“ถ้าจะไปบ้านเล็ก..” ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดชาวบ้านเมื่อหัวค่ำขึ้นมาได้ “ก็เดินข้ามทุ่งไปตรงๆ แล้วมันก็โค้งต่ำลงไปโค้งต่ำลงไปเองอย่างนั้นหรือ กี่ปีหนอกว่าจะถึง..” ประโยคสุดท้าย.. รำพัน.. ทอดอาลัย..
“เล็กไม่กลับ” จันทร์ดวงน้อยโพล่งขึ้นทันที รัดอ้อมแขนแน่นเข้า “เล็กจะอยู่ที่นี่ จะอยู่กับอาจารย์”
“หื้อ” คนฟังหัวเราะในคอ “ท่านพ่อเล็กจะยอมหรือ”
“ไม่กลับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัวกับอกกว้าง “ท่านพ่อเอาช้างมาลากก็ไม่กลับ” หากสุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมองตา “จะอยู่จนกว่าอาจารย์จะไล่”
อาจารย์ยิ้มพราย จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียน นึกถึงภาพเมื่อหัวค่ำ หม่อมราชวงศ์หนุ่มออกไปปราศรัย ออกไปร้องเพลง ดั่งดวงจันทร์ผ่องใสนวลกระจ่าง เขาเล่า..เป็นเพียงกระต่ายที่ได้แต่เฝ้ามองจากพื้นดินอย่างชื่นชม หากบัดนี้จันทร์นวลทอดกายลงในอ้อมกอด
เป็นวาสนาของกระต่ายผู้ต่ำต้อยเหลือเกิน
เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น
กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า
อันทรามวัยใสสุกทุกเวลา
น้ำใจข้าเมามึนทั้งขึ้นแรม***คืนนี้.. ณ ที่นี่มีสองกระต่าย ต่างหมายจันทร์กันคนละดวง
หนึ่งนั้นเป็นกระต่ายเจ็บเสียด้วย
พอถูกทำให้ตื่น สิงห์จะข่มตาหลับอีกทีก็ยากเย็น ร่างสูงใหญ่ลุกจากที่นอน โผเผไปเกาะหน้าต่าง อยากบุหรี่ฉิบหาย แต่ต้องอดทนไว้ ที่นี่มีแต่เด็กๆ มายืนพ่นควันฉุยเด็กจะเหม็นกันเสียเปล่าๆ แถมพวกนักเรียนครู ก็ไม่เห็นมีใครสูบบุหรี่กัน
นอกหน้าต่าง.. บนฟ้า.. มีจันทร์นวลเปล่งแสงสุกใส เบื้องล่าง.. จันทร์อีกดวงทอแสงจัดจ้าไม่ต่างกัน
บนแคร่ไม้รวกใต้ต้นหูกวาง จ้อยอยู่ในวงล้อมเด็กๆ อีกแล้ว
จันทร์เต็มดวงสุกสว่างราวกับโคมทองกลางฟ้า จ้อยนั่งมองพวกเด็กผู้ชายวิ่งไล่เหยียบเงากันกลางลานแล้วหัวเราะขำ พวกเด็กผู้หญิงนั่งล้อมไม่ห่าง เล่านู่นเล่านี่ให้ฟังครื้นเครง พอจ้อยถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ก็ยกมือแย่งกันเล่าชนิดฟังแทบไม่ทัน
จ้อยเคยคิดว่าเรือชีวิตของจ้อยผุพังเต็มที เต็มไปด้วยรอยรั่วร้าวที่ไม่รู้จะอับปางลงใต้ท้องน้ำวันใด ไม่รู้จะฝ่าลมฝนไปถึงจุดหมายปลายฝั่งได้หรือไม่
จ้อยเคยคิดเช่นนั้น
หากวันนี้ แสงจันทร์นวลและรอยยิ้มไร้เดียงสา แววตาใสบริสุทธิ์ เสมือนชันชั้นดีที่มายาท้องเรือ สมานรอยรั่วได้สนิท หัวใจแหลกยับของจ้อยถูกประกอบขึ้นใหม่ จ้อยรู้แล้วว่าเรือชีวิตของจ้อยจะมุ่งหน้าลอยลำไปในทิศทางใด จ้อยจะต้องไปให้ถึง
ชันยาเรือ เด็กๆ (เยียว)ยาหัวใจ
ยิ่งเป็นครู มิใช่เป็นเพียงเรือที่จะพาตนไปฝั่ง แต่ต้องพาศิษย์ไปด้วย แล้วเรือจ้างผุพัง จะส่งศิษย์ถึงฝั่งได้อย่างไร
ขอบคุณคุณชายเล็กที่พาจ้อยมาที่นี่ มาพบ ‘ยา’ ชั้นดี
