปล่อยให้  แต่สุดท้ายก็ยอม  เหมือนอยากจะ ‘ตามใจ’     

   ขวดน้ำแดงสีสวยมาอยู่ในมือซ้ายของจ้อยได้สำเร็จ  มันเย็นเจี๊ยบจนจ้อยต้องใช้มือขวาที่เจ็บช่วยประคอง  แต่ทว่า.. ขวดลื่นเกินไป  หรือมือจ้อยไม่มีเอ็นอย่างไรไม่ทราบได้ 

   ริมฝีปากยังไม่ทันจรดหลอดด้วยซ้ำ  ขวดแก้วเย็นๆ ก็ลื่นหลุดมือลงพื้นซีเมนต์แตกเปรื่อง  ของเหลวสีแดงเป็นฟองกระจายไหลไร้ทิศทาง  หลายสายตาในร้านหันมองเป็นตาเดียว   

   จ้อยหน้าเสีย  แต่ลึกลงไปในอก  ใจเสียยิ่งกว่า  ดวงตาตื่นตระหนกมองมือขวาตัวเองนิ่ง  มันสั่นสะท้านจนจ้อยต้องกุมเอาไว้บนตัก 

   ไอ้สิงห์ไม่พูดอะไรสักคำ  หัวหน้าอันธพาลย่อตัวลงเก็บเศษขวดแก้วแทบเท้าจ้อยให้  และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมา.. จ้อยก็เห็น.. สายตาที่เต็มไปด้วย.. อะไรบางอย่าง.. อะไรบางอย่างที่ดั่งจะปลอบประโลมหัวใจ

   “กินข้าวซะ” มันว่าเสียงเรียบ “เดี๋ยวพี่จะพาไปหาหมอ  วันนี้ครบกำหนดตัดไหมแล้วไม่ใช่หรือ”

   ทีนี้.. พอน้ำแดงขวดใหม่ยกมาเสิร์ฟ  จ้อยก็สิ้นพยศ  ยอมให้มือใหญ่ๆ คู่นั้นป้อนน้ำให้แต่โดยดี  กระทั่งข้าวหมูแดงจานโตนั่นด้วย  ตอนแรกก็ทำเก่งจะกินเองด้วยมือซ้ายอยู่หรอก  แต่พอจ้อยทำช้อนสังกะสีงอเป็นเลขเจ็ดและทำข้าวหกเกลื่อนเท่านั้น  จ้อยก็จำใจให้มันป้อนอย่างหมดท่า 

   “อิ่มแล้ว” เสียงเล็กอุบอิบ  เบือนหน้าหนีมือใหญ่ที่ยื่นช้อนจ่อปาก  สิงห์เลิกคิ้วฉงน  มองจานข้าวหมูแดงที่ถูกตักกินไปได้แค่สองคำอย่างไม่เข้าใจ 

   “อิ่มเร็วนักเล่า”

   “เอ่อ..” วงหน้าอ่อนใสก้มงุด “ห่อกลับบ้านได้ไหม”

   “ทำไมไม่กินให้หมดที่นี่  จะห่อกลับทำไม”

   จ้อยไม่บอกหรอก  เรื่องอะไรจะบอกให้มันสมเพชเปล่าๆ  หัวเด็ดตีนขาดจ้อยก็ไม่บอก

   “แล้ว..” เสียงเล็กอ้อมแอ้ม “เดี๋ยวไปหายายนะ” พูดได้แค่นั้นก็ต้องเบือนหน้าหลบลูกตาที่มองมาราวกับจะทะลุทะลวงถึงเนื้อใน  สายตาที่ทอดนิ่ง.. อุ่นเอื้อ.. เอ็นดู..

   มันมองจ้อยเช่นนั้นอยู่ชั่วอึดใจ 

   “เอ็งจะบ้าหรือไง” สุดท้ายก็โพล่งลั่น  ทำหน้าเหมือนอยากเขกมะเหงกจ้อยเต็มแก่ “คิดว่ายายช้อยจะมีฟันเคี้ยวเรอะ  หมูกรอบเอย กุนเชียงเอย” ปากก็บ่น มือก็คว้าช้อนที่เพิ่งรวบเรียบร้อยตักหมูแดงชิ้นโตยัดใส่ปากจ้อย “เอ็งนั่นแหละ กินเข้าไปให้หมด”

   จ้อยเคี้ยวตาเหลือกตาปลิ้น  นี่.. ไอ้สิงห์มันรู้ได้ยังไง?     

   จ้อยยังไม่ได้บอกมันสักคำว่ายายไม่เคยกินข้าวหมูแดงมาก่อนเลยในชีวิต  และจ้อยก็แค่.. อยากให้ยายได้กินของอร่อยอย่างจ้อยในตอนนี้บ้าง

   “เฮีย! ข้าวหมูตุ๋นใส่ห่อ” มันตะโกนสั่งลั่นร้าน ก่อนหันมาบอกจ้อย “ยายเอ็งต้องกินของนิ่มสิ  หมูตุ๋นร้านนี้เขาเคี่ยวเปื่อย  โดนลิ้นก็แทบละลาย” 

   มีการยักคิ้วให้  ส่วนมือก็ยังอุตส่าห์เขี่ยกุนเชียงเก็บไว้ให้จ้อยกินเป็นอันดับสุดท้าย

   มันชักจะรู้ใจจ้อยดีเกินไปแล้ว!?

