บทที่ ๒๔
วาสนากระต่ายนึกถึงตัวเราแล้วเศร้าใจ
เห็นจะเหมือนกระต่ายไพรที่หลงใหลจันทร์เพ็ญ
ยิ่งคิดยิ่งเศร้าโอ้อกเราใครไม่เห็น
ยิ่งนานยิ่งเป็นเหมือนกระต่ายที่หมายจันทร์*ไอ้สิงห์เย็บหัวไปสี่เข็ม
จ้อยรับรู้ข่าวนั้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ความจริงก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอก แต่ทั้งสง่า สันติและเหล่าครูบางบาลจับกลุ่มคุยกันใหญ่ ลมก็เลยหอบมาเข้าหู มันก็แค่นั้นเอง
อาจารย์คนึงกับคุณชายเล็กเป็นคนพามันไปหาหมอ ป่านนี้คงพามันไปนอนพักที่ไหนสักแห่ง ดีแล้ว ขอให้มันหลับยาวไปถึงพรุ่งนี้เลยยิ่งดี จะได้เลิกตามวอแวจ้อยเสียที รำคาญเต็มทน
ภาพเลือดแดงฉานจากปลายผมสีเข้มหยดติ๋งๆ เป็นน้ำก๊อกยังติดตา แค่นั้นไม่กี่วันก็หาย ความจริงเลือดหัวมันตกแค่นี้ยังน้อยไป เลือดในกายจ้อยที่ตกต้องกระท่อมโสมมนั่นเล่า กี่เดือนกี่ปีจะเลือนลบ
ไม่เพียงหยดเลือดที่ไหลพรากลงย้อมเสื้อมันจนชุ่มเท่านั้นที่ติดตา หยดน้ำที่คลออยู่ในลูกตามันยามชะเง้อหาจ้อยที่ไม่ใยดีมันสักนิด ก็ติดตาจ้อยเช่นกัน แต่ช่างหัวมันปะไร ใครใช้ให้มันเสนอหน้าเอาหัวมารับเสานั่นแทนจ้อย
อากาศที่ไม่มีมันมาใช้ลมหายใจร่วมกันช่างแสนสดชื่น ภาพในคลองสายตาที่ไม่มีมันมาเกะกะก็งดงามไปหมด จ้อยช่วยจัดเตรียมสถานที่ด้วยความปลอดโปร่งใจ จะมีหงุดหงิดนิดหน่อยก็ตอนที่คุณชายเลอมานมาบอกให้ไปดูอาการมันบ้าง
“เขาอุตส่าห์เจ็บแทนจ้อยนะ” คุณชายว่าอย่างนั้น
อยากรู้นัก ถ้าคุณชายรู้ว่ามันทำอะไรกับจ้อยบ้าง ยังจะเมตตามันอยู่ไหม
อย่ากระนั้นเลย ชีวิตนี้จ้อยปฏิเสธใครเป็นที่ไหน ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำ เพียงคนเดียวที่ขอต่อต้านไปชั่วชีวิตคือไอ้สิงห์ ยิ่งเป็นคุณชายเล็กขอร้องด้วยแล้ว จ้อยเลยจำใจย่องขึ้นอาคารเรียนไปดูมัน
จ้อยเยี่ยมหน้าเข้าไปมอง ในห้องเรียน โต๊ะเก้าอี้ถูกเก็บต้อนไว้รวมกันที่ผนังห้อง เหลือที่ว่างโล่งไว้ให้พวกเขานอนกันคืนนี้ ไอ้สิงห์ปูเสื่อนอนตะแคงชิดฝาด้านหนึ่ง มีผ้าผวยผืนบางห่มคลุม ผ้าพันแผลพันอยู่รอบหัวมีรอยเลือดซึมจางๆ จ้อยมองด้วยดวงตาเรียบเฉย ไม่แม้แต่จะย่างเท้าเข้าไป แค่เห็นว่ามันยังไม่ตายจ้อยก็หันหลังกลับ
คุณชายให้มาดู จ้อยก็มา ‘ดู’ แล้วนี่ไง
จ้อยไม่ผิดนะ
*************************
รอนรอนอ่อนอัสดง พระสุริยงเย็นยอแสง
คนึงเดินตามหาศิษย์รักไปทั่ว ครูใหญ่เรียกตัวไปคุยด้วยแป๊บเดียว หันมาอีกทีคนตัวเล็กก็หายไปเสียแล้ว
“น้ำขึ้น! น้ำลง! น้ำลง! น้ำขึ้น! น้ำขึ้น!” เสียงเด็กๆ เจื้อยแจ้วอยู่หน้าโรงเรียน ชายหนุ่มสาวเท้าตามไป เห็นเด็กโขยงใหญ่จับกลุ่มเล่นกันสนุกสนาน
มีเด็กโค่งอยู่คน แฝงตัวแนบเนียนอยู่ในกลุ่ม โดดเข้าโดดออกวงกลมที่ขีดไว้บนพื้น หัวเราะเอิ้กอ้ากจนหน้าแดงก่ำ
“น้ำขึ้น!” เด็กโค่งโดดออกมานอกวงกลมคนเดียวโด่เด่ พวกที่เหลือพากันโห่ฮาลั่นทุ่ง
“แพ้แล้ว! แพ้แล้ว!” แล้วก็รุมเข้ามาเกาะแข้งเกาะขาคนแพ้กันนัวเนีย
“โอย แพ้แล้วจ้า! แพ้แล้ว” เลอมานชูมือสิโรราบ เด็กๆ มะรุมมะตุ้มไม่เลิกจนพากันหงายหลังหกคะเมนทั้งกลุ่มจนฝุ่นตลบ สาวน้อยใจกล้าคนหนึ่งขโมยจูบที่แก้มขาวด้วยดังฟอด ทำเอาคุณชายหัวเราะลั่น
ดอกฟ้าที่ดูไว้เนื้อไว้ตัวในตอนแรก โน้มกิ่งลงมาคลุกคลีด้วยแบบนี้ พ่อหนูแม่หนูเทหัวใจยกให้ทั้งกระจาดเลย
“อายุเท่าไรแล้ว” เสียงเข้มๆ ต่ำๆ ดังอยู่เหนือหัว คุณชายเงยหน้าขึ้นมอง เห็นใบหน้าคมคร้ามมองลงมา ขึงหน้าเรียบตึง มีเพียงดวงตาที่เป็นประกายพราว
คนอะไร ตายิ้มได้
เลอมานหัวเราะร่า วงหน้าอ่อนใสมอมแมมเป็นเด็กๆ ยื่นมือให้อีกฝ่ายช่วยฉุดดึงขึ้น ส่วนเด็กๆ น่ะหรือ กระเจิดกระเจิงกันไปโดดเหย็งๆ เล่นน้ำขึ้นน้ำลงต่อแล้ว
“ไปอาบน้ำกัน จะมืดแล้ว” ปลายนิ้วหยาบเกลี่ยรอยดินบนแก้มขาวแผ่วเบา
เด็กดีพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ไม่วายฉุกใจขึ้น “นายสิงห์ล่ะครับ” สุ้มเสียงดูห่วงใย ‘หนูเล็ก’ ของคนึง ใจดีเสมอ แม้กับคนที่เคยชกหน้าตัว “ไข้ขึ้นแบบนั้น จะมีแรงลุกหรือเปล่าไม่รู้”
“เดี๋ยวให้ใครไปเช็ดตัวให้ก็ได้” อาจารย์ตัดบท จูงมือน้อยเดินลิ่วๆ
‘ใครก็ได้’ ที่ไม่ใช่ ‘หนูเล็ก’ ของครู!
ห้องอาบน้ำโรงเรียนบางบาลมีอยู่ห้องเดียว พอประพนธ์เห็นคนึงกับเลอมานเข้าไปพร้อมกันเท่านั้นก็ถอนใจเฮือกใหญ่
“ไป ไปอาบที่ท่ากัน” ครูใจดีหันมาโอบไหล่สง่าและสันติที่นุ่งผ้าขาวม้าต่อคิวรอ “ลองสองคนนี้เข้าพร้อมกันละก็ รอไปเถอะ เที่ยงคืนก็ไม่ได้อาบ”
ประพนธ์ก็พูดเกินจริงไปนิด แต่สิ่งหนึ่งที่จริงแท้แน่นอนคือ ตอนอยู่โรงเรียนฝึกหัดครู เขาเห็นคนึงกับเลอมานเข้าไปอาบน้ำด้วยกันจนชินตา เขาเคยรอใช้ห้องน้ำต่อ รอจนเงก วิรัชที่อาบอีกห้องนึงออกมาแล้ว เขาเข้าไปอาบต่อจนออกมาอีกคน แต่สองคนนั้นก็ยังไม่เสร็จเสียที
เข้าใจว่าหม่อมราชวงศ์เลอมานคงสำอางไม่เบา อาบน้ำที ขัดสีฉวีวรรณเสียเป็นชั่วโมง
ประพนธ์พาสง่าและสันติจากไป จ้อยในผ้าขาวม้าผืนเดียวยังเก้กัง มองประตูไม้ปุปะอย่างเคลือบแคลง ไม่ได้ยินเสียงใดนอกจากเสียงน้ำจากขันตกกระทบพื้นดังซู่ๆ
ไม่มีอะไรน่า ก็แค่ผู้ชายอาบน้ำด้วยกัน เรื่องธรรมดาออกจะตายไป เขายังเคยอาบพร้อมสง่าและสันติเลย
กำลังจะหันหลังกลับ ตามพวกเพื่อนๆ ไปติดๆ พลันเสียงหัวเราะคิกคักก็เล็ดลอดออกมา จ้อยชะงักกึก ภาพอาจารย์เคียงคู่ไปกับคุณชายใต้แนวมะม่วงเมื่อกลางวันยังติดตา ปลายนิ้วเกาะเกี่ยวกัน
เสียงหัวเราะเงียบลงแล้ว จ้อยสะบัดหน้า สลัดความคิดเพ้อเจ้อออกจากหัว พร่ำบอกตัวเองเป็นครั้งที่ร้อย
ไม่มีอะไรหรอกน่า..
สง่า สันติและจ้อยที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เนื้อตัวหอมฟุ้งในชุดลำลอง นั่งล้อมอ่างเคลือบเปี่ยมน้ำอยู่หน้าประตู มีผ้าขนหนูผืนเล็กนอนแช่ลอยวน ต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ลูกกะตาหวาดระแวงจ้องมองกันและกัน ต่อหน้าต่อตาคนเจ็บที่นอนเอนอยู่มุมห้อง
“ใครล่ะ?” สง่าโพล่งขึ้นในที่สุด
“ก็ใครล่ะ?” สันติก็ย้อนเข้าให้
“ไม่เอานะ” สง่าทำท่าแหยงเสียเต็มประดา
“ไม่เอาเหมือนกัน” สันติก็ส่ายหน้าจนแว่นแทบหลุด
จ้อยถอนใจพรืด เสนอทางออกง่ายๆ “งั้นโอน้อยออกกัน ใครแพ้..” ดวงตาเคลือบแคลงเหลือบมองคนตัวโตที่มุมห้อง ปราดเดียว ราวกับกลัวเสียสายตา “..เป็นคนเช็ดตัว”
ทีแรกสองสหายก็ตกลงดิบดี แต่พอสะบัดมือจะออกขาวดำเท่านั้นก็วงแตก สง่าถอยกรูด บอกว่าโอกาสแพ้มีถึงหนึ่งในสาม เรื่องอะไรเขาจะยอม สันติก็อีกคน จู่ๆ ก็เกิดปอดลอยขึ้นมาเสียนี่
จ้อยละหน่าย ไม่รู้จะกลัวอะไรกันนักหนา แค่เช็ดตัวให้ไอ้สิงห์แค่นี้
ที่สนามหน้าโรงเรียน เครื่องทำไฟเริ่มปั่นไฟฟ้า เสียงประกาศให้ทราบทั่วว่าค่ำนี้จะมีการฉายภาพยนตร์ดังออกจากเครื่องขยายเสียง แข่งกับเสียงสองหนุ่มที่เถียงกันเซ็งแซ่ พากันเกี่ยงโยนกลองอยู่นั่น
“จ้อยนั่นแหละ!” สง่าโยนมาให้จ้อยดังตู้ม คนตั้งตัวไม่ทันถึงกับหน้าเหลอ “มันเจ็บเพราะช่วยจ้อยไม่ใช่รึไง รับผิดชอบเองซี่”
“ใช่ๆ ไปเช็ดตัวให้มันเลย” ทียังงี้ละ สันติเข้ากับสง่าเป็นปี่เป็นขลุ่ย เมื่อกี้เพิ่งกัดกันแทบตายแท้ๆ
ยิ่งได้อาจารย์ประพนธ์มาร้องเรียกให้ลงไปช่วยกันจัดที่ทาง สองสหายเผ่นแผล็วรวดเร็วราวลมพัด ทิ้งจ้อยให้อยู่ลำพังกับคนที่ไม่อยากแม้แต่จะใช้อากาศร่วมกัน
สิงห์นิ่งมองคนที่ทำท่าเหมือนถูกทิ้งไว้ในกรงเสือ ไอ้ตัวเล็กกระเถิบไปนั่งเสียติดประตู กระสับกระส่าย กระวนกระวาย เหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่ก
แต่ไม่มีแม้เสี้ยววินาที ที่ดวงตาคู่นั้นจะหันมามองกัน
ถึงยาแก้ปวดเริ่มหมดฤทธิ์ ถึงแผลเย็บที่หัวจะเจ็บหนึบ คนคอทั่งสันหลังเหล็กอย่างเขาก็ยังพอมีแรงลุกไหว หากเพียงขยับตัวนิดเดียวเท่านั้น จ้อยก็สะดุ้งโหยง ทำท่าจะปรูดออกไปนอกห้อง
“อย่าเพิ่งไป” เสียงแหบห้าวรั้งไว้ “อยู่ก่อน”
นักเรียนครูชะงัก แต่ยังไม่ยอมหันมา
“ถ้าออกไปตอนนี้ เดี๋ยวคนเขาจะรู้.. ว่าเอ็งมันใจดำ” สิ้นคำพูดนั้น คนฟังก็หันขวับ ตาวาวๆ จ้องเขม็ง แต่แข้งขาสั่นพั่บถอยกรูด หนีเสือเจ็บที่ค่อยๆ ย่างเข้าหาทีละก้าวๆ
เพียงเพื่อก้มลงประคองอ่างน้ำใบนั้นกลับไปยังที่ของตน
ที่อีกมุมห้อง แมวน้อยยังทำขนพองไม่เลิก
ใจดำหรือ จ้อยขบฟันกรอด มันหาว่าจ้อยใจดำ
ถึงจ้อยจะใจดำ อย่างน้อย.. ก็ยังดีกว่ามันละ
คนไม่มีหัวใจ
“แค่เช็ดตัว ข้าทำเองก็ได้ ไม่ต้องลำบากคุณครูหรอก” หัวหน้าอันธพาลอดพ้อไม่ได้ วูบหนึ่งหน้ามืดเหมือนจะเซ น้ำในอ่างเคลือบกระฉอกไปนิด แต่ก็ลากสังขารกลับมามุมห้องได้ในที่สุด “แต่รอให้ข้าเช็ดตัวเสร็จแล้วค่อยออกไปเถอะ”
คนเจ็บค่อยๆ เปลื้องเสื้อออก เผยให้เห็นแผงอกกำยำหอบสะท้าน มือเทอะทะบิดผ้าให้หมาดก่อนลูบหน้าลูบแขนให้ความร้อนบรรเทา
น้ำเย็นเฉียบ คงเป็นจ้อยหรือนักเรียนครูสักคนจ้วงตักจากโอ่งส่งๆ ไม่ได้มีแก่ใจจะเอาน้ำร้อนผสมให้อุ่น ชายหนุ่มยิ้มหยันให้ความน่าสมเพชของตน จะหวังอะไรมากมาย ก็แค่กุ๊ยชั้นต่ำคนหนึ่งที่เสนอหน้าติดตามมาเอง
มีใครขอให้มาหรือก็เปล่า
สิงห์หนาวจนเริ่มสั่น แต่พยายามปกปิดไว้สุดกำลัง ดวงตาแดงก่ำด้วยพิษไข้เหลือบมองอีกมุมห้อง เจ้าตัวเล็กนั่งกอดเข่าเงียบเชียบ ก้มมองแต่พื้นกระดาน
อย่างที่บอก เขามันถึก เถื่อน ถ่อย ร้อยวันพันปีจะล้มหมอนนอนเสื่อสักหน ขนาดไปมีเรื่องต่อยตีกันมา แม่เอาไข่ต้มคลึงหน้า เอาไพลทาสักหน่อยก็ลุกเดินปร๋อ
แล้ว.. วันที่มือนุ่มนวลอ่อนโยนคู่นั้นเช็ดตัวให้.. ผ่านมานานเท่าไรแล้วหนอ..
ภาพความทรงจำย้อนคืนเหมือนฟิล์มหนังในวงล้อ อีกแหละ เด็กชายคนเดิมแผลงฤทธิ์กับแม่จนเรือนสะเทือน
[“ไม่เอา! หนูจะรอจ้อยมาเช็ดตัวให้!” เด็กชายสิงห์ดิ้นปัดๆ บนเตียงกว้าง ผ้าห่มไปทาง หมอนไปทาง ทั้งที่เจ็บไข้ก็ยังมีเรี่ยวแรงพยศ ข้างเตียงคือแม่และน้าแป้นมองมาอย่างระอาใจ
น้าแป้นมือหนัก เช็ดตัวทีลงแรงยังกะรูดเมือกปลาไหล แม่ก็เหมือนกัน เล็บยาวๆ ชอบขีดขูดตัวเขาอยู่เรื่อย น้ำก็เย็นเจี๊ยบ โดนตัวทีตะพ้านจะกินตาย
“จ้อยบอกว่าจะมา หนูจะรอจ้อย! แค่กๆๆๆ” ตะเบ็งสุดเสียงแล้วก็โก่งคอไอโขลก แม่ได้แต่ถอนใจ สักพัก เสียงเล็กก็แว่วมาพร้อมเสียงฝีเท้าตึงตัง
“พี่สิงห์! พี่สิงห์จ๋า”
หัวใจของเด็กชายวัย ๑๐ ขวบพองโตลิงโลด
จ้อยมาแล้ว!
น้องตัวนิดเดียว แต่ดูแลคนป่วยคล่องแคล่ว มือน้อยๆ เทน้ำร้อนจากกระติกลงผสมในอ่างน้ำให้ด้วย แม่อดแขวะไม่ได้เมื่อเห็นเขานอนนิ่งยอมให้น้องเช็ดตัวอย่างว่าง่าย
“เล่นกันอีท่าไหน ทำไมลูกฉันได้ไข้มาคนเดียว”
เล่นจับปลาตามท้องร่องกันธรรมดานี่แหละ แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ได้บอกแม่ คือตอนขากลับ เขากางร่มคุ้มกระหม่อมบางๆ ให้น้อง ตัวเองเปียกปอนก็ช่างมัน
อยู่กันสองคน สิงห์แกล้งมือไม้ปวกเปียกเป็นตุ๊กตาให้น้องจับใส่เสื้อแสง ประแป้งหอมกรุ่น เสร็จแล้วใบหน้าเล็กก้มลงดมหัวเขาฟุดฟิด
“ตุเชียว” จ้อยย่นหน้า ปากแทบขึ้นไปติดจมูก ก่อนยิ้มกว้าง “เดี๋ยวหายไข้แล้วน้องจ้อยสระผมให้น้า”
จากนั้น ทุกเย็นย่ำ เด็กชายเฝ้ารอฟังเสียงไม้พายกระทบน้ำจ๋อมๆ ตามด้วยเสียงใสเจื้อยแจ้ว พี่สิงห์จ๋า.. พี่สิงห์จ๋า.. กับข้าวที่น้าแป้นทำดูจะขมแปร่งฝืดคอไปเสียสิ้น แต่ไม่รู้ทำไม ข้าวต้มใส่เกลือจืดๆ ที่น้องหิ้วใส่หม้ออวยใบน้อยติดมือมา สิงห์ถึงกินได้กินดี] หากตอนนี้ เจ้าตัวน้อยนั้น แม้แต่หน้าเขาก็ไม่หันมามอง
**********************
(ติดตามต่อครึ่งหลังจ้า

)