เหอ เหอ สงสัยน้องต้นไม่ชอบไปหาหมอเนอะ แบบว่าปล่อยไว้ให้หายเอง
ประมาณนั้นคับ ตอนนี้ก้อดีขึ้นมากแล้ว เมื่อคืนน่าจะเป็นมรสุมลูกสุดท้าย
ตอนนี้เลยเหลือแค่เจ็บหน้าอก เวลากินอะไรก้อลำบากหน่อย คิดว่าพรุ่งนี้คงดีขึ้นคับ
^^
ปล. ตอนที่ 26 (ตอนหน้า) มีเซอร์ไพรส์เล็กๆนะคับ
........................................................
วินาทีที่ 25
เมื่อเราทั้งสี่คนกลับเข้ามาในคอนโดอีกครั้ง ไคล์กับเมฆที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกก็เลยเดินสำรวจห้องแต่ละห้องกันยกใหญ่
“คิดว่าไงครับ เมฆ” ผมเดินเข้าไปโอบเอวมัน
“ก็ดีนี่ เมฆว่าน่าอยู่ดี แต่ว่า.........”
“อืมม ซันรู้ เรายังไม่ย้ายมาตอนนี้หรอกครับ แต่ซันก็แค่อยากจะเตรียมให้มันพร้อมไว้เท่านั้นเอง และบางทีซันก็อาจจะมานอนที่นี่มั่งก็ได้ เพราะว่ามันใกล้ที่ทำงานซันมากกว่าด้วยน่ะ เมฆจะว่าอะไรรึเปล่า”
“ไม่หรอก ก็แล้วแต่ซันนั่นแหละ.........” ไอ้เมฆตอบ แต่ผมรู้เลยว่ามันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นด้วยจริงๆ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อยากจะแยกกันอยู่กับมันหรอก เพียงแต่ว่าถ้าสถานการณ์มันยังไม่ดีอยู่แบบนี้ และผมอาจจะทำให้ไอ้เมฆหรือโดยเฉพาะพ่อเล็กต้องลำบากไปด้วยล่ะก็ ผมคิดว่าถ้าผมเลือกแบบนี้มันอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้
เย็นวันนั้นเราเชิญไอ้เอ็นกลับบ้านไปกินข้าวเย็นพร้อมกับพวกเราด้วย ซึ่งพ่อเล็กก็ต้อนรับมันเป็นอย่างดีเช่นกัน ส่วนตัวไอ้เอ็นเองก็ดูจะชอบใจมากด้วยที่เห็นครอบครัวของเราเป็นแบบนี้ เพราะหลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จ มันก็ยังเอ่ยปากชมพ่อเล็กและความโชคดีของเราไม่หยุดปาก
“พ่อมึงน่ารักมากเลยว่ะไอ้เมฆ และก็ดูท่านรักไอ้ซันกับไคล์มากโคตรๆเลยด้วยเหมือนกันนะ” ไอ้เอ็นพูดเมื่อเราสามคนนั่งกันอยู่ตามลำพังในห้องรับแขก
“อืม กูรู้ กูถึงได้คิดอยู่ตลอดเลยไงว่ากูโชคดีมากโคตรๆขนาดไหนที่ได้พ่อเอกเป็นพ่อน่ะ........ แต่ไม่ใช่แค่พ่อกูเท่านั้นหรอกนะที่ดีกับกูมากๆน่ะ พ่อแม่ไอ้ซันกับพ่อแม่ไคล์ก็ดีกับกูมากเหมือนกัน”
“พวกมึงนี่โชคดีว่ะที่มีพ่อแม่เข้าใจน่ะ”
“ใช่ อย่างน้อยๆนี่ก็คือสิ่งหนึ่งที่พวกกูคิดกันมาตลอดว่าเราสองคนโชคดีมากที่มีครอบครัวเข้าใจและคอยซัพพอร์ทเราอยู่ตลอดเวลาน่ะ และไม่ใช่แค่ครอบครัวด้วยนะ แต่มันยังรวมไปถึงเพื่อนของเราหลายๆคนด้วย”