***********************

   สถานีอนามัยยังไม่ปิดทำการตอนที่พวกเขาไปถึง  หมออนามัยเอ็ดเล็กน้อยว่านึกว่าจะลืมนัดตัดไหมวันนี้เสียแล้ว  แต่พอเห็นแผลก็ชมเปาะว่าแผลสะอาดดี  แบบนี้สิถึงได้หายเร็วและไม่ลุกลามเป็นแผลเรื้อรัง  บ่งบอกถึงการดูแลอย่างดี  ไม่ให้โดนน้ำ  แถมยังล้างแผลอย่างเอาใจใส่อย่างเสมอด้วย

   สิงห์อยากจะยืดอกภูมิใจอยู่หรอก  แต่พอเห็นหน้าซีดขาวแทบไร้สีเลือดของน้องแล้ว  หัวใจก็พลันยวบลงไปอีก  มือน้อยข้างนั้นสั่นสะท้านจนอีกข้างต้องกุมไว้  รอยกังวลฉายชัดในดวงตา

   ใครเลยจะรู้.. ในหัวอกอันว้าวุ่น  จ้อยคิดไปสะระตะ  มันก็ไม่เจ็บปวดแล้ว  แต่ทำไมจ้อยยังจับปากกาไม่ได้  หยิบจับอะไรก็ลื่นหลุดมือไปเสียหมด  เพราะคุณนายพูนทรัพย์ตัดเส้นเอ็นจ้อยขาดจริงๆ หรือจ้อยแค่วิตกจริตเกินไปกันแน่  อาการไหนคือจินตนาการที่จ้อยสร้างขึ้น  อาการไหนคือความจริง  มันตีกันจนสับสนยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว 

   มือเทอะทะเป็นใบพายวางลงบนมือเล็กแผ่วเบา  จ้อยสะดุ้งเฮือก  หาใช่เพราะรังเกียจไม่  หากเพราะกระแสอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาจากมือนั้นต่างหาก 

   น่าแปลก.. จ้อยไม่สะบัดมือหนี  และมือข้างนั้นก็ค่อยๆ สงบนิ่งลง

   หัวใจของจ้อยเองก็เช่นกัน 

   เสร็จสิ้นกระบวนการในเวลาไม่นานนัก  ความมืดโรยตัวลงคลุมท้องฟ้า  จันทร์เสี้ยวเกี่ยวแขวนเปล่งแสงสีเงินยวง  มืดจนมองไม่เห็นลายมือ  แต่จ้อยก็ยังเอาแต่จ้องมือขวาที่ว่างเปล่าของตน  มันเป็นอิสระจากพันธนาการผ้าพันแผลแล้ว  แต่จ้อยยังเอาแต่กำๆ แบๆ มือตัวเองอยู่นั่น 

   บนเรือน้อย  สิงห์คัดท้ายพาน้องกลับบ้าน  เบื้องบนคือดวงดาวกะพริบพราวอยู่กลางฟ้า  เบื้องล่างคือท้องน้ำระยับวาว  เสียงลมไหวไผ่ริมคลองดังซู่ๆ สลับกับเสียงวาดพายจ๋อมๆ  แสงตะเกียงตรงหัวเรือส่องให้เห็นเจ้าตัวเล็กที่ยังเอาแต่ก้มหน้ามองฝ่ามือตน  แน่วแน่อยู่เช่นนั้นจนไม่สนใจทัศนียภาพรอบข้าง  เรือน้อยลัดเข้าคลองท่อ  สิ่งซึ่งบ่งบอกว่าใกล้ถึงบ้านยายช้อยเข้าไปทุกทีคือต้นลำพูสองฝั่งแน่นขนัด  และ ณ คุ้งน้ำนั้น.. จุดสีทองเรืองแสงนับหมื่นพันกระจัดกระจายเรื่อเรืองดั่งหลงทางเข้ามาในแดนดาว
   หิ่งห้อยบางตัวบินผ่านหน้าเขาไป  ที่เกาะตามกิ่งลำพูก็เปล่งแสงวูบวาบจนตาพร่า  งดงามดั่งภาพฝัน.. แต่น้องไม่สนใจจะมองสักนิด 

   นักเลงหนุ่มถอนใจแผ่วเบา  ข้อลำล่ำสันคัดท้ายเรือเข้าเทียบตลิ่ง  ก่อนขยับเข้าไปใกล้แผ่นหลังเล็ก  นั่นละ.. เจ้าตัวดีจึงหันขวับกลับมา 

