]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 164009 ครั้ง)

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


เมื่อวานไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร . .  .

แต่ . . . ตอนนี้  เวลานี้  รู้แล้ว

ณ ๐๙.๕๕  ตอนนี้อยู่  สนามบินกระบี่อ่ะ


ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
^
^
^
^
จึ้ก คนข้างบน
 :m20: :m20:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
แวะเข้ามาเยี่ยมครับ...แต่ เอ ไหงมันกลับไปอยู่ที่ตอนที่ 9 อ่ะ


คิดถึงคุณต้นนิ่มครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 10


“มันโทรหามึงทำไม แล้วทำไมมึงถึงต้องออกไปคุยกับมันข้างนอกด้วย และที่สำคัญมันไปเอาเบอร์มึงมาจากไหน” ผมชักจะเริ่มหงุดหงิดซะแล้ว

“เดี๋ยว มึงใจเย็นๆก่อนได้มั๊ย” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับเดินมานั่งลงบนโซฟา มันก้มหน้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม “ที่กูออกไปคุยข้างนอกน่ะ เพราะกูคิดว่าถ้ามึงรู้ว่าเป็นพี่จ๊อบโทรมา มึงจะไม่ให้กูคุยน่ะสิ และที่กูอยากคุยกับเขา ไม่สิ ไม่ใช่ว่ากูอยากคุย มันก็แค่พอรู้ว่าเป็นพี่เค้าโทรมา ความคิดแวบแรกของกูเลยก็คือมันน่าจะเกี่ยวกับนัท ดังนั้นกูก็เลยจำเป็นต้องคุยดูก่อนไง ว่าจริงๆแล้วเค้ามีเรื่องอะไรกันแน่”

“เออ มึงแคร์นัท กูยอมรับก็ได้ แล้วไง มันเอาเบอร์มึงมาจากไหน แล้วตกลงมันโทรมาเรื่องอะไร”

“เค้าก็บอกเอามาจากนัทนั่นแหละ......... ซัน พี่จ๊อบเค้าบอกว่าหลังจากกลับมาจากระยองแล้วนัทดูเปลี่ยนๆไปว่ะ ดูเงียบๆ ซึมๆ แล้วก็ไม่ค่อยจะคุยกับพี่เค้าเหมือนก่อน” ไอ้เมฆถอนหายใจเบาๆ

“ก็แล้วไงล่ะวะ แล้วมันโทษว่าเป็นความผิดของมึงรึไง”

“เปล่า พี่เค้าก็แค่โทรมาเล่าให้ฟังน่ะ ส่วนกูก็แค่บอกว่ากูคงทำอะไรไม่ได้ ยิ่งถ้าเรื่องนี้มันมีกูเป็นต้นเหตุ กูก็ยิ่งไม่ควรเข้าไปยุ่ง พี่เค้าเองนั่นแหละที่ควรจะดูแลนัทเอง แบบนี้มึงว่ากูเห็นแก่ตัวรึเปล่าวะ พี่เค้าก็อุตส่าห์โทรมาเล่ามาปรึกษากู และจริงๆกูก็อาจจะเป็นคนผิดด้วย”

“มึงอย่ามางี่เง่าน่าเมฆ มึงจะผิดได้ยังไง หรือมึงจะพูดว่าที่มึงรักกูนั้นมันผิด”

“เฮ้ย กูไม่ได้คิดแบบนั้นนะ” ไอ้เมฆรีบออกตัว “กูขอโทษ ซัน กูไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น”

“เออ ก็ดีแล้ว มึงฟังกูนะ ถ้านัทรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ มันอาจจะถูกที่ว่ามึงมีส่วนในเรื่องนั้นด้วย แต่ถึงยังไงๆทั้งหมดนี่นัทเค้าก็ทำตัวเค้าเอง เค้าปล่อยให้ความรู้สึกให้อารมณ์มันเข้ามาครอบงำตัวเขาเอง มึงไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย เข้าใจมั๊ย อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ มึงทำอะไรไม่ได้ และพี่จ๊อบเองก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยเหมือนกัน นัทนั่นแหละ ที่ต้องพิจารณาและทำใจให้ได้ด้วยตัวเอง”

ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าออกมาช้าๆพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ

“กูขอโทษว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจจะเครียดขนาดนั้นหรอกนะ แต่ไม่รู้สิ ไม่รู้ทำไมกูถึงได้รู้สึกแปลกๆแบบนี้เหมือนกันว่ะ”

ผมนั่งมองหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พยายามไม่คิดไปในทางที่ไม่ดี แต่สุดท้ายมันก็อดที่จะถามในสิ่งที่คาใจผมมาตลอดไม่ได้

“นี่มึงรักนัทมากเลยใช่มั๊ย........”

ไอ้เมฆรีบหันกลับมามองหน้าผมทันที “นี่มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ซัน อย่าบอกกูนะว่ามึงคิดมากเรื่องนั้นน่ะ”

“กูจะคิดหรือไม่คิดก็คงต้องรอฟังคำตอบมึงก่อน เมฆ มึงบอกกูสิ ว่ามึงรักและแคร์นัทมากขนาดนั้นเลยใช่มั๊ย”

“ซัน กูรักมึง กูแคร์มึง ถ้าจะให้เทียบกับนัทนะ มันเทียบกันไม่ได้เลย นัทเป็นแค่แฟนเก่ากูและเป็นเพื่อนกู แต่มึงเป็นทั้งเพื่อน เพื่อนสนิท แล้วก็แฟนกูด้วย เพียงแต่ที่กูไม่สบายใจเนี่ย มันก็เป็นเพราะเหมือนกับว่ากูเป็นต้นเหตุสำหรับเรื่องทั้งหมดเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความกูแคร์นัทมากถึงขนาดจะยอมแลกอะไรๆกับความรู้สึกของมึงหรอกนะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน เพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมานานมากแล้วด้วย เพราะฉะนั้นห้ามมึงคิดแบบนั้นอีกเด็ดขาด เข้าใจรึเปล่า”

ผมยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าช้าๆเพื่อเป็นการยืนยันให้กับมัน และเพื่อยืนยันความคิดของตัวผมเองที่เคยมีอยู่แล้วให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย ถึงผมจะค่อนข้างแน่ใจและรู้อยู่แล้วว่าไอ้เมฆมันต้องคิดและตอบผมกลับมาแบบนี้ แต่ตลอดเวลาสามปีที่เราคบกันมา ผมกับมันแทบไม่เคยคุยถึงเรื่องอดีตเก่าๆที่เราต่างก็เคยมีใครๆก่อนจะมาคบกันเลย และผมเองก็ไว้ใจมันมากมาตลอดเวลาด้วย เพียงแต่ตั้งแต่กลับมาถึงประเทศไทยนี่ ดูเหมือนไอ้เมฆมันจะคิดมากและเป็นกังวลกับเรื่องของนัทมากซะจนผมเริ่มจะกังวลซะแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ในที่สุดผมก็ได้ถามมันออกไป และก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ที่คำตอบที่ผมได้รับนั้นมันเป็นไปตามที่ผมคิดและต้องการจะได้ยิน..........

วันรุ่งขึ้นไอ้เมฆมันต้องเข้าบริษัทไปกับพ่อของมัน ส่วนผมเองจะมีนัดของตัวเองก็อาทิตย์หน้า ทำให้ผมต้องอยู่คนเดียวว่างๆอีกหนึ่งวัน และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอยู่บ้านเฉยๆด้วย พอเกือบจะเที่ยงผมจึงตัดสินใจโทรหาไคล์และชวนมันออกไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมันก็ตอบตกลงเพราะว่าตอนบ่ายมันไม่มีเรียนแล้ว

“อีกสี่วันจะถึงวันเกิดไอ้เมฆแล้วนะ ไคล์ เราคิดว่าเอาไงดี” ผมถามขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ในร้านไม่ไกลจากมหาลัยของมัน

“เออ จริงด้วย 22 สิงหา ผมเกือบลืมไปเลยนะเนี่ย”

“แต่พี่ลืมไม่ได้น่ะสิ ขืนลืมล่ะตายห่าแน่ ไอ้เมฆมันงอนตาย โชคยังดีที่พี่มีนัดเข้าบริษัทอาทิตย์หน้า เพราะงั้นพี่ก็เลยยังว่างอยู่”

“แล้วซันหมายความว่ายังไง ที่ถามว่า ‘เอาไงดี’ น่ะ” ไคล์หัวเราะเบาๆ

“ก็แปลว่าพี่ยังไม่รู้เลยน่ะสิว่าทำอะไรให้มันดี ก็อยากพาไปกินข้าวนะ แต่มันก็ซ้ำซากว่ะ”

“จัดเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้ไปเลยสิ ไหนๆก็กลับมาที่ไทยแล้วนี่ เพื่อนๆทั้งคู่ก็มีอยู่ครบ พ่อของศิลาก็อยู่ ศิลาเองก็คงอยากจะฉลองวันเกิดกับพ่อเค้าด้วยเหมือนกันแหละ เพราะงั้นผมว่าไม่ต้องไปกินที่ไหนไกลหรอกครับ แค่ซันลงมือทำอาหารเองและชวนเพื่อนสนิทๆมาที่บ้านก็คงพอแล้ว ซันยังไม่เคยทำอาหารให้เขากินเลยนี่นา แถมมันยังตรงกับวันเสาร์พอดีเลยด้วย ผมว่าน่าสนใจดีออก” ไคล์พูดอย่างอารมณ์ดี

“ให้พี่ทำอาหารเนี่ยนะ จะบ้ารึเปล่า” ถึงผมจะเคยเป็นลูกมือให้ไอ้เมฆมันมาแล้วหลายครั้ง และถึงมันจะเคยสอนผมแล้วหลายต่อหลายหน แต่ถ้าให้ผมทำคนเดียวโดยไม่มีคนคอยช่วยหรือถ้าให้ผมทำอะไรยากๆล่ะก็ ไม่มีทางที่ใครจะกินอาหารของผมลงแน่นอน

“ไม่เอาน่า พ่อของศิลาก็อยู่นี่ ให้เค้าช่วยสิ แถมไม่ต้องทำอะไรยากๆหรือทำเองทั้งหมดหรอก แค่ไม่กี่อย่างก็คงพอ ทำเค้กเองก็ได้ ผมว่าน่ารักดีจะตาย ได้เห็นซันใส่ชุดกันเปื้อนทำอะไรแบบนั้น” ไคล์หัวเราะชอบใจ

“ตลกแล้วน้องชาย ตลกใหญ่แล้ว” ผมเองก็หัวเราะไปกับมันด้วย “ว่าแต่ไคล์คุยกับพีครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”

“เมื่อคืนครับ ทำไมเหรอ”

“เปล่า ไม่มีอะไร พี่ก็แค่คิดถึงเรื่องที่พี่ไปคุยกับพี่แอมป์มาเมื่อวานน่ะ”

“เออใช่ เมื่อวานทั้งสองคนไปดูรูปมาแล้วนี่นา แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ....... เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมพี่ยิ้มแบบนั้นเนี่ย นี่มันมีอะไรกันแน่” ไคล์มีท่าทีระวังตัวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของผม

ผมหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงหยิบรูปถ่ายของเราออกมาให้ไคล์ดู พร้อมกับเล่าความเป็นมาของรูปแต่ละรูปตามที่พี่แอมป์บอกเรามาด้วย และรูปหลายๆใบก็ทำให้ไคล์ต้องร้องว้าวออกมาไม่ต่างกับเราสองคนเมื่อวานนี้เลย

“เป็นไง ใช้ได้มั๊ย” ผมถาม

“นี่มันสุดยอดไปเลย ซัน รูปที่ทั้งสองคนนอนตักกันเนี่ย มันจะน่าอิจฉาไปหน่อยรึเปล่า”

“อืมม พี่แอมป์เค้าถ่ายรูปเก่งเนอะ........... แล้วเราไม่สนใจจะไปถ่ายด้วยกันมั่งรึไง” ผมยิ้ม และเมื่อเห็นสีหน้าของไคล์ ผมจึงเล่าเรื่องที่เราคุยกับพี่แอมป์เมื่อวานเกี่ยวกับการดันให้เขาลองไปถ่ายแบบเข้าโมเดลลิ่งจริงๆจังๆดู

“อืมมม ไม่รู้สิครับ ผมคงต้องถามพีทก่อนนะ.........” ไคล์ตอบกลับมาอย่างระมัดระวังเมื่อฟังสิ่งที่ผมพูดเสร็จ “แล้วก็พ่อแม่ผมด้วย......... แต่ถ้าเป็นแม่ของผมนี่ก็คงจะ........” ไคล์ยักไหล่

“ก็คงจะอนุมัติอย่างรวดเร็วเลยน่ะสิ เขายิ่งอยากให้ลูกชายเป็นดาราจะตายอยู่แล้วนี่ พี่ว่าถ้าเราบอกป้าแอ๊นท์นะ เผลอๆป้าแกจะบินกลับมาไทยเพื่อส่งเสริมเราทันทีเลยด้วยซ้ำ ไคล์” ผมหัวเราะ

“ช่าย เพราะงั้นก็คงเหลือพีทคนเดียว ผมไม่รู้เขาจะคิดยังไงน่ะสิ คือ บอกตามตรงนะซัน ผมน่ะถูกคนชวนเยอะมากแล้วล่ะ ทั้งเพื่อนพูดเล่นมั่งจริงมั่ง คนคณะอื่นมั่ง หรือแม้แต่เวลาที่ไปเดินเล่นกับเพื่อนตามห้างก็เคยมีนะ แต่พอผมบอกพีททีไร เขาก็จะบอกว่าให้แล้วแต่ผมตัดสินใจนั่นแหละ แต่เขาก็อยากให้ผมรอจนกว่าเขาจะกลับไปไทยก่อนอยู่ดี”

“แต่ตอนนี้พี่กับเมฆก็กลับมาดูแลเราได้แล้วนี่นา รับรองว่าพี่สองคนไม่มีทางปล่อยให้เราไปทำเจ้าชู้ใส่คนอื่นอยู่แล้วล่ะน่า”

“ไม่อาน่า ซัน พี่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ พีทเขาก็แค่อยากจะรับรู้ได้ตลอดเวลาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจผมสักหน่อย”

“พี่รู้ๆ แต่ก็ลองคุยกับเขาดูก่อนก็แล้วกัน เพราะพี่ว่าพีเองก็ไว้ใจให้เมฆช่วยดูแลเราแทนตัวเขาเองมากอยู่แล้วนะ และอีกอย่าง มันไม่ใช่ว่าแค่ไปถ่ายรูปหรือเข้าโมเดลลิ่งอะไรแล้วจะดังเลยทันทีสักหน่อยนี่นา และที่สำคัญก็คือตัวไคล์เองนั่นแหละที่สนใจจะทำจริงๆรึเปล่า ก็แค่นั้นเอง คนอื่นไม่เกี่ยวหรอก”

“ช่าย อันนั้นผมก็รู้ เอางี้ เดี๋ยวผมจะคุยกับพีทแล้วก็กับพ่อแม่ของผมดูอีกทีก็แล้วกันครับ ได้คำตอบเมื่อไหร่แล้วผมจะบอกทั้งสองคนทีหลังแล้วกัน........” ไคล์พูดจบแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง “นี่ ผมไม่เข้าใจนะว่าทำไมคนไทยถึงได้มองว่าผมหน้าตาดีขนาดนั้นเนี่ย ผมหมายถึง ตอนอยู่ที่อังกฤษผมก็ค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจของคนอื่นอยู่เหมือนกันหรอกนะ แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนี้เลย ไม่นึกเลยว่าพอมาที่ประเทศไทยแล้วคนอื่นจะสนใจผมมากถึงขนาดนี้”

“ก็คงเป็นเพราะที่อังกฤษน่ะ คนหลายๆเชื้อชาติมันยังไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่มั๊ง ถึงเราที่มีผสมกันถึงสามสี่เชื้อแบบนี้จะดูเด่นกว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็คงดูไม่ได้แปลกประหลาดอะไรขนาดนั้น เพราะเราน่ะยังดูเป็นฝรั่งมากกว่าคนเอเชีย แต่ที่ประเทศไทยเนี่ย คนไทยมักจะบ้าฝรั่งหรือพวกลูกครึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะงั้นก็ทำใจซะเถอะน้องชาย”

“เพื่อนผมก็พูดเหมือนกันนะว่าผมมันดูแปลกดี ทั้งสีผิวสีตา แถมยังสูงอีกต่างหาก......... เนี่ย อย่างตอนนี้ซันลองมองดูโต๊ะข้างๆหรือโต๊ะอื่นๆสิ ผมว่าเราสองคนถูกคนอื่นแอบมองอยู่หลายหนแล้วนะ”

“ก็ไม่เห็นแปลกนี่” ผมหัวเราะ “ก็คนหน้าตาดีสองคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันแบบนี้ ใครๆเค้าก็คงมองทั้งนั้นแหละ ยิ่งเดี๋ยวนี้เทรนด์คนหล่อเป็นเกย์ยิ่งมาแรง โต๊ะอื่นเค้าอาจจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนึกเสียดายอยู่ในใจก็ได้มั๊ง”