ไอ้เอ็นก้มหน้าเงียบแล้วหมุนแก้วเบียร์ในมือเล่นอยู่ครู่หนึ่ง ผมกับไอ้เมฆที่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วก็มองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะพยักหน้าให้มัน และมันก็เลยย้ายไปนั่งข้างๆไอ้เอ็น
“มึงมีพวกกูนะ ไอ้เอ็น ถ้ามีอะไรก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้คนเดียวอีกต่อไปแล้ว มึงเชื่อใจพวกกูได้ว่าเรื่องมันจะไม่หลุดออกไปไหนแน่นอน” ไอ้เมฆวางมือลงบนบ่าของไอ้เอ็นเบาๆ
“เปล่าหรอก กูไม่ได้กำลังคิดถึงเรื่องนั้น” ไอ้เอ็นส่ายหน้า
“และมึงก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาตัวเองตอนนี้หรอก” ไอ้เมฆพูดต่อ และไอ้เอ็นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับมันทันที “มึงมีชีวิตดีๆให้ใช้ มึงมีขาสองข้างที่ยังเดินต่อไปได้ มึงก็แค่เดินต่อไป และเมื่อไหร่ที่มึงเจอสิ่งที่คิดว่าใช่สำหรับมึง มึงก็จะรู้เองนั่นแหละ เพียงแต่มึงต้องไม่ลืมว่านับจากวินาทีนี้ไป มึงมีพวกกูคอยรับฟังและคอยให้คำปรึกษาด้วยแล้ว มึงไม่จำเป็นต้องเก็บมันเอาไว้คนเดียวอีกหลายปีหรือต่อไปจนตลอดชีวิตของมึงอีกต่อไปแล้ว มึงเข้าใจนะ”
ไอ้เอ็นมองหน้าของไอ้เมฆนิ่งๆ จากนั้นก็หันมาหาผมพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็หันกลับไปหาไอ้เมฆอีกครั้ง “กูพอจะรู้แล้วว่าทำไมไอ้ซันมันถึงได้รักและหวงห่วงมึงมากนักน่ะ เอาเถอะ กูก็คงพูดได้แค่ว่าขอบใจมึงมากนะเว้ย ทั้งสองคนเลย และกูก็ขอบอกพวกมึงไว้ตรงนี้เลยเหมือนกันนะว่า ต่อจากนี้ไป กูก็จะช่วยเหลือพวกมึงทุกทางเท่าที่กูทำได้เหมือนกัน ขอให้มึงเชื่อใจกูได้เลย”
คืนนั้นหลังจากที่ไอ้เอ็นกลับไป ผมกับเมฆก็นั่งดูรูปที่ไปถ่ายมาด้วยกัน และทุกๆรูปนั้นก็สวยมากจริงๆ โดยเฉพาะถ้าตัดรูปที่ผมกับไอ้เมฆเปลือยกายถ่ายด้วยกันในห้องน้ำนั่นออกไปแล้ว ผมก็ยังชอบรูปที่มีเราทั้งสี่คนพร้อมหน้านั่งกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าวมากๆด้วย มันดูราวกับผมได้ยินเสียงหัวเราะและรับรู้ได้ถึงความมีชีวิตชีวาในช่วงเวลานั้นออกมาจากรูปถ่ายเลยจริงๆ
“พี่บอลฝากบอกมาว่า เพื่อนพี่บอลชอบรูปของพวกเรามากเลยนะ โดยเฉพาะรูปของไคล์น่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้น
“แล้วมันจะเอาไงล่ะ” ผมถาม
“อืมมม ไคล์มันบอกว่า มันก็ไม่ได้สนใจจะทำอะไรแบบนั้นเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าให้ทำเล่นๆก็โอเค อะไรแบบนี้น่ะ”
“งั้นมึงก็จัดการดูแลมันไปเลยแล้วกันนะ กูยกให้มันเป็นน้องชายมึงไปเลย จัดการเอาตามสะดวก”
“อ้าว แล้วมึงจะไม่สนใจเลยรึไง”
“สนดิ่ แต่กูยกให้มึงคอยดูแลมันไง ตัดสินใจกันไปเลยไม่ต้องเกรงใจกู มีอะไรก็ค่อยบอก แล้วก็กูจะรอดูผลงานมันเอง”
“ก็ได้ ถ้ามึงว่าอย่างนั้นน่ะนะ........” ไอ้เมฆยักไหล่ “แต่กูก็ให้พี่แอมป์เค้าดูแลให้อีกทีอยู่ดีแหละว่ะ กูไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนักหรอก แต่นี่กูก็คิดจะบอกไอ้วิทเอาไว้เหมือนกัน เผื่อวันไหนหรือกูติดอะไรขึ้นมา มันจะได้ช่วยเราได้ แบบนั้นมึงว่าดีมั๊ย”
“ก็ดีแล้ว จะได้ช่วยๆกันดู ไม่ต้องให้มันไปเปลืองตัวอะไรเพื่อที่จะได้งาน”
“อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วว่ะ ไคล์มันรู้แล้วก็ตัดสินใจเอาเองได้อยู่แล้ว”
“ว่าแต่พรุ่งนี้น่ะ..........” ผมพลิกตัวเป็นนอนหงายแล้วจับมือของมันขึ้นมากุมไว้ในมือ “เมฆไปซื้อของเข้าคอนโดกับซันนะ แล้วซันจะให้เมฆเลือกได้ทุกอย่างเลยว่าเมฆอยากให้มันออกมาเป็นแบบไหนนะครับ”
ไอ้เมฆยิ้มรับแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากของผมเบาๆ..........
เช้าวันต่อมา ไคล์ก็บอกพวกเราว่ามันไปกับเราไม่ได้เพราะว่าเพื่อนโทรมาชวนออกไปดูหนังเมื่อคืน พวกเราก็เลยต้องไปกันแค่สามคน โดยผมรับหน้าที่ขับรถพาพ่อเล็กไปดูที่คอนโดก่อน และไอ้เมฆจะขับรถอีกคันตามหลังมา เพื่อที่ว่าเผื่อเราต้องซื้อของหลายอย่างเราจะได้ใช้รถสองคันขนได้ทีเดียวไปเลย ไม่ต้องขับรถวนไปกลับหลายรอบ
“พ่อครับ ถ้าเกิดผมจะชวนเมฆย้ายออกมาอยู่กับผม......... พ่อจะว่าอะไรมั๊ยครับ” ผมถามพ่อเล็กขณะที่เราอยู่ในรถกันสองคน
“อ้าว พ่อจะไปว่าอะไรได้ล่ะ” พ่อเล็กหันมามองหน้าผม
“เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น คือผมไม่ได้จะย้ายออกมาเร็วๆนี้หรอกครับ แล้วก็ไม่ได้คิดจะชวนไอ้เมฆมันย้ายออกมาเร็วๆนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ผมก็แค่บอกเอาไว้ก่อนน่ะครับ ว่าหลังจากนี้ไป อาจจะสักปีนึง สองปี หรือห้าปี ผมก็คงจะขอลูกชายพ่อให้ออกมาจากเรือนสักวันแน่ๆ อะไรแบบนั้นน่ะครับ”
พ่อเล็กหัวเราะชอบใจ “ฮ่าๆๆ เออๆ ก็ดีนี่ เข้าใจพูดดี เอาเถอะ ซันกับเมฆตัดสินใจยังไงก็เอาเลย ชีวิตมันเป็นของลูกทั้งสองคนอยู่แล้วนี่ โตๆกันแล้ว พ่อว่าดีซะอีก เมฆมันจะได้ไม่ดูเป็นลูกติดพ่อมากเกินไปนัก มันน่ะนะ ชอบเป็นห่วงพ่อมากมายไม่เข้าเรื่องอยู่เรื่อย”
“มันก็เคยบอกผมครับว่ามันอยากอยู่กับพ่อเล็กก่อนสักพักใหญ่ๆค่อยคิดเรื่องย้ายออก แต่ผมก็เกรงใจ...... คือ ไม่ได้เกรงใจแบบนั้นหรอกครับ” ผมรีบพูด เมื่อรู้สึกว่าพ่อเล็กกำลังมองผมอยู่ “แต่ผมเกรงใจที่ผมยังต้องใช้ของทุกอย่างของพ่อเล็กอยู่เลยน่ะครับ ทั้งรถ ทั้งบ้าน....... ทั้งลูกชาย” เมื่อดิ้นอย่างนั้นพ่อเล็กก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “คือมันไม่ใช่แค่ผมไงครับ ยังมีไคล์อีก ผมก็เลยอยากจะมีอะไรที่เป็นของตัวเองให้เป็นสัดส่วนบ้าง และเพื่อเป็นการตอบแทนพ่อเล็กได้ไปในอีกทางด้วย”
“อืมม พ่อเข้าใจ ซันเองก็เหมือนวันรุ่นทั่วไปทุกคนนั่นแหละ ที่พอเรียนจบมีงานทำแล้ว ก็อยากจะสร้างทางเดินของตัวเอง....... เอาเลย อยากทำอะไรก็ทำ พ่อไม่ว่าหรอก ถ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณพ่อนะ ก็ดูแลลูกชายพ่อ ดูแลตัวเองดีๆ รักกันให้ดีๆก็พอแล้ว พ่อขอเพียงเท่านี้แหละ”
วันนั้นทั้งวันผมกับเมฆและพ่อเล็ก ต่างก็วุ่นอยู่กับการเดินเลือกซื้อของใช้และขนของเข้าคอนโดกันยกใหญ่ และพอตกบ่ายแก่ๆ ไคล์ก็กลับมาช่วยพวกเราด้วยอีกแรง ทำให้งานทั้งหมดเสร็จเร็วขึ้นได้กว่าปกติอีกราวๆสองชั่วโมง ก็เป็นอันว่าวันนี้ของเราก็ควรจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ เว้นเสียแต่ว่าผมได้รับโทรศัพท์ชวนให้ไปกินเหล้ากับพวกไอ้วิทและเพื่อนเอาเสียก่อน
“ทำไมมึงเพิ่งมาชวนกูเอาวันนี้ตอนนี้วะ ไอ้บ้า” ผมบอกมันไปหลังจากคำชวนแรกของมัน “นี่มันจะห้าโมงแล้วนะเว้ย”
“เอาน่า ตอนแรกพวกกูก็ไม่ได้ตั้งใจจะนัดกินเหล้าเหี้ยอะไรกันหรอก แต่นี่เมื่อเช้ากูตั้งใจจะมานั่งเล่นบ้านไอ้อีฟมัน แต่ปรากฏว่าไอ้เดียร์ก็กำลังจะมาเที่ยวอยู่แล้ว แถมแน่นอนว่าไอ้ป๋อมก็มาด้วย ตอนนี้ก็เลยมีกันอยู่สี่คน และพวกกูก็เลยโทรชวนคนอื่นๆมาด้วยเลยไง แค่กินข้าวกัน ไม่ได้มีอะไรหรอก”
“เดี๋ยวขอกูถามไอ้เมฆก่อนก็แล้วกัน เพราะตอนนี้พวกกูไม่ได้อยู่บ้าน กูเพิ่งซื้อของเข้าคอนโดกูกันเสร็จน่ะ นี่พ่อเล็กกับไคล์ก็อยู่ด้วยนะเนี่ย”
“อ้าวเหรอ เออ มึงลองไปถามไอ้เมฆดูก่อนแล้วกัน ถ้ามาได้ก็มา มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูแดกเผื่อ” ไอ้วิทหัวเราะ จากนั้นมันก็วางสายไป ผมจึงเดินเข้าไปหาไอ้เมฆที่กำลังนั่งคุยกับไคล์อยู่ที่ห้องรับแขก
“อ้าว แล้วพ่อเอกล่ะ” ผมถามพลางนั่งลงข้างๆมัน
“เข้าห้องน้ำน่ะ ว่าแต่จะกลับกันยัง จะกินข้าวบ้านหรือกินเข้าไปเลยดี ไคล์หิวอีกแล้วนะ”
“อะไรวะ หิวอีกแล้วเรอะ” ผมหันไปมองหน้าไคล์ “เออ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจล่ะนะ เราก็หิวได้ทุกๆชั่วโมงอยู่แล้วนี่”
“วัยกำลังโตน่ะ มันช่วยไม่ได้” ไคล์ยักไหล่
“แต่ซันมีอีกข้อเสนอมาให้เมฆนะ” ผมหันกลับมาหาไอ้เมฆ “เมื่อกี๊ไอ้วิทโทรมาว่ะ แล้วมันชวนเราสองคน ไม่สิ ทั้งสามคนเลยไปกินข้าวที่บ้านไอ้อีฟน่ะ นัดกันแบบฉุกละหุกนิดหน่อย ตอนนี้ที่นั่นก็มีอีฟ เดียร์ มัน แล้วก็ไอ้ป๋อมแค่นั้นมั๊ง เดี๋ยวคนอื่นๆก็คงจะตามกันไปอีกแต่ไม่รู้มีใครบ้าง มึงเอาไงอ่ะ”
“อืมมม....... กูว่ากูผ่านดีกว่าว่ะ ขอพาพ่อเอกกลับบ้านไปพักดีกว่า เพราะดูท่าทางพ่อจะเหนื่อยมากแล้ว มึงไปเหอะ ฝากทักทายพวกมันด้วยก็แล้วกัน แต่อย่าเมามากแล้วหนีไปแรดไหนต่อไหนกับพวกมันนะเว้ย ไม่งั้นกลับบ้านมาแล้วคุณซันโดนคุณเมฆเล่นงานแน่นะครับ” ไอ้เมฆหันมายิ้มให้กับผม และผมก็ชะโงกหน้าเข้าไปประทับจูบของผมลงบนริมฝีปากคู่นั้นเบาๆโดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มสดใสในครั้งนี้ของมันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของรอยทางแห่งน้ำตาที่เราสองคนใกล้จะต้องเผชิญ.........
เย็นวันนั้นหลังจากที่ไอ้เมฆ พ่อเล็ก และไคล์ขับรถออกจากคอนโดไปแล้ว ผมก็ขับรถแยกไปยังบ้านของอีฟที่เป็นจุดนัดหมายของพวกเราตามลำพัง เมื่อผมไปถึงที่นั่น เพื่อนๆของเราหลายคนก็กำลังนั่งกินเหล้าสังสรรค์กันอยู่แล้ว และหนึ่งในนั้นก็มีไอ้แบ๊งค์ที่ท่าทางจะเมากว่าคนอื่นๆอยู่หน่อยอยู่แล้วด้วยเช่นกัน
“นี่มึงมันคออ่อนหรือขี้เหล้ากันแน่วะ ไอ้แบ๊งค์ กูเจอมึงทีไรก็เห็นเมาเป็นหมาทุกที” ผมทัก
“ก็ถ้าเมาแล้วมันมีความสุขกูก็อยากจะเมานี่หว่า” ไอ้แบ๊งค์ตอบ
ผมส่ายหน้าเบาๆให้กับมันก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ว่างถัดจากมันมาพอสมควร และคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมแล้วก็คือไอ้วิทนั่นเอง
“ทำไมไอ้เมฆไม่มาวะ ซัน”
“กลับบ้านไปส่งพ่อเล็กกับไคล์น่ะ ท่าทางพ่อเค้าจะเหนื่อยแล้ว ไอ้เมฆมันก็เลยอยากให้เค้ากลับไปพักผ่อนไวๆ แต่มันก็ฝากความคิดถึงมาให้พวกมึงทุกคนด้วยนะ เออ แล้วก็มันฝากกูมาบอกมึงว่าเวลามึงว่างๆก็ให้โทรไปคุยกับมันที มันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยว่ะ”
“เอ้า เรื่องอะไรวะ มึงก็ไม่รู้เหรอ”
“เรื่องไคล์มั๊ง เอาเหอะ มึงก็โทรไปคุยกับมันหน่อยก็แล้วกัน” ผมยกแก้วเหล้าที่ไอ้วิทเพิ่งชงให้ขึ้นจิบ “ว่าแต่นัทไม่มาเรอะ” ผมหันมองไปรอบๆท่ามกลางเพื่อนๆหลายคนที่สนามหญ้าหน้าบ้านนี่ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของนัทอยู่เลย
“มาไม่ได้มั๊ง เห็นว่าติดธุระอะไรสักอย่าง ต้องถามอีฟดูว่ะ”
“ก็ดีแล้วล่ะ” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ทำเป็นไม่สนใจกับสีหน้าสงสัยของไอ้วิทมัน
จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ไอ้แบ๊งค์ก็ยังคงไม่ได้เข้ามาวุ่นวายหรือพูดคุยกับผมเลย อาจจะเนื่องจากเพื่อนๆเราที่มากินกันคืนนี้ก็ปาเข้าไปจะสิบห้าคนแล้วก็ได้ ทำให้ส่วนมากแล้วใครนั่งอยู่ตรงไหนก็จะนั่งติดที่ แล้วก็จะได้พูดคุยกันเฉพาะคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันมากกว่า รวมทั้งเมื่อตัวผมเองย้อนนึกไปถึงคำพูดของไอ้เอ็นที่บอกว่าอย่าเพิ่งไว้ใจใครทั้งนั้น บวกกับสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้วว่ามันชอบผม คำพูดของมันที่เคยพูดออกมา และการกระทำของมันที่จู่ๆก็โผล่มาที่บ้านของไอ้เมฆพร้อมพี่จ๊อบในวันนั้น มันก็ทำให้ผมอดรู้สึกกังวลและข้องใจในตัวของมันไปด้วยไม่ได้....... แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงไม่สามารถลืมคำพูดของตัวเองที่บอกมันไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ว่าจะไปกินข้าวกับมันสองคนอีกครั้ง กับรอยยิ้มดีใจแบบเด็กๆ รอยยิ้มซื่อๆของมันหลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้จริงๆ
“กูว่ามึงดูเครียดๆนะ” ไอ้วิททักผม
“งั้นเหรอวะ ทำไมมึงคิดงั้นล่ะ”
“ก็ดูมึงกินหนัก แล้วก็เงียบด้วย ไม่สิ เงียบอย่างเดียวไม่พอ หน้ามึงเหมือนมึงกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาเลยด้วยว่ะ เพลาๆลงหน่อย อย่าลืมนะว่ามึงต้องขับรถน่ะ” ไอ้วิทปรามผมพร้อมกับดึงแก้วเหล้าผมออกจากในมือ “แต่ก่อนมึงไม่เป็นงี้นะ ปกติกูไม่ค่อยเห็นมึงกินแบบนี้เท่าไหร่เลย มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าวะ”
“หึ ไม่มีอ่ะ กูก็แค่คิดอะไรเพลินๆ แล้วเหล้ามันอยู่ในมือก็เลยกระดกเอาๆแค่นั้นเอง” ผมยิ้มออกมา “แต่ยังไม่เมาหรอก มึงไม่ต้องห่วง กูดูแลตัวเองได้”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่กูว่าไอ้เหี้ยนั่นท่าทางจะไม่ไหวแล้วนะน่ะ” ไอ้วิทพยักเพยิดไปทางไอ้แบ๊งค์ “ปกติมันก็คออ่อนอยู่แล้วนะ แล้วแม่งยังเลือกทำเก่ง”
“ปล่อยๆมันไปเหอะ นานๆที” ผมหันไปมองไอ้แบ๊งค์ที่หัวเราะร่วนอยู่กับเพื่อนๆ จากนั้นก็หันกลับมาหาไอ้วิท “ขอกูไปเติมน้ำแข็งก่อนนะ แล้วจากนี้ไปกูสัญญาว่าจะเหลือแค่น้ำส้มอย่างเดียวแล้วว่ะ”
“มึงไม่ต้องมาสัญญากู ไอ้ห่า กูไม่ใช่ไอ้เมฆแฟนมึง”
ผมหัวเราะและลุกขึ้นเดินไปเติมน้ำแข็งซึ่งก็ต้องเดินผ่านตรงที่พวกไอ้แบ๊งค์กำลังนั่งกันอยู่ ทำให้ผมบังเอิญได้ยินประโยคที่พวกมันกำลังคุยกันเข้าพอดี
“ทำไมมึงดูอารมณ์ดีจังวะ ไอ้แบ๊งค์ มีอะไรดีๆรึไง”
“ก็นิดหน่อยว่ะ กูก็แค่เจอของที่กูทำหายไปเมื่อนานมาแล้วน่ะ” ไอ้แบ๊งค์ตอบ เพราะท่าทางมันจะไม่รู้ว่าคนที่เดินผ่านข้างหลังมันคือผม ทำเอาผมถึงกับต้องสะดุด “ถ้าอะไรๆมันดีได้ไปตลอด มันก็คงจะดีว่ะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามน่ะนะ”
“น้ำแข็งจะหมดแล้วนะ อีฟ” ผมแกล้งพูดขึ้นมาเสียงดัง “จะให้กูออกไปซื้อให้มั๊ย”
“เออๆ ก็ดีเหมือนกัน เอ้าพวกมึง ผู้ชายเปล่าวะ ไปช่วยไอ้ซันมันคนนึงดิ่ เดี๋ยวขี่รถกูไปนี่แหละ”
ผมรับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์มาจากอีฟ จากนั้นก็เดินไปที่รถของมันโดยที่มีคนวิ่งตามหลังผมมาติดๆ ตอนแรกนั้นผมยังไม่รู้ว่าเป็นใครจนกระทั่งผมหันไปมองนั่นแหละถึงได้เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังผมนั้นก็คือไอ้แบ๊งค์
“มึงจะไปกับกูเรอะ” ผมถาม
“อือ อยู่ห่างๆเหล้าหน่อยก็ดี จะได้สร่างๆหน่อย ไม่งั้นไม่ไหวว่ะ เดี๋ยวเป็นอย่างคืนนั้นที่บ้านไอ้เมฆอีก” มันตอบเสียงอ้อแอ้
“ก็ดีแล้ว เอ้า งั้นก็ขึ้นมา” ผมสต๊าร์ทรถ และเมื่อไอ้แบ๊งค์ขึ้นซ้อนท้ายผมแล้ว ผมก็ขี่รถออกจากบ้านของไอ้อีฟไปยังหน้าปากซอยแล้วจอดรถที่หน้าร้านขายของที่ติดอยู่กับร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ที่เป็นรถเข็นร้านหนึ่ง ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของผมดังขึ้น และคนที่โทรเข้ามาก็คือไอ้เมฆนั่นเอง มันโทรเข้ามาถามผมว่าผมจะกลับไปกินข้าวที่บ้านอีกหรือเปล่า
“ไอ้เมฆโทรมาตามแล้วเหรอ ทำไมดูอารมณ์ดีจังวะ” ไอ้แบ๊งค์ถามหลังจากผมวางโทรศัพท์ไปเรียบร้อยแล้ว
“เปล่าหรอก มันแค่โทรมาถามว่ากูจะกลับไปกินข้าวบ้านอีกรึเปล่าน่ะ เออ เดี๋ยวกูจะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวหน่อยนะ มึงจะกินด้วยรึเปล่า”
“ก็ได้ กูนั่งเป็นเพื่อนมึงก็ได้ แต่กูไม่กินนะ ไม่ไหวแล้วว่ะ” ไอ้แบ๊งค์ส่ายหน้า
หลังจากที่เราสองคนนั่งลงที่โต๊ะจนผมเริ่มต้นกินก๋วยเตี๋ยวของผมแล้ว ไอ้แบ๊งค์ก็ยังคงนั่งจ้องหน้าผมเงียบอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดปนรำคาญเล็กน้อย
“มองห่าอะไรนักวะ” ผมพูด
“เปล่า ก็แล้วมึงจะให้กูมองอะไรล่ะ ก็กูเมานี่หว่า”
“มองเหี้ยอะไรก็มองไปดิ่ ไม่เห็นต้องมานั่งจ้องตอนกูแดกแบบนี้เลยนี่หว่า” ผมส่ายหน้าช้าๆก่อนจะก้มหน้าลงกินก๋วยเตี๋ยวต่อ “เออ แล้วนี่มึงมายังไงเนี่ย ขับรถมารึเปล่า จะกลับไหวเหรอวะ”
“มึงเป็นห่วงกูด้วยเหรอ” ไอ้แบ๊งค์ยิ้ม แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไป “คือ กูก็นั่งแท็กซี่มาว่ะ แล้วเดี๋ยวก็คงนั่งแท็กซี่กลับนั่นแหละ ไม่มีปัญหาหรอก”
ผมพยักหน้าตอบ แล้วเราสองคนก็เงียบกันลงไปอีกจนกระทั่งผมกินเสร็จ และหลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปซื้อน้ำแข็งออกมาสามถุงใหญ่ๆ จากนั้นไอ้แบ๊งค์ก็ขึ้นมานั่งซ้อนท้ายผมเหมือนเดิม
“เออ ไอ้แบ๊งค์ กูมีอะไรอยากจะบอกมึงว่ะ” ผมพูดขึ้นก่อนจะออกรถ
“หือ เรื่องอะไรวะ”
“ที่กูเคยนัดมึงไปกินข้าวอีกครั้งอ่ะ กูขอแคนเซิ่ลได้มั๊ยวะ ช่วงนี้กูมีปัญหานิดหน่อยว่ะ เลยคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
“อ้าวงั้นเหรอ........” เสียงของไอ้แบ๊งค์ดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “เออ ไม่เป็นไรหรอก กูเข้าใจ”
“กูขอโทษทีนะเว้ย คิดซะว่ามากินที่บ้านไอ้อีฟคืนนี้เป็นนัดแบบผิดแผนของกูไปหน่อยก็แล้วกันนะ เพราะหลังจากนี้แล้วกูก็ไม่แน่ใจแล้วว่ะว่าจะได้ไปไหนมาไหนแบบนี้อีกรึเปล่าน่ะ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก เฮ้ย กูว่าเรารีบกลับเถอะว่ะ เดี๋ยวพวกมันจะรอน้ำแข็งนาน”
ผมพยักหน้า จากนั้นก็สต๊าร์ทรถและเริ่มขี่รถออกไป และระหว่างทางขณะที่ไอ้แบ๊งค์กำลังซ้อนท้ายผมอยู่นั้น ก่อนจะถึงหน้าบ้านของอีฟไม่นาน ผมก็รู้สึกได้ว่าไอ้แบ๊งค์มันเอาหัวของมันมาพิงอยู่บนหลังของผม และมือข้างหนึ่งของมันก็ค่อยๆเขยิบมาโอบเอวผมเอาไว้อย่างช้าๆด้วย
“กูขอโทษว่ะ.......” ไอ้แบ๊งค์พึมพำออกมาเบาๆ แต่มันคงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วผมได้ยินสิ่งที่มันพูดออกมาทุกคำ