บทที่ ๒๗
คนเลวของเธอ (ครึ่งแรกฮะ

)
อยากร้องไห้..
เกิดเป็นชายมีความรักเหมือนกองไฟ
มีดวงใจเหมือนกองเพลิง
ปล่อยใจรักเขาจนเหลิง
โธ่เอ๋ย.. สิ้นแล้วที่เคยเริงใจ
ลืมเธอลงคงไม่ช้ำใจหรอกเธอ อนาถรักจนอดเพ้อไม่ได้
ต่อนี้ไปไม่ขอยอมเป็นสุดที่รักของใคร
ขอให้ฉันเป็นคนเลวของเธอ*เช้านี้ประหลาดนัก หม่อมราชวงศ์หนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
อ้อมแขนอุ่นล้ำที่คอยตระกองกอด.. เสียงทุ้มนุ่มที่เคยกระซิบปลุกให้ตื่น.. กลิ่นหอมเย็นของดอกมหาหงส์ที่เคยมีใครคนหนึ่งเด็ดมาวางไว้ให้ข้างหมอน.. เช้านี้.. สิ่งเหล่านั้นหายไปไหนหมด
ร่างขาวสะอ้านนั่งหัวหูยุ่งอยู่บนเตียง มือบอบบางอย่างคนไม่เคยต้องงานหนักค่อยๆ บรรจงพับผ้าแพรเพลาะทบวางไว้ปลายเตียงอย่างเรียบร้อย งานเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เขาพอทำเองได้ แต่หากเป็นงานหนักอย่างซักผ้ารีดผ้านั่นล่ะ เจอฤทธิ์เดชแพ้สบู่กรดไปทีเดียว อาจารย์คนึงก็ไม่ให้เขาแตะต้องงานพวกนั้นอีก
ที่นอนข้างกายว่างเปล่าเย็นเยียบดั่งคนที่นอนอยู่เคียงข้างลุกออกไปนานแล้ว ราชนิกูลหนุ่มน้อยยิ้มกริ่ม อาจารย์นี่หนาน่านักเชียว มีธุระร้อนอะไรหนอถึงไม่ยอมปลุกกันแบบนี้ กลับมาเมื่อไร เขาต้องแกล้งงอนให้ง้อเสียให้เข็ด
ไร้ช่อหอมข้างหมอนอย่างที่เคย อืม.. ดูทีวันนี้มหาหงส์คงไม่ออกดอกกระมัง เด็กหนุ่มผิวปากเป็นเพลงแสนสุขใจขณะลงบันไดไปอาบน้ำข้างล่าง หากไม่ทันไรก็ต้องชะงัก..
ที่ตีนบันได กอมหาหงส์ออกดอกขาวพราวเต็มต้น
ความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบ หากเลอมานรีบปัดมันทิ้งทันใด
ไม่มีอะไรหรอกน่า.. ไม่มีอะไรหรอก..
อาจารย์คงจะลืม.. คงมีธุระด่วน ต้องรีบร้อนไปจนไม่ทันได้ปลุกเขา ไม่ทันได้จูบอรุณสวัสดิ์ และลืมเก็บดอกไม้ที่เขาชอบที่สุดมาวางไว้ข้างหมอนให้
ใช่แล้ว.. อาจารย์ต้องลืมแน่นอน..