   “จอดเรือทำไม!” เสียงเล็กขู่ฟ่อ 

   “ขอดูมือหน่อย” เขาพูดดีๆ  ไม่มีแม้ความกรรโชกสักนิด  หากไอ้ตัวจ้อยดันถลึงตาใส่  กุมมือตัวเองไว้แน่น  ขยับถอยกรูดยามเขาชะโงกตัวเอื้อมหยิบตะเกียงมาวางตรงหน้า  แสงวอมแวมสะท้อนให้เห็นหน่วยตาดำมีแววระแวงฉายชัด

   “ยังเจ็บอยู่ไหม” เขาถาม  น้องยังเอาแต่จ้องหน้า  ทำท่าเหมือนกลับพร้อมจะโดดน้ำตูมหนีไปได้ทุกเมื่อ  พิรี้พิไรแบบนี้เป็นเมื่อก่อนเขาคงใช้กำลังกระชากมือข้างนั้นมาแล้ว 

   แต่คืนนี้.. ตรงนี้.. ไอ้สิงห์ทำได้แค่สบดวงตาคู่นั้นนิ่งงัน

   “กลัวเขียนหนังสือไม่ได้หรือ” คำถามอุ่นเอื้อ  ชายหนุ่มเห็นดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลง  ก้มมองมือตัวเองอีกครั้ง “ลองเขียนหนังสือดูไหม” เขาชักชวนกระตือรือร้น  จ้อยเงยหน้าขึ้นมองงงๆ  คิ้วมุ่นเป็นโบว์ 

   ครั้นพอมือใหญ่ล้วงกระเป๋ากางเกง  ยื่นอะไรบางอย่างไปให้  จ้อยเอาแต่มองมันนิ่งงัน

   ปากกาด้ามหนึ่ง..

   ปากกาที่เขาไปขอยืมเจ้าหน้าที่อนามัยมาเมื่อกี้  ยี่ห้อบิค  สีเหลืองสลับดำ  ปากเรียวแหลม 

   “ลองเขียนดู” เขาคะยั้นคะยอ  เจ้าตัวเล็กกัดริมฝีปากชั่งใจ  ก่อนมือสั่นเทายื่นมารับ  ดวงตาคู่นั้นสับสนปนเปกันอยู่ระหว่างความกลัวและความกล้า  มองปากกาในมือดั่งเครื่องชี้ชะตา

   สิงห์แบมือยื่นไปตรงหน้าเมื่อเห็นน้องยังลังเล “เอ้า.. เขียนกับมือพี่ก็ได้” และแล้ว.. มือขวาอันสั่นเทาข้างนั้นก็จรดปากกาลง   

   ธรรมชาติของคนเรา  ยามต้องเขียนตัวหนังสือสักตัวหรือคำสักคำ  เขาเขียนอะไรกันหรือ?

   แน่นอน.. ชื่อตัวเอง..

   ท่ามกลางแสงตะเกียงสว่างนวล  คำว่า ‘จ้อย’ บนฝ่ามือเขาแจ่มชัดยิ่งกว่าสิ่งใด 

   “เขียนได้ไหม”

   ใบหน้าเล็กพยักรัวให้ฝ่ามือเทอะทะ  เขาคะยั้นคะยออีก “ลองเขียนอีกก็ได้  เขียนเยอะๆ”

   ตอนนี้ฝ่ามือเขามันเต็มไปด้วยคำว่า จ้อย.. จ้อย.. จ้อย.. แล้วก็.. จ้อย  บางสิ่งบางอย่างค่อยๆ ถ่ายเทลงสู่หัวใจ

   “เขียนได้แล้ว” จ้อยโพล่งออกมาด้วยความดีใจ  เงยใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสขึ้นมองกัน  เก็บดาวบนฟ้ามาร้อยเรียง  ยังไม่เจิดจ้าเท่า

   หัวใจเอ๋ย.. ไม่เคยไหวคลอนถึงเพียงนี้

   ไอ้สิงห์ได้แต่มองรอยยิ้มนั้นผ่านสายตาพร่าพราย  ฝูงหิ่งห้อยหรือม่านน้ำที่เอ่อขึ้นจากหัวใจเต็มตื้นกันแน่ที่ทำให้เป็นเช่นนั้น  หัวใจเกิดเต้นรัวขึ้นมาอีก  เมฆที่ตั้งเค้าในอกพลันแตกสลาย  ฝนที่เคยโปรยสายจนฟ้าและดินไม่มีช่องว่างก็ขาดเม็ดทิ้งช่วง  เหมือนมีแสงทองสาดมา

   เพียงรอยยิ้มหนึ่ง.. จุดจันทร์แจ่มขึ้นในสายตา..