“โตขึ้นหนูจะเป็นครูเหมือนพี่ครู” เด็กหญิงผมหยิกขอดคนหนึ่งเล่าบ้าง หากไม่ทันขาดคำ
“พี่ครูๆๆ” พวกทโมนที่ไล่เหยียบเงากันก็กรูเข้ามา “อีสี่คนนี้มันชอบพี่ มันบอกว่าโตขึ้นจะเป็นแฟนพี่ครู”
มีเสียงตีไหล่กันผัวะผะ จ้อยถึงกับปล่อยก๊าก “โอ้โห สี่คนเชียว เลือกไม่ถูกเลย” พี่ครูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้น “เอาอย่างนี้ ใครร้องเพลงจันทร์เจ้าได้มาเป็นแฟนกันเลย”
สิ้นเสียงพี่ครู เด็กๆ ทั้งหญิงชายยืนตัวตรงแหน่ว เสียงเจื้อยแจ้วขับขานพร้อมเพรียงกัน
“จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า..”
“ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง..” ไม่มีใครรู้ ตรงหน้าต่างสูงขึ้นไป เด็กโค่งคนหนึ่งเปล่งเสียงแหบพร่าแผ่วเบา ร้องเพลงจันทร์เจ้ากับเขาด้วย
‘ใครร้องเพลงจันทร์เจ้าได้มาเป็นแฟนกัน’ เอ็งอย่าผิดคำพูดนะจ้อย
เด็กๆ ร้องจบก็เฮขึ้นมาพร้อมกัน โทษฐานที่เป็น ‘แฟน’ กันแล้ว พี่ครูเลยแจกจูบเข้าให้ที่แก้มคนละที ใบหน้าคมคร้ามมองตามแล้วคลี่ยิ้มละมุน
ไม่กล้าเสนอหน้าไปให้น้องจูบแก้มด้วยหรอก แค่เห็นน้องกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ไอ้สิงห์ก็สุขใจเหลือเกินแล้ว
เจ้าก็แก้วแวววาวจงห้าวหาญ
แม้ในธารแสงยังกล้าสง่าสม
อย่าเซาซบสยบท้นหม่นระทม
ถึงกลางตมเพชรประกายยังพรายพราว**********************************
ความสุขของไอ้สิงห์ผ่านไปไวเหมือนไฟลามปลายด้าย
ดึกดื่น เด็กๆ และชาวบ้านกลับกันหมดแล้ว เหล่านักเรียนครูได้เวลาเข้านอนกันเสียที
สิงห์นอนนิ่งอยู่ในมุ้ง นิ่งฟังเสียงพวกนักเรียนครู
เกี่ยงกันว่าใคร.. จะเป็นคนนอนติดเขา
เขานอนนิ่งเหมือนหลับสนิท ใครอยากพูดอะไร จะได้พูดกันมาเลยไม่ต้องเกรงใจ.. หรือไว้หน้าใดๆทั้งสิ้น
ครูบางบาลคนหนึ่งมาขอโทษขอโพย เพราะไม่รู้ว่าจะมี ‘คนนอก’ ติดตามมาด้วยอีกหนึ่ง จึงเตรียมขนาดมุ้งไว้ให้เล็กเกินไป
“ใครสาระแนตามมาก็ไปนอนนอกมุ้งเลยไป” สง่าออกปากค่อนขอดคนแรก กลิ่นละมุดโชยหึ่ง คงไม่แคล้วไปร่วมวงไพบูลย์กับชาวบ้านมาแน่ๆ
“อย่าให้มันเกินไปนักสง่า” อาจารย์ประพนธ์ก็โชยนิดๆ “เขาไม่สบายอยู่นะ ไม่เห็นหรือไง” บ่นงึมงำแล้วก็เปิดมุ้งไปนอนริมสุด เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ให้นักเรียนครูทั้งสามหน่อ
“รีบนอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” สิ้นเสียงอาจารย์ ดั่งสิ้นสัญญาณเป่านกหวีดปล่อยตัวนักวิ่ง สง่ากับสันติคลานตุบตับเข้าจับจองที่ทันที ทิ้งจ้อยให้ยืนเซ่อ ก็จ้อยนึกว่าเพื่อนจะปรึกษากันก่อน
เห็นที่ว่างที่เหลืออยู่แค่คืบระหว่างสันติกับ.. ‘มัน’ แล้ว จ้อยอยากจะร้องไห้
หนุ่มน้อยแทรกร่างเข้าไปในที่คับแคบ เบียดมาทางสันติแทบเกาะหลังกัน เหมือนไอ้ที่นอนอยู่อีกฝั่งเป็นอสรพิษไม่ใช่คน
“โอ๊ยจ้อย ดับตะเกียงเสียทีสิ แยงตาจะบอดอยู่แล้ว” สง่าโวยขึ้นมาทั้งหลับตา
“ไม่..ไม่ดับได้ไหม..”
