]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 164076 ครั้ง)

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ดูท่าเป็นโรคจิตกันทั้งบ้าน น่ากลัวนะถ้าซันหลงเข้าไปในบ้านนี้สงสัยเสร็จแหงเลย

ซันระวังตัวหน่อยนะจ๊ะ เป็นห่วงอ่ะเด๋วจะเป็นเหยื่อตะเข้

ส่วนเมฆถ้าหลงเข้าไปสงสัยเป็นเหยื่อเหมือนกัน แต่เป็นเหยื่อไอ้จ๊อบ

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
โหดล่ะ

เริ่มมีทั้งมีด เลือด และ เออออ..... จระเข้  :m30:

ขออย่าให้เรื่องมันร้ายเเรงมากเลยนะ ต้น คนอ่านบีบหัวใจน่ะ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เหอ เหอ ตามหลักการของเรื่องลึกลับ บุคคลที่น่าสงสัยที่สุด อาจจะไม่ใช่คนร้ายก็ได้  :m21:

^^sky^^

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาให้กำลังใจก่อนคับ
จะรีบๆ ตามอ่านให้ทันๆๆๆ
 :m1:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 18


“จระเข้งั้นเหรอ” ผมทวน

“ใช่ จระเข้” ไอ้เมฆยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า

“นี่มึงพูดจริงพูดเล่นวะ ทั้งมึงทั้งไอ้เอ็นเลย เลี้ยงจระเข้เนี่ยนะ ทำเหมือนเป็นนักเลงต่างจังหวัดไปได้มึง” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมกับหัวเราะเบาๆแบบไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าและรอยยิ้มของไอ้เมฆแล้ว ผมก็ต้องหยุดหัวเราะลง “นี่ เมฆ มึงอย่าบอกนะว่ามึงเชื่อเรื่องนั้นจริงๆน่ะ”

“ไม่รู้สิ แต่กูเชื่อแน่ๆอยู่อย่างนึงว่า นักการเมืองน่ะ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน มันย่อมต้องมีด้านอีกด้านที่คนทั่วไปไม่เคยรู้ หรือถึงจะรู้ก็คงไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแน่ๆอยู่แล้วว่ะ”

เกิดความเงียบระหว่างเราสองคนขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ผมก็เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศหนักๆที่กำลังหมุนวนอยู่รอบตัวเราทั้งคู่ด้วย หรือบางทีมันอาจจะเป็นความหนักความกังวลที่ผมรู้สึกอยู่ภายในใจเพียงคนเดียวก็ได้ และผมก็รู้ตัวดีว่าความรู้สึกกังวลนั้นมันไม่ได้มาจากเรื่องราวที่ผมเพิ่งได้รับรู้เกี่ยวกับตัวพี่จ๊อบสักเท่าไหร่เลย แต่มันเป็นความกังวลที่ผมรับรู้ได้จากความรู้สึกแปลกๆที่มันแผ่ออกมาจากแววตา รอยยิ้ม และคำพูดของไอ้เมฆนี่ต่างหาก และทันใดนั้นเอง ผมก็ย้อนนึกไปถึงคำพูดที่พ่อเล็กเคยพูดฝากไว้กับผมเมื่อวันเกิดไอ้เมฆที่ผ่านมานี่ขึ้นมาทันที

“นี่ เมฆ มึงคิดจริงๆรึเปล่าว่าเรื่องราวทั้งหมดมันจะแย่ลงเรื่อยๆได้จนถึงจุดๆนั้นน่ะ มึงคิดรึเปล่าว่าเราสองคนจะต้องเข้าไปพัวพันกับไอ้อำนาจเหี้ยๆของพ่อของไอ้พี่จ๊อบจนอาจมีเรื่องไม่ดีๆเกิดขึ้นมาน่ะ”

“ไม่หรอก กูไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้นฃ” ไอ้เมฆส่ายหน้า “ตอนนั้นกูก็ถามไอ้เอ็นเหมือนกันว่าตกลงแล้วบ้านของพี่จ๊อบมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ว่าคำตอบก็คือ มันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ตัวมันเองก็ไม่ได้รู้อะไรมาก อย่างไอ้เรื่องจระเข้นั่นมันก็เป็นแค่คำร่ำลือแบบปากต่อปาก และ เป็นเรื่องที่ไอ้พวกปลายแถวมันพูดกันเพื่อเสริมอำนาจมั๊งนะ มันอาจจะเป็นแค่เพียงคำเปรียบเทียบก็ได้ และที่สำคัญ ถ้าหากครอบครัวนั้นมันสกปรกถึงขนาดนั้นจริง ตำรวจก็คงไม่อยู่เฉยหรอก”

“แต่เรื่องของไอ้ตำรวจรึอะไรแบบนั้นมันก็.........”

“มันก็เชื่อถือไม่ได้มากใช่มั๊ยล่ะ ถ้าคนเรามันมีทั้งอำนาจทั้งเงินล่ะก็ อะไรๆมันก็สามารถถูกสร้างหรือถูกลบทิ้งได้ทั้งนั้น” ไอ้เมฆพยักหน้า “แต่กูเชื่อเพื่อนของกูว่ะ เรื่องมันก็แค่นั้น”

“ก็ดี..........” ผมพูดขึ้นหลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ถ้าไอ้เอ็นมันบอกว่าไม่มีอะไร มันก็คงไม่มีอะไรใช่มั๊ยล่ะ แต่ถึงยังไงมันก็บอกมึงว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกนี้อยู่ดีนี่หว่า”

“ใช่ สรุปก็คือ ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น แถมต้องอย่าลืมว่าคนที่มีอำนาจคือตัวพ่อ ไม่ใช่ตัวลูก แต่เอ็นมันก็แค่เตือนเราว่าถ้าเราคิดจะมีเรื่องกับใครน่ะ อย่าไปมีเรื่องกับไอ้พวกนักการเมือง ไอ้พวกมีเบื้องหลังอะไรแบบนั้นเลยจะดีที่สุดน่ะ เอางี้ กูบอกไอ้เอ็นมันไปแล้วว่าไว้วันหลังมึงจะโทรไปคุยกับมันเอง เพราะให้กูบอกต่อทั้งหมดก็คงไม่ไหว และมึงเองก็คงไม่มั่นใจเท่าได้ยินจากปากมันใช่มั๊ยล่ะ มึงสงสัยอะไรก็ถามไปได้เลย กูวานให้มันช่วยสืบๆเรื่องของพี่จ๊อบมาเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วด้วย”

ผมพยักหน้า “รู้เขารู้เราสินะ กันไว้ดีกว่าแก้ใช่มั๊ย”

“ใช่แล้ว คือบอกตามตรงนะ ตอนนี้กูยังไม่กังวลอะไรหรอก แต่เราก็ต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายเอาไว้เหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ อย่างน้อยๆตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าถ้าหากพี่จ๊อบเขาต้องการอะไรขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เค้าก็อาจจะมีความสามารถและอิทธิพลในการได้มาในสิ่งที่อยากได้ก็ได้”

“แต่แบบนั้นมันก็แปลกนะ........” ผมใช้คิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ “ถ้าตัวไอ้พี่จ๊อบเองมันมีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจ และความสามารถในการได้มาในไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันต้องการ มันจะยังมาหลอกใช้หลอกคบนัทอยู่ทำไมวะ”

“เรื่องนี้กูก็คิดอยู่เหมือนกันนะ...... ซึ่งกูคิดได้สามอย่าง ก็คืออย่างแรกเลย พี่จ๊อบอาจจะเข้าไปตีสนิทกับนัทในเรื่องของการถ่วงดุลอะไรสักอย่างก็ได้ อาจจะเพื่อถ่วงหรือเพื่อเสริม กูก็ไม่รู้หรอก เพราะพ่อเค้าเล่นการเมือง ส่วนพ่อนัทก็เป็นตำรวจ” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นไอ้เมฆจึงเริ่มพูดต่อ “อย่างที่สอง พี่จ๊อบคงไม่ได้หลอกใช้อะไรนัทหรอก เพื่อนๆเรานั่นแหละที่มองไปแบบนั้นเอง เพราะกูคิดว่าคงไม่มีใครที่รู้เรื่องเบื้องหลังของพี่จ๊อบเหมือนที่เรารู้หรอกมั๊ง และนี่ถ้ากูไม่รู้เรื่องนี้จากไอ้เอ็น กูเองก็คงไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้เหมือนกัน เรื่องทั้งหมดมันก็อาจจะแค่ว่าพี่จ๊อบมันเป็นเพลย์บอย คุณหนู กะล่อนเป็นปลาไหลอย่างที่มึงบอก แต่ว่ามีเพียงนัทคนเดียวที่ดูไม่ออกก็เท่านั้น.........”