บ่ายวันนั้นผมกลับไปถึงบ้านแล้วก็โทรหาเพื่อนคนอื่นๆเพื่อปรึกษาเรื่องวันเกิดของเมฆทันที โดยทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความคิดของไคล์เนี่ยน่าสนใจที่สุดแล้ว แต่ปัญหาอย่างสุดท้ายก็คือผมต้องคุยกับพ่อเล็กเสียก่อนว่าผมจะรบกวนบ้านของเขาทำแบบนี้ได้รึเปล่า

เย็นนั้นหลังจากที่ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านแล้ว บนโต๊ะอาหารเราจึงนั่งคุยกันถึงเรื่องงานของเมฆที่กำลังจะได้เริ่มต้นทำเร็วๆนี้ ซึ่งก็นับว่าพ่อเล็กช่วยเราได้มากในการให้ไอ้เมฆเริ่มงานครั้งแรกในวันจันทร์ เพราะเค้าเห็นว่าวันเสาร์เป็นวันเกิดของไอ้เมฆแล้ว และก็ดูเหมือนจะรู้ด้วยว่าผมคงมีแผนที่จะทำอะไรสักอย่างด้วย ดังนั้นหลังจากที่ผมไล่ไอ้เมฆให้ขึ้นไปอาบน้ำแล้ว ผมจึงปรึกษาพ่อเล็กเรื่องงานเล็กๆที่ผมวางแผนเอาไว้ทันที และพ่อเล็กเองก็ชอบและสนับสนุนนความคิดของผมมาก

พอถึงคืนวันศุกร์ ผมกับเมฆก็ออกไปนั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านๆนี้เป็นร้านที่เพื่อนของเราแนะนำมาว่าทั้งบรรยากาศและอาหารดีใช้ได้ พวกมันหลายคนมากันบ่อย ผมจึงเชื่อพวกมันและพาเมฆมาที่นี่เพื่อทำการการฉลองวันเกิดของมันเล็กๆล่วงหน้ากันสองคน ก่อนที่พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้มีเวลาส่วนตัว ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปดีมาก ทั้งอาหารทั้งบรรยากาศของร้านถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของไอ้เมฆดังขึ้น และเมื่อมันกดรับ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าอีกฝั่งหนึ่งของสายเป็นใคร

“ฮัลโหลครับ ก็....... ไม่ว่างเท่าไหร่หรอกครับ ผมกำลังทานข้าวอยู่น่ะครับพี่.........” ไอ้เมฆพูดตอบอีกฝ่ายไปด้วยท่าทางไม่ค่อยสบายใจ จากนั้นมันก็หันกลับมาทำปากบอกผมว่า “พี่จ๊อบ”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นบ้าง และพอผมมองดูที่เบอร์โทรเข้ามันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายปนหงุดหงิดนิดหน่อยเหมือนกัน

“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า” ผมกดรับสายหลังจากลังเลว่าจะรับดีหรือไม่อยู่ครู่หนึ่ง

“เปล่า ไม่มีอะไร กูแค่โทรมาถามว่าพรุ่งนี้มึงจะจัดงานวันเกิดให้ไอ้เมฆกันใช่มั๊ย” ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมา

“ใช่ พวกไอ้วิทบอกมึงแล้วเหรอ”

“อืมม กูเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง มึงจะจัดกันตอนเย็นๆน่ะเหรอ”

“ก็ใช่ เฮ้ย แล้วมึงมีอะไรรึเปล่า คือกูกำลังกินข้าวอยู่ว่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆก็เห็นว่ามันวางโทรศัพท์จากพี่จ๊อบเรียบร้อยแล้ว และก็กำลังนั่งมองหน้าผมอยู่ด้วย

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก มึงไปกินข้าวเหอะ แล้วเดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้” เมื่อพูดจบไอ้แบ๊งค์ก็วางสายไปทันที

“ใครโทรมาวะ” เมฆถามขึ้นเมื่อมันเห็นสีหน้าของผม

“ไอ้แบ๊งค์น่ะ มันโทรมาถามเรื่อง.........” ผมชะงัก เพราะไอ้เมฆยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ผมกับพ่อของมันวางแผนจะจัดงานวันเกิดให้กับมัน

“เรื่องอะไร”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พี่จ๊อบมันโทรมาทำไม” ผมบอกปัดพร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง แต่ไอ้เมฆก็ยังคงมีสีหน้าสงสัยและดูท่าทางไม่ค่อยไว้ใจอยู่ดี

“มึงอย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง เรื่องไอ้แบ๊งค์เนี่ย มึงทำตัวผิดปกติมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ทะเลแล้วนะ” ไอ้เมฆเริ่มมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะยังคงติดใจเรื่องตอนที่อยู่ที่ระยองกันอยู่อีก แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้คิดว่าผมจะซ่อนความรู้สึกจากมันได้อยู่แล้วน่ะนะ

“ไม่มีอะไรหรอกน่า มึงเชื่อกูสิ......” ผมเองก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็จำเป็นต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้ เพราะเรื่องในคราวนี้ผมเป็นฝ่ายผิดเองที่พูดจาไม่ชัดเจน แต่จะให้บอกมันเรื่องงานวันเกิดที่เราแอบจัดในวันพรุ่งนี้ผมก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน “เอาเป็นว่า มันไม่มีอะไรจริงๆ กูเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับมัน มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ ถ้ามันเกิดมีอะไรสำคัญ กูก็จะบอกมึงเองก็แล้วกัน โอเคมั๊ย”

ไอ้เมฆมีท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพยักหน้ายอมรับ

“ดีมาก ซันขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะครับ แต่เมฆต้องเชื่อใจซันนะ” ผมยิ้ม แล้วก็ตักอาหารตรงหน้าไปวางไว้ในจานของมัน “เอ้า กินซะ จะได้โตไวๆ ไหนๆก็น้ำหนักใกล้จะเท่ากูแล้วนี่ ขุนอีกหน่อย พี่แอมป์จะได้ได้แฝดต่างฝาไปเป็นนายแบบอย่างที่พี่เขาบอกจริงๆซะเลยไง”

เราสองคนนั่งกินข้าวและพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ๆ จนดูเหมือนเราสองคนจะลืมเรื่องโทรศัพท์เมื่อสักครู่ไปแล้ว แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ผมเองก็ยังคงข้องใจมากอยู่ดีว่าพี่จ๊อบมันโทรหาไอ้เมฆทำไม แต่ถ้าถามไปตอนนี้มันก็คงเท่ากับไปรื้อฟื้นและทำลายบรรยากาศดีๆไปซะเปล่าๆ และถ้ามันเกิดมีอะไรไม่ดีขึ้นมาจริงๆ ไอ้เมฆก็คงจะบอกผมเองนั่นแหละ ผมเชื่อใจมันในเรื่องนี้ ส่วนอีกเรื่องที่รบกวนจิตใจของผมเกือบจะตลอดทั้งมื้ออาหารนั่นก็คือ คำพูดส่งท้ายของไอ้แบ๊งค์ที่บอกว่า “เจอกันวันพรุ่งนี้”

ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้มันมา แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังไว้ว่ามันจะมาหรือแม้แต่รู้เรื่องนี้ซะด้วยซ้ำ เพราะผมไม่มั่นใจเลยว่าสถานการณ์มันจะออกมาเป็นยังไง และที่สำคัญคือผมไม่อยากจะให้มีอะไรมาทำให้ผมเสียอารมณ์หรือรู้สึกไม่ดีๆในงานดีๆของคนที่ผมรักจริงๆ ถึงแม้ความเสี่ยงมันจะมีอยู่เพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ผมก็ยังคงไม่อยากที่จะเสี่ยงมันอยู่ดี............


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 11


เช้าวันเสาร์ เราทั้งสามคน ซึ่งได้แก่ผม เมฆ และพ่อเล็ก ต่างก็ตื่นกันมาแต่เช้าเพื่อใส่บาตร ยกเว้นแต่ไคล์ที่เพิ่งกลับบ้านมาเมื่อคืนยังคงนอนหลับสบายใจอยู่คนเดียวในห้อง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าวันนี้มันต้องมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือผมด้วย พอตอนสายๆผมกับพ่อเล็กก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ นั่นก็คือพ่อเล็กจะชวนเมฆกับไคล์ออกไปซื้อของข้างนอก โดยพ่อเล็กจะแยกไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ทำอาหารวันนี้คนเดียว และให้ไคล์ไปเดินอยู่กับเมฆ จากนั้นพ่อเล็กจะทำเป็นมีธุระสำคัญต้องรีบกลับก่อน ในขณะที่ไอ้เมฆมันจำเป็นต้องอยู่ดูหนังอยู่กับไคล์เพราะโดนตื้อ ส่วนพ่อเล็กก็จะกลับมาช่วยผมทำอาหารและเตรียมบ้านให้เรียบร้อยเพื่อรองรับคนและงานในคืนเย็นนี้

พอถึงตอนบ่ายโมง พ่อเล็กก็กลับบ้านมาพร้อมกับวัตถุดิบถุงใหญ่หลายถุง และหลังจากการใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงกับพ่อเล็กในครัวโดยที่ผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงส่วนพ่อเล็กทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ช่วย ผมก็รู้เลยว่าไอ้เมฆมันได้พรสวรรค์ด้านการทำอาหารมาจากใคร จนพอถึงเวลาประมาณสามโมงครึ่ง ไอ้เมฆก็โทรศัพท์เข้ามาหาผมตามที่คาดเอาไว้

“ซัน กูยังอยู่กับไคล์อยู่เลยนะ เพิ่งจะดูหนังจบเนี่ย แต่เดี๋ยวไคล์เค้าอยากจะกินข้าวกับกูก่อนด้วยว่ะ เค้าจะเลี้ยงวันเกิดให้กูน่ะ มึงกินอะไรรึยัง หิวรึเปล่า มึงรอกูอยู่รึเปล่าเนี่ย ขอโทษทีนะเว้ย”

“เออๆ ไม่เป็นไรหรอก มึงไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ ไหนเอาไอ้ไคล์มันมาคุยกับกูหน่อยซิ” ผมหัวเราะเบาๆกับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระวนกระวายของมัน

“ว่าไง ซัน” ไคล์ทักผมอย่างอารมณ์ดี

“กินข้าวน่ะกินได้นะ แต่อย่ากินอะไรกันหนักมากนักก็แล้วกัน เหลือท้องไว้กลับมากินข้าวฝีมือพี่บ้าง เข้าใจรึเปล่า”

“หรือถ้าพูดอีกอย่างก็น่าจะเป็นให้พวกเราสองคนกินกันให้เยอะๆ เพราะว่าคืนนี้อาจจะกินอะไรไม่ลงมากกว่ามั๊ง” ไคล์หัวเราะ

“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย ไอ้น้องชาย ไหนเอามันมาคุยกับพี่หน่อยซิ เดี๋ยวมันจะสงสัยเอา”

“โอเค ได้เลยครับ พี่ชาย” เมื่อสิ้นเสียงของไคล์ผมก็ได้ยินเสียงของโทรศัพท์ถูกเปลี่ยนมือ จากนั้นเสียงของไอ้เมฆก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ว่าแต่พ่อเอกล่ะซัน พ่อกลับไปบ้านรึยัง เมื่อกี๊กูโทรไปแล้วพ่อไม่รับโทรศัพท์ว่ะ เห็นว่ามีงานด่วนที่บริษัท”

“อ๋อ...... กำลังจะกลับมาแล้วล่ะ ใกล้จะถึงบ้านแล้ว เมื่อกี๊กูเพิ่งคุยกับเค้านี่เอง เออนี่เมฆ ตอนนี้กูยุ่งๆอยู่ว่ะ แค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะ” ผมหันไปมองหน้าพ่อเล็ก และพ่อเล็กก็หัวเราะเบาๆพร้อมกับยักคิ้วให้แก่ผม

“ได้ๆ แล้วเดี๋ยวเย็นๆกูจะกลับแล้วกูโทรไปบอกอีกทีนะ”

ผมกดปุ่มวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็หันกลับมาสนใจสิ่งที่กำลังทำค้างอยู่อีกครั้ง และเมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ๆ อาหารทุกอย่างก็เสร็จจนพร้อมหมดทุกอย่างแบบทุลักทุเลเล็กน้อย แต่ก็ออกมาดูดีใช้ได้ ซึ่งก็นับว่าเราสองคนทำเวลาได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้มากทีเดียว

“วันนี้เพื่อนๆมากันเยอะมั๊ย ซัน” พ่อเล็กถามขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งพักกันอยู่ในห้องรับแขก

“ผมก็ไม่รู้อีกเหมือนกันล่ะครับ น่าจะราวๆสิบคนได้มั๊ง ไม่น่าจะเกินนั้นนะครับ เพราะผมไม่ได้โทรบอกหลายคน แค่ให้เพื่อนมันบอกต่อๆกันไปเองเฉพาะคนที่สนิทๆกับไอ้เมฆมันเท่านั้นเอง”

“งั้นที่เราทำไว้นี่ก็น่าจะพอใช่มั๊ย”

“น่าจะพอครับ และผมก็บอกให้พวกมันซื้อของกินกันมาคนละนิดคนละหน่อยเผื่อไว้แล้วด้วยเหมือนกัน คือ ผมไม่ค่อยไว้ใจฝีมือตัวเองเท่าไหร่น่ะครับ” ผมหัวเราะแหะๆ

“อะไรกัน ซันก็เก่งออกนี่ เมฆเค้าเคยเล่าให้พ่อฟังว่าตอนอยู่ที่นู่นซันก็โดนเค้าลากเข้าครัวบ่อยๆอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ครับ แต่ส่วนมากก็แค่หยิบนู่นหยิบนี่ให้มันเท่านั้นเอง ไม่เคยทำเองจริงๆจังๆสักที แต่เมฆน่ะ มันเก่งหลายอย่างนะครับ ทำนู่นทำนี่ได้ตั้งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร ยูโด เทควันโด บาสเก็ตบอล และอย่างอื่นๆอีก ผมเนี่ยไม่มีทางทำได้แบบนั้นแน่ๆ”

พ่อเล็กเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตากับผมพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ

“นั่นแหละ ปัญหาล่ะ......... ซันรู้มั๊ยว่าทำไมเมฆเค้าถึงได้เรียนพวกศิลปะการต่อสู้เยอะขนาดนั้น และทำไมเมฆถึงได้ทำอะไรเป็นหลายๆอย่างแถมยังทุ่มเทกับทุกอย่างมากแบบนั้นด้วย”

“ไม่นะครับ...... ผมเองก็ไม่เคยถามมันเหมือนกัน แต่มันก็บอกผมแค่ว่ามันรู้สึกสนุกที่ได้ทำเท่านั้นเอง”

“เมฆน่ะ เริ่มเรียนเทควันโดเป็นอย่างแรกมาตั้งแต่ประถมแล้วล่ะ ตอนนั้นพ่อเองก็สนับสนุนเต็มที่นะ ก็เด็กผู้ชายมันก็ชอบของแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนั้นพ่อยังคิดเลยว่าเดี๋ยวพอโตขึ้นแล้วเค้าก็คงจะเบื่อไปเอง แต่ปรากฏว่าเมฆกลับไม่เคยเบื่อเลย และซันรู้มั๊ยว่าเหตุผลจริงๆที่เค้าขอพ่อเรียนน่ะคืออะไร”

ผมส่ายหน้า รอฟังสิ่งที่พ่อเอกจะพูดต่อ

“ถึงมันจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็เถอะ แต่พ่อก็ยังจำมันได้ดีจนถึงทุกวันนี้เลย ตอนนั้นเมฆน่ะยังเพิ่งสิบขวบเอง เค้าบอกพ่อพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสาว่า ‘ผมอยากจะแข็งแรง แล้วก็จะได้สามารถปกป้องดูแลพ่อได้ไงครับ’ ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่คำพูดแบบเด็กๆนะ แต่มันก็ทำให้พ่อประทับใจมากจริงๆ........” พ่อเล็กเงียบไปอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ “และนับจากนั้นมาเมฆก็ทุ่มเทให้กับหลายๆอย่างมากไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พ่อคิดว่ามันเป็นเพราะเค้าอยากจะเป็นฝ่ายดูแลพ่อให้ได้อย่างที่เค้าพูดไว้จริงๆนั่นแหละ ถึงแม้ว่าเมฆเองจะจำสิ่งที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้ไม่ได้แล้วก็ตาม แต่มันก็เหมือนกับสิ่งเหล่านั้นมันฝังรากลึกลงไปในจิตใจของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวไปซะแล้ว”

ผมนั่งฟังแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาหลายปีที่ผมรู้จักกับมันมา ตัวตนที่แท้จริงของมันนั้นมีเบื้องหลังความเป็นมาแบบนี้นี่เอง ไอ้เมฆมันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบลึกๆที่ตัวมันเองอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยก็ได้ว่ามันมี และถ้าเป็นเด็กคนอื่นๆก็คงจะไม่รู้สึกและคงไม่เคยคิดแบบที่ไอ้เมฆคิดเลยก็เป็นได้ แต่มันกลับรู้สึกถึงภาระหน้าที่ที่ตัวเองมีได้ตั้งแต่ยังเล็ก และยังพร้อมที่จะทำตามความรู้สึกส่วนนั้นเพื่อที่จะทดแทนคุณของพ่อของมันอย่างเต็มความสามารถด้วย เมฆได้ทำหน้าที่เติมเต็มความรักและความสมบูรณ์ในส่วนที่ขาดหายไปของครอบครัวจากการสูญเสียแม่ของมันด้วยความเต็มใจและความสมัครใจจากเบื้องลึกของหัวใจของมันเลยทีเดียว..........