อาจารย์คนึงไม่อยู่เสียคนหนึ่ง คุณชายรู้สึกดั่งแขนขาหายไปข้างหนึ่งอย่างไรพิกล ปกติมื้อเช้าวันเสาร์-อาทิตย์อย่างนี้ ฟ้าสางพอมองเห็นลายมือ คนึงก็จะพาเขาไปฝากท้องที่บ้านอาจารย์ใหญ่ หากวันนี้เขาตื่นนอนเสียสายโด่งเพราะไม่มีคนปลุก ต้องเร่ระเห็จไปโรงอาหารตามลำพัง แต่ยังก้าวขาไม่ทันพ้นเขตเรือนพัก อาจารย์วิรัชหัวหน้าฝ่ายภาษาอังกฤษกับนักเรียนสองสามคนก็ประคองถาด กระเตงหม้ออวยถ้วยชามรามไหกันมาแต่ไกล
น่าเบื่อ น่าอึดอัด กระแสสอพลออบอวลรอบตัว คุณชายผูกคิ้วนิ่วหน้า อาจารย์วิรัชจะรู้บ้างไหมว่าการเลื่อนเก้าอี้ให้นั่งนี้ เป็นมารยาทที่พึงกระทำต่อสุภาพสตรีเท่านั้น เขาไม่ใช่ผู้หญิง! ไม่ต้องเลื่อนเก้าอี้ให้เขาก็ได้ ห้องรับแขกสับสนวุ่นวายไปหมด นักเรียนสองสามคนที่ดูท่าไม่แคล้วถูกเกณฑ์มาพากันจัดเตรียมอาหารเช้าให้เขา ลุกลี้ลุกลนจนน่าเวทนา.. แต่หากพอเจอสายตาอาจารย์คนอื่นในเรือนพักมองมาแปลกๆ เลอมานก็หันมา ‘เวทนา’ ตัวเองแทน
ตั้งแต่ท่านพ่อและหม่อมย่าเสด็จมา ทุกสายตาที่มองเขาเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น มีความกริ่งเกรง มีความขยาด มีความเหินห่าง มีความเจียมตน ปะปนคละเคล้ากันไป
นี่มันยิ่งกว่าตอนที่เขามาที่นี่ใหม่ๆ ด้วยซ้ำ
คุณชายเล็กคิดถึงอาจารย์สุดใจ เมื่อไรหนอจะกลับมา..
ตกสายหน่อยเลอมานไปเดินเล่นแถวชมรมกสิกรรมอย่างเคย หากทุกอย่างกลับไม่เหมือน ‘เคย’ อีกต่อไป นักเรียนสมาชิกชมรมพากันปรามลั่นเมื่อเขาย่อตัวลงทำท่าจะช่วยเก็บผัก ครั้นพอหันไปช่วยหิ้วบัวรดน้ำแทน ก็ต้องมีคนถลามาแย่งไปจากมือทุกที ยิ่งสันติกับสง่าละไม่ต้องพูดถึง สองคนนั้นเอาแต่หลบหน้าหลบตา จนเลอมานระอาที่จะตามไปคุยด้วยแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงแจ่มชัดขึ้นทุกที ราชนิกูลหนุ่มถอนใจระโหย ขณะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ข้างเล้าไก่ ประคองกล้องราคาแพงจับภาพฝูงลูกเจี๊ยบขนเหลืองฟูที่เดินตามแม่ต้อยๆ กดชัตเตอร์แต่ละทีก็กัดกร่อนหัวใจไปที
วันก่อน.. ท่านพ่อตรัสถามว่า ‘อยู่ที่นี่มีเพื่อนเยอะไหม’
วันนี้.. คุณชายอยากตอบเหลือใจ
นี่ไงครับ.. มีเยอะแยะ เป็นฝูงเลย..
จากตรงนี้ เลอมานแลเห็นร่างสูงใหญ่เป็นยักษ์มักกะสันมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่แถวตีนท่า คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงกา ครั้นพอบุรุษปริศนาเดินมาหาใกล้เข้าก็ถึงบางอ้อ
นึกว่าใคร ที่แท้ก็นายสิงห์ ลูกชายกำนันนี่เอง!
ใบหน้าคมสันซีดเผือดอย่างคนทุกข์หนัก ดวงตาสีสนิมเหล็กคู่นั้นวาววับไปด้วยความหวังทันทีที่เห็นเขา มือหนึ่งหิ้วถุงกระดาษใบเขื่องมาด้วย
“คุณชายเล็ก..” ท่าทีลุกลี้ลุกลน มือหยาบกร้านคว้ามือเขาไปกุมแน่น เขย่าแรงๆ “ช่วยผมด้วย ช่วยจ้อยด้วย”
เลอมานสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก คิ้วผูกกันเป็นโบว์
อย่ากระไรเลย ท่านพ่อตรัสสอนไว้ว่าอย่าเห่อศักดิ์ทะนงตัวจะมัวหมอง ถึงจะเป็นราชนิกูล เขาจะมัวไว้ยศปฏิเสธที่จะช่วยเหลือลูกชาวบ้านคนหนึ่งได้ลงคอเชียวหรือ จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เพียงนายสิงห์เท่านั้นที่มาขอความช่วยเหลือ นายสิงห์ก็เป็นฝ่าย ‘ช่วย’ เขาเหมือนกันโดยไม่รู้ตัว
‘ช่วย’ ให้เขารู้ว่ายังมีคนบางคนที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป
‘ช่วย’ ให้เขารู้ว่ายังมีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา
แต่อดสงสัยไม่ได้ ‘ช่วยจ้อยด้วย’ ที่เจ้านักเลงหัวไม้พูด หมายความว่ายังไง? ถามอะไรก็ไม่ตอบ ขอดูของในถุงตรงนี้ก็ไม่ได้ คุยกันที่ศาลาริมท่าก็ไม่ได้ ที่แคร่ไม้รวกหน้าเรือนพักก็ไม่ได้ จำเพาะเจาะจงว่าต้องในห้องหับรโหฐาน เป็นความลับอย่างยิ่งยวด คุยกันเพียงสองคนเท่านั้น จะให้ใครรู้เห็นด้วยไม่ได้เด็ดขาด!
หม่อมราชวงศ์หนุ่มพกความข้องใจติดตัวขณะแอบพาหัวหน้าอันธพาลเข้าไปในห้อง ด้อมๆ มองๆ หลบๆ ซ่อนๆ พอเข้าห้องได้ก็หับประตูเสียสนิท
ความข้องใจกระจ่างชัด ทันทีที่เห็น ‘เศษขยะ’ ที่อยู่ในถุงกระดาษใบนั้น!
ไม่สิ.. ต้องเรียกว่าเศษเสื้อผ้า เศษตำราเรียนที่ถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ ถึงจะถูก! เสื้อเชิ้ตสีหม่นเป็นสีดอกจำปาแบบนี้ ทำไมเลอมานจะจำไม่ได้ว่าเป็นของจ้อย!
แววตาที่มีแต่เครื่องหมายคำถามเงยขึ้นมองนักเลงตรงหน้า ใบหน้าคมสันก้มลงอย่างคนสำนึกผิด เลอมานรู้สึกเหมือนมีพายุลูกย่อมๆ ก่ออวลหมุนวนในร่างกาย แม้ลมหายใจยังถี่กระชั้นไม่รู้ตัว
หนังสือเรียนที่เพื่อนรักถนอมนักหนา ชุดนักเรียนตกทอดมาจากพี่ชาย ใส่แล้วใส่อีกจนเนื้อบางจ๋อย เจ้าตัวยังไม่ยอมทิ้ง กลับต้องมาถูกทำลายเสียย่อยยับ! นี่มันเรื่องอะไรกัน
“ฝีมือใคร” เสียงแหบพร่าเค้นขึ้นจากลำคอ ป่วยการถาม! จำเลยเอาแต่ก้มหน้าจำนน แบบนี้คำตอบมันจะเป็นใครไปได้ “ทำกันขนาดนี้เลยหรือ” หยาดน้ำรื้นๆ หล่อเลี้ยงเต็มตาจนภาพใบหน้าถ่อยเถื่อนตรงหน้าพร่ามัวไปหมด
ไอ้ผู้ร้ายปากแข็งไม่ยอมปริปากสักคำ ต้องใช้กำปั้นง้างสักทีให้คายเหตุผลออกมา!
ผลั่วะ!! คุณชายชกหน้าไอ้สิงห์อย่างแรงจนหน้าหัน ใครจะทนได้เมื่อรู้ว่าเพื่อนรักถูกสับเล่นเป็นเขียงแบบนี้ นักเลงโตเซแซ่ดเป็นกระดาษผิดรูปร่างใหญ่ทะมึน คงเพราะไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มสูงศักดิ์อยากไปประเคนหมัดซ้ำ ถ้ามันไม่พนมมือไหว้ วิงวอนเขาด้วยเสียงระห้อยโหยเสียก่อน
“คุณชายช่วยที ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครแล้ว”
***************************
พายุอ่อนกำลังลง แต่ฟ้ายังไม่ใสเสียทีเดียว รอยขุ่นมัวยังปรากฏในดวงตาสีน้ำตาลเคี่ยว มือขาวสะอาดหยิบเศษขยะในถุงมาวางแผ่พลางลูบปลายคางคิดหนัก ทั้งตำราทั้งชุดนักเรียนย่อยยับหมดสภาพ หากจะให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่จากซากนี่? หึ.. จูงช้างลอดรูเข็มเสียยังง่ายกว่า
ร่างโปร่งบางพรวดพราดลุกขึ้นเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อเชิ้ตกับกางเกงที่สีพอจะกลืนกันกับชุดนักเรียนฝึกหัดครู คว้าได้กางเกงสีน้ำตาลสองสามตัว แม้ไม่ใช่สีกากีอย่างที่จ้อยใส่แต่ก็พอแก้ขัดได้อยู่หรอก ลองทาบดูกับตัว หมุนไปหมุนมาหน้ากระจก อืม.. จ้อยเตี้ยกว่าเขา หัวเลยใบหูเขามานิดนึงได้กระมัง แบบนี้ขากางเกงยาวไปแน่ คงต้องตัดออกสัก..
คุณชายหันไปสบตาไอ้อันธพาลที่นั่งมองตาปริบๆ อยู่กับพื้นแล้วพาหัวเสีย มือที่กำลังจะปลดตะขอกางเกงตัวเองชะงักกึก
“มองอะไร!” เสียงก็ขุ่นตาก็ขวาง “ฉันจะเปลี่ยนกางเกง!”
ยักษ์ปักหลั่นรับคำเอ้อๆ อ้าๆ เงอะงะ ตาเผลอมองตามมือขาวที่ค้างอยู่ตรงขอบกางเกง “เร็วสิ!” เลอมานเอ็ดเข้าให้อีกที มันถึงนั่งหันหลังให้อย่างว่าง่ายเหมือนหมาเชื่องๆ หม่อมราชวงศ์หนุ่มเปลี่ยนกางเกงพึ่บพั่บ คะเนด้วยสายตาแล้วคว้าปากกามาขีดรอยแถวชายกางเกงรวดเร็ว เขาก็ไม่ได้อยากจะแก้ผ้าต่อหน้าไอ้เถื่อนนี่นักหรอก แต่ถ้าไม่ลองใส่มันกะขนาดตัวจ้อยไม่ถูกนี่
แล้วพอเลอมานจะถอดกางเกงที่ตั้งใจจะยกให้จ้อยออก...
ประตูไม้เปิดแอ๊ด คนที่เขาเฝ้าตามหามาตั้งแต่เช้า กลับโผล่มาในเวลาที่ไม่อยากเจอที่สุด!
อาจารย์คนึง!
คุณชายจังงังอยู่ในท่าทางที่มองอย่างไรก็ยากจะให้คิดไปทางอื่น ซิปอ้าซ่า ขอบกางเกงเกาะหมิ่นเหม่ที่เนินสะโพก เห็นไปถึงกางเกงชั้นในขาวสะอาด ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ไม่ต่างอะไรกับคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา
ถอดกางเกงคนเดียวไม่ว่า แต่นี่.. มีไอ้นักเลงหัวไม้นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กับพื้นด้วย! มันมองอาจารย์ที แล้วก็เหลียวมามองเขาทีงงๆ
“อะ..อาจารย์” เลอมานดึงกางเกงขึ้นทันใด “มะ..ไม่ใช่อย่างที่อาจารย์คิดนะครับ” เขาละล่ำละลัก ปรูดเข้าไปหาคนรักที่เอาแต่ยืนนิ่ง หมายปรับความเข้าใจ หากตระหนักรู้ได้ถึงสายตาของบุคคลที่สาม มือบางที่เตรียมโผเข้าเกาะแขนกำยำจึงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
อาจารย์มองมาด้วยสายตาเรียบ..นิ่ง.. เหมือนท้องทะเลสงบ แต่เลอมานรับรู้ได้ มีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างเงียบเชียบ ร่างสูงใหญ่เดินผ่านหน้าเขาไปหยิบหนังสือที่โต๊ะทำงานแล้วเดินออกจากห้องไป เงียบๆ.. เช่นตอนมา
ลงแบบนี้หึงแน่ๆ หึงแน่นอน!
โอย.. คุณชายอยากจะทึ้งหัว นัยน์ตาขุ่นขวางหันขวับไปมองไอ้ตัวการที่ป่านนี้ก็ยังเอาแต่นั่งหน้าเซ่อทำตาปริบๆ ปาหมอนใส่มันไปทีเป็นการระบายอารมณ์
เชื่อไหมเล่า.. เห็นอาจารย์เคร่งขรึมแบบนี้ บทจะหึงหวงขึ้นมาที น้อยหน้าใครเขาน้อยอยู่เมื่อไร พวงแก้มเขาแทบระบมไปทั้งซ้ายขวาเชียวละกว่าอาจารย์จะตอกย้ำความเป็นเจ้าของจนสาสมใจ แต่อดปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีทุกครั้งที่อาจารย์หวง คนเรา.. จะหวงสิ่งใด.. ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้น ‘มีค่า’ ควรแก่การหวงแหนไม่ใช่หรือ?
นึกถึงตรงนี้ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างประหลาด คุณชายไม่รู้ตัวหรอกว่าแสดงสีหน้าอะไรออกไป ไม่รู้หรอกว่าสองแก้มซับสีเรื่อขึ้นเพียงไหน เจ้านักเลงหัวไม้มันถึงได้จ้องเอาๆ ด้วยสายตาพิลึกพิลั่น
“มองอะไร!” เลอมานตวาดแหว รวบรวมเสื้อผ้าที่จะให้จ้อยพับใส่ถุงกระดาษ แก้ปัญหาไปเปลาะ ทีนี้ก็เหลือแค่ตำราเรียนละ “เร็วๆ เลย เดี๋ยวไปหาซื้อหนังสือให้จ้อยกัน”
อาจารย์.. เล็กห่วงความรู้สึกของอาจารย์เหลือเกิน แต่วินาทีนี้ เล็กห่วงจ้อยที่สุด ขอไปจัดการเรื่องจ้อยก่อน แล้วจะกลับมาง้ออาจารย์นะครับ อาจารย์จะลงโทษอย่างไรเล็กจะยอมทุกอย่าง
ราชนิกูลหนุ่มคว้ากระเป๋าสตางค์ก่อนก้าวออกจากห้อง นายสิงห์ลอบย่นจมูกตามหลัง ถามมาได้ว่ามองอะไร ถ้าไม่ติดว่าต้องขอความช่วยเหลือละก็ มันจะตอกเข้าให้
มองคนเพี้ยนยังไงเล่า! อยู่ดีๆ ก็ตาเยิ้ม อยู่ดีๆ ก็แก้มแดง!
***************************
นับเป็นภาพประหลาดที่หาดูได้ยาก หม่อมราชวงศ์หนุ่มน้อยเอี่ยมสำอางซ้อนท้ายรถเครื่องคันโตของนักเลงหัวไม้รูปแร้งดูร่างร้ายรุงรัง คนทั้งตลาดหัวรอมองตามเป็นตาเดียว คุณชายแสนอึดอัดใจ ใช่ว่าเขาจะอยากออกมากับนายสิงห์สองต่อสองไกลขนาดนี้ ติดตรงที่ว่าตำราเรียนหลักสูตรครู ป. กศ. ชั้นปีที่สองของจ้อย ไปหาซื้อที่สหกรณ์โรงเรียนก็แจ้งว่าหมด เพราะรับมาพอดีจำนวนนักเรียน ไปถามอาจารย์ใหญ่ ท่านก็ว่าไม่มี จนต้องพากันบากหน้ามาถึงตลาดหัวรอนี่ละ
คุณชายถามทางชาวบ้าน จนตามมาเจอร้านขายเครื่องเขียนและแบบเรียนที่ใหญ่ที่สุดในตลาด ภาพที่เห็นคือห้องแถวไม้ หน้าร้านเป็นตู้ยาวสูงระดับอกตั้งเรียงต่อกัน ๓-๔ ใบ บนตู้ตั้งกระบอกใส่ดินสอแบบต่างๆ และไม้บรรทัดซึ่งมีทั้งที่ทำด้วยเหล็ก ไม้และพลาสติก ไม้บรรทัดที่ได้รับความนิยมมากเห็นจะเป็นไม้บรรทัดพลาสติกที่มีตารางสูตรคูณ ในตู้ใส่ปากกาลูกลื่น ยี่ห้อชไนเดอร์ของเยอรมนี บิคของฝรั่งเศส ปากกาหมึกซึมไพล็อตของญี่ปุ่น, ฮีโร่ของจีน
ริมฝาด้านหนึ่งตั้งตู้เทินขายหนังสือปกอ่อนปกแข็งเรียงกันเป็นพรืด ราชนิกูลหนุ่มตาลุกวาว เห็นความหวังรำไร
แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ ไล่สายตาไปทีละเล่ม มีแต่หนังสือเพลงเล่มละบาท หนังสือการ์ตูน หนังสือวัดเกาะ หนังสือธรรมะจำพวกเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน หนังสือเรียนที่พอจะเห็นบ้างก็เป็นของระดับประถมทั้งสิ้น
เลอมานคอตก น่ากลัวจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว
พอแจ้งเจตจำนง เจ้าของร้านก็เอากระดาษมายื่นให้พลางบอกให้ไปซื้อที่นี่ คุณชายรับมาอ่าน และแล้วหน้าขาวๆ ก็ซีดเผือดลงไปอีกจนแทบสีเดียวกับกระดาษในมือ ไอ้สิงห์มาเลียบๆ เคียงๆ ถาม เลอมานขบฟันกรอดยื่นกระดาษส่งให้แทบทิ่มหน้า “อ่านไม่ออกหรือเล่า อ่านไม่ออกหรือ!” พอเห็นท่าจะอ่านไม่ออกจริง เลยสงเคราะห์อ่านให้ “สำนักพิมพ์เกษมสันต์ ตึกใหม่โค้งรถรางนางเลิ้ง สี่แยกจักรพรรดิพงศ์” จนถึงคำสุดท้าย คุณชายแทบระเบิดเสียง “พระนคร!”
นักเลงโตหน้าเจื่อนจ๋อยเป็นหมาหงอย ส่วนบุตรท่านทูตยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่หาย ตาคมตวัดแจกค้อนไปหนึ่งที ไม่ให้หัวเสียได้อย่างไร
ในเมื่อต้องถ่อไปถึงพระนคร!
***************************
เมฆขาวลอยเกลื่อนฟ้าและเจื่อนสีลงตามดวงตะวัน อีกไม่นานพลบค่ำจะมาเยือน โลกด้านสว่างจะจางเข้าหาด้านมืด เกลี่ยเคล้า จนดาวลอยขึ้นประฟ้า ลมบ้านนาพัดมาเพียงโชยแผ่ว
ป่านฉะนี้ศิษย์รักยังไม่กลับมา คนึงอดปฏิเสธไม่ได้ว่าห่วงใยท่วมท้นหัวใจ มือใหญ่คว้าเก้าอี้มานั่งรอที่ระเบียง ชะแง้มองแต่ทางทิศที่เลอมานจะต้องเดินกลับมาไม่ว่างเว้น เหมือนสัตว์เลี้ยงผู้ภักดีเฝ้ารอเจ้าของ
เจ้าเด็กคนนั้น.. ไม่สิ.. หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ต่างหาก.. จะรู้บ้างไหมว่าเมื่อเช้า เขาต้องใช้ความข่มกลั้นเพียงใด ฝืนทำนิ่งเฉยทั้งที่ใจอยากไล่ตะเพิดลูกชายกำนัน และคว้าตัวคุณชายมาคาดคั้นแทบขาดใจ
หากเป็นคนึง วนาสัยคนนั้น คนึงผู้งมงายในความรักโดยไม่ยี่หระต่อความเป็นจริง คนึงผู้อ่อนไหวปล่อยใจให้เอนเอียงเพราะความใกล้ชิด คนึงคนนั้นคงไม่มีวันยอมให้เลอมานอยู่กับเจ้านักเลงนั่นสองต่อสองแน่
แต่ไม่ใช่คนึงคนนี้..
ไม่มีหรอกอัศวินม้าขาว หรือเจ้าชายในเทพนิยาย เขามันก็แค่ ‘หมาวัด’ ที่ริอ่านหมายปอง ‘ดอกฟ้า’
กาลมันกลับตาลปัตรตรงที่ดอกฟ้าก็ยอมโน้มกิ่งลงมาหา ท่ามกลางความไม่เหมาะสมทั้งปวง ผูกพันรัดแน่น ดอกฟ้าอาจยังเยาว์และเขลานัก จึงเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ถ้าหาก.. ‘หมาวัด’ แว้งกัดสักที ‘ดอกฟ้า’ จะตัดใจได้ไหม
ในความมืดสลัว ตาคมกริบเห็นร่างโปร่งบางเดินมาแต่ไกลเป็นเงาตะคุ่ม คนที่นั่งถ่างตารอมาทั้งวันรีบผลุนผลันเข้าห้อง ทำประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรอคอยการกลับมาของใครทั้งสิ้น
คนที่นั่งเขียนอะไรยุกยิกอยู่บนโต๊ะทำงานรู้ได้ว่าคุณชายเข้ามาในห้องโดยอาศัยฟังเสียงประตูไม้ลั่นออด ไม่มีแม้หางตาเหลือบแลมอง ทั้งที่อยากหันไปมองใจแทบขาด
“อาจารย์..” เสียงหวานทอดฉะอ้อน คนึงได้ยินเสียงวางถุงกระดาษกรอบแกรบลงบนโต๊ะ แล้วร่างปราดเปรียวก็รี่เข้ามาหา ชะโงกหน้ามาเสียใกล้
ดวงตาสีเข้มมองลอดแว่น ใบหน้าขาวลออยังผ่องใส แย้มยิ้มฉอเลาะ อาจารย์หนุ่มซ่อนความโล่งใจไว้ใต้ใบหน้าเรียบนิ่งอย่างแนบเนียนที่สุด กวาดตาสำรวจทั่วตัว ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว
“อาจารย์ เรื่องเมื่อเช้า เล็กอธิบายได้นะ” เสียงเสนาะ อ่อนโยน เจือความกังวลเบาบาง หวานสุดหวาน แต่บางทีความหวาน..กับความขม.. ก็ใกล้กันเพียงนิด
คนึงหันมาให้ความสำคัญกับงานตรงหน้า ไม่เอ่ยคำใด
เริ่มเสียทีเถิดคนึง อย่ารั้งรออะไรอีกเลย
สายใยสัมพันธ์จะฟั่นเป็นเกลียวเหนียวแน่นปานใด เขาต้องค่อยๆ ตัดให้ขาด ทีละนิด.. ทีละนิด..
แล้ววันหนึ่ง.. เมื่อหม่อมราชวงศ์เลอมานโตขึ้น ยามใดที่มองย้อนกลับมา จะต้องขอบคุณเขาที่ทำแบบนี้
ในสถานการณ์แบบนี้ คนใจร้ายเขาทำกันอย่างไรหนอ
บุตรชายท่านทูตเริ่มใจเสีย เขายอมรับว่าตนผิด ตอนแรกคาดไว้ว่าจะไปกับนายสิงห์แค่ตลาดหัวรอ แต่เหตุการณ์กลับแปรผันจนต้องกระเตงกันขึ้นรถไฟไปถึงกรุงเทพ ไม่ว่าจะนักเรียนนอกหรือบ้านนอก พอเข้ากรุงก็เปิ่นเทิ่นกะโหลกกะลาพอกันทั้งคู่ แทบตายกว่าเขากับนายสิงห์จะหาซื้อหนังสือเรียนให้จ้อยได้สำเร็จ บทจะกลับพากันหลงทางจนหวิดไม่ทันรถไฟเที่ยวสุดท้าย
กลับมาเห็นอาจารย์หน้าบึ้งอยู่ก็หวังปรับความเข้าใจ แต่ใยกลับนิ่งเฉยเงียบงันราวกับเขาไม่มีตัวตน ไม่มีแม้คำถามสักคำอย่างที่ควรเป็น
“อาจารย์โกรธเล็กหรือ” มือนุ่มแตะแผ่วเบาที่ต้นแขนล่ำสัน หากอีกฝ่ายกลับปัดทิ้งเหมือนรังเกียจเสียเต็มประดา เด็กหนุ่มชะงักกับท่าทีนั้น “อาจารย์..” เสียงครางแผ่วหวิว เงยดวงตาที่มีแต่ความไม่เข้าใจขึ้นมองยอดรัก.. ยอดบูชา..
คนึงมองดวงตาคู่นั้นด้วยความเย็นชา มองตาลูกหมาตัวหนึ่งยังอบอุ่นกว่านี้
“คราวหลังจะนัดใครมาก็บอกกันได้ ผมจะได้หลีกทางให้” คนึงเสียงกระด้าง ตัดรอนไร้เยื่อใย ถอดแว่นออกวางคืนโต๊ะ
“อาจารย์..”
“มันก็ไม่แปลกหรอกที่คุณชายจะเบื่อผม ผมเองยังเบื่อคุณเลยหม่อมราชวงศ์เลอมาน” ในน้ำเสียง ไม่มีความประชดประชัน ไม่มีความหึงหวง ทุกถ้อยคำตรงไปตรงมา แม้ในดวงตายังแห้งแล้งว่างเปล่า
“อะ..อาจารย์พูดอะไร” เลอมานเสียงสั่น เด็กเอ๋ย.. เจ้าอ่อนไหวนัก แค่นี้ก็น้ำตาคลอหน่วย หัวใจเล่าจะสั่นสะเทือนปานใด วูบหนึ่ง.. ความสงสารถาโถมเข้ามา คนึงรีบปัดทิ้ง บอกตัวเองว่าอย่าใจอ่อน!
เมื่อใดที่เล็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มองย้อนกลับมา เล็กจะขอบใจครูที่ครูทำแบบนี้
คนใจร้ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จ้องลึกลงในดวงตารื้นน้ำ มุมปากหยักยิ้มเยาะ พูดไม่กะพริบตา “อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็น่าเบื่อแบบนี้ละ”
เขี้ยวแรกฝังรอยลง กลีบดอกฟ้าแหว่งเป็นรอย..
***************************
(จบครึ่งแรกจ้ะ

)