(ต่อ)
“วันนี้ป๊ะป๋าว่าจะไปเพลินวาน มีใครสนใจจะไปด้วยกันมั้ยเอ่ย?” ป๊ะป๋าพูดขึ้นระหว่างที่กำลังนั่งทานมื้อเช้ากันพร้อมหน้า
“เพลินวาน?” ผมทวนคำถามอย่างสงสัย หันไปมองทางซิน เจ้านั่นก็ได้แต่ยักไหล่และส่ายหัว
“ที่มีพวกร้านค้าบรรยากาศเก่าๆ น่ะเหรอครับ?” ไอ้กายถามป๊ะป๋า
“อื้ม เห็นคุณแก้วบอกว่านี่นั่นมีทั้งขนม ของเล่น ของใช้ สมัยที่พวกเราเป็นเด็กขายด้วยล่ะ ป๊ะป๋าเลยว่าจะไปเดินดูซักหน่อย ..ลำรึกความหลังไง” ป๊ะป๋าพูดอย่างกระตือรือร้น
อ้อ.. ผมรู้แล้วล่ะว่าเมื่อเช้ารถเอี้ยฟ้าหายไปจากโรงจอดได้ยังไง.. ก็เพราะป๊ะป๋าเป็นคนขับไปน่ะสิ เห็นว่าขับไปกินลมชมวิวชมเมืองแถวนี้แหล่ะ แล้วก็ไปหาที่ถ่ายรูปสวยๆ ด้วย ออกไปตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นโน่น กลับมาอีกทีก็แปดโมงเกือบเก้าโมง.. ถึงเวลามื้อเช้าพอดีเลย
“พวกเราเหรอ?” เสียงอีเมย์พึมอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
ผมหลุดขำออกมาเบาๆ ไม่เนียนนะป๊ะป๋า ไม่เนียน ฮ่ะๆๆ
“ของเก่าๆ กับคนแก่ๆ สินะ” ซินมองหน้าเจ้าของไอเดียยิ้มๆ
“ไหน? ใครแก่?” ป๊ะป๋าตีหน้าซื่อตาใสทำเป็นไม่เข้าใจความจริงขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปถามไอ้กาย “สกายเหรอ?”
“บ่แม่นๆ ผมเด็กที่สุดในกลุ่มนี้นะ ป๊ะป๋า” คนถูกทักรีบปฏิเสธ
แต่ก็จริงล่ะนะ ไอ้กายมันเกิดปลายปีโน่น ในกรุ๊ปนี้มันเด็กสุดแหล่ะ
“งั้นเมย์บี?” ป๊ะป๋ายังไม่ยอมแพ้ โบ้ยความแก่ไปให้อีเมย์บ้าง
“ม่ายช่าย..” อีนั่นก็พูดทั้งที่ขนมปังเต็มปาก “เมย์เกิดสิงหานะป๊ะป๋า เกิดทีหลังฝาแฝดของป๊ะป๋าตั้งเดือนนึงแน่ะ”
“งั้นก็ฟ้าน่ะสิ?” ป๊ะป๋าหันไปหาคนที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของบ้าน “ฟ้าเกิดเดือนไหนล่ะ?”
เอี้ยฟ้าค่อยๆ เงยหน้าง่วงๆ ของมันขึ้นจากจานอาหาร.. ผมล่ะสงสัยจังว่าเมื่อกี๊มันนั่งสวดส่งวิญญาณให้เบคอนอยู่หรือไง? ถึงได้ไม่สนใจฟังที่พวกเรากำลังคุยกันเลย
มันไล่ลูกตาดำๆ มองหน้าพวกเราทีละคนเหมือนกำลังโหลดข้อมูล พวกเราเองก็จ้องมันอย่างจดจ่อเหมือนกัน(ลุ้นว่ามันจะตอบอะไร) แต่สุดท้ายแทนที่มันจะตอบ มันเสือกเอาส้อมจิ้มเบคอนที่เหลือชิ้นเดียวในจานแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวหน้าตาเฉย
“หมดแล้ว...แบ่งให้ไม่ได้หรอก” มันพูดทั้งที่ยังเคี้ยวอยู่
โถ... นี่มึงคิดว่าที่พวกกูมองเพราะพวกกูอยากจะแย่งมึงกินหรือไง? ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่ได้ฟังที่ชาวบ้านเขาคุยกันจริงๆ สินะ เชื่อมันเลย..
นอกจากบ้าแล้วยังจะงกของกินอีก เกิดมาเพิ่งเคยเจอ เหอะๆ
“ฮ่าๆๆๆๆ” ป๊ะป๋ากับซินตบโต๊ะหัวเราะชอบใจกันใหญ่เมื่อรู้ว่าเอี้ยฟ้ามันเข้าใจไปทางไหน
“ไม่ใช่ๆ” ป๊ะป๋าพยายามจะหยุดหัวเราะ แล้วถามต่อ “ป๊ะป๋า..ฮ่ะๆ..ป๊ะป๋าถามว่า...ฟ้าเกิดเดือนไหน?”
“อ้อ..” มันทำหน้าเก็ทขึ้นมาทันที “กุมภา..”
“เห็นมั้ย?! ป๊ะป๋าว่าแล้ว” ปะป๋าร้องขึ้นอย่างดีใจ “ฟ้าคือคนที่แก่ที่สุด เพราะป๊ะป๋าเกิดเดือนมีนา”
“ตลกละ ..มีนา ยุค 70 จะเด็กกว่า กุมภา ยุค 90 ได้ไง? นี่ใช้ลิ้นไก่หรือไส้ติ่งคิดอ่ะ ป๊ะป๋า?” ซินว่าเข้าให้
“สร้างสรรค์ดีออก” ป๊ะป๋าพูดอย่างไม่สะทกสะท้านพลางตักอาหารปาก
“ว่าแต่เมื่อกี๊เราคุยเรื่องเพลินวานกันอยู่ แล้วออกทะเลมาเรื่องคนแก่ไม่ยอมรับความจริงได้ไงเนี่ย?” ผมชักสงสัย
“มาทะเลก็ต้องออกทะเลดิ” ไอ้กายก็พูดไปยัดขนมปังใส่ปากไป
“ช่าย~ แต่ป๊ะป๋ายังไม่แก่หรอกนะ” ตาลุงก็ยังยืนยันคำเดิม
“แถวนี้เค้ามีเรือประมงด้วยเหรอ?” เอี้ยฟ้าถาม มือก็พยายามเอื้อมข้ามโต๊ะมาแย่งเบคอนในจานผม ..ก็เลยโดนส้อมฟาดไป
“อย่าพยายามเลย หนังหน้ามันฟ้อง..” ซินพูดไปก็สร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากซอสมะเขือเทศบนจานที่ว่างเปล่าของตัวเองไป
“น่าจะออกไปตั้งแต่ตีสี่ตีห้าแล้วมั้ง” ไอ้กายออกความเห็น
“เมื่อคืนฝันว่าสู้กับปีศาจหอยนางรม สงสัยเมื่อวานจะกินมากไป” อีเมย์เล่า
“เคยเห็นในทีวีเค้าตกหมึกได้ก็กินกันสดๆ ตรงนั้นเลย” เอี้ยฟ้าก็เล่าบ้าง
“ถ้าไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าอายุเท่าไหร่” ป๊ะป๋ายิ้มแป้น
“ล็อบสเตอร์เมื่อวานก็อร่อย” ซินพยักหน้าหงึกๆ
“หนวดยังดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่เลย” เอี้ยฟ้าว่า
“แสดงว่าดูแลตัวเองดี” ไอ้กายสรุป
“..........” ผม..นั่งฟังเงียบๆ
จริงๆ นะ ผมล่ะสงสัยจังว่าคนพวกนี้กำลังคุยอะไรกันอยู่..?
แล้วมันรู้เรื่องกันไหม??
“ไม่ไปด้วยกันจริงๆ เหรอ ซันนี่?” ซินถามผม ระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปเพลินวานกับป๊ะป๋าและคนอื่นๆ
“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ” ผมนอนเหยียดยาวอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง “บรรยากาศเก่าๆ เก๊ๆ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย คนก็เยอะ อากาศก็ร้อนอีก กูว่ากูขอนอนสบายๆ อยู่ที่นี่ดีกว่า”
“ไปถ่ายรูปไง เอาไว้เป็นความทรงจำ” ซินพยายามโน้มน้าว ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ
“กับใครล่ะ?” ผมถามยิ้มๆ “ถ้ากับมึงคงไม่จำเป็น เพราะถึงยังไงเราก็มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตอยู่แล้ว”
“ก็..จริง” ซินยิ้มบ้าง แล้วเอามือมาขยี้หัวผม ก่อนที่แววตาขี้เล่นจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง “..ซันนี่ของพี่”
“หือ?” ผมเลิกคิ้วแปลกใจ
“ที่พูดเมื่อคืนน่ะ เรื่องจริงใช่มั้ย?” ซินถามสีหน้านิ่ง
“ไม่เห็นด้วยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ” ผมยิ้มบางๆ พลางยื่นมือขึ้นไปแตะแก้มของอีกฝ่าย
“เปล่าซักหน่อย..” ซินเบ้ปาก ก่อนจะซบหน้าลงมาที่ไหล่ของผม พูดเสียงอู้อี้ “แค่รู้สึกว่ามึงจะไม่ใช่ของกูแค่คนเดียวอีกแล้ว..”
“ไม่เอาน่า..” ผมตบหลังคนขี้อ้อนเบาๆ “คราวเหมยลี่ไม่เห็นมึงเป็นแบบนี้เลย”
“มันไม่เหมือนกันนี่หว่า” ซินเถียงอุบอิบ
“ซิน...รู้ใช่มั้ยว่ามึงคือคนที่กูรักที่สุด?” ผมดันตัวซินขึ้นเพื่อที่จะได้มองตากัน ซินเลยต้องเท้าแขนไว้ข้างหัวผม
“..........” ซินได้แต่มองผมนิ่ง ไม่คิดจะโต้ตอบอะไร
ผมเลยพูดต่อ “ไม่ว่ากูจะไปรักใครอีกกี่คน แต่คนที่รักที่สุดก็มีแค่มึงคนเดียว ..รู้ใช่มั้ย?”
คราวนี้ซินยอมพยักหน้า ผมเลยค่อยยิ้มได้
“ถ้างั้นก็เลิกกังวลได้แล้ว..” ผมบอกแล้วยื่นหน้าขึ้นไปจูบคนข้างบนเพื่อให้มั่นใจว่าผมจะไม่มีวันหนีหายไปไหน และไม่เกินเสี้ยววินาทีผมก็ถูกกดลงกับเตียงเหมือนเดิม ตามมาด้วยปลายลิ้นอุ่นชื้นของอีกฝ่ายที่รุกเร้าเข้ามาหนักกว่าทุกที..
“อือ..”
เราไม่ได้จูบกันแบบนี้บ่อยนักหรอก.. บางทีมันอาจเป็นเพราะท่าทีของผมที่ทำให้ซินกลัวมากกว่าครั้งไหนๆ
กลัวว่าอาจจะถูกแย่งความรักทั้งหมดไป... กลัวว่าอาจจะถูกทิ้งให้ต้องอยู่คนเดียว..ถ้าเป็นแบบนั้นซินคงอยู่ต่อไม่ได้แน่ แต่ตัวผมเองก็ไม่ต่างอะไรกันนักหรอก ถ้าไม่มีซินผมก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน..
ผมเองก็เคยกลัวว่าจะถูกทิ้งเหมือนกัน...
แม้ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่ามันจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่ ..แต่บางครั้งเราก็ไม่อาจห้ามความคิดงี่เง่านั่นได้
การสัมผัสกันและกันของพวกเราจึงเหมือนเป็นการยืนยันความมีตัวตนของอีกฝ่าย..
นายยังอยู่ตรงนี้ใช่ไหม?
ใช่ ฉันยังอยู่ตรงนี้
หลังจากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอยู่หลายตลบก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลับ ผมเลยตัดสินใจลงมาข้างล่างเพื่อจะไปเดินเล่นที่ชายหาด หรือไม่ก็ไปเล่นกับพวกข้างบ้าน น่าจะดีกว่าอยู่เบื่อๆ เซ็งๆ คนเดียว ตอนนี้บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบสงบ ..ผมเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าบ้านพักหลังนี้มันใหญ่น่าดูชมเมื่อต้องอยู่ตามลำพัง
ก่อนจะออกจากบ้านผมต้องเดินผ่านห้องนั่งเล่น.. ทีแรกก็เดินผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่เหมือนหางตาจะเห็นอะไรแว้บๆ เลยต้องถอยกลับมามองอีกรอบอย่างสังเกตสังกาเสียหน่อย
ตรงนั้น...บนโซฟาตัวยาว มีกองหมอนนับสิบใบวางทับถมกันอยู่ ทั้งหมอนอิง หมอนหนุน ถูกขนลงมาวางรวมกันไว้ตรงนั้น..
แล้วก็มีเท้าคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากกองหมอนเหล่านั้นด้วย!
ผมขยับเข้าไปดูใกล้ๆ เริ่มใจตุ๊มๆ ต่อมๆ คงไม่ใช่ว่ามีใครเอาศพมาซุกไว้ที่นี่หรอกนะ? เหอๆ แต่พอลองเข้าไปใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ..แค่หลับ?
ใครวะ..? ผมเริ่มลงมือคุ้ยเขี่ยหมอนออกไปทีละใบๆ จนสุดท้ายก็ได้เห็นเอี้ยฟ้าประทาน ทามิยะ นอนคว่ำเอียงหน้าหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ..?
สงสัยว่าหมอนพวกนี้จะเป็นฝีมือของพวกที่เพิ่งจะออกไปเพลินวานกันแน่ๆ เห็นว่าหลับสนิทก็เลยอยากแกล้งกันล่ะสิ ฮ่ะๆๆ ไอ้นี่ก็ไม่ได้รู้ตัวเล้ย ปล่อยให้เขาแกล้งสนุกสนานกันไป เกิดขาดอากาศหายใจตายไปจะว่าไงล่ะเนี่ย?
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับที่เอี้ยฟ้านอนอยู่ พอมาดูใกล้ๆ หน้าเวลาหลับของหมอนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันแฮะ
“..........”
อืม.. ผมว่าผมพอจะเข้าใจนะว่าทำไมคนอื่นๆ ถึงได้อยากแกล้งมัน..
ผมใช้นิ้วคีบจมูกมันอย่างอดไม่ได้ มันครางไม่พอใจในลำคอ “อือ..ฮึ..” ก่อนจะเบี่ยงหน้าหนีไปอีกทาง แล้วก็นิ่งไปอีก
“ฮะฮะ..” ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเอ็นดู
อะไรจะง่วงขนาดนั้น..? จริงสิ เมื่อเช้านี้มันก็ออกมาว่ายน้ำตั้งแต่เช้า แถมเมื่อคืนผมยังเห็นมันนั่งเล่นอยู่บนเก้าอี้โยกตรงระเบียงตอนดึกดื่นอีก..
แล้วตกลงว่าเมื่อคืนมันไม่ได้นอนหรือไงนะ? ..ถึงหลับได้หลับดี
แล้วทำไมมันถึงไม่นอนตอนกลางคืนล่ะ? หรือจะถูกป๊ะป๋าแกล้ง? ..ไม่น่าๆ ถึงจะชอบทำอะไรแปลกๆ แต่ป๊ะป๋าก็เป็นคนรู้เวลาน่า
แล้วมันเพราะอะไรกัน?
“..........” จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเคยเห็นมันหลับ(..แบบจริงจังอ่ะนะ ไม่นับที่มันแหลเนียน) ..ขนตายาวดีจัง...ผิวก็ดี...ขาวอมชมพูเชียว...เนียนนุ่มมือดีด้วย..อย่างกะผิวเด็กแน่ะ...ริมฝีปากนี่ก็...นิ่มจัง..
เอ้อ.. ผมรีบชักมือกลับเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเพลินไปหน่อยแล้ว
ถ้าเพียงแต่ปิดดวงตาสีดำมืดมิดคู่นั้นลงซะ ..ฟ้าประทาน ทามิยะ ก็ดูไม่ต่างไปจากคนทั่วไปสักเท่าไหร่หรอก.. ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย...ไร้ความรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม แต่ถ้าเป็นแบบนั้น...
ผมจะยังรู้สึกสนใจเขาขนาดนี้หรือเปล่านะ?
“............”
ฮื่อ.. มองไปมองมาก็ชักจะง่วงเหมือนกันแฮะ ผมหันไปหยิบหมอนหนุนมาใบนึง วางเทินไว้บนหลังของคนหลับ แล้วซบหน้าของตัวเองตามลงไป
อืม นอนตรงนี้ก็คงไม่เลวหรอกมั้ง..
TBC. 