   ดวงใจอันมืดมน  ไม่มืดมิดอีกต่อไป   

   หัวอกอันตรมไหม้  ก็ไม่ขมขื่นอีก

   ซ้ำยัง.. หวาน.. หวานฉ่ำยิ่งกว่าวันที่เขาได้ตักตวงริมฝีปากนั้น  หวานฉ่ำยิ่งกว่าวันที่เขาได้ครอบครองน้องทั้งเรือนกาย 

   ชายหนุ่มอยากวางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มนั้นนัก  แต่เขาต้องหักใจ  เพราะแค่รอยยิ้มเดียว.. ก็คล้ายจะหล่อเลี้ยงใจไอ้สิงห์ได้ชั่วชีวิตแล้ว   

   ถึงบ้านยายช้อย  กระท่อมเก่ามอซอนิ่งสงบอยู่ในความสงัดริมน้ำ  ความมืดสนิทบ่งบอกว่ายายเข้านอนไปนานแล้ว  แต่พอหลานรักส่งเสียงร้องเรียกหา  หญิงชราก็ตื่นขึ้นพร้อมดวงใจอันปิติ 

   ข้าวหมูตุ๋นในห่อเอร็ดอร่อยกว่าทุกมื้อในชีวิต  ยายไม่ยอมกินคนเดียว  แกว่ากินข้าวไปแล้ว  เลยคะยั้นคะยอชักชวนกินด้วยกัน  ไอ้สิงห์แตะไปแค่แมวดม  เพราะใจมันอิ่มเอิบมาตั้งแต่ตรงริมน้ำนั่น

   จ้อยหยิบจับช้อนแคล่วคล่องกระฉับกระเฉง  ไม่มีทีท่าสั่นกลัวจะทำลื่นหลุดมืออีก  นักเลงหนุ่มจึงได้รู้ความจริงอีกอย่างว่า ‘ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ จริงๆ

   ข้าวหมดห่อ  หลานก็ทำท่าจะลากลับ  แอกความเป็น ‘ขี้ข้า’ ยังค้ำคอ  หากลูกชายกำนันบอกว่าดึกมากแล้ว  ให้นอนเสียที่บ้านนี่แหละ  ครั้นพอร่างสูงใหญ่ทำท่าจะลงจากกระท่อมเท่านั้น  มือเหี่ยวย่นก็คว้าต้นแขนเอาไว้

   “ดึกแล้ว  พ่อสิงห์ก็ค้างที่นี่สักคืนซี”

   ดวงตาสีเข้มเหลือบมองเจ้าตัวจ้อย  เห็นไม่พูดไม่ว่ากระไร  เอาแต่นั่งมองลายบนพื้นกระดาน 

   ใครจะรู้บ้างไหม  ว่าบัดนี้หัวใจไอ้สิงห์มันพองโตเกินกำปั้นกำ 

************************

ลูกชายกำนันตื่นแต่เช้ามืดโดยไม่ต้องให้ใครปลุก  เสียงจ้อยกุกกักอยู่ในครัว  ส่วนยายกำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างในความมืด
นอกกระท่อม  เสียงไก่ขันถี่ขึ้นเรื่อยๆ

   “ตื่นแต่เช้าเชียวพ่อ” หญิงชราทักทายแจ่มใส 

   “นอนไม่หลับน่ะยาย” นักเลงหนุ่มเกาหัวแกรกแก้เก้อ 

   “นอนไม่สบายสินะ” แกยิ้มกว้างเห็นฟันดำ “บ้านยายเล็กแค่นี้ คนอยู่บ้านหลังโตอย่างพ่อสิงห์คงไม่ชิน”

   เปล่าหรอกยายจ๋า.. ไอ้สิงห์อมยิ้มในหน้า  ยายคงไม่รู้ว่าระยะหลังเขาตื่นแต่เช้าจนเคยชินแล้ว  ขืนนอนตื่นสายก็อดอาบน้ำให้จ้อย  อดช่วยทำกับข้าวและทำงานบ้านต่างๆ แทนมัน  อดใส่บาตรร่วมขันและอดพายเรือไปส่งมันที่โรงเรียนน่ะซี 

   เพียงแต่เมื่อคืนนี้มันวิเศษกว่าทุกคืน  กว่าพวกเขาจะอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ  ยายก็เข้ามุ้งยึดริมหนึ่งไปครองแล้ว  พวกเขาสบตากันอยู่ในความเงียบ  จ้อยไม่ได้พูดอะไรตอนเปิดมุ้งเข้าไปนอนข้างยาย  เหลือที่ว่างฝั่งหนึ่งไว้ให้เขา 

   สิงห์ใจระรัวเป็นตีกลอง  มันตื่นเต้น  มันตื้นตันในหัวใจ  แบบนี้ใครเล่าจะข่มตาหลับลง 

   “ตื่นแต่เช้าก็ดีจะได้เห็นแสงเงินแสงทอง” เสียงยายปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ 

   “แสงเงินแสงทองเป็นอย่างไรหรือยาย” หัวหน้าอันธพาลว่าพลางเงยหน้ามองขอบฟ้า

   “แสงเงินจะมาก่อนแสงทอง  ที่เห็นฟ้าเหลือบๆ เรื่อๆ นั่นแหละแสงเงิน  เดี๋ยวสายหน่อยก็จะเห็นแสงทองที่สะท้อนจากตะวัน”
   สิงห์เพ่งขึ้นไปบนฟ้าสีเทา  แสงเงินเรื่อเรืองอยู่ทางทิศตะวันออก  ฟากฟ้าเปิดแย้ม  ดวงดาวและความมืดกำลังจะถูกไล่  บรรยากาศยามเช้าเหมือนให้ความหวังแก่ชีวิต  ไก่จากหลายบ้านขันรับอรุณฟังดูเบิกบาน  ชายหนุ่มยังคงเฝ้ารอแสงทองอยู่เงียบๆ 

