คุณกฤชอย่าไปแซวคุณken_krub เลย
ชอบน่ะ.....เมนท์แบบนี้วันไหนไม่เห็นเหมือนขาดอะไรไป

แต่ขอแบบนี้คนเดียวพอ ถ้าคนอื่นเมนท์แบบนี้หมด คงไม่รู้ว่าคนอ่านคิดยังไง

reply แบบไหนมาก็ขอบคุณทั้งน้านแหล่ะค่ะ
แต่ตอนนี้เก็บก้อนอิฐที่คนอ่านเขวี้ยงมาได้เยอะล่ะ เตรียมปลูกบ้านได้หลังย่อมๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 58
หลังจากวันนั้นผมก็ย้ายออกจากห้องนอนตัวเองไปนอนห้องพี่อิง เพราะหลังจากสอบเสร็จผมก็ว่างมากๆ พอไม่มีอะไรทำก็จะคิดเรื่องนี้แล้วก็น้ำตาไหล พออยู่ห้องตัวเองมองไปทางไหนก็เห็นแต่พี่ต่าย เลยขอย้ายไปนอนห้องพี่อิงที่ตอนนี้ไม่มีใครใช้ จากตอนนั้นจนตอนนี้ ปีกว่าผมก็ไม่เคยใช้ห้องนอนตัวเองอีกเลย มันนอนไม่ได้ มันนอนไม่หลับจริงๆ
จนกระทั่งเรียนจบโทแล้วผมก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านต่างจังหวัดอย่างถาวร ทิ้งสถานที่แห่งความทรงจำไว้เพียงลำพัง สำหรับผม....บ้านที่ไม่มีพี่ต่ายอยู่มันก็แค่ที่ซุกหัวนอนเท่านั้นเองครับ มันไม่ใช่บ้านในความหมายของผมอีกต่อไป

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จนถึงวันนี้ผมถึงได้ยินเรื่องจากพี่อั้มว่าพี่ต่ายกลับมาแล้ว เป็นปีๆที่ผมไม่อยากจะฟังเรื่องของพี่ต่ายจากใครอีก แต่วันนี้ผมก็ฟังได้อย่างสบายใจขึ้นแล้วครับ ที่จริงผมก็ดีใจที่ได้ยินข่าว ถ้าถามผมว่าอยากเจอมั๊ย.....ก็ตอบได้ทันทีว่าก็อยาก แต่....คงไม่ไปเจอดีกว่า
ผมเคยคิดถึงสาเหตุที่พี่ต่ายจากผมไป ผมคิดว่าผมรู้ เพียงแต่ผมไม่พูดออกมาเท่านั้นเองว่าเพราะอะไร เรื่องทุกเรื่องมันมีเหตุผลเสมอ เพียงแต่รอเวลาที่จะคลี่คลาย
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือ คำพูดในกระดาษใบนั้นที่พี่ต่ายทิ้งไว้ “พี่รักโอม” ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเชื่อมันมาตลอดและคิดเสมอว่า เมื่อพี่ต่ายรักผมซักวันพี่ต่ายจะกลับมาหาผมเองโดยที่ผมไม่ต้องไปตามหา แต่ถ้าวันนั้นไม่มาถึงผมก็พร้อมที่จะปล่อยมันไป
พอผมเล่าให้พี่อั้มฟังจนจบ พี่อั้มก็ไม่พูดอะไรเลย คงกำลังตกใจที่น้องชายตัวเองชอบผู้ชาย

หรือไม่ก็คงสำนึกผิดนิดหน่อยที่ชักนำพี่ต่ายให้เข้าห้องผมก็หลายครั้ง แล้วที่สำคัญเป็นคนเสนอให้ชวนพี่ต่ายมาอยู่บ้านเราด้วย คงจะอึ้งไปเลยนะครับ จะด่าตัวเองก็คงใช่ที่ จะด่าผมก็คงกลัวผมเสียใจ แกเลยเอาไวน์มารินดื่มอึ๊กๆๆใหญ่ ผมก็ไม่รู้ว่าดื่มดับอารมณ์คับแค้นใจหรือเพื่อดับอารมณ์อยากกินเหล้ากันแน่ 555

