บทที่ ๒๐
ยิ่งกว่าการฆ่า ถ้าเธอเกลียดฉันแล้วลวงฉันฆ่า
ฉันจะไม่ว่าไม่ว่าอะไรสักนิด
เพราะว่าการเกลียด จะต้องล้างกันด้วยชีวิต
ฉันจึงขอมอบอุทิศให้ชีวิตที่เธอต้องการ
แต่นี่บอกรัก รักฉันล้นใจ
แล้วจึงทำไม แล้วจึงทำไมประหาร*โบราณว่าพายุมักมาในวันที่ฟ้าใสที่สุด
โบราณว่าไว้ไม่มีผิดเลย
ดูอย่างวันนี้ปะไร เหตุการณ์ในตลาดเมื่อเช้ายังติดตรึงอยู่ในหัวใจ พี่มาช่วยหิ้วตะกร้าเดินจ่ายตลาดตามหลังต้อยๆ ซื้อขนม ซื้อเสื้อใหม่ให้ ถึงวิธีการออกจะพิลึกไปหน่อย ห่ามไปนิด แต่ภายหลังจ้อยก็เข้าใจแล้วว่ามันคือความปรารถนาดี
ท้องฟ้าเมื่อเช้าช่างสดสวย เมฆขาวเคลื่อนตัวอุ้ยอ้าย สายลมฝากรักกับต้นไม้ใบหญ้าพลิ้วไหว แล้วเหตุใดหนอ เพียงไม่ทันชั่วข้ามคืน เรื่องราวมันกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้
หลังพายุอารมณ์สงบลง คนึงพาเด็กๆ ออกมาจากสถานที่อโคจร ตอนแรกอาจารย์และผองเพื่อนชักชวนกึ่งบังคับให้จ้อยไปนอนค้างที่หอพักนักเรียน แต่จ้อยให้เหตุผลว่าไม่อยากมีปัญหากับคุณนายพูนทรัพย์ เพราะไม่รู้ว่าคุณนายจะดุด่าไหมถ้าบ่าวไปค้างคืนที่อื่นโดยไม่บอกกล่าว
ทุกคนตีสีหน้าห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด แต่จ้อยก็พูดให้คลายใจว่าคืนนี้จ้อยจะไปนอนเรือนบ่าวกับน้าแป้นและหนูน้ำฝน อีกอย่าง.. ดูจากสภาพนายสิงห์ เมามายขนาดนั้นคืนนี้คงไม่กลับไปนอนบ้านแน่
‘ร่านเหมือนแม่ไม่มีผิด’ตลอดทางที่รถจี๊ปแล่นฝ่าความมืด คำพูดนั้นยังกึกก้องอยู่ในใจจ้อยไม่วางวาย น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วเอ่อรื้นขึ้นมาอีกครั้ง มือเล็กรีบปาดมันทิ้ง แหงนหน้ามองหมู่ดาวพริบพราวเบื้องบน คืนนี้ฟ้าสวยจริงๆ ดาวสุกใสกระจัดกระจายเกลื่อน
ฟ้าสวยแบบนี้ จะมีพายุใดสาดมาซัดมาอีกไหม
หนุ่มน้อยคงยังไม่รู้ว่าพายุที่อำมหิตอย่างแท้จริง กำลังก่อตัวอย่างเงียบเชียบ รอเวลาครืนโครมมา
เหตุการณ์ในโรงเหล้า เป็นแค่ครึ่งแรกของพายุ อีกไม่นานหรอก หลังของพายุจะเริ่มพัดเข้ามา หนักและรุนแรงกว่าครึ่งแรกหลายเท่าตัว!
************************
คุณนายยังถ่างตารออยู่จริงๆ อย่างที่จ้อยคิด แกหน้าสลดลงทันทีที่ไม่เห็นลูกชายกลับมากับจ้อยด้วย ไหนจะรอยฟกช้ำดำเขียวบนหน้าเหล่านักเรียนครู ฟ้องถึงความระยำตำบอนของลูกชายสุดที่รัก ดีที่สง่าและสันติไม่ติดใจเอาเรื่อง ผองเพื่อนเพียงเห็นจ้อยเข้าเรือนน้าแป้นไปแล้วก็เบาใจ พากันเดินทางกลับโรงเรียน
คล้อยหลังอาจารย์ไปไม่ทันไร รอยฝุ่นที่เกิดจากล้อยางบดดินยังลอยกรุ่น จ้อยยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอนเลยด้วยซ้ำ เรือนกำนันก็มีอาคันตุกะยามวิกาลมาเยือนอีกหนึ่ง หนนี้เป็นผู้หญิงเสียด้วย
จ้อยกำลังเดินเอาผ้าขาวม้าพาดไหล่ ถือขันน้ำกับสบู่ตั้งใจไปอาบน้ำที่ตีนท่า นั่นละ จึงพอดีได้เห็นกัน
น้ำเสียงกังวานใสฟังดูร้อนรนนั้นร่ำเรียกครูๆ มาแต่ไกล แข่งกับเสียงพายจ้วงน้ำดังจ๋อมๆ ช่วงจังหวะถี่กระชั้น บ่งบอกว่าคนพายเร่งร้อนเพียงใด
แสงตะเกียงหัวเรือส่องให้เห็นเรือนร่างเต่งตึงอวบอัดสมเป็นอิสตรี ในเสื้อแขนกุดตัวหลวมกับผ้าถุงลายดอก ใบหน้างามแฉล้มดูตื่นตระหนก จ้อยถึงกับตกตะลึงเมื่อรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
พี่ทองใบ!
ไม่ผิดหรอก ทั้งชุมชนตลาดยอด มีผู้หญิงชื่อทองใบอยู่แค่คนเดียว พี่ทองใบแม่เล้าเรือนโคมเขียวท้ายตลาดนั่นละ
นักเรียนครูได้แต่ยืนงง หาเหตุผลไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนมาหาเขาทำไมดึกๆ ดื่นๆ
ไม่รอให้ถาม คำตอบก็เร็วรี่ปรี่เข้ามา
“ครู! แย่แล้ว!” นางทองใบร้องร้อนรน ขณะราพายเข้าเทียบท่า
“พี่ทองใบ” จ้อยย่อตัวลงช่วยเหนี่ยวกราบเรือเข้ามา “มีอะไรหรือจ๊ะ รีบร้อนมาดึกดื่นป่านนี้”
สาวใหญ่หอบตัวโยน เม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มหน้า ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางฉาบเปิดเผยความงามอันเป็นธรรมชาติ ซึ่งไม่มีใครพบเห็นได้บ่อยนัก คงเป็นเรื่องด่วนจริงๆ แม่เล้าคนงามจึงออกจากบ้านทั้งหน้าโล้นๆ
“โอย.. ครู.. แย่แล้ว” หล่อนหอบถะถี่ พูดจาแทบไม่เป็นคำ “ยาย..ยายช้อย..”
ชื่อยายที่ได้ยินทำให้จ้อยตัวชาวาบ หัวใจหล่นวูบลงไปกองพื้น แทบไม่รู้ตัวยามมือขาวเอื้อมมาบีบต้นแขนเขาแน่น ดวงตาคู่สวยตื่นโพลง ริมฝีปากอิ่มเอ่ยร้อนรน
“ยายช้อยล้มที่ท้ายตลาด!”
*************************
หรือนี่จะเป็นพายุใหญ่หลังฟ้าใสดั่งโบราณว่า ในเรือน้อยของนางทองใบ จ้อยจ้วงพายสุดแขน สุดแรงล้า ผืนน้ำคลองสะท้อนแสงตะเกียงเป็นริ้วดูพร่าเลือนไปเพราะน้ำตาที่เอ่อขึ้นคลอเบ้า ทุกลมหายใจเข้าออก มีเพียงคำเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวอก
ยายจ๋า.. ยายจ๋า..
แม่เล้าคนงามนั่งคัดท้าย ปากพูดพร่ำไปเรื่อย “ยายช้อยแกไปตัดใบตองที่ดงกล้วยท้ายตลาด พี่ไปเจอแกพอดี เห็นบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงินซื้อข้าวกิน เลยต้องมาทำขนมขายอย่างเมื่อก่อน นี่ก็มาตัดใบตองไปห่อขนม น่าสงสาร แก่ปูนนี้ยังต้องทำงานงกๆ” แต่ละคำเฉือนใจจ้อยจนแหว่งวิ่น “พี่สังหรณ์ใจไม่ดี เลยกลับเข้าไปดูแกอีก ก็เจอแกนอนล้มอยู่ใต้กอกล้วยแล้ว”
“ยาย..” คำเดียวที่อยู่ในอกหล่นจากริมฝีปากซีดเผือด เร่งพายเร็วขึ้นจนหอบหนัก ใจเสียแทบแตกป่น ในหัวใจสั่นไหวคิดไปต่างๆ นานา หากยายเป็นอะไรไปเขาจะอยู่อย่างไร ในโลกนี้จ้อยไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากยาย พี่ชายก็เพิ่งจากไปเมื่อเกือบสามเดือนก่อน หากยายต้องมาจากไปอีก ชีวิตนี้จ้อยจะเหลือใคร
จ้อยไม่ดีเอง มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานที่บ้านกำนัน ระยะหลังมานี้จ้อยห่างยายออกไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ยายก็แก่ปูนนั้น เจ็บป่วยบ้างหรือไม่ก็ไม่เคยถาม อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่ไม่เคยไปดูดำดูดี ถ้ายายเป็นอะไรไป จ้อยจะไม่ยกโทษให้ตัวเองเลย
“ที่นี่ล่ะ” นางทองใบคัดท้ายเรือเข้าเทียบท่า จ้อยแหงนมองทัศนียภาพบนตลิ่ง มีแต่ต้นกล้วย ต้นกล้วย และต้นกล้วย มืดมิด เงียบสงัด เงียบจนจ้อยได้ยินเสียงหัวใจสะเทือนไหวอยู่ในอก
“ยายจ๋า!” หนุ่มน้อยโดดขึ้นท่าไม่รีรอ ยันเรือโคลงจนแม่เล้าคนงามต้องนั่งยึดกราบเรือประคองเรือให้อยู่นิ่ง
“ยายจ๋า! ยาย!” เสียงเล็กร่ำเรียกยายเหมือนคนบ้า อารามรีบร้อนทำให้ลืมหยิบตะเกียงติดมือมา หันไปทางใดจึงพบเพียงความมืดมิด เท้าขาวย่ำลงใบตองแห้งกรอบอย่างไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ แทรกตัวเบียดเข้าไปในดงกล้วยน้ำว้าแน่นขนัด มือบางผลักต้นกล้วยเย็นชื้นบุกฝ่าเข้าไป ร้องเรียกยายไม่ขาดปาก “ยาย! หนูมาแล้ว ยาย!”
จ้อยตะโกนจนเสียงแห้ง จนเหนื่อยหอบ ฉับพลันนั้น เกิดเสียงกรอบแกรบดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวนี่เอง หัวอกแห้งผากดั่งได้น้ำรินรด มือเล็กยกขึ้นปาดเหงื่อ สาวเท้าตามต้นเสียง
“ยายจ๋า!” จ้อยแทบวิ่งเข้าไปหา ในความมืด ปรากฏเงาร่างตะคุ่มยืนอยู่ในดงกล้วย ใกล้แค่สองก้าว ลางสังหรณ์บางอย่างแล่นพรู บ่งบอกให้รู้ว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ยาย
ตัวสูงใหญ่ ไม่ใช่ผู้หญิงแน่!
แสงตะเกียงวอมแวมที่นางทองใบถือตามมา ค่อยๆ กระจ่างขึ้นทีละนิด สาดส่องต้องร่างคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจ้อย จากรางเลือนจนแจ่มชัด
เลือดในกายทุกหยดเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง!
ไอ้ลอย!
จ้อยชะงักนิ่ง คนที่ไม่คาดฝันว่าจะได้เจอ คนที่ไม่อยากเจอที่สุดในเวลานี้ บัดนี้มายืนอยู่ตรงหน้า ร่างสูงใหญ่ตระมื่นเหมือนหินผา แสงตะเกียงนวลส่องให้เห็นดวงตาดำเข้มมองมาเหมือนเสือมองเหยื่อ หยักยิ้มมุมปากน่าพรั่นพรึง
เสียงใบตองกรอบแกรบด้านหลัง จ้อยหันขวับ พบแม่เล้าคนงามถือตะเกียงมองมา แววตาร้อนรนหายไปไหน เหลือเพียงความเรียบนิ่งฉาบทาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เยือกเย็น
“พี่ทองใบ นี่มัน..” จ้อยละล่ำละลัก สับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก หากพอเห็นนักเลงตัวโตยื่นธนบัตรสีเขียวส่งให้ มือขาวทาเล็บแดงยื่นไปรับ สอดเก็บไว้ใต้คอเสื้อ วินาทีนั้นทุกอย่างก็กระจ่าง
จ้อยยืนตัวสั่น รู้สึกเหมือนฟ้าทั้งผืนถล่มลงมา
“ไหนล่ะของแถม” สาวใหญ่ทรงเสน่ห์ทาบมือลงบนกล้ามอกแน่นตึง ลูบไล้อ้อยอิ่ง ช้อนสายตาขึ้นมองยั่วยวน
“เดี๋ยวให้แน่” เสียงต่ำกระซิบแหบพร่า กุมมือขาวขึ้นจรดริมฝีปาก ทว่าสายตาดั่งงูพิษชำเลืองมาทางคนตัวเล็กที่พยายามทรงตัวด้วยสองขาสั่นเทา
“เก็บแรงไว้ให้พี่ด้วยนะ” นางนกต่อเหลียวมามองตามสายตา ยิ้มหยัน “อย่าเอาไปลงที่ครูเสียหมดล่ะ”
ความหวังของจ้อยริบหรี่ลงพร้อมแสงตะเกียงที่ร่างอวบอัดเดินหิ้วจากไป ร่างเล็กหอบหนักจนไหล่สั่นสะท้าน ความหวาดกลัวลามเลียเหมือนเปลวไฟ สองขาค่อยๆ ก้าวถอยหลังเงอะงะ
ไอ้ลอยหัวเราะหึ สาวเท้าเข้าหาทีละก้าวอย่างใจเย็น มันช่างฉลาดและเจ้าเล่ห์ ชาติก่อนมันคงเป็นจิ้งจอกที่ใช้เล่ห์เพทุบายล่าเหยื่อเพื่อขบกินหัวใจ ริมฝีปากยิ้มกระตุก แต่ดวงตาไม่ไหวติง
*************************
หายไปนานนนนนนน กลับมาที ลงแค่ตดมด

จริงๆ เขียนไว้เยอะกว่านี้ค่ะ แต่มันยังขาดๆ เกินๆ แถมสัญญากับคนอ่านที่รักไว้แล้วว่าจะลงให้ได้ภายในอาทิตย์นี้
ก็เลยดริฟท์มาในวินาทีสุดท้ายแบบเส้นยาแดงผ่าสิบเอ็ด
(แล้วทันไหม? ไม่ทัน เลยเที่ยงคืนไปครึ่งชั่วโมง

)
อีกครึ่งที่เหลือ อีกไม่นานค่ะ
รักคนอ่านนะคะ
ดอกไม้
๒๘ ต.ค. ๕๕