   มันแบมือขวาออกดู  รอยปากกาคำว่า ‘จ้อย’ ยังเขียวพรืดอยู่เต็ม  ต้องอาบน้ำระวังแทบตายกว่าจะเก็บไว้ให้มันยังคงอยู่เช่นนี้
   หากเชื่อเถิด.. ตัวหนังสือ.. สักวันต้องเลือนลบ  แต่ชื่อนั้น.. เจ้าของชื่อนั้น.. จะสลักจารึกอยู่ในหัวใจเขาตราบนานเท่านาน

   จ้อยสาละวนอยู่ในครัวไม้ฟาก  จ้วงข้าวสารสี่ห้าฟายมือหุงในหม้อดินเก่าคร่ำ  เช้านี้ต้องหุงให้มากหน่อยเพราะมีคนท้องยุ้งพุงกระสอบมาร่วมสำรับด้วย 

ห   นุ่มน้อยลงจากกระท่อมมุ่งหน้าเข้าสวน  ผ่านคนตัวโตที่กำลังกวาดใบไม้แห้งแกรกๆ  ยายสอนเสมอว่าคนตื่นเช้าได้กินผักยอดปลาย  คนตื่นสายได้กินผักยอดด้วน  จ้อยก็นึกว่าคนอย่างไอ้สิงห์มันคงจะได้กินผักยอดด้วนทั้งปีทั้งชาติ  แต่ที่ไหนได้  หลังๆ มานี้มันตื่นเช้าเสมอ  เผลอๆ จะตื่นก่อนจ้อยเสียอีก

   เถาบวบที่เคยออกดอกสีเหลืองบนร้านที่ทำด้วยไม้ไผ่สีสุก  บัดนี้ออกผลยาวอวบอ้วนเขียวงามน่ากิน  จ้อยเลือกเด็ดเอาแต่ที่อ่อนๆ  แถมด้วยตำลึงสดๆ อีกกำมือกลับเข้ามาในกระท่อม  ดึงปลาย่างที่เหน็บไว้กะตับหญ้าคาเหนือเตาไฟ  เลือกเอาออกมาโขลกในครกเสียงขรม  พักเดียวก็เทน้ำลงหม้อดินยกขึ้นตั้ง  พอเดือดพลุ่ง  บุบหัวหอมหย่อนลงไป  นั่งมองดูเปลวไฟจากกองฟืนเต้นระริกเร่า 

   เสียงดุเหว่าแว่วมา  เคล้ากับเสียงห้าวๆ อย่างหนุ่มฉกรรจ์กับเสียงยายคุยกัน  หัวเราะร่าเริง  เสนาะในโสตอย่างน่าประหลาด     

   ทั้งสามคนล้อมวงกินข้าวกันนอกชานกระท่อม  สรวลเสเฮฮา  เป็นบรรยากาศที่จ้อยไม่ได้สัมผัสมานานเนิ่น  กับข้าวบ้านนาอย่างต้มโคล้งปลาย่าง, ผัดบวบและน้ำพริกผักจิ้มดั่งเป็นอาหารเลิศรส  ยายดูเจริญอาหาร  ส่วนไอ้สิงห์.. จ้อยเห็นมันพุ้ยเอาพุ้ยเอา  ข้าวจานที่สามเข้าไปแล้ว 

   จ้อยก็นั่งกินของจ้อยอยู่ดีๆ  แต่ยายส่งสายตามา  มองหน้าจ้อยกับหม้อข้าวกับจานว่างเปล่าของไอ้สิงห์สลับกัน  เล่นเอาจ้อยขมวดคิ้ว  ก็ใครนะเอาหม้อข้าวมาวางไว้ข้างจ้อย 

   เล่นบังคับกันทางสายตาอย่างนี้  จ้อยจะทำอะไรได้ 

   “ไอ้..” นักเรียนครูพลั้งปาก  รีบกลืนลงคอแล้วพูดใหม่อ้อมแอ้ม “..พี่สิงห์”

   “จ๋า” มันขานอ่อนหวาน  แต่จ้อยทำไขหู 

   “เติมข้าวไหม” จ้อยชวนอย่างเสียไม่ได้

   “จ้ะ” มันยื่นจานเปล่ามา  สายตางี้หยาดเยิ้มเป็นน้ำเชื่อม  เล่นเอาจ้อยต้องรีบซดน้ำแกง 

   เอาเปรี้ยวตัดหวานน่ะซี! 

จ้อยไม่รู้ว่าทำไมยายถึงดูเบิกบานนัก  จะว่าดีใจที่จ้อยกลับมาหาหลังจากไม่ได้แวะมาเสียนานก็ไม่น่าใช่  สายตาที่ยายมองจ้อยสลับกับไอ้สิงห์  เป็นประกายอิ่มเอิบเปี่ยมสุข  แถมยังพร่ำย้ำไม่ขาดปาก  ให้รักใคร่กลมเกลียว  ดูแลกันและกันแบบนี้  จ้อยทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ในขณะที่ไอ้สิงห์รีบกระดิกหางรับคำเป็นมั่นเหมาะ  นี่ถ้าจ้อยเป็นผู้หญิง  ยายคงจัดจ้อยใส่พานประเคนมันไปแล้วกระมัง

   ตะวันขึ้นสายโด่ง  ช่วงเวลาแห่งการล่ำลามาถึง  ไอ้สิงห์ต้องกลับบ้าน  และจ้อยก็ต้องกลับไป ‘นรก’ ของจ้อยเสียที  ยายหายเข้าไปในสวนตั้งใจจะไปตัดกล้วยห่ามๆ เอาไปฝากคุณนายพูนทรัพย์  ปล่อยจ้อยกับมันสาละวนเอาเรือออกอยู่ที่ตีนท่า 

   ลำคลองเงียบสงบ  นานๆ ทีจะมีเรือผ่านมาสักลำ  ดอกมหาหงส์แน่นขนัดริมน้ำส่งกลิ่นหอมเย็น  หมู่ผีเสื้อปีกสวยบินวนตอมเกสร  จ้อยยกยอคันน้อยที่ท่าขึ้น  มีปลาสร้อย ปลาแขยงติดอยู่ท้องยอหลายตัว  ตั้งใจจะเอาไปฝากน้าแป้น  ไอ้สิงห์รีบกุลีกุจอมาช่วย  คัดปลาแยกใส่ถังสังกะสี 

   ชั่วขณะหนึ่ง  มือต่อมือสัมผัสกัน.. โดยไม่ตั้งใจ  หากมือใหญ่เทอะทะกลับคว้ามือจ้อยเอาไว้  จ้อยเงยหน้าขึ้นมองมัน  เห็นดวงตาสีสนิทเหล็กมองตรงมา  ดวงตาที่มีแต่ความแน่วแน่.. ซื่อตรง..

   “พี่ขอโทษ..” เสียงทุ้มแผ่วหวิว  จับมือจ้อยแน่น “พี่เห็นจ้อยอยู่สูง.. ห่างไกลพี่ไปทุกที  พี่กลัวสักวันจะเอื้อมไม่ถึง” จ้อยก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่สะบัดหนี  ไม่แม้แต่จะหลบตา  หรือเพราะพรายน้ำระริกไหวในดวงตาคู่นั้น “แทนที่พี่จะตะเกียกตะกายขึ้นไปหาจ้อย  พี่กลับดึงจ้อยให้ต่ำลงมา”

   เสียงที่ไม่ดังไปกว่ากระซิบนั้น  หนักแน่นชัดเจนทุกถ้อยคำ  ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  คว้าถังสังกะสีจ้วงน้ำหล่อเลี้ยงปลาก่อนวางลงหัวเรือ  แล้วจากนั้น.. ไอ้นักเลงโตก็ก้าวลงไปนั่งแหมะในเรือ.. คนเดียว..

   จ้อยทำท่าจะไต่เดียะตามไป  จ้อยต้องกลับไปทำงานใช้หนี้  แต่แขนกำยำกลับใช้พายยันตีนท่า  เบนหัวเรือห่างไป 

   “จ้อย.. ถ้าแม่พี่ทำกับจ้อยถึงขนาดนี้  อย่าอยู่บ้านพี่อีกเลย” ไม่มีแม้ส่วนใดของร่างกายยื่นมาแตะต้อง  หากสายตาคู่นั้น.. ราวกับโอบอุ้มทั้งตัวและหัวใจของจ้อยเอาไว้ “พี่จะปล่อยจ้อยไป.. ต่อจากนี้กลับมาอยู่กับยายเถอะ”

   ยายกลับมาพร้อมกล้วยน้ำว้าสีเหลืองนวล  แกดูแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นมันลงเรือไปคนเดียว 

   จ้อยพูดอะไรไม่ออก  ทำอะไรไม่ถูก  ในสมองว้าวุ่นปนเป  ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างพายเรือจากไปจนลับสายตาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกับอิสรภาพที่มาเร็วเกินตั้งรับ  จ้อยควรจะดีใจใช่ไหม?  แต่ทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกว่างเปล่า  ราวกับอกซ้ายกลวงกลายเป็นช่องว่างมีลมหนาวพัดผ่านไป 

   ราวกับมันเอาหัวใจของจ้อยไปด้วย..
    