“ถ้างั้นแล้ว อย่างสุดท้ายที่มึงคิดก็คือ.........”

“ไม่มีอะไรอยู่ในกอไผ่เลย” ไอ้เมฆตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลนิดๆ “และนั่นคือสิ่งที่กูกลัวมากที่สุดว่ะ นั่นก็คือไม่มีอะไรอยู่ในกอไผ่เลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องทุกเรื่องมันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ากลัว พ่อของนัทบังเอิญเป็นตำรวจ พ่อพี่จ๊อบบังเอิญเป็นนักการเมือง ทั้งสองคนรู้จักกันแบบธรรมดาๆ คบกันแบบธรรมดาๆ อาจจะทะเลาะกันบ้างแบบธรรมดาๆ แต่มันจะไม่ธรรมดาก็ตรงที่ถ้ามันเกิดเป็นอย่างที่เรากลัวกัน นั่นก็คือ พี่จ๊อบเสือกบังเอิญเป็นเกย์ หรือเป็นไบก็แล้วแต่ แล้วดันมาชอบกู......... นั่นแหละ ที่จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันพลิกผันไปหมด”

“และที่สำคัญที่สุดที่กูคิดก็คือ เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่จ๊อบเท่าไหร่เลย กูไม่รู้ว่ะว่ามันเป็นคนประเภทอยากได้อะไรต้องได้แบบที่เราคุยกันรึเปล่า ถ้าไม่ใช่มันก็ดีไป ถ้าเรื่องของพ่อมันไม่ได้เหี้ยและน่ามีปัญหามาก ก็ยิ่งดีใหญ่ และยิ่งถ้ามันไม่ได้มาชอบมึงและถึงขนาดทำทุกอย่างเท่าที่มันทำได้เพื่อเอามึงไปจากกูล่ะก็ จะยิ่งดีที่สุด”

ไอ้เมฆยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับดึงมือของผมไปกุมเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับเป็นคำมั่นสัญญาว่ามันจะไม่มีวันทิ้งผมไปไหนเด็ดขาด “เรื่องนั้นมึงไม่ต้องกลัวหรอก กูไม่มีทางเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีร่วมกันมาไปแลกกับไอ้บ้าที่มีดีแค่บ่อจระเข้ที่หลังบ้านบ่อเดียวหรอก เชื่อกูสิ”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก็บีบมือของมันเบาๆแทนคำขอบคุณ

“แล้วตกลงมึงจะเอาไงเรื่องตุ๊กตาหมี จะปล่อยมันไปแบบนี้มั๊ย หรือจะสืบหาต้นตอจนถึงที่สุด”

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง ใคร่ครวญถึงเรื่องราวทั้งหมด ก่อนที่จะส่ายหน้าออกมา “ไม่ว่ะ ช่างมันเถอะ ตอนนี้คงยังทำอะไรไม่ได้ และทำอะไรไปก็คงไร้ประโยชน์ ที่สำคัญคือกูมั่นใจว่ามึงจะไม่มีวันทิ้งกูไปไหนกะอีแค่เพราะตุ๊กตาหมีหรือจระเข้ไม่กี่ตัวอยู่แล้ว ดังนั้นมันจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำไปเถอะ กูเชื่อใจมึง มึงเชื่อใจกู เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” ผมยิ้มตอบให้กับมัน “เสียแค่เพียงอย่างเดียวจริงๆ คือเรายังไม่มั่นใจอะไรสักอย่างเลย ตอนนี้เหมือนเราจะมีข้อมูลเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมามากแล้วนะ แต่สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนแค่เม็ดทรายว่ะ ยังไม่สามารถก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างได้เลย ส่วนมากแล้วเราก็แค่คิดไปเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องที่ไอ้ปลาไหลนั่นมันชอบมึงรึเปล่า เรื่องตุ๊กตาหมี เรื่องความสัมพันธ์ของมันกับนัท และเบื้องหลังเจตนาของมันที่เข้ามาคบกับนัทในฐานะแฟน ถึงกูจะยอมรับว่ากูรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับตัวมันและไม่ชอบหน้ามันโคตรๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ตาม”

ไอ้เมฆถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะคลายมือที่กุมมือของผมเอาไว้ออก “เรื่องนี้กูก็คงต้องยกคำพูดมึงขึ้นมาพูดว่ะซัน....... เราไม่มีทางรู้เลย ยิ่งกับคนสมัยนี้เดี๋ยวนี้นะ เราไม่มีทางรู้ได้เลยจริงๆ.........”

หลังจากนั้นไม่นานพ่อเล็กก็กลับมาถึงบ้านพร้อมกับไคล์ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้ ทำให้ผมกับไอ้เมฆต้องรีบช่วยกันเก็บทั้งหมีและส่วนหัวของมันขึ้นห้อง เพื่อที่ทั้งคู่จะได้ไม่ต้องสงสัย และตลอดทั้งมื้ออาหาร ทั้งผมและเมฆต่างก็เงียบกันจนผิดปกติจนทำให้พ่อเล็กต้องถามเราหลายต่อหลายครั้งว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า และเราทั้งคู่ต่างก็ช่วยกันออกตัวกลบเกลื่อนกันไป ซึ่งก็คงไม่สามารถตบตาทั้งสองคนได้มากนักหรอก ส่วนตัวผมเองผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้เมฆมันคิดอะไรบ้าง แต่ผมนั้นเริ่มจะสับสนซะแล้ว ว่าข้อมูลที่เราได้มาจากเจ้าของร้านตุ๊กตาแต่เพียงอย่างเดียวนั้นมันจะเพียงพอที่จะสรุปเรื่องราวทั้งหมดได้จริงๆอย่างนั้นหรือ

“เมฆ โทรหานัทเถอะ” ผมบอกเมฆ เมื่อเราสองคนกินข้าวเสร็จและขึ้นห้องนอนมากันเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมวะ ให้กูโทรหาเค้าเรื่องอะไรล่ะ”

“ถามเค้าเรื่องหมีน่ะ กูอยากได้ข้อมูลจริงๆอีกครั้งนึง แล้วหลังจากนั้นก็อยากให้มึงคุยกับพี่จ๊อบดูด้วย ลองเลียบๆเคียงๆถามมันดู”

“แล้วไหนตอนแรกมึงบอกว่ามึงจะปล่อยๆไปไง”

“มันก็ใช่ แต่ที่ปล่อยไปก็คือ กูจะยังไม่หาเรื่องเอาเรื่องหรือสรุปคนผิดลงไปที่ใคร แต่กูก็ต้องการรู้ความจริงอยู่ดีว่ะ โธ่ มึงเองก็รู้นิสัยของกูดีนี่นา” ผมมองตาของไอ้เมฆ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้สายตาของมันจนได้ “ก็ได้ๆ...... คือจริงๆแล้วกูรู้สึกแปลกๆว่ะ มันมีอะไรหลายอย่างจากที่มึงเล่าให้กูฟังเมื่อกี๊ที่มันฟังดูขัดๆกัน ถึงกูจะยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรนะ แต่กูก็ไม่อยากปล่อยมันทิ้งไปว่ะ”

