บทที่ ๒๑
คนใจมาร(ครึ่งแรกจ้ะ

)
พอเสียทีรักนี้มันเศร้า ทำเอาปวดร้าววิญญาณ
มีแต่ประหัตประหาร
แสนทรมานจะทนรักกันเพื่อสิ่งใด
ต่อให้เธอมาคุกเข่าเฝ้าขอคืนดี
ฉันไม่มีให้อภัย
เธอทำฉันแค้นแสนปวดใจ หมดสิ้นเยื่อใย
ขอไกลพ้นคนใจมาร*ตะวันแทบส่องตรงหัวแล้วตอนที่สิงห์เริ่มรู้สึกตัว แสงแดดจ้าส่องลอดช่องว่างผนังไม้ขัดแตะเป็นริ้ววงกระจัดกระจาย ในอนุสติลางเลือน ชายหนุ่มรู้สึกร้อนอ้าวดั่งกอดกองไฟ แต่ไม่รู้เหตุใด อ้อมแขนแกร่งจึงไม่ยอมคลายออกจากกองไฟนั้น
เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก หวังพบต้นเหตุแห่งความร้อนรุ่มที่แผดเผาแผ่นอกเขาแทบไหม้
ใบหน้าคมสันซบอยู่กับกลุ่มผมชื้น ชายหนุ่มถึงกับผงะ ความง่วงงุนด้วยฤทธิ์สุราตกค้างหายวับไปเป็นปลิดทิ้ง ร่างกำยำกอดรัดน้องน้อยจากด้านหลังไว้แน่นแนบอก แทบคร่อมทับทั้งตัว ใบหน้าซีดเซียวแนบกับผืนเสื่อ ไรผมเปียกชื้นระต้นคอชุ่มเหงื่อ เปลือกตาบอบบางปิดสนิท ทิ้งรอยน้ำตาเป็นคราบบนแก้มขาว
เนื้อตัวร้อนผ่าวดั่งไฟ!
“จ้อย..” เสียงสั่นพร่าเปล่งออกมาจากลำคอแห้งผาก กลิ่นคาวแปลกประหลาดอวลซ่านกระทบจมูก ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ค่อยๆ ขยับกายออกจากร่างปวกเปียก พลันนั้นหัวใจก็หล่นวูบ
บางส่วนยังเชื่อมต่อกัน..
เสียงต่ำครางแหบเครือยามค่อยๆ ถอดถอนกายออก ร่างในอ้อมกอดกระตุกเฮือกทั้งที่ไม่รู้สึกตัว ของเหลวขาวขุ่นหยาดไหลตามลงมาเป็นทาง ปนเปด้วยเลือดแดงฉาน
เลือด.. เลือดเต็มไปหมด เกรอะกรังเต็มหว่างขาขาว แม้กระทั่งหน้าขาของเขา.. ก็มีแต่คราบเลือด..
ใครทำน้อง?!
เลือดฉีดพุ่งจากเท้าถึงศีรษะ หากฉับพลันก็หมดแรงตกวูบ
กูเอง..
ชายหนุ่มระลึกถึงเสียงกรีดร้องลางเลือนในกระท่อมคับแคบ กระทั่งโรยลงเป็นเสียงสะอื้นไห้ ความทรงจำย้อนกลับสู่ค่ำคืนอัปยศ
สารภาพจากหัวใจมืดบอด เมื่อคืนเขาโกรธน้องมาก ทั้งโกรธทั้งเสียใจจนอยากขยี้ให้แหลกเหลวคามือ อยากทำลายให้ย่อยยับคาอก อยากยัดเยียดความเป็นเจ้าของ ตีตราจองทั่วเรือนกาย
เวลาคนเราโกรธ เสียใจ ความก้าวร้าวหยาบกระด้างผุดขึ้นได้เหมือนเปลวไฟแลบเลีย เหมือนน้ำไหลบ่า ซัดมา สาดมา จนไร้สติสำนึกใดๆ ยิ่งได้ไอ้ลอยยุยง ได้เหล้ากี่หมื่นกี่แสนหยดสาดเทลงหัวใจลุกไหม้ ก่อเกิดเป็นกองไฟร้ายแรง แผดเผาความรักเพียงหนึ่งเดียวมอดไหม้เป็นกองเถ้าถ่าน
เพียงแต่สิงห์ไม่คิดว่าเขาจะลงมือกับน้องรุนแรงขนาดนี้
“จ้อย..” เสียงแหบพร่ายังพร่ำเรียกน้อง แต่เจ้าตัวน้อยนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง มีเพียงลมหายใจร้อนผ่าวและแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงช้าๆ เท่านั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าร่างนี้ยังมีลมหายใจ
น้ำตาเดรัจฉานเอ่อท้นล้นขอบตา หัวใจแทบแหลกสลายลงราวกับถูกใครจับแช่ในน้ำกรด มือหยาบเทอะทะลูบไล้ไปตามใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแห้งผากไร้สีเลือด
“จ้อย.. จ้อยของพี่..จ้อย..” คนใจชั่วยังพึมพำซ้ำๆ อย่างไร้สติ สองแขนแกร่งตระกองกอดน้องแนบอก นี่ใช่ฝีมือมนุษย์ทำต่อกันจริงหรือ หรือผีห่าซาตานจากนรกขุมไหนมาสิงสู่ใจเขากันแน่ ร่างอ่อนเปลี้ยบอบช้ำไปทั้งตัว รอยจูบแดงช้ำ รอยฟันขบกัด รอยมือเขียวคล้ำกระจัดกระจายทั่วเรือนร่าง คราบเลือด.. คราบของเหลวขาวขุ่นแห้งกรังอยู่เต็มหน้าขา หัวศอกหัวเข่าน้องถลอกปอกเปิก โต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่เขานั่งกินเหล้าอยู่เมื่อคืนพังพาบลงไปกองกับพื้น ส่วนเสื่อที่รองรับร่างจ้อยอยู่ก็ขาดวิ่น จ้อยคงดิ้นแรงจนตาเสื่อครากออกจากกัน
ความจริง.. เมื่อคืนนี้.. มันเป็นคืนที่เราตกลงกันไว้ว่าจะไปดูหนังด้วยกันไม่ใช่หรือ พี่วาดฝันไว้.. ไม่ว่าหนังจะสนุกแค่ไหน.. พี่ก็จะไม่จ้องให้เสียเวลา.. พี่จะจ้องแต่หน้าน้อง จะลอบเฝ้ามองหน่วยตากลมโตที่เบิกกว้างขึ้นเมื่อตื่นเต้น มองกลีบปากสีเรื่อที่คลี่ยิ้มสดใส มองแก้มขาวที่เมื่อสะท้อนกับแสงจากจอผ้าใบ มันคงนวลเปล่งปลั่งน่ามอง.. น่าหอม.. แล้วพี่จะลอบจับมือน้องในความมืด ต่อให้น้องพยายามแกะอย่างไรพี่ก็จะไม่ปล่อย หนังเลิกแล้วพี่จะพาน้องออกมากินข้าว น้องชอบน้ำแดง ชอบข้าวหมูแดง พี่จะพาไปกิน ริมฝีปากน้องคงแดงเรื่อเพียงดื่มน้ำแดงรสซ่าเข้าไปแค่ไม่กี่อึก แล้วพี่จะพาน้องกลับบ้าน จอดแวะชวนน้องดูดาวที่ริมบึงพระราม ก่อนนอน.. พี่ก็จะฝากจมูกไว้เป็นเกลอแก้มน้องสักที
แล้วเหตุการณ์มาจบลงแบบนี้ได้ยังไงกัน มาจบลงที่กระท่อมโสมมนี้ได้ยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้
ใจคอฟ้าดินจะกลั่นแกล้งเราสองคนไปถึงไหนจึงจะพอใจ
อย่าเลย..อย่าโทษฟ้าดิน..
กูทำเอง กูทำเองทั้งนั้น!
“ตื่นแล้วเรอะพี่” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง สิงห์หันขวับ เห็นไอ้เลิศยืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้ากระท่อม ลูกพี่รีบเช็ดขอบตาร้อนผ่าวด้วยท่อนแขน
มืออ้วนอูมยื่นซากเสื้อผ้าส่งให้ ดวงตาขลาดเขลาหลุบลงต่ำ มันไม่เจริญหูเจริญตานักหรอกไอ้ภาพผู้ชายล่อนจ้อนสองคนกอดกันนี่ ยิ่งคนหนึ่งบอบช้ำไปทั้งตัวอย่างกับถูกรุมโทรมด้วยแล้ว..
ลูกพี่รับเสื้อเชิ้ตตาสก็อตที่กระดุมขาดทั้งแถบไปคลี่คลุมท่อนล่างให้ร่างในอ้อมกอด ก่อนรีบร้อนสวมกางเกงลวกๆ ให้ตัวเองบ้าง
“เมื่อคืน..” สิงห์หันถามลูกน้องตัวอ้วน ดวงตาแดงก่ำจ้องหน้าเขม็ง “มีใครแตะมันบ้าง”
ถามเองแล้วก็เจ็บเอง คำพูดตนดั่งคมมีดเฉือนลงเนื้อใจ แต่อดคิดไปไม่ได้ ในเมื่อสภาพจ้อย.. ย่อยยับขนาดนี้..
“แตะหรือ?” คนตัวอ้วนกลอกตาคิด แต่ละวินาทีบีบเค้นหัวใจคนรอคำตอบจนเหลือไม่ถึงเสี้ยว “ก็ทุกคนแหละ..”
มันตอบประสาซื่อ หารู้ไม่ หัวใจคนฟังแทบป่นลงตรงนั้น
ลูกพี่ตัวชาวาบจากปลายเท้าขึ้นมาถึงเส้นผม กำหมัดเกร็งแน่นสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำไหวระริก
“พี่สิงห์.. พี่ลอย..” มันยกนิ้วขึ้นนับไปเรื่อย ปากก็พูดเจื้อย “ไอ้หมาน ฉันด้วย แตะกันหมด..โอ๊ย!”
กำปั้นแข็งโกกกระแทกเข้ามุมปาก แรงจนก้อนเนื้อเผละผละกระเด็นล้มคว่ำ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ทันได้แก้ตัว ร่างบึกบึนก็โถมเข้าใส่ รัวกำปั้นใส่หน้าไม่ยั้ง แววตาดั่งหมาบ้ากระหายเลือด
“พี่สิงห์ โอ๊ย! อย่าพี่!” ไอ้เลิศปัดป้องพัลวัน ลูกพี่คล้ายคนบ้าคลั่ง ในแววตาดั่งหมาบ้านั้นเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำใส
“มึงทำมันทำไม!” เสียงห้าวตะคอกสุดเสียง มือแกร่งกระชากคอเสื้อเบี้ยล่างขึ้นเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน พอเงื้อง่ากำปั้นอีกที คนใจเสาะก็ยกมือป้องหัวหด
“ฉะ..ฉันแค่แตะเท้ามัน..แป๊บเดียว” มันปากคอสั่นพั่บ “พี่ลอยจับแขน ไอ้หมานจับขา ให้พี่เอามัน..”
สิงห์ชะงักหมัด ไอ้เลิศยังปิดตาละล่ำละลัก “คนอื่นแค่แตะ มีพี่เอามันคนเดียว ฉัน..ฉันแทบไม่ได้แตะด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มไม่เคยนึกชังความโง่ของลูกน้องตัวอ้วนเท่าครั้งนี้ ขืนมันอธิบายช้ากว่านี้อีกหน่อย ได้ตายคาตีนเขาแน่ แล้วรายต่อไปก็คือไอ้ลอย ไอ้หมาน!
“ไอ้ควายเอ๊ย!” ทำกูใจหายหมด ลูกพี่ยันโครมเข้าไปทีจนมันหงายหลังอีกรอบ ถอนใจโล่งอก หากบางอย่างแล่นวาบเข้าเสียดใจ
โล่งหรือ? โล่งอกหาเหี้ยอะไรไอ้สิงห์
ในเมื่อสิ่งที่มึงทำ ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์นรก ยังมีหน้ามาโล่งใจที่น้องตกเป็นของมึง เพราะถูกมึงบังคับขืนใจทำลายเสียย่อยยับคามือแบบนี้อีกหรือ?!
คนตัวโตปรูดไปหาร่างที่นอนนิ่ง มือใหญ่วางบนหน้าผาก ใจหายเมื่อพบว่ามันร้อนเป็นไฟ นักเลงโตผู้กล้าแกร่งถึงกับเงอะงะทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าแตะเพียงนิด ร่างน้อยนี้จะแหลกสลายลงต่อหน้า เดือดร้อนไอ้เลิศต้องเอาเสื้อลูกพี่ไปชุบน้ำคลองก่อนบิดหมาดมายื่นส่งให้ สิงห์รับมาเช็ดไปตามเนื้อตัวบอบบางมอมแมมอย่างถนอมสุดหัวใจ
ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อคืน
คราบเลือดที่หน้าขามากมายจนคนตุ๊ต๊ะต้องวิ่งไปกลับกระท่อม-ท่าน้ำ ๔-๕ รอบ คราบเลือด คราบคาว คราบดินแปดเปื้อนถูกเช็ดออกไปหมด เหลือเพียงรอยช้ำเป็นจ้ำเกลื่อนผิวขาวซีด
เพียง ๓-๔ วัน ร่องรอยพวกนั้นก็จางหาย แต่รอยแผลที่ใจน้องเล่า กี่เดือน..กี่ปี..จะเลือนลบ
เช็ดตัวก็แล้ว แต่ความร้อนไม่ได้บรรเทาลงเลย ไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวตื่นด้วยซ้ำ สิงห์ยิ่งใจสั่น ใส่เสื้อผ้าให้น้องอย่างเบามือ ชุดเดิมที่น้องใส่มาตามเขาที่โรงเหล้าเมื่อคืน ชุดเดียวกับที่เขาฉีกกระชากจนขาดควากออก กางเกงขาสั้นสีกากีมีรอยขาดแถวเอว ส่วนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวใหม่.. สภาพไม่ต่างอะไรกับผ้าขี้ริ้ว หากเป็นผ้าขี้ริ้วเปื้อนเลือด
สิงห์กอดร่างย่อยยับไว้แนบอก โยกโคลงไปมา ขอบตาร้อนผ่าว กดจูบย้ำซ้ำๆ บนหน้าผากร้อนจัด พร่ำพูดคำเดิมเวียนวน
“พี่ขอโทษ.. พี่ขอโทษ..”
ไอ้เลิศหน้าสลด นั่งซึมเป็นหมูหงอย มันไม่ได้ญาติดีกับนักเรียนครูจอมอวดเก่งนักหรอก ออกจะเป็นอริกันด้วยซ้ำ เวลาพี่ลอยแซวแล้วถูกตอกกลับจนหน้าม้าน มันเคยนึกอยากโดดชกปากไอ้จ้อยแทนลูกพี่ด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มตัวเท่าลูกหมา ผอมบางกล้องแกล้งมาตกอยู่ในสภาพนี้ มันอดสะท้อนใจไม่ได้
อย่างน้อย.. ก็คนเคยเห็นกันตั้งแต่เด็ก..
“กูจะพามันไปหาหมอ” เสียงห้าวดังขึ้นปลุกไอ้เลิศสะดุ้งจากภวังค์ เงยหน้าขึ้นเห็นหัวหน้าอันธพาลช้อนร่างปวกเปียกขึ้นอุ้มทะนุถนอม
“พี่..พี่สิงห์..” มันว่าละล่ำละลัก หน้าซีดเป็นหมูต้ม “จะดีเรอะพี่”
“มึงไปเอาเรือมา” สิงห์ไม่ฟังคำทัดทานใด อุ้มคนเจ็บเดินอาดออกนอกกระท่อม ตะวันลงตรงหัว แดดจัดจนต้องหยีตา
“เกิดหมอสาวมาถึงเรา จะซวยกันหมดนะพี่” ไอ้เลิศวิ่งตามตุบตับ ตีหน้าเลิ่กลั่กร้อนรนปนขลาดเขลา หากลูกพี่ไม่แยแส สายตาจดจ่ออยู่แต่กับร่างในอ้อมแขน เฝ้าประคับประคองให้พ้นไอแดดจ้า ก้าวยาวๆ ไปยังตีนท่าไม่รอช้า
“พี่สิงห์! ถ้ามันแจ้งตำรวจเอาพี่เข้าคุกล่ะ!” สมุนตัวอ้วนยังไม่ละความพยายาม ปรูดมาขวางไว้ทั้งตัว นักเลงโตรำคาญเต็มที มือไม่ว่างจึงยกเท้ายันโครมเข้าให้ สองแขนยังกอดร่างร้อนผ่าวกระชับแนบอก นัยน์ตาขุ่นขวางจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ก่อนเอ่ยวาจาประกาศิต
“มันเป็นเมียกู!” สิงห์พูดไม่กะพริบตา เพราะหากกะพริบเพียงครั้งเดียว หยาดน้ำที่เอ่อท้นคงร่วงหล่นประจานความอ่อนแอต่อหน้าลูกน้อง “กูจะปล่อยให้เมียตายต่อหน้าไม่ได้!”
********************
แวะมาอัพจึ๋งนึงค่ะ แหะๆ

รักคนอ่านเหมือนถ่านรักขี้เถ้า
ดอกไม้
๒๒ พ.ย. ๕๕