มันรักพ่อของมันมากจริงๆ

“เมฆพูดกับผมตลอดเวลาเลยครับ ว่ามันรักพ่อเล็กมาก และอยากจะอยู่ดูแลพ่อเล็กให้ได้ตลอดไป”

“พ่อรู้........ แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้พ่อเป็นห่วง” พ่อเล็กถอนหายใจอีกครั้ง “พ่อน่ะโชคดีอยู่อย่างนึงที่มีซันคอยดูแลเมฆให้พ่อได้ บอกตามตรงนะว่าตอนแรกพอพ่อรู้ว่าเมฆมันรักซันมากกว่าคำว่าเพื่อน พ่อเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่ว่าเราก็มีกันอยู่แค่สองคนพ่อลูกนี้ และคำว่าความรักมันก็คือความรัก และที่สำคัญก็คือ ยังไงๆเมฆก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเพราะไปรักผู้ชายคนอื่นอยู่แล้ว เมฆยังคงเป็นเมฆคนเดิมที่พ่อรักและเลี้ยงดูมาตลอดยี่สิบปี พ่อรักเมฆมาก มากด้วยหัวใจทั้งดวงของพ่อเลย ดังนั้นสำหรับพ่อแล้วเรื่องนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งถ้าคนที่เมฆเลือกเป็นซันด้วยแล้วพ่อก็ยิ่งรู้สึกวางใจมากขึ้นไปอีก”

ผมรู้สึกตัวเองเขินเล็กน้อยที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ออกมาจากปากของพ่อของคนที่ผมรัก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พ่อเล็กพูดเรื่องพวกนี้กับผม และมันก็มีความหมายสำหรับผมมากจริงๆ ผมชักจะเข้าใจความรู้สึกของไอ้เมฆแล้วว่าตอนที่อยู่ที่อังกฤษและมันได้ยินพ่อกับแม่ของผมพูดอะไรทำนองนี้กับมันตลอดเวลา มันจะรู้สึกอย่างไร

“แต่สิ่งที่พ่อไม่สบายใจมากที่สุดก็คือความปลอดภัยของตัวเมฆเอง.........” พ่อเล็กหมุนแก้วน้ำในมือช้าๆด้วยสายตาที่เหม่อลอย “เหมือนตอนที่เมฆโดนแทงเอาที่ระยองนั่นแหละ เมฆน่ะไม่ค่อยจะเป็นห่วงตัวเองเท่าที่เขาเป็นห่วงคนอื่นหรอก อีกด้านนึงของไอ้นิสัยเรียบร้อยและเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นมากๆนั้นน่ะ มันแฝงไปด้วยความรุนแรงของอารมณ์และความเก็บกดจากการที่ต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เองอยู่คนเดียว และนั่นแหละที่ทำให้เมฆไม่เคยเกรงกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายๆอะไรเลย”

ผมมองหน้าของพ่อเล็กด้วยความรู้สึกตกใจระคนประหลาดใจ ผมไม่เคยคิดเลยว่าพ่อเล็กจะรู้เรื่องพวกนี้ และไม่คิดด้วยว่าพ่อเล็กจะกล้าพูดมันออกมาชัดๆแบบนี้กับผม เท่าที่ผมรู้ก็แค่ว่าไอ้เมฆมันรู้สึกไม่เกรงกลัวอะไรง่ายๆ และเผลอๆมันกลับจะรู้สึกชอบที่ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาวะกดดันด้วยซ้ำไป และที่ผมรู้นั่นก็เพราะว่ามันเคยบอกเรื่องพวกนี้แก่ผมเอง แถมที่สำคัญผมยังเห็นมันกับตามาหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วย แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่านอกจากผมแล้วพ่อเล็กเองก็จะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยเช่นกัน แถมคำพูดที่ว่า “อารมณ์รุนแรง” และ “เก็บกด” ที่เพิ่งออกมาจากปากของพ่อเล็กนั้นมันก็ทำให้ผมต้องช็อคไปเลยเหมือนกัน ผมไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่เมฆเป็นนั้นมันจะฟังดูรุนแรงและร้ายแรงมากขนาดนั้นมาก่อน

“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก พ่อรู้หมดนั่นแหละว่าเมฆเค้าเป็นยังไง” พ่อเล็กพูดออกมาราวกับอ่านใจของผมออก “ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่ว่าจะเวลาเล่นกีฬา หรือทำอะไรๆที่ต้องใช้ความกล้า เมฆจะเป็นคนแรกๆที่พร้อมลุยฝ่ามันไปเสมอๆ เพราะฉะนั้นมันจะยังแปลกอีกเหรอ ถ้าพ่อจะรู้น่ะว่าจริงๆแล้วเมฆนั้นเป็นคนยังไง” พ่อเล็กหัวเราะเบาๆ

“เมฆเป็นคนที่เข้มแข็งและกล้าหาญมากครับ เรื่องนั้นผมไม่เถียงเลย ผมจะเห็นมันบ่อยมากมาตั้งแต่สมัยตอนที่เรายังเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเวลาที่มันต้องลงแข่งบาส” ผมพยักหน้าแล้วนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนๆตั้งแต่สมัยก่อนที่ผมจะคบกับมันในฐานะแฟนเสียอีก “พอมานึกๆดูก็แปลกนะครับ ตอนมอปลายนั้นผมสนิทกับมันมาก และนานๆทีก็จะได้เห็นมันทำอะไรที่ดูไม่ค่อยเหมือนจะเป็นตัวมันเองสักเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยนึกเอะใจเลยจนกระทั่งเราเจอพวกคนเมามันมาหาเรื่องตอนไปเที่ยวที่แกรนด์แคนยอนครั้งนั้นนั่นล่ะ”

“ใช่ เมฆน่ะไม่ค่อยจะได้แสดงด้านนั้นของตัวเองออกมาหรอก เพราะจริงๆแล้วเมฆเป็นคนที่ใจเย็นและอ่อนโยนมาก แต่บางครั้ง.............” พ่อเล็กส่ายหน้าเบาๆ “พ่อกับเมฆไม่เคยคุยเรื่องพวกนี้กันหรอกนะ แต่พ่อเลี้ยงเมฆมาตั้งยี่สิบปี ทำไมพ่อจะไม่รู้ และเมฆเองก็ไม่รู้ด้วยว่าพ่อรู้มากขนาดไหน......... มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นหรอกนะ ซัน ไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกอย่างนั้นมันก็เป็นแค่อีกด้านหนึ่งของคนที่ต้องแบกรับความรู้สึกทั้งหลายเอาไว้ในใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง ไม่ว่าใครๆมนุษย์คนไหนต่างก็มีด้านอีกด้านของตัวเองกันทั้งนั้นใช่มั๊ยล่ะ และที่สำคัญไอ้ความรู้สึกด้านนั้นของเมฆ มันมาจากความต้องการที่จะปกป้องคนอื่นๆ ความต้องการที่จะปกป้องคนที่เขารักมากเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม.........” พ่อเล็กหยุดพูดลงและมองหน้าผมด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ไอ้เมฆชอบใช้เลย “ซันต้องคอยดูแลเมฆให้ดีๆนะ เข้าใจมั๊ย ซันต้องพยายามที่จะระมัดระวัง ระวังอย่าให้เมฆต้องผลักดันตัวเองให้เข้าไปเจอกับเรื่องอันตรายๆมากนัก พยายามอย่าให้เมฆต้องเข้าไปอยู่ในด้านๆนั้นของตัวเองมากจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นแล้วสักวันหนึ่งเมฆอาจจะต้องบาดเจ็บหนักมากไปกว่าที่เคยเจอมาก็ได้ ทั้งร่างกายและจิตใจ พ่อรู้ว่าเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างไม่กลัวเจ็บตัวได้ทุกเมื่อเมื่อมันถึงเวลา และนั่นมันก็อันตรายมากเกินไป มันอันตรายมากเกินไปจริงๆ..........”

“ครับ ผมเข้าใจ และผมก็จะพยายามด้วยครับ พ่อเล็ก” ผมพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ผมเองก็เคยเตือนเคยบอกมันมาหลายหนแล้วเหมือนกัน ผมไม่อยากให้มันต้องเจ็บตัวเลย และไอ้เมฆเองก็รับปากกับผมแล้ว เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วครับ ตอนก่อนกลับมาจากระยองนั่นแหละ เพียงแต่ว่าถ้ามันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เมฆมันจะบังคับตัวเองและดูแลตัวเองได้มากขนาดไหน แต่ผมสัญญาครับว่าผมจะดูแลลูกชายของพ่อให้ดีที่สุด”

“นั่นแหละ ที่เป็นหน้าที่ของเราล่ะ ซัน ขอบใจมากนะ.......” พ่อเล็กพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ จากนั้นก็หันมาสบตากับผมอีกครั้ง “ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่พ่ออยากจะคุยกับเราก็คือตัวของพ่อเอง............”

“หมายความว่ายังไงครับ” ผมนิ่วหน้า รู้สึกกังวลใจกับสิ่งที่จะได้ยินต่อไปนี้เล็กน้อย

“พ่อเองไม่สามารถมีชีวิตอยู่ไปตลอดกาลได้หรอกนะ ซัน เมฆเองก็รู้เรื่องนี้ แต่ถึงยังไงตอนนี้เขาก็ยังทำใจรับความจริงข้อนี้ไม่ค่อยได้อยู่ดี ยิ่งตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ เมฆก็กลายเป็นเด็กติดพ่อไปเลย พ่อรู้ว่าเมฆเป็นห่วงพ่อและเมฆเองก็เป็นคนที่เข้มแข็งมาก แต่เขาก็เปราะบางเหลือเกินกับเรื่องง่ายๆพวกนี้ พ่อเองก็แก่ลงทุกวันๆ จะตายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น รับปากพ่อนะซัน ว่าซันจะต้องดูแลเมฆให้ดี ไม่ใช่แค่การมอบความรัก แต่ซันต้องเป็นทุกๆอย่างของเมฆ เพื่อที่จะช่วยให้เมฆผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ทั้งเรื่องของร่างกายและจิตใจ”

ผมรู้สึกเหมือนกับมีอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้ไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกไปได้ ผมจึงพยักหน้าช้าๆแต่ก็หนักแน่นแทนคำสัญญาว่าผมจะรักและดูแลลูกชายของพ่อเล็กคนนี้ไปตลอดไปอย่างแน่นอน แต่ว่าสีหน้าและท่าทางของผมมันก็คงจะสื่อสิ่งที่ผมคิดและกังวลออกมาได้อย่างชัดเจน พ่อเล็กจึงยิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“ใจเย็นๆ ไม่ต้องกังวลไปนักหรอก พ่อก็แค่พูดสิ่งที่พ่ออยากจะพูดกับซันมานานแล้วให้ซันรู้เท่านั้นเอง ก็เราไม่ค่อยมีเวลาจะได้คุยกันตามลำพังแบบนี้เลยนี่นะ” พ่อเล็กส่งยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ

เมื่อบทสนทนาจบลง เราสองคนก็นั่งดูทีวีกันเงียบๆอีกครู่หนึ่งก่อนที่ ไอ้วิท แป๊ะ และไอ้ป๋อมพร้อมกับเพื่อนผู้ชายอีกสองคนมาถึง ตามมาด้วยอีฟ เดียร์ และเพื่อนผู้หญิงอีกสามคนที่นั่งรถอีกคันตามกันมาติดๆ โดยมีแฟนของเพื่อนคนหนึ่งของเราที่เราเจอกันแล้วที่ระยองเป็นคนขับรถให้ และเท่าที่ผมถามทุกคนดูก็ได้ความมาว่าน่าจะมีมากันเพียงเท่านี้ ถึงอีกหลายคนก็อยากจะมาด้วย แต่เนื่องจากมันค่อนข้างจะกะทันหัน ทำให้มีคนมาได้เพียงแค่นี้ ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นจำนวนที่กำลังดีแล้ว นอกจากนั้นก็มีไอ้แบ๊งค์ที่ผมไม่รู้ว่ามันจะเอายังไงกันแน่ แต่ผมก็ไม่ได้ถามพวกไอ้วิทด้วยเหมือนกันว่ามันจะมาแน่หรือเปล่า ผมถือว่าถ้ามันไม่มาก็เรียกได้ว่าดีไป แต่ถ้ามันมาเมื่อไหร่ผมก็คงจะเห็นเองนั่นแหละ และหลังจากที่ทุกคนไหว้และทักทายกับพ่อของไอ้เมฆกันครบแล้ว เราก็เริ่มต้นจัดโต๊ะเตรียมของกัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้เมฆโทรมาบอกผมว่ามันกำลังกลับบ้านแล้วพอดี

“เฮ้ย ทุกคน ไอ้เมฆมันกำลังกลับมาแล้วนะ มันบอกว่าอีกราวๆครึ่งชั่วโมงก็คงจะมาถึง ทันใช่มั๊ยพวกมึง” ผมหันไปบอกเพื่อนๆที่กำลังจัดโต๊ะอาหารกันอยู่ที่สนามบ้าน

“เหลือเฟืออออ” ไอ้แป๊ะตอบกลับมา และเมื่อผมเห็นหน้าของมัน ผมก็คิดถึงบางสิ่งที่ผมเกือบจะลืมไปแล้วขึ้นมาได้ทันที

“นี่ไอ้แป๊ะ” ผมเดินตรงเข้าไปหามัน “กูขอคุยอะไรด้วยหน่อยดิ่วะ”

“เออ ว่าไง มีอะไร” มันตอบพร้อมกับเดินตามผมมาตรงที่ไม่มีคนเดินผ่าน

“ตอนก่อนที่กูจะกลับมากรุงเทพน่ะ มึงเดินเข้ามาหากูพร้อมไอ้แบ๊งค์...........” ผมหยุดไปนิดหนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของมัน และเมื่อดูจากสีหน้าของมันที่ถูกสื่อออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจนี้ก็บอกผมได้หลายอย่างแล้ว “สรุปว่ามึงรู้ใช่มั๊ย เรื่องของมันน่ะ”

“เออ ก็ใช่ กูเองก็เพิ่งรู้เมื่อคืนนั้นแหละ แม่งเมาเป็นหมา แล้วก็ลากกูไป........” ไอ้แป๊ะเงียบลงเหมือนกับไม่แน่ใจว่าจะพูดต่อยังไงดี

“ไปอะไร” ผมเร่ง

“ไปร้องไห้น่ะสิวะ นั่นแหละกูถึงได้รู้ว่ามันคิดยังไงกับมึง และตอนนั้นกูก็แค่เดินไปเป็นเพื่อนมันเท่านั้นนะเว้ย ไม่ได้คิดจะส่งเสริมมัน มึงอย่าเข้าใจกูผิดล่ะ กูเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะคุยอะไรกับมึง แต่กูก็ทิ้งมันไม่ได้เหมือนกัน มึงเข้าใจกูป่าววะ” ไอ้แป๊ะพูดออกมาด้วยท่าทางลำบากใจ “กูขอโทษก็แล้วกันถ้าทำให้มึงไม่สบายใจ แล้วก็ขอโทษแทนไอ้เหี้ยนั่นด้วย มึงอย่าไปใส่ใจมันมากเลยนะเว้ย”

“กูไม่โกรธมึงหรอก ที่กูถามมึงนี่ก็แค่อยากรู้เท่านั้นเองว่ามึงรู้เรื่องนี้แน่รึเปล่า แล้วก็รู้มากขนาดไหนก็แค่นั้น”

“บอกตามตรงกูไม่รู้อะไรเลยว่ะ รู้ก็แค่ที่มันมาระบายๆกับกูคืนนั้นเท่านั้นเอง และจริงๆกูก็ไม่อยากจะรู้ด้วย เพราะงั้นกูก็เลยไม่ได้คุยเรื่องนี้กับไอ้แบ๊งค์อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมาน่ะ ว่าแต่มันมาพูดอะไรกับมึงมั่งวะ มันทำให้มึงไม่สบายใจรึเปล่า ถ้าไงกูไปปรามๆมันให้ได้นะเว้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก มึงไปคุยกับมันมากเดี๋ยวมันก็จะคิดว่ามันมีมึงเข้าข้างมันเอาได้ กูคิดว่าแบบนั้นถึงมึงจะพูดปรามมัน แต่ผลที่ออกมามันก็จะกลายเป็นมันมีคนให้ได้ระบายและทำให้มันไม่สามารปล่อยวางได้สักทีน่ะสิ ปล่อยๆไปเหอะว่ะ มันไม่ได้มาอะไรกับกูนักหรอก มันก็แค่มาบอกกูว่ามันชอบกูและยังคงตัดใจไม่ได้เท่านั้นเอง ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ต่างคนก็ต่างต้องเดินต่อไป กูไม่ใส่ใจหรอก”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี แต่ถ้ามันทำอะไรหรือพูดอะไรให้มึงไม่สบายใจล่ะก็ บอกกูนะเว้ย กูจะเตือนมันให้เอง เพราะมันก็ไม่มีใครจะพูดเรื่องนี้ด้วยได้น่ะนะ สงสารมันอยู่เหมือนกันว่ะ”

“นี่แปลว่าคนอื่นไม่รู้เลยใช่มั๊ย”

“ไม่เลย” แป๊ะส่ายหน้า “มันบอกกูแค่คนเดียว แล้วก็กำชับกูด้วยว่าห้ามบอกใครน่ะ”

“ก็ดีแล้ว ถ้าไงกูก็ฝากๆมึงเรื่องนี้ด้วยก็แล้วกัน อย่างน้อยๆกูก็จะได้รู้ว่าถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมากูจะหันไปหาใครได้”

แต่เมื่อผมพูดจบ ผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมผมถึงต้องคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นด้วย ทั้งๆที่ผมเองยังเพิ่งจะพูดกับไอ้แป๊ะไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนนี้เองว่ามันไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องเป็นห่วง


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

หลังจากที่ผมกับไอ้แป๊ะคุยกันจบไม่นาน รถอีกคันหนึ่งก็ถูกขับเข้ามาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเรา และคนที่เดินลงจากรถมาก็คือพี่แอมป์และอาร์มนั่นเอง ทั้งๆที่ผมเพิ่งจะโทรบอกพี่เขาเมื่อวานซืนและค่อนข้างจะกะทันหันไปสักหน่อย แต่พี่เขาก็ยังอุตส่าห์มางานเล็กๆงานนี้ได้ และผมยังให้พี่เขารับหน้าที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งนอกจากการเป็นแขกของเราแล้ว ด้วยการเป็นช่างภาพพิเศษในงานให้แก่พวกเราไปด้วยเลยอีกด้วย ซึ่งพี่แอมป์ก็ยินยอมรับทำหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจทีเดียว

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่หมดแล้ว พร้อมกับเพื่อนๆของเราบางคนที่เริ่มต้นฉลองกันเองไปแล้วเรียบร้อย รถของไอ้เมฆก็มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านต่อท้ายรถของพี่แอมป์ และเมื่อไอ้เมฆลงจากรถมาพร้อมกับไคล์ มันก็ต้องประหลาดใจครั้งใหญ่เมื่อพบกับเสียงกู่ร้องคำว่าสุขสันต์วันเกิดและเสียงปรบมือต้อนรับเจ้าของงานอย่างยกใหญ่ ไอ้เมฆยิ้มกว้างด้วยความเขินปนความประหลาดใจ ซึ่งรอยยิ้มนั่นเองที่ทำให้ผมก็ต้องยิ้มออกมาด้วยความสุขและความอบอุ่นข้างในใจอย่างห้ามไม่ได้

“นี่มันเหี้ยอะไรกันเนี่ย” ไอ้เมฆตะโกนออกมาพร้อมๆกับรอยยิ้มกว้างเมื่อเดินเข้ามาในรั้วบ้าน “มิน่าล่ะ รถถึงมาจอดกันอยู่เยอะแยะ แล้วก็มิน่าทำไมไคล์ถึงได้ชวนกูอ้อยอิ่งอยู่ตั้งนานสองนาน” เมฆหันไปหาไคล์พร้อมทั้งต่อยเข้าที่หัวไหล่ของเขาเบาๆ

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ ศิลา” ผมเดินเข้าไปหาเมฆแล้วก็หอมแก้มมันเบาๆพร้อมด้วยเสียงเป่าปากแซวจากเพื่อนๆ

“นี่ก็แผนมึงอีกใช่มั๊ยครับ ฟ้าคราม” ไอ้เมฆยิ้มกว้าง

“ก็ไม่เชิงหรอก.........” ผมยักไหล่ “ถ้าจะว่าไป จริงๆแล้วมันก็ไอเดียของไคล์มันน่ะนะ กูก็แค่ขอยืมมานิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“แสบทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ แล้วนี่พ่อก็เอากับเขาด้วยเหรอครับ” เมฆเดินตรงเข้าไปสวมกอดพ่อของตนที่ยืนยิ้มรออยู่แล้ว “ไอ้ที่ว่างานด่วนของบริษัทนั่นก็โกหกจริงๆด้วยสิเนี่ย”

“วันเกิดแรกของเมฆหลังจากผ่านไปสามปีนี่นา พ่อก็ขอเอากับเค้าด้วยหน่อยก็แล้วกัน” พ่อเล็กลูบหัวของเมฆเบาๆ และมันก็เป็นภาพที่ประทับใจผมมากจริงๆ ถึงแม้ไอ้เมฆมันจะโตขนาดนี้แล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังคงสวมกอดและแสดงความรักให้แก่กันและกันได้อย่างไม่มีการเคอะเขินเลยจริงๆ มันเหมือนกับผมกำลังมองดูพ่อเอกที่หนุ่มลงไปกว่านี้สักยี่สิบปีกำลังลูบหัวไอ้เมฆตัวน้อยๆอย่างเอ็นดูไม่มีผิด

“เอ้านี่ ของขวัญวันเกิด” พ่อเล็กพูดพร้อมกับหันไปหยิบกล่องของขวัญกล่องเล็กๆที่วางอยู่บนโต๊ะทางด้านหลังมายื่นให้แก่เมฆ

“ขอบคุณมากครับพ่อ” เมฆกราบลงบนบ่าของพ่อเล็ก

“ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะลูก และขอให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมที่จะฝ่าฟันทุกๆสิ่งไปได้ด้วยกำลังที่กล้าแข็ง ขอให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเข้มแข็งขึ้นไปอีกเรื่อยๆถึงแม้ว่าวันหนึ่งอาจจะไม่มีพ่ออยู่ข้างกายแล้วก็ตาม ขอให้เมฆรักตัวเองมากเท่าๆกับที่รักคนอื่น และที่สำคัญ พ่อขอให้เมฆได้พบกับความสุขที่เหลืออยู่ในชีวิตไวๆ และได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ไปกับมันตราบจนชั่วนิจนิรันดร์นะ ลูกชายคนเดียวที่รักของพ่อ.......” เมื่อพูดจบ พ่อเล็กก็จูบลงบนหน้าผากของไอ้เมฆเบาๆ ทำให้ไอ้เมฆต้องมีน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตา และสุดท้ายแล้วน้ำหยดเล็กๆหยดนั้นก็ค่อยๆไหลรินออกมาช้าๆ

“ขอบคุณครับพ่อ........ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วผมจะจำทุกสิ่งที่พ่อพูดเอาไปใช้ครับ ผมรักพ่อมากนะครับ” ไอ้เมฆพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือพร้อมกับสวมกอดพ่อเอกของมันอีกครั้ง และคราวนี้ยังกอดแบบแนบแน่นมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

และเมื่อผมหันไปมองคนอื่นๆรอบข้าง ทุกคนต่างก็กำลังยืนนิ่งมองดูภาพอันน่าประทับใจตรงหน้านี้ด้วยกันทั้งนั้น บางคนนั้นมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ส่วนบางคนนั้นถึงกับร้องไห้ออกมาเลยด้วยซ้ำ และแม้แต่พี่แอมป์ที่คอยกดชัตเตอร์เก็บภาพตรงหน้านี้ไว้ก็ยังหยุดมือลงเพื่อใช้เช็ดน้ำตาที่ไหลปริ่มออกมาจากตาเล็กน้อยด้วย

“พ่อก็รักลูกเหมือนกัน..........” พ่อเล็กพูดพร้อมกับดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของลูกชายช้าๆ ก่อนที่จะยิ้มกว้างและพยักหน้ามาทางพวกเราทุกคน “ไปหาเพื่อนๆเถอะไป มีคนเค้ารอให้ของขวัญเราอยู่เหมือนกันนะ”

เมฆหันมามองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่แสนจะอบอุ่น จากนั้นมันก็เดินเข้ามากุมมือของผมเอาไว้

“ขอบใจมากนะซัน........” เมฆพูดกับผมเบาๆ จากนั้นจึงหันไปหาทุกคน “ขอบใจทุกคนด้วยนะเว้ย ที่อุตส่าห์มากัน ขอบคุณพี่แอมป์ด้วยนะครับ ขอบคุณอาร์มด้วย ขอบคุณจริงๆ”

“ของขวัญของกูอยู่ในห้องนะ เดี๋ยวเราขึ้นห้องแล้วค่อยไปเปิดดูพร้อมๆกันก็แล้วกันนะครับ” ผมกระซิบที่หูของมัน

เมฆพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงไม่จางหายไป มันเดินเข้าไปหาทุกคนจากนั้นก็ทักทายกับเพื่อนๆทีละคนจนครบ รวมทั้งพี่แอมป์และอาร์มด้วย ผมยืนมองดูมันพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นอย่างสนุกสนานแล้วก็รู้สึกมีความสุขไปกับมันด้วย ไม่ว่าจะทั้งในตอนนี้และตอนไหนๆ ขอแค่ผมได้เห็นรอยยิ้มของมันแค่นี้ผมก็รู้สึกมีความสุขมากแล้วจริงๆ เมฆเป็นคนๆเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันมีรอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจ เป็นรอยยิ้มที่มันพร้อมจะมอบให้ผู้อื่นเพื่อที่จะให้คนรอบข้างทุกคนมีความสุขไปพร้อมๆกับมันด้วยจริงๆ

ขณะที่เรากำลังกินข้าวและพูดคุยกันอยู่อย่างสนุกสนานและเป็นกันเองนั้น โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น และพอผมเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามาผมก็รู้ทันทีว่าปลายสายนั้นเป็นใคร

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่ซัน นี่พีนะครับ เป็นยังไงบ้าง” เสียงของพี รุ่นน้องของเราที่ตอนนี้กำลังอาศัยอยู่ที่บ้านของผมที่อังกฤษพูดตามสายมาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ดี เนี่ย ไอ้เมฆมันอยู่ตรงนี้แหละ จะคุยกับมันเลยมั๊ย”

“ก็ได้ครับ แต่ผมคุยกับพี่ซันก่อนดีกว่า เราไม่ได้คุยกันตั้งนานแล้วนะครับ ว่าแต่พี่สองคนเริ่มงานรึยัง เห็นไคล์บอกว่าพี่เมฆเข้าบริษัทไปแล้วเหรอ”

“ยังเลย เริ่มอาทิตย์หน้านี่แหละ ทั้งคู่เลย ไอ้เมฆมันแค่เข้าไปดูงานกับพ่อเล็กเฉยๆเท่านั้นเอง ว่าแต่พีล่ะ เป็นยังไงมั่ง สบายดีรึเปล่า”

“ก็ดีครับ ปีสุดท้ายก็จะจบแล้วก็เลยอยากกลับบ้านไวๆแล้วเหมือนกัน จริงสิ เนี่ย พ่อสันต์กับแม่กุ้งก็อยากคุยกับพี่ทั้งสองคนด้วยนะครับ แต่เดี๋ยวขอผมคุยกับพี่เมฆก่อน ว่าแต่ไคล์อยู่ที่นั่นด้วยรึเปล่าครับ”

“อยู่ๆ ตกลงว่าไง จะคุยกับไคล์ก่อนหรือเมฆก่อน” ผมถาม

“กับพี่เมฆครับ เดี๋ยวไว้ผมค่อยโทรหาไคล์อีกทีตอนพ่อสันต์กับแม่กุ้งคุยกับพี่เมฆกับพี่ซันแล้วกัน”

“ได้เลยครับ น้องชาย” ผมหัวเราะเบาๆก่อนที่จะส่งโทรศัพท์มือถือให้กับไอ้เมฆ และเมื่อมันรู้ว่าอีกฝั่งเป็นใคร ไอ้เมฆก็ยิ้มกว้างทันที

พีหรือปฐพี เป็นเด็กรุ่นน้องของพวกเราคนละปีสมัยที่เรียนอยู่ตอนมัธยมปลาย ตอนแรกที่เราพบกันนั้น เขาเป็นคนยิ้มน้อยพูดน้อยและค่อนข้างที่จะดูอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำ โดยแรกเริ่มนั้นเขาเคยแอบชอบไอ้เมฆอยู่ด้วยซ้ำไป แต่พอเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่แกรนด์แคนยอนแค่ไม่กี่วัน พวกเราทุกคนก็ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับอดีตของเขาที่เขาเคยต้องสูญเสียคนรักของเขามา พร้อมๆกับที่ไคล์เป็นคนที่สามารถเปิดประตูหัวใจของเขาได้อีกครั้ง และนับแต่นั้นมา เขาก็เริ่มยิ้มแย้มและพูดเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราทั้งสี่คนก็ได้กลายมาเป็นเหมือนพี่น้องและเพื่อนแท้ที่ถูกโชคชะตาชักพาให้มาเจอและคู่กัน เป็นท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ และพื้นดินที่จะรักและมั่นคงในมิตรภาพของเราไปจนตราบนานเท่านาน

“ไอ้ซัน ใครมาอยู่ที่หน้าบ้านวะ กูว่ามึงไปดูหน่อยสิ” ไอ้วิทหันมาบอกผมขณะที่เมฆยังคงคุยโทรศัพท์อยู่กับคนที่ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นพ่อหรือไม่ก็แม่ของผมแล้ว

ผมลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าประตูบ้าน และคนที่กำลังยืนอยู่ที่นั่นก็เป็นคนที่ผมไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้......... ในเวลาพร้อมๆกันแบบนี้

“ไอ้แบ๊งค์ พี่จ๊อบ........ ทำไมพวกมึงถึงมาด้วยกันได้วะ” ผมเผลอร้องถามออกมาด้วยความประหลาดใจ


น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
พ่อเล็กน่ารักจังเลย ซาบซึ้งจนน้ำตาซึม

ว่าแต่นายจ๊อบกะนายแบ๊งค์ เค้าจะร่วมมือกันทำไรรึป่าวเนี่ย :m21:

เป็นห่วงเมฆจังเลย สงสัยต้องเอายันต์ไปแปะที่ตัวเมฆ
แล้ว เผื่อว่าจะแคล้วคลาดจากคนปองร้าย

niph

  • บุคคลทั่วไป
ดูท่าจะมีเฮนะงานนี้

ลุ้นกันต่อปาย

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป




ขอบฟ้า . . . มีจริงหรือ  สั้นจริงหรือ  สงสัยต้องถามก้อนขี้เมฆแร่ะ


gobgab

  • บุคคลทั่วไป

............ไม่ได้เข้ามาอ่านเป็นเดือนแล้วคราบ

............เพิ่งเข้ามาตามอ่านคราบ............. o13 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
แบงค์กับจ็อบ ลางไม่ดีอีกแระ  :a6:  :a6:  :a6:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ซึ้งดี  :m1:

แต่... ทำไมทุกคนถึงคิดแต่เรื่องร้ายๆ เตรียมไว้ตลอดเวลาเลย  ทั้งๆที่ทุกอย่างมันดีถึงดีมากด้วยซ้ำ

รออ่านต่อ   :a2:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณคุณต้นนิ่มครับ เอามาลงต่อให้แล้ว  :m18:

แล้วก็ชอบรูปของคุณพี่ต้นสายจังครับ...ดูแล้วรู้สึก...
(รู้สึกยังไงก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าชอบละกันครับผม)  :undecided:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
มาดันห้ายพี่ชายๆ
ขอบคุณคุณต้นนิ่มครับ เอามาลงต่อให้แล้ว  :m18:

แล้วก็ชอบรูปของคุณพี่ต้นสายจังครับ...ดูแล้วรู้สึก...
(รู้สึกยังไงก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าชอบละกันครับผม)  :undecided:

ระวังพี่ต้นสายหลอกเอานะคับ
รุปมันบอกอะไรได้ม่ะหมดร๊อก :m20:

ลป. ล้อเล่งหน่าพี่  :m14:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สองคนนั้นต้องร่วมมือกันแน่ๆ o22มาต่อไวๆนะครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


นี่ขอบฟ้าผม

แต่อยากจะแบ่งไปเป็นขอบฟ้าของหลายๆคนที่หน้าจอคอมด้วยคับ

อิอิ ใหญ่สะใจ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2007 09:48:46 โดย ExecutioneR »

นิลวัฒน์

  • บุคคลทั่วไป
ว่าแล้วเชียวสองคนนี้...มาด้วยกันอีก...
ความรักต้องมีมารมาผจญ...รักแท้ต้อฝ่าฟัน
เอาใจช่วยเมฆกับซันต่อไปครรับ
 :a2: :a2: :a2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 12


ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาในชีวิตของผมนั้น มีหลายครั้งที่ผมทำตัวตั้งป้อมหรือมีอคติกับใครคนอื่นไปก่อนที่ผมจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา และแม้แต่ไอ้เมฆเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่ถูกผมไม่ชอบหน้ามาตั้งแต่แรกพบแล้วด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมได้เรียนรู้อะไรๆมากขึ้น ความอคติและความที่เป็นคนปิดกั้นหัวใจของตัวเองเอาไว้มันก็เริ่มจะหายไปทีละน้อยๆ ผมเริ่มยอมรับตัวเองและผู้คนรอบข้างมากขึ้น เรียนรู้ที่จะไม่ตัดสินใครไปเสียก่อนที่จะได้รู้จักเขา และไอ้เมฆก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้แบบนั้น แต่ทว่าถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว ไอ้ความรู้สึกไม่ชอบหน้าหรือไม่ถูกชะตากับคนบางคนนี่มันก็ยังคงหลงเหลืออยู่จริงๆ ผมไม่ใช่ไอ้เมฆที่เป็นคนใจเย็นใจกว้างและมองโลกในแง่ดีได้ถึงขนาดนั้น ถึงแม้มันจะสอนให้ผมรู้จักใจเย็นลงและมองโลกในแง่ดีให้มากขึ้นแล้ว แต่ยังไงๆผมก็ยังคงไม่สามารถที่จะยอมรับในตัวผู้ชายคนนี้ได้เหมือนกับที่ไอ้เมฆทำได้เลยจริงๆ

“กูเจอพี่เค้าที่หน้าบ้านนี่น่ะ บังเอิญว่าเรามาถึงพร้อมกันพอดี พวกกูก็เลยเดินมาด้วยกัน” ไอ้แบ๊งค์พูดขึ้น

“เออๆ ขอบใจมึงมากก็แล้วกันที่มา ทุกคนอยู่ในสวนกันน่ะ เข้าไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” ผมหันไปพูดกับแบ๊งค์โดยพยายามที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจพี่จ๊อบมากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วผมก็ทำไม่ได้จริงๆ “แล้วพี่มาทำอะไรครับ มีธุระอะไรรึเปล่า” ผมหันไปถามพี่จ๊อบ

“พี่ก็มาแสดงความยินดีกับเมฆไงครับ วันเกิดเมฆนี่นา” พี่จ๊อบตอบโดยไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของผมเลย ไอ้แบ๊งค์ที่ตั้งท่าจะเดินเข้าไปในงานแล้วยังถึงกับต้องชะงักแล้วหันกลับมามองพวกเราสองคนอีกครั้ง

“พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ นัทบอกพี่งั้นเหรอ” ผมถาม แต่พี่จ๊อบกลับตอบผมกลับมาด้วยรอยยิ้มของเขาเท่านั้น

“อ้าว แบ๊งค์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” เสียงของไอ้เมฆดังขึ้น และมันก็กำลังเดินตรงเข้ามาทางพวกเราพร้อมด้วยโทรศัพท์มือถือของผมอยู่ในมือ และเมื่อมันเห็นผมกำลังยืนอยู่กับพี่จ๊อบ รอยยิ้มบนใบหน้าของมันก็จางหายไปโดยทันที “เอ่ออ ซัน แม่กุ้งจะคุยกับมึงว่ะ” เมฆยื่นโทรศัพท์คืนให้กับผม

“แบ๊งค์ มึงพาพี่จ๊อบไปนั่งก่อนไป แล้วถ้าจะเอาอะไรเพิ่มเติมก็ให้ไอ้พวกนั้นมันหาให้ก็แล้วกัน ส่วนเมฆ มึงมานี่กับกูหน่อย” ผมหันไปบอกไอ้แบ๊งค์ พร้อมๆกับรับโทรศัพท์คืนมาจากไอ้เมฆ

แบ๊งค์กับพี่จ๊อบเดินตรงเข้าไปในสนามหญ้าหน้าบ้าน ในขณะที่ผมกับเมฆเดินหลบเสียงดังเข้าไปในบริเวณลานจอดรถ ผมคุยกับทั้งพ่อและแม่ของตัวเองเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนที่จะวางสายไป และเมื่อผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงไปแล้ว ไอ้เมฆก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดในสิ่งที่ผมกำลังสงสัยอยู่ขึ้นมาทันที

“พี่จ๊อบมาได้ไงวะ เขามาพร้อมกับไอ้แบ๊งค์เหรอ”

“กูก็อยากจะถามมึงอยู่เหมือนกันว่ามันรู้เรื่องนี้ได้ไง แถมมันยังรู้จักบ้านมึงอีกต่างหาก นี่มึงบอกมันไปเหรอวะ”

“มึงจะบ้าเหรอ กูไม่ได้คุยเหี้ยอะไรกับเขาทั้งนั้นแหละ เมื่อวานพอเค้าโทรมากูก็บอกแค่ว่ากินข้าวอยู่แล้วก็วางไปเลย”

“ถ้างั้นมันจะรู้เรื่องนี้ได้ไง แถมยังมาบ้านมึงถูกอีกต่างหาก ตอนนี้กูนึกออกอยู่แค่สองอย่างนะ คือนัทเป็นคนบอกมัน กับมันมาพร้อมไอ้แบ๊งค์ แต่ไอ้แบ๊งค์ก็บอกว่าเพิ่งเจอกันหน้าบ้านนี่เอง และถ้ามันรู้เรื่องทั้งหมดนี่จากนัท แล้วทำไมนัทถึงไม่มาด้วยวะ และทำไมไม่เห็นนัทพูดอะไรเลย........ แล้วนี่นัทได้โทรมาหามึงมั่งรึยัง”

“อืมม โทรแล้ว........” เมฆพยักหน้าตอบพลางทำท่าใช้ความคิด “แต่นัทก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องพี่จ๊อบเลยนะ นัทเค้าก็แค่โทรมาอวยพรวันเกิดกูเฉยๆเท่านั้นเอง”

“กูข้องใจเรื่องมันมาบ้านเราถูกมากที่สุดว่ะเมฆ แบบนี้มันไม่น่าไว้ใจเลย” ผมส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“กูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้กูว่าเราอย่าเพิ่งคิดอะไรไปกันเองเลยดีกว่าว่ะ ซัน แบบนี้ก็มีแต่เครียดเปล่าๆนะ สู้ถามเขาให้รู้ความจริงก่อนแล้วค่อยมานั่งคิดกันยังจะดีซะกว่าอีก แถมที่สำคัญกูว่ามันคงไม่มีอะไรหรอก ถ้าไม่ถามเขา เราก็ถามนัทเอาก็ได้นี่หว่า”

“มึงนี่มันใจดีจริงๆเลยนะ” ผมส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อย และเมื่อไอ้เมฆเห็นรอยยิ้มของผม มันก็ดูโล่งใจขึ้นมาก

“ถ้าไม่ใจดีกูจะยอมเอามึงมาทำแฟนเหรอวะ” มันหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่กูก็ไม่เข้าใจอย่างนึงนะซัน ทำไมมึงถึงได้ไม่ชอบหน้าพี่เขามากขนาดนั้นวะ คือกูก็พอรู้ล่ะนะว่ามึงไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้ แต่กูก็นึกไม่ออกเลยจริงๆว่ามึงเคยเป็นแบบนี้กับใครมากขนาดนี้มาก่อนรึเปล่าน่ะ”

“ถ้านอกเหนือไปจากความกวนตีนของมันอย่างที่มึงรู้ๆอยู่แล้วล่ะก็ ที่เหลือก็คือกูแค่ไม่ถูกชะตากับมันน่ะเมฆ กูไม่ถูกชะตากับมันเลยจริงๆ...........” ผมส่ายหน้า

เราสองคนตกลงกันว่าจะยังไม่คิดและยังไม่คุยเรื่องนี้กันอีกในคืนนี้ ซึ่งผมก็อยากจะทำแบบนั้นด้วยอยู่แล้วเหมือนกัน เพราะวันนี้มันไม่ใช่วันของผม แต่เป็นวันดีๆของไอ้เมฆมันต่างหาก ผมอยากจะให้มันมีคืนที่ดีที่สุดคืนหนึ่ง และไม่อยากจะทำตัวมีปัญหาจนทำให้มันต้องไม่สบายใจ เราสองคนจึงพากันเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะอีกครั้ง และคราวนี้ผมก็พยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจพี่จ๊อบและความรู้สึกแย่ๆภายในใจของตัวผมเองอย่างดีที่สุดด้วย ซึ่งปรากฏว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิดไว้เท่าไหร่นัก

ผมเริ่มจะรู้สึกสนุกและครึกครื้นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเพื่อนๆของเราทุกคนต่างก็มีส่วนช่วยในการทำให้บรรยากาศในงานดีขึ้น และพี่จ๊อบเองก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับทั้งผมและเมฆเท่าไหร่นัก โดยส่วนมากแล้วคนที่นั่งพูดคุยอยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลาก็คือไอ้แบ๊งค์นั่นเอง

“ซัน มึงทำอาหารเองเหรอเนี่ย” เมฆถามขึ้นขณะที่ผมกำลังเหม่อมองไปทางพี่จ๊อบที่กำลังคุยอยู่กับไอ้แบ๊งค์อยู่

“ช่าย เป็นไงมั่ง อร่อยมะ” ผมหันกลับมายิ้มให้กับมัน

“อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลยครับ” ไอ้เมฆยิ้มกว้างตอบกลับมา ทำให้เพื่อนๆที่นั่งอยู่รอบข้างทำท่าจะอ้วกคายของเก่าออกมากันใหญ่ “หมายถึงเท่าที่เคยกินที่ซันมันทำให้กูกินนะเว้ย” ไอ้เมฆหันไปพูดกับทุกคน

“งั้นก็กินเยอะๆนะครับ มานี่มา ซันป้อนนนน” ผมตักอาหารขึ้นมายกขึ้นไปจ่อที่ปากไอ้เมฆ และมันก็อ้าปากกินเข้าไปโดยง่าย ยิ่งทำให้คนอื่นๆส่งเสียงเชียร์กันมากขึ้นไปอีก

“กี่ปีแล้ววะ เมฆ ซัน กี่ปีแล้ว สามปีแล้วนะเว้ย และนี่มึงสองคนยังจะทำตัวแบบนี้กันอยู่อีกเหรอวะ” ไอ้วิทพูดขัดขึ้น

“จะกี่ปีผ่านไปกูก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเว้ย ถ้าจะเปลี่ยนก็มีแค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือกูรักมันเพิ่มขึ้นทุกๆวันทุกๆนาทีเท่านั้นเอง” ผมพูดเสียงดัง ทำให้ทุกคนยิ่งโห่ร้องกันดังมากขึ้นไปอีก และแม่แต่พ่อเล็กก็ยังหัวเราะชอบใจไปด้วย แต่เมื่อผมเหลือบไปมองที่แบ๊งค์กับพี่จ๊อบ ผมกลับเห็นไอ้แบ๊งค์นั่งก้มหน้ามองแก้วน้ำของตัวเองอยู่ ส่วนพี่จ๊อบก็กำลังยิ้มในแบบของเขาและมองมาที่ผมกับไอ้เมฆด้วยสายตาแบบเดิมๆอีกเช่นกัน

“และกูก็รักมึงมากไม่เคยลดลงเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างนะซัน บางทีกูก็นึกขอบคุณไอ้ตอนที่กูต้องหลับยาวในโรงพยาบาลตอนนั้นเหมือนกันนะ เพราะถ้าหากไม่มีวันนั้น เราทุกคนที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ก็คงไม่มีวันนี้ว่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้น จากนั้นมันก็หันไปมองหน้าเพื่อนๆทุกคน “ถ้ากูกับซันยังคงไม่คุยกันและถือทิฐิกันอยู่อย่างเมื่อตอนนั้น ตอนนี้ไอ้ซันก็คงไม่ได้กลับมาที่ไทย ทุกๆคนก็คงจะเสียเพื่อนไปหนึ่งคนเพราะระยะทาง และเสียอีกหนึ่งคนไปเพราะตัวตน กูคงจะไม่ได้มาเฮฮากับพวกมึงแบบนี้ และทุกคนก็คงไม่สามารถมีความสุขได้แบบนี้วันนี้เหมือนกัน เพราะงั้น...........” เมฆชูแก้วขึ้น และทุกคนก็ชูแก้วของตัวเองขึ้นตามด้วยเช่นกัน “ขอบใจสำหรับทุกๆอย่างนะเว้ย วันนี้กูมีความสุขมาก ไม่สิ กูมีความสุขมากมาตั้งแต่วันแรกที่กูกลับมาจากอังกฤษแล้ว ขอบคุณพ่อเอกที่เลี้ยงดูกูมา ขอบคุณโชคชะตาที่กูได้เพื่อนดีๆอย่างพวกมึง และขอบคุณท้องฟ้าของกู ที่มอบสถานที่ของกูให้กูได้พักพิง”

“เอ้า ชนแก้ววววว” เพื่อนของเราสองสามคนร้องขึ้น จากนั้นเราทุกคนบนโต๊ะก็ชนแก้วกันอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งพ่อเอกที่นั่งอยู่กับพี่แอมป์อีกโต๊ะก็ยังชูแก้วขึ้นด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นผมกับเพื่อนอีกสองคนก็แวบเข้าบ้านไปยกเค้กที่ผมกับพ่อเอกช่วยกันทำออกมา พวกเราทุกคนร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้ไอ้เมฆ โดยที่มันเองก็ไม่ลืมที่จะขอพรก่อนเป่าเทียนด้วย และเมื่อผมถามมันว่ามันขออะไร ผมก็หันมายิ้มกวนๆให้กับผม

“กูไม่บอกมึงหรอก ขืนบอกไปมันก็ไม่สมหวังอ่ะดิ่”

หลังจากที่เราตักเค้กแบ่งแจกได้ไม่นาน พ่อเล็กก็ขอตัวขึ้นไปนอนก่อนโดยมีไอ้เมฆเดินขึ้นไปส่งที่ห้อง และตอนนั้นเองที่พี่จ๊อบที่ผมพยายามเลี่ยงมาตลอดเพราะสัญญากับไอ้เมฆเอาไว้แล้วเดินตรงเข้ามาหาผม

“เดี๋ยวอีกสักพักพี่ก็คงจะกลับแล้วล่ะครับ”

“ครับ แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีนะว่าพี่มาที่นี่ได้ยังไงน่ะ” ผมสบตากับเขา

“ซันนี่เป็นคนมีแววตาทะลุทะลวงดีจริงๆเลยนะ เคยมีคนบอกมั๊ยเนี่ย” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ

“ก็คงงั้นมั๊งครับ” ผมยักไหล่ “ตกลงพี่มาได้ยังไงครับ ไม่สิ ผมหมายถึง พี่รู้ได้ยังไงว่าวันนี้วันเกิดไอ้เมฆ และพี่มาถูกได้ยังไง แล้วนัทล่ะ ทำไมถึงไม่มา”

“นัทเค้าไม่มาเพราะเค้าไม่ค่อยสบายน่ะ ส่วนที่พี่มาถูกก็เพราะพี่รู้มาจากเพื่อนของซันนั่นแหละว่าวันนี้วันเกิดของเมฆ แค่นี้ก็คงหายสงสัยแล้วใช่มั๊ยครับ”

ตรงกันข้ามเลยต่างหาก คำตอบของพี่จ๊อบมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดและสงสัยมากขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง สายตาของผมก็พลันเหลือบไปสบตาเข้ากับไอ้แบ๊งค์แวบหนึ่งก่อนที่มันจะหันหน้าหนีผมไปทางอื่น และไอ้เมฆเองก็เดินออกจากบ้านเข้ามาหาผมจากทางด้านหลังพอดี

“พี่จ๊อบ ซัน คุยไรกันอยู่”

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ พี่ก็แค่เข้ามาบอกซันว่าพี่จะกลับแล้วเท่านั้นเอง” พี่จ๊อบชิงตอบขึ้นมาก่อน

“อ้าว พี่จะกลับแล้วเหรอครับ”

“ครับ นัทเองก็ฝากของขวัญมาให้เมฆด้วยนะ อยู่ในรถน่ะ เมฆเดินไปเอากับพี่หน่อยสิ พี่จะได้กลับเลยทีเดียวไง”

เมฆหันมาสบตากับผมครู่หนึ่ง ผมจึงพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงอนุญาต จากนั้นเมฆก็หันไปบอกทุกคนว่าพี่จ๊อบจะกลับแล้วเพื่อให้ทุกคนได้บอกลาพี่เขา และเมื่อทุกคนรับรู้กันถ้วนหน้าแล้วพี่จ๊อบกับเมฆก็เดินออกจากรั้วบ้านไป

“ซัน เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกันนะคะ” พี่แอมป์เดินเข้ามาหาผมหลังจากที่ไอ้เมฆกับพี่จ๊อบเดินลับหายไป

“อ้าว พี่จะกลับแล้วเหรอครับ เดี๋ยวรอเจอเมฆมันก่อนสิ มันไปเอาของขวัญที่รถพี่จ๊อบอีกแป๊บนึงน่ะครับ”

“อืม ค่ะ พี่ก็ตั้งใจจะรอเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่ได้จะกลับหรอกนะคะ แต่ดูท่าทางถ้าพี่อยู่นานกว่านี้ อาร์มมันคงไม่ไหวแน่ๆ” พี่แอมป์พูดพร้อมกับหันไปมองน้องชายของตัวเองที่กำลังกินเหล้าอยู่กับไคล์และเพื่อนๆของเราอย่างสนุกสนาน “ดูเค้าเข้ากับไคล์แล้วก็เพื่อนๆของซันได้ดีนะ พี่ไม่ค่อยเห็นอาร์มเป็นแบบนี้เท่าไหร่หรอก”

“เพื่อนๆผมมันรั่วน่ะครับ แถมไคล์เองก็บ้าๆบอๆเข้ากับคนอื่นได้ดีอยู่แล้วด้วย” ผมหัวเราะเบาๆ

“เมฆกับซันได้เพื่อนดีนะคะ พี่เองยังชอบน้องๆทุกคนเลย แถมพ่อของเมฆเองก็รักเมฆมากเลยนะ ตอนที่ทั้งสองคนกอดกันเมื่อกี๊น่ะ พี่ร้องไห้เลยล่ะ”

