วันครบกำหนดชำระหนี้เป็นวันเสาร์ จ้อยกับยายตั้งใจจะไปหาคุณนายพูนทรัพย์ที่บ้านแต่เช้าตรู่ กลับต้องประหลาดใจเมื่อคนที่กำลังจะไปหา กลับเป็นฝ่ายมาเยือนถึงกระท่อม
“ไหว้พระเถอะย่ะ” นิ้วอวบขาวประดับแหวนเพชรรับไหว้จ้อยส่งๆ คุณนายนั่งลงบนแคร่ที่เพิ่งสั่งให้ผู้ติดตามอย่างน้าเวกเช็ดให้สะอาด ถอดแว่นกันแดดกรอบใหญ่ บ่นว่าร้อนจนน้าเวกต้องคอยพัดให้พั่บๆ
พัดแรงไปก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวผมหยิกเป็นหลอดของคุณนายจะเสียทรง
“แม่ทรัพย์จ๊ะ” ยายช้อยนั่งบนแคร่ตัวเดียวกัน แต่ทิ้งระยะห่างออกมา เมียกำนันไม่ชอบให้คนจนเข้าใกล้เท่าไรนัก “ยายกับจ้อยหามาได้แค่ดอก ส่วนเงินต้น..”
“ฉันมาวันนี้ ก็จะมาพูดเรื่องนี้แหละ” เมียกำนันรีบเข้าประเด็น ไม่พิรี้พิไรท่ามาก หล่อนมองขันน้ำฝนลอยดอกมะลิที่จ้อยเอามาวางให้อย่างเคลือบแคลงในความสะอาด ก่อนหันไปถามเจ้าตัวที่ถอยไปนั่งพับเพียบเอี้ยมเฟี้ยมอยู่กับพื้น “ตกลงจะเอายังไงล่ะ”
ดวงตาคมวาวใต้เรียวคิ้วถาวรเขม้นมองหน้าเด็กหนุ่มที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไม่ชอบใจ ผิวขาว ตาสวย ปากนิด จมูกหน่อย พิมพ์เดียวกับอีกำไลแม่มันไม่มีผิด
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะไอ้จ้อย” ไม่รอฟังความเห็น คุณนายชี้ทางออกให้เสร็จสรรพ “ช่วงนี้นังแป้นมันต้องคอยเลี้ยงลูก ไม่ค่อยมีเวลาทำงานบ้าน ครั้นไอ้ฉันจะหาคนมาเพิ่มก็สิ้นเปลือง ไหนๆ หนี้สินแกก็ยังค้างอยู่อีกเยอะ ฉันเองก็ขี้คร้านจะมาตามเก็บดอกทุกเดือนๆ”
เมียกำนันจ้องตาลูกหนี้ตัวน้อยเขม็ง พูดไม่กระพริบตา “แกไปทำงานขัดดอกให้ฉันไหมล่ะ”
“จ..จ๊ะ?” จ้อยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เจ้าหนี้ถอนใจแสนรำคาญ แย่งพัดจากมือน้าเวกมาพัดเองพึ่บพั่บ “ฉันไม่ได้คิดเองหรอกนะ เป็นความคิดพ่อสิงห์เขา”
ไอ้สิงห์..
ความชิงชังเปล่งประกายวาบในนัยน์ตาสีอ่อน จ้อยกัดริมฝีปากแน่น มือเล็กขยุ้มชายเสื้อตัวเองจนยับย่น ยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจ ไอ้สิงห์กำลังต้อนเขาให้จนตรอก ไร้ทางออก หมดทางหนี ถ้ามันคิดจะกลั่นแกล้งกันแบบนี้ สู้พาพวกมาซ้อมเขาให้ตายไปเลยเสียยังดีกว่า
“ป้าทรัพย์” นักเรียนครูวิงวอนจากใจ เขาไม่อยากเป็นลูกไก่ในกำมือคนชั่วช้าอย่างมัน ไม่อยากเลย.. “จ้อยขอเวลาอีกหน่อย อีกปีเดียวก็เรียนจบแล้ว จ้อยจะหามาคืนให้ทั้งต้นทั้งดอก ช่วงนี้ขอทยอยจ่ายดอกไปก่อนไม่ได้หรือ”
“โอ๊ย อีกตั้งปี ฉันรอไม่ไหวหรอกนะ แล้วเงินเดือนครูจะซักเท่าไรกันเชียว” คุณนายเบ้ปากอุทานเสียงสูงกรีดหัวใจจ้อยนัก “ฉันออกเงินกู้นะยะ ไม่ใช่เปิดโรงทาน จะได้ให้เงินคนอื่นฟรีๆ แบบนี้”
หลานมองตายายอย่างจะขอความเห็น คุณนายรีบหว่านล้อม “ไปอยู่กับฉัน ที่หลับที่นอนอาหารการกินก็มีให้ แค่ขอแรงช่วยแบ่งเบางานนังแป้นมันนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เอาไปโขกสับรับใช้เยี่ยงทาสหรอกน่ะ”
“ไปอยู่ด้วยหรือ?” หนุ่มน้อยชะงักกึก แค่ให้ไปทำงานก็ลำบากใจแล้ว แล้วนี่.. “ป้าทรัพย์จะให้จ้อย..อยู่บ้านกำนันหรือ?”
จ้อยมัวแต่ตกใจ ไม่ทันสังเกตประกายความหวังความยินดีในแววตายาย
เจ้าหนี้พยักหน้าแทนคำตอบ เล่นเอาจ้อยกลืนน้ำลายฝือคอ “จ้อยเลิกเรียนแล้วค่อยไปทำงานไม่ได้หรือจ๊ะ จ้อยจะทำงานให้จนดึกเลยแล้วค่อยกลับ แล้วพอตอนเช้าจ้อยก็จะรีบไป..”
“โอ๊ย พ่อคู๊ณ” คุณนายโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้าระอา “มัวแต่ไปๆ มาๆ เสียเวลาทำมาหากิน ก็อยู่มันที่นั่นซะเลยจะเป็นไรไป มีอะไรจะได้เรียกใช้ถนัด ทำไม ดูทำหน้าเข้า เห็นฉันเป็นยักษ์เป็นมารหรือไงไอ้จ้อย”
จ้อยก้มหน้านิ่ง อยากบอกว่าคนเป็นยักษ์เป็นมารน่ะ ลูกชายของคุณนายต่างหาก
“ถ้าไม่อยากไปก็ได้ ไม่ว่ากัน โบราณว่าอย่าข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า” เมียกำนันเปลี่ยนท่าที แบบนี้จ้อยค่อยยิ้มออก หากความหวังริบหรี่กลับดับวูบเหมือนเปลวเทียนกลางพายุ “แต่เห็นทีฉันต้องขอยึดที่นายายละนะ หนี้ค้างปีดักดานแบบนี้ ยกที่นาให้ฉันซะก็ถือว่าแล้วกันไป”
สองยายหลานเลิ่กลั่กมองหน้ากัน
“ยะ..อย่าขายที่ยายเลยนะแม่ทรัพย์ ที่ตรงนั้นมันตั้งแต่รุ่นทวดเจ้าจ้อยมัน ยายอยากเก็บไว้ให้หลาน โตไปมันจะได้ มีหลักมีฐาน มีสมบัติติดตัว”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา เล่นตัวจริงนะพ่อคุณ” เจ้าหนี้เริ่มหงุดหงิด โบกพัดในมือไล่ความร้อนที่คุกรุ่นในใจ
“จ้อยเอ๋ย.. ไปอยู่กับป้าทรัพย์ ไปอยู่กับลุงกำนันเถอะลูก” ยายช้อยลูบหลังลูบไหล่หลานชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว ในดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักและหวังดี “จะได้อาศัยพึ่งใบบุญ ยายก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง วันไหนยายไม่อยู่แล้ว เอ็งจะได้มีที่พึ่ง”
“แต่หนูเป็นห่วงยาย”
คุณนายเบะปากเหยียดหยัน “จะห่วงอะไรนักหนา บ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้ แล้วอีกอย่าง ไปทำงานให้ฉัน ฉันมีค่าแรงให้นะยะ เผื่อเหลือเผื่อขาดยังไงแกจะเอามาให้ยายก็ได้ ยายจะได้ไม่ต้องทำงานงกๆ”
“ไปเถอะจ้อยเอ๋ย ไม่ต้องห่วงยาย” ยายยิ้มอ่อนเอื้อ จ้อยได้แต่ก้มหน้านิ่ง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำตอบของเขาแล้ว ถ้าจ้อยตกลง ที่นาของบรรพบุรุษก็ไม่ต้องถูกขาย หนี้สินที่ติดค้างก็จะหายไป แถมยังมีรายได้จากคุณนายมาให้ยายอีก
ที่สำคัญ.. จ้อยดูออก ว่ายายดีใจไม่น้อยที่จ้อยจะได้เข้าไปอยู่บ้านนั้น
ความกตัญญูฝังแน่นอยู่ในสำนึกจ้อยเสมอ หากยายอยากให้จ้อยไป จ้อยจะทำให้ยายผิดหวังได้ลงคอหรือ
ดวงตาใสแจ๋วหากมั่นคงแน่วแน่เงยขึ้นสบตามารดาของคนที่แสนชิงชัง “ก็ได้จ้ะ ป้าทรัพย์จะให้จ้อยไปเมื่อไร”
ริมฝีปากเคลือบสีแดงสดคลี่ยิ้มสาสมใจ
“งานบ้านฉันมีเยอะแยะ แกเก็บของย้ายมาอยู่เสียพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”
พรุ่งนี้!? จ้อยตะโกนก้องอยู่ในหัวใจคับแค้น เวลากระชั้นชิดเหลือเกิน มือเล็กกำหมัดแน่น นึกถึงใบหน้าคมคร้ามของคนที่ชังแสนชัง
ไอ้สิงห์..