“ก็คงใช่” ไอ้เมฆพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “มึงอาจจะมีเหตุผลของมึง ส่วนกูเองก็มีลางสังหรณ์เหมือนกัน เพราะงั้นไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราลองรวบรวมข้อมูลจากทุกทางเท่าที่ทำได้กันดูเลยก็แล้วกัน”

เมฆล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของมันออกมาจากกระเป๋า ส่วนผมก็เดินไปล็อกประตูห้องเอาไว้ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมากดปิดเสียง และจากนั้นก็เดินกลับมานั่งลงบนเตียงใกล้ๆกับมันอีกครั้ง

“เปิดลำโพงให้กูได้ยินด้วยนะ” ผมบอก ส่วนไอ้เมฆก็พยักหน้ารับ

หลังจากที่เราสองคนนั่งฟังเสียงเพลงรอสายไม่นาน นัทก็กดรับโทรศัพท์ขึ้น

“ฮัลโหล ว่าไงเมฆ ขอโทษนะที่วันก่อนนัทไม่ได้รับโทรศัพท์เมฆน่ะ”

“อืมม ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่นัททำอะไรอยู่รึเปล่า เมฆกวนรึเปล่าเนี่ย กินข้าวรึยัง”

“ไม่ได้ทำอะไรหรอก เพิ่งกินข้าวเสร็จเดี๋ยวนี้เอง ขึ้นห้องมาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังพอดี พอดีว่านัททิ้งโทรศัพท์เอาไว้ในห้องน่ะ”

ผมฟังจากน้ำเสียงของนัทแล้วก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้มีวี่แววของความเศร้า ความทุกข์ ความลังเลหรืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงของนัทดูเป็นปกติดีมากๆ และเผลอๆจะฟังดูกำลังมีความสุขมากในระดับหนึ่งอยู่ด้วยซ้ำไป แต่ผมเชื่อว่าไอ้เมฆเองก็คงสังเกตเรื่องนี้อยู่แล้วด้วยเหมือนกัน ผมจึงพยักหน้าเป็นเชิงส่งสัญญาณว่าให้มันเริ่มเข้าเรื่องได้แล้ว

“คือเมฆจะโทรมาบอกขอบคุณเรื่องของขวัญวันเกิดน่ะ แปลกใจเหมือนกันที่ได้ตุ๊กตาหมีแบบนั้นมา ตอนแรกเมฆยังคิดเลยว่านัทเอาตัวเก่าที่เมฆให้นัทไปมาคืนเมฆรึเปล่านะ”

“จะบ้าเหรอ ก็ตุ๊กตาของนัทมันหายไปแล้วไง นัทบอกเมฆแล้วไม่ใช่เหรอ น้องของนัทมันหิ้วติดมือกลับต่างจังหวัดไปด้วยน่ะ ขอโทษจริงๆนะเมฆ เนี่ยนัทก็เลยซื้อใหม่แบบเดิมคืนให้เมฆ มันก็เท่านั้นเอง เพราะบอกตามตรงนะ......” นัทหัวเราะเบาๆ “นัทไม่รู้จะซื้ออะไรให้เมฆดีน่ะสิ”

เราสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่เมฆจะพูดตอบกลับไป

“แล้วนัทเป็นคนบอกพี่จ๊อบเรื่องงานเลี้ยงที่บ้านเมฆเหรอ พี่เขาถึงได้มาถูกน่ะ”

“อืมม ก็ใช่แหละ ทำไมเหรอ” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มสังเกตได้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“อ๋อ เปล่าหรอก ก็แค่สงสัยว่าทำไมนัทถึงไม่มาน่ะ เมฆก็เลยคิดว่านัทจะโกรธเมฆหรืออะไรแบบนั้นรึเปล่า” ไอ้ตัวดีของผมลดเสียงต่ำลงและพูดช้าลงเล็กน้อย

“เปล่าหรอกเมฆ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ นัทเองก็มีพี่จ๊อบอยู่แล้ว ส่วนเมฆเองมีความสุขดี ก็ดีแล้วนี่นา”

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อยกับคำตอบที่เพิ่งได้ยิน

“แล้วตอนนี้นัทกับพี่จ๊อบก็โอเคกันดีอยู่ใช่มั๊ย ยิ่งหลังจากกลับมาจากทะเลน่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่รึเปล่า”

“ก็ไม่มีนะ คือ ก็มีทะเลาะงอนๆกันบ้างแหละ พี่จ๊อบเค้าไม่ค่อยมีเวลาน่ะ แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรนี่ ทำไมเหรอ”

“อ๋อ เปล่าหรอก คือ ถ้านัทมีปัญหาอะไรหรือไม่สบายใจอะไรล่ะก็ เมฆก็แค่อยากบอกว่านัทสามารถปรึกษาเมฆได้นะ อยากให้นัทคิดถึงเมฆบ้างก็แค่นั้นเอง เมฆไม่อยากให้นัทเก็บเรื่องไม่สบายใจเอาไว้คนเดียวน่ะ”

“อืมม ได้ ขอบใจมากนะเมฆ” อีกครั้ง ที่ผมต้องนิ่วหน้าเพราะคำตอบที่ได้ยิน “ถ้าไงนัทขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ เพราะเดี๋ยวจะต้องออกไปข้างนอกกับพี่จ๊อบน่ะ เค้ากำลังจะมารับนัทที่บ้านแล้วเนี่ย”

“อืมๆ ได้ครับ งั้นโชคดีนะนัท แล้วเดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกันใหม่”

“ขอบใจมากนะเมฆ ที่โทรมา บ๊ายบาย” นัทตอบ ก่อนจะวางสายไป

เมฆกดปุ่มวางสายแล้วหันมามองหน้าผมอีกครั้ง “ได้อะไรมั๊ย”

ผมพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้า “มึงโทรหาพี่จ๊อบก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีเดียว”

เมฆมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มกดหาเบอร์พี่จ๊อบ ซึ่งผมคิดว่ามันคงนิ่งเพื่อที่จะนึกเรื่องที่จะโทรไปหาพี่เค้านั่นเอง และหลังจากเสียงเพลงรอสายครู่หนึ่ง พี่จ๊อบก็กดรับโทรศัพท์ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินเสียงของมันผ่านทางโทรศัพท์ด้วย

“สวัสดีครับเมฆ เป็นไงบ้าง นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าจะเป็นฝ่ายโทรมาหาพี่ก่อน แบบนี้ซันจะไม่ว่าเอาเหรอ” ไอ้หน้าปลาไหลนั่นหัวเราะในลำคอเบาๆไปด้วยขณะที่พูด ทำเอาผมอยากจะเอื้อมมือไปกดปุ่มวางสายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยทีเดียว

“ซันมันไม่ว่าอะไรหรอกครับ ผมก็แค่โทรกลับมาหาพี่ที่พี่โทรมาหาผมตั้งหลายครั้งเท่านั้นเอง ว่าจะถามพี่ว่ามีธุระอะไรรึเปล่าเท่านั้นน่ะครับ”

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่คิดถึง อยากโทรไปคุยเฉยๆ”

ผมกับเมฆสบตากันอีกครั้ง และคราวนี้ผมเริ่มจะรู้สึกเกลียดผู้ชายคนนี้มากขึ้นจริงๆแล้วด้วย

“แค่นี้น่ะเหรอครับ ที่พี่โทรหาผม”

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ แต่จริงๆพี่ก็อยากจะนัดเจอเมฆด้วยน่ะ พี่อยากคุยอยากปรึกษาเรื่องของนัทด้วยนิดหน่อยน่ะครับ ช่วงนี้พี่มีปัญหากับเค้าบ่อยมากเลย นัทเค้าก็เอาแต่เปรียบเทียบพี่กับเมฆ ว่าทำไมพี่ไม่หัดคิดหัดทำตัวให้ได้แบบเมฆบ้าง อะไรแบบนั้นน่ะ เหนื่อยโคตรๆเลย พูดตามตรง”

“หมายความว่าไงครับ นี่หมายความว่าพี่หาว่าผมเป็นต้นเหตุรึเปล่าครับเนี่ย” ไอ้เมฆเหลือบมาสบตากับผมแล้วนิ่วหน้า

