ตอนที่ ๗
ลมร้อนอ้าวๆกลางเดือนมิถุนายนหอบความชื้นที่ชวนให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะตัว ฤดูฝนกำลังมาเยือนบ้านเดิมบางอีกคราหนึ่งพร้อมกับที่ต้นข้าวในนาของอโณชาเริ่มตั้งท้อง ใบข้าวคมเรียวโบกพลิ้วตามแรงลมรอรับลมฝนที่กำลังจะมาในไม่ช้า
หลังจากที่เมฆินทร์กลับไปดูข้าวในนาของตนเองที่กำลังออกรวงอยู่เช่นกันเสร็จ ชายหนุ่มก็เลยมาที่ที่นาของอโณชาหร้อมกับยิ้มน้อยๆให้กับกอข้าวเขียวขจีเหล่านั้น
“พี่เมฆ ผมมาแล้วครับ”เสียงใสของชายหนุ่มดังมาแต่ไกลบนหลังควายตัวโตที่ดูขัดแย้งกับขนาดร่างกายของเจ้าของ ที่ข้อศอกของชายหนุ่มยังมีรอยของยาแดงที่ทาเอาไว้เมื่อตอนที่หัดขึ้นขี่หลังควายใหม่ๆแล้วพลัดตกลงมา สร้างความน่าสงสารปนน่าเอ็นดูเมื่อหนุ่มกรุงเทพอย่างเขาอุตริคิดจะขึ้นขี่ควายแทนจักรยานขึ้นมาเสียดื้อๆ
ในมือของชายหนุ่มถือชะลอมใบจ้อย ภายในชะลอมน่าจะมีพวกเครื่องบวงสรวงตามรายการที่เมฆินทร์ได้บอกไว้เมื่อวาน ชายผิวขาวเนียนบนหลังควายชูชะลอมในมือด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “ผมเตรียมมาพร้อมแล้วครับ”
“ไหนให้พี่ดูซิว่าครบมั้ย” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับหยิบชะลอมใบนั้นออกมาดู ภายในมีกล้วย อ้อย ถั่ว งา หมากพลู และมะยมอย่างล่ะหนึ่งคำ
อโณชาโดดลงมาจากหลังควาย ก่อนจะปัดแข้งปัดขาพอเป็นพิธี “แล้วทีนี้ผมต้องทำยังไงบ้าง”
“ตามพี่มาสิ”
เมฆินทร์คว้าเอาท่อนไม้ไผ่ขนาดเหมาะมือแถวๆนั้นมา ก่อนจะเดินนำอโรชาไปที่คันนาและปักไม้ไผ่ท่อนนั้นลงไป จากนั้นก็แขวนชะลอมใส่เครื่องบวงสรวงที่ปลายอีกด้านของไม้ไผ่ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังยืนมองด้วยความสนใจ ก่อนที่ผู้เป็นครูจะหันมายิ้มให้
“เอาล่ะ ทีนี้ตาเราแล้ว ยกมือไหว้พระแม่โพสพ แล้วก็พูดดีๆกับท่าน อยากให้ข้าวที่จะออกมาเป็นยังไงก็ขอท่าน เป็นอันเสร็จพิธี”
“ง่ายๆแบบนี้เลยหรอ”
“อื้ม แบบนี้แหละ ปู่ย่าตายายของเราก็ทำกันแบบนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นพนม “พระแม่โพสพครับ ขอให้ข้าวของลูกออกรวงงอกงาม ให้ได้ผลผลิตเยอะๆ เก็บเกี่ยวได้มากๆ อย่าได้เจ็บอย่าได้ป่วย เพลี้ยไรอย่าได้มากัดกินเลย สาธุ”
สองมือที่ประนมอยู่ยกขึ้นเหนือหัว จนคนที่ยืนอยู่ข้างๆอดขำไม่ได้
“ขำอะไร พี่เมฆ ตัวเองเป็นคนบอกให้เค้าทำนะ”
“เปล่า พี่ไม่ได้ขำเรื่องนั้น”ชายหนุ่มยิ้ม
“แล้วอะไรล่ะ”
“พี่ก็แค่....เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก”
“มีสิ”
“ฮ่าๆ โอเค ก็คือว่า ปกติน่ะ ผู้ชายเค้าไม่ค่อยทำขวัญข้าวกันเองหรอก เค้าเชื่อกันว่า แม่โพสพน่ะ เป็นผู้หญิง เค้าก็เลยมักจะให้ผู้หญิงมาทำกันเพราะผู้หญิงจะสื่อสารกับผู้หญิงได้เข้าใจมากกว่า”
“เฮ้ย .... แล้วทำไมพี่เมฆไม่บอกผมเล่า”
“ก็พี่เห็นโนอยากทำ พี่ก็เลยไม่ห้ามไง ....แล้วก็” ชายหนุ่มเว้นช่วง ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “พี่ว่าโนก็น่ารักไม่แพ้สาวๆที่ไหนหรอก”
แก้มขาวเนียนของอโณชาเปลี่ยนสีเป็นแดงระเรื่อ ความลับเกี่ยวกับเพศสภาพของตัวเองเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มพยายามปกปิดไม่ให้ใครรู้ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่า เรื่องรักร่วมเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนสำหรับสังคมชนบท แต่เมื่อมาได้ยินคำพูดที่เหมือนบทเกี้ยวพาราสีอยู่กลายๆ ก็ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะเขินไม่ได้อยู่เหมือนกัน
“พี่เมฆก็พูดมาได้นะ กลางทุ่งแบบนี้ฟ้าจะผ่าเอาง่ายๆนะครับ” ชายหนุ่มหันหลังขวับซ่อนแก้มแดงๆของตัวเอง แต่ถึงกระนั้น ท่าทางแง่งอนของชายหนุ่มกลับเป็นการกระตุ้นต่อมหมั่นเขี้ยวของไอ้หนุ่มบ้านนาตัวเข้มอย่างเมฆินทร์ ให้กระทำการขัดแย้งต่อคำห้ามปรามของอโณชาแทน
“พี่ทำอะไรกันโน ถ้าพี่ทำแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าบัดสี”
ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างโอบรัดหนุ่มกรุงเทพไว้จากด้านหลังจนเจ้าของร่างกายนั้นสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ในขณะที่อีกฝ่ายก็อยู่ในความรู้สึกมึนๆระคนอายอยู่เหมือนกันที่กล้าทำอะไรแผลงๆกลางทุ่งนาเช่นนี้ หากแต่.... คนที่ได้ทำลงไปแล้วนั้นก็รู้สึกดีไม่ยิ่งหย่อนกับการได้ทำเช่นนี้
“พี่เมฆ ทำอะไรน่ะ!!”
แขนแกร่งทั้งสองข้างของเมฆินทร์คลายออกช้าๆอย่างนึกเสียดาย หากแต่สัมผัสและกลิ่มหอมอ่อนๆจากแชมพูของชายที่เคยอยู่ในวงแขนยังคงติดตรึงอยู่ในลมหายใจของชายหนุ่มจนแทบจะเผลอกระชับวงแขนนั้นอีกครั้ง
“แหม พี่ก็แค่หยอกเล่นเฉยๆ”
สีหน้าของอโณชาซีดลงหากแต่ยังเจือสีแดงระเรื่อเอาไว้ การหยอกเล่นของเมฆินทร์ทำให้ชายหนุ่มเขินอายระคนกลัว ชายหนุ่มคิดในใจว่า หากเมฆินทร์รู้ความจริงที่อโณชาปกปิดเอาไว้ พี่ชายที่แสนดีคนนี้จะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า
ไออุ่นจากวงแขนของหนุ่มบ้านนอกยังทำให้หนุ่มเมืองกรุงรู้สึกได้แม้วงแขนจะคลายออกไปแล้ว อโณชายังคงยืนนิ่งหลังจากการแลกสัมผัสแห่งร่างกายที่เหมือนจะเป็นการหยอกล้อกันระหว่างผู้ชายทั้งสองคน
ลมทุ่งพัดวูบให้ใบข้าวเอนไหวอีกครั้ง พร้อมกับที่ทั้งคู่แยกจากกันโดยที่ยังไม่ได้มองหน้ากัน
“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะครับ”
หนุ่มบ้านนายิ้มกว้างอย่างเอ็นดู ก่อนจะแตะไหล่ลู่ของคนตรงหน้าเบาๆ หากแต่คนตรงหน้ากลับสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งจนเมฆินทร์นึกหมั่นเขี้ยวจนแทบจะกอดหนุ่มเมืองกรุงอีกครั้ง
“อืม ไปสิ อยู่ที่นี่นานๆอาจจะโดนฟ้าผ่าตอนกลางวันจริงๆก็ได้เนาะ”
.
.
ยามเย็นที่บ้านผู้ใหญ่มั่น เสียงขลุ่ยแว่วหวานจากฝีมือของหนุ่มบ้านนาผิวเข้มที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ โดยมีควายสาวหลับตาพริ้มเหมือนจะเคลิบเคลิ้มนอนอยู่ข้างๆ
“โฉมเอ๋ยสะอางแม่นางท้องทุ่ง
โสภายิ่งกว่านางกรุง หมายมุ่งยลโฉมน้องนาง
บ้านนาอย่างนี้แม่ยังโสภีสล้าง
เอมอิ่มปรางดั่งนางฟ้า ลอยมาอวดโฉมลาวัลย์
สวยเอ๋ยรวงทองน่ามองลิบลิ่ว
เห็นแนวกอไผ่เป็นทิว ลิบลิ่วสดสีอำพัน
ใคร่จะป่าวร้อง ข้าวรวงสีทองใครปั้น
มือแม่นางบอบบางนั้น กำเคียวเกี่ยวข้าวในนา
ใบข้าวคมเรียวเกี่ยวแก้มเป็นรอย เลือดย้อยนวลปราง
ยิ่งงามไม่สร่างประทับใจข้า
นางน้องบ้านนาโสภาล้ำเลิศ
เสียทีแม่เกิดห่างไกลคนมอง
หอมเอ๋ยมาลัยทั่วในแคว้นด้าว
หอมเดียวไม่เหนี่ยวใจน้าว เหมือนกลิ่นสาบสาวเนื้อทอง
ใคร่เอาความรักพี่เป็นเหมือนกำแพงป้อง
โลมประคองตระกองขวัญ รำพันแอบน้องบ้านนา”... (น้องนางบ้านนา : สมยศ ทัศนพันธ์)
“เขินว่ะอีแฉะ ...ข้าทำแบบนั้นลงไปได้ยังไงวะ” ชายหนุ่มรำพันกับควายคู่ใจ พลางกอดขลุ่ยไว้แนบอก ก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าก็...อยากกอดเจ้าโนมันอีกเหมือนกันนะ คนกรุงนี่ก็ตัวหอมดีเหมือนกัน”
เมฆินทร์ลุกขึ้น พลางใช้มือลูบตัวควายแคระที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาดม
“หรือข้าจะชินกับกลิ่นของแกวะอีแฮะ พอได้กลิ่นหอมแปลกๆ ก็เลยติดใจเป็นพิเศษ...ละมั้งเนาะ”
ควายแฉะเอี้ยวคอขวับไล่ยุงที่ดูเผินๆเหมือนมันกำลังค้อนผู้เป็นนายอย่างน้อยใจที่พร่ำพรรณนาถึงหนุ่มเมืองกรุงที่เพิ่งจะมาอยู่เดิมบางได้ไม่นาน และไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มนุษย์ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ อีแฉะที่เกิดเป็นควายของเมฆินทร์จึงต้องอดรนทนฟังผู้เป็นนายพร่ำเพ้อถึงหนุ่มเมืองกรุงอย่างเลี่ยงไม่ได้
และหากควายเข้าใจมนุษย์ ฟากหนึ่งที่บ้านของนางฉลวย ไอ้รอดคงจะกำลังเฝ้ามองเจ้าของผู้มีพระคุณอย่างใคร่รู้ว่าผู้เป็นนายกำลังคิดอะไรอยู่ที่ใต้ถุนเรือนกันแน่
อโณชากำหญ้าในมือหลวมๆปล่อยให้ไอ้รอดโน้มคอลงมากินเหมือนทุกวัน ต่างออกไปที่วันนี้เขาดูใจลอยกว่าวันไหน จนไอ้รอดต้องส่งเสียงทำให้รู้สึกตัว
“โม!!!!”
“อะไรของแกฮึ ไอ้รอด”
ชายหนุ่มหันมาดุควาย พลางรู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่มือ จึงได้อุทานออกมา
“อ้าว หญ้าหมดแล้วหรอ” ชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบหญ้าที่วางอยู่อีกฝั่งมาป้อน ก่อนจะบ่นอย่างเอ็นดู “แกนี่มันเสียชาติควายจริงๆนะเนี่ย กินเองไม่เป็นแล้วหรือไง ถึงต้องให้ชั้นป้อนเนี่ย”
“ไอ้รอดมันคงเห็นคุณโนเหม่อๆมั้งคะ เลยร้องให้คุณตื่น” นางทองเอ่ยขึ้นพร้อมกับนำขันเงินใส่น้ำมาวางข้างๆ “เหนื่อยมั้ยคะวันนี้ เป็นยังไงบ้าง”
“เอ่อ วันนี้หรอครับ” ชายหนุ่มครุ่นคิด ภาพตัวเองถูกกอดโดยไม่ทันตั้งตัวสว่างขึ้นในมโนภาพจนเจ้าตัวหน้าแดง “ก ...ก็ดีครับ”
บ่าวทองนิ่วหน้าอย่างสงสัย ก่อนจะแซวผู้เป็นนาย “วันนี้คุณโนทำตัวพิลึกๆ หากเป็นสาวเป็นนางล่ะก็ ทองคงเดาว่าวันนี้คุณโนไปโดนไอ้หนุ่มที่ไหนเกี้ยวมาแน่ๆ”
อโณชาหน้าแดงหนักขึ้น จนเผลอเสียงดัง “ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย!!”
“คุณโนนี่ยังไง ก็อิฉันบอกว่าถ้าเป็นผู้หญิงนี่คะ ตกใจอย่างกับโดนจับได้อย่างนั้นแหละ”
“ก็....” อโณชาอ้ำอึ้งและพยายามเปลี่ยนเรื่อง “แล้ววันนี้ข้าวเย็นเป็นอะไรครับเนี่ย”
“มีแกงส้มดอกกับป่นปลาช่อนน่ะค่ะ จะกินเลยมั้ยคะเดี๋ยวทองไปยกมาให้เลย”
“ก็ดีครับ กำลังหิวเลย”
บ่าวทองลุกจากไปด้วยรอยยิ้ม ทิ้งผู้เป็นนายถอนหายใจเฮือกใหญ่เบื้องหลัง
“พี่เมฆนะพี่เมฆ เพราะพี่คนเดียวเลย มาแกล้งกันแบบนี้” ชายหนุ่มบ่นลอยๆ ก่อนจะหันมาดุควายอย่างไม่มีเหตุผล “แกก็ด้วย
อโณชาทรุดลงนั่งอีกครั้ง ก่อนจะลูบหัวไอ้รอดเบาๆ “ชั้นมีอะไรจะบอก แกรู้แล้วแกอาจจะรับไม่ได้ก็ได้นะ ที่จะให้ชั้นเป็นนายของแก ...แต่แกเป็นควายนี่นาแกคงไม่อคติเหมือนพวกมนุษย์หรอก .... อันที่จริงชั้นไม่ใช่ผู้ชายเต็มร้อยหรอก ชั้นมันพวกชอบผู้ชายด้วยกันน่ะ”
“โม....” ไอ้รอดส่งเสียงว่ามันรับฟังอยู่ จนอโณชายิ้มออกมาได้
“แล้วทีนี้ทำไมแกรู้หรือยังว่าทำไมชั้นต้องเขิน ต้องตกใจตอนนั้นน่ะ และถึงชั้นจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เมฆ แต่คนอย่างชั้นน่ะ เวลาโดนผู้ชายมากอดมาถูกเนื้อต้องตัว มันก็มีหวั่นไหวกันมั่งแหละ คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน”
รอบคอของไอ้รอดถูกแขนทั้งสองข้างของอโณชาโอบไว้ ก่อนจะกระซิบข้างหูเบาๆ “ขอกอดหน่อยสิ ไอ้รอด แกก็เป็นควายตัวผู้นี่นา แล้วแกก็น่าจะไว้ใจได้ด้วย ส่วนมนุษย์ผู้ชายน่ะ ...ชั้นยังแหยงๆอยู่เลย เจ็บแล้วต้องจำนี่เนอะ รอดเนอะ”
.
.
“โน โน!” เสียงเรียกของเมฆินทร์ดังมาจากหน้าบ้านทำให้ชายหนุ่มต้องชะโงกหน้าออกมาดู
“อ้าวพี่เมฆ ไปยังไงมายังไงถึงมาหาผมที่นี่ล่ะ”
“คิดถึงล่ะมั้ง”
“เอ๊ยพี่เมฆฟ้ามาครึ้ม จะผ่ามั้ยนั่น”
“ฮ่าๆ เรานี่ ดักคอแบบนี้ทุกที กลัวอะไรนัก พี่ก็แค่หยอกขำๆ”
“กลัวฟ้าผ่าไง”
“โธ่ โนก็” เมฆินทร์บ่นด้วยความแอบเสียดายอยู่ลึกๆ
“ว่าแต่ทำไมมาหาผมที่นี่ล่ะครับ”
“อ้อ คืองี้ วันนี้มีเกษตรอำเภอคนใหม่ย้ายมาที่นี่น่ะ เลยว่าจะชวนโนไปดูกัน”
“อ้อ งั้นหรอครับ ไปสิไป “
.
.
ศาลาประชาคมในหมู่บ้านมีชาวบ้านมารออยู่พอสมควร มองไกลออกไป ทั้งคู่มองเห็นชายหนุ่มในชุดราชการสีกากียืนที่ด้านหน้ากระดานดำเหมือนกำลังอธิบายความรู้แก่เกษตรกรและชาวบ้านอยู่
“เหมือนยังเด็กๆอยู่เลยนะครับเนี่ย ท่าทางจะไฟแรง”
“คงงั้นแหละมั้ง เข้าไปดูกันมั้ย”
“อื้ม”
อโณชากับเมฆินทร์เดินเข้าไปในศาลา ในขณะที่เกษตรอำเภอหนุ่มพักเบรกพอดี และแวบเดียวที่ตากลมโตคู่นั้นมองปราดมายังผู้มาใหม่ เกษตรอำเภอหนุ่มก็ปราดเข้ามาหาทั้งคู่ทันที
“พี่เมฆใช่มั้ยเนี่ย”
“อ้าว นึกว่าใคร หน่องนั่นเอง”
“รู้จักกันหรอครับ” อโณชาถามด้วยความสงสัย
“อื้ม รุ่นน้องสมัยเรียนน่ะ” ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน “โนนี่หน่องนะ ส่วนหน่อง นี่โน เป็นน้องพี่เอง”
“เอ๋ ....น้องหรอ” เกษตรอำเภอคนใหม่มองอโณชาอย่างพินิจพิเคราะห์ “ดีใจจัง ผมก็นึกว่าแฟนซะอีก”
“คุณหน่องว่ายังไงนะครับ!!” อโณชาอุทานสุดเสียง ในขณะที่เมฆินทร์ถึงกับหน้าถอดสี
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะครับ” ชายหนุ่มในชุดสีกากีหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะหันมาพูดกับเมฆินทร์ “นี่พี่เมฆ เลี้ยงข้าวน้องซักมื้อสิ ต้อนรับสู่บ้านเดิมบางไง”
“อ่ะ ...เอ่อ ก็ได้” ชายหนุ่มอึกอัก ก่อนจะหันมาชวนอโณชา “โนก็มาด้วยกันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่กับหน่องไม่ได้เจอกันนาน คงมีเรื่องคุยกันเยอะ ผมไม่กวนดีกว่า”
“กวนเกินอะไรกัน เพื่อนๆ น้องๆกันทั้งนั้น”
“ไม่ได้อยากเป็นแค่น้องซะหน่อย”
“หน่อง! เลิกแซวพี่แบบนี้ได้แล้ว”
“โธ่ พี่เมฆนี่ยังจริงจังเหมือนเดิมเลยนะ” ชายหนุ่มอมยิ้ม “แต่พี่เมฆก็น่ารักตรงนี้แหละ”
หนุ่มบ้านนาส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะจบบทสนทนาลง “พี่ไปก่อนดีกว่า เอาเป็นว่าไปเจอกันที่บ้านพี่เย็นนี้นะ”
“อื้มได้ครับพี่เมฆ แล้วเจอกัน”เรื่องทำขวัญข้าว แต่ละที่ก็จะมีวิธีแตกต่างกันไปครับ
แต่ใจความก็คือเหมือนกับเป็นการบอกกล่าวแม่โพสพ ให้ข้าวออกรวงงอกงาม อะไรประมาณนั้น
แต่ในสมัยใหม่ที่มีการจัดเป็นพิธีใหญ่โตขึ้นมา เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนทำไงครับ
เค้าเลยจัดขึ้นมาเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีด้วย
อ้อ มีคนท้วงมาทางหลังไมค์ เรื่อง Time Line ซึ่งผมลองเช็คแล้ว
สรุปคือ ผมพลาด(อีกแล้ว) จริงๆนั่นแหละครับ
ดังนั้น ขอกลับไปแก้ตอนแรกๆ ที่บอกว่า โนไปเจอจอนที่ผับตอนงานเลี้ยงฉลองยอด เป็นแค่ไปเจอกันที่ผับนะครับ
ขอโทษด้วย และขอบคุณพี่สาวสุดสวยที่ช่วยท้วงมาหลังไมค์ แต่เพิ่งมาตอบ เพราะเพิ่งจะว่างได้ตอบเมนท์ยาวๆ แหะๆ
ตอนนี้พี่เมฆเริ่มออกลายแล้ว ไม่รู้จะถูกใจกันหรือเปล่า แต่เหมือนจะมีตัวป่วนโผล่มาอีกคน
เอาใจช่วยกันต่อไปนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