ก่อนที่นาฬิกาจะหยุดเดิน.......ความในใจของท้องฟ้า
ความเจ็บปวดของก้อนเมฆ
ความเสียใจของพระอาทิตย์
ความสูญเสียของก้อนหิน..........
และ “น้ำตา” ที่พาทุกสิ่งไปสู่จุดสุดท้ายของการเดินทาง
.
.
.
“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆใช่มั๊ย เมฆ” ไอ้ซันถามผมอีกครั้งหลังจากที่ผมบอกเส้นทางสุดท้ายที่เราควรจะก้าวเดินต่อไปให้มันฟังแล้ว
“กูคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้วก็ได้”
มันจะรู้บ้างไหม ว่าทุกๆคำที่ผมพูดออกไปมันทำร้ายผมมากขนาดไหน ความรักที่ผมมีให้แก่มันก็ไม่เคยลดลงไปเลยแม้แต่น้อยนับจากวินาทีแรกที่เรารู้จักกันไปจนถึงวินาทีแรกที่ผมเห็นมันจูบกับไอ้แบ๊งค์ ความผูกพันเราก็มีให้แก่กันไม่น้อยหน้าใครคู่ไหนๆ แต่ทำไม.......... ทำไมผมจะต้องตัดสินใจทำอะไรในสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะทำนี่เลยด้วย
ผมค่อยๆดึงแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออกต่อหน้าของมันอย่างช้าๆ ส่วนมันก็ทำตามผมเช่นเดียวกัน และเมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว น้ำตาของผมมันก็เริ่มไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป สีหน้าเจ็บปวดของมัน ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของมันนั่นพูดสิ่งที่อยู่ในใจของมันในวันนี้แต่มันกลับเลือกที่จะไม่พูดออกมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมรักมัน มันเองก็รักผม ผมมั่นใจในเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วความรักอย่างเดียวมันก็อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวไปจนตลอดรอดฝั่งไม่ได้.......... แต่ความไว้วางใจก็เป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดด้วยเช่นกัน
และถึงมันจะยังไม่ได้ถูกทำลายไปจนหมด แต่ความเชื่อใจของผมที่มีให้แก่มันก็เริ่มถูกกัดกินไปทีละน้อยๆนับตั้งแต่เมื่อคืนนี้เป็นครั้งแรกแล้ว และมาในตอนนี้ มันก็เริ่มถูกทำลายมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยคำพูดที่มันพูดออกมาและสิ่งที่มันยังคงเก็บงำไว้ในใจ ทั้งๆที่นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราสองคนจะได้คุยกันแบบนี้แล้วแท้ๆ
ผมเอื้อมมือออกไปวางแหวนของผมวางไว้ใกล้ๆแหวนของมัน และไอ้ซันก็ทำท่าจะกุมมือของผมเอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ว่าผมไม่อยากจะรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว ผมจึงชักมือกลับและยกขึ้นมาจับที่สร้อยคอที่ผมห้อยคอมาด้วยในวันนี้
สร้อยคอแห่งคำสัญญาของเราสองคน.........
“เมฆ กูขอร้อง กูขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายก็ได้ มึงอย่าเพิ่งถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาจะได้มั๊ย” ไอ้ซันร้องห้ามด้วยสีหน้าที่ราวกับมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆลงในตอนนี้ไม่ว่าวินาทีไหนก็ตาม “อย่างน้อยๆก็จนกว่าทุกอย่างมันจะชัดเจนนะ เมฆ ถือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากกูแล้วกัน”
“ก็ได้.......” ผมลดมือลง แววตาที่เจ็บปวดขณะที่ร้องขอผมนั้นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกว่าเราสองคนมาอยู่ในสถานะอย่างตอนนี้ได้ยังไง “กูรักมึงนะซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ย.........”
“อืม กูรู้”
“กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ ซัน กูรักมึงจริงๆ.......” ผมพูดพร้อมๆกับน้ำตาที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ภาพของมันที่จูบกับไอ้แบ๊งค์ และคำพูดของมันที่ไม่ปฏิเสธความสัมพันธ์ของพวกมันสองคนแถมยังยอมรับออกมาอีกนั่นมันก็ทำให้ผมเจ็บปวดมากจริงๆ
ผมรู้สึกเหมือนผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเชื่ออะไรอีกต่อไปดีแล้ว........ มันเป็นเหมือนความรู้สึกของก้อนเมฆที่ลอยอยู่ค้างฟ้าและกำลังจะร่วงหล่นลงมาได้ไม่ว่าในวินาทีไหนก็ตาม เพราะไม่มีสิ่งใดและความเชื่อมั่นใดๆเหลือให้ก้อนเมฆใช้ยึดเหนี่ยวเพื่อลอยอยู่เคียงคู่ท้องฟ้าสีครามอีกต่อไป
“กูก็รักมึง เมฆ....... มึงไม่เชื่อกูงั้นเหรอ” ไอ้ซันพูดแต่ผมกลับส่ายหน้า
“กูไม่รู้...... กูไม่รู้จริงๆ กูไม่รู้ว่าเรามาเป็นแบบนี้กันได้ยังไง ทำไมระหว่างเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
“กูก็เหมือนกัน...... แต่กูรักมึงจริงๆนะ ถึงยังไงๆกูก็รักมึง มันอาจจะฟังดูยากที่ให้เชื่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นความจริง”
“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”
ผมนึกถึงคำสัญญาของเราสองคนที่ทะเลขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดตอนนี้ขอบฟ้าของเรามันก็มีอิทธิพลเหนือความสัมพันธ์ที่ข้ามพ้นกลายเวลาของเราสองคนไปซะแล้ว ดังนั้นมันคงไม่มีอะไรที่ความผูกพันที่เรามีให้แก่กันและกันมันจะทำได้อีกต่อไปแล้ว.........
เมื่อผมพูดจบและไอ้ซันก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้ว ผมจึงหลับตาลงและเบือนหน้าหนีไปจากใบหน้าของมัน ผมไม่อยากจะเห็นสีหน้าของมันในตอนนี้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะเห็นหน้าของมันอีก แต่ผมทนดูสีหน้าเจ็บปวดของมันนี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ ผมไม่อยากจะทนรับความจริงที่ว่าผมกำลังทำให้มันต้องเจ็บปวด ในขณะที่ผมเองก็เจ็บปวดมากไม่แพ้กันแบบนี้..........
ผมหยิบมาแหวนทั้งสองวงขึ้นมาใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ผมไม่อยากจะมองหน้าของมันอีกแล้ว ผมไม่อยากจะให้สีหน้าของมันแบบนี้เป็นใบหน้าสุดท้ายในความทรงจำที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของผม
“เราจะได้เจอกันอีกครั้งใช่มั๊ย” ไอ้ซันถามขึ้น
ผมหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้กับมัน “เมื่อไหร่ที่ขอบฟ้าของเราคือขอบฟ้าเดียวกันอีกครั้ง เมื่อนั้นกูกับมึงก็คงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ซัน” เมื่อพูดจบ ผมก็หันหลังกลับแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่แล้วผมก็ถูกเรียกให้หยุดลงอีกครั้ง
“เดี๋ยวเมฆ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว........ มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”
มึงอย่าพูดแบบนี้ได้มั๊ย ซัน.......... นี่มันไม่ใช่สิ่งที่กูอยากจะได้ยินเลยจริงๆ แต่ทว่าถึงอย่างนั้น คำว่ารักจากปากของมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นพร้อมๆกับความเจ็บปวดที่ยิ่งทิ่มแทงหัวใจมากขึ้นไปอีกอย่างแสนสาหัสพร้อมๆกันด้วย ผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ได้รู้ว่าการที่มันรักผมนั้นมันจะทั้งทำให้ผมดีใจและเจ็บปวดเจียนตายได้มากถึงเพียงนี้
ผมไม่สามารถห้ามน้ำตาของผมได้อีกต่อไปแล้ว.........
“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”
เมื่อพูดจบผมก็เดินจากออกมา พร้อมกับทิ้งความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมอีกครั้งเอาไว้เบื้องหลัง ตอนนี้ก้อนเมฆเดินจากออกไปจากท้องฟ้าอันเป็นที่พักพิงของมันแล้ว และนับจากนี้ไป มันก็คงจะเป็นได้แค่สายฝนแห่งน้ำตาที่ไหลลงสู่พื้นดินอย่างเจ็บปวด และคงไม่สามารถลืมความสุขในยามที่มันเคยมีร่วมกันกับท้องฟ้าและพระอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามดวงนั้นได้เลย
น้ำตาแห่งความเสียใจใดจะเท่ากับน้ำตาของการจากลาทั้งๆที่ยังรักและโหยหาอยู่มากมายถึงเพียงนี้...........
..............................................................................................
“เมื่อก้อนเมฆต้องเศร้าสร้อย ความเสียใจทุกหยดในหัวใจ ถูกกลั่นออกมาเป็นสายฝน จนตัวตาย แตกสลาย และร่วงหล่น ลงสู่พื้นดิน..........”
“เมื่อท้องฟ้าต้องเสียใจ ความสูญเสีย เปลี่ยนสีฟ้าคราม ให้กลายเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด เมื่อก้อนเมฆอันเป็นที่รักลาจาก ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เหลือไว้เพียงความเสียใจ ที่ไร้ค่า และไม่มีใครคิดจะเห็นใจ..........”..............................................................................................