“เฮ้ย เปล่าหรอก พี่ไม่ได้ว่าเมฆ พี่ก็แค่พูดอย่างที่นัทพูดให้ฟังเฉยๆเอง พี่รู้ว่าเมฆเป็นคนดี พี่เองยังชอบเลย แล้วพี่จะโทษเมฆทำไมล่ะครับ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ “ถ้าพี่จะโทษเมฆ พี่ไม่โทรไปเพื่อแค่จะบอกเมฆว่าคิดถึงหรอกนะ”

“เอ่ออ ช่างมันเหอะครับพี่ ผมว่าพี่ดูแลแฟนพี่ดีๆเถอะนะครับ และที่สำคัญตอนที่ผมกับนัทคบกัน เราก็ไม่ได้เดินบนกลีบกุหลาบอยู่ตลอดหรอก เราก็ทะเลาะกันบ่อยเหมือนกันนั่นแหละ นัทเค้าค่อนข้างจะแปรปรวนนิดหน่อยเท่านั้นเอง ง้อๆเค้าหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“สงสัยจะจริงนะ เนี่ยเค้าไม่ยอมเจอพี่มาสองสามวันแล้ว ตอนแรกวันนี้นัดจะไปกินข้าวไปดูหนังด้วยกันอยู่เลย สุดท้ายเค้าก็ไม่ไป บอกว่าไม่สบาย พี่ก็เลยนอนกลิ้งอยู่บ้านเฉยๆทั้งวันเลยเนี่ย........ แล้วเมฆล่ะ ทำอะไรอยู่ ว่างมั๊ย ออกไปเที่ยวไปกินเหล้าด้วยกันหน่อยดีมั๊ยครับ”

เมฆเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพร้อมนิ่วหน้าและส่ายหัวเบาๆ ส่วนผมเองก็อดพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆไม่ได้

“ไม่ดีมั๊งครับพี่ ผมว่าพี่ไปง้อนัทเถอะ ถ้าผมเดาไม่ผิด ผมคิดว่าพี่คงกำลังทะเลาะกันอยู่ใช่มั๊ยล่ะครับ”

“ก็งอนๆกันนิดหน่อยน่ะนะ แต่ก็คงไม่ได้มีอะไรมากหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงหายเองแหละมั๊ง”

ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่งท่าทางกำลังใช้ความคิด

“พี่จ๊อบ ผมขอถามอะไรพี่ตรงๆอย่างสิครับ”

“อะไรล่ะครับ ถามมาดูสิ”

“พี่เป็นคนส่งหมีตัวนั้นมารึเปล่าครับ”

ผมเองยังต้องตกใจไปด้วยเลยเมื่อได้ยินไอ้เมฆพูดออกมาแบบนั้น แต่เมื่อผมได้สบตากับมัน ผมก็เริ่มตั้งหลักได้ และหันมาให้ความสนใจกับคำตอบที่กำลังจะได้ยินแทน

“หมีเหรอ หมีไหนครับ ก็นัทไม่ใช่เหรอที่ซื้อตุ๊กตาหมีให้เมฆเป็นของขวัญวันเกิดน่ะ”

ผมกับเมฆมองหน้ากันอีกครั้ง และคราวนี้มันก็เป็นสัญญาณว่าเราสองคนไม่เห็นถึงความผิดปกติทั้งในน้ำเสียง ในจังหวะการพูด และการเว้นช่วงคำในคำตอบของพี่จ๊อบเลย ดูเหมือนกับว่ามันกำลังสงสัยในคำถามของไอ้เมฆจริงๆ ซึ่งนั่นก็แปลได้ว่ามันไม่ใช่ตัวการอย่างนั้นน่ะเหรอ...........

แต่ก็นั่นแหละ กับผู้ชายคนนี้แล้ว จะเชื่อถือหรือเอาอะไรแน่นอนกับมันมากนักก็คงไม่ได้

“พี่เคยเห็นหมีที่นัทซื้อให้ผมเหรอครับ”

“อ้าว เคยสิ ก็พี่ไปซื้อพร้อมเขาเอง หมีแบบเดียวกับที่อยู่ในห้องเค้าใช่มั๊ยล่ะ”

“พี่เคยเห็นหมีในห้องนัทด้วยเหรอ เมื่อไหร่ครับ” ไอ้เมฆถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจนิดๆ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่ามันแปลกใจจริงหรือแกล้งแปลกใจกันแน่ แต่ถ้ามันแกล้งทำ ก็ต้องบอกเลยว่ามันทำได้แนบเนียนจริงๆ

“หมีตัวที่เมฆเคยซื้อให้นัทใช่มั๊ย ทำไมพี่จะไม่เคยเห็นล่ะ ก็ตั้งอยู่บนหัวเตียงของเค้านั่นแหละ”

“ตอนนี้ก็ยังอยู่เหรอครับ” คราวนี้ไอ้เมฆเริ่มจะแปลกใจจริงๆแล้ว รวมทั้งผมด้วย

“ไม่รู้สิ ก็พี่ไม่ได้ขึ้นห้องของนัทมาสักสองอาทิตย์ได้แล้วนะ ทำไมเหรอครับ”

“อ๋ออ เปล่าหรอกครับ คือผมแค่แปลกใจนิดหน่อยน่ะ เพราะว่าพ่อนัทดุจะตาย ผมเลยไม่คิดว่าเค้าจะปล่อยให้พี่ขึ้นไปห้องนอนนัทได้เลย”

“ก็จริงนะ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ “พ่อของนัทก็ดุจริงๆนั่นแหละ กว่าพี่จะเข้าบ้านได้ก็ตั้งนานเลยเหมือนกัน ยิ่งกว่าจะขึ้นห้องนัทได้นี่ยิ่งนานใหญ่”

“ก็นั่นสินะครับ........” เมฆเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมอีกครั้งด้วยสีหน้าข้องใจ

“แล้วของขวัญที่พี่ซื้อให้ล่ะครับ ชอบรึเปล่า”

“ก็ดีครับ ขอบคุณมากนะครับพี่” ไอ้เมฆสบตากับผมอีกหน แต่ผมก็ยักไหล่ตอบมันกลับไป “แต่บอกตามตรงนะครับ ผมยังไม่เห็นมันเลย เพราะพอซันรู้ว่าพี่ซื้อมาให้ผม มันก็โกรธใหญ่ แล้วมันก็เลยไปอยู่ในถังขยะเรียบร้อยแล้ว ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ แต่ผมก็ไม่อยากจะโกหกพี่น่ะ”

พี่จ๊อบเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมา “เออ ไม่เป็นไรครับ ช่างมันเถอะ ซันเค้าคงหึงน่าดูสินะ”

“โคตรๆเลยล่ะครับ”

“แต่พี่ไม่เข้าใจนะว่าทำไมเค้าต้องทำถึงขนาดนั้น” น้ำเสียงของพี่จ๊อบดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว “มันไม่มีเหตุผลเลย หรืออย่างน้อยๆก็ให้เมฆเอามาคืนพี่ก็ได้นี่ ไม่เห็นจำเป็นต้องทิ้งไปเลยแบบนั้นนี่นา”

“และถ้าเอาไปคืนมึง มึงจะรับคืนมั๊ยล่ะ ไอ้ห่า” ผมพูดออกมาเบาๆ

“ผมขอโทษอีกครั้งแล้วกันนะครับ แต่พี่อย่าไปโทษมันเลย มันก็เป็นคนใจร้อนแบบนี้แหละ มันไม่ได้เจตนาไม่ดีอะไรหรอก” ไอ้เมฆตอบพี่จ๊อบ

“ก็ได้ครับ พี่ไม่ติดใจก็ได้ ว่าแต่ตกลงเมฆไม่ไปกับพี่จริงๆเหรอครับ คืนนี้น่ะ เดี๋ยวพี่ไปรับก็ได้นะ”