“นั่นสินะครับ จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า ความรักที่เมฆมีให้พ่อเอกกับที่พ่อเอกมีให้มันน่ะ จริงๆแล้วมันมากมายมหาศาลแค่ไหน เพราะทุกครั้งเวลาที่ผมคิดว่าผมเข้าใจและรู้ดีแล้วว่าเค้าสองคนรักกันมากขนาดไหนน่ะ แต่พอเอาเข้าจริงๆมันก็ไม่ใช่เลย ความรักของสองคนนี้นี่ผมว่าคนอื่นๆไม่สามารถที่จะเข้าใจและหยั่งถึงได้เลยจริงๆนะ และผมว่านั่นมันคงเป็นเพราะผมเองก็มีพ่อแม่อยู่ครบด้วยมั๊งครับ เลยไม่ค่อยรู้หรอกว่าการที่ต้องโตมาตามลำพังเพียงสองพ่อลูกน่ะมันเป็นยังไง”

“ก็คงแบบนั้นมั๊งคะ ตอนที่พี่นั่งคุยกับพ่อของเมฆ ท่านก็พูดเหมือนกันว่าเขาสองคนก็เลี้ยงดูดูแลอยู่กันมาแค่เพียงสองคนเท่านั้นเอง ลุงเอกยังบอกเลยว่าบางทีก็รู้สึกเหมือนมีเมฆเป็นพ่อแล้วตัวเองกลับกลายเป็นลูกเลยด้วยซ้ำ” พี่แอมป์หัวเราะเบาๆ แต่ต่อจากนั้นเสียงหัวเราะนั้นก็ค่อยๆกลายเป็นเพียงรอยยิ้มเศร้าๆ “พี่กับอาร์มก็เพิ่งจะเสียพ่อกับแม่ไปเมื่อสองปีก่อนนี่เอง........ และตั้งแต่นั้นมาอาร์มก็เลยกลายเป็นเด็กเงียบๆเก็บตัวไปเลย”

“เอ่ออ ผมเสียใจด้วยนะครับพี่”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เองก็ไม่น่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย ก็แค่พอเห็นลุงเอกกับเมฆแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกดีน่ะ ความรู้สึกเก่าๆก็เลยกลับมานิดหน่อย........ อ้อ ส่วนของขวัญ เดี๋ยวพี่ติดไว้ก่อนแล้วกันนะคะ มันกะทันหันไปนิด พี่ก็เลยเตรียมไม่ทัน ไม่รู้ด้วยว่าเมฆชอบอะไร แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่น่าจะรู้แล้วล่ะว่าควรจะให้อะไรเมฆดี”

“โอ๊ย พี่ไม่ต้องลำบากหรอกครับ ไอ้เมฆมันก็ไม่ได้อยากได้อะไรหรอก เชื่อผมสิ ขนาดตอนแรกผมเองยังไม่รู้จะให้อะไรมันเลย” ผมหัวเราะ

“ถ้างั้นแล้วตกลงซันซื้ออะไรให้เมฆล่ะ” พี่แอมป์ยิ้มกว้าง

“ความลับครับ รู้กันได้แค่สองคนเท่านั้น” ผมชะโงกไปกระซิบที่หูของพี่แอมป์เบาๆ และพี่แอมป์ก็หัวเราะออกมาอย่างเข้าใจ

ผมกับพี่แอมป์ยืนคุยกันอยู่ที่เดิมอีกไม่นาน ไอ้เมฆก็เดินกลับเข้าบ้านมาพร้อมกับถุงกระดาษใบใหญ่ ซึ่งข้างในก็คงเป็นของขวัญที่นัทฝากพี่จ๊อบมาให้นั่นเอง

“พี่แอมป์ใกล้จะกลับแล้วนะเมฆ” ผมเดินตรงเข้าไปบอกมันทันทีหลังจากที่มันวางของขวัญลงในห้องรับแขกในบ้านแล้ว

“เหรอ อืมมม งั้นเดี๋ยวกูตามออกไปก็แล้วกัน บอกพี่เค้าให้รอกูหน่อยนะ”

“ทำไมอ่ะ มึงจะทำอะไรก่อนเหรอ”

“เปล่าหรอก ก็แค่จะเข้าห้องน้ำน่ะ มึงออกไปก่อนเหอะ เดี๋ยวกูตามไป”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นจึงเดินออกไปนั่งที่เก้าอี้ที่เดิม ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าห้าทุ่มแล้ว และเพื่อนๆเราบางคนก็เริ่มจะมีอาการมึนๆแสดงออกมาให้เห็นแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะไอ้แบ๊งค์ที่ดูแย่กว่าใครเพื่อน และตั้งแต่ตอนเย็นที่มันเข้าบ้านมา ผมกับมันก็ยังแทบจะยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยด้วย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเป็นแบบนี้แล้วมันจะดีหรือเปล่า

ผ่านไปครู่ใหญ่ๆไอ้เมฆก็ออกมาจากบ้านและเข้าไปบอกลาพี่แอมป์กับอาร์ม และในขณะเดียวกัน ไอ้แบ๊งค์ก็เดินเข้ามานั่งข้างๆผมด้วยเช่นกัน

“กูรักมึงนะ ซัน รักมานานแล้วด้วย” มันโน้มตัวเข้ามาพูดที่หูของผมเบาๆเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

“มึงเมาแล้วล่ะ ไอ้แบ๊งค์” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“กูรู้ตัวว่ากูเมา แต่สิ่งที่กูพูดมันก็ไม่ได้ออกมาลอยๆนะเว้ย กูก็แค่รักมึง และรักมานานแล้วด้วย และที่สำคัญ กูจะไม่มีวันตัดใจจากมึงง่ายๆแน่นอน”

“มึงเมาแล้ว ไอ้แบ๊งค์ กูว่ามึงพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วว่ะ” ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของมันแล้วดันตัวมันออกเบาๆ

“กูไม่อยากทำตัวเหี้ยๆเป็นเบี้ยใครหรอกนะ ไอ้ซัน แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องทำ ถ้ามันจะจำเป็น........”

“ไอ้แป๊ะ มึงมาดูไอ้แบ๊งค์หน่อยดิ๊ กูว่ามันเมามากแล้วว่ะ พูดจาไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย” ผมพูดเสียงดังขัดมันขึ้น และเมื่อไอ้แป๊ะที่ยังคงมีสติอยู่เกือบจะเต็มร้อยเห็นผมกับไอ้แบ๊งค์ มันก็พยักหน้าอย่างเข้าใจและรีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเราสองคนทันที

“ไอ้แบ๊งค์ กูว่ามึงไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเหอะ แล้วก็เลิกแดกได้แล้วมึง มึงจะไม่ไหวแล้วนะเว้ย เชี่ยแม่ง แดกเอาๆยังกะน้ำเปล่า เปลืองนะว้อยยย” ไอ้แป๊ะเดินเข้ามาพยุงไอ้แบ๊งค์ ผมจึงได้โอกาสลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้นไป

“ไอ้แบ๊งค์เป็นไรวะ” ไอ้เมฆถามขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปหาทั้งสามคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่

“เมาอ่ะดิ่ แต่ให้ไอ้แป๊ะดูแลให้แล้ว แต่จะว่าไป อาร์มก็ดูกำลังได้ที่เหมือนกันนะเนี่ย” ผมหันไปยิ้มให้กับอาร์ม

“ก็กำลังดีน่ะครับ พี่ซัน” อาร์มยิ้มตอบกลับมา “แต่ไคล์คอแข็งมากเลยนะเนี่ย ยังไม่ออกอาการเลย” อาร์มหันไปมองที่ไคล์ และเราทุกคนก็เลยหันไปหามองทางนั้นพร้อมๆกันด้วยเช่นกัน และเมื่อไคล์เห็นว่าเรากำลังมองตัวเองอยู่ มันก็โบกมือให้เราอย่างอารมณ์ดี

“แล้วจะขับรถไหวมั๊ยครับ” เมฆถามขึ้นบ้าง “หรือว่าพี่แอมป์จะเป็นคนขับ”

“พี่ว่าพี่คงขับเองแหละค่ะ ไม่อยากจะเสี่ยงไปกับมันหรอก” พี่แอมป์ถองสีข้างน้องชายตัวเองแรงๆ “ถ้าอย่างนั้นพี่กลับก่อนก็แล้วกันนะคะ เมฆ ซัน สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะเมฆ แล้วก็ฝากบอกลาลุงเอกด้วยนะคะ”

“ได้ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับที่อุตส่าห์มาตั้งไกล”

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ พี่เมฆ ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ” อาร์มพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง

เมื่อทั้งสองคนเดินจากไป ผมกับเมฆก็กลับมานั่งลงที่โต๊ะอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งไอ้แป๊ะและไอ้แบ๊งค์ก็หายไปจากโต๊ะแล้ว แต่ไม่นานนักไอ้แป๊ะก็เดินออกมาจากในบ้านและมากระซิบบางอย่างที่หูของผมทำให้ผมต้องขอตัวลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไป ไอ้แป๊ะเดินนำผมเข้าไปในห้องน้ำ ผมจึงได้เห็นสภาพของไอ้แบ๊งค์ที่เรียกได้ว่าเมาหมดสภาพแบบสุดๆเลยจริงๆ เพราะตอนนี้มันกำลังนั่งหลับตาคอพับดูไร้สติอยู่บนชักโครกอยู่

“เอาไงดีวะ กูอยากให้มันกลับบ้านแล้วว่ะ แต่แม่งก็คงขับรถไม่ไหวแน่ๆ” ไอ้แป๊ะถอนหายใจเบาๆ

“ก็กลับกับพวกมึงไง รถมันทิ้งไว้นี่ก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ใครในพวกมึงน่ะ ขับรถมันไปส่งมันที่บ้านหรือหิ้วมันไปบ้านใครก่อนก็ได้”

“แต่กว่าพวกกูจะกลับกันนี่ดิ่วะ คงหลังเที่ยงคืนแน่ๆอ่ะ”

“เฮ้ย แต่จะให้มันนอนที่นี่ก็ไม่ไหวนะเว้ย นี่มันไม่ใช่บ้านกู กูตัดสินใจเองไม่ได้หรอก แถมจะถามไอ้เมฆนี่ยิ่งไม่ต้องเลย” ผมรีบออกตัว

“เออ กูก็เข้าใจ งั้นให้มันไปนอนพักในห้องนั่งเล่นก่อนได้มั๊ยวะ หรือมึงว่าไง”

“เออ แบบนั้นก็ดี” ผมพยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ไอ้แบ๊งค์มากขึ้น “เฮ้ย ไอ้แบ๊งค์ ตื่นๆ ไปนอนบนโซฟาดีๆ ไปเร็ว” ผมใช้หลังมือตีแก้มมันเบาๆ แต่ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอยู่ดี ผมจึงหันกลับมาหาไอ้แป๊ะอีกครั้ง “สงสัยมึงต้องช่วยกูยกแล้วว่ะ”

เราสองคนช่วยกันพยุงไอ้แบ๊งค์มานอนลงบนโซฟาในห้องรับแขกอย่างทุลักทุเล แต่ไอ้แป๊ะก็ช่วยยืนยันให้ผมมั่นใจได้อีกครั้งว่าไอ้แบ๊งค์มันอ้วกออกไปแล้วรอบหนึ่ง เพราะงั้นมันไม่น่าจะอ้วกรดเฟอร์นิเจอร์อะไรอีกครั้งแล้วแน่นอน จนเมื่อเราวางไอ้แบ๊งค์ที่หมดสภาพสุดๆลงบนโซฟาได้เรียบร้อยแล้ว ไอ้เมฆก็เดินเข้ามาในบ้านพอดีเหมือนกัน

“โห หมดสภาพเลยเหรอวะเนี่ย” ไอ้เมฆเดินเข้ามามองดูไอ้แบ๊งค์ใกล้ๆ

“ก็นั่นน่ะสิ กูว่ามันจะตื่นมาขับรถกลับบ้านไหวเหรอวะเนี่ย” ผมพูด

“เฮ้ย มึงจะให้มันขับรถเหรอวะ ซัน” เมฆร้องขึ้น

“เปล่าๆ กูหมายถึงว่ากูจะให้มันกลับกับพวกไอ้แป๊ะนี่แหละ แต่ว่ามันจะตื่นขึ้นมาอีกหนไหวมั๊ยเท่านั้นเอง”

“ไม่ไหวพวกกูก็แบกมันกลับกันเองแหละ คงต้องทำทุกวิธีทางว่ะ” ไอ้แป๊ะพูดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากนั้นอีกกว่าสองชั่วโมง งานเลี้ยงของเราก็เริ่มปิดฉากลง พวกเราทุกคนทั้งคนที่เมาและไม่เมาต่างก็ช่วยกันเก็บกวาดของทุกอย่างทั้งหมดจนเกือบจะเรียบร้อยทุกอย่าง ซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่พวกมันทุกคนต่างก็กินกันไปไม่หนักมากนัก ซึ่งคนที่ดูเลวร้ายที่สุดก็คือไอ้แบ๊งค์ที่ยังคงหลับไม่ได้สติอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นนั่นเอง และเมื่อพวกเราเข้าไปปลุกมัน มันก็ตื่นขึ้นมาแบบสะลึมสะลือ และยอมเดินตามพวกไอ้แป๊ะออกไปแต่โดยดี โดยผมเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นนิดหน่อยที่มันยอมเดินกลับไปเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไรแบบที่มันเพิ่งบอกผมมาต่อหน้าไอ้เมฆและทุกคนออกมาอีกครั้ง

จนเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบลง และรถคันสุดท้ายถูกขับออกไป ผมกับเมฆและไคล์ก็ปิดบ้านและเตรียมตัวที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนกันไป

“ขอบคุณมากนะครับ ศิลา” ไคล์หันมายิ้มให้พวกเราอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเดินตรงเข้ามาจูบลงบนริมฝีปากของไอ้เมฆเบาๆเมื่อเราเดินมาถึงบริเวณหน้าห้องนอนของเขา

“เพื่ออะไร ขอบคุณพี่เรื่องอะไรเนี่ย” ไอ้เมฆถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“สำหรับทุกอย่างครับ สำหรับการเป็นพี่ชายที่ดีของผมอีกคนหนึ่ง” ไคล์ตอบ จากนั้นก็หันมาหาผม แล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆด้วยเช่นกัน “ราตรีสวัสดิ์นะซัน แล้วก็ขอบคุณมากๆด้วยเหมือนกันนะครับ” เมื่อพูดจบ ไคล์ก็หันหลังเดินเข้าห้องของตัวเองไป

ผมกับเมฆมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าห้องของเราไป และเมื่อผมปิดประตูห้องลง ไอ้เมฆก็เดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เป็นอะไรเมฆ เหนื่อยเหรอ” ผมเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของมัน

“นิดหน่อยว่ะ แต่ก็สนุกดี ขอบใจมากนะซัน อาหารอร่อยมาก แถมเค้กก็อร่อยด้วย” ไอ้เมฆยิ้มตอบ

“ก็ลองคุณเมฆบอกไม่อร่อยสิครับ รับรองคนบางคนได้ต้องวิ่งออกไปหาซื้ออย่างอื่นมากินกันแน่ๆ”

“อย่างนั้นเลยเหรอ” เมฆหัวเราะเบาๆ “แต่อร่อยจริงๆนะ ถึงพ่อจะช่วยทำซะส่วนมากก็เถอะ แต่แค่ซันทำแบบนี้ให้เมฆ เมฆก็ดีใจมากแล้วครับ” เมฆชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผม

“แล้วไม่อยากได้ของขวัญเหรอ ทำไมไม่เห็นทวงเลย”

“อ้าว เตรียมไว้เหมือนกันหรอกเหรอ คิดว่าไม่ได้ซื้อไว้ให้น่ะ ก็เลยไม่ได้สนใจมาก” เมฆเลิกคิ้วท่าทางแปลกใจจริงๆ

“โห เห็นแฟนตัวเองเป็นคนยังไงวะเนี่ย มีเหรอที่ซันจะไม่ให้ของขวัญเมฆน่ะ” ผมแกล้งทำเสียงน้อยใจ

“ขอโทษๆค้าบ อย่าเพิ่งงอนเด่ะ ถ้างั้นตกลงซื้ออะไรให้เมฆล่ะ” ไอ้เมฆแบมือ

“หลับตาก่อน”

“หลับตาเหรอ เอ้า ก็ได้วะ” ไอ้เมฆตอบพร้อมกับหลับตาลง ผมจึงรีบถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว

“แม่งง คันไปทั้งตัวแล้วเนี่ย รออยู่ตั้งนานว่าเมื่อไหร่จะได้ให้สักที” ผมพูดพลางปลดเข็มขัดกางเกงออกด้วย

“คันเนี่ยนะ” เมฆนิ่วหน้าทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

“เออดิ่ เอ้า ลืมตาได้แล้ว แต่ช้าๆนะ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง และเมื่อผมเห็นสีหน้าของไอ้เมฆหลังจากที่มันเห็น “ของขวัญ” ของมันแล้ว ผมก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกับเมฆที่ขำจนลงไปกลิ้งอยู่บนเตียงตามผมมาติดๆ “ทำไม ไม่เอารึไง ‘ของขวัญ’ น่ะ” ผมพูดพร้อมกับกระโดดขึ้นไปคร่อมมันบนเตียง

“เข้าใจคิดนะ ไอ้แสบ อย่าบอกนะว่าไอเดียไคล์อีกเหมือนกันน่ะ” ไอ้ตัวดีหัวเราะชอบใจ

“เปล่า กูคิดเอง ดีนะที่มึงยังขำ ไม่งั้นถ้าเกิดแป้กเนี่ย กูอายตายห่าเลย”

“แล้วไง จะให้กูทำไงต่อล่ะ” เมฆยังคงหัวเราะหึๆในลำคออยู่

“ได้ของขวัญแล้วก็ต้องแกะริบบิ้นออกสิครับ แล้วต่อจากนั้นก็ค่อยๆแกะห่อออกอย่างช้าๆและเบามือ”

ไอ้เมฆค่อยๆเอื้อมมือต่ำลงไปที่ขอบกางเกงในของผมช้าๆ และที่นั่นก็มีริบบิ้นสีแดงเส้นเล็กพันรอบเอวของผมเอาไว้อยู่ พร้อมกับไม่ลืมที่จะผูกโบว์เอาไว้ตรงกลางกล่องดวงใจดวงน้อยของผมด้วย

“แค่ได้ของขวัญแค่นี้นี่ต้องถึงกับมือสั่นเลยเหรอครับ” ผมยิ้ม

“ก็กลัวของขวัญในห่อมันจะแตกน่ะ ถ้าเกิดพังไปก่อนที่จะได้ใช้งานก็แย่เลยสิ” ไอ้เมฆตอบ พร้อมกับเลื่อนมือทั้งสองข้างมาดึงริบบิ้นทางดานหน้าออกช้าๆ และชะโงกหน้าขึ้นมาจูบปากกับผมอย่างดูดดื่ม

“สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะครับ ศิลา........ หวังว่าจะชอบของขวัญนะ” ผมกระซิบที่หูของมันหลังจากถอนปากออก พร้อมกับริบบิ้นที่ถูกดึงออกเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้กระดาษห่อของขวัญสีขาวผืนบางชิ้นสุดท้ายก็กำลังจะถูกดึงออกไปอย่างช้าๆแล้วด้วยเหมือนกัน



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
บทอัศจรรย์มั๊ย??  :try2:

ยังไม่ได้แต่งเลย แหะๆ

ภาคนี้นี่ ยิ่งแต่งยิ่งหักมุมแฮะ คนละแนวกับที่ผ่านๆมาเลย

(เหนื่อยยย สุดๆๆๆๆ ไม่เคยแต่งนิยายเหนื่อยเท่านี้มาก่อน  :sad2: )


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
55 อ่านแล้วก็เดานะว่าของขวัญต้องออกมาแนวนี้ แต่ไม่คิดว่าจะแต่งออกมาแบบนี้จริง ๆ  :m20:  :m20:  :m20: :m20:
เอาตัวเองผูกริบบิ้น โถช่างกล้า  :m20:  :m20: :m20:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ฮ่า ฮ่า ไม่น่าเชื่อ ซันทำแบบนี้เป็นด้วย

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
เหอๆๆ ของขวัญเข้าท่ามั่กๆ
'ไมไม่มีใครเอาของขวัญแบบนี้มาให้ผมบ้างน๊า  o17 o17

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
แวะมาดันพี่ชายๆ

ลป. พี่ชายๆ อยากไปดูรักแห่งสยามรอบคริสต์มาสอ้ะ :m17:
ลป2. พี่ชายๆ วันนี้เมื่อสาม ชม. ก่อน นั่งกินข้าวโต๊ะตรงข้ามกะพิชชี่   :m3: มีความสุขที่ซู้ดเยยยย

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 13


เช้าวันอาทิตย์ ผมตื่นขึ้นมาก็เพราะเสียงดังกุกกักๆภายในห้อง และต้นตอของเสียงนั้นก็คือไอ้เมฆที่กำลังเอาของขวัญที่ได้มาจากเมื่อคืนขึ้นมาเก็บไว้ในห้องนอนนั่นเอง

“นัทซื้ออะไรให้มึงวะ เมฆ” ผมหยีตาขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง

“ตุ๊กตาน่ะ เป็นแบบเดียวกับที่กูเคยซื้อให้เค้าเมื่อวันเกิดปีก่อนนั้นเลย” เมฆหยิบตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินชูขึ้นให้ผมดู

“ตัวแค่เนี๊ยนะ ต้องใส่ถุงซะใหญ่เบ้อเริ่มขนาดนั้น” ผมแปลกใจ เพราะเมื่อเทียบขนาดตุ๊กตาตัวสูงเท่าข้อศอกกับถุงกระดาษใบใหญ่เท่ามุ้งที่มันถือเมื่อวานนี้แล้ว มันดูไม่เหมาะกันเลยจริงๆ “ขอกูดูหน่อยดิ่” ผมยื่นมือออกไปรับตุ๊กตาหมีมาพิจารณาดูใกล้ๆ

หมีตัวนี้เป็นหมีผู้ชาย ใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินอย่างที่ไอ้เมฆบอก ซึ่งทำให้มันดูแปลกตาเล็กน้อยสำหรับชุดกะลาสีที่มีสีน้ำเงิน บนชุดของมันนั้นมีปักอักษร ‘เอ็ม แอนด์ เอ็น’ เอาไว้ด้วย ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมาจากอะไร

“เมฆ กับ นัท งั้นเหรอ....... แล้วเค้าตั้งใจจะหมายถึงอะไรรึเปล่าวะ นัทเนี่ย เค้าตั้งใจจะให้มันเป็นคู่กับหมีอีกตัวของเขาที่มึงเคยซื้อให้อย่างนั้นน่ะเหรอ”

“กูลับไม่คิดแบบนั้นนะ กูกลับคิดว่า........ ไม่รู้สิ มันเหมือนกับเค้าอยากจะให้กูได้รับของขวัญชิ้นสุดท้ายที่หน้าตาเหมือนกับของที่กูเคยมอบให้เค้ามั๊ง คือ ถ้าพูดตรงๆ กูรู้สึกเหมือนกับกูถูกเค้าเอาของที่กูเคยซื้อให้เขาคืนกลับมาน่ะ เพียงแต่เป็นคนละตัวเท่านั้นเอง”

“แล้วถ้าแบบนั้นมึงรู้ได้ไงว่ามันเป็นคนละตัว รู้ได้ไงว่านี่ไม่ใช่ตัวที่มึงเคยซื้อให้เขาน่ะ”

“รู้ดิ่ เพราะเขาเคยบอกกูเองว่าหมีของกูมันหายไปแล้วน่ะ” เมฆหัวเราะในลำคอเบาๆ “แถมที่สำคัญมึงลองดูที่หน้าอกเสื้อด้านซ้ายของหมีดูสิ ว่ามีรอยหรือมีรูอะไรอยู่รึเปล่า”

ผมเพ่งมองดูตำแหน่งที่ไอ้เมฆบอกพร้อมกับใช้นิ้วมือลูบไปด้วยเบาๆ “ไม่มีนะ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“ใช่ แต่ตัวที่กูเคยซื้อให้เขาน่ะ กูติดเข็มกลัดที่ซื้อให้เป็นของขวัญเขาเอาไว้ด้วย และกูจำได้ว่าเสื้อตรงนั้นก็เลยมีรูถูกเจาะอยู่หน่อยนึงเพราะกูไม่ได้ระวัง แต่ว่าตัวนี้มันไม่มี เพราะงั้นกูเลยค่อนข้างมั่นใจไงว่านี่คือตัวใหม่ที่เขาซื้อมาให้กูโดยเฉพาะ”

“งั้นเหรอ........ อืมมม แล้วมีอะไรอีกมั๊ย นัทถึงต้องใส่ถุงใบเบ้อเริ่มซะขนาดนั้นมาให้มึงน่ะ”

“คือ...... จริงๆแล้วในถุงนั้นมันมีของขวัญอีกกล่องที่พี่จ๊อบเค้าซื้อมาให้กูด้วยว่ะ”

“มันซื้อของขวัญให้มึงด้วยงั้นเหรอวะ มันซื้ออะไรล่ะ ไหนขอกูดูหน่อยดิ๊”

“ไม่รู้เหมือนกัน กูยังไม่ได้เอาออกมาแกะดูเลย อยู่ในถุงที่มุมห้องเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“งั้นก็เอาไปทิ้งซะ”

เมฆเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าออกมา “กูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้”

“อืม มันไม่ใช่แม้แต่เพื่อนของเราด้วยซ้ำนะ แล้วทำไมถึงต้องมายุ่งวุ่นวายกับแฟนคนอื่นแบบนี้ด้วยวะ กูไม่ชอบ”

“กูเข้าใจมึงนะ แต่มึงจะคิดมากไปรึเปล่า พี่เค้าก็คงแค่อยากเอามาให้กูเพราะมันเป็นวันเกิดกูจริงๆนั่นแหละ แถมเขายังคบกับนัทอยู่ด้วยนะเว้ย และเราก็เคยไปเที่ยวด้วยกันที่ทะเลมาแล้ว เค้าก็คงมีสิทธิ์ที่จะให้ของขวัญกูเหมือนกับคนอื่นๆนั่นแหละมั๊ง”

“แล้วมึงเองล่ะ ลืมไปรึเปล่าว่าจู่ๆมันก็โผล่มาที่บ้านมึงนะเมฆ แบบนี้มันไว้ใจได้เหรอวะไอ้พี่จ๊อบเนี่ย ถ้ามึงพูดว่ามึงเข้าใจกู มึงก็ต้องอย่ามองโลกในแง่ดีมากเกินไปขนาดนั้น กูรู้ว่ามึงเองก็คิดเหมือนกูนั่นแหละ ใช่มั๊ยล่ะ ไอ้เหี้ยนี่แม่งมีแต่อะไรที่ดูไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น เพราะงั้นถ้ามึงเองก็คิดเหมือนกูและเห็นด้วยกับกู มึงก็พยายามเลี่ยงๆมันเอาไว้ซะ และถ้ามีอะไรก็ต้องคอยบอกกูเรื่อยๆด้วย เข้าใจรึเปล่า”

“กูก็คิดอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเผื่อมันจะทำให้มึงสบายใจขึ้นนะซัน กูก็จะบอกความจริงมึงเหมือนกันว่ากูเองก็ไม่ได้ชอบและไว้ใจพี่เค้าเท่าไหร่เหมือนกันหรอก พี่เค้าทำตัวแปลกๆมาหลายครั้งแล้ว และที่สำคัญ........ ยิ่งถ้าเค้าทำตัวเหี้ยๆกับนัทอย่างที่พวกไอ้วิทบอกจริงๆ หรือถ้ายิ่งไปกว่านั้นคือทำให้นัทต้องเสียใจล่ะก็ กูเองก็คงจะไม่ทนเค้าด้วยเหมือนกัน”

วันจันทร์เป็นวันแรกที่เมฆต้องเริ่มทำงาน ส่วนผมเองก็ต้องเข้าบริษัทไปพบกับเพื่อนของพ่อที่ชื่อลุงกิตเหมือนกัน ลุงกิตเป็นเพื่อนของครอบครัวของผมมาตั้งแต่ผมจำความได้แล้ว และผมเองก็ต้องทำงานขึ้นตรงกับลุงกิตคนนี้โดยตรงเลยด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสดีๆที่คงไม่ได้เกิดขึ้นกับใครหลายๆคนได้บ่อยมากนัก เพียงแต่ว่าถ้าเป็นไอ้เมฆ มันเองก็คงจะรู้สึกลำบากใจนิดหน่อยแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วผมกลับมองว่านี่คือโอกาสที่เราได้รับมาและเป็นอะไรที่เราจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเราเหมาะกับงานนี้และเราก็สามารถทำมันได้ดีด้วย

และเมื่อถึงวันพุธ เราก็ได้รับข่าวดีจากพีว่าสุดสัปดาห์นี้มันคอนเฟิร์มแล้วว่าจะกลับมาประเทศไทยแน่นอน และคงพักอยู่ที่บ้านราวๆสี่วัน เนื่องจากพ่อของมันไม่ค่อยสบาย มันจึงอยากกลับมาดูอาการนิดหน่อย ถึงแม้ว่าพ่อของมันจะไม่ได้เป็นอะไรมากมายนักก็ตาม ซึ่งดูๆไปแล้ว คนที่ดูจะดีใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นไคล์ ไอ้น้องชายตัวดีของผมนี่เอง

“ว่าแต่ไคล์ได้คุยกับพีรึยัง เรื่องนั้นน่ะ” ผมถามไคล์ขึ้นในขณะที่เราสามคนกำลังนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

“คุยแล้วครับ เพิ่งจะคุยกันเมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง แต่พีทบอกว่าเอาไว้เจอกันแล้วค่อยคุยทีเดียวดีกว่าน่ะ”

“เรื่องถ่ายรูปน่ะเหรอ” เมฆถามขึ้น

“ช่ายครับ ว่าแต่ตกลงว่าพี่แอมป์เขานัดเมื่อไหร่นะ ศิลา ใช่วันเสาร์หรือวันอาทิตย์นี้รึเปล่านะ”

“เสาร์หรืออาทิตย์ก็ได้ อยู่ที่พวกเรานั่นแหละ” ผมตอบ “ซึ่งพี่ว่าก็ดีเลยนะ พีมันกลับมาวันศุกร์ตอนกลางคืนใช่มั๊ยล่ะ วันเสาร์ก็ให้มันอยู่ที่บ้านมันไป ส่วนวันอาทิตย์เราก็ลากมันไปด้วย แบบนี้ดีมั๊ยล่ะ”

“และตกลงเราจะไปรับเค้าที่สนามบินมั๊ย แสบ หรือจะรอเจอเค้าวันอาทิตย์ไปเลยทีเดียว”

“ไปครับ ยังไงๆผมก็จะไป” ไคล์รีบตอบขึ้นมาทันที

“รู้แล้วๆน่า ไปก็ไป” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ “จะได้เจอแม่พีไปด้วยเลยไง ไม่ได้เจอท่านมานานแล้วนี่ ตั้งแต่เรากลับไทยมาก็ยังไม่ได้ไปไหว้ท่านเลยนะ ซัน”

“นั่นมันก็จริง แต่ลำพังแค่พวกเราน่ะมันไม่เท่าไหร่หรอก ติดอยู่ที่ไคล์นี่สิ ถ้าพอมันได้เจอหน้ากันปุ๊บก็จับกอดจับหอมแก้มปั๊บเนี่ย กูว่าแม่ไอ้พีมันมันได้หัวใจวายตายกลางสนามบินแน่ๆเลยว่ะ” ผมหัวเราะ

“ผมจะพยายามควบคุมตัวเองครับ ผมสัญญาเลย” ไคล์ตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางหนักแน่นเกินจริงจนน่าขำทำให้พวกเราต้องหัวเราะออกมา

คืนวันศุกร์ เราสามคนขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อไปรับพี โดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเรากำลังจะไปหา และเมื่อไปถึงพวกเราก็พบกับแม่ของพีที่กำลังยืนรออยู่พอดีด้วยเช่นกัน ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน กว่าที่เราจะได้รู้จักกับแม่ของพีก็ปาเข้าไปตอนที่มันมาอยู่ที่บ้านของผมแล้วตั้งเกือบปีนึงเต็มๆ และก็เป็นอย่างที่พีเคยบอกไว้จริงๆว่าแม่ของมันนั้นเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะซีเรียสและเคร่งครัดอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งพีเป็นเพียงคนเดียวในหมู่พวกเราที่จะให้พ่อและแม่รู้เรื่องที่มันมีแฟนเป็นผู้ชายไม่ได้เด็ดขาด และแม้แต่เรื่องที่มันไปนอนที่บ้านของผมนั้นก็ยังให้รู้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน โดยสิ่งที่แม่ของพีรู้เกี่ยวกับพวกเราก็มีเพียงพวกเราเป็นกลุ่มคนไทยที่ไปเรียนที่นั่นและเป็นเพื่อนสนิทกับลูกชายของเขาก็เท่านั้นเอง

พวกเรารอพีอยู่ประมาณสิบนาที คนกลุ่มใหญ่ก็ทยอยกันเดินออกมาจากเกท และสายตาของเราทุกคนก็ประสานเข้ากับพีที่กำลังเดินออกมาพร้อมๆกันพอดี ผมอดสังเกตเห็นไม่ได้ว่าเมื่อพีเห็นว่าคนที่มารอรับมันนั้นไม่ได้มีเพียงแม่ของมันแค่คนเดียว แต่มีพวกเรารวมทั้งไคล์อยู่ด้วย มันก็ดูดีใจมากเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าท่าทางภายนอกของมันจะไม่ได้แสดงออกออกมาอย่างชัดเจนนักก็ตาม แต่แววตาคู่นั้นที่กำลังมองมาที่ไคล์นั่นก็สื่อความหมายออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

“พี่เมฆ พี่ซัน ไคล์ มาด้วยเหรอครับ ไหนบอกจะไม่มาเพราะมันดึกแล้วไง” พีหันมาหาพวกเราหลังจากกอดแม่ของตัวเองเสร็จแล้ว

“ก็มีคนอยากมาน่ะ มันอดไม่ได้” ผมหัวเราะเบาๆ แต่ก็โดนไอ้เมฆเอามือตบลงบนบ่าเบาๆ ผมเลยต้องรีบแก้ตัว “ก็ไอ้เมฆเนี่ยแหละ มันบอกอยากมาเซอร์ไพรส์น่ะ ก็เลยแกล้งพูดไปอย่างนั้นเองว่าจะไม่มา”