จ้อยพูดไม่ทันขาดคำ สง่าก็เปิดมุ้งมุดหัวออกไปเป่าตะเกียงปู้ด ทั้งห้องมืดสนิทเหมือนหลับตา
หัวใจจ้อยเต้นถะถี่ขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ มืดเหลือเกิน มืด.. มืดเหมือนคืนนั้น คืนที่จ้อยย่ำเข้าดงกล้วยไปตามหายาย
เหมือนถูกความทรงจำเลวร้ายรัวทุบกระหน่ำ จ้อยนอนตัวสั่นอยู่ในความมืด ใครคนหนึ่งขยับตัวเบียดมาโดน จ้อยสะดุ้งสุดตัว ใครกัน?! สันติ.. หรือ ‘มัน’ ใครนอนทางขวา ใครนอนทางซ้ายกันนะ มันมืดไปหมด มืดจนไม่รู้หัวรู้หาง จ้อยสับสนไปหมดแล้ว
จ้อยเริ่มหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ!
น้ำตาเอ่อท้นขอบตาจนแสบพร่า ทำไมจ้อยเป็นอย่างนี้จ้อยก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รู้เพียงว่าจ้อยกลัว กลัวจับขั้วหัวใจ
สายตาที่เริ่มชินกับความมืดไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่อย่างน้อย.. จ้อยก็รู้แล้วว่าสันตินอนอยู่ฝั่งไหน
"สัน..สันติ" เสียงสั่นพร่ากระซิบเบาหวิว มือเล็กกระตุกชายเสื้อเพื่อน "แลก..แลกที่กันเถอะ..นะ.."
คนกำลังหลับปัดมือจ้อยออกอย่างรำคาญเต็มที ยิ่งพร่ำวิงวอนเท่าไร เพื่อนยิ่งหลับได้หลับดีไม่แยแสกันเลยสักนิด น้ำตาจ้อยจะร่วงอยู่มะรอมมะร่อ
หนุ่มน้อยคงไม่รู้ ใครอีกคนหนึ่งที่นอนผินหลังให้ ใจเอ๋ยจะขาดลงรอนๆ
จ้อยลุกออกจากมุ้งเบากริบ จ้อยทนนอนที่น่ีไม่ได้ ทนนอนข้างมันไม่ได้ อาศัยเพียงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านบานหน้าต่าง นักเรียนครูตัวเล็กคลำทางไปห้องนอนหม่อมราชวงศ์เลอมานและอาจารย์คนึง หมายมาดจะขอซุกหัวนอนด้วยคน
ดึกสงัด หรีดหริ่งเรไรครวญระงม จ้อยแตะมือลงบานประตูไม้เก่า เปิดออกแผ่วเบา ไม่ได้เคาะก่อน ไม่ได้ส่งเสียงขออนุญาต ดึกแล้วจ้อยไม่อยากรบกวน แค่จะขอเข้าไปนอนด้วยเงียบๆ
บานประตูค่อยๆ เปิดอ้า แสงจันทร์แจ่มฟ้าสาดกระทบสองร่างในม่านมุ้งสลัว
ทันทีที่เห็นถนัดตา จ้อยตะลึงตาเบิกโพลงอยู่ในความมืด!