“เอ่ออ ไม่ดีกว่าครับพี่ มันคงไม่ดีหรอก ผมบอกแล้วไง พี่ไปดูแลแฟนพี่เถอะครับ ป่านนี้นัทเค้าคงกำลังรอโทรศัพท์พี่อยู่ด้วยซ้ำมั๊ง และที่สำคัญ ถ้าเกิดซันรู้ว่าพี่ชวนผมออกไปแบบนี้ล่ะก็ มันต้องยิ่งไม่ชอบใจมากแน่ๆ และผมเองก็รู้ว่าพี่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ชอบพี่ โดยเฉพาะถ้าพี่มาอะไรกับผมมากๆน่ะครับ แถมผมเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพี่เองก็ไม่ได้ชอบไอ้ซันสักเท่าไหร่อยู่แล้วด้วยเหมือนกัน จริงมั๊ยล่ะครับ”

“อ้าว ทำไมเมฆถึงคิดว่าพี่จะต้องไม่ชอบเค้าหรือเค้าไม่ชอบพี่ล่ะครับ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆอีกครั้ง

“ไม่รู้สิครับ แล้วพี่คิดว่าทำไมล่ะ” ไอ้เมฆย้อนถามด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและราบเรียบ “พี่จ๊อบครับ ผมว่าผมคงต้องวางแล้วล่ะ ไอ้ซันคงใกล้จะอาบน้ำเสร็จแล้ว เดี๋ยวมันจะไม่พอใจเอา”

“แอบแฟนมาคุยกับผู้ชายคนอื่นเหรอเนี่ย หึหึ ไม่เบาเหมือนกันนี่เรา”

“แต่ถึงไงแฟนผมก็เป็นผู้ชาย และผู้ชายคนอื่นที่ผมคุยด้วยก็เป็นแค่ ‘คนอื่น’ จริงๆนี่ครับ และที่สำคัญผมไม่ได้แอบด้วย ถึงยังไงมันก็ต้องรู้ว่าเราคุยกันอยู่ดี” ไอ้เมฆตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดจนทำให้พี่จ๊อบต้องเงียบลงทันที และเมื่อพี่จ๊อบกลับมาตั้งหลักได้ มันจึงเริ่มหัวเราะเบาๆแบบเดิมๆเป็นการตอบกลับมาอีกครั้ง

“ทำไมเมฆถึงใจร้ายกับพี่นักล่ะครับ” พี่จ๊อบแสร้งทำน้ำเสียงน้อยใจ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกอยากจะอ้วก “พี่ก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง พี่อยากจะเป็นเพื่อนของเมฆนะครับ อย่าดุกับพี่นักสิ แบบนั้นมันดูเหมือนเป็นซันมากกว่าเมฆนะ แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอกครับ และสักวันนึงเมฆก็จะเห็นเองว่าพี่กับซันน่ะ ต่างกันยังไง”

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของไอ้เมฆที่วางอยู่บนเตียงมากดปุ่มวางสายลงซะเอง เพราะผมไม่สามารถทนฟังไอ้กะล่อนนี่มันมาต่อความยาวสาวความยืดไร้สาระ และพูดจาเหวี่ยงแหใส่แฟนผมมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว และเมื่อห้องของเราตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง ไอ้เมฆที่มองหน้าของผมนิ่งมาครู่หนึ่งก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“สรุปตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า............”

“มีคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่กำลังโกหกพวกเราอยู่” ผมพยักหน้า



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนสุดท้ายของปีครับ  :mc4:

ขอให้มีความสุขกันมากๆนะครับ ไปเที่ยวกันก็ระมัดระวังตัวเน้อออ
และไหนๆก็ไหน ถ้าจะให้อวยพรให้สมกับเป็นกระทู้ของท้องฟ้ากับก้อนเมฆแล้วล่ะก็

ผมก็ขอบอกว่า.......

"ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกคนที่ยังไม่เคยรู้ถึงความงดงามของท้องฟ้า ได้เห็นถึงความสวยงามและยิ่งใหญ่ของมันนะครับ และที่สำคัญ ขอให้คุณมีคนที่จะร่วมแชร์ความยิ่งใหญ่และความงามของมันไปพร้อมๆกันด้วยนะ ขอให้ทุกคนมีท้องฟ้าเป็นของตัวเอง และได้ใช้เส้นขอบฟ้าร่วมกับคนที่คุณรักนะคร้าบบบบบ  ---  จากใจ ติ้มนุ่มน่น"

เจอกันปีหน้าครับผม  :pig3: :pig3: :pig3:


ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :m4: งานนี้ไม่นัทก็พี่จ๊อบ :o

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
งานนี้ทั้งนัทกะพี่จ๊อบนั่นแหละ ตัวปัญหาทั้งคู่เลย

ท้องฟ้ากะก้อนเมฆ ระวังตัวหน่อยนะจ๊ะ เป็นห่วงจ้ะ

สวัสดีปีใหม่น้องต้นด้วยนะจ๊ะ ขอให้มีความสุขมากๆ 

ความทุกข์ความโศกความเศร้าทั้งหลายทั้งปวงจงมลายหายไปจากชีวิตของต้นด้วยเทอญ :pig3:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
กลิ่นทะแม่ง ๆ ไม่อยากเชื่อเลยยยยว่านัทจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ทั้งโกหกเรื่องหมี โกหกว่านัดกับพี่จ๊อบ....เพื่ออะไรอ่ะ ไม่เข้าใจ
เมฆช่วยนัทไว้นะ.... :m16:       มันน่าปล่อยให้โดนข่มขืนจังงง
ยังมีไอ้พี่จ๊อบ กะแบงค์อีก.....แค่คิดก็เหนื่อยซะละ..... :serius2:
เมฆ กะ ซัน สู้ สู้  :a2:

niph

  • บุคคลทั่วไป
คนนึงก็อยากดึงกลับไป

คนนึงก็อยากเข้ามาแทนที่


แล้วใครกัน ... ที่โกหก
หรือจะโกหกกันทั้งสองคน  :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
เง้อออออ

พี่ชาย ปีใหม่อยากปายเที่ยวด้วยกันอ้ะ  :serius2:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
รออ่านปีหน้าเลยหรอ  :a5: อีกตั้งนานนนนนนนนน

แต่ต้นบอกให้ รอ เราก็รอ  o7

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
แหะๆๆ ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนานไปถึงไหนแล้วเนี่ย  :m29:


ขอบคุณสำหรับคำอวยพร แล้วก็ขอให้สิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิตคุณต้นด้วยเหมือนกันนะครับผม

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
กลับมาแล้วค้าบบ

มีความสุขสนุกตามสมควร ไม่ได้เค้าดาว แต่ก้อโอเคดี (เอิ๊กๆ)

ทุกคนเปนไงกันบ้าง

ไอ้ต้นโสดรับปีใหม่ครับ แรดกะจาย 5555

แต่ตอนนี้กลับมามีแฟนเหมือนเดิมแว้ว เซ็งเลย  :sad2:

สองสามวันก่อน หัวใจถูกแบ่งไปอยู่ทุกภาคของประเทศไทยเลย 555 เป็นคนหัวใจกระดาษษษษษ ~

ยังไงก้อขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆอีกครั้งนะครับ

แล้วก็ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียและการสิ้นพระชนม์ของพระพี่นางด้วยครับ..........


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 19


วันอาทิตย์ ผมกับเมฆใช้เวลาเกือบทั้งวันครุ่นคิดถึงคำพูดของทั้งพี่จ๊อบและของนัท ซึ่งสิ่งที่เราไม่เข้าใจมากที่สุดก็คงจะเป็น มันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนนั้นต้องโกหกเรา โดยเฉพาะเมฆที่ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่นัทพูดเป็นเรื่องโกหก แต่มันเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่พี่จ๊อบพูดนั้นก็มีน้ำหนักใช้ได้ในระดับหนึ่งเหมือนกัน สรุปแล้วเราทั้งสองคนต่างก็สับสนและวุ่นวายใจ และสุดท้ายแล้วเราจึงตัดสินใจปล่อยให้เรื่องนี้มันจบลงไปโดยไม่พยายามจะไปคิดถึงมันมากเกินไปอีก

เย็นวันนั้นไอ้แบ๊งค์โทรเข้ามาหาผมและชวนผมออกไปกินข้าวเย็นด้วยกัน มันบอกว่าเป็นแค่การกินข้าวแบบเพื่อนฝูง ไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น แต่ว่าผมอยู่บ้านกับไอ้เมฆ พ่อเล็ก และไคล์พร้อมหน้า แถมยังกำลังจะกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่แล้ว บวกกับการที่ผมไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะสังสรรค์กับมันสักเท่าไหร่นัก ผมจึงปฏิเสธไป

“โทษที แบ๊งค์ กูไม่ว่างว่ะ เย็นนี้ต้องไปธุระ แล้วก็มันกะทันหันไปหน่อยน่ะ เอาไว้คราวหน้าได้มั๊ยวะ หรือถ้าจะให้ดีนัดล่วงหน้าหน่อยก็โอเค”

“อืมมม กูเข้าใจ แต่มึงอย่าคิดมากนะเว้ย กูก็แค่อยากจะขอโทษมึงหลายๆอย่างเท่านั้นเอง”

“ขอโทษกูงั้นเหรอ”

“ใช่ ขอโทษมึง กูอยากจะเริ่มต้นกับมึงใหม่น่ะ เอ่ออ หมายถึงฐานะเพื่อนน่ะนะ อย่างน้อยๆกูก็อยากจะให้ช่วงเวลาๆที่เราเคยใกล้ชิดกัน เป็นเพื่อนรักกันแบบเมื่อหลายปีก่อนนี้กลับมาเหมือนเดิมน่ะ”

“กูเข้าใจ........ เอางี้ ไว้ประมาณวันพุธหรือวันพฤหัสมึงโทรมาหากูอีกทีก็แล้วกัน ตอนเย็นหลังเลิกงานกูน่าจะว่าง แล้วไงเดี๋ยวกูค่อยให้คำตอบมึง โอเคมั๊ย”

“ได้ๆ ขอบใจมากนะซัน ครั้งนี้กูเลี้ยงเอง แล้วก็ กูขอแค่เพียงอย่างเดียวนะ ขอให้คิดกับกูในฐานะเพื่อนที่เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันแบบแต่ก่อนเท่านั้นก็พอ....... ขอแค่........ มึงอย่ารังเกียจกูเพราะเรื่องเหี้ยๆที่กูพูดออกไป”

“ได้ กูเข้าใจมึง” ผมรับคำ และเวลาที่เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงของวันนั้น ผมก็มีเรื่องใหม่ให้คิดเข้ามาแทนที่เรื่องของไอ้ตุ๊กตาหมีผีตัวนั้น ซึ่งเรื่องใหม่ที่เข้ามาวิ่งอยู่ในสมองของผมนี้ก็ถือว่าค่อนข้างจะผ่อนคลายมากกว่าความน่าสับสนของไอ้หมีนรกนั่นมากเลยทีเดียว

และแน่นอนว่าผมบอกไอ้เมฆแล้ว ซึ่งมันก็ไม่ว่าอะไรผมเลย ผมคิดว่าเรื่องนี้ถือเป็นข้อดีของเราสองคนอยู่อย่างนึง นั่นก็คือไอ้เมฆนั้นจะไม่ค่อยหึงหวงผมเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องของผมกับเพื่อนคนอื่นๆ เนื่องจากสมัยตอนที่เราอยู่มัธยมปลาย เมฆมันก็คงเคยชินกับการเห็นผมต้องไปข้องเกี่ยวกับคนนั้นคนนี้มาตลอดอยู่แล้ว แต่ผมรู้ว่าลึกๆแล้วถ้าหากมันมาถึงจุดที่อันตรายเกินไป ไอ้เมฆก็คงจะต้องพูดออกมาจนได้ว่ามันหึงผม กลับกันกับผมที่ผมเป็นคนที่หึงหวงมันมากกว่าแบบสุดๆ ผมแสดงออกชัดเจนมากว่าผมหวงมัน แต่ลึกๆแล้วผมกลับไว้ใจมันมากและไม่คิดเลยว่ามันจะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เราต้องมีปัญหากันอันเนื่องมาจากตัวมัน ซึ่งก็เรียกได้ว่านั่นเป็นความเหมือนในความต่าง หรือความต่างในความเหมือน หรือความกลมกลืนที่เราสองคนมีให้กันเป็นอย่างดี

และเมื่อวันเวลาผ่านไป ผมกับเมฆต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องตุ๊กตาและเรื่องของทั้งนัทและพี่จ๊อบขึ้นมาอีกเลย และดูเหมือนตัวพี่จ๊อบเองก็จะรู้ว่าอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะหลังจากคืนวันเสาร์นั่นแล้ว มันก็ยังไม่ได้โทรมาหาเมฆอีก ส่วนแม้แต่ตัวของผมก็ยังคิดถึงคำสัญญาที่รับปากเรื่องไอ้แบ๊งค์ได้แค่เพียงคืนเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นมาผมก็ไม่ได้คิดถึงมันอีกเลย

แต่ทุกๆสิ่งก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อมาถึงวันพุธ ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองหลังจากขึ้นมาจากพักกลางวัน ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เมฆเล่าให้ผมฟังที่โต๊ะกินข้าวเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลของพี่จ๊อบ และคำสัญญาว่าผมจะโทรหาคนๆหนึ่ง ผมจึงหยิบโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของเอ็น และตัดสินใจโทรไปหามันเพื่อถามถึงข้อมูลที่เหลืออยู่ที่ผมอยากจะรู้และควรที่จะรู้

“ฮัลโหล นี่ซันนะครับ เอ่ออ เพื่อนของเมฆน่ะ นั่นใช่เอ็นรึเปล่า” ผมทักออกไปหลังจากที่มีคนรับโทรศัพท์

“อ๋อ ไอ้ซันเหรอ เฮ้ยเป็นไงวะ ไม่ได้คุยกันตั้งนาน” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง ทำให้ผมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

“เออ ก็ดีว่ะ แล้วมึงล่ะเป็นไงบ้าง ไอ้เมฆมันได้บอกไว้รึเปล่าว่ากูจะโทรหามึงน่ะ”

“บอกแล้วๆ เชี่ยเอ๊ย นี่กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงไปข้องเกี่ยวกับไอ้ลูกชายตัวดีของบ้านนั้นได้ยังไงน่ะ แต่กูบอกตามตรงว่าบ้านกูไม่มีใครชอบพวกแม่งเท่าไหร่หรอกนะเว้ย”

“ทำไมวะ มันเหี้ยมากเลยเหรอ จระเข้บ้านมันดุมากเลยเหรอวะ”

ไอ้เอ็นหัวเราะชอบใจ “ก็ไม่เชิงหรอก แต่มึงรู้รึเปล่า ว่าถ้ามึงโยนไก่ทั้งตัวลงไปในบ่อจระเข้น่ะ มันจะกินไม่เหลือแม้แต่กระดูกเลยนะเว้ย เพราะงั้น มึงจะไม่เหลือซากหรือร่องรอยอะไรให้ตามได้เลย”

ผมเงียบแทนคำตอบ

“กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าบ้านมันมีบ่อจระเข้จริงๆรึเปล่าน่ะ คงไม่มีใครกล้าไปด้อมๆมองๆหลังบ้านมันเท่าไหร่หรอก กูลองคุยเรื่องนี้กับพ่อกับพี่กูดูแล้ว ได้ความมาว่า เจ้าตัวพ่อน่ะมันก็มือสะอาดอยู่พอตัวเลยเหมือนกัน เพราะเห็นว่าตั้งใจจะไปให้สูงกว่าแค่ในระดับเขตระดับพื้นที่แบบที่เป็นอยู่นี้ให้ได้ ช่วงหลังๆมานี่ก็เลยต้องพรีเซ็นท์ตัวเองดีๆหน่อย แต่ปัญหามันก็มีอยู่ที่ว่า ก่อนหน้าที่มันจะมาจุดนี้ได้น่ะ พ่อกูบอกว่ามันผ่านอะไรมาไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนพี่ก็กูบอกว่า ถึงเบื้องหน้ามันจะสะอาดยังไง คนเรามันก็ลบเงาด้านหลังของตัวเองทิ้งไปไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะพยายามซ่อนเอาไว้แค่ไหนก็ตาม มึงพอจะเข้าใจใช่มั๊ยวะ”