“ว่าแต่พ่อเป็นยังไงมั่งครับแม่ ทำไมถึงไม่มาด้วยกันล่ะ” พีหันกลับไปหาแม่ตัวเองอีกครั้งหลังจากสบตากับไคล์แวบหนึ่ง

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็นอนอยู่ที่คอนโดของเค้านั่นแหละ แต่กินยาไปก็คงหลับน่ะนะ ว่าแต่พีเหนื่อยรึเปล่า กินอะไรก่อนกลับบ้านดีมั๊ย พาเพื่อนๆไปกินด้วยกันเลยเป็นไง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าพีกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ ไม่ได้เจอคุณป้ามานานแล้วก็คงมีเรื่องอยากจะคุยกันเยอะแยะ” เมฆพูดขึ้น

“เอางั้นเหรอพี่เมฆ........” พีพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก และสายตาของเขาก็จับอยู่ที่ใบหน้าของไคล์ที่กำลังยิ้มแหยๆอยู่ด้วย

“ช่ายย พี่ก็ว่างั้นแหละ กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกทีวันหลังก็ได้” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

ตอนนี้พ่อและแม่ของพีนั้นแยกกันอยู่แบบถาวรมาได้สองปีกว่าแล้ว และพวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่าจริงๆแล้วพีนั้นอยากจะใช้เวลาอยู่กับพวกเรามากกว่าอยู่กับครอบครัวของตัวเองมากแค่ไหน เพราะมันเป็นคนคิดมากและไม่สามารถลืมอดีตของตัวเองได้ง่ายๆ การที่มันต้องเผชิญหน้าและใช้เวลาอยู่กับแม่ของตัวเองโดยที่แม่ต้องพูดถึงเรื่องของพ่อขึ้นมาแน่ๆนั้น ก็ไม่ต่างกับการไปสะกิดแผลเก่าของมันให้เปิดขึ้นมาอีกครั้งแน่นอน

“แล้วเดี๋ยวเอาไว้เราค่อยคุยกันก็แล้วกันนะครับ เอาไว้ไปเที่ยวด้วยกันดีกว่านะ ตอนนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ไคล์พูดขึ้นบ้าง

“ถ้างั้น.........” พีหันกลับไปมองหน้าแม่ของตัวเอง “พีขอไปห้องน้ำก่อนแป๊บนึงก็แล้วกันนะครับ แม่รออยู่ที่นี่ก่อนนะ”

“พอดีเลย งั้นขอผมไปด้วยนะ ศิลากับซันไปมั๊ย” ไคล์รีบพูดขึ้นทันที

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวพี่สองคนรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” เมฆพยักหน้าเบาๆ

ไคล์กับพีเดินหายไปที่ห้องน้ำกันสองคนราวๆเกือบสิบนาที ซึ่งที่ใช้เวลานานนั้นก็คงไปเพื่อพูดคุยหรือถูกเนื้อต้องตัวกันนิดหน่อยพอเป็นพิธีให้ได้หายอยากกันนั่นแหละนะ และเมื่อมันทั้งคู่กลับมา ทั้งสองคนต่างก็ดูมีสีหน้าสดใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้จริงๆ ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆการที่มีแม่ผู้เข้มงวดมาคอยคุมเข้มอยู่ด้วยแบบนี้ ได้ช่วงเวลาดีๆสั้นๆเพียงเท่านี้ก็ดีถมไปแล้ว

เช้าวันอาทิตย์ หลังจากที่เมื่อวานไคล์กับพีหนีไปกินข้าวเย็นกันตามลำพังมาแล้ว เราก็นัดให้พีมาหาที่บ้านของเราตั้งแต่แปดโมงเช้าอีกครั้งเพื่อที่จะไปหาพี่แอมป์ที่คอนโดของพี่เขาพร้อมๆกัน พี่แอมป์บอกพวกเราทั้งสี่คนให้เตรียมเสื้อผ้าอย่างที่เราอยากจะใส่ไป พร้อมกับให้เอาชุดที่พี่เขาบอกให้เอาสำรองไปด้วย และคนที่จะถ่ายรูปของเรานั้นก็คือตัวพี่เขาเองกับเพื่อนของพี่แอมป์อีกคนนึง โดยสถานที่ที่จะใช้เป็นโลเกชั่นก็คือภายในคอนโดของพี่เขานั่นเอง

เราทั้งสี่คนพร้อมกับพ่อเล็กนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันที่บ้านของไอ้เมฆอย่างพร้อมหน้า ก่อนที่ผมจะรับหน้าที่เป็นคนขับรถพาเราทุกคนไปยังคอนโดของพี่แอมป์ และเมื่อเราไปถึงที่นั่น พี่แอมป์ก็ออกมาต้อนรับเราทั้งสี่คนพร้อมกับเพื่อนผู้ชายของพี่เขาอีกคนที่ชื่อว่า พี่บอล

“เนี่ยน่ะเหรอ พี หล่ออีกคนและนะเนี่ย พี่ว่าสี่คนนี้นี่สี่สไตล์เลยนะ ดูดีกันไปคนละแบบจริงๆ” พี่แอมป์พูดขึ้นหลังจากที่เรานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว

คอนโดของพี่แอมป์มีเนื้อที่ใช้สอยค่อนข้างมาก และนอกจากนั้นยังถูกตบแต่งและจัดวางของทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบมากอีกด้วย ทั้งของวางโชว์และเครื่องใช้ทุกชิ้นล้วนดูสะอาด เป็นระเบียบ และสวยมากจริงๆ มันดูออกแนวโมเดิร์น แต่ก็ยังดูร่วมสมัยได้อย่างลงตัว

“คอนโดพี่สวยดีนะครับ” ไอ้เมฆพูดสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ในใจขึ้นมาพอดี

“แล้วก้อนเมฆไม่อยากได้แบบนี้บ้างรึไงครับ” ผมเขยิบไปกระซิบที่หูของมัน แต่มันกลับกระทุ้งศอกใส่ผมให้กลับมานั่งดีๆเหมือนเดิมแทน

“พี่ก็จัดๆให้มันเป็นระเบียบมากกว่าเดิมด้วยแหละค่ะ เพราะอย่างที่พี่บอกไงว่าเราจะถ่ายกันในนี้ซะส่วนมาก แล้วพี่ก็อยากให้มันดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดด้วย เหมือนรูปตอนที่ทะเลไง”

ผมกับเมฆพยักหน้าช้าๆ เพราะรายละเอียดส่วนมากเราก็มีได้คุยกับพี่แอมป์ทางโทรศัพท์มาบ้างแล้วเหมือนกัน แต่เมื่อผมหันไปสบตากับไอ้ตัวดีก็เห็นได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจนทีเดียว และดูเหมือนคนอื่นๆในห้องนั้นก็จะรู้สึกถึงมันได้ด้วยเหมือนกัน

“ไม่ต้องเครียดไปครับเมฆ ทำตัวสบายๆเหมือนตอนปกตินั่นแหละ พี่เห็นรูปของเมฆกับซันที่ทะเลแล้วนะ พี่ว่าแบบนั้นน่ะสุดยอดเลย เป็นธรรมชาติดีมากๆ เพียงแต่ว่าวันนี้พี่กับแอมป์จะช่วยแต่งหน้าให้นิดหน่อย จัดท่าทางอีกนิดนึงพอเป็นพิธี แต่นอกเหนือจากนั้นก็อยู่ที่ทั้งสองคนเองนั่นแหละ” พี่บอลพูดขึ้น

“ใช่ค่ะ เดี๋ยววันนี้เราจะมีกล้องสองตัว คือพี่จะเป็นคนถ่ายเมฆ ส่วนซันก็ให้พี่บอลเป็นคนถ่ายไป แต่พอถึงรูปคู่ เราก็จะช่วยๆกันลองหลายๆมุมดู จะไม่จัดแสงจัดฉากอะไรมากนัก พี่อยาให้อารมณ์โดยรวมออกมาดิบๆหยาบๆหน่อย เพราะถึงยังไงพี่ก็คิดว่าเดี๋ยวทั้งสองคนก็คงถ่ายทอดความรู้สึกอารมณ์อื่นๆออกมาได้เอง เพียงแต่ว่าทั้งสองคนจะต้องไม่เกร็งจนเกินไปเท่านั้นพอ”

“แล้วไคล์กับพีล่ะครับ” ผมถามขึ้น

“มีบทด้วยแน่นอน ไม่ต้องห่วงเลย และนอกจากพี่สองคนแล้วก็ยังจะมีผู้ช่วยมือสมัครเล่นมาช่วยอีกคนนึงด้วยนะ” พี่บอลตอบ

“ใครเหรอครับ”

“ก็เพื่อนเรานั่นแหละ ไคล์ แต่ว่าเมื่อกี๊มันยังไม่ตื่นเลย พี่เพิ่งไปปลุกมันมาเนี่ยแหละ สิบโมงมันคงเช้าไปหน่อยสำหรับน้องพี่น่ะ” พี่แอมป์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“แบบนี้มันจะดีแน่เหรอครับ พี่เมฆ ผมว่าผมไม่เอาด้วยดีกว่ามั๊ง ผมรู้สึกแปลกๆน่ะ” พีพูดขึ้นแบบเกรงๆ “ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะทำอะไรแบบนี้ได้น่ะ มันแปลกจริงๆนะครับพี่ แถมถ้าแม่ผมรู้ล่ะก็จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้เนี่ย”

“อ้าว ปรากฏว่าน้องคนนี้ดูเครียดมากกว่าเมฆอีกแฮะ” พี่บอลหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องกังวลไปนะครับพี เราคุยเราทำงานกันแบบเป็นกันเองน่ะนะ ไม่ต้องซีเรียส ถ้าน้องกังวลเรื่องแม่น้อง แม่ของน้องก็ไม่ต้องเห็นสิ แบบนั้นดีมั๊ย พี่ไม่เอารูปของพวกเราทุกคนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว”

“ใช่แล้วค่ะ แถมพี่ว่าพีน่ะหล่อไม่แพ้สามคนนี้เลยนะ ถึงเราจะเพิ่งเคยเจอกัน แต่พี่ว่าพีน่ะเป็นคนมีเสน่ห์ออก แถมลักยิ้มก็สวยด้วย”

พีก้มหน้าแล้วยิ้มอายๆพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาเกาที่แก้มอีกครั้งตามแบบที่มันชอบทำเป็นประจำ ไคล์จึงหัวเราะเบาๆพร้อมกับยื่นแขนออกไปดึงตัวแฟนของตัวเองเข้ามากอด

“ถ้าคุณไม่อยากทำผมก็โอเคนะครับ พีท ผมก็ไม่ทำเป็นเพื่อนก็ได้ แบบนั้นโอเคมั๊ย” ไคล์หันไปพูดกับพีเป็นภาษาอังกฤษ

“ไม่ๆครับ ไคล์ ทุกคนรับปากพี่เขาไปแล้ว ผมไม่อยากให้ผิดสัญญานะ ไม่เป็นไรหรอก ผมตกลงถ่ายครับ ก็แค่ทำตัวตามสบายไม่ต้องซีเรียสใช่มั๊ยล่ะ”

“ใช่แล้วค่ะ จริงสิ พีเห็นรูปถ่ายของพวกเมฆตอนที่ระยองรึยังล่ะ”

“ยังเลยครับ” พีส่ายหน้า “ไคล์เคยบอกผมนะ แต่ผมยังไม่เคยเห็นเลย”

“เออจริงด้วย เมื่อเช้าพวกพี่ก็ลืมเอาให้ดู”

“ไม่เป็นไรค่ะซัน งั้นเอางี้ บอล แกพาไคล์กับพีไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวก็ได้ เอารูปให้น้องเขาดูแล้วก็อธิบายให้เค้าสองคนฟังด้วยว่าวันนี้เราจะถ่ายกันยังไง ส่วนตรงนี้เดี๋ยวชั้นคุยกับเมฆกับซันเอง”

พี่บอลพยักหน้าให้กับพีและไคล์ พร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินนำทั้งสองคนไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่ห่างออกไป

“นี่ ซัน เมฆ พี่ถามจริงๆนะ ทั้งสองคนคิดว่าใครหล่อสุดในกลุ่มของเราสี่คนเนี่ย” พี่แอมป์หันกลับมาถามพวกเราสองคน

ผมกับเมฆหันมามองหน้ากันก่อนจะตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “ไคล์ครับ”

“พี่ก็ว่างั้นนะ แต่ซันไม่คิดว่าเมฆหล่อที่สุด หรือเมฆไม่คิดว่าซันหล่อกว่าอะไรอย่างนี้เหรอ” พี่แอมป์ยิ้ม

“ถ้าพี่ถามผมแบบนั้นผมก็คงตอบว่าไอ้เมฆแหละครับ แต่นี่ถ้าตามความเป็นจริง ยังไงผมก็คิดว่าไคล์มันหล่อกว่าอยู่ดี ไอ้เมฆมันหน้าเด็ก แถมยังออกแนวน่ารักหน้าหวานมากกว่าหล่อมั๊ง ผมว่า”

“ก็เหมือนกันครับ คือ ผมว่าไอ้ซันน่ะมันหล่อนะ แต่เอาจริงๆผมว่าไคล์ก็ยังหล่อกว่าอยู่ดี หน้าตาแบบลูกครึ่งๆนี่แหละที่โดดเด่น และที่สำคัญผมว่ามันแล้วแต่คนมองคนชอบมั๊งครับ”

“ก็นั่นสินะ แล้วทั้งสองคนคิดว่าไงสำหรับพีล่ะ”

“ผมว่า พีมันน่ารักนะ หน้าเด็ก ตัวเล็ก ขาว ใส แถมที่สำคัญก็คือบุคลิกของมัน........”

“เค้าจะเป็นคนขี้อายแล้วก็เงียบๆ พูดน้อยน่ะครับ ถ้าไม่ใช่กับคนคุ้นเคย พีจะเงียบมากๆ จนบางทีดูเหมือนชอบหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวเอาซะบ่อยๆด้วยซ้ำ ซึ่งผมว่านี่เขาก็ดีขึ้นมากแล้วนะเนี่ย อย่างน้อยๆเค้าก็ยังยอมมาที่นี่กับพวกเราน่ะนะ”

“พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน พี่ว่าทั้งสี่คนน่ะมีบุคลิกโดดเด่นเป็นตัวของตัวเองมาก ตอนนี้บอลเองก็คงกำลังคุยกับสองคนนั้นแบบนี้อยู่เหมือนกัน คือเรื่องของเรื่องนะคะ พี่อยากจะให้ทั้งสี่คนเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นพอ โดยเฉพาะซันกับเมฆที่เป็นเป้าหมายหลักของพี่ พี่อยากให้มันดูเป็นแบบว่า เริ่มต้นที่กิจวัตรประจำวันตั้งแต่เช้าของทั้งสองคนเลย เริ่มจากเมฆที่อยู่ในห้องนอน ซันอยู่ในห้องน้ำ พี่กับพี่บอลจะแยกกันถ่ายคนละคน จนกระทั่งซันเดินเข้ามาปลุกเมฆ ทำธุระส่วนตัว เช่นล้างหน้า แปลงฟัน แต่งตัวอะไรพวกนี้ จากนั้นก็กินข้าว ดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์อะไรก็แล้วแต่ด้วยกัน ถัดมาก็คือพีกับไคล์มาหา แล้วจากนั้นก็ไปถ่ายข้างนอกกันถ้าเป็นไปได้ อะไรประมาณนี้น่ะคะ แบบนี้เมฆจะรู้สึกสบายใจขึ้นมั๊ย”

“ก็.......... ไม่รู้สิครับ มันฟังดูปกติดีอยู่ก็จริงนะ แต่นั่นแหละที่มันอาจจะทำให้ผมเกร็ง แต่ว่าก็ยังโอเคแหละครับ ไม่ลองก็ไม่รู้”

“แล้วซันล่ะคะ โอเครึเปล่า” พี่แอมป์หันมาถามผม

“โอเคครับ ผมยังไงก็ได้ ก็ท่าทางน่าสนุกดี มิน่าพี่แอมป์ถึงได้ให้เตรียมชุดมาหลายๆชุดดูใช่มั๊ยครับ”

“ก็ใช่ค่ะ แต่ที่บอกว่าโอเคมั๊ยเนี่ย พี่หมายถึง..........” พี่แอมป์หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับท่าทางลังเลที่จะพูดประโยคต่อไปออกมานิดหน่อย “มันจะโอเคมั๊ย ถ้าพี่อยากได้รูปเปลือยของทั้งสองคนด้วยนะคะ โดยเฉพาะฉากที่ซันอยู่ในห้องน้ำและให้บอลเป็นคนถ่ายน่ะ”



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
นี่ๆ  ตาต้น  น้อยๆ หน่อยเถอะ จะให้ซันไปถ่ายรูปตอนแก้ผ้าอาบน้ำ  พี่หวงนะจะบอกให้  :m16: :m16:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป

niph

  • บุคคลทั่วไป
มากไปหรือเปล่าอ่ะ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :m24:  :m24:  :m24:  :m24:  :m24:
หุหุ ตอนนี้เดาอะไรไม่ถูกแล้ว  :try2:  :try2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด