Chapter :: 02 :: ตะวันฉาย! 1 เดือนผ่านไป ไวเหมือนโกหก...
เออดิ ..ผมโกหก หลังจากวันนั้น(..ไม่ต้องถามนะว่าวันไหน) ก็ผ่านมาได้เกือบสิบวัน ผมออกจากโรงพยาบาลมาได้สี่วันแล้ว แต่วันนี้เพิ่งจะกลับมาเรียนเป็นวันแรก โดยที่แขนซ้ายยังต้องใส่เฝือกแบบอ่อนอยู่
ป่านนี้เรื่องของผมคงจะรู้กันทั่วทั้งคณะแล้วมั้ง เสียหน้าชะมัด! ถึงคนทั่วไปจะไม่เคยรู้ประวัติเก่าๆ ของผมมาก่อนก็เหอะ แต่มาถูกกระทืบง่ายๆ แบบนี้นี่มัน.. แมร่ง!
ไม่ใช่ว่าผมสู้มันไม่ได้นะ แต่ผมไม่มีทางเลยสู้ต่างหาก เข้าใจไหมว่าคาราเต้ที่ผมร่ำเรียนมาน่ะมันไม่มีการต่อสู้ในท่านอน ไม่เหมือนยิวยิดสู และการที่ผมถูกมันเหวี่ยงลงพื้นง่ายๆ ก็เป็นเพราะว่าผมไม่ทันตั้งตัว แถมยังไม่เคยมีพื้นฐานยูโดมาก่อนด้วย ก็เอาเป็นว่า.. ถ้าล้มลงไปแล้ว(แถมยังมีฝ่าตีนกระหน่ำย่ำลงมาแบบไม่เว้นวรรค) คาราเต้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย..
สัด!! อย่าให้กูเจอมึงนะ ไอ้เอี้ยฟ้าประทาน!!
ใช่ครับ! เจ้าของตีนคู่นั้นก็คือไอ้เดือนเดือด ‘ฟ้าประทาน ทามิยะ’ ที่คนเขาร่ำเขาลือกันนั่นเอง ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันโง่หรือบ้ากันแน่ที่ดันเข้าใจผิดคิดว่าผมคือ เชี่ยซิน(..ขอติดยศหน่อยเหอะ ยังเคืองไม่หาย) เป้าหมายที่แท้จริงของมัน แต่ที่แน่ๆ คือผมคงจะจดจำชื่อมันไปจนวันตาย ในฐานะผู้ชายคนแรกที่กล้าเอาตีนมาลูบหน้าผมแบบนี้ ..ฮึ่ย! ยิ่งคิดยิ่งแค้น!!
หลังจากที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อครั้งสุดท้ายของแบรี่ในวันนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาลแล้ว รู้สึกปวดเมื่อยเจ็บระบมไปทั้งตัว ระดับความเสียหายนั้นไม่ต้องพูดถึง มีตั้งแต่กะโหลกยุบ กระเพาะรั่ว กำเดาไหล ไหปลาร้าฉีก ซี่โครงหัก ม้ามแตก ปอดแหก ตับกระจายยยย...ไม่ใช่ละ ฮ่ะๆๆ ถ้าจะขนาดนั้นล่ะก็ตายไปซะเลยดีกว่าเหอะ
จริงๆ ก็แค่ฟกช้ำตามเนื้อตัว ปากแตก ดั้งบวม มีเลือดกำเดาออก แขนขาถลอก และกระดูกแขนซ้ายร้าว แค่นั้นแหล่ะ...แค่นั้นเอ๊งงงง แง่ง!
ถึงจะแค่นั้นแต่มันก็ทำให้ผมใช้ชีวิตในช่วงนี้ได้ลำบากพอสมควรเลยล่ะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นหลับไปนานแค่ไหน แต่พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นไอ้พี่ชายตัวดีเกาะอยู่ที่ข้างเตียง ท่าทางเศร้าสร้อยหมาหงอยราวกับญาติมันเพิ่งเสีย(..อยากบอกว่ากูยังไม่ตายเหอะ) และพอสังเกตดูดีๆ ก็จะเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวกระจัดกระจายอยู่ตามใบหน้าและเนื้อตัวของมัน
ไม่ต้องเสียเวลาคิด ผมรู้ได้ทันทีเลยว่ามันต้องเพิ่งไปเอาคืนมาให้ผมแน่ๆ
ถัดจากซินก็เป็นไอ้กาย ไอ้นี่ก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับคนแรกเลย คาดว่ามันคงจะตามซินไปร่วมด้วยช่วยกันอีกแรงเป็นแน่แท้ แต่มันก็ยังยิ้มแฉ่ง ชูสองนิ้วให้ เมื่อเห็นผมขมวดคิ้วมองสำรวจมัน
หันมาอีกฝั่งก็เห็นเมย์บีนั่งครางซี้ดๆ ใช้ฝ่ามือหนาๆ ประคองแก้มบวมๆ ของตัวเองไว้ แน่นอนว่าอีนี่ก็คงจะตามไอ้กายไปอีกทีเหมือนกัน ถึงจะเป็นกะเทยที่ชอบวิ่งแรดๆ ไปทั่วคณะ แต่พอเอาเข้าจริงมันก็สู้คนเหมือนกันนะ เรื่องเรี่ยวแรงนี่ไม่ต้องพูดถึง ขนาดกระสอบข้าวสารเป็นร้อยกิโลมันยังยกลอยมาแล้ว นับประสาอะไรกับผู้ชายแค่คนสองคน ฮ่าๆๆ
และที่สำคัญคือมันเป็นคนที่รักพวกพ้องมาก ซึ่งข้อนี้แหล่ะที่ทำให้พวกผมชอบมัน ถึงเมย์จะรักสงบและไม่ชอบเจ็บตัว แต่มันก็ยังอุตส่าห์ไปแก้แค้นให้ผม
..ผมงี้ซึ้งใจสัดๆ เลย
ส่วนรายสุดท้าย.. มีร่องรอยความเสียหายให้เห็นบ้างประปราย แต่ไม่เท่าไหร่ ปกติแล้วแบรี่ไม่ใช่คนที่ชอบตัดสินปัญหาด้วยกำลังอยู่แล้ว(ถึงจะเป็นทั้ง เทควันโด้ ยูโด และมวยไทยก็เหอะ) ..ถ้าให้ผมเดานะ ผมคิดว่าทีแรกแบรี่ก็คงตั้งใจจะไปห้ามพวกซินนั่นแหล่ะ แต่มันก็คงจะไม่สำเร็จเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา สุดท้ายก็เลยกลายเป็นผู้ร่วมก่อการไปด้วยเหมือนกับทุกทีที่แบรี่พยายามจะปกป้องพวกผมฝาแฝด ..คิดแล้วก็น่าเห็นใจนะ?
พอสอบถามก็ได้ความไม่ต่างจากที่ผมคาดเดา และไม่ต้องเสียเวลาเอารอยตีนบนเสื้อผ้าไปเที่ยวเทียบหาเจ้าของ เหมือนตอนที่เจ้าชายตามหาซินเดอเรลล่าหลังคืนเต้นรำด้วย(แต่ของผมคงเป็น..หลังวันยำตีน) เพราะพวกนั้นมันบอกผมทันทีว่าไอ้คนที่เล่นงานผมก็คือไอ้เอี้ยฟ้าประทานนั่นเอง
“ฉายๆ ทางนี้จ้ะ” เสียงใสๆ กับหน้าสวยๆ ของเหมยปรากฏขึ้นในโสตรับรู้ของผม ผมเลยต้องปรับเปลี่ยนโหมดอารมณ์แค้นเคืองให้กลับสู่ภาวะปกติ แล้วหันไปส่งยิ้มให้เธอที่กำลังวิ่งมาหาอย่างดีอกดีใจตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอกัน
เหมยลี่ เป็นอดีตแฟนคนแรกและคนเดียวที่ผมเคยมี ด้วยความที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารัก นิสัยดี และผมคิดว่าเธอนี่แหล่ะคือคนที่ ‘ใช่’ สำหรับผม(ในตอนนั้น) ก็เลยตัดสินใจขอคบกับเธอ...เมื่อประมาณตอนเรียนเกรดสิบ
แต่หลังจากที่คบกันไปได้สักพักผมก็เริ่มรู้สึกว่าเธอ ‘ไม่น่าจะใช่’ ละ
ไม่ใช่ว่าเหมยมีข้อเสียอะไร แต่มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเห็นไม่ตรงกัน ยิ่งคบนานวันก็ยิ่งเห็นต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เลย...เอาล่ะ พอแค่นี้เถอะ เราคงไปไกลว่านี้ไม่ได้แล้ว.. ซึ่งเหมยก็ยอมเข้าใจ เราเลิกลากันด้วยดีและเป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนนี้
ใครว่าแฟนเก่าจะกลายมาเป็นเพื่อนไม่ได้...นั่นมันเป็นกรณีที่คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนยังมีเยื่อใยความรักความแค้นต่อกันต่างหาก แต่กับคู่ที่ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรต่อกันแล้วเหมือนผมกับเหมยนี่สบายมาก ..เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
ตอนที่ผมนอนอยู่โรงพยาบาลเหมยก็โทรศัพท์มาถามข่าวคราวอยู่แทบทุกวัน แต่เธอยังไม่มีเวลาว่างมาเยี่ยมด้วยตัวเองสักที และพอเธอรู้ว่าผมหายดีจนกลับมาเรียนได้แล้วเธอก็บอกว่าอยากจะเห็นหน้าผม พร้อมกับจะเช็คดูสภาพสักหน่อยว่าหายดีอย่างที่ปากว่าจริงไหม ..นอกจากนั้นก็ยังถือโอกาสให้ผมเอาดีวีดีที่เธออยากดูมาให้ยืมด้วย เรียกว่ายิงปืนนัดนี้ ได้นกยกฝูงกันเลยทีเดียว
ตอนนี้ผมก็เลยมายืนอยู่ใต้ตึกคณะเภสัชอันเป็นที่เรียนของเหมย และ..
ผมเพิ่งจะนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าไอ้เอี้ยที่กระทืบผมวันนั้นมันก็เรียนอยู่คณะนี้ด้วยนี่หว่า
แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกกันว่า...บุกถ้ำเสือ?
“เอาดีวีดีมารึเปล่า?” เหมยยิงคำถามทันทีที่มาถึงตัวผม
“คนเราเนาะ แทนที่จะถามถึงอาการเพื่อนก่อนอ่ะ” ผมแกล้งบ่นงอนๆ เอากล่องดีวีดีวางเทินไว้บนหัวเธอ
“ล้อเล่นน่า” เหมยหัวเราะเสียงใส รับแผ่นดีวีดีไปถือไว้แล้วเดินวนรอบตัวผม “ไหนดูซิ มีอะไรหายไปบ้างรึเปล่าเอ่ย?”
“โอเค ก็ดูเหมือนจะจริงอย่างที่ปากว่า” พูดพลางพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนจะชี้มายังแขนที่เจ็บของผม “ยกเว้นแขนนั่น?”
“อีกไม่กี่วันก็เอาเฝือกออกได้แล้ว” ผมชูแขนข้างนั้นให้เธอดู
“อืม ค่อยสบายใจหน่อย.. ว่าแต่ใครกันนะที่ล้มอดีตหนึ่งในแฝดนรก กานต์ฉาย ได้? รึว่าไปติดเกาะแถวยุโรปซะนาน เลยโดนหิมะกัดเขี้ยวเล็บหลุดหมดแล้ว?” เหมยพูดยิ้มๆ อย่างคนที่รู้จักผมเป็นอย่างดี
‘แฝดนรก กานต์-ฉาย’
จะว่ายังไงดีล่ะ? ชื่อในวงการงั้นเหรอ? ..ก็คงจะประมาณนั้นมั้ง ฮ่ะๆ สมัยนั้นแทบไม่มีใครรู้จักชื่อเล่นจริงๆ ของพวกเราหรอก ถ้าบอกไปก็มักจะถูกล้อว่า ‘ซินดี้-ซันนี่’ ..ซึ่งซินมันเกลียดมาก แค่ถูกล้อเรื่องหน้าตามันก็เดือดจะแย่แล้ว นี่ยังมีเรื่องชื่อแต๋วๆ เพิ่มเข้ามาอีก มันก็เลยไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเรียก ใครกล้าเรียกมีเตะปากฉีกอ่ะ
ทุกคนก็เลยหันมาเรียกชื่อจริง ‘ตะวันฉาย’ หรือ ‘ฉาย’ ซึ่งเป็นผมเอง ส่วนซินคือ ‘กานต์’ หรือ กานต์ระพี้~ ฮ่ะๆ ไม่ใช่ๆ ชื่อ ‘กานต์ระพี’ น่ะ
แต่ในตอนที่พวกเราได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เราเห็นตรงกันว่าควรจะทิ้งชื่อนั้นไปซะ อดีตก็ควรจะเป็นเพียงแค่อดีต แล้วกลับมาใช้ชื่อ ซินกับซัน เหมือนแรกเริ่มเดิมทีดีกว่า
เพราะพวกเราตั้งใจแล้วว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่...
และผมไม่ได้บอกเหมยหรอกว่าไอ้คนที่ทำร้ายร่างกายผมมันเป็นใคร ถ้ารู้เหมยก็คงจะไม่มีทางเรียกให้ผมมาหาที่นี่เป็นแน่ เพราะเธอเป็นคนที่ค่อนข้างขี้ห่วงขี้กังวลน่ะ
“เหมย!” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรเหมยไปก็มีใครสักคนมากวักมือเรียกให้เธอไปหา ท่าทางเหมือนมีธุระจะคุยด้วย
“ฉายรออยู่นี่ก่อนนะ” เหมยหันมาบอกผมก่อนจะวิ่งไปหาคนคนนั้น
ผมยืนมองเหมยคุยธุระของเธออยู่พักนึง ก็มีกลุ่มผู้ชายประมาณสามสี่คนเดินผ่านเข้ามาในขอบเขตการมองเห็นของผม และบดบังเหมยให้หายไปจากสายตา ตอนแรกผมไม่ได้สนใจอะไร ตั้งใจจะหันไปมองทางอื่น แต่หนึ่งในนั้นกลับตรงมาทางผมและร้องเรียกให้เพื่อนมันหันมาสนใจผมด้วย
“เฮ้ย พวกมึง ดูดิกูเจอใคร? ผู้เคราะห์ร้ายจากปลายตีน ฟ้า นี่หว่า” ไม่พูดเปล่า แต่ไอ้หัวสีน้ำตาลทองๆ นั่นมันยังเอามือมาชี้ๆ ผมด้วย
มารยาทน่ะมีไหม ห๊ะ!?
แต่เมื่อกี๊มันว่าอะไรนะ? ฟ้าเหรอ? ฟ้าประทานใช่ไหม?? ฟ้าประทาน ทามิยะ ใช่หรือเปล่า???
“ไหนๆ นี่น่ะเหรอน้องเอี้ยซิน?” ไอ้ตี๋ตัวซีดๆ อีกคนรีบเสนอหน้ามามองผมใกล้ๆ อย่างพิจารณา “โหยยย เชี่ยฟ้า มึงเบลอหรือมึงเมาอ่ะวันนั้น มึงแยกไม่ออกจริงๆ เหรอ กูถามเห๊อะ? แค่ผมมันก็คนละสีคนละทรงแล้วนะโว้ย!”
ถ้าถามกูนะ กูขอตอบว่ามันคงทั้งเบลอ ทั้งบ้า ทั้งเมา แล้วก็โง่เอี้ยๆ เลยแหล่ะ เพื่อนฟ้าประทานของมึงอ่ะ
“เออว่ะ บอดสีแบบนี้เป็นเภสัชไม่ได้นะมึง” ไอ้แว่นอีกคนยืนพยักหน้าหงึกๆ พลางสำรวจมองผม
“ก็รูปที่ จี้ เอาให้ดูแมร่งทั้งมืดทั้งเบลอ ..แล้วกูจะไปตรัสรู้ได้ไงว่ามันจะเสือกมีแบบนี้ตั้งสองตัว” เจ้าของน้ำเสียงเย็นๆ พูดสำเนียงเนิบๆ ไม่เร่งร้อนและติดจะรำคาญเล็กน้อย เดินแหวกเพื่อนมันเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม “..ตอนนั้นกูก็ง่วงๆด้วย”
ไม่ต้องมีใครแนะนำก็แน่ใจได้เลยว่าไอ้นี่แหล่ะ ..เอี้ยฟ้าประทานตัวจริงเสียงจริง ดูได้จากหัวสีเงินๆ อันเป็นจุดเริ่มต้นตำนานเดือนเดือดของมันเลย(สีอย่างนี้คงจะไม่มีหลายคนหรอกมั้ง) ผมของมันดูยุ่งเหยิงไม่ค่อยเป็นทรง ชี้โด่ชี้เด่คนละทิศละทางราวกับว่าชีวิตนี้สะกดคำว่า ‘หวี’ ไม่เป็น(แต่ผมคิดว่ามันคงตั้งใจทำล่ะ)
ส่วนเรื่องหน้าตานี่...เอ่อ คงต้องยอมรับล่ะว่ามันหล่ออย่างที่เขาพูดกันจริงๆ ไม่มีอะไรที่คนเขาพูดเกินจริงเลย ..ดูดีซะจนผมอดแปลกใจไม่ได้
แต่ดวงตาสีดำสนิทของมันกลับดูเซื่องซึม(หรือมันจะง่วง?) เหมือนไม่มีอะไรจะมาทำให้คนอย่างมันตื่นเต้นตาโตได้ และดูเหมือนจะไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใครด้วย ..ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นคนๆ เดียวกันกับไอ้เลือดร้อนที่กระทืบผมเมื่อหลายวันก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศคุกคามแบบแปลกๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวมัน..
บอกตามตรง ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอคนที่มีบรรยากาศอันตรายขนาดนี้ครั้งแรกนี่แหล่ะ ..เป็นความอันตราย ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางเชื่องๆ..
แต่ก็ใช่ว่าผมจะกลัวมันหรอกนะ แค่คิดว่าถ้าจะเล่นมันคงจะไม่ง่ายเท่าไหร่
พูดถึงการแต่งตัวของมัน.. ไอ้นี่มันเป็นนักศึกษาจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย? มันใส่เสื้อนักศึกษาตัวโคร่งกว่าตัวมันนิดหน่อย แขนเสื้อยาวไปปิดจนเห็นฝ่ามือโผล่มาแค่ครึ่งเดียว กระดุมเสื้อก็เริ่มติดจากเม็ดที่สามลงมาและปล่อยเม็ดล่างสุดเอาไว้ กางเกงที่มันใส่เป็นสกินนี่เดฟสีดำ มีรอยขาดเป็นหย่อมๆ มาจนถึงต้นขาให้เห็นเนื้อหนังข้างในพอกรุบกริบ ในมือถือสมุดแค่เล่มเดียว ปากกาเหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อข้างๆ กันมีแว่นตากันแดดยี่ห้อกุ๊ชชี่เสียบอยู่ด้วย
..มองยังไงก็ไม่น่าจะใช่คนที่เรียนอยู่คณะนี้เลยจริงๆ
หมอนั่นมองมา ผมก็มองสบตากลับไป รอฟังว่ามันจะพูดอะไร จากที่คะเนดูมันคงจะสูงกว่าผมแค่ไม่กี่เซนต์หรอก
“อีกอย่าง...ตีนกูมันก็ไม่มีตานี่หว่า โทษทีแล้วกันนะพวก” มันพูดโดยที่สีหน้ายังดูเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลง
สัด! พูดมาได้นะมึง เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวมึงได้เจอตีนที่ไร้ตาของกูบ้าง เดี๋ยวก๊อนนน!
“กูก็ต้องขอโทษแทนมันด้วยนะ ปกติมันก็ไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใครก่อนหรอก แต่พอดีช่วงนั้นมันกินยาไม่ครบโดสน่ะ ก็เลยขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง โปรดอย่าถือสานะจ๊ะคนดี ฮ่าๆๆ ..แต่พี่มึงมันก็กวนตีนจริงๆ ว่ะ วันนั้นมันก็พาพวกมาเล่นกับพวกกูซะเกือบมีได้เสีย ถ้าพี่ยามแถวนั้นไม่พาพวกควงกระบองเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน” ไอ้แว่นคนเดิมเข้ามาตบไหล่ผมแปะๆ ยิ้มทะเล้น
“จะว่าไปแล้วก็ดูน่ารักกว่าพี่มันเยอะเลยเนอะ” ไอ้หัวสีน้ำตาลทองพูดบ้าง “ว่าแต่มึงพูดได้ป่ะเนี่ย? กูเห็นยืนนิ่งมานานละ คนแน่ป่ะวะ...รึว่าไม่ใช่?”
แล้วไอ้เวรนั่นก็เอานิ้วมาจิ้มๆ ที่ไหล่ผม ผมเลยปัดมือมันออกไปด้วยความรำคาญ “อ้าว ขยับได้ด้วยนี่หว่า เฮ้ย! รุ่นนี้แมร่งเจ๋งว่ะ ดีกว่าไอ้ตัวที่สยามดิสอีกนะเนี่ย”
เชี่ยนี่! คนนะเว้ย ไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งมาดามทูสโซ!
“รึว่าจะยังกลัวเชี่ยฟ้าอยู่?” ไอ้หน้าตี๋ออกความเห็น “ไม่ต้องกลัวนะ กูจัดยาระงับประสาทให้มันแล้วสี่เม็ดถ้วน เมื่อกี๊เอง มึงดูหน้ามันสิ เชื้อง เชื่อง ฮ่าๆๆ”
มันเอามือไปเกาคางไอ้หัวเงิน ก็เลยถูกตบกะโหลกเป็นของกำนันแบบเรียงตัวเผื่อแผ่ไปถึงอีกสองตัวที่เหลือด้วย
แล้วไอ้ฟ้าประทานก็หันกลับมาจ้องหน้าผมอีก..
“เหมือนมึง...มีอะไรข้องใจกับกูนะ” มันยังคงน้ำเสียงเนิบๆ เฉื่อยๆ (แต่ไม่ช้าจนน่ารำคาญ)ไว้แบบเสมอต้นเสมอปลาย สงสัยว่าจะเป็นสำเนียงเฉพาะตัวของมัน
ไม่ต้องรอให้มันถามซ้ำสอง ผมก็ตัดสินใจตอบออกไปในแบบเฉพาะตัวของผมบ้างเหมือนกัน
“เฮ้ย!!!” เพื่อนของไอ้เอี้ยฟ้าประทานแหกปากร้องดังลั่นเกือบจะพร้อมกัน
ทันทีที่ผมหมุนตัวจัดคาราเต้คิกฟาดก้านคอเพื่อนหัวหงอก(ต่อไปนี้ผมจะเรียกมันอย่างนี้แหล่ะ)ของพวกมันแบบม้วนเดียวจบไม่มีฉายซ้ำ ก่อนกลับลงพื้นอย่างสวยงามไม่ให้เสียศักดิ์ศรีแชมป์เยาวชน ดูจากรูปการแล้วไม่ต้องเสียเวลาผ่าชันสูตรก็ระบุได้ว่ามันคงจะหลับกลางอากาศโดยไม่ต้องพึ่งหมอนและเสียงกล่อมนอนของหม่ามี้แต่อย่างใด
วะฮะฮ่าฮ่า สะใจซันซามะซะจริงๆ~
ให้มันรู้ซะบ้างว่ากูเป็นใคร ถึงแขนกูจะเดี้ยง แต่ขากูไม่ได้พิการนะโว้ย! แล้วถึงกูจะหน้าตาดีก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะต้องใจดีปล่อยให้มึงกระทืบฟรีหรอกนะ ยังไงก็ขอเอาคืนบ้างเหอะ!
“อิปป้ง!” ผมพึมพำขานคะแนนให้ตัวเองพลางกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นไอ้หงอกฟ้าประทานร่วงถึงพื้นโดยมีเพื่อนของมันเข้ามารองไว้ทันก่อนที่หัวจะกระแทกพื้นซีเมนต์ตายห่าไปซะ
“...........” ไอ้สามตัวนั่นหันมาจ้องหน้าผม นาทีนั้นเองที่ผมเริ่มจะสำนึกอะไรบางอย่างได้..
ห่าล่ะ!! นี่กูอยู่ในถิ่นมันนี่หว่า ร่างกายก็ยังไม่ครบสามสิบสองแถมยังซ่าส์มาคนเดียวอีก ..เปรี้ยวจริงๆ นะมึง ซันชายน์ เหลียวมองรอบๆ ตัวก็เห็นแต่เด็กคณะมันทั้งนั้น
เหยดดดดด! แล้วเย็นนี้กูจะได้กลับไปเจอหน้าพี่ชายอีกหรือเปล่าวะเนี่ย?! ซินเซียร์~ กูคิดถึงมึงเอี้ยๆ เลยว่ะ!!
ระหว่างที่สมองกำลังทำงานหนักเพื่อหาทางหนีทีรอดอันน้อยนิดให้ตัวเองอยู่นั้น ความวุ่นวายก็บังเกิดขึ้น ตามมาด้วยเสียงของใครไม่รู้ อาจจะเป็นพี่ยามหรือไม่ก็อาจารย์.. แต่ผมจะถือว่าเป็นเสียงสวรรค์ก็แล้วกันนะ
“พวกเธอทำอะไรกันน่ะ?! นี่มันสถานศึกษานะ!”
“ทางนี้!” เสียงใสๆ กับมือเล็กๆ ที่มาคว้าข้อมือผมให้วิ่งตามออกมาจากความชุลมุนนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก..เหมยลี่ผู้น่ารัก
เธอพาผมหนีตายออกมาได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะมาหยุดยืนหอบแฮ่กที่ซอกตึกแห่งหนึ่ง ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อลมหายใจเริ่มกลับเป็นปกติ และหวนนึกถึงเรื่องบ้าๆ ที่ทำไปเมื่อครู่ แต่อีกคนกลับยืนเท้าเอวมองหน้าผมตาเขียวปั้ด
“บ้ารึเปล่าห๊ะ?! รู้ตัวบ้างมั้ยว่าทำอะไรลงไป? โชคดีแค่ไหนที่วันนี้รอดมาได้? ไม่รู้เหรอว่าพวกนั้นเป็นใคร? แถมตัวก็ยังเจ็บอยู่ด้วย! แล้ว..”
“ใจเย็นเหมย ใจเย็น.. หายใจเข้าลึกๆนะ น่าน อย่างนั้น ดีมาก...” ผมยกมือห้ามให้เหมยใจเย็นลง กำหนดลมหายใจให้เธอ เพื่อจะได้ไม่สติแตกไปมากกว่านี้ แต่พอสติกลับคืนมาแล้วเธอก็ดันเอามือมาหยิกท้องผมซะนี่
“เจ็บนะ!” ผมประท้วง
“แค่นี้ทำเจ็บ ที่ทำไปนั่นไม่กลัวเจ็บเลยใช่มั้ย? ที่เตะร่วงไปนั่นมันนายฟ้าประทานนะ ไม่เคยได้ยินกิติศัพท์ของผู้ชายคนนั้นบ้างเลยรึไง?” ยิ่งพูดก็เหมือนเหมยจะยิ่งใกล้ร้องไห้เข้าไปทุกที “จากนี้ไปเธอเจอศึกหนักแน่”
“น่าๆ รอดมาวันนี้ได้ก็ปลอดภัยแล้วล่ะ ลืมไปแล้วเหรอว่าเราเป็นใคร? เราคือ ‘ฉาย’ หนึ่งในแฝดนรกในตำนานเชียวนะ” ผมยิ้มให้เธอสบายใจ แล้วลูบหัวเธอเบาๆ เหมยก็ใช้มือทุบอกผมอีกที
“ถามจริงๆ เมื่อกี๊มีเรื่องอะไรกัน หรือว่าพวกนั้นแซวเธอ?”
นี่เหมยยังคิดว่าผมยังไล่เตะปากพวกที่ชอบแซวอยู่อีกเหรอ? ฮ่ะๆๆ ไม่ใช่เรื่องแค่นั้นหรอกน่า
“ก็ไม่ใช่เรื่องเพิ่งมีเรื่องกันเมื่อกี๊หรอก...อ่า มันเป็นเรื่องตั้งหลายวันแล้วล่ะ” ผมยักไหล่ง่ายๆ แต่เหมยถึงกับตาโต
“อย่าบอกนะว่า...ที่แขนเป็นแบบนี้ก็เพราะ..”
“อื้ม”
“ทำไมเธอไม่บอก?! ถ้าเหมยรู้ เหมยไม่มีทางเรียกให้มาหาถึงที่นี่หรอก”
เห็นไหม? ผิดจากที่ผมพูดที่ไหน ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวเธอ และยิ้มให้อีกที
“ช่างมันเถอะน่า ก็มาแล้วนี่เนอะ ทำไงได้ ..วันนี้ขอบใจที่ช่วยนะ แต่เราต้องไปแล้วล่ะ เดี๋ยวมีเรียนอีก ไว้ค่อยเจอกัน”
“อื้อ กลับดีๆ ล่ะ ถึงคณะแล้วโทรมาบอกด้วยนะ จะได้รู้ว่ายังปลอดภัยดี” เธอโบกมือลาผมพร้อมกำชับด้วย
“จ้าๆ”
“อ๊ายยยยยย อีซันซัน! กูดีใจจริงๆ ที่เห็นมึงยังมีชีวิตอยู่ อีเพื่อนร้ากกก”
ทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในเขตของคณะวิศวะ เมย์บีก็วิ่งโร่กรีดร้องน้ำหูน้ำตาเล็ดหมายจะเข้ามากอดผมคล้ายลูกน้อยผวาเข้ามาหาแม่ที่ทิ้งมันไปหลายปี
“แอ้ก!!” แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวผมดี ก็ล้มหน้าคว่ำคะมำลงไปจับกบที่พื้นเนื่องจากแรงถีบ..
เปล่า ไม่ใช่ผมนะ แต่เป็นซินที่วิ่งตามหลังมันมาติดๆ ต่างหาก
“อีเอี้ยซิน!! มึงถีบกูทำไม? อีสันขวาน!”
“เดี๋ยวยางจะมาโดนน้องกู” ซินว่าแล้วเข้ามายืนแทนที่เมย์
“อีปลวก! กูไม่ใช่แมลงปอนะ จะได้ปล่อยยางใส่น้องมึงได้อ่ะ” อีเมย์ทุบพื้นประท้วงโดยที่ยังไม่ยอมลุก
ซินไม่สนใจแอคติ้งโวยวายของเมย์บี มันจับตัวผมหมุนซ้ายหมุนขวาเหมือนต้องการหาร่องรอยอะไรสักอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามงงๆ “มึงปลอดภัยดีใช่มั้ยห๊ะ ซันนี่? มึงไม่ได้เจ็บตรงไหนนะ? กูกำลังจะไปช่วยมึงอยู่พอดีเลย”
ผมพยักหน้าหงึกๆ ตอบมันไปแบบงงๆ เหมือนกัน พอเห็นแบบนั้นซินก็ยิ้มกว้างเลย ..ว่าแต่ช่วยอะไรวะ? แล้วพวกมันเป็นอะไรกันเนี่ย? มันก็รู้กันอยู่แล้วนี่ว่าวันนี้ผมจะกลับมาเรียน เมายางแมลงปอของอีเมย์บีกันหรือไง?
“มึงนี่แน่จริงๆ ว่ะ ซัน แขนพิการแบบนั้นยังจะกล้าไปลุยคนเดียวอีก กูล่ะนับถือใจมึงเลย” ไอ้กายที่เพิ่งเดินตามมาถึงพูดยิ้มๆ พร้อมกับยกมือขึ้นคาราวะผมตามแบบธรรมเนียมคนจีนบรรพบุรุษของมัน
“น้องกูๆ” ซินตบอกบอก สีหน้าภาคภูมิใจเต็มที่ “เจ๋งใช่เปล่า?”
“แหม~ แล้วเมื่อกี๊อีห่ารากตัวไหนมันร้อนรนจะเป็นจะตายให้ได้ ตอนที่รู้ว่าน้องมันบุกเดี่ยวเปรี้ยวตีนไปหาไอ้รูปหล่อฟ้าประทานถึงถิ่นห๊ะ?” เมย์ร้องเสียงแหลมแบบเย้ยๆ ซินมันเลยจะป้อนตีนให้กินอีกที แต่คราวนี้กะเทยไหวตัวทัน ออกไปยืนซะห่างเลย ฮ่ะๆๆ
อ้อ เรื่องนี้เองสินะ ว่าแต่ทำไมข่าวมันถึงได้มาไวกว่าตัวผมได้ล่ะเนี่ย?
“พวกมึงรู้ได้ไงเนี่ยว่ากูไปไหนมา?”
“เพื่อนสาวกูโทรมาบอก” เมย์บีเฉลย “มันบอกว่ามึงก้านคอฟ้าประทานซะหงายเงิบไปเลย วะฮะฮ่าๆๆ เพื่อนซันของกูสุดยอดชิบหาย” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างเสียจริต ตบมือชอบอกชอบใจใหญ่
“น้องกูไง น้องกู”
“ถึงมันจะหล่อก็เหอะ แต่เอี้ยแบบนี้เอาไว้ไม่ได้! กล้าดียังไงถึงมาถีบกลางยอดหน้าสุภาพกะเทยอย่างกู? แล้วไม่มีจูบด้วยนะ ข้อนี้แหล่ะที่กูเคืองที่สุด!” อีเมย์กระทืบเท้าฮึดฮัดไม่พอใจเมื่อนึกถึงความแค้นอันแสนยิ่งใหญ่ของมัน เหอๆ
“น้องกูๆ” ไอ้นี่ก็ยังไม่หยุดอวดอีก
จะบ้าตาย แต่ละคน..
หลังจากนั้นก็ไม่ผิดจากที่ผมคิดไว้มากนัก ทั้งเรื่องที่ไอ้หัวหงอกนั่นกระทืบผม ทั้งเรื่องที่ผมไปสอยมันร่วงกลางคณะของมันเอง วีรกรรมของผมดังกระฉ่อนไปทั่วคณะและมหาลัยภายในเวลาอันรวดเร็ว ..ในฐานะตำนานบทใหม่ คนที่สามารถโค่นตำนานเดือนเดือดอย่างไอ้ฟ้าประทานลงได้
ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ภูมิใจหรอกนะ ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นแต่ก็มีแอบภูมิใจอยู่ลึกๆ เหมือนกัน แต่ส่วนหนึ่งในสามัญสำนึกของผมมันร้องเตือนอยู่ตลอดเวลาว่าอันตรายใหญ่หลวงกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ถึงสองสามวันมานี้จะยังสงบสุขอยู่ แต่ผมค่อนข้างจะแน่ใจว่าคนอย่างไอ้หงอกฟ้าประทานไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ หรอก
ผมว่ามันคงจะมาเอาคืนเร็วๆ นี้แหล่ะ
ช่วงวันสองวันนี้ก็มีคนแวะเวียนมาทักทายผมมากขึ้น มีเด็กจากคณะอื่นมาแอบเมียงๆ มองๆ ถามหาว่า ‘ซันซัน’ คือคนไหน? และใครที่ใจกล้าหน่อยก็เข้ามาขอถ่ายรูปด้วยก็มี ส่วนซินเซียร์ สกาย เมย์บี ก็เกาะหนับติดหนึบอยู่กับผมไม่ยอมห่างอย่างกับเป็นบอดีการ์ดก็ไม่ปาน ทางแบรี่ก็แวะเวียนมาดูผมแทบทุกวันว่ายังดูดีครบสามสิบสองไหม? หลังจากที่เทศนาผมไปชุดใหญ่ในวันที่ไปก่อเรื่องมา เหมยเองก็โทรมาถามไถ่เรื่อยๆ เหมือนกัน..
วีคแรกผ่านไป.. ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเกิดเหตุการณ์วิบัติภัยอะไรกับผม ทุกคนก็เลยเริ่มจะวางใจในสวัสดิภาพความปลอดภัยของผมมากขึ้น และเริ่มกลับไปใช้ชีวิตตามปกติของแต่ละคน
ซินมันไปตามหาหญิงคนใหม่หลังจากหมดความสนใจในตัว ‘พลอย’ ซึ่งเป็นชนวนหัวเชื้อของการเกิดเรื่องในครั้งนี้ ..ไอ้กายก็...เห็นมันพา ‘คุณหนู’ ของมันซ้อนท้ายซีแก่ร่อนไปร่อนมา ท่าทางจะสมใจอยากแล้วมั้ง แต่ถึงคุณหนูคนนั้นจะทำใจนั่งซีแก่ของไอ้กายได้แล้วแต่ผมก็ว่ามันน่าจะหมดโปรโมชั่นเร็วๆ นี้แหล่ะ ไอ้นี่มันเคยคบใครนานที่ไหน
ส่วนอีเมย์บีน่ะเหรอ? มันก็แรดของมันไปวันๆ เหมือนที่ผ่านมานั่นล่ะ
แบรี่เองก็งานยุ่ง ทั้งงานภาค งานสโมฯ ไหนจะงานตัวอีก แต่ถึงตัวจะไม่ได้มาก็ยังอุตส่าห์ส่งเสียงตามสายมาเช็คความเป็นอยู่ของผมได้ทุกวัน
และผมเองก็เริ่มจะคลายใจเหมือนกัน บางทีไอ้หงอกนั่นมันอาจจะหลับไปแบบไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และพอตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ สมองเบลอ เอ๋อแดก หรืออะไรประมาณนั้นหรือเปล่า? มันถึงได้เงียบมาจนป่านนี้
แต่ถ้ามองโลกในแง่ร้ายหน่อย ที่เห็นมันเงียบๆ ไปอาจจะกำลังคิดวางแผนร้ายอะไรอยู่เปล่า? ..ก็สุดแท้แต่จะคาดเดา
พอเริ่มเข้าวีคที่สองของการสร้างตำนาน.. ผมก็เหมือนจะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทและตอบรับคำชวนไปงานวันเกิดของเพื่อนในเสคที่ผับแห่งหนึ่ง
และจากที่นั่นเองที่ทำให้ผมรู้ซึ้งว่า..
คนอย่าง ‘ฟ้าประทาน ทามิยะ’ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนเขาลือกัน
แต่มันเลวนรกส่งมาเกิดเลยเหอะ!! TBC. 
*อิปป้ง - ใช้ขานเวลาได้ 1 คะแนนในกีฬาคาราเต้ นะจ๊ะ