สักพักพี่อิงคงเห็นพี่อั้มกินเยอะคงกลัวจะเปลืองไวน์ เปลืองกับแกล้ม พี่อิงเลยเรียกพี่อั้มไปคุยสองคน “อั้มมานี่” ทีแรกพี่อั้มก็ทำท่าจะไม่ลุกครับ แต่เจอพี่อิงลากคอไปเลย
แล้วสองคนก็ไปคุยกันครับแต่ไม่วายคว้าขวดไวน์ไปด้วย เป็นพี่ที่ดีครับของไม่ดีไม่อยากให้น้องกินเยอะเลยต้องกำจัดมันไปให้หมดด้วยน้ำำมือตัวเอง
ผมเห็นบุ้งนั่งเงียบๆไม่รู้ว่าหลับหรือคิดอะไรอยู่ก็เลยชวนมันคุยไปพลางๆ
“บุ้ง อาทิตย์นี้ติงนัดไปทานข้าวจะไปด้วยกันไม๊” บุ้งเงยหน้ามองผม แล้วส่ายหัว
“กรูไปไม่ได้...นัดแม่จะพาไปวัด เอาไว้วันหลังละกัน”แล้วบุ้งก็เงียบไปพักนึงแล้วมันก็ถามผมต่อ
“ มรึงทำใจได้แล้วจริงๆหรือโอมเรื่องพี่ต่ายน่ะ”
ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองแล้วแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์ ผมยิ้มให้กับตัวเองแล้วชี้ให้บุ้งดูพระจันทร์ที่วันนี้ส่องประกายงดงาม ถึงแม้จะไม่เต็มดวงเหมือนคืนวันลอยกระทง แต่ก็ยังกลมส่องแสงนวลสวยงามอยู่ดี

“บุ้งมรึงดูพระจันทร์ซิ เมิงเห็นไม๊.....มีกระต่ายอยู่ในนั้น แต่กระต่ายมันก็ไม่เคยวิ่งออกมา”ผมพูดไปเรื่อยๆเหมือนที่ใจผมคิด
“มันก็เหมือนใจกรูแหล่ะ มันมีพี่ต่ายอยู่ในใจเสมอถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันกับตัวเป็นๆ กูก็ขังเค้าไว้ในใจ.....แค่นี้กรูก็พอใจแล้ว”
ผมยิ้มให้บุ้งแล้วยกแก้วไวน์ขึ้นไปชนแก้วกับบุ้ง
“แฮปปี้นิวเยียร์นะบุ้ง ขอบใจที่ดูแลกันมาตลอด เพื่อนรัก” บุ้งก็ยิ้มจริงใจตอบส่งกลับมาให้ผมทำตาคลอๆ

มานดันมาบิลด์อารมณ์ผมอีก เดี๋ยวผมก็ร้องมั่งหรอก
“เหมือนกันว่ะโอม แฮปปี้นิวเยียร์ ขอบใจมรึงที่เกิดมาเป็นเพื่อนรักกรู”
แล้วเราก็ต่างคนต่างเขิน แหมผู้ชายนะครับมาพูดอะไรเลี่ยนๆแบบนี้มันก็อดเขินไม่ได้ แต่ผมก็คิดว่า ถ้าเราแคร์ใคร รักใครบอกเค้าไปไม่ดีกว่าเหรอ ดีกว่าวันนึงเค้าจากเราไปโดยไม่ทันตั้งตัวเราจะได้ไม่เสียใจทีหลัง
ราตรีนี้ยังอีกยาวนานครับ พี่อิงกับพี่อั้มก็เดินเข้ามาพร้อมขวดไวน์ขวดใหม่ หน้าตาดูสดใสขึ้นทั้งคู่ พี่อิงโวยมาแต่ไกลเลยครับ
“เฮ้ยมาชนแก้วกันสองคนได้ไง ไม่รอพี่บ้างเลย เร็วอั้มมามะเพื่อความสุขของโอม ซึ่งเป็นความสุขของเราทุกคน”
“ไชโย ไชโย ไชๆๆๆ โยๆๆๆ”

ผมปลื้มใจกับคำพูดพี่อิงมากครับจนน้ำตาซึมออกมา พร้อมกับหัวเราะไปด้วย ถ้าความสุขของผมคือความสุขของทุกคนในที่นี้จริงๆ งั้นนับตั้งแต่วันนี้ไปผมจะขอมีความสุขให้มากขึ้นครับ ผมได้แต่บอกกับตัวเองว่า สู้โว้ย สู้....ไอ้โอม

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงวันหลังจากปีใหม่งานก็ยังไม่มากครับ เพราะงานก่อสร้างขึ้นกับคนงาน ก็หยุดปีใหม่กันยาวไหนจะกินเหล้า ไหนจะกลับบ้านเกิดกัน กว่าจะมาครบทำงานได้ก็ปาเข้าไปหลายวัน ผมขับรถเข้าไปดูสถานที่ปลูกบ้านของลูกค้า คนงานกำลังเตรียมปรับพื้นที่ขุดหลุมเทคานกัน ถ้าเรื่องวิชาการผมไม่รู้หรอกครับไม่ได้เรียนมาทางนี้แต่เรื่องพื้นๆก็พอรู้บ้างจากประสบการณ์
“คุณโอมครับ เจ้าของบ้านเค้าจะมีฤกษ์ลงเสาเอกไม๊ แล้วเค้าต้องเชิญพระมาทำพิธีไม๊ครับ มันจะถึงงานตรงนั้นแล้วนะครับ”
เอาล่ะซิคนงานมาถามผม แล้วผมจะรู้ไม๊เนี่ยยังไม่เคยเจอเจ้าของบ้านสักที ชื่ออะไรผมยังไม่รู้เลย เรียกกันแต่บ้านริมเขา ว่าจะขอเบอร์โทรพี่อิงก็ลืมทุกที
“พี่อิงขอเบอร์เจ้าของบ้านหน่อยซิ จะโทรไปถามเรื่องลงเสาเอกน่ะ”
“พี่มีแต่เบอร์เลขาว่ะ ติดต่อกับคนนี้นะชื่อคุณป่าน เบอร์ 081xxxxxxxถามเค้าแล้วกันเจ้าของบ้านเค้างานเยอะ”
เยอะยังไงมันก็ต้องคุยกันน่ะครับไม่งั้น มาบอกไม่ชอบทีหลังทะเลาะกันตายดิ
“สวัสดีครับขอเรียนสายคุณป่านครับ”เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงสาวน้อยน่ารักเชียวครับ
“ค่ะป่านพูดค่ะ ไม่ทราบติดต่อธุระเรื่องอะไรค่ะ”
“ผมโอมนะครับโทรมาเรื่องบ้านริมเขาที่เขาใหญ่นะครับ” ผมก็ไม่รู้จะบอกว่าบ้านคุณอะไรน่าอายจริงๆไม่รู้จักชื่อนายจ้าง
“อ๋อ....บ้านของนายที่เขาใหญ่ว่าไงค่ะ”เสียงขลุกๆขลักๆเหมือนมีคนอยู่แถวนั้นน่ะครับหรือคุณป่านเปิดสปีคเกอร์โฟนก็ไม่รู้
“ผมจะถามน่ะครับว่านายจะเข้ามาลงเสาเอกด้วยมั๊ย แล้วมีฤกษ์หรือยัง จะนิมนต์พระมาไม๊น่ะครับ” เค้าเรียกนายผมก็นายด้วยล่ะครับ ไม่รู้จะเรียกอะไรนี่หว่า
เหมือนมีเสียงซุบซิบจุ๊กจิ๊กอะไรไม่รู้ครับ แล้วคุณป่านก็ตอบมาว่า
“นายบอกให้คุณโอมจัดการไปตามสมควรเลยค่ะ แล้วมาเบิกค่าใช้จ่ายเอา”
“แล้วจะไม่มาดูหน่อยเหรอครับ” o12งงปลูกบ้านทั้งทีไม่สนใจมาดูหน่อยรึไง หรือถือว่ามีเงิน
“นายงานเยอะค่ะคุณโอม ปลีกตัวไปไม่ได้จริง”เฮ้อ!! เบื่อพวกคนรวยๆ งั้นก็ตามใจแล้วกัน บอกแล้วนะ มาโทษกันไม่ได้ด้วย

“ครับงั้นผมดูฤกษ์ให้แล้วกันนะครับ แล้วมีอะไรผมโทรแจ้งอีกที”
หมดไปอีกเรื่องก็ดีเหมือนกันงั้นก็จัดการไปเลยสะดวกไปอีกแบบ หมดจากเรื่องบ้านก็มีลูกค้าโทรเข้ามาครับ
“หวัดดีครับคุณโอมผมก้อยนะครับ”
“ครับคุณก้อยว่าไง”เป็นลูกค้าวีไอพีอีกคนครับ ซื้อของทีไรต้องโทรมาหาผม บางทีก็รำคาญเพราะชอบต่อราคา แต่บางทีก็คุยสนุกดี แต่ที่ยังคบกันได้ดีเพราะเรื่องการเงินไม่มีเสียหายครับ
“ผมจะมาชวนทานข้าวเย็น...วันนี้ว่างไม๊” ปรกติไม่ค่อยเจอตัวกันครับคุยกันแค่ทางโทรศัพท์ แต่คุยกันเกือบทุกวันจนจะกลายเป็นเพื่อนล่ะ ไม่รู้นึกยังไงมาชวนผมทานข้าว
“อ้าววันนี้คุณก้อยค้างเขาใหญ่เหรอ ปรกติเห็นขับกลับกรุงเทพฯทุกที”
“วันนี้ค้างเลยอยากกินอะไรอร่อยๆ คุณโอมพาไปกินหน่อยซิ” แล้วผมต้องเลี้ยงด้วยไม๊เนี่ยชักสงสัย ก็เค้าเป็นลูกค้านี่เนอะ เลี้ยงก็ได้นานๆที
“ได้ครับ...งั้นเอาไงดี คุณก้อยมารับผมที่ร้านตอนประมาณหกโมงไม๊ เร็วไปรึเปล่า”
“ได้ครับได้ แล้วเราจะไปกินที่ไหนดีผมอยากกินเสต็ค”เอางั้นเลยนะคุณก้อย หึหึหึ รับปากเค้าไปแล้วนี่ ก็ต้องไปล่ะนะ
“มีร้านนึงไม่ไกลนี่แหล่ะครับ แล้วเจอกันครับ”แล้วคุณก้อยก็วางหูไป ผมก็วุ่นๆเรื่องงานวิ่งไปวิ่งมาที่ไซท์งานกับที่ร้าน จนลืมไปแล้วครับเรื่องนัดทานข้าว พอตอนเย็นบุ้งก็โทรมาหาตามปรกติ
“โอม...วันนี้กรูว่าเราเปลี่ยนที่ขี่จักรยานบ้างดีไม๊กรูว่าไปขี่ที่เขื่อนลำตะคองดีกว่า เปลี่ยนบรรยากาศ”
หูยไกลพอสมควรเหมือนกันนะครับ ขึ้นเขาด้วยไม่ไหวละมั๊ง มันคงว่างจัดบุ้งเพื่อนผม
“มรึงว่างมากเหรอบุ้ง แล้วขี่ไปไกลขนาดนั้นกรูว่าไม่ต้องเหนื่อยแน่ๆ ถ้าขี่เองแล้วแป๊ปเดียวคงถึง...ถึงที่”

“ทำไม...กรูไม่เข้าใจ...ถึงที่ไหน” สมองช้าคิดตามไม่ทันซักทีบุ้งเอ๊ย
“อ้าวขี่ไปแ๊ป๊ปเดียวก็มีคุณพี่สิบล้อช่วยเสยมรึงพาไปส่งวัดนะซิ รถเยอะตายห่า....”
“5555 มรึงจะบร้าเหรอโอม...ผีบร้าที่ไหนเค้าจะขี่ไปเอง กรูหมายถึงเอาจักรยานใส่รถไปขี่ที่นู่น...ไอ้โง่”

อ้าวผมจะไปรู้ได้ไงนึกว่ามันจะเจ๋งขี่ไปเอง แล้วยังมาด่าผมอีก
“อ้าว....แล้วมรึงไม่เล่ามาให้หมดปล่อยให้กรูนึกว่ามรึงมันบร้า” กัดกันทุกวันจนหนังหนาไปหมดแล้วครับผมสองคน แต่ไม่มีมันผมคงแย่นอกจากจะเฉาปากแล้วก็คงเหงาด้วย
ทีแรกผมก็คิดว่าวันนี้จะออกกี่โมงดีจะได้ไม่มืดเกินไป แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีนัดกับคุณก้อยนี่หว่าเย็นนี้
“เอ๊ะบุ้งๆ....กรูลืมวันนี้นัดกินข้าวกับลูกค้าว่ะไม่ได้เลยไว้วันอื่นแล้วกัน”
ปรกติผมไม่ค่อยได้ออกไปกินข้าวนอกบ้านหรอกครับ รักนวลสงวนชายอยู่บ้านตลอด บุ้งมันเลยสงสัย
“ใครลูกค้ามรึง...หญิงเหรอ...ใคร”ดูมันครับยิ่งกว่าพ่อแม่ผมอีก ไอ้เพื่อนมหาจำเริญเพื่อนบังเกิดเกล้า มาทำเสียงขู่เข็ญผม ถามมาอย่างงี้ยิ่งไม่บอก ให้มันอยากรู้จนลงแดงไปเลย
“กรูบอกไปมรึงก็ไม่รู้จัก.....แค่นี้นะกรูต้องไปอาบน้ำเตรียมตัวให้ตัวกรูหอมๆไว้ หึหึหึ”
“โอมมรึงวางหูไม่ได้นะบอกกรูมา......โอม”

ผมยังทันได้ยินเสียงมันโวยวายครับก่อนวางหู ผมรู้ว่ามันไม่ปล่อยผมแน่ๆ แต่อยากรู้ว่ามันจะทำยังไง ดีครับไม่มีใครหวงแล้วก็ให้บุ้งมันหวงบ้าง คนเราก็แปลกครับชอบให้มีคนสนใจ ก็ผมมันคนขาดรักนี่แล้วก็ไม่มีใครมาหวงตั้งนานแล้วด้วย
ปิดร้านแล้วผมก็เลยอาบน้ำแต่งตัวให้ดูสดชื่นหน่อย กับคุณก้อยผมก็ไม่ได้คิดอะไรครับ เจอกันสองทีเองมั๊งตั้งแต่รู้จักกันมา ก็5-6 เดือนแล้วล่ะ คุณก้อยเป็นหน้าตาดีครับ หล่อกว่าพี่ต่ายซะด้วยซ้ำ ดวงตาเปล่งประกายสดใส จมูกเป็นสันโด่งพองาม คิ้วเข้มเรียวยาว มีรอยยิ้มขี้เล่นอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา เสียแต่ไม่ใช่คนตัวสูงเท่าไหร่ก็พอๆกับผมล่ะครับ
คุณก้อยมารับเหมาปลูกบ้านที่เขาใหญ่แล้วก็มาซื้อของผมไปทำ สั่งของกันทางโทรศัพท์แล้วก็ชำระเงินโดยการโอนผ่านธนาคาร ถึงไม่เจอตัวกันแต่เราคุยกันถูกคอเพราะอายุไล่เลี่ยกัน ไปๆมาๆเลยสนิทกันแบบนี้แหล่ะครับ
พอ 6 โมงคุณก้อยก็มารับผมที่ร้าน ขับรถไปไม่ไกลก็ถึงร้านอาหาร เป็นร้านที่ตกแต่งแบบคาวบอย ร้านขนาดไม่ใหญ่นักแต่จัดประดับด้วยของที่ทำให้เก๋ไก๋ ร้านค่อนข้างเงียบเพราะเพิ่ง 6 โมงยังไม่ดึกมากนักมีคนนั่งอยู่ไม่มาก ผมเองก็เคยมาทานไม่กี่ครั้งแต่อาหารก็อร่อยดีทีเดียว สั่งอาหารไปแล้วคุณก้อยก็ยิ้มๆถามผมก่อนว่า
“คุณโอมตัวหอมจังใช้น้ำหอมอะไรครับ”

ผมได้แต่ทำตาปริบๆ เอาแล้วซิจะมายังไงล่ะเนี่ย มาดมกรูตอนไหนว่ะ
“ผมไม่ได้ใช้น้ำหอมนะ กลิ่นแชมพูมั๊ง ผมทาแต่แป้ง เลิกใช้พวกโคโลญจ์มานานแล้วครับ”ตั้งแต่ไม่ได้อยู่กับพี่ต่าย ไม่อยากใช้อะไรเลยครับนึกถึงแต่คนที่เคยทาให้
คุณก้อยก็ไม่ว่าอะไรชวนคุยต่อ “เหรอ....ตัวหอมจังขนาดนั่งห่างอย่างนี้ยังได้กลิ่นเลย”
จึ๋ยๆอย่ามายุงกะกลิ่นกรู เอ๊ะหรือว่าเราล้างตัวไม่สะอาดล่ะเนี่ย กลับไปต้องไปอาน้ำล้างตัวใหม่อีกรอบไม๊เนี่ย

พนักงานเอาเบียร์มาเสริฟครับแล้วรินให้เราคนละแก้ว คุณก้อยดื่มเบียร์แล้วก็ถามผมว่า
“คุณโอมเบื่อไม๊อยู่ที่นี่”
“ผมไม่นะ กำลังสนุกกับงาน ทำของตัวเองก็สบายใจด้วยไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร”
ที่จริงอีกเหตุผลนึงผมอยากช่วยที่บ้านด้วย พ่อแม่ก็แก่ลงไปทุกวัน ชวนป๋วยปี่แป่กอเป็นผู้สนับสนุนผมเอง
“แล้วคุณก้อยล่ะ ขยันจังไปๆกลับๆขับรถทุกวันไม่เหนื่อยเหรอ”กรุงเทพฯเขาใหญ่ ร้อยกว่าสองร้อยกิโลนะครับไม่ใช่ใกล้ๆ
“ก็มีงานทำก็ต้องขยันน่ะครับ อีกหน่อยแก่ๆผมจะได้มีเงินเยอะๆเอาไว้ไปเที่ยว”
พอคุณก้อยตอบแบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงฝันของอีกคนนึงครับ ความฝันที่เคยมีผมอยู่ในนั้นด้วยแต่ตอนนี้ฝันเค้าคงเปลี่ยนไปแล้ว ผมคงหมกมุ่นกับความคิดตัวเองนานไปหน่อย เสียงเรียกของคุณก้อยทำให้สติผมกลับมาอีกครั้ง ผมดื่มเบียร์ไปหมดแก้วตอนไหนไม่รู้ คุณก้อยเลยรินเติมให้
“ทำไมเงียบไปคุณโอม ไว้แก่ๆเราไปเที่ยวด้วยกันนะดีมั๊ย” รอยยิ้มที่ส่งมาผมก็ว่าดูจริงใจดีนะ คงไม่ได้คิดอะไรหรอก
“ก็เอาซิ อย่าลืมมาชวนผมแล้วกัน กลัวรวยแล้วจะลืมกันมากกว่า”
“เฮ้ยจะไปลืมกันได้ไงง่ายๆเล่า หาได้ง่ายๆที่ไหนคุยกันถูกคอขนาดนี้”

พอดีอาหารมาเสริฟครับ ก็มีเสต็กหมู ไส้กรอกรวม พาสต้า แล้วก็สลัดทูน่า ก็กินด้วยกันน่ัะครับ คุณก้อยหั่นไส้กรอกแล้วตักใส่จานให้ผม ก็นั่งกันอยู่สองคนมันก็ตักเองได้น่ะครับ มาตักให้กันทำไม ไม่ได้เป็นผู้หญิงนะเว้ย
“คุณก้อย....ผมตักเองได้ ทานไปตามสบายเถอะ” :m23:คุณก้อยยังไม่หยุดครับหั่นเสต็กให้ผมอีก
“ทำไมล่ะบริการหน่อยไม่ได้เหรอ นานๆจะเจอกันทีนึง”
เออกลายเป็นว่าผมต้องมาให้ลูกค้าบริการ ตามใจเลยอยากทำก็ทำซะ ทำซะให้พอใจ แล้วหลังจากนั้นก็คุยกันไปเรื่อยๆนะครับ เรื่องงานเรื่องที่บ้าน ก็สนุกดีไม่ได้สนใจใครเดินเข้าออกในร้าน
“คุณโอมไปกรุงเทพฯบ่อยไม๊”
“ไม่บ่อยนะแต่อาทิตย์นี้ว่าจะไปพอดีนัดเพื่อนไว้”
“เหรอเราไปกินข้าวกันอีกนะ ไปวันเสาร์เย็นซิวันเสาร์ผมมานี่ แล้วขับตามๆกันไป”
คุณก้อยอารมณ์ไหนเนี่ยสงสัยใครๆก็ไม่รักไม่มีเพื่อนรึไง “จะดีเหรอ คุณมาทำงานนี่เดี๋ยวไปรบกวนเปล่าๆ ทำให้ต้องรีบกลับ”
“ไม่กวนหรอกนะ ไปกินด้วยกันผมอยากพาไปกินอะไรอร่อยๆที่กรุงเทพน่ะ” ผมไม่ควรจะปฎิเสธเพราะเค้าก็เป็นลูกค้า แล้วผมก็ตอบไป
“ก็ได้ แล้วเดี๋ยวเรานัดกันอีกที” ผมตอบออกไปแล้วก็ขำตัวเอง ไม่ค่อยได้นัดกับผู้ชายทานข้าวรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน ปฏิบัติงานนอกสถานที่ด้วยนะ นี่ตกลงชีวิตผมจะมีแต่แบบนี้ไช่ไม๊
แล้วเราก็ดื่มเบียร์กันต่อไปอีกครับ จนหมดไปหลายขวดผมเริ่มง่วงนอน ผมเลยชวนคุณก้อยกลับ
“กลับกันดีกว่าครับพรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าด้วย” คุณก้อยพยักหน้าแล้วเรียกคนมาเก็บเงิน
“ผมเลี้ยงเองยังไม่เคยเลี้ยงคุณก้อยซักทีนานๆจะมีโอกาสได้รับใช้”
ผมควักกระเป๋าจะจ่ายแต่ก็โดนคุณก้อยตัดหน้าไปครับ ก็เลยไม่ทันเลย

ใจจริงแอบดีใจนิดหน่อย แต่ปากน่ะพูดว่า
“คุณก้อยทำไมทำอย่างนี้งั้นคราวหน้าผมเลี้ยงนะ ห้ามแย่งด้วย”คุณก้อยหัวเราะร่วน
“โอเคๆ เลี้ยงกันไปเลี้ยงกันมาจะได้กินกันเรื่อยๆ” ยังจะกินอีกเรอะ จะเอาเวลาที่ไหนไปเจอกั๊น อยู่กันคนละทิศละทาง คราวหน้ายังไม่มาคิดไปคราวนู้นล่ะ
ผมลุกขึ้นยืนเซๆนิดๆ คุณก้อยรีบเดินมาประคองผม แต่ว่าคนที่คุณก็รู้ว่าใครเบอร์1 ครับโผล่มาจากไหนไม่รู้ ปร๊าดมาเกาะเอวผมเลย

แล้วกระแทกคุณก้อยเด้งไปยืนงงนู่นแล้ว
แล้วทำเนียนเป็นบังเอิญมาเจอ“อ้าวโอม...มากินที่นี่เหมือนกันเหรอ จะกลับพอดีเหมือนกันเลย...ไปกรูไปส่งกรูเอารถมา”
ผมขมวดคิ้วมองหน้าบุ้ง มันเอาจริงโว้ยมีการสะกดรอยตามผมด้วย หันไปมองคุณก้อยทำหน้าแปลกๆมองผมกับบุ้งเกาะเอวกัน ผมต้องรีบปัดมือมันออกไป แล้วแนะนำให้รู้จักกัน
“กรูยืนเองได้บุ้ง.....นี่คุณก้อยลูกค้า นี่บุ้งเพื่อนผมเองครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณก้อย” ผมเมานิดๆก็จริง แต่ยังมองเห็นหน้ากวนตรีนของบุ้งที่มองคุณก้อย แต่บุ้งก็พูดสุภาพครับ
“เดี๋ยวผมไปส่งโอมเองดีกว่า ที่บ้านเค้าหวงลูกชายครับ แต่กับผมสนิทกันดี ป๋าแม่ไม่ว่าอะไร” ดีมากเพื่อนรัก กีดกันกรูดีมาก กรูจะให้รางวัลมรึงด้วยอะไรดี
คุณก้อยกลับบอกว่า “ผมไปส่งดีกว่า ผมรับมาก็ควรไปส่ง”
เหอๆๆๆบ้านกรูอยู่แต่นี้ แป๊ปเดียวก็ถึงจะมาแย่งกันทำไม๊ ไม่เข้าใจ

“คุณก้อยทำงานทั้งวันคงเหนื่อยแล้ว อีกอย่างก็ดื่มเบียร์ แต่ผมไม่ได้ดื่ม ผมไปส่งดีกว่า” บุ้งก็ยังมีเหตุผลมาหักล้าง แต่คุณก้อยก็โยนมาให้ผมตัดสินใจ
“ถามคุณโอมดีกว่า ว่าจะให้ใครไปส่ง” แหะๆอุตส่าห์จะรอฟังว่าจะต่อล้อต่อเถียงกันจนใครชนะ เมาจนนั่งรอแล้วนะ แล้วจะเอาไงดี พอดีพี่อิงโทรมาครับ
“โอมอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับ”

ผู้พิทักษ์มาอีกคนแล้วครับ หุหุ
“มารับหน่อยดิ เค้าอยู่ร้านคาวบอยเนี่ยนะมาหน่อย กำลังปวดหัวเลย”สองคนนั้นยืนฟังตาปริบๆ พี่อิงตอบมาเลยทันที
“โอเคเดี๋ยวเค้าไปรับ รอนั่นแหล่ะ” จบเรื่องครับ สองคนมองหน้าผมแล้วเงียบไปเลย
เฮ้อ!!!! เบื่อตัวเอง ทำไมเสน่ห์แรงอย่างนี้นะ หุหุหุ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไปก่อนล่ะ ไปคิดว่าจะเอายังไงกะชีวิตดี