อาจารย์คนึงอยู่บนตัวคุณชายเล็ก!
หนุ่มน้อยพูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก สองมือปิดประตูคืนให้ดั่งคนไร้วิญญาณ สองขาถอยหลังเงอะงะ ในหัวกลวงเปล่าเหมือนมีกระแสลมพัดผ่าน
จ้อยมาเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นเข้าเสียแล้ว
ร่างเล็กหันขวับหมายจะกลับห้องเดิม หากทันทีท่ีหันไปก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อกี้ว่าตกใจแล้ว ครานี้เห็นทีต้องคูณเข้าไปอีกสิบ
ร่างสูงใหญ่ยืนทะมึนอยู่ในความมืด!
จ้อยถอยกรูดจนหลังติดฝา ไม่เข้าใจเลยว่ามันย่องตามมาตั้งแต่เมื่อไร และที่น่าตกใจ มันตามจ้อยมาทำไม!
แสงจันทร์สะท้อนใบหน้าคมสัน มันมองจ้อยนิ่งงัน ชั่วอึดใจ มันก็เดินหันหลังลงบันไดไป ไม่มีส่วนใดของร่างกายแตะต้องตัวจ้อย นอกจากแววตาโศกสลด รวดร้าว
ไม่พูดอะไรสักคำเดียว!
หนุ่มน้อยยังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก อยู่ดีๆ มันก็ลุกขึ้นมามองหน้ากัน แล้วอยู่ดีๆ ก็หันหลังเดินจากไป พอสติกลับคืนมา จ้อยรีบกลับเข้าห้อง ในมุ้งฝั่งริมสุดไร้วี่แววของ ‘มัน’ จ้อยถอนใจโล่งอก มันจะไปนอนที่ไหนก็ช่าง ขออย่างเดียว อย่ามานอนใกล้กันเป็นพอ
กว่าจ้อยจะข่มตาหลับลงได้ก็ดึกดื่นค่อนคืน ในหัวมีแต่ภาพอาจารย์ที่เคารพและคุณชายเพื่อนรักกำลังกอดจูบกัน ก่อกวนวกวนอยู่ในอกไม่วางวาย
******************************
รุ่งอรุณฟ้าสางสว่างแล้ว
คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนฝึกหัดครูเตรียมตัวเดินทางกลับ เช้านี้จ้อยพูดน้อยกว่าทุกวัน ยิ่งกับอาจารย์คนึงและเลอมาน จ้อยแค่ถามคำตอบคำ
จ้อยแค่พูดน้อย แต่มีคนหนึ่ง.. ไม่ปริปากพูดอะไรเลยตั้งแต่เช้า
อาการไข้ของมันเหมือนจะหนักยิ่งกว่าเก่า มันหลบไปนั่งหลับพิงรถจี๊ปดอดจ์ของหน่วยฉายหนัง คุณชายเลอมานไปแตะมือตรงหน้าผากมันแล้วอุทานลั่นว่าร้อนดั่งไฟ มันแค่ปรือตาขึ้นมองแล้วก็หลับต่อ
จ้อยไม่ได้บอกใครว่าเมื่อคืนมันลงไปนอนข้างล่าง จ้อยไม่คิดจะแยแสมันเลยสักนิด ทำตัวเอง สมควรแล้ว มันจะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็เรื่องของมัน
ไม่ว่าคุณชายจะทำอะไรก็ดูขวางหูขวางตาจ้อยไปเสียหมด แต่ที่ทำให้จ้อยโกรธเอามากๆ ก็ตอนกำลังจะเคลื่อนพลกลับกันนี่ละ
มีอย่างที่ไหน สั่งให้สง่ากับสันติไปนั่งรถหน่วยฉายหนัง แล้วให้คนไข้กลับอย่างไอ้สิงห์มานั่งข้างจ้อยแทน!
มันมาอย่างไรก็ควรกลับไปอย่างนั้นสิ!