******************************
ศาลาท่าน้ำหลังโรงเรียนแสนสงบ มีเพียงเสียงระหัดวิดน้ำทำงานดังจ๋อมๆ ลมเย็นพัดกลิ่นไอคลองโชยรื่น หากเลอมานกลับเหงื่อแตกเต็มหน้า มือขาวประคองชามตราไก่ไว้มั่น ปากแดงเจ่อสูดซื้ดด้วยความเผ็ดร้อน
คนึงมองชิ้นตั้งไฉ่กับพริกที่ถูกเขี่ยขึ้นเรียงแถวเต็มขอบชามแล้วอดหัวเราะไม่ได้ ใบหน้าเปื้อนยิ้มหันไปสั่งเจ๊กบนเรือที่คอยท่า
“แปะเหล็ง ขออีกชาม เอาก๋วยเตี๋ยวเด็กนะ” ว่าแล้วก็แย่งชามใส่มือเด็กมากินเสียเอง คุณชายได้แต่มองตาค้าง ปากเจ่อจนขยับท้วงไม่ทัน “อ้อ ตัดเส้นให้ด้วย เด็กใช้ตะเกียบไม่เป็น”
ชามใหม่ถูกยื่นส่งให้ มีแต่เส้นที่ถูกหั่นจนสั้นกับลูกชิ้นและเนื้อหมู อาจารย์คีบลูกชิ้นวางในชามให้ ยิ้มเอ็นดูเมื่ออีกฝ่ายประคองชามลงวาง พนมมือไหว้ขอบคุณ
คลองท่อมีเจ๊กขายก๋วยเตี๋ยวเรือรสเด็ด มีทั้งก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวแห้งและเกี้ยมอี๋ ชามละ ๒ บาทได้หมูเต็มชาม หากนานๆ ทีจึงจะมีอาจารย์หรือนักเรียนกวักมือเรียก เพราะส่วนใหญ่จะพากันไปกินที่โรงอาหารกันเสียมากกว่า ไม่ต้องเสียเงินด้วย
หากระยะนี้ อาจารย์ต้องพาลูกศิษย์ตัวดีออกห่างจากโรงอาหารชั่วคราว
ทั้งโรงเรียนโจษจันเรื่องหม่อมราชวงศ์เลอมานเที่ยวซ่องกันให้แซ่ด ด้วยศักดิ์แห่งบุตรชายเอกอัครราชทูต ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้า หากพอลับหลังก็ซุบซิบกันสนุก
แค่คุณชายเฉียดกรายเข้าโรงอาหาร สายตาหลายคู่ก็มองมาเป็นตาเดียว เลอมานถูกเลี้ยงดูมาอย่างฝรั่ง คนึงจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่สะทกสะท้าน เด็กหนุ่มยังทำทุกอย่างเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากพอลองสังเกตดีๆ เขาจับกระแสความรำคาญในดวงตาสีน้ำตาลใสได้ไม่ยากเย็น
และแล้วสิ่งที่คนึงไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้น
หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์ แสนเย่อหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ใจร้อนเอาแต่ใจหรือก็ที่หนึ่ง
อาจารย์วิรัชมัวแต่นั่งนินทาคุณชายอยู่ที่โต๊ะอย่างสนุกปาก คนถูกนินทาถือแก้วน้ำเดินผ่านหลังไปถึงกับชะงักกึก คนมองไม่เห็นยังพูดจ้อยๆ นักเรียนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพากันขยิบตาบอก แต่คนไม่รู้ตัวก็ยังคงไม่รู้ตัว
มารู้ตัวก็อีตอนมือเรียวสาดน้ำเข้าให้เต็มหัวนั่นล่ะ
คนปากเสียหันขวับ กะจะหาเรื่องเต็มที่ แต่พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้น อึ่งอ่างพองลมก็ตัวหดเหลือเท่าลูกเขียด
“What's your business in this?” เลอมานโกรธจัด กระแทกแก้วเปล่าลงกับโต๊ะดังปึ้ง “It's my business. What I will do and with whom is my business. Don't bother! Shut up!”
อาจารย์ลากศิษย์ออกมาแทบไม่ทัน จนต้องพากันมากินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ท่าหลังโรงเรียนเงียบๆ สองคนฉะนี้แล
กินไปอาจารย์ก็แอบมองหน้าศิษย์ไป แอบมองไปอาจารย์ก็ครุ่นคิดไป
ว่าจะจับคุณชาย ‘ใส่ตะกร้าล้างน้ำ’ อย่างไรดี
คุณชายตาไวเห็นสหายร่างเล็กเดินอุ้มลังกระดาษมาแต่ไกล มือเรียวโบกไม้โบกมือให้ คนึงหันมองตาม จ้อยเดินตรงเข้ามาหา แดดแรงจนต้องหยีตา มือเล็กค่อยๆ วางลังกระดาษในมือลง ก่อนปาดเหงื่อที่เกาะพราวเต็มหน้าผาก
เลอมานหันไปสั่งก๋วยเตี๋ยวให้โดยไม่ถามสักคำ พอหันมาอีกทีก็เห็นสมบัติของจ้อยเต็มกล่อง หนังสือเรียนเอย เสื้อผ้าเอย แสนสงสัยจนอดถามไม่ได้ “เก็บของไปไหนน่ะ”
“อาจารย์ คุณชาย” จ้อยอึกอัก ก้มหน้าก้มตา “พรุ่งนี้จ้อยต้องไปอยู่บ้านกำนันเสริม”
“หือ” คุณชายแทบสำลัก “ทำไมล่ะ”
จ้อยเล่าเรื่องหนี้สิน เรื่องทำงานขัดดอกให้คุณชายฟังหมดเปลือก
“อะไรกัน” บุตรชายท่านทูตเคืองแค้นแทนเพื่อนนัก มือขาวกระแทกชามลงพื้นกระดานจนลูกชิ้นกระเด้ง “ต้องไปทำงานเป็นคนรับใช้เขาแบบนี้น่ะหรือ แล้ว..”
“คุณชายไม่ต้องห่วง” จ้อยแทรกขึ้นกลางคัน รู้สึกผิดต่อเพื่อนต่างชนชั้น “ถึงจ้อยจะมาทำงานให้คุณชายไม่ได้ แต่เดี๋ยวจ้อยแนะนำคนอื่นให้” จ้อยหมายถึงงานเก็บที่นอน ทำความสะอาดห้อง ซักผ้า รีดผ้าที่เขาทำให้เลอมานมาตลอด “พวกคนงานในโรงครัวก็รับจ้างกันหลายคน”
“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก” เลอมานกลอกตาหน่าย พ่นลมออกจมูก “ไปเป็นบ่าวเขาแบบนั้น ไม่มีศักดิ์ศรีหรือไง”
คำพูดนั้นแทงใจจ้อยดังฉึก หนุ่มน้อยก้มหน้านิ่ง คุณชายจึงเพิ่งรู้ตัวว่าพูดแรงไป แต่เพราะห่วงหรอกถึงได้พูดแบบนั้น ลูกแก้วสีน้ำตาลใสเสมองท้องน้ำไหลเอื่อย เผื่อมันจะช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนในใจลงได้
คนึงเห็นลูกศิษย์สองคนเบือนหน้ากันไปคนละทางถึงกับส่ายหน้า เสียงทุ้มห้าวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบน่าอึดอัด “หนี้เท่าไรจ้อย ครูจะช่วยเอง”
“มะ..ไม่เป็นไรครับอาจารย์” จ้อยหน้าตื่น โบกไม้โบกมือวุ่น โกหกคำโต “คือ..ความจริงผมก็อยากไปอยู่กับกำนัน ยายก็อยากให้ไป”
อาจารย์หนุ่มมองเสี้ยวหน้าละมุนของน้องชายอดีตคนรักอย่างคลางแคลง แต่ในเมื่อจ้อยตัดสินใจแล้ว เขาจะว่าอะไรได้ ได้แต่ให้คำมั่นว่าถึงอย่างไรจ้อยก็ยังคงเป็นนักเรียนประจำของที่นี่ จะมานอนค้างที่หอพักเมื่อไรก็ได้ และยังมีสิทธิ์กินอาหารกลางวันฟรีที่โรงเรียนดังเดิม
แต่มีเรื่องหนึ่งที่คนึงอดห่วงไม่ได้จริงๆ “แล้วนายสิงห์ล่ะ”
เขารู้เรื่องความบาดหมางไม่ลงรอยกันระหว่างจ้อยกับลูกชายกำนันดี ยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ไม่ต่างอะไรกับโยนเชื้อฟืนลงในกองไฟ เปลวเพลิงโหมไหม้ลุกฮือ
ศิษย์ตัวน้อยกลับยิ้มอ่อนจาง ดวงตาคู่สวยมองตรงแน่วแน่คล้ายไม่หวั่นกลัวสิ่งใด “ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาก็อยู่ของเขา ผมก็อยู่ของผม”
คนึงถอนใจพรู สงสัยความใจแข็งถ่ายทอดกันได้ทางสายเลือด จ้อยถึงได้เด็ดเดี่ยวเหมือนจินดาไม่มีผิด หนุ่มน้อยหน้าซื่อ ท่าทางอ่อนโยนเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย แต่จิตใจกลับหนักแน่นเข้มแข็งเหมือนหินผา ไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมากระทบกระทั่งได้ง่ายๆ
อดเปรียบเทียบกับอีกคนไม่ได้ ภายใต้ใบหน้าที่เคลือบไว้ด้วยความทระนง เย่อหยิ่งจองหองจนน่าหมั่นไส้ หากพอกะเทาะเปลือกออก หม่อมราชวงศ์เลอมานก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อนิ่มๆ ใต้เปลือกมะตูม เปราะบางอ่อนไหวกว่าที่คิด
มะตูมอ่อนในแข็งนอก มะกอกอ่อนนอกแข็งใน คนเรานี่ดูกันแค่เพียงภายนอกไม่ได้จริงๆ
แล้วดูสินั่น เจ้าลูกมะตูมนั่งหน้าตูมเป็นม้าหมากรุกไม่พูดไม่จา เขาดูออกหรอกว่า.. กลัวเหงา
จ้อยเองก็คงดูออก มือเล็กคว้าชามก๋วยเตี๋ยวที่คุณชายสั่งให้มาตักกินเอาใจ “จ้อยคงไม่มีเวลามาคุยเล่นกับคุณชายแล้ว เพราะฉะนั้น คุณชายอย่าดื้อกับอาจารย์นะครับ”
เลอมานหันมาถลึงตาใส่ ทำเอาอาจารย์หนุ่มหัวเราะ ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นเด็ดดอกขจรที่รัดเกี่ยวเสาศาลา เลือกแต่ช่อตูมอ่อน วักลงล้างในน้ำคลองใส ก่อนวางในชามก๋วยเตี๋ยวลูกศิษย์ทั้งสองคนละนิดละหน่อย
“ดอกขจร กินกับก๋วยเตี๋ยวเรืออร่อย” ใบหน้าคมสันตอบให้เมื่อเห็นเรียวคิ้วสีอ่อนขมวดยุ่ง
ในขณะที่จ้อยนิ่งมองช่อดอกสีเหลืองอมเขียวที่ลอยอยู่ในชามนิ่งงัน
ดอกไม้ที่เพิ่งผลิดอกตูมเป็นครั้งแรกในฤดู สิ่งมีชีวิตที่น่ารัก แค่ฝนพรำไม่กี่ครั้งก็เหยียดก้านชูช่อ ฝันว่าจะได้พบแสงแดด แล้วเป็นไงเล่า กลับต้องถูกเด็ดกิ่งลงเพื่อลิดเอาช่ออ่อนดอกอ่อน ลงมานอนตายอยู่ในน้ำแกงร้อนๆ
จ้อยหวังเพียงว่าชีวิตของเขาจะไม่เป็นเหมือนดอกขจรช่อนี้
ชีวิตหลังจากไปอยู่บ้านกำนัน อยู่ใต้ชายคาเดียวกับไอ้สิงห์จะเป็นอย่างไร สุดที่จ้อยจะคาดเดา ไม่อยากคิดในทางเลวร้าย แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าคงไม่สวยหรูนัก บ่วงของความเป็นลูกหนี้ก็คล้องคอแน่นหนาอยู่แล้ว หากนับแต่พรุ่งนี้ไป จะมีแอกความเป็นขี้ข้ามากดลงบนไหล่เพิ่มอีก ป่านนี้ไอ้สิงห์มันคงกำลังยิ้มอย่างสาใจ ที่นักเรียนครูผู้เคยเหยียดหยามว่ามันเป็นคนชั้นต่ำ กลับต้องกลายมาเป็นบ่าวรองมือรองตีนมันในที่สุด
ไม่อยากให้พรุ่งนี้มาถึงเลยจริงๆ
******************************
จ้อยกับยายพายเรือไปบ้านกำนันแต่เช้าตามที่ตกลงกันไว้กับคุณนายพูนทรัพย์ เขาไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปนอกจากลังกระดาษใบเดียว น้าเวกน้าแป้นจูงน้ำฝนมารอรับที่ศาลาท่าน้ำ แม่หนูน้อยดีอกดีใจถึงขั้นวิ่งถลาเข้ามากอดเอว
บ้านกำนันเสริม สีตลาเป็นเรือนไทยสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง รายล้อมด้วยพรรณไม้นานาที่จัดแต่งอย่างสวยงามร่มรื่น ไม้ดอกสวยสดสี กุหลาบ จำปี ชมนาด สร้อยระย้า มะลุลี มะลิลา โมก ราตรี ฯลฯ จ้อยแทบนึกไม่ออกว่ายามดึกบ้านกำนันจะหอมหวานปานใด
สองยายหลานประคองกันขึ้นบันได ลอดผ่านซุ้มประตูสู่ชานเรือน กระถางไม้จัดวางเรียงรายสลับอ่างบัว บนตั่งไม้ยกพื้น คุณนายกำลังอิงหมอนขวานตะไบเล็บแดงสด กำนันหยุดให้น้ำนกกรงหัวจุกที่แขวนเรียงราย หันมายิ้มให้ทันทีที่เห็นจ้อยกับยายจูงมือกันมา บ่าวสามพ่อแม่ลูกตามติดมาเป็นพรวน
ผู้น้อยประนมมือไหว้อ่อนช้อย กำนันในเสื้อกุยเฮงกางเกงแพรยิ้มกว้างอวดฟันทอง มือใหญ่หนาประดับแหวนทองฝังหยกรับไหว้ซ้ำยังลูบหัวลูบไหล่อย่างเอ็นดู ในขณะที่คุณนายเพียงปรายตามองเบะปากหยัน บ่นอุบอิบคนเดียวไม่มีใครได้ยิน “จะแห่กันมาต้อนรับทำไม มันมาเป็นขี้ข้านะ ไม่ใช่มาเป็นลูกเป็นหลาน”
กำนันเสริมประคองหนุ่มน้อยนั่งลงบนตั่ง หากความเจียมตนสั่งให้จ้อยลงไปนั่งพับเพียบกับพื้น หนูน้ำฝนประคองขันน้ำลอยดอกมะลิมาวางให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง เจ้าบ้านดูดีอกดีใจนักหนาที่นับจากนี้จะมีนักเรียนครูหน้ามนมาร่วมชายคา ชมแล้วชมเล่า ลูบหัวแล้วลูบหัวอีก พาดพิงลูกชายคนกลางที่แสนไม่เอาไหนทีหนึ่งแล้วก็หันมาชมจ้อย
“ครูมาอยู่ด้วยก็ดี เผื่อมีอะไรจะได้สั่งสอนเจ้าสิงห์มัน ไม่แน่นา.. มันอาจจะทำตัวดีขึ้นก็ได้” กำนันหัวเราะร่า แต่จ้อยยิ้มเจื่อน ยิ่งเห็นคุณนายเหยียดปากหมั่นไส้ยิ่งน้ำลายฝืดคอ
“ยายฝากหลานด้วยนะ พ่อกำนัน” สายตายายปลาบปลื้มยินดี ปากก็ฝากฝัง มือเหี่ยวก็ลูบแขนขาวอย่างอาทร กำนันรับปากเป็นมั่นเหมาะ ตะแกยิ่งยิ้มชื่น
จ้อยเดินไปส่งยายที่ท่า อยากไปส่งให้ถึงบ้านแต่คุณนายบอกว่ามีงานรออยู่ มือเล็กกระพุ่มกราบตรงอกเหี่ยวแห้ง ยายรั้งตัวไปกอดไว้ ลูบผมนุ่มซ้ำๆ ด้วยความรักสุดหัวใจ “อยู่ที่นี่ต้องเชื่อฟังลุงกำนัน เชื่อฟังป้าทรัพย์ เขาใช้ทำอะไรก็อย่าเกี่ยงงอน เป็นผู้น้อยค่อยก้มประนมกร หนักไปก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือนะลูกนะ”
หลานน้ำตาคลอ รีบเช็ดออกก่อนที่ยายจะทันเห็น ยายลงเรือแจวกลับบ้าน แขนผอมแห้งวาดพายสุดแรงล้า จ้อยได้แต่มองตามหลังยายจนลับสายตา
ร่างเล็กเดินกลับขึ้นเรือน กำนันเข้าห้องหนังสือไปแล้ว ส่วนบ่าวพ่อแม่ลูกก็ถูกไล่ไปทำการทำงาน คุณนายยืนกอดอกอยู่ข้างลังกระดาษ สัมภาระเพียงหนึ่งเดียวของบ่าวคนใหม่ ใบหน้าขาวผ่องเชิดขึ้นอย่างเดียดฉันท์
“ให้จ้อยเอาของไปเก็บที่ไหนจ๊ะ” จ้อยถามซื่อๆ
“นี่พ่อคุณ นึกว่ามาอยู่บ้านนี้อย่างราชารึไงยะ” คุณนายกลับแหวใส่ นิ้วเรียวจิ้มหน้าผากเล็กจนหน้าหงาย “วาดฝันว่าฉันจะเตรียมห้องส่วนตัวไว้ให้รึไง”
“ปะ..เปล่าจ้ะ”
เมียกำนันเบะปาก ชี้มือไปทางห้องทิศตะวันออก “โน่นเลย เอาข้าวของแกไปเก็บไว้ในห้องตาสิงห์โน่น!”
จ้อยชะงัก ตากลมโตเบิกกว้าง ทั้งร่างชาวาบ
ห้องไอ้สิงห์?!
“ป้าทรัพย์..” จ้อยคราง “จ้อย..จ้อยไปอยู่เรือนคนใช้กับพวกน้าเวกก็ได้”
“อย่ามาเรียกฉันว่าป้า ฉันไม่ใช่พี่สาวแม่แก” คุณนายตอกกลับด้วยความขุ่นเคือง “หนอย..ให้มาอยู่บนเรือนดีๆ ไม่ชอบ ดันอยากอยู่เรือนคนใช้ข้างล่าง ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้แกมาอยู่บนเรือนหรอกนะ แต่ตาสิงห์เขาขอไว้ ให้แกไปนอนด้วย มีอะไรจะได้เรียกใช้สะดวก”
เหมือนโลกจะถล่ม ฟ้าจะพังครืนลงมาตรงหน้าจ้อย มือเล็กกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น ที่แท้ก็ไอ้สิงห์นี่เอง มันวางแผนทุกอย่าง ตั้งแต่ให้แม่มารีดนาทาเร้นจะเอาเงินคืน เสนอแนะให้เขามาทำงานขัดดอก แค่มาอยู่ร่วมชายคากับมันจ้อยก็สะอิดสะเอียนแล้ว นี่ต้องมาร่วมห้องกันอีก..
ไอ้สิงห์ ไอ้หมาลอบกัด ไอ้หน้าตัวเมีย!
“เอ๊า ยืนเซ่ออยู่ได้ รีบไปสิยะ!” คุณนายไล่ เตะลังกระดาษส่งให้ จ้อยได้แต่ก้มหน้ารับกริยาดูหมิ่นนั้น อุ้มลังไว้ด้วยสองแขน ค้อมหลังผ่านคุณนายตรงไปยังห้องทิศตะวันออก
บานประตูไม้สีน้ำตาลแก่ปิดสนิท จ้อยแทบกลั้นใจยามยกมือเคาะตามมารยาท
“เข้ามา” เสียงทุ้มห้าวที่เคยคุ้นดังแว่วมาจากหลังบานประตู หัวใจจ้อยเต้นรัวด้วยแรงชิงชังอยู่ในอก มือเล็กผลักประตูเปิดเข้าไป เสียงไม้เก่าลั่นออดราวจะต้อนรับเขาสู่ขุมนรก
‘มัน’ ยืนอยู่ตรงนั้น ในห้องกว้างที่ประกอบด้วยเครื่องเรือนไม้ชั้นดี ตู้เสื้อผ้าตั้งชิดผนังด้านหนึ่ง เตียงนอนไม้สักหนาหนัก มุ้งหลังใหญ่ครอบเสาเตียงสี่มุม ประตูมุ้งเหน็บเกี่ยวไว้กับขอ เผยให้เห็นผ้าห่มที่กองเขละบนที่นอนยับย่น ‘มัน’ ยืนพิงขอบหน้าต่าง พ่นบุหรี่ปล่อยควันเป็นสายคลุ้ง อวดแผ่นอกเปลือยเปล่าสมบูรณ์ด้วยมัดกล้าม ท่อนล่างมีเพียงกางเกงขาก๊วยสีเข้มผูกไว้หมิ่นสะโพก ดวงตาคมวาวจ้องมองมาไม่วางตา
ห้องสวย แต่รกอย่างกับรังหนู เสื้อผ้ากองเขละที่หน้าตู้ ซองบุหรี่เปล่าขยำทิ้งเกลื่อนห้อง ขวดเหล้ากลิ้งอยู่ปลายเตียง และถ้าจ้อยตาไม่ฝาด คล้ายเห็นหนังสือปกขาววางอยู่บนกองผ้าห่ม
หนุ่มน้อยยืนหันซ้ายหันขวาละล้าละลัง ไม่รู้จะวางลังตรงไหน ตัดสินใจถามเจ้าของห้องเอาดื้อๆ “จะให้วางของตรงไหน”
ลูกชายกำนันบุ้ยปากไปตรงปลายเตียง จ้อยก้มลงเก็บขวดเหล้ากลิ้งโคโร่ วางสัมภาระตัวเองชิดมุมห้อง
“วาสนากูดีแท้ ได้นักเรียนครูมาเป็นขี้ข้า” เสียงทุ้มห้าวแดกดัน ร่างเล็กหันขวับ ตากลมโตจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง นักเลงโตลูบปลายคาง สายตาเจ้าเล่ห์มองสำรวจหัวจรดเท้า
“จะไม่ทักทายนายเอ็งหน่อยเรอะ” ลูกชายกำนันขยี้ก้นบุหรี่กับวงกบก่อนโยนทิ้งนอกหน้าต่าง ร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาหา ใกล้จนจ้อยเห็นเงาตัวเองสะท้อนในแววตาสีสนิมเหล็ก
กลีบปากบางขยับเรียกโดยไม่หลบตาแม้แต่น้อย “ไอ้สิงห์”
คิ้วเข้มกระตุกทันที โทสะฉายชัดในดวงตาเรียวคม สิงห์กดเสียงต่ำถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เอ็งเรียกข้าว่าไงนะ”
“ไอ้สิงห์” จ้อยพูดคำเดิม สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย รังเกียจ..ชิงชัง..
โดยไม่ทันตั้งตัว สิงห์เงื้อมือตบฉาดลงบนปากเรื่อ แม้มันจะยั้งแรงแล้ว แต่มือใหญ่เป็นใบพายนั่นก็ทำเอาปากจ้อยชาเจ่อ ความโกรธเกลียดหล่อรวมจนนักเรียนครูสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ดวงตาคู่สวยแข็งกร้าวจ้องคนตรงหน้าเขม็ง
“เรียกใหม่”
จ้อยกลัวที่ไหน “ไอ้-สิงห์” คราวนี้ย้ำ..ช้า..ชัดกว่าเก่าด้วย
ตามคาด มือใหญ่ซัดผลั่วะซ้ำที่เดิม แรงกว่าเดิมจนจ้อยหน้าหัน
“ไอ้จ้อย” สิงห์ขบกรามกรอด ชี้หน้าคาดโทษ “ขืนเอ็งเรียกคำเดิมอีกที ข้าจะเอาอย่างอื่นตบปากเอ็ง”
จ้อยเม้มปากแน่น สายตาหวาดระแวงกวาดมอง ‘อย่างอื่น’ ที่ไอ้สิงห์ว่า ที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะ? ขวดเหล้าข้างเตียง? สนับมือ? หรืออย่างร้ายที่สุด.. จ้อยเหลือบมองลงต่ำ เท้าหนาเทอะทะของมันนั่น แต่ละอย่างถ้ากระแทกปากเข้าล่ะก็ มีหวังเลือดกบอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้อยเตรียมใจไว้แล้ว อย่างมากก็แค่ฟันร่วง
อย่าคิดว่าหลานยายช้อยไม่กล้า!
“ไอ้สิงห์ๆๆๆๆๆๆๆ” จ้อยตะโกนใส่หน้ามันจนลมหมด รีบโกยอากาศเข้าปอดลึกอีกเฮือก ย้ำอีกทีเน้นๆ “ไอ้-สิงห์!”
ลูกชายกำนันถลึงตาทำหน้ายักษ์ หักข้อนิ้วดังกร๊อบๆ ทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่คนที่เชิดหน้าท้าทาย คำรามเสียงต่ำในคอ “เอ็งโดนแน่ไอ้จ้อย”
เดี๋ยวมันจะหาว่าปอดแหก จ้อยเลยไม่หลับตาด้วยซ้ำ แทบไม่ทันตั้งตัวยามมือใหญ่กระชากใบหน้าเขาเข้าหาจนปลิวหวือ แล้วใบหน้าคมคร้ามก็โน้มต่ำลงมา กดปากมันบดเบียดกับปากจ้อย
ร้อนเหมือนโดนถ่านนาบ
“อื๊อ!!” จ้อยเบิกตาโพลง ไม่คิดไม่ฝันว่าไอ้สิงห์จะทำแบบนี้ กำปั้นเล็กทุบหนักๆ ลงหลังไหล่ล่ำสัน หากกลับไม่สะดุ้งสะเทือนเหมือนหินผา ริมฝีปากหนาบดขยี้ไม่ปรานีปราศรัย ดูดกลืนตักตวง หนวดเคราเพิ่งขึ้นเป็นตอแข็งครูดผิวอ่อนของจ้อยจนแสบไปหมด อ้อมแขนแกร่งกอดรัดร่างน้อยแนบแน่นจนแทบจมหายลงกับอก จ้อยสะบัดหน้าหนี ดิ้นรนอย่างไรก็ไม่หลุด เนิ่นนานจนแทบขาดอากาศหายใจ
สิงห์ผละออกก่อนที่จ้อยจะขาดใจตาย แลบลิ้นเลียริมฝีปาก จ้องมองกลีบปากอิ่มแดงช้ำราวหลงละเมอ
“ท-ทำอะไร!” จ้อยตะคอกเสียงสั่น หลังมือเล็กเช็ดปากตัวเองอย่างขยะแขยง พยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอด หากยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่น เหมือนงูเหลือมกำลังจะกลืนกินลูกกระต่าย เมื่อมันโน้มหน้าลงมาจะฉกปากจ้อยอีกครั้ง มือเล็กรีบยันปลายคางมันไว้ “อย่านะไอ้สิงห์!”
คำนั้นเหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟ คนตัวโตอุ้มร่างเล็กลอยหวือ โยนตุ้บลงบนเตียงกว้างก่อนตามลงไปคร่อมทับไว้ มือหยาบใหญ่ตรึงมือน้อยกดลงกับเตียง จ้อยไม่ทันหนี ไม่ทันแม้แต่จะเปล่งเสียงห้าม ปากอุ่นผ่าวก็บดเบียดลงมาอีกครั้ง หนักหน่วงขึ้น รุนแรงขึ้น
“อื๊อออ!!” จ้อยทั้งกลัวทั้งขยะแขยงจนตัวสั่น คราวนี้มันสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากเล็ก ปลายลิ้นแข็งราวกระเบื้องกวาดคว้านซอกซอน เกี่ยวพันกระหวัดกับลิ้นเล็ก ก่อเกิดเป็นเสียงชุ่มฉ่ำเปียกชื้นคลอเคล้าเสียงครางทรมานดังระงม สิงห์ยิ่งละลานใจ ราวถูกผลักลงในห้วงน้ำความลุ่มหลง
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง** “พะ..พอ..อื๊อ..พอแล้ว! ยอมแล้ว!” จ้อยส่ายหน้าหนี น้ำตาคลอเบ้า ยอมแพ้อย่างสิ้นท่า แมวน้อยขนพองอวดเก่งวิ่งเตลิดหายไปไหนไม่รู้ เหลือแต่ลูกกระต่ายตัวสั่นระริกอยู่ใต้ร่างราชสีห์กระหายหิว ปากคอสั่นสะท้านกระซิบแผ่ว “ค-คุณสิงห์”
“ไม่เอา เรียกใหม่!” ร่างกำยำตะคอกทั้งหอบหนัก จ้อยถึงกับสะดุ้งผวา น้ำลายใสๆ ที่ปลายคางสากนั่น ไม่รู้ของมันหรือของจ้อย ดวงตาสีเข้มมองมาตาไม่กระพริบ เสียงห้าวเอ่ยช้า..ชัด..
“พี่-สิงห์”
โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------------------------------------------------------------------------
* โจรปล้นจูบ, ชัย อนุชิตและหฤทัย หิรัญญา ขับร้อง
** พระอภัยมณี, สุนทรภู่