ข้าน้อยขอยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว

แต่มีคนอ่านคนนึงยุให้เขียนแบบนี้อ่ะขอฟ้อง

+++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 55
“เราอยู่ได้นะติง....อาจจะสุขน้อยไปหน่อย แต่ทุกข์มันก็ลดลงไปเยอะละ...ยังไม่ตายติง ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของผมคงเสแสร้งมากไปหน่อย หรือไม่ก็เบาไปนิด ติงไม่พูดอะไรเลยเงียบสนิท นี่ผมเลยทำให้การคุยของเรากร่อยไปเลยหรือเปล่า ผมเลยเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า
“ติงมีแฟนรึยัง.....มีได้แล้วนะอยู่คนเดียวมันเหงานะ”

ผมไม่อยากให้เพื่อนเหงาเหมือนกับผม ผมเองก็ห่วงติงเหมือนกัน มีคนมาจีบเยอะมากๆ แต่ก็ไม่เห็นถูกใจใคร ตอนที่เรียนโทด้วยกันผมกับบุ้งต้องกลายเป็นไม้กันหมาไปก็ตั้งหลายหน กันคนที่ไม่มีคุณสมบัติพอที่มาจีบติงน่ะครับ
“ติงฟังเราอยู่รึเปล่าทำไมเงียบไป”
แล้วติงก็พูดออกมาเบาๆ “โอม.....เธอยังมีเรานะโอม”
ผมไม่รู้หรอกว่าคำนี้มันกินความหมายขนาดไหน แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีทีเดียวครับ แค่มีแค่ซักคนที่เห็นเรามีค่าก็พอใจแล้วครับ

“อีกหน่อยมีแฟนแล้วก็จะลืมเพื่อนอย่างผมนะซิ ไอ้อ้วนนั่นว่าไงบ้างโอเคกะเค้าไปยัง”
“อิอิ นี่ไอ้อ้วนที่เธอว่าน่ะเจ้านายเรานะโอม....หึหึไม่เอาหรอก มีเมียแล้วยังมาเที่ยวหว่านเสน่ห์ ไม่ไหวเลยผู้ชายสมัยนี้เห็นเราเป็นของเล่นไปได้”
“เรากลัวเค้าจะไม่เล่นๆเค้าจะจริงๆนะซิ...น่ากลัวออก....เปลี่ยนงานดีกว่ามั๊งติง”
“ยังไม่เปลี่ยนหรอกยังสนุกกับงานอยู่โอม....ไม่ต้องห่วงเราหรอก”
“ถ้าหาไม่ได้ดีก็อยู่เป็นเพื่อนโอมไปเรื่อยๆแบบนี้ดีกว่า” น้ำเสียงของติงที่พูดฟังดูปลงๆยังไงไม่รู้

“แล้วนี่โอมทำอะไรอยู่ติงกวนรึเปล่า”ผมหัวเราะขำๆๆ 55555

“ขำอะไรโอม....อยู่ดีๆก็หัวเราะบร้ารึเปล่า” ผมปวดท้องเลยครับขำความคิดตัวเอง คุยไปผมก็หัวเราะไปด้วย

“เปล่าหรอกติง หึหึหึ เมื่อกี้ที่ติงถามว่าติงกวนรึเปล่า เราฟังผวนเป็นกวนตีงรึเปล่า 5555”

“โอมน่ะบร้าาา 5555”

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศดีขึ้นทันตาเลย
“สายไปแล้วติง กว่าติงจะรู้ตัวว่าคบคนบร้าอยู่ คนบร้านี่ก็ไม่ปล่อยติงแล้ว”
“ไม่เป็นไรเพราะติงก็คงบ้าด้วย ถึงได้คบกันได้ หึหึหึ แล้วตกลงทำอะไรอยู่นอนรึยัง”
“เราอ่านหนังสืออยู่น่ะ แต่คุยก่อนดีกว่า อ่านหนังสืออ่านเมื่อไหร่ก็ได้” ผมพลิกๆดูหนังสือที่อ่านไปเล่นๆ
“โอมวันก่อนติงเจอพี่คมด้วยนะ......เค้าบอกว่าพี่ต่า....”ติงยังพูดไม่จบหรอกครับ แต่ผมไม่อยากฟังแล้วถ้าคุยเรื่องนี้ ผมเลยขัดขึ้นมายอมเป็นคนไม่มีมารยาทดีกว่า
“ติงเราเริ่มง่วงแล้วล่ะขอโทษนะ....ขอไปนอนก่อนดีกว่า”
“โอมน่ะ....ทำไมเป็นแบบนี้”

เสียงของติงที่ตัดพ้อก่อนจะวางสาย เหมือนจะยังติดอยู่ในหูผมถึงแม้จะวางหูไปนานแล้ว ผมก็เป็นแบบนี้แหล่ะได้แต่ยิ้มแค่นๆให้กับคัวเอง ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ผมก็คงอยู่ในความคิดวนๆเวียนๆเรื่องนี้ไม่มีวันเลิกรา แล้วมันจะมีอะไรดีกับชีวิตผมขึ้นมา
ในวันที่พี่ต่ายตัดขาดการติดต่อกับผมพี่ต่ายเค้ายังทำได้ทันทีเลย อย่างของผมเนี่ยไม่เรียกว่าหักดิบแบบพี่ต่าย แต่เรียกว่าเข้าบำบัดถ้ำกระบอกค่อยๆคายพิษออกมามากกว่าแล้วก็ท่องคาถากันใจอ่อนไปด้วย มันก็คงจะช่วยให้ทั้งร่างกายและจิตใจค่อยๆแข็งแรงขึ้น ถึงแม้ว่าพิษของความรักมันจะฝังลึกในใจยากที่จะถอนเหมือนยาเสพติด แต่ผมก็กำลังพยายามครับ ทำไงได้ผมมันเสพติดความรักจากพี่ต่ายไปแล้วนี่
ถึงแม้ไม่มีรักจากคนรัก แต่ชีวิตเราก็ยังต้องดำเนินต่อไป ไม่มีใครมาช่วยใครให้เลิกเจ็บปวดจากความรักได้หรอกครับ นอกจากตัวเราเอง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้ตอนเช้าผมออกไปใส่บาตรปีใหม่กับป๋าและแม่ เป็นปีแรกในรอบๆหลายปีที่ผ่านมาครับ ก่อนหน้านั้นก็มีเหตุตลอดไม่ได้จังหวะซักที อากาศเย็นสบายกับการฟังพรจากพระในวันขึ้นปีใหม่ก็ทำให้จิตใจผมสงบขึ้น พอใส่บาตรเสร็จเราก็ค่อยๆเดินกลับบ้าน เดินกันไปคุยกันไปพ่อแม่ลูก
“ป๋าแม่ครับ...โอมขอพรปีใหม่หน่อยครับ” ตามประสาลูกคนเล็กน่ะครับผมชอบอ้อนแบบนี้แหล่ะ
“โอม....ปีใหม่แล้วแม่กับป๋าขอให้ลูกมีความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง มีแต่เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตนะลูกนะ” แล้วแม่กับป๋าก็สวมกอดผม กลางทางเดินนี่แหล่ะครับแม่ลูบหัว ลูบหลัง ผมเบาๆ แล้วก็ยังอวยพรผมต่อ
“ต่อนี้ไปลูกของแม่จะมีแต่รอยยิ้มนะลูกเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจขอให้มันหมดไปนะลูกนะ”
แค่นี้ผมเองก็มีความสุขแล้วครับ ยิ้มแรกในปีใหม่นี้ผมยิ้มให้กับคนที่รักผมมากที่สุดเหมือนกันครับ พอเห็นรอยยิ้มของแม่ผมก็รู้สึกว่าปีใหม่นี้ชีวิตผมคงต้องมีอะไรดีๆแน่ๆ
วันนี้ที่ร้านยังปิดอยู่ผมก็เลยว่างๆ ไปเจอหนังสือเล่มนึงที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอ่านเพราะชอบบอกตัวเองว่าเรายังไม่แก่ ไม่ต้องอ่านหรอกเดี๋ยวรอให้แก่ๆก่อนค่อยอ่านก็ได้ มีแต่คนที่แก่ๆโบราณๆเท่านั้นแหล่ะถึงจะอ่านกัน
แต่วันนี้หันไปหันมาเห็นหนังสือเล่มนี้วางฝุ่นเขรอะอยู่ ก็เลยลองหยิบขึ้นมาดูเล่นๆ
เป็นหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆหน้าปกสีชมพูมีตัวการ์ตูนเป็นรูปคนนั่งหันหลังเอาหัวชนกันดูพระอาทิตย์ตกดิน มีรูปหัวใจคล้องสองคนไว้ด้วยกันอยู่
ชื่อหนังสือ “สาระแห่งชีวิต คือรักและเมตตา” ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก วัดสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ท่านเป็นคนญี่ปุ่นครับ
หนังสือขึ้นต้นว่า “ชีวิตคือความรัก” ผมใช้เวลาอ่านไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็อ่านจบครับเพราะมีอยู่แค่ประมาณ100 หน้าแต่ บางหน้าก็เป็นรูปบ้าง เป็นคำโปรยบ้าง บางช่วงผมต้องใช้ความคิดตามอยู่นิดหน่อยเพราะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่บางตอนก็เข้าใจ โดนใจจนผมน้ำตาเอ่อไม่รู้ตัวก็ในส่วนของความรักของพ่อแม่น่ะครับ แล้วที่ชอบอีกบทนึงก็เรื่องความรัก
ชีวิตที่ปราศจากความรักไม่ใช่ชีวิต
สำคัญที่สุดในชีวิตคือความรัก
ความรักคือชีวิต ชีวิตคือความรัก
ความสุขของชีวิต เกิดจากความรัก
ความทุกข์ของชีวิต เกิดจากความรักเช่นกัน
ท่านกล่าวว่า อารมณ์รักเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เมื่อเราสามารถเริ่มต้นชีวิตคู่กับคนที่เรารักมากๆ เรารู้สึกสมหวังในความรัก โลกทั้งโลกสดใสสวยงามสำหรับเรา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ไม่แน่นอน อย่าหลงเชื่อในความรู้สึกรัก ซึ่งไม่แน่นอน เมื่อรู้ว่าอารมณ์รักเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราจึงไม่ควรใช้อารมณ์รักเพียงอย่างเดียวมาเป็นข้อตัดสินใจในการเลือกคู่ชีวิต
พออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมก็รู้สึกว่าผมก็ไม่ได้แก่ลงไปนี่กะอีแค่อ่านหนังสือธรรมะ แล้วก็คิดได้ว่า อะไรที่เราคิดว่ามันไม่เหมาะกับเรามันก็อาจจะเอาสิ่งดีๆมาให้ชีวิตเราก็ได้
เราน่าจะลองได้ลองเปิดโอกาสให้กับตัวเองดู แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าใจสบายอย่างที่สุด
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงสายๆพี่อิงพาผมไปดูที่ของลูกค้าที่จะปลูกบ้าน ที่ก่อสร้างก็ไม่ไกลมากขับรถเข้าไปไม่ลึกประมาณ สิบกว่ากิโลเมตรจากในเมืองก็ถึง ที่สวยอยู่ริมเขายังเห็นหมอกจางลอยอยู่บางเบาถึงแม้จะสายมากแล้ว
“เค้าเข้าใจหาที่เนอะ เค้าซื้อมานานแล้วแล้วเหรอพี่อิง หรือเพิ่งซื้อ”
ผมยังชอบที่นี่เลย อากาศดีแล้วก็ไม่ไกลมาก เดินๆดูมีต้นไม้ใหญ่อยู่บ้างแล้วคงต้องทิ้งไว้เหมือนเดิมไม่อยากไปตัด
“รู้สึกว่าที่ซื้อหลายปีแล้วนะ 2-3 ปีนี่แหล่ะ เค้าอยากปลูกบ้านไว้อยู่กับแฟนน่ะ เค้าบอกพี่ว่าไม่ต้องใหญ่มาก แต่ให้เรียบๆสบายๆ โอมทำเต็มที่เลยนะ แต่เรื่องก่อสร้างช่างจิตรค่อนข้างไว้ใจได้ ดูเรื่องรายละเอียดแล้วกัน ยังไงพี่ไม่ทิ้งไปเลยหรอก”
ความรู้เรื่องก่อสร้างของผมก็งูๆปลาๆล่ะครับ ผมแค่ผู้ช่วยดำเนินการมากกว่า ด้านเทคนิคพี่อิงต้องมาดูเองอีกที เรื่องแบบนี้ซี้ๆซั้วๆบ้านเค้าพังขึ้นมาผมก็รับไม่ไหวเหมือนกัน แต่พี่อิงงานเยอะผมก็เลยต้องช่วย แถมได้เงินแบบนี้ยิ่งสนุกกว่านั่งอยู่กับโต๊ะทำบัญชีเป็นไหนๆ
ดูแป๊ปเดียวก็กลับบ้าน กลางวันผมก็ไปทานก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมครับที่เคยทานกับพี่ต่ายเมื่อหลายปีก่อน แม่ถามผมว่า
“โอมทำไมไม่กินข้าวบ้านละลูก....ร้านมันคนเยอะนะ” ผมก็บอกแม่ไปว่า
“วันนี้ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่าน่ะแม่...นะแม่นะอยากกินเป็นพิเศษ”
ผมก็บ้าๆแบบนี้ล่ะครับ ทั้งที่ช่วงปีใหม่จะมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก ผมก็ยังอุตส่าห์ไปยืนรอได้อย่างใจเย็น ผมยังมีความสุขกับความทรงจำที่ดีๆกับพี่ต่ายครับ กินก๋วยเตี๋ยวไปผมก็นึกขำไปว่าผมเคยทำอะไรตลกๆไว้ที่นี่

อาแป๊ะคนนั้นก็ยังอยู่ครับดูแกก็แข็งแรงดี คงมีแต่ผมมั๊งแก่ลงไป หรือว่าอาแป๊ะแกแก่อยู่ตัวแล้วมั๊ง คงไม่แก่แก๊แก่ไปกว่านี้ได้หรอก ฮ่าๆๆๆ

วันนี้ผมตัดสินใจแล้วว่า ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ผมก็ยังรักพี่ต่ายได้เหมือนเดิม ไม่มีใครมาดึงความรักของผมกลับคืนไปได้
แต่ผมก็จะไม่ปิดกั้นตัวเองอีกต่อไป ผมพร้อมที่จะเจอกับคนใหม่ๆ และเรียนรู้กันไป เพราะอารมณ์รักมันเป็นสิ่งไม่แน่นอนครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พอเย็นๆพี่อั้มก็กลับมาถึงบ้านก็เลยสนุกสนานกันใหญ่ บุ้งกับน้องบีนก็มาแล้ว เราจัดทานข้าวกันในบ้านนี่แหล่ะครับ มีแต่พวกเราพี่ๆน้องๆ ผมรู้สึกสบายใจขึ้นคุยกันได้สนุกสนานดี
“พี่อั้มผมถามหน่อยดิ ใครๆเค้าไปเมืองนอกกันเค้าก็มีแฟนกลับมาด้วยทั้งนั้นแล้วพี่ไม่มีบ้างเหรอพี่”
คนถามน่ะบุ้งครับ ไม่รู้ว่าบุ้งมันจะไปอยากรู้เรื่องพี่อั้มทำไมครับ ผมชักเป็นห่วงพี่อั้มแล้วซิ หน้ายิ่งคล้ายๆผมอยู่ด้วย หุหุ เกิดบุ้งมันไปสนใจพี่ผมเข้าผมจะทำไงดี
“บุ้งเมิงไม่ต้องมายุ่งก็พี่กรูเลย...เดี๋ยวโดน”
ผมผลักบุ้งที่มันมาลอยหน้าลอยตามองพี่ผมอยู่ ไม่น่าไว้ใจมันเลย กะว่าไม่ได้พระเพื่อนจะเอาพระแพงเลยนะเมิง แต่พี่อั้มกลับไปโอบไหล่บุ้งมันครับ ผมละหวาดเสียวแทน
“โอมไปทำบุ้งแบบนั้นทำไม...ถามมาก็ไม่เห็นเป็นไร..พี่ก็เจออยู่คนกำลังจีบอยู่เป็นดาวมหาลัยเลยนะ อยากเห็นปะน่ารักสุดๆ”
ไอ้บุ้งมันหงอยกร่อยไปเลยครับ 555 ผมละสมน้ำหน้ามัน เป็นอย่างผมนี่ในตระกูลคนเดียวก็เกินพอแล้ว มีทำไมเยอะแยะ อีกอย่างไม่อยากเรียกไอ้บุ้งมันว่าพี่สะใภ้ครับ ไม่อยากยกมือไหว้มานเสียฟอร์มตายเลย แล้วน้องบีนก็ถือจานบาบีคิวมาเสริฟให้พอดี
“พี่อั้ม พี่โอม พี่บุ้งทานได้แล้วค่ะสุกแล้ว”
“ขอบคุณค่ะน้องบีน.....อยากมีน้องสาวจังเลย”พูดเสียงอ้อนสาวเลยครับพี่ผม
แต่พอพูดถึงน้องชายทำเสียงประณามหยามเหยียด “มีน้องชายไม่ได้เรื่องเลยมีแต่ต้องให้พี่ดูแลมัน.....ไม่มีล่ะจะบริการพี่บ้าง”
พี่อั้มชมน้องบีนครับแต่แอบแฝงด่าผมไปในตัว อย่านึกว่าผมไม่ทันฟังนะครับ เรื่องแบบนี้หัวไวหูไวครับปากก็ไวด้วย
“อยากได้น้องสาวก็ได้เลยซิ บีนมาเป็นน้องพี่อั้มแทนพี่มา วันนี้พี่ลาออกเลยจากน้องพี่อั้มแต่ขอเงินชดเชยถูกไล่ออกจากการเป็นน้องด้วยนะ แต่พี่ว่าบีนจะทนปากพี่อั้มได้ป่าวล่ะ” หึหึหึ อย่างนี้ไม่มีพลาดครับขอให้บอก

“พี่อยากได้บีนมาเป็นน้องสะใภ้มากกว่านะซิ โอมก็ไม่ต้องลาออกจากน้องพี่ด้วยอยู่กวนกันต่อไปตลอดชีวิตเนี่ยแหล่ะ”
พี่อั้ม!!!!

เอาแล้วซิไอ้พี่บร้าหาเรื่องมาให้ผมอีกคนละนี่ขนาดกินน้ำแดงนะเนี่ย ถ้ากินน้ำเมาจะขนาดไหน ผมได้แต่เอามือมาตบหน้าผากตัวเอง กรูซวยอีกแล้วมาแซวกันระยะเผาขนขนาดนี้น้องเค้าก็แย่อะดิ ตอนนี้น้องบีนหน้าแดงอายม้วนเป็นกิ้งกือเลยครับ ไม่รู้จะม้วนหน้าม้วนหลังไปทำไมพี่ผมมันปากแบบเนี้ย เอาเรื่องเอาราวได้ที่ไหน
“พี่อั้มพูดงี้ได้ไง ผมไม่ยกให้โอมมันหรอก มันบร้าาาา....ผมไม่อยากเป็นพี่เมียมัน”
อ๊ะไอ้บุ้งนี่ไม่อยากเป็นพี่เมียชิชะ แล้วอยากจะมาเป็นอะไรว่ะ อยากมาเป็นเมียกรูรึไง อยากจะเอาเท้ายันมันก็เกรงใจน้องบีนที่ยังยืนอายต่อเนื่อง

อายแบบไม่มีทีท่าว่าจะเลิกอาย
“เลิกๆๆพูดอะไรกันพี่อั้มน้องบีนเค้ายังเด็กอยู่มาพูดอะไรก็ไม่รู้ ไอ้บุ้งนี่ก็เหมือนกันเป็นพี่ภาษาอะไรเมิงพาน้องเมิงไปนั่งกินดีๆเลยเมิง เอาน้องมาแล้วไม่ดูแลเทคแคร์ให้ดี”
แล้วผมก็เดินไปเลยครับทำเป็นเฉไฉตะโกนถาม
“ใครเอาน้ำไรป่าว พี่อั้มไวน์ซักแก้วนะ บุ้งเมิงเอาปะ” แล้วของอย่างนี้มีเหรอครับใครจะปฏิเสธ
“ด้วยๆๆนะโอมเพื่อนรักแก้วนึง....”ผมได้แต่เดินไปบ่นไป “ทีเนี้ยมาเรียกกรูเพื่อนรักทีเมื่อกี้เสือกทำรังเกียจไอ้สตอเบอรี่เอ๊ย”
แล้วสุดท้ายครับก็เหลือแต่หนุ่มๆนั่งโจ้กัน น้องบีนขอตัวกลับก่อนเพราะดูทีท่าบุ้งจะดื่มยาว ส่วนพี่อิงหลังจากส่งลูกเมียเข้านอนก็มาร่วมวงสังสรรค์ครับ สามคนพี่น้องครบองค์ประชุมในรอบ3 ปี ก็เฮฮาปาร์ตี้น่ะครับแล้วพี่อิงก็เริ่มนินทาเมีย พี่กุ้งน่ะครับ
“ตัวเองรู้ไม๊ไอ้กุ้งแห้งน่ะขี้บ่นชิบหาย พี่แค่เล่นเกมนานไปหน่อยก็บ่น เปลืองไฟ เสียสายตา chat กะสาวที่ไหนอยู่ ไม่รู้จะบ่นไปทำไม๊”
“มีอยู่วันนึงเค้ารำคาญ เลยไปนอนก่อนเลิกเล่นคอมไปล่ะ”
“ตื่นมาตอนดึกจะไปเข้าห้องน้ำ...ก็เอ๊ะเมียกรูไปไหนหรือว่าไปเข้าห้องน้ำเหมือนกัน”
“ก็ไปเดินตามหา...เอ้ามาเจอในห้องทำงานปรากฎว่าอะไรรู้ไม๊”
“มานั่ง chat กะสาวๆ อยากจะบร้าตาย แล้วไปจีบเค้าอีกแน่ะ ไอ้เรากะว่าเออให้มีสาวๆไว้คุยสนุกๆไม่ได้คิดอะไร ทำวงแตกไปเลย”
“เค้ากลายเป็นไอ้หัวงูไปเลย วันหลังไม่มีใครยอมมาคุยด้วยอีกเลย แสบจริงๆเมียกรู ไม่รู้ไปคุยอีท่าไหน”
พี่ผมเนี่ยเมียจับได้ยังไม่สำนึกอีกครั้ง สำนึกดีแบบรีเจนซี่เนี่ยจะมีบ้างไม๊ ผมเลยอดไม่ได้อีกแล้วชอบทำตัวเป็นน้องบังเกิดเกล้า ด่าพี่บ่อยๆนี่บาปไม๊ครับชักสงสัย
“พี่อิงไม่โดนพี่กุ้งเจื๋อนก็บุญแล้วยังจะมาบ่นอีกนะ หน้าไม่อายมีเมียแล้วยังมาทำลั้ลลากับสาวๆ”

แต่คนอย่างพี่อิงน่ะครับพอเหล้าเข้าปากแล้วก็ลืมหมด ใจดีมากไม่ดุผมกลับหรอก ก็ผมมันน้องตัวอย่าง ตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ หุหุหุ แม่บ่นประจำว่าชอบลามปาม
พอพี่อิงเมาแล้วอยากจะพูดอะไรก็พูด คราวนี้มีพี่อั้มผสมโรงด้วยอีกคนเลยสองคนแท็กทีมเลยครับเล่าเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรไม่รู้ ผมกับไอ้บุ้งนั่งขำกันท้องแข็ง
ผมว่าเรื่องที่พี่อิงนินทาเมียน่ะมีแต่เรื่องที่ตัวเองทำไม่ดีแล้วเมียจับได้ทั้งน้าน แล้วไม่รู้จะไปโกรธเมียตัวเองทำไม ผมว่าเรื่องนี้ผู้ปกครองควรชี้แนะนะครับมันไม่ดีหรอก แต่เราคนฟังก็สนุกดี ส่วนพี่อั้มก็เล่าเรื่องคนที่กำลังตามจีบอยู่ครับ
“น้องใบเฟิร์นน่ะน่ารักA+เลยว่ะ เรียนก็เก่งนิสัยก็ดี ท่าทางน้องเค้าก็เอนเอียงมาเยอะล่ะ อีกไม่นานคงโอเคยอมรับเค้าเป็นแฟนแน่ๆ นี่ทีแรกกะพามาเปิดตัวนะ แต่พอดีน้องเค้าต้องไปเที่ยวกับที่บ้านเลยมาไม่ได้”
“สงสารน้องเค้าว่ะ อยากเจอจริงๆอะไรทำให้เห็นผิดเป็นชอบไปได้ 5555 พี่อั้มอย่าไปทำให้ชีวิตที่รุ่งโรจน์ของน้องเค้าต้องมัวหมองเลย มันจะเป็นบันทึกด่างพร้อยในชีวิตเค้านะ”
ผมก็แซวพี่ตัวเองอีกล่ะครับ หมั่นไส้คนจะมีแฟน พอพูดถึงแฟนแล้วตาเยิ้มจนจะหยดล่ะ ส่วนพี่อิงเริ่มตาปรือแล้วครับผมว่าเดี๋ยวพี่กุ้งต้องมาตามตัวแน่ๆ เริ่มพูดน้อยลงล่ะสงสัยนินทาเมียจนหมดละ ส่วนบุ้งมันก็เป็นประเภทยิ่งกินยิ่งซึมครับ มีแต่พี่อั้มยังเมามันกับการคุยอยู่
“เออมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง วันก่อนนะเค้าไปหาน้องใบเฟิร์นที่ทำงานนึกแล้วก็ขำ โลกมันโคตรกลมไปเจอใครรู้ปะ เจอไอ้ต่าย ทีแรกก็จำมันไม่ได้ ไม่ได้เจอไม่กี่ปีมันหล่อกว่าเดิมอีก”
พอพี่อั้มพูดขึ้นมาเท่านั้นล่ะครับ พี่อิงกะบุ้งสะดุ้งเลยครับ

ทำหน้าสร่างเมาเป็นกรณีพิเศษผมเห็นแล้วก็ขำ ส่วนผมตั้งแต่ทำใจได้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ผมก็ใจสงบขึ้นฟังเรื่องพี่ต่ายได้ อาจจะมีความตื่นเต้นนิดหน่อยด้วยซ้ำไปจนรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงกว่าปรกติ พี่อั้มก็เล่าต่อไปไม่รู้เรื่องอะไร พี่อิงกับบุ้งก็นั่งจ้องหน้าผมอย่างกับเห็นดารา ไม่ได้มองหน้าพี่อั้มคนเล่าเรื่องเลย
“ต่ายมันเข้ามาทักเค้านะโอม ปรากฎว่ามันเพิ่งย้ายกลับมาจากสิงค์โปร์เมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง มันยังบอกเลยว่าจะแวะไปหาเค้าที่บ้าน แต่คุยกันได้แป๊ปเดียวเห็นฝรั่งมาเรียกมันไปท่าทางมันตำแหน่งใหญ่เหมือนกันล่ะ งงเลยไม่คิดว่าจะเจอได้”
ผมก็ได้แต่ยิ้มครับไม่ได้พูดอะไร อย่างน้อยพี่ต่ายก็ดูมีความสุขดี แลัวก็ยังมีชีวิตอยู่5555
ก็ดีแล้วนี่ยังไม่ตาย เราเลิกจากกันไปก็จริง แต่ก็ยังกินได้ นอนหลับ หายใจได้
ยิ้มได้ หัวเราะได้ จะเอาอะไรอีก
ส่วนสองคนนั้นเห็นหน้าผมที่ยิ้มแล้วก็หันมามองหน้ากันทำหน้าแปลกใจ ไม่รู้จะงงอะไรนักหนา ก่อนที่จะนั่งทำหน้าตาเหรอหราไปมากกว่านี้ผมก็เลยบอกให้เข้าใจไปเลย
“ไม่ต้องห่วงเค้าทำใจได้แล้วพี่อิง บุ้ง จริงจริ๊ง” แต่พี่อั้มไม่รู้เรื่องอะไรก็เลยเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจ
“โอมทำใจเรื่องอะไร เค้าไม่เข้าใจ เค้าตกข่าวอะไรไปรึเปล่าหือ”
ทุกคนก็เงียบครับไม่มีใครพูดอะไร ก็คงไม่แน่ใจด้วยว่าผมแน่ใจแล้วเหรอที่พูดออกมาว่าทำใจได้ พี่อั้มเลยมองมาที่ผม แล้วคราวนี้เข้าสู่โหมดพี่ชายที่แสนดีถามผมออกมาตรงๆ
“โอมมีอะไรเล่าให้เค้าฟังเดี๋ยวนี้”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++