สง่ากับสันติโวยวายกันตามประสา แต่พออาจารย์คนึงยื่นคำขาดก็เดินคอตกไปนั่งเบียดกันในรถฉายหนังอย่างเสียไม่ได้ ต่างกับจ้อยที่ได้แต่เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ภายใน
ล่ำลาเหล่าครูบางบาลและเด็กๆ เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลากลับ รถจี๊ปสีขาวโขยกเขยกไปตามทางลูกรัง ข้างหน้า คุณชายนั่งคู่อาจารย์ที่ทำหน้าที่คนขับ ข้างหลัง จ้อยนั่งตัวลีบแนบประตูเคียงคู่กับมัน ที่พิงศีรษะกับกระจกรถหลับใหลไม่ได้สติ รถตกหลุมที มันก็เอนมาซบจ้อยที จ้อยได้แต่ผลักกลับไปอย่างขยะแขยงเต็มทน หัวมันโขกกระจกดังโป๊ก แต่มันเพียงลืมตาสลึมสะลือแล้วหลับต่อไม่รู้สึกรู้สา
คู่ชู้ชื่นข้างหน้ามีความสุขกันจริง คุณชายปั้นข้าวเหนียวหมูทอดที่แม่ครัวบางบาลทำให้เป็นเสบียงเป็นก้อนพอดีคำแล้วยื่นป้อนให้อาจารย์คนึง จ้อยแทบจะเบือนหน้าหนี
ผิดหวังในตัวทั้งคู่สุดแสน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก่อนที่จ้อยจะมาเห็นภาพเมื่อคืน จ้อยคงไม่รู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้า ก็แค่ศิษย์คนหนึ่งป้อนข้าวป้อนน้ำอาจารย์ที่มือไม่ว่างเพราะกำลังขับรถ แต่เพราะจ้อยรู้ ‘ความจริง’ แล้ว ยิ่งมองยิ่งขัดตา
สิ่งใดใดที่ผิดทำนองคลองธรรม จ้อยไม่ชอบไปเสียทั้งสิ้น แล้วนี่อะไร เป็นศิษย์อาจารย์กัน ซ้ำยังเป็น.. ผู้ชาย..กับผู้ชาย
ดั่งกลืนน้ำลายตนเอง แล้ว.. จ้อยกับ ‘มัน’ เล่า ผู้ชายกับผู้ชายเหมือนกันไม่ใช่หรือ
จ้อยปฏิเสธอึงอลอยู่ในอก ไม่มีทาง! ยิ่งกับมัน ยิ่งไม่มีทาง! สิ่งที่มันทำกับจ้อย เพราะถูกมันบังคับข่มเหง ส่วนที่จ้อยเคย ‘รัก’ มันเมื่อครั้งยังเยาว์ นั่นก็เป็นความรักแบบพี่น้อง หากนับจากนี้ไป แม้เศษเสี้ยวความรักไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็อย่าหวังว่ามันจะได้รับจากจ้อยเลย
ทางเกวียนขรุขระทำรถเอียงวูบ คนไม่ได้สติเอนตุบลงบนตักจ้อย เจ้าตัวเล็กสะดุ้งโหยง พยายามยกหัวหนักๆ ออกไป แต่คล้ายมันไม่รู้สึกตัวสักนิด
ใบหน้าคมสันร้อนผะผ่าว เหงื่อเม็ดโตผุดซึมเต็มหน้าผาก ผ้าพันแผลเริ่มมอมแมม คงเพราะไม่มีใครมีแก่ใจจะเปลี่ยนให้ จ้อยออกแรงยกหัวมันออกอีก หากหนักอึ้งดั่งหินผา
วูบหนึ่ง.. บางสิ่ง.. ตรึงตรา.. วูบไหวอยู่ในหัวใจ
[น้ำคลองสีน้ำตาลอ่อนไหลเอื่อย ลมทุ่งพัดมาเย็นชื่น เด็กชายตัวโตจูงมือน้อยลัดเลาะริมคลอง ในมือมีคันเบ็ด ข้างเอวมีตะข้องใบย่อม
“ตกปลาเป็นบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผีดศีลข้อหนึ่ง” เสียงเล็กเจื้อยแจ้ว
“ตกไปกินไม่บาปหรอก” พี่สิงห์ชี้แจง ก่อนตีหน้ายักษ์ “พูดมากเดี๋ยวจับจ้อยหักแข้งหักขากินแทนปลาเสียนี่!”
จ้อยหัวเราะเอิ้กอ้าก หลบหลีกพัลวันเมื่อพี่ทำท่าจะคว้าแขนไปหักกินจริงๆ โลกของจ้อยแสนไร้เดียงสา มีความเป็นเด็ก เป็นน้อง และไว้วางใจในตัวพี่ยิ่งนัก
พี่ปลดตะข้องออกจากเอว ดึงปูออกมา ฉีกอกออกจากกัน ฉวยมะนาวจากกระเป๋ากางเกง ผ่าด้วยมีดพับ บีบใส่กระดองคลุกเคล้าจนมันเหลืองย่องจับตัวเป็นก้อน
จากนั้นหักก้านละหุ่งที่พกมาเป็นกำ ดึงจนเห็นใยสีขาวบางเหนียว ใช้พันมันปูทำเหยื่อ ไม่ถึงสองนาทีก็เรียบร้อย เหวี่ยงฟึ่บ! เบ็ดก็จุ่มลงน้ำ พี่ขยับตัวนั่งพิงต้นไม้ เอนกายสบายอารมณ์
เมฆขาวลอยเต็มฟ้า แดดทุ่งร้อนจ้าแต่ใต้ต้นตะแบกกลับเย็นสบาย เสียงลมกับใบไม้เสียดสีแสนเสนาะ ทุกอย่างเงียบสงบ มีความสุขนัก
“ไปนั่งอะไรตรงนั้น มาอยู่ใกล้ๆพี่นี่สิ” พี่กวักมือเรียกจ้อยที่หนีไปนั่งเสียไกล
“ไม่เอา” จ้อยส่ายหน้ารัว จิ่มดินจิ้มหญ้าเล่นไปตามเรื่อง “ยายบอกว่าอย่าอยู่ใกล้คนตกปลา เดี๋ยวโดนเบ็ดตวัดมาเกี่ยวตา”
“มานี่จ้อย” พี่เรียกอีกที จ้อยเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อนั้นจึงเห็นดวงตาสีนิลเข้มข้น “ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าพี่ทำเบ็ดเกี่ยวตาจ้อย จะควักลูกตาตัวเองให้แทน”
จ้อยอุ่นใจ ยินคำสัญญาหนักแน่นก็ยิ้มออก ขยับเข้าใกล้พี่ จู่ๆ จากท่านั่ง พี่เอนกายลงเอาตักจ้อยแทนหมอน หนุนนอนสบาย
“เอาหัวพี่ทับไว้ จ้อยจะได้ไม่ปลิวหายไปไหนอีก” ] เออหนอ.. ครั้งหนึ่ง จ้อยเคยยอมให้มันนอนหนุนตักด้วย
เหตุการณ์เนิ่นนานมาแล้วแท้ๆ
แต่ไม่รู้เหตุใด ฝั่งน้ำเย็นย่ำนั้น ตรึงอยู่ในความทรงจำมิจาง
******************************
คนึงกับเลอมานแวะส่งนายสิงห์ที่บ้าน ดีที่กำนันและคุณนายพูนทรัพย์ไม่อยู่ทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงโดนกักตัวไว้ตอบคำถามแน่ว่าพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปทำอะไรมา และคนที่โดนหนักที่สุดก็คงไม่พ้นจ้อย ที่ร่ำร้องจะไปโรงเรียนก่อนท่าเดียว
ถึงโรงเรียน คนึงพาเลอมานไปหาอาจารย์ปรีชาก่อนเป็นอันดับแรก หมายจะรายงานความสำเร็จลุล่วงด้วยดีของการพาอาสาสมัครไปฉายหนังนอกเมือง
ทั้งสองกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจ
“ท่านชายอาทิตย์มีจดหมายมา” อาจารย์ปรีชาบอกข่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แจ้งว่าจะเสด็จมาโรงเรียน”
โปรดติดตามตอนต่อไป---------------------------------------------------------------------------------------------------------
*วาสนากระต่าย, มัณฑนา โมรากุล คำร้อง, เอื้อ สุนทรสนาน ขับร้อง
**สุนทรภู่
***นิทานเวตาล
****อุชเชนี