“งั้นแปลว่าปัญหาสำคัญของกูตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวลูกงั้นเหรอวะ”

“ก็ไม่เชิงอีกนั่นแหละ เพราะกูไม่รู้ไงว่ามึงไปมีปัญหาอะไรระดับไหนกันแน่........” อีกฝ่ายเงียบรอให้ผมเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน แต่ผมไม่ตกหลุม ไอ้เอ็นจึงเริ่มต้นพูดต่อหลังจากถอนหายใจเบาๆ “คือ ไอ้จ๊อบน่ะ มันรุ่นใกล้ๆกับพี่กู พี่กูก็เลยพอได้ยินชื่อเสียงมันอยู่บ้าง ไอ้เนี่ย มันเพลย์บอย กะล่อน ถึงจะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย มึงงงมั๊ยวะ”

“งงดิ่ ไอ้เหี้ย พูดอะไรของมึงวะ แม่งขัดกันเอง”

“เอาเป็นว่า มันน่ะ เปลี่ยนแฟนบ่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเหี้ยจนไม่มีคนทนมันได้ หรือเพลย์บอยจนไม่เลือกหน้า แต่พี่กูบอกว่าเพราะคนที่มาคบกับมันน่ะ ผ่านพ่อมันไม่ได้สักคน มีน้อยคนมากๆที่พ่อมันเห็นชอบด้วย และกูได้ข่าวมาว่าคนล่าสุดที่มันเพิ่งเลิกไปก็คือนัท แฟนเก่าไอ้เมฆนี่ ใช่มั๊ย”

“อันนี้ข่าวมึงผิดแล้วล่ะ มันสองคนยังคบกันอยู่เลย เมื่อตอนพวกกูกลับมาและไปเที่ยวทะเลกัน มันก็ยังไปด้วยกันกับพวกกูอยู่เลยว่ะ”

“อ้าวเหรอ เออ งั้นสงสัยข่าวกูจะผิดหรือไม่ก็เก่าไป เพราะจริงๆไอ้จ๊อบเนี่ย มันไม่ได้เลวถึงแก่นขนาดนั้นหรอก มันก็แค่เที่ยวเก่ง และด้วยหน้าตาที่ไม่ถึงกับเหี้ยแดก บวกกับเงินที่มีเป็นถุงเป็นถัง ก็เลยทำให้ดึงสาวๆได้มากพอตัวเหมือนกัน และมันก็ไม่ค่อยจะปฏิเสธคนที่เข้าหามันสักเท่าไหร่ซะด้วย สุภาพบุรุษมั๊ยล่ะ”

“ไอ้สุภาพบุรุษแบบนั้นนั่นแหละ ที่เรียกว่าเลวน่ะ”

“เออ ก็คงงั้นมั๊ง แต่ที่น่าสนใจก็คือ พ่อมันน่ะ ก็เคยเอือมๆมันเหมือนกันแนะ เพราะตัวลูกน่ะใช้เงินเยอะ เที่ยวเก่ง แต่ยังดีที่มันประจบพ่อประจบแม่เก่ง มันก็เลยรอด แถมตั้งแต่มันมีงานมีการทำเป็นของตัวเอง พ่อมันก็เลยเลิกจุกจิกอะไรมากแล้ว”

“อืมมมม...... ตอนนี้กูสงสัยอยู่สองสามอย่างว่ะ ไม่รู้ว่ามึงพอจะรู้รึเปล่า” ผมเงียบไปพักหนึ่ง พอรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่ไอ้เอ็นก็เงียบตอบกลับมาเพื่อรอให้ผมเป็นฝ่ายพูดต่อขึ้นมาก่อนอีกเช่นกัน “กูอยากรู้ว่าไอ้จ๊อบเนี่ย มันใช้บารมีพ่อได้ขนาดไหน มันเป็นพวกอยากได้อะไรต้องได้รึเปล่า และที่สำคัญคือ มันเป็นเกย์มั๊ย”

“มึงว่าไงนะ” ไอ้เอ็นที่ท่าทางกำลังสำลักอะไรสักอย่างอยู่ที่ปลายสายตอบกลับมา ผมได้ยินเสียงไอโขลกๆดังอยู่แว่วๆ ก่อนที่มันจะตั้งหลักได้ “เมื่อกี๊มึงถามกูว่าไงมั่งนะไอ้ซัน เชี่ยเอ๊ยย สำลักกาแฟเลยกู”

“กูถามว่า มันมีบารมีมากขนาดไหน มันเป็นประเภทลูกคนหนูเอาแต่ใจมั๊ย และข้อสุดท้าย มันเป็นเกย์หรือมีประวัติว่าเคยไปเจ๊าะแจ๊ะเคยผ่านอะไรกับผู้ชายมามั่งรึเปล่า”

ไอ้เอ็นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเคลียร์ลำคอและตอบผมกลับมา “อย่างแรกนะ มันเองก็มีลูกน้องอยู่พอตัวเหมือนกัน ก็ลูกน้องพ่อมันนั่นแหละ เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัย ไอ้โลกเบื้องหลังของไอ้คนจำพวกนี้น่ะ มึงไม่อยากจะรู้รายละเอียดนักหรอก ส่วนนิสัยส่วนตัวของมัน เรื่องนี้กูไม่ชัวร์ว่ะ....... โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวโคตรๆแบบนั้นน่ะ”

“มึงช่วยสืบให้กูหน่อยได้มั๊ยวะ รบกวนหน่อย”

“อืมมม.........” อีกฝ่ายเงียบไปอีกอึดใจหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ “ก็ได้ กูจะทำเท่าที่ทำได้นะ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน นั่นก็คือ มึงสองคนต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กูฟัง และกูหมายความว่าหมดแบบหมดเปลือกจริงๆนะเว้ย ไม่งั้นกูก็คงช่วยอะไรมึงไม่ได้”

“ก็ได้ ไม่มีปัญหา..........” ผมตอบ และทันใดนั้นผมก็สังเกตเห็นพี่กบที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาผม พร้อมกับกล่องของขวัญหนึ่งกล่องในมือ ผมรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองขาดช่วง และหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่งทันที “มึงถือสายรอกูแป๊บนึงนะ ไอ้เอ็น”

พี่กบเดินยิ้มเข้ามาวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะของผม และเมื่อพี่เขาเห็นผมกำลังติดสายอยู่ เขาจึงแค่ยิ้มแบบขี้เล่นและพยักหน้าให้ผมก่อนจะตั้งท่าเดินกลับออกไป

“เดี๋ยวครับพี่กบ นี่อะไรอ่ะครับ ของขวัญอีกแล้วเหรอ” ผมรีบถาม ทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ค่ะ เสน่ห์แรงอีกแล้วนะ มาจากคนนอกอีกแล้วล่ะ ท่าทางคนนี้จะเอาจริงนะเนี่ย” พี่กบหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินจากไป

ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะข้างๆกล่องของขวัญนั้น และใช้มือทั้งสองข้างเปิดฝากล่องออกอย่างเบามือ เมื่อฝากล่องถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกวางอยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน บริเวณส่วนหัวของตุ๊กตาหมีโผล่ออกมาเล็กน้อย ผมจึงค่อยๆใช้มือประคองมันออกมาจากกล่องอย่างเบามือ และมันก็คือตุ๊กตาหมีที่มีหน้าตาและเสื้อผ้าเป็นชุดกะลาสีสีน้ำเงินแบบเดียวกับตุ๊กตาหมีตัวที่กำลังเป็นปัญหาของเราสองคนอยู่นั่นเอง เพียงแต่เจ้าตัวนี้ไม่ได้มีรอยกรีด รอยฉีกขาด และเลือดที่เปื้อนตามตัวแต่อย่างใด

ผมคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบที่หูอีกครั้ง “เฮ้ย ไอ้เอ็น กูว่ากูคงต้องพึ่งมึงอีกหนแน่ๆว่ะ กูสัญญาว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้มึงฟังเอง เพราะกูชักมั่นใจแล้วว่ากูคงต้องขอความช่วยเหลือจากมึงอีกเร็วๆนี้แน่”

ผมบอกลาและนัดเวลาที่จะคุยกับไอ้เอ็นอีกครั้งก่อนจะกดปุ่มวางสายไป ผมหยิบตุ๊กตาหมีตัวตรงหน้านี้ขึ้นมาพินิจดูใกล้ๆอีกครั้ง พลันหัวสมองของผมก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว

ครั้งแรกตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินแบบนี้นั้นน่าจะมีอยู่แค่เพียงตัวเดียวในโลกเท่านั้น นั่นก็คือที่ห้องนอนของนัท และหลายปีผ่านไปมันก็หายไป นัทจึงไปสั่งทำมันขึ้นมาอีกหน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะถ้ามันเป็นหมีที่อยู่ในห้องของเขามาหลายปี เขาย่อมจะจำมันได้หรือมีรูปถ่ายเป็นต้นแบบให้ทางร้านอยู่แล้ว และต่อมาตุ๊กตาตัวนั้นก็มาตกอยู่ที่ไอ้เมฆในฐานะของของขวัญวันเกิดจากนัท ถัดจากนั้นมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ผมก็ได้รับตุ๊กตาหมีแบบเดียวกันในสภาพยับเยินจากคนแปลกหน้ามาส่งให้ที่ทำงานที่นี่ ในเวลาเดียวกันนี้ และจากการสอบถามจากร้านขายตุ๊กตา คนที่ทำตุ๊กตาบอกว่าย้อนกลับไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนก็มีผู้ชายคนนึงนำหมีแบบนี้ ที่ ณ เวลานั้นควรจะมีอยู่แค่เพียงตัวเดียวก็คือตัวที่ห้องของไอ้เมฆมาเป็นแบบให้ทางร้านทำก๊อปปี้ขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าจะมีโอกาสเป็นไปได้ว่าตอนนั้นจริงๆแล้วหมีกะลาสีนี่ไม่ได้มีอยู่เพียงตัวเดียว แต่จริงๆแล้วยังมีอีกตัวหนึ่ง มันก็จะไปสอดคล้องกับที่พี่จ๊อบบอกว่าเขาเห็นมันมาตลอดในห้องของนัท ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะขัดแย้งกับที่นัทบอกว่าเขาทำหายไปแล้วตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมานี่ก็ตาม และในตอนนี้ ณ เวลานี้ ก็กลับมีหมีกะลาสีอีกหนึ่งตัวโผล่มานั่งยิ้มแป้นอยู่บนโต๊ะทำงานของผม

แต่ทว่าผมกลับขนลุกและรู้สึกสับสนจนไม่รู้จะคิดยังไงอะไรต่อไปดีแล้ว

ผมหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาดู และก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าข้างในกล่องนั้นยังคงมีสิ่งๆหนึ่งวางอยู่ที่ก้นกล่องด้วย ผมล้วงมือไปหยิบมันออกมา และปรากฏว่ามันก็คือแผ่นซีดีรอมแผ่นหนึ่งที่ถูกใส่อยู่ในซองพลาสติกใส ผมพลิกมันดูด้านหน้าด้านหลังอย่างจนปัญญา หวังว่าจะหาต้นตอของที่มาของคนที่มาส่งมันได้ แต่ปรากฏว่าก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมอยู่ดี

ผมเลื่อนเก้าอี้ไปหยุดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และตัดสินใจเสี่ยงดวงสอดแผ่นซีดีลงไปในเครื่อง เมื่อเครื่องออโต้รันขึ้นมา ผมก็คลิกเลือกที่เปิดโฟลเดอร์ขึ้น และในโฟลเดอร์นั้นก็มีไฟล์วีดีโอเล็กๆอยู่เพียงไฟล์เดียว ส่วนชื่อไฟล์ก็คือชื่อวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งก็คือเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง

ผมคลิกเล่นไฟล์วีดีโอนั้น และเนื่องจากคลิปวีดีโอนี้มีขนาดเล็ก ทำให้ภาพของมันที่กำลังเล่นอยู่ในโปรแกรมเรียลเพลย์เยอร์จึงถูกบีบขนาดเหลือเพียงหน้าจอเล็กๆเท่านั้น ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นวีดีโอที่ถ่ายด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือ ในวีดีโอนั้นเป็นภาพของผู้ชายสองคนที่ดูคุ้นตากำลังเดินอยู่เคียงข้างกันออกจากลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเข้าไปในตัวห้าง

ผมรีบหยิบมือถือมากดเบอร์ของไอ้เมฆทันที

“ฮัลโหล เมฆ มึงมีอะไรจะบอกกูรึเปล่า” ผมพูดออกไปทันทีที่ไอ้เมฆรับโทรศัพท์ และแม้แต่ผมเองก็ยังตัวไม่รู้เลยว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้นออกไป เพียงแต่ ณ วินาทีนั้น ผมเกิดลังเลขึ้นมาว่าผมจะเป็นฝ่ายเดียวที่ได้รับพัสดุปริศนานี่เพียงคนเดียวรึเปล่า และทางฝ่ายนั้นมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นเหมือนที่ผมเจอบ้างมั๊ย ผมจึงหลุดปากถามอะไรพิลึกๆแบบนั้นออกไป

“ไม่มีนี่ มึงเป็นอะไรวะ ซัน” ไอ้เมฆตอบกลับมาแบบงงๆ และมันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมคงเป็นเพียงคนเดียวที่เจอเรื่องนี้นั่นเอง

ทันใดนั้นเอง ภาพในวีดีโอก็ถูกตัดไปเป็นภาพด้านหลังของชายสองคนนั้นที่กำลังหยุดยืนอยู่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้า

“เป็นแน่ว่ะเมฆ มึงจำที่เราคุยๆกันมาได้มั๊ย เรื่องของไอ้ตุ๊กตาหมีนี่น่ะ”

“เออ ทำไมวะ มึงคิดอะไรได้งั้นเหรอ หรืออย่าบอกนะว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแล้วน่ะ” น้ำเสียงของไอ้เมฆร้อนรนขึ้นมาทันที ผมนึกภาพของมันที่กำลังนั่งเอนหลังพิงพยักเก้าอี้ดีดตัวขึ้นมาเป็นนั่งหลังตรงได้อย่างชัดเจนทีเดียว

“เราคิดกันผิดหมด เมฆ ผิดหมดทุกอย่างเลย เราต้องกลับมาเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ใหม่ทั้งหมด..........” ผมตอบ และภาพในวีดีโอนั้นก็กำลังเป็นตอนที่ผู้ชายสองคนนั้นกำลังยืนพูดคุยอะไรบางอย่างกับเจ้าของร้านอยู่ แต่เนื่องจากมันอยู่ค่อนข้างไกล และคุณภาพของไฟล์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก บวกกับมันเป็นภาพที่ถ่ายจากทางด้านหลัง จึงอาจจะทำให้คนดูดูไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นใครและเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่แน่นอนว่าผมย่อมต้องรู้ดีเลยทีเดียว

เพราะผู้ชายสองคนนั้นก็คือผมกับไอ้เมฆนั่นเอง



ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
ทำไมบรรยากาศมันลุ้นๆ หลอนๆแบบนี้นะ

ปวดกะโหลกแทน ซัน กะ เมฆ  :a6:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เห็นด้วย ออกแนวโรคจิตไปