บทที่ ๓๐
ขอรักคืน(ครึ่งแรกจ้า

)
ห่วงสวาทขาดคลายคลอน
ปวดร้าวใจรอนๆ ฉันต้องนอนร้องไห้
เธอเป็นสุดที่รักจากใจ
แม้ผิดพลั้งไปให้อภัยเสมอมา
โอ้รักใครทำให้พรากกัน
จงรู้ว่าฉันเฝ้าโศกศัลย์ครวญหา
ใจเดียวซื่อตรงและบูชา
ยังรักหนักหนา กรุณาขอรักคืน*รุ่งสาง.. ละไอหมอกบางยังคลุมฟ้าเป็นม่านสีขาว ไอเย็นโรยลงจับตัวจนคนึง วนาสัยต้องห่อไหล่ ดวงตาสีเข้มมองเรือนไม้ตรงหน้าผ่านม่านหมอกสลัวราง สักพักแดดอ่อนคงทอมา เปลี่ยนหมอกขาวเป็นน้ำค้างร่วงลงเกาะตามใบหญ้า
แล้วเช้านี้.. จะมีน้ำค้างแห่งความโศกตรมหยดใดเกาะอยู่บนแก้มนวลของคนที่นอนหลับใหลอยู่ในห้องน้อยริมสุดนั่นเหมือนเช่นคืนก่อนๆ นี้ไหมหนอ
คนตัวโตย่างฝีเท้าขึ้นบันไดเงียบกริบ เพราะรักอาลัยหรือเพราะใจไม่เจียมกันแน่ที่สั่งให้เขามาที่นี่ มือใหญ่เปิดและปิดประตูอย่างเบามือที่สุด
ณ ริมหน้าต่างบานนั้น ปลาตะเพียนสานสองตัวที่ถูกแขวนไว้ยังอยู่ที่เดิม มันสงบนิ่งไม่ติงไหว เช่นเดียวกับร่างที่นอนขดคู้อยู่บนเตียง ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ข่มกลั้นบางสิ่งที่ปะทุขึ้นมาในอก
คนึงไม่กล้านั่งบนเตียง กลัวความไหวยวบจะปลุกให้หนุ่มน้อยตื่น ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งกับพื้นกระดานเย็นเฉียบ ความจริง.. ตรงนี้ก็เหมาะสมดีแล้วกับฐานะต่ำต้อยอย่างเขา
เสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ซบอยู่กับหมอนขาวสะอาด ผมสีน้ำตาลสวยยุ่งเหยิง นั่นปะไรเล่า คราบน้ำตาจางๆ ทิ้งรอยไว้บนแก้มอีกแล้ว อาจารย์หนุ่มยื่นมือเกลี่ยไล้ด้วยปลายนิ้วแผ่วเบา เด็กหนอเด็ก เคยขี้เซาอย่างไรก็ยังขี้เซาอย่างนั้น คนเขาแอบมานั่งมองหน้าทุกวันก็ยังไม่รู้เรื่อง
ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงอย่างรวดร้าว ยามนิ้วสากระคายแตะแผ่วเบาบนแก้มนุ่ม เล็กเอ๋ย.. หนูเล็กของครู.. ทำไมต้องเป็นหม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ ทำไมต้องเป็นลูกหลานเจ้าขุนมูลนาย เป็นเจ้าเด็กดื้อของครู เป็นหนูเล็กของครูไม่ได้หรือ เลอมานจะรู้บ้างไหม คนที่ดูใจร้ายเหลือเกินคนนี้ เก่งได้แต่เพียงต่อหน้าเท่านั้น พอลับหลังได้แต่มองตามละห้อยหา พอความคิดถึงทำร้ายหนักเข้าก็ย่องเข้ามาดูหน้าไม่ต่างอะไรจากแมวขโมย
กลิ่นแป้งอ่อนจางกระทบจมูก กลิ่นที่คุ้นเคยเหลือเกิน หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่รีรอเลยที่จะรั้งร่างนี้เข้ามาแนบอกแล้วสูดกลิ่นหอมที่สองแก้มขาวแรงๆ เสียให้ชื่นใจ
กลิ่นหอมเบาบาง จากจางจากจิต
หน้านวลชวนพิศ ยังติดในฝัน หากบัดนี้.. แค่คิด.. ยังมิอาจเอื้อม..
หากรู้วันพบ จำต้องจากกัน
จะหอมกลิ่นนั้น ให้นานกว่าเดิม เวทมนต์กลใดเล่า กระไอเหน็บหนาวในเช้าอ้างว้าง หรือแสงทองที่ส่องลอดผ้าม่านลงมากระทบแก้มเนียนเป็นนวลตอง หรือปีศาจตนใดสิงสู่ใจชั่วขณะ
ปลายจมูกโด่งเป็นสันฝังลงแก้มนุ่ม สูดกลิ่นหอมที่แสนอาลัยไว้เพียงแผ่วเบา
โดยไม่คาดคิด เปลือกตาบอบบางกะพริบปริบ แมวขโมยตกใจแทบหัวใจหยุดเต้น! ผงะถอยห่างทันที!
“อือ..” หนูเล็กของครูครางแผ่ว ขยี้ตาป้อยๆ “อาจารย์..” สุ้มเสียงงัวเงียเหมือนเด็กตื่นไม่เต็มตา หากพอเห็นผู้มาเยือนกระจะตาเท่านั้น
“อาจารย์..” หนุ่มน้อยสำลักถ้อยคำ “อาจารย์มาหาเล็ก..” กระแสยินดีปนเปกับความพิศวง มือขาวยื่นไขว่คว้า หากคนตีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกลับผลุนผลันเดินหนี
“อาจารย์!” เลอมานหรือจะยอม ร่างโปร่งบางพรวดพราดลงจากเตียง แต่เพราะความงัวเงียหรือเพราะดีใจเกินไปก็มิอาจทราบได้ ราชนิกูลหนุ่มก้าวพลาดลงกองจุ้มปุกอยู่หน้าเตียงนั่นเอง
“เล็ก!” คนึงเหมือนนักแสดงหลุดจากบทบาท โขนยักษ์เกรี้ยวกราดหลุดกระเด็นไปไหนไม่รู้ เหลือแต่เนื้อแท้แห่งครูหนุ่มผู้มิอาจตัดใจจากรัก ร่างสูงใหญ่ถลันเข้ากอดตระกองดวงใจ พลิกมือพลิกไม้ดูทีหรือว่ามีตรงไหนบุบสลายหรือไม่
“อาจารย์..” ดวงตาสีน้ำตาลใสมองมาอย่างเต็มตื้น “ไม่เกลียดเล็กแล้วหรือ” คนึงคล้ายถูกตบหน้า ชายหนุ่มคุมหัวใจไว้แทบวายไม่ให้เผลอรั้งร่างขาวลออมากอดแนบอก เขาจะตอบคำถามนั้นอย่างไรได้ ในเมื่อความเกลียดมันไม่มีหลงเหลืออยู่แล้วนับแต่มีความรักมาแทนที่
ไปเถิด ขืนอยู่นานกว่านี้.. กำแพงสูงที่อุตส่าห์ก่อขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อกั้นระหว่างเขาและเลอมานจะพังทลายลงเสียเปล่าๆ
อาจารย์หนุ่มผละออกห่าง ก่อนพรวดพราดออกจากห้องโดยไม่มีคำพูดใดสักคำ ปล่อยหนุ่มน้อยที่ยังนั่งกองกับพื้นมองตามจนลับตา
อาจารย์ยังรักเขาอยู่แน่นอน เลอมานมั่นใจเช่นนั้น
เหตุการณ์เมื่อเช้า ดั่งเชื้อไฟจุดประกายกองเถ้าถ่านที่เจียนมอดดับเต็มทีให้ลุกโชนขึ้นมาอีก ความหวังอันริบหรี่กลับเรืองรองขึ้นอีกครั้ง
เขาจะทำทุกอย่างเพื่อเหนี่ยวรั้งความรักคืนมา!
*****************************
เดือนสิบเอ็ดข้าวในนาเขียวชอุ่มโตเต็มที่ และพากันตั้งท้องรอเวลาออกรวง สายฝนซึ่งเคยตกชุกก็จะทิ้งระยะห่าง ฟ้าที่มีเมฆดำลอยต่ำ จะถูกลมพัดลอยขึ้นเบื้องสูง แล้วสายลมอีกชนิดหนึ่งก็จะโชยพัดมาเป็นระลอกๆ แสนสดชื่น ชาวนาเรียกลมชนิดนี้ว่า ‘ลมข้าวเบา’ พอลมข้าวเบาพัดมา ข้าวเบาก็จะพากันออกรวงชูช่อเหลืองทองชี้ขึ้นไปอวดท้องฟ้า แต่ข้าวหนักจะยังไม่ออกเพราะยังไม่ถึงเวลา
จ้อยวาดพายพาเรือน้อยลัดเลาะไปตามคลองท่อ เสียงพายกระทบน้ำดังจ๋อมๆ ในหัวใจว่างโหวงอย่างประหลาด ดังลมข้าวเบาพัดพาบางสิ่งพรากจากไป
คิ้วเรียวขมวดมุ่น อดสงกาไม่ได้ จ้อยก็ได้กลับมาอยู่กับยายดังเดิมแล้ว ไม่ต้องกลับไปเป็นขี้ข้ารองมือรองตีนใครที่บ้านกำนันอีก นับแต่วันที่ไอ้สิงห์บอกว่าจะปล่อยจ้อยไป มันก็ทำเช่นคำพูดทุกคำ สองวันหลังจากนั้น น้าเวกก็พายเรือมาหาถึงบ้าน จ้อยเผลอใจหายแวบ นึกว่าจะถูกตามตัวกลับไป ที่ไหนได้ ตะแกเอาโฉนดที่นาของยายยื่นมาให้ พูดแค่ว่าไอ้สิงห์ฝากเอามาคืน เล่นเอาจ้อยกะยายมองหน้ากันตาปริบๆ
จ้อยน่าจะมีความสุขกับชีวิตที่ดำเนินไปตามปกติเช่นก่อน แต่เหตุใด.. จึงรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไปตลอดเวลา
ตลาดยอดยามใกล้รุ่งยังคึกคักเช่นทุกวัน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม พ่อค้าแม่ขายส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เด็กเข็นผักเดินสวนกันขวักไขว่ ผู้คนมาจับจ่ายคลาคล่ำดังเดิม หากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือจ้อยไม่ได้มาเดินตลาดในฐานะคนรับใช้หนีบเงินนายมาซื้อกับข้าวอีกแล้ว
อ้อ.. และอีกอย่างที่เปลี่ยนไป.. กลุ่มนักเลงคุมตลาดที่เที่ยวเดินกร่างทวงค่าแผงอยู่อาดๆ นั่น.. ขาดหายไปคน..
ไอ้ลอย ไอ้หมาน ไอ้หมูเลิศเดินใหญ่คับตลาด ไอ้ลอยนั้นมาดบ่งบอกว่าเป็นหัวหน้าฝูงเต็มที่
....ไม่มีวี่แววไอ้สิงห์....
จ้อยรีบเดินเลี่ยงหลบพวกมันมาอีกทาง ไม่อยากเผชิญหน้า หากในอกอดครุ่นคิดไม่ได้ ไอ้สิงห์หายไปไหน จ้อยไม่เจอมันหลายวันแล้ว ที่ตลาดก็ไม่เจอ จ้อยเคย(บังเอิญ)พายเรือผ่านบ้านกำนัน (บังเอิญจริงๆ นะ) ลองสอดส่ายสายตามองหา ก็ไม่มีวี่แวว ปกติมันชอบมาเกาะรั้วโรงเรียนแอบมองจ้อยเสมอ ระยะนี้กลับไม่มีแม้เงา
หากจะลองตรองดูให้ดี จ้อยไม่เห็นมันอีกเลยตั้งแต่วันที่มันบอกว่าจะปล่อยจ้อยไป
จ้อยไม่เข้าใจเลยว่าจ้อยจะเฝ้าพะวงถึงมันทำไม
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจ้อยต้องถลาเข้าไปหาน้าแป้นทันทีที่เห็นแกยืนจิ้มเนื้อหมูอยู่หน้าแผงเฮียจั่นด้วย
และไม่เข้าใจเลยว่า.. คำถามแรกที่หลุดจากปากจ้อย ทำไมถึงเป็นชื่อมัน?!
“โอ๊ย ครู เรื่องมันยาว” หญิงกลางคนว่าเสียงสูง จูงมือจ้อยมาที่ลับตาคน ทำท่าคันปากเต็มแก่เหมือนแมงเม้าชอนไชยุบยิบ “ไอ้คืนนั้นนั่นแหละ คืนที่พ่อสิงห์เฟี่ยงกุญแจรถเครื่องใส่แม่ แล้วก็พาครูกลับบ้านไปนั่นแหละ”
ถ้อยคำพรั่งพรูเหมือนน้ำหลาก จ้อยรับฟังนิ่งงัน หัวอกเอ๋ยสะท้อนสะเทือน
“วันรุ่งขึ้นนะครูเอ๋ย ยังกะฟ้าถล่มใส่หลังคาบ้านกำนัน พอคุณนายปะหน้าลูกชายเข้าเท่านั้นแหละ”
‘หายหัวไปไหนมาตาสิงห์! แล้วทำไมกลับมาคนเดียว ลูกอีกะหรี่มันหายไปไหน!’
‘อยู่บ้าน!’
‘ห๊ะ! บ้านไหน มันจะไปไหนได้ก็บ้านนายมันอยู่ที่นี่ มันเป็นขี้ข้าบ้านนี้!’
‘ผมพาจ้อยไปส่งบ้านแล้ว ไม่ให้กลับมาที่นี่แล้ว’ “ครูเอ๋ย แม่เจ้าประคุณดิ้นเร่าๆ หยั่งก๊ะองค์ประทับ มือไม้มีเท่าไรแกประเคนใส่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่ยั้ง ปากก็พร่ำด่า ไอ้ลูกเนรคุณ ไอ้ลูกทรพี ไอ้ลูกโง่ ตาสิงห์ได้แต่ยืนบื้อใบ้ให้แม่ทุบเป็นกระท้อน”
‘มึงมันก็เป็นเสียอย่างนี้แล้วกูจะมองหน้าใครได้ คนเขาจะได้ค่อนกันทั้งบางว่าลูกอีกำไลมันได้ดิบได้ดีกว่าลูกกู! อุตส่าห์เอามันมาเป็นขี้ข้าแล้ว มึงยังเสือกโง่ปล่อยมันไปอีก!’ “โอ๊ยครู ถึงกงนี้น้ากะตาเวกหันมองหน้ากันตาปริบๆ นี่ตกลงว่าแม่ทรัพย์แกอิจฉาแม่กำไลเรอะที่ลูกเขารักดีกว่าลูกตัว พ่อสิงห์ก็อึ้งไป มองแม่น้ำตาคลอ ถามเสียงสั่นว่าแม่รักผมหรือรักหน้าตัวเองกันแน่ แม่ทรัพย์เองก็คับแค้นใจจนน้ำตาร่วงเผาะๆ”
‘แล้วหนี้มันล่ะจะเอายังไง!’ “คุณนายแกหงายไพ่ใบสุดท้าย ตานี้ครูรู้ไหมว่าพ่อสิงห์ว่ายังไง” แกกลืนน้ำลายเอื๊อก “เขาบอกว่า..”
‘ผมจะใช้หนี้แทนน้องเอง!’ “เท่านั้นละครูเอ๋ย แกตะเพิดไล่ลูกยังกะหมูกะหมา หยิบจับอะไรได้แม่เฟี่ยงใส่ไม่ยั้ง ปากก็ตะคอกไสหัวไปเลย มึงไม่ใช่ลูกกู! ฝ่ายลูกชายก็ว่า..แม่ใจยักษ์ใจมารแบบนี้ก็ไม่ใช่แม่ผมเหมือนกัน แล้วก็ผลุนผลันลงเรือน แต่สักพักเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ย้อนกลับขึ้นมาใหม่ พ่อสิงห์กลับมาเอาอะไรรู้ไหม” น้าแป้นหยุดพักหายใจหายคอ “โฉนดที่นายายช้อยอย่างไรเล่า!”
หัวใจคนฟังคล้ายเต้นผิดจังหวะ ภาพโฉนดที่นาของยายที่ได้คืนมาเมื่อหลายวันก่อนยังติดตรึง
“นอกนั้นสมบัติพัสถานอะไรพ่อไม่ได้หยิบไปสักอย่าง ไปแต่ตัว ไปแต่ตัวเลยจริงๆ รถเครื่องก็จอดทิ้งไว้หยั่งเก่า เดินดุ่มๆ ลัดทุ่งไป หางตาพ่อยังไม่เหลียวมามอง คุณนายแกก็ด่าไล่หลัง”
‘มึงไปเลย! ไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไปเลย! ไอ้ลูกไม่รักดี! ไม่รักดีพอกันทั้งพ่อทั้งลูก! แน่จริงเอาตัวให้รอด อย่าซมซานกลับมากราบตีนกูก็แล้วกัน!’ “แล้ว..” จ้อยเพิ่งมีโอกาสได้ปริปากพูด “น้ารู้ไหม.. ว่าเขาไปไหน”
“เฮ่อะ ไปไหนไม่ไป เหมือนจะเหยียบหน้าแม่ให้ได้อาย” แกส่ายหัวดิก ก่อนชี้มือไปทางขอบฟ้าทิศตะวันออก “นู้น.. ระเห็จไปถึงโรงสีเล็กของเถ้าแก่ฮง ตรงคุ้งหัวแหลมโน้น!”
-------------------------------------------------แค่เนี๊ยะะะะ

-------------------------------------
แค่นี้แหละจ้ะ แหะๆๆ

ดองมานานมากกกกก เพราะช่วงนี้งานยุ่งมากจริงๆ ค่ะ
จะรีบมาต่อที่เหลือนะคะ ถ้าครึ่งแรกมาแค่นี้ ที่เหลือก็จะยาวววววววละค่ะ
ถึงจะเขียนช้า แต่ดอกไม้ก็รักคนอ่านนะ มุมิ

ดอกไม้
๑๙ ต.ค. ๕๗