จ้อยพายเรือแวะรับยายไปขายผักที่ตลาดตามปกติแต่เช้ามืดเช่นทุกวัน หากวันนี้มีอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป
คนทั่วตลาดยอดลือเรื่องคุณชายรูปหล่อแห่งโรงเรียนฝึกหัดครูไปเที่ยวซ่องกันให้แซ่ด
“พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย ท่าจะอดอยากปากแห้งน่าดู”
“มันก็แน่ละ อยู่โรงเรียนชายล้วน จะไปหาผู้หญิงที่ไหน”
“หน้าตาหรือก็ดี ไม่น่าถึงขั้นไปซื้อเขากิน”
“ชาติตระกูลสูงซะเปล่า ทำตัวสำมะเลเทเมา”อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน จ้อยไม่รู้ว่าต้นตอข่าวลือเริ่มต้นจากใคร แต่ดูท่า.. ชาวบ้านคงมีเรื่องโพนทะนากันสนุกปากได้อีกนาน กว่าจะไปถึงหูเจ้าตัว เรื่องราวจะถูกใส่สีตีไข่ไปถึงไหนก็ไม่รู้
“เห็นว่าเมื่อคืนครูคนึงกับคุณชายต่อยกันที่ซ่องอีทองใบ เรื่องจริงเรอะจ้อย” ยายธรรมแกแวะมาเลียบๆ เคียงๆ ที่แผง ได้ฟักทองไปลูกแล้วก็ชวนคุยไม่หยุด จ้อยได้แต่นิ่งเงียบ รู้อิทธิฤทธิ์ปากคน พูดไปอย่างก็พากันตีความไปอีกอย่าง ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด สู้นิ่งเฉยเสียดีกว่า
จะว่ากันตามจริง เขาก็ไม่รู้จะแก้ตัวให้คุณชายว่าอะไร ก็ ‘เรื่องจริง’ มันน่าโสภาเสียเมื่อไร ‘คุณชายถูกพวกจิ๊กโก๋มอมเหล้าพาไปทำมิดีมิร้าย’ รู้ถึงไหนล่ะอายถึงนั่น เผลอๆ จะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้เลยทีเดียว
ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน นอกจากสังคมจะถีบหัวส่งแล้วยังถ่มน้ำลายใส่ด้วยซ้ำ
แสงทองจับขอบฟ้าเรื่อเรืองเมื่อผักเกลี้ยงแผง ยายหลานช่วยกันแจวเรือกลับบ้าน จ้อยคัดท้าย ส่วนยายพายหัวเรือจะได้เบาแรง เสียงไม้พายกระทบน้ำดังจ๋อมๆ หมอกเย็นกับสายลมเหนือผิวคลองพัดพาความเย็นชื่นมาต้องใบหน้า ดอกบัวหลวงสีชมพูอ่อนชูก้านแกว่งไกว โลกใบน้อยของจ้อยแสนสุขและสงบ
“เอ..วันนี้ครบกำหนดจ่ายดอกแล้ว ตาสิงห์ไม่เห็นมา” ยายเอี้ยวหน้ามาชวนคุย รอยยิ้มอ่อนจางบนหน้าจ้อยหายวับ
จ้อยจะไม่สุขก็เพราะชื่อมันนี่แหละยายจ๋า
“ไอ้สิงห์มันไม่มาก็ดีแล้วนี่ยาย” หนุ่มน้อยสะบัดเสียงห้วน หลบไม่ทันเจอลูกหมากสดจากมือยายเขวี้ยงใส่หัวดังก๊อก
“แหม้..พลาดไป กะจะให้โดนปาก” ยายช้อยดุหลานที่ยังคลำหัวป้อยๆ “พูดไม่เพราะเลย ยังไงเขาก็แก่กว่าเอ็งนา”
จ้อยทำปากอูดใส่ พายต่อไปไม่พูดไม่จา
“เออ แล้วเมื่อคืนมีเรื่องอะไรกัน ตีกันหัวร้างข้างแตก ดีนะคุณนายไม่มาเอาเรื่อง”
“ก็มัน..” หลานยั้งปากไว้แทบไม่ทัน “เขามาหาเรื่องหนูก่อน”
“แปลก.. ” หญิงชราส่ายหัวด๊อกแด๊ก พูดพึมพำ “เมื่อคืนตาสิงห์ยังเอาขนมมาให้ยายหยกๆ”
“ยายกินของมันหรือ” จ้อยสะดุ้งจนเรือโคลง “กินทำไม แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า ท้องเสียไหม จะอ้วกไหม”
ยายทำหน้าเหมือนจ้อยเพิ่งเล่าให้ฟังว่าเจอหนวดเต่าเขากระต่าย
“มันเลวแค่ไหนยายลืมไปแล้วหรือ” เสียงสั่นพร่าขึ้นจมูกจนยายต้องราพายนิ่ง หันกลับมามองหน้าหลานให้ชัดๆ แกเห็นแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
คนอาบน้ำร้อนมาก่อนถอนใจแผ่วเบา
“จ้อยเอ๋ย..” เสียงนุ่มนวลปรานีเหมือนน้ำใสเย็น มองหลานออกทะลุปรุโปร่ง “เด็ดดอกไว้ขั้ว เด็ดบัวไว้ใยนะลูกนะ”
จ้อยเบือนหน้าหลบสายตายาย จับจ้องแต่คลื่นน้ำกระเพื่อมข้างกราบเรือ ริมฝีปากบางเม้มแน่น
ไม่มีทาง จ้อยจะไม่เด็ด แต่จะสาดน้ำมันจุดไฟเผาให้มอดไหม้เป็นจุลไปเลยทั้งดอกทั้งบัว เอาให้ไม่เหลือซากทั้งขั้วทั้งใย
สิ่งที่ไอ้สิงห์เคยทำกับจ้อย เรียกว่าเจ็บแสบยังน้อยไป เรียกว่าชอกช้ำก็ยังเทียบกันได้ไม่ถึงเสี้ยว
ความทรงจำเลวร้ายฝังรากเหมือนมีใครตอกลิ่มไว้ในก้นบึ้ง จ้อยไม่เคยคิดจะลืม ปล่อยให้มันฝังใจเจ็บอยู่แบบนั้น เป็นบทเรียนสอนใจว่าอย่าได้ไว้ใจ อย่าเคารพ เทิดทูนผู้ชายสารเลวคนนั้นอีก
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรจ้อยจำไม่ได้ จำได้เพียงว่าเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ‘พี่สิงห์’ ของจ้อยก็เริ่มตีตัวออกห่าง คงอายไอ้พวกเด็กโตที่มันตั้งหน้าตั้งตาล้อเลียนทุกวัน
ใครจะมองจ้อยอย่างไรจ้อยไม่ว่า จะล้อเลียนอย่างไรก็ช่างเขา ในเมื่อจ้อยรู้ตัวเองดีว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกนั้นพูด สำหรับจ้อย วาจาเชือดเฉือนจาก ‘คนอื่น’ มีค่าไม่ต่างอะไรกับเศษกรวดในรองเท้า อาจตำเท้าเจ็บบ้างแต่พอเคาะออกก็หาย
แต่คำพูดของคนที่มีความหมายของจ้อย มีผลกับจิตใจจ้อยนักหนา นับนิ้วแล้วอาจมีเพียงไม่กี่คน ยาย.. พี่จินดา..
แน่นอน.. พี่สิงห์เป็นหนึ่งในนั้นเสมอ
มันจึงไม่ใช่แค่กรวดตำเท้าเสียแล้วเมื่อพี่สิงห์ที่จ้อยรักเหมือนพี่ชาย พี่สิงห์ที่คอยดูแลปกป้องจ้อยมาตลอด พูดใส่หน้าว่า “กูเกลียดมันจะตายไป!”
แต่เป็นก้อนหินหนาหนักทับกลางอก เป็นคมมีดกรีดลึกลงเนื้อใจจนร้าวราน
แล้วตั้งแต่นั้น.. ‘พี่สิงห์’ ก็เปลี่ยนไป
เริ่มจากมาโรงเรียนสาย ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ส่งการบ้าน ยิ่งจ้อยพยายามดึงพี่กลับมาเท่าไร พี่ก็ยิ่งผลักไสไล่ส่ง พี่ไม่ช่วยจ้อยขายขนมเหมือนเมื่อก่อน ใช้เวลาวันๆ ขลุกอยู่กับพวกเด็กโต กลายเป็นนักเรียนคาวบอยหรือกุ๊ยเต็มตัว เวลาแต่งชุดลูกเสือก็หมุนผ้าพันคอห้อยข้างหน้าไปข้างหลังแบบคาวบอยในหนัง ขี่จักรยานตามกันเป็นพรวนตามนักเรียนหญิงสวยๆ ทำเสียงประหลาดเรียกร้องความสนใจ หนักเข้าก็ท้าตีท้าต่อยกับเด็กโตกลุ่มอื่น จนถึงขั้นพกสนับมือหรือมีดพกมาโรงเรียน
เบาะท้ายจักรยานที่จ้อยเคยซ้อนเสมอไม่ใช่ที่ของจ้อยอีกต่อไป กลายเป็นที่ของนักเรียนหญิงที่สวยระดับดาราโรงเรียน
จากที่เกะกะเกเรในโรงเรียน ก็ลุกลามออกไปข้างนอก กลุ่มของพี่สิงห์ชอบระรานชาวบ้านในตลาด มั่วสุมตามโรงหนังหรือโรงบิลเลียด พี่สิงห์เคยถูกครูจับได้ว่าสูบบุหรี่ในห้องส้วม โดนจับตีหน้าเสาธงตามระเบียบ แต่เช้าวันต่อมา ครูที่หวดไม้เรียวใส่พี่ก็สะบักสะบอมนอนหยอดน้ำข้าวต้มเหมือนถูกใครรุมซ้อม แล้วเรื่องราวก็เงียบหายเมื่อกำนันและคุณนายมาที่โรงเรียน
จ้อยได้แต่มองพี่ห่างไกลออกไปทุกที เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้อีกต่อไป
เส้นขนาน.. แม้ไม่มีวันบรรจบกัน แต่จ้อยก็ยังยินดีที่จะลอบมองพี่อยู่ห่างๆเสมอ ไม่ว่าพี่จะเปลี่ยนไปอย่างไร จ้อยก็ยังห่วงพี่เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
จนกระทั่งวันนั้น..
จ้อยจำวันนั้นได้ดี เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง ฟ้าสูงสดใสลมเหนือเริ่มโชยมา ข้าวออกรวงเหลืองอร่ามเต็มทุ่ง ปุยเมฆขาวเหมือนสำลีลอยฟ่องตามแรงลม จำได้กระทั่งนกกระยางสีขาวที่พากันบินจากไปทางทิศตะวันตกเป็นฝูงๆ บินไปๆ ไม่กลับมา พวกมันคงจะไปหากินยังถิ่นฐานใหม่
จ้อยหิ้วตะกร้าใส่ขนมของยายไปขายที่ตลาดเหมือนเช่นทุกวัน ขนมสายบัว ขนมใส่ไส้ ขนมกล้วย ข้าวต้มมัดฝีมือยายบรรจุเต็มตะกร้า หนักอึ้งจนเด็กชายหิ้วตัวเอียง แต่ก็หนักแค่ตอนขาไปเท่านั้นละ จ้อยเดินๆ แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ขายหมด หิ้วตะกร้าเปล่ากลับบ้านทุกวัน
บนสะพานข้ามคลอง จ้อยเห็นพี่สิงห์เดินสวนมาแต่ไกล ร่างสูงใหญ่อย่างหนุ่ม มัดกล้ามจับตามแขนขา หลังไหล่ผึ่งผาย พี่เดินเข้ามาใกล้จนเห็นไรหนวดบางๆ เหนือริมฝีปาก จ้อยยิ้มให้เมื่อเห็นว่าพี่มาคนเดียว
“พี่สิงห์” น้องยื่นตะกร้าขนมให้ด้วยไมตรี ชักชวนเสียงใส “กินขนมไหม”
พี่สิงห์ชอบขนมที่ยายทำ นอกจากจะช่วยขายแล้วบางทีก็ยังช่วยเหมา หากตั้งแต่พี่เปลี่ยนไป พี่ก็ไม่เคยแตะขนมของยายอีกเลย
ความหวังริบหรี่จุดขึ้นในใจ เผื่อจ้อยจะได้พี่สิงห์คนเดิมกลับคืนมา
“มีข้าวต้มมัดที่พี่ชอบด้วย” มือเล็กเลือกห่อขนมให้พี่ ไม่ทันสังเกตเห็นแววตารังเกียจชิงชัง
“ไปไกลๆ ตีนกูเลยไอ้กะเทย!” เสียงแตกห้าวตวาดก้อง ไม่เพียงตวาด มือใหญ่ผลักอกน้องอย่างแรงจนล้มก้นจ้ำเบ้า ตะกร้าพลัดหล่น ขนมที่ยายบรรจงทำหกกระจัดกระจาย
“พี่สิงห์..” ยิ่งกว่าความตกตะลึงคือความเสียใจที่ถาโถม จ้อยเงยหน้าขึ้นมองพี่อย่างไม่เชื่อสายตา
“อย่ามาเรียกกูว่าพี่ กูมีน้องสาวคนเดียว!” ดวงตาคมกร้าวมองลงมา ไม่มีเยื่อใยใดทั้งสิ้น “ไอ้ลูกไม่มีพ่อมีแม่!”
พี่จะดูแลจ้อยเอง ดูแลตลอดไปเลย.. คำพูดหนึ่งลอยวูบเข้ามา ก่อนกระจายหายไปเหมือนเมฆขาวเจอลมเหนือพัดล่อง พี่สิงห์ทำท่าฮึดฮัดรังเกียจเต็มที่ ซ้ำยังเตะขนมที่หกเกลื่อนลงน้ำ
จ้อยผวาลุกขึ้นห้าม เบะปากซัดโฮเมื่อมือใหญ่คว้าตะกร้าของยายโยนหวือจากสะพานสู่ท้องน้ำสีน้ำตาลอ่อนเบื้องล่าง เด็กชายได้แต่เกาะราวสะพาน มองเครื่องมือทำกินของยาย มองขนมของยายลอยหายไปกับสายน้ำผ่านม่านน้ำตา
ดวงตาแดงก่ำหันมองพี่อย่างไม่เข้าใจ พี่สิงห์หลบสายตา ก้มหน้าถูจมูกฟุดฟิด แต่ยังไม่ทันพี่จะเดินหนีไป มือเล็กก็คว้าแขนพี่เข้ามาเขย่าแรงๆ
“ทิ้งขนมจ้อยทำไม! แล้ววันนี้ยายกับพี่จินดาจะเอาอะไรกิน!” จ้อยน้ำตานองหน้าแล้ว
“ปะ..ไปให้พ้นเลยมึง!” พี่สิงห์พยายามแกะมือน้องออกจากแขน ผลักออกอย่างแรงจนเซ แต่จ้อยเอาแต่ร้องไห้โวยวาย เกาะหนึบไม่ปล่อย
“โธ่โว้ย! พูดไม่รู้เรื่อง กูบอกให้ปล่อย!” มือใหญ่ผลักอกจ้อยอย่างแรงทีเดียวกระเด็น
จ้อยจำได้ดี ว่าแผ่นหลังกระแทกราวสะพานแรงแค่ไหน จำได้ว่าหัวใจเขาหล่นวูบไปพร้อมกับร่างที่หงายหลังร่วงจากสะพาน จำได้แม้กระทั่งภาพท้องฟ้าสูงโล่งที่จ้อยคิดว่าคงเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น
ร่างจ้อยตกน้ำดังตูม น้ำคลองหน้าหนาวเย็นเฉียบเหมือนเข็มทิ่มแทงทุกอณูเนื้อ เย็นจัดจนทำให้เด็กว่ายน้ำแข็งอย่างจ้อยเป็นตะคริวอย่างง่ายดาย หลังพยายามตะเกียกตะกายในสายน้ำเชี่ยวกราก
ได้ยินเสียงคนตะโกนแว่วๆ ว่าเด็กตกน้ำอยู่ไกลๆ แล้วจ้อยก็ไม่ได้ยินอะไรอีก น้ำมากมายหนุนเนื่องเข้าปากเข้าจมูก ทรมาน..ไม่มีแม้อากาศหายใจ แล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนสะดุ้งสำลักน้ำไอโขลกที่ริมตลิ่ง จ้อยร้องไห้จ้าในอ้อมแขนของยายและพี่ ท่ามกลางกลุ่มคนมุงล้อม
นับตั้งแต่นั้นมา แม้แต่หน้าไอ้สิงห์ จ้อยก็ไม่มอง ยิ่งเจ็บใจหนักเมื่อไอ้สิงห์ได้รับการยกย่องเชิดชูเป็น ‘ลูกพี่’ ทันทีหลังจากนั้น กาลเวลาผ่านไป พระพรหมยิ่งขีดชะตาชีวิตพวกเขาให้ห่างกันทุกที เมื่อจ้อยพากเพียรเรียนหนังสือจนสอบเข้าโรงเรียนฝึกหัดครูได้ ส่วนไอ้สิงห์ก็เป็นนักเลงโตประจำถิ่น เกะกะระรานรีดไถชาวบ้านไปวันๆ
ไอ้สิงห์มันฉกชิงทุกอย่างไปจากหัวใจจ้อยจนสิ้น ความรัก เคารพ ศรัทธา ความไว้เนื้อเชื่อใจ มันคงผิดหวังที่เอาชีวิตจ้อยไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่ยังผูกพันทั้งสองไว้ด้วยกัน คือหนี้ก้อนโตที่ยายไปกู้คุณนายพูนทรัพย์มาเมื่อหลายปีก่อน ตอนพี่จินดายังอยู่ ครอบครัวจ้อยยังพอมีรายได้ หาเงินมาส่งดอกไม่เคยขาด จนกระทั่งพี่มาจากไป งวดที่แล้วดีที่ได้เงินจากคุณชายเล็กช่วยไว้ ส่วนเดือนนี้.. จ้อยยังหาเงินได้ไม่พอ ตั้งใจว่าจะขอผัดไปก่อนสักวันสองวัน
จ้อยพายเรือลำน้อยเทียบท่า มือเล็กเหนี่ยวหลัก ดึงตัวเองขึ้นไป ก่อนหันกลับมาส่งมือให้ยายยึด สองยายหลานไม่ได้เอะใจถึงความผิดปกติจนกระทั่งเดินเข้ามาถึงลานบ้าน
ร่างเล็กชะงักทันทีที่เห็นแขกไม่ได้รับเชิญ ไอ้ลอยนั่งอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ไอ้หมานเดินเตร่แถวเล้าไก่ที่ใต้ถุน ไอ้เลิศเด็ดมะม่วงทองดำปากตะกร้อจากต้นมากัดกินมูมมาม
และคนที่นั่งดูดบุหรี่อยู่บนหัวบันไดนั่น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..ไอ้สิงห์
ไอ้พวกนักเลงหันมามองสองยายหลานเป็นตาเดียว โดยเฉพาะไอ้ลูกพี่ เสี้ยวหน้าคมสันนิ่งเฉย บนหน้าผากยังมีผ้าพันแผลปิดอยู่ แววตาของมันที่จ้องจ้อยตาไม่กระพริบดูนิ่งสงบกว่าทุกที เย็นชา.. เหมือนไร้ความรู้สึก คาดเดาไม่ได้เลยว่ามันกำลังคิดอะไร
“พะ..พ่อสิงห์” หญิงชราละล่ำละลัก “งวดนี้..ยายขอผัดไปก่อนได้ไหม”
“อะไรกันยายช้อย!” ไอ้หมานหัวเราะเสียงแหลม “เดือนที่แล้วก็ขอผัดไปหนแล้วไม่ใช่เรอะ”
ลูกพี่ยังนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ที่เดิม ในขณะที่พวกสมุนพากันย่างสามขุมเข้ามาล้อมจ้อยและยายเอาไว้ จ้อยยึดแขนยายเอาไว้แน่นดึงให้ไปหลบอยู่ข้างหลังอย่างจะปกป้อง
“ยาย..ยายยังไม่มีจริงๆ” ยายช้อยเริ่มเสียงสั่นด้วยความกลัว “ขออีกสองสามวันนะพ่อนะ”
คำพูดที่ไม่เห็นจะตลกตรงไหน เรียกเสียงหัวเราะจากพวกมันได้เกรียวกราว ยกเว้นลูกพี่.. ที่ยังคงมองมานิ่งงัน
“ก็บอกว่ายังไม่มี พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!” จ้อยตะคอกใส่ ปัดมือไอ้ลอยที่ยื่นมาจับแก้มเขาออกอย่างแรง พวกมันยิ่งหัวเราะกันครื้นเครง
“เอาไงดีพี่สิงห์” สมุนตัวโตหันไปถามความเห็นลูกพี่ สายตาเย็นชาคู่นั้นไม่ละไปจากจ้อยแม้สักวินาที
“ถ้าไม่มีเงิน.. งั้นก็เอาอย่างอื่น” สิงห์อัดบุหรี่จนปลายมวนแดงวาบ พ่นควันขาวคลุ้งในอากาศ ก่อนสั่งเสียงลั่น “เฮ้ย ค้น!”
สิ้นคำสั่งลูกพี่ พวกสมุนกระจายกันไปค้นหาของมีค่าในกระท่อมซอมซ่อ จ้อยกับยายหน้าตาตื่นเลิกลั่ก ไม่รู้จะห้ามใครก่อนดี นั่น.. ไอ้หมานหาอะไรกุกกักแถวใต้ถุน มันรื้อกระสอบถ่านกระสอบปุ๋ยระเนระนาด แม้แต่เข่งมะม่วงที่ยายเพิ่งบ่มมันก็เทออกหมด ไอ้เลิศพาร่างอ้วนเผละไล่จับแม่ไก่ในเล้าส่งเสียงกะต๊ากดังลั่น ขนไก่ปลิวกระจายว่อน
ไอ้สิงห์ได้แต่นิ่งมองจ้อยกับยายวิ่งไปห้ามคนโน้นทีคนนี้ทีด้วยดวงตาเรียบเย็น ไม่สนใจคำวิงวอนของหญิงชราเลยสักนิด
“อย่านะ! ยายไม่มีของมีค่าอะไรหรอกลูกเอ๋ย.. พ่อสิงห์ ห้ามลูกน้องทีลูก”
หนักที่สุดคือไอ้ลอย มันเดินอาดๆ ผ่านลูกพี่ขึ้นไปบนกระท่อม ค้นเชี่ยนหมากยายช้อยจนเต้าปูน ครก สาก สีผึ้ง กระปุกยาเส้นกระเด็นไปคนละทิศละทาง เจอเศษเหรียญเศษสตางค์น้อยนิด แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในห้อง รื้อที่นอนหมอนมุ้ง เปิดตู้เสื้อผ้าค้นจนกระจุยกระจาย
มันทำท่าฮึดฮัดหัวเสียเมื่อไม่เจออะไรมีค่าสักอย่าง สายตาเจ้าเล่ห์ปรายไปยังกรอบรูปและกระถางธูปบนตู้ ร่างสูงใหญ่ก้าวอาดๆ ไปหาทันที
ยายช้อยร้องเสียงหลง “อย่ายุ่งกะกระถางธูปจินดานะ ไม่มีอะไรในนั้นหรอก!”
จ้อยกำลังห้ามไอ้เลิศที่ทำไก่เตลิดออกจากเล้า ขณะที่ยายถลกโจงกระเบนวิ่งงกเงิ่นไปห้ามไอ้ลอย หากยังไม่ทันได้ขึ้นบ้าน ไอ้หมานก็ปราดเข้ามาขวางไว้ ไอ้คนใจชั่วผลักคนแก่ไร้ทางสู้จนล้มลงกองกับพื้น
“โอ๊ย!”
“ยาย!” จ้อยร้องลั่น ทิ้งไก่วิ่งเข้ามาหายายที่โอดโอยอยู่กับพื้นทันที แกลุกไม่ขึ้น จนแขนเล็กต้องประคองร่างยายเอาไว้
จ้อยกัดปากแน่นแทบห้อเลือด เงยหน้าจ้องไอ้สิงห์ด้วยสายตาชิงชังสุดหัวใจ หัวหน้าอันธพาลยังไม่ละสายตาไปจากเขาสักนิด ดวงตาสีนิลคู่นั้นดูเย็นชาดั่งไร้หัวใจ
“พอได้แล้ว” เสียงทุ้มห้าวสั่งลูกน้องในที่สุด พวกสมุนรามือจากสิ่งที่ทำอยู่ทันที ร่างสูงใหญ่ก้าวอาดๆ ลงมายืนตะหง่านค้ำหัวยายและจ้อย
“กูให้เวลามึงอีกสามวัน ไปหาเงินมาคืนกู” เสียงต่ำห้าวหล่นจากปาก “ทั้งต้น ทั้งดอก กูจะเอาคืนให้หมด”
“หา” ยายช้อยคราง.. จ้อยเจ็บใจจนน้ำตาแห่งความแค้นคลอเบ้า แค่ดอกยังแทบไม่มี แล้วนี่มันจะเอาเงินต้นด้วย เขาจะไปหาจากไหนมาให้
“ถ้าครบกำหนดแล้วยังไม่เอามาคืน อย่าหาว่ากูไม่เตือน” มันทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้น ขยี้ด้วยปลายเท้าจนจมหาย พวกสมุนเดินตามกันไป ไอ้เลิศอุ้มแม่ไก่ที่ยายเลี้ยงไว้กินไข่ไปด้วยสองตัว มันบอกว่าจะเอาไปต้มกินแกล้มเหล้า จ้อยได้แต่สาปส่งพวกมันจนลับตา
ยายช้อยพยายามลุกขึ้น จ้อยประคับประคองไม่ห่าง หญิงชราบอกหลานว่าแกไม่เป็นไร แล้วสั่งให้จ้อยไปเก็บกวาดใต้ถุนที่พวกนักเลงทำเละเทะ
ลับหลังหลาน แกตะเกียกตะกายลนลานขึ้นบันได เดินกะเผลกเข้าไปในห้อง ก้าวผ่านข้าวของที่ถูกรื้อกระจัดกระจาย ตรงไปยัง.. กระถางธูปบนหลังตู้
มือสั่นเทาเททรายในกระถางออก แกคุ้ยกองทรายอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนใจเฮือก ยิ้มออกอย่างโล่งใจ แหวนทองเก่าคร่ำคร่าวงนั้นยังอยู่ เดชะบุญที่ไอ้ลอยไม่เจอเข้าเสียก่อน
“ยาย” แว่วเสียงหลานเรียก ยายช้อยสะดุ้งโหยงรีบเก็บแหวนโกยทรายคืนกระถางดังเดิม
“ยายทำอะไรน่ะ” จ้อยชะโงกหน้าเข้ามา แม่เฒ่าวางกระถางธูปคืนที่เดิมทันพอดี
“ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร” แกส่ายหัวด๊อกแด๊ก ก่อนก้มหน้าก้มตาเก็บของที่เกลื่อนห้อง หลานชายตัวเล็กตรงเข้ามาช่วย ยายลอบมองเสี้ยวหน้าละมุนของหลานแว่บหนึ่ง
ไม่มีอะไรจริงๆ จ้อยเอ๋ย..
มันเป็นเพียงแหวนทองเก่าๆ สลักนามสกุลของพ่อผู้ให้กำเนิดเอ็งเอาไว้.. เท่านั้นเอง
โปรดติดตามตอนต่อไป-----------------------------------------------------------------------------------------
*กอดฉัน, มาริษา อมาตยกุล ขับร้อง, ศรีสวัสดิ์ พิจิตวรการ คำร้อง
**นิราศวัดเจ้าฟ้า, สุนทรภู่สวัสดีค่ะคนอ่านที่รัก

อ่านคอมเม้นตอนที่แล้ว.. แม่เจ้า แซบเข้มข้นยิ่งกว่าต้มยำอีก
หลายความคิดเห็นหลากกันไป มีคนเชียร์ไอ้ลอยด้วย โอ้ว..
แบบนี้ต้องร้องเพลง 'ชอบคนเลว' ของยุ้ย ปัทมวรรณ (โห..ฟ้องอายุซะ

)
คุณชายกับอาจารย์..ระยะนี้ท้องฟ้าสงบสดใส ปล่อยให้หวานกันไปก่อนค่ะ
ยกหน้าที่ดราม่าให้น้องจ้อยกับพี่สิงห์ก็แล้วกัน^^
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกๆคอมเม้นมากๆค่ะ

ดอกไม้
๒๕ ก.พ. ๕๕