บทที่ ๒๒
ดอกหญ้า(ครึ่งหลังจ้ะ

)
โลกของจ้อยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วจริงๆ
ตลาดยอดตอนใกล้รุ่งเคยคึกคักจอแจอย่างไร วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ทั้งพ่อค้าแม่ขายและคนซื้อต่างยิ้มแย้มรับวันใหม่อย่างแจ่มใส แต่ในความรู้สึกจ้อย ทั้งสายตา รอยยิ้ม และคำทักทายที่ส่งมาให้ล้วนกรีดลงในใจเหมือนรอยมีด
หลังจากหายดีเป็นปกติแล้ว คุณนายก็ให้จ้อยออกมาจ่ายตลาดดังเดิม จ้อยไม่อยากออกมาเลย ไม่กล้าเจอสายตาผู้คน เถ้าแก่จั่นแผงขายหมูที่ส่งยิ้มมาให้นั่นจะรู้เรื่องระยำอัปรีย์ที่เกิดกับจ้อยหรือเปล่า เจ๊เน้ยร้านข้าวแกงที่ร้องทักเสียงใสเพราะจ้อยหายไปหลายวันนั่นเล่าจะรู้ไหม
ภายใต้สายตาและรอยยิ้มเหล่านั้น มีความสมเพช มีความสะอิดสะเอียดซุกซ่อนอยู่หรือไม่
จ้อยเดินก้มหน้างุด หลบสายตาผู้คนเหมือนวัวสันหลังหวะ ไม่ว่าใครจะทักทายอะไรก็เอาแต่ก้มหน้า ตะกร้าใหญ่หนักอึ้งที่คล้องแขนอยู่ยังไม่หนักหนาเท่าสิ่งที่กดทับอยู่ในหัวใจ อึดอัดเจียนบ้า
เมื่ออยู่บ้านกำนัน จ้อยพยายามหลบหน้าหลบตาไอ้สารเลวที่มันทำลายจ้อย ไม่รู้ว่าฟ้าเข้าข้างหรือมันจงใจ เพราะหลังๆ มานี่มันไม่ระรานจ้อยอีก ตอนกลางคืนจ้อยก็ครองห้องมันอย่างสบายใจ จ้อยไม่สนหรอกว่ามันจะไปซุกหัวนอนที่ไหน ขอเพียงอย่าอยู่กันลำพังสองคนได้เป็นพอ
แต่ดูท่า.. วันนี้ฟ้าคงไม่เข้าข้างจ้อยเสียแล้ว
ไอ้ลอย ไอ้หมาน ไอ้เลิศนั่งละเลียดกาแฟอยู่หน้าร้านเจ๊กโก!
เพราะจ้อยมัวแต่ก้มหน้าเดิน กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นพวกมันก็อยู่ในระยะใกล้แค่ไม่กี่ก้าวเสียแล้ว จู่ๆ มือไม้ก็สั่นระริก เหงื่อชุ่มมือทั้งที่เย็นเฉียบ สองขาถอยหลังเงอะงะ มัวแต่พะวงหน้าไม่พะวงหลังให้ดีเลยชนกับป้าข้างหลังดังโครม แกเอ็ดตะโรใหญ่ ยิ่งดึงดูดสายตาใครต่อใครให้หันมอง
รวมถึงพวกมันด้วย!
ไอ้ลอยละสายตาจากหมวยเกี้ยคนสวยหันมองจ้อย มันหยักยิ้มเจ้าเล่ห์ เขวี้ยงบุหรี่ลงพื้นแล้วลุกเดินมาหา จ้อยยืนตัวสั่น มือสั่น เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายเต็มหน้าผาก สายตาที่มันมองมา แวววาวเหมือนงูพิษ
“โอ้เมียเมียเอ๋ย ดูซิทำเฉยอยู่ได้ไม่ฟังเลย ยียวนตามเคย หรือเชยกับชู้เสียเพลิน” มันลอยหน้าร้องเพลงระรื่น ไม่ละสายตาไปจากจ้อยสักนิด ไอ้หมานหัวเราะเป็นลูกคู่ ไอ้เลิศลุกขึ้นบ้าง แต่เปลี่ยนใจกลับไปคว้าซาลาเปาทอดยัดใส่ปากอีกชิ้น ก่อนตามมาสมทบลูกพี่ พวกมันพากันกลุ้มรุมเข้ามา
แล้วดูเพลงที่มันร้อง ความหมายส่อเสียดลงในใจจนเจ็บแปลบ จ้อยขอบตาร้อนผ่าว จู่ๆ ก็ปวดมวนในกระเพาะตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอ เหลียวมองรอบตัวล่อกแล่กกลัวใครได้ยิน ยิ่งพยายามเดินหนีพวกมันยิ่งตามมาล้อมหน้าล้อมหลัง
“โอ้เมียอย่าหนี พี่รักจึงเย้า กระเซ้าเมียเล่นหรอกคนดี มาเร็วเร็วซี ให้ผัวหอมทีเถิดเมียจ๋าเมีย” ไอ้ลอยยื่นหน้ายื่นตาเข้ามา มือหยาบเชยคางจ้อย จ้อยสะบัดหน้าหนี ปัดมือมันออกทันทีอย่างรังเกียจ คนหน้าด้านกลับไม่รู้สึก เอาแต่พากันหัวเราะร่วน หน้ามันคงหนาชนิดเอากระเบนกรางไม่เจ็บ
“มันเป็นเมียพี่สิงห์ไม่ใช่เรอะพี่” ไอ้หมูเลิศกระซิบท้วงประสาซื่อ เล่นเอาลูกพี่หุบยิ้มฉับ หันไปกระทุ้งศอกใส่คนปากรั่วจนตัวงอ จ้อยสบจังหวะรีบเดินหนี
“ไงจ๊ะครู” มันยังตามมาดักหน้าอีก “ตั้งแต่มีผัวนี่.. มีน้ำมีนวลขึ้นเยอะเลยนะ”
มันไม่ได้ทำอะไรจ้อยเลย สองมือมันล้วงกระเป๋ายียวน ไม่ได้ทุบตีกันสักนิด แต่ทำไมจ้อยถึงเจ็บอย่างนี้
“หุบปากนะ” นักเรียนครูเค้นเสียงลอดไรฟัน น้ำอุ่นๆ เริ่มกลบสองตา จ้อยพูดไปก็เปล่าดาย ต่อให้มันยอมหุบปาก แต่สายตามัน.. รอยยิ้มมันอีกเล่า เชือดใจจ้อยได้เจ็บแสบไม่ต่างกัน
“โอ๊ย ครูต้องหาอะไรมาอุดปากฉันก่อนละจ้ะฉันถึงจะหยุด” ไอ้ลอยทำเสียงนอบน้อมกวนประสาท สายตาเหลือบมองลงต่ำ แลบลิ้นเลียริมฝีปาก “เหมือนพี่สิงห์วันนั้นไง.. ทั้งดูด..ทั้งกลืน..น่าอร่อย”
จ้อยตัวสั่นเทิ้มไปหมดแล้ว ก้มหน้าเดินหนีทันที ไอ้ลอยตามมาดักหน้าทันควัน
“ตะกร้าหนักอย่างนี้ฉันถือให้ดีกว่าพี่สะใภ้” ไม่พูดเปล่า มือใหญ่คว้าตะกร้าจ่ายตลาดของจ้อย แย่งไปได้อย่างง่ายดาย
“เอาคืนมา!” คนตัวเล็กพยายามยื้อคืนสุดชีวิต ไอ้ลอยมือไวกว่าฉกไปไว้ข้างหลัง จ้อยเอื้อมไปแย่งคืน มันก็ส่งต่อให้ไอ้หมาน ไอ้หมานส่งต่อให้ไอ้เลิศที่เอาแต่เงอะงะ จ้อยเริ่มหัวหมุน ถลาไปหาคนโน้นทีคนนี้ทีพัลวัน พวกมันคงสนุกสนานถึงได้หัวเราะกันครื้นเครงเหมือนเล่นลิงชิงบอล
ตะกร้าวนกลับมาอยู่ในมือไอ้ลอย จ้อยรี่เข้าไปฉุดคืน มันออกแรงชักกะเย่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจงใจปล่อยมือออก คนไม่ทันยั้งแรงจึงหงายหลังก้นจ้ำเบ้า ความเจ็บแล่นวาบจนปลาบไปทั้งตัว
ตะกร้าหล่นเค้เก้อยู่กับพื้นอย่างไร้ค่า อาหารสดแห้งกระจัดกระจาย ไข่ไก่แตก เนื้อหมูทะลักจากห่อใบตอง มะนาวไปทาง หอมกระเทียมไปทาง ขนมครกของน้ำฝนก็เปื้อนดินเสียแล้ว
ยิ่งกว่าเจ็บตัวคือเจ็บใจ น้ำตาที่กักเก็บไว้พรูผล็อยเหมือนตาน้ำทะลัก จ้อยลนลานคลานสี่ขาเก็บของคืนตะกร้า มะนาวลูกหนึ่งกลิ้งหลุนๆ ให้ตามไปเก็บ ลูกกลมเจ้ากรรมดันกลิ้งเข้าไปหาเท้าไอ้ลอย มันเหยียบย่ำลงอย่างไม่ใยดี จ้อยขบฟันกรอด วูบหนึ่งนึกเอะใจหันมองรอบตัว ใครต่อใครพากันมองมาแล้ว
“โอ๊ะ กางเกงเปื้อนเลือดแน่ะครู” ไอ้หมานร้องทักเสียงดัง จ้อยสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นเหลียวดูเลิ่กลั่กตามประสาคนซื่อ ไม่จริง นี่จ้อยเผลอเอากางเกงวันนั้นมาใส่หรือ ไม่ใช่ ไอ้สิงห์ทิ้งไปแล้วนี่ หรือแผลจ้อยยังไม่หาย พอออกแรงเดินมากๆ ก็เลือดซึม หรือเพราะจ้อยล้มกระแทกพื้นเมื่อกี้ ไหน! มันอยู่ตรงไหน เห็นชัดไหม เป็นวงกว้างมากหรือเปล่า
ไอ้ลอย ไอ้หมานพากันหัวเราะร่วนเหมือนดูจำอวดก็ไม่ปาน
“แค่โคลนน่ะ” ไอ้เลิศสงเคราะห์ให้ด้วยใจเวทนา จ้อยหน้าชาไปทั้งแถบ นี่เขาโง่อีกแล้ว โง่จนถูกมันหลอกเล่นเป็นตัวตลกซ้ำๆ ซากๆ
“อะไรกัน!” เสียงห้าวตะโกนลั่นมาก่อนตัว สิงห์เพิ่งไปเก็บดอกเบี้ยให้แม่จากฝั่งโน้น เลี้ยวมุมห้องแถวไม้มาก็เห็นน้องตกอยู่ในวงล้อมสมุนตัวเองแล้ว “พวกมึงทำอะไร!”
มือใหญ่ปรูดมาผลักอกไอ้ลอยจนเซ ย่อตัวลงช่วยน้องเก็บของตามพื้น ไอ้เลิศกุลีกุจอช่วยเก็บบ้าง น้องไม่พูดกับเขาสักคำ ไม่แม้แต่จะมองหน้า เมื่อมือแตะกันโดยไม่ได้ตั้งใจก็สะบัดหนีอย่างรังเกียจ คราบน้ำตาบนแก้มขาวทำให้ลูกกำนันขบกรามจนข้างแก้มขึ้นเป็นสัน
“ข้าวใหม่ปลามัน ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน” ไอ้ลอยว่า ถ้าสิงห์เงยหน้าขึ้นมาก็จะเห็นแววตาเย้ยหยัน “แต่ถ้าพี่เบื่อแล้ว ก็โยนมาให้พวกฉันนะ”
คำพูดนั้นดูถูกจ้อยถึงขีดสุด ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดขึ้นขยุ้มคอเสื้อคนปากพล่อย
“หน้าอย่างนี้ ขาวอย่างนี้ ถ้าเป็นเมียฉันนะ” มันกระซิบเสียงพร่า จ้องตาไม่สะท้านสะทก “ฉันจะเอาวันละสามเวลา ให้หลังติดฟูกไม่ต้องลุกเลย”
สุดจะทนได้อีกต่อไป สิงห์ซัดกำปั้นใส่หน้าไอ้ลอยอย่างแรง ร่างใหญ่หนาเซแซ่ดล้มใส่แผงปลาทูวายวอด ผู้คนแตกฮือ แต่คนเจ็บยังมีหน้าลุกขึ้นยิ้มยวน ลูกพี่เงื้อง่าหมายจะซ้ำอีกหมัดแต่ไอ้เลิศร้องบอกก่อนว่าจ้อยหนีไปนู่นแล้ว นั่นแหละหัวหน้าอันธพาลถึงได้จ้ำอ้าวตามนักเรียนครูลิ่วๆ
เหมือนลูกหมาตามเจ้าของไม่มีผิด
จ้อยก้มหน้าเดินงุดๆ ทั้งน้ำตานองหน้า เดินให้เร็วที่สุดเท่าที่สองขาล้าแรงจะอำนวย จะชนใครต่อใครบ้างไม่สนใจแล้ว ได้ยินเสียงมันร้องเรียกจ้อยก็ไม่คิดจะหันไปมอง ร่างเล็กหลบวูบเข้าซอกห้องแถวไม้ ตรงมุมอับมีขยะสดทิ้งกองเป็นเข่งๆ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
จะว่าไป.. ที่แบบนี้ก็เหมาะสมกับจ้อยดี
เสียงร้องเรียกผ่านไป มันคงเดินเลยไปเพราะไม่รู้ว่าจ้อยอยู่ในซอกนี่ มือเล็กอุดปากแน่น กลั้นเสียงสะอื้นได้ แต่น้ำตาที่พรั่งพรูคงต้องปล่อยเลยตามเลย จ้อยทรุดลงนั่งกองกับพื้น แสนสมเพชตัวเองนัก สกปรก โสโครก จนต้องถูกคนอื่นเขาดูถูก นี่หรือคนที่ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นครู ไร้ค่าขนาดนี้จะเอาหน้าที่ไหนไปสั่งสอนคนอื่น
***************************
จ้อยพาน้ำฝนมาอยู่ในสวนท้ายเรือนตามเคย หลังจากพาสังขารมอมแมมกลับมาจากตลาด โชคดีที่คุณนายไปโรงสีแล้ว ไม่อย่างนั้นจ้อยโดนสวดสามวันไม่จบแน่ว่าจ่ายตลาดอีท่าไหน กับข้าวกับปลาถึงแหลกเละเปรอะเปื้อนเป็นขยะ
อยู่กับน้ำฝนแล้วจ้อยสบายใจเพียงใด อยู่กับต้นไม้ใบหญ้าจ้อยก็สบายใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม่หนูน้อยคอยพูดคุยเป็นเพื่อนให้คลายเหงา ส่วนต้นไม้ก็ไม่มีสายตาจ้องจับผิด ไม่มีคำพูดดูแคลนให้จ้อยต้องคอยหวาดระแวงเหมือนอยู่ต่อหน้าผู้คน
ซุ้มเฟื่องฟ้าแดงออกดอกสะพรั่ง น้ำฝนเก็บดอกแดงที่ร่วงตามพื้นมาใส่กะลา ซอยหญ้าใส่ลงไป ติ๊ต่างว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวเอามาเสิร์ฟให้พี่จ้อยที่ติ๊ต่างว่าเป็นลูกค้า
จ้อยอมยิ้ม ทำท่าอ้ำๆ แล้วชมเปาะว่าอร่อย แค่นี้สาวน้อยก็ยิ้มเขินม้วนต้วน
โคนต้นมีกิ่งเฟื่องฟ้าที่น้าเวกเพิ่งลิดออก จ้อยเด็ดดอกมาขยี้ๆ แป๊บเดียวก็คั้นได้หยาดแดงติดปลายนิ้ว นักเรียนครูคว้ามือกลมป้อมมาแต้มสีแดงบนเล็บให้ แม่หนูหัวเราะชอบใจใหญ่ ทีนี้น้ำฝนก็เล็บแดงเหมือนคุณนายพูนทรัพย์แล้ว
“ทาปากได้ไหมพี่จ้อย” วงหน้าไร้เดียงสาเงยขึ้นมอง เล็บแดงแล้วน้ำฝนก็อยากปากแดงด้วย
จ้อยพยักหน้า น้ำฝนรีบทำปากจู๋ไว้รอท่าเชียว จ้อยเลยไปเด็ดมาขยี้อีกดอก ทว่าหนนี้.. นัยน์ตาหม่นเศร้ามองกลีบดอกช้ำในมือนิ่งงัน
โถ..ดอกไม้.. ได้ฝนฉ่ำชุ่มก็ผลิดอกแตกใบ เหยียดช่อไปหาฟ้า กลับถูกเขาลิดกิ่งลงมา ถูกขยี้จนแหลกเหลว หมดสิ้นความสดสวย
ชีวิตจ้อยก็คงไม่ต่างจากมันเท่าไร
“พู่จู้ย” เสียงใสเรียกชื่อเขาทั้งที่ยังห่อปากปลุกจ้อยจากห้วงความคิด จ้อยรีบสูดจมูกฟืด รับคำเงอะงะก่อนบรรจงแต้มสีลงบนปากนุ่มนิ่มอย่างเบามือ
“ปากแดงแล้วจ้ะ” จ้อยชมเปาะ
แม่หนูยิ้มแฉ่ง ตากลมใสจ้องหน้าจ้อยตาปริบๆ แล้วนิ้วสั้นๆ ก็จิ้มจึ้กลงปากจ้อย “แต่พี่จ้อยปากแดงอยู่แล้ว ไม่ต้องทา” ว่าแล้วแม่สาวน้อยก๋ากั่นก็ขโมยจูบที่แก้มหนุ่มฟอดใหญ่ ทิ้งคราบแดงบนแก้มขาวเป็นรูปปากจิ๊ดริด
เล่นเอาจ้อยหัวเราะออก ความไร้เดียงสาของเด็กน้อย ปัดเป่าความเศร้าหมองที่ยังตกค้างจากเมื่อเช้าหายวับ
น้าเวกกวาดสารพัดกิ่งที่เพิ่งตัดทิ้งมากองรวมกัน กะรอให้แห้งแล้วเผาทีเดียว แกหันมายิ้มให้คู่ซี้ต่างวัยแล้วออกปากขอแรงจ้อยไปช่วยงาน
“แยกหน่อมหาหงส์บ้าง โตเร็วเหลือเกิน แป้บๆ ก็แทงยอดกันอุตลุด” น้าเวกคว้าเสียมมาเซาะดินกึกๆ งัดและพลิกฟื้นจนหน่ออ่อนถูกดึงขึ้นโดยง่าย จ้อยก้มๆ เงยๆ อยู่ใกล้ๆ ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยไปขุดดินทำเบ้าขนมครกแถวใต้ต้นมะม่วงแล้ว
ผู้มากวัยกว่ามองหนุ่มน้อยด้วยห่วงใยระคนเอ็นดู หน้าแบบนี้.. ถ้าเป็นผู้หญิงก็สวยฉิบหาย แต่เมื่อเป็นผู้ชายก็สำอางไปอีกแบบ หากวันนี้หน้าขาวๆ ดูซีดเซียวกว่าเคย จะว่าไป.. ตั้งแต่หายไข้ เจ้าลูกหมาน้อยตาใสของแกเอาแต่ตีหน้าเศร้าๆ ขรึมๆ ทั้งวัน นานน้านถึงจะยิ้มออกมาสักทีอย่างเมื่อครู่ที่นั่งเล่นอยู่กับยายตัวแสบ
แกเห็นจ้อยยิ้มแล้วชื่นใจบอกไม่ถูก ไอ้เด็กคนนี้ เวลายิ้มทีโลกก็เหมือนจะยิ้มตามไปด้วย
“อัญชันกำลังแตกได้ที่” แกชี้ให้จ้อยชมเถาไม้เลื้อย ดอกน้ำเงินอมม่วงประดับประดาตัดกับใบเขียวสด “ดอกมันกินได้นะ ชุบแป้งทอดก็ดี ใส่ขนมก็สีสวย”
จ้อยเลยเล่าให้ฟังบ้างว่าตอนเด็กๆ ยายเคยเอาอัญชันมาทาคิ้วให้ น้าเวกหัวเราะเฮ่อะๆ บอกว่ายายช้อยน่าขยี้อัญชันทาเหนือปากเหนือคางจ้อยด้วย หนวดเครามันจะได้ครึ้มเขียวมาดแมนอย่างหนุ่มๆ คนอื่นเขาบ้าง
นี่อาไร้ หน้าตาแขนขาเกลี้ยงเกลา ไอ้พวกทโมนมันถึงล้อว่าเป็นกะเทยตั้งแต่เด็กๆ
อะแฮ่ม แต่ไอ้ประโยคหลังนี่น้าไม่ได้พูดออกไปหรอกเน้อ
แกชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ชี้ให้จ้อยดูต้นทองหลางแตกช่อสีส้ม บอกว่าใบอ่อนๆ ของมันเอามากินกับส้มตำ เมี่ยงคำ และปลาแนมอร่อยนัก แต่ถ้าเป็นใบเพสลาดก็เอาไปชุบแป้งทอดอย่างเดียวกับใบเล็บครุฑและใบพริกกินกับน้ำพริกกะปิแสนเข้ากัน
จ้อยพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง ยิ้มกริ่มอยู่ในใจ น้าเวกเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเสียแล้ว
“อ้าวสิงห์ วันนี้นึกยังไงเข้าสวน” น้าเวกเอ่ยทักคนที่เดินดุ่มเข้ามา แค่จ้อยได้ยินชื่อนั้น.. มือที่กำลังดึงหน่อมหาหงส์พลันชะงักกึก รอยยิ้มที่แต้มบนหน้าหายวับ
อารมณ์รื่นระเหิดหายเหมือนน้ำค้างกลางแดด แม้เสียงลมเสียดกับใบมะม่วงยังฟังคล้ายเสียงหัวเราะเยาะ
ลูกชายกำนันหอบจนอกสะท้าน เที่ยวตามหาน้องทั่วตลาด พอกลับมาถึงบ้านถึงได้รู้ว่ามาขลุกอยู่ในสวนนี่เอง เขาถอนใจโล่งอก ดวงตาสีเข้มเพ่งมองเสี้ยวหน้าละมุนที่ไม่หันมาแลกันสักนิด
แล้วอะไรนั่น! รอยแดงๆ บนแก้มใส เลือดหรืออะไรกัน! ความห่วงหาแล่นพล่าน สิงห์ปรูดเข้ามาประชิด น้องสะดุ้งเฮือกแต่เขาไม่สนใจ มือใหญ่ประคองใบหน้าเล็กไว้หมายพิศดูให้ชัดๆ จ้อยกลับสะบัดหน้าหนี แถมถอยร่นไปอยู่ข้างๆ น้าเวก
คนสวนเอาแต่แซะดินไม่ทันได้สนใจ เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นไอ้ตัวเล็กมานั่งข้างๆ แล้ว
“โน่นพวงชมพู ฟ้าประดิษฐ์ เล็บมือนาง พวกนี้เป็นไม้เลื้อยต้องแต่งมันดีๆ” แกว่าไปเรื่อย “พวงครามปีที่แล้วบ้าใบพอๆ กับชมนาด คอยดูเถอะ ปีนี้พ่อจะบังคับให้สำลักคายดอกให้ได้เชียว”
“ทำได้ด้วยหรือน้า” สิงห์ถามไปอย่างนั้นเอง สายตายังไม่ละไปจากวงหน้าละมุนที่ก้มมองแต่พื้นเหมือนมันมีเพชรซ่อนอยู่ในนั้น
พอมองดีๆ ถึงได้รู้ว่าสีแดงที่แก้มน้องคงเป็นแค่สีจากดอกอะไรสักดอกแถวนี้ หาใช่เลือดอย่างที่ตกอกตกใจไม่
คิดไปก็แสนสมเพชตัวเอง รอยแดงแค่กระผีกริ้นทำเป็นห่วงจะเป็นจะตาย ทีเลือดแดงฉานเต็มหน้าขาน้องคืนนั้นเล่า เขากลับทำได้ลงคอ
“ทำไมจะไม่ได้ ต้นไม้บางชนิดหยุดให้น้ำหน่อยก็ตัวสั่นกลัวตาย อยากทิ้งพันธุ์เอาไว้ก็แตกดอกกันสว่างไสว บางจำพวกเอาไฟลนผ่าวๆ แหม้..ออกลูกแทบไม่ทัน” น้าเวกตอบพลางหัวเราะจนหางตาเป็นริ้ว
เสียงน้าแป้นร้องเรียกลูกสาวตัวน้อยให้ไปช่วยถูบ้านไกลๆ น้ำฝนรีบทิ้งกะลาวิ่งตุบตับไปหาแม่ ขืนมัวบิดตะกูดมีหวังได้โดนแม่บิดเนื้อหลุด
จ้อยทำท่าจะตามไปด้วย แต่น้าเวกร้องขอแรงให้ช่วยแยกหน่อมหาหงส์เสียก่อน หนุ่มน้อยเลยต้องทนอยู่ด้วยใจอึดอัด
สิงห์เห็นน้องทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วรานใจนัก
“ดื้อด้าน เลี้ยงดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง” แกหมายถึงพันธุ์ไม้ออกดอกออกลูกยากทั้งหลายแหล่ มือหยาบเอื้อมไปหยิกใบเล็บมือนาง ทำหน้าหมั่นเขี้ยวยังกะหยิกแก้มสาว ก่อนหันมาทางลูกชายกำนัน “กับต้นไม้น่ะทำได้ แต่กับคนอย่าไปทำเชียวนา”
พูดถึงดอกไม้อยู่ดีๆ น้าเวกวกมาเรื่องคนได้อย่างไรก็ไม่รู้
แกหันมองเห็นลูกสาวตัวน้อยวิ่งไปไกลลิบแล้วก็หันมากระซิบกับสองหนุ่ม “นี่.. น้าจะเตือนให้ เห็นเป็นผู้ชายทั้งคู่ จ้อยน่ะน้าไม่ห่วง แต่สิงห์นี่สิ อย่าไปเอาตามไอ้ลอยมันมาก เขาลือกันว่ามันเป็นลูกเสือลูกโจร”
ชายกลางคนกดเสียงเข้มจริงจัง ไม่รู้อะไรดลใจให้จู่ๆ แกมาสั่งสอนเขาเรื่องนี้
“น้าเห็นช่วงนี้สิงห์เหม่อๆ ใจลอยเหมือนคิดถึงใครทั้งวัน อาการแบบนี้น้าเคยเป็น เขาเรียกคนกะลังมีฟามรัก” ตะแกยิ้มเผล่ กระทุ้งศอกใส่อย่างจะแซว ”หมายตาลูกสาวบ้านไหนอยู่หรือเปล่าล่ะเรา”
สิงห์ไม่ตอบคำ สายตาจับจ้องแต่คนที่นั่งก้มหน้าดึงหญ้างุดๆ
“ผู้หญิงน่ะต้องเอาใจ ทะนุถนอมฟูมฟัก เหมือนปลูกต้นไม้แหละ ค่อยๆ รดน้ำพรวนดิน ค่อยๆ เฝ้ามองมันเติบโต สักวันหนึ่งดอกมันจะบานสะพรั่ง รากมันจะหยั่งลงลึก ลมแรงแค่ไหนก็โค่นไม่ได้ อย่าไปใช้กำลัง อย่าไปฉุดคร่าลูกเขาเมียใครเชียวนา อย่างนั้นมันไม่ใช่การร่วมรัก แต่เป็นการข่มขืนกระทำชำเรา ไอ้ที่เป็นสวรรค์ของเรา ก็จะเป็นนรกของอีกฝ่ายไป ผู้ชายคนไหนที่ทำแบบนั้น รู้ไว้เถิดว่าความเป็นชายได้หมดไปแล้ว คงเหลือแต่ความเป็นสัตว์ป่าหรืออมนุษย์ในร่างคนเท่านั้น”
ลมแรงขึ้นหรือไรหนอ ภาพน้องในสายตาจึงดูพร่าเลือนไป ม่านน้ำใดเอ่อขังในขอบตาจนล้นปรี่
“มันทั้งผิดกฎหมายแถมยังเสื่อมศักดิ์ศรีชายชาตรีไม่มีเหลือหลอ เรียกว่าตัดออกจากบัญชีมนุษย์ได้เลย อย่าได้ทำเชียวนะสิงห์ ตราบใดที่คิดว่าตัวเองไม่ใช่สัตว์หรือต่ำกว่าสัตว์”
คำพูดแกดั่งคมสิ่วตอกลงในใจเขาแทบทลายลงทั้งดวง
“เพราะอย่างน้อย สัตว์มันก็ไม่ข่มขืนกัน”
โปรดติดตามตอนต่อไป--------------------------------------------------------------------------------------------
* ดอกหญ้า, ชาลี อินทรวิจิตร คำร้อง, สุเทพ วงศ์กำแหง ขับร้อง
**เกษมสุข บุณยมาลิกขอโทษนะคะ งวดนี้มาช้าไปหน่อย ช่วงปลายปีงานเยอะท่วมหัวตัวเป็นเกลียวเลยเชียว

ใครคิดถึงชายเล็กรอตอนหน้าเน้อ ย้ายโลเกชั่นกันมั่ง อยู่แต่บ้านกำนันเบื่อเต็มที เริ่มคิดถึงรร.แล้วสิ
รักคนอ่านค่ะ
ดอกไม้
๑๙ ธ.ค. ๕๕