โปรดติดตามตอนต่อไป

------------------------------------------------------------------------------------------------------
* แล้วจะรู้ว่าพี่รัก, คำร้อง ไพบูลย์ บุตรขัน, ขับร้อง ทูล ทองใจ
** สุนทรภู่


มาช้ามากๆๆๆๆๆๆ เลยค่ะ ขอโทษคนอ่านด้วยนะคะ ช่วงนี้ดอกไม้งานเยอะมากจริงๆ คิวงานเต็มทุกวันจันทร์ยันอาทิตย์ วันไหนเลิกไม่ดึกมากก็พอมีเวลามาเขียนต่อนิดๆ หน่อยๆ แต่ส่วนใหญ่จะกลับบ้านแล้วทิ้งร่างลงเตียงค่ะ น้ำท่าไม่อาบ อายไลเนอร์ไม่ล้งไม่ล้างแม่ม กรี๊ดดดดดดด ซกมก เยาวชนอย่าลอกเลียนนะคะ  :hao5:

ตอนนี้ถึงจะมาช้าไปหน่อย (ไม่หน่อยละมั้ง) แต่ก็มายาวเป็นพิเศษเลยนะคะ คิดเสียว่าชดเชยที่มาช้าละกันเด้อ เค้าไปนอนก่อนละคะ เจอคำผิดตรงไหนฝากแก้ให้ด้วยนะคะ (อ้าวอิชุ่ย :katai1:) เค้าง่วง เค้าไปนอนละ น้ำยังไม่อาบเลย ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยอาบสองรอบละกันค่ะ คร่อกกกกกก  :katai5:

รักคนอ่านนะคะ

ดอกไม้
๘ ส.ค. ๕๗

ออฟไลน์ banazjj

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
โชคดีที่ยังไม่นอน สงสารคุณชาย กับพี่สิงห์ล่ะเกิ๊นนนนน  :katai1:

ออฟไลน์ ละอองฝน

  • แมวดำ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 261
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +398/-2
 ชอบนิยายเรื่องนี้มากค่ะ มากแบบมากที่สุด
อ่านไปร้องไห้ไปหลายตอนมาก
ตอนนี้ก็เหมือนกัน คือดีใจที่จ้อยดีกับคุณชายแล้ว แต่ก็ยังหน่วงสงสารคุณชายอยู่
อาจารย์คนึงใจแข็งมากๆ ทั้งที่ทำแล้วเจ็บเองยิ่งกว่าก็ยังทนทำต่อไป แต่คุณชายเล็กจะไม่ไหวเอานะ ทรมานแทนเลยค่ะ
ต่อมาก็เรื่องพี่สิงห์กับจ้อย
อยากกรีดร้องเลยกับความพยายามของพี่สิงห์ เราน้ำตาไหลเลยนะคุณดอกไม้ ตอนที่พี่สิงห์ขอโทษน้อง
คือเรารอให้เขาพูดจริงจังแล้วน้องรับฟังมาหลายตอนแล้ว มันปิติในอก บรรยายไม่ถูกเลย  คืออินมากๆ 5555
รักเรื่องนี้นะคะ เห็นคุณดอกไม้บอกไม่มีเวลาเราก็เข้าใจ ยังไงก็จะรอค่ะ รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ รีบๆมานะคะ ^____^

ออฟไลน์ MaEwA

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :o12: :sad4: ฟิคนี้มันบีบบบบบบบหัวใจคนอ่านจริงๆค่ะ ปวดใจน้ำตาจะไหล  อินนนนนเข้าไปกับตัวละคร ชอบมาๆเลยค่ะ กับภาษาหนังสือที่แต่งได้สวยขนาดนี้ ชอบฟิคเรื่องนี้มากๆๆๆ 
สงสารจ้อย ชัวิตเมื่อไหร่จะมีความสุขกับบเข้าหนอ

ขอบคุณที่มาต่อค่าา....รอฟิคเรื่องนี้เสมอ โชคดีที่คืนนี้นอนดึก รักคนแต่ง ดุแลสุขภาพด้วยนะคะ สุ้ๆ

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
ตอนนี้ พี่สิงห์ แม๊นแมน ส่วน อิตาครู ปล่อยมันไปเหอะ อีกแค่ 3 เดือน คุณชายก็ไม่ต้องเจอคนห่วยๆอีกต่อไป

แอบหวังอยากให้พาจ้อยไปด้วยจัง

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ดีใจที่จ้อยกับสิงห์เหมือนจะดีกันแล้ว พออ่านตอนที่พี่สิงห์ขอโทษและบอกจะปล่อยจ้อยไป.....น้ำตาไหลพรากเลย ฮืออออ  :m15:

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ถึงจะมาช้ามากกกกก แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย เรื่องของเลอมานแย่ลง แต่จ้อยกับสิงห์ดีขึ้นเรื่อยๆ
หวังว่าอีนังคุณนายจะไม่มาราวีน้องจ้อยอีก แล้วก็อยากให้พี่สิงห์ทำตัวสูงค่าเพื่อจะได้เท่ากับน้องจ้อยด้วย
ขอบคุณคุณดอกไม้ ถึงจะหายไปนานแต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องนี้ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
สงสารคุณชายจัง ครูทำกับคุณชายแบบนี้ได้ไง
จ้อยกลับมาอยู่กับยายเถอะดีแล้ว ยัยคุณนายนั่นร้ายกาจเกิ๊น ทำไมจองเวรจ้อยขนาดนั้นก็ไม่รุ้

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13
สงสารคุณชาย T^T
ชอบคู่สิงห์จ้อยมากๆ
หวังว่าจ้อยจะรู้ใจตัวเองสักทีน่ะ
สิงห์นี่รักจ้อยมาจากใจจริงๆ
ยอมเปลี่ยนตัวเองทุกอย่าง
ลุ้นคู่นี้มากๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Moose

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
สงสารคุณชายมากกกกกกกก หัวใจของคนึงทำด้วยอะไร ใจร้ายเกินไปแล้ว คุณชายจะต้องกินข้าวเคล้าน้ำตาไปอีกกี่มื้อ ทนหน่อยยะคุณชาย อีกไม่กี่เดือนก็จะได้กลับบ้านแล้ว

คู่น้องจ้อยกับพี่สิงห์น่ารักอ่ะ พี่สิงค์ใจเย็นมาก ถ้าน้องแรงมาพี่สิงห์จะนิ่ง นิ่งสงบสยบน้องจ้อยกันเลยทีเดียว ตอนนี้คู่ของพี่สิงห์กับน้องจ้อยกำลังดีขึ้นมากๆๆๆ อย่ามีอะไรมาพรากความสุขนี้ไปเลยนะ

ขอบคุณคุณดอกไม้ที่มาต่อให้ค่ะ

ออฟไลน์ punthipha

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-0
ขอกอดไอ้พี่สิงห์หน่อยนะจ้อย :กอด1: :กอด1: ไอ้พี่สิงห์ o13 o13 o13

รักคนเขียนนะคะ  :mew1: :mew1:

๘ ส.ค. ๕๗

ออฟไลน์ loyal_mook

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่สิงห์มันน่ารักกกกกกก  :z3:
ปล่อยจ้อยกลับบ้านพอ อย่าปล่อยจ้อยหลุดมือนาๆๆ

ส่วนอาจารย์... ขอ  :z6: โมโห!!!
คุณชายสู้ๆ ดีใจที่คุณชายกับจ้อยเหมือนจะกลับมาดีกันแล้ว ^_____^

รอตอนต่อไป เย้ๆ คนเขียนสู้ๆนะคะ
 :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ nemonoy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อ่านตอนนี้ แล้วรักพี่สิงห์ >_<

ออฟไลน์ ROCKLOBSTER

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-4
แม้จะโง่เง่า แต่ก็มีหัวจิตหัวใจ ตอนนี้เริ่มกลับมารู้สึกดีกับจ้อยบ้างแล้ว ทั้งเรื่องคุณเล็กกับสิงห์ ดูท่าว่าจ้อยจะเป็นคนช่วยพยุงคนทั้งสองไว้ 

อย่างที่จ้อยพูดก็ถูก เล็กไม่ได้เป็นพระพิรุณ แม้จะผิดนัดแต่ก็ใช่ว่าอยากจะทำให้อีกคนตาย :mew2:

อาจารย์คนึงก็ทำเกินไป แต่กรุณาทำให้ตลอด เราจะรอดูผลกรรมที่คุณทำ

ปล. แต่กลัวว่าจ้อยกับพี่สิงห์จะเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันเสียจริงๆ ถ้าเป็นพี่น้องกับเล็กก็ว่าไปอย่าง

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ไอ้พี่สิงห์พี่แมนมาก สมเป็นพระเอกตัวจริง
ไม่เคยคิดว่าไอ้นักเลงหัวไม้ จะหวานละมุนละไมได้ขนาดนี้
หัวอกแม่ยกอิ่มเอมนัก
ส่วนคุณชายเล็ก เรื่องมันเศร้าจนพูดไม่ออก

จ้อยเงยหน้าขึ้นมองมัน  เห็นดวงตาสีสนิทเหล็ก>>>>>>>>>สนิม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2014 15:48:03 โดย malula »

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ในที่สุดก็อัพแล้วววว  :o12: เข้ามาเล้าเพราะรออ่านเรื่องนี้เลย
สงสารเล็กจัง
ช่วงหลังพอพี่สิงห์ไม่ได้ใช้อารมณ์แล้วเป็นผู้ชายที่ดีมากเลยนะ :o8:
หวังว่าน้องจ้อยจะรู้ใจตัวเองเร็วๆ

ออฟไลน์ josephine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 93
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ แบบนี้  รอได้ค่ะ รอได้ แต่ถ้าให้ดี  ลาออกจากงานมาแต่งนิยายดีกว่าเนอะ

ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
กรี๊ดดดดดด
จุใจมากกกก น้องจ้อย กะ อ้ายพี่สิงห์
อ่านไป ยิ้มไป หัวใจ มันพองๆ ไงไม่รุ้
มาตอบจะจบ มันก้อร้าวรานแบบ เปลี่ยม สุข
Incest ?

ออฟไลน์ SoulFighter

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ตอนนี้พี่สิงห์เอาใจไปเต็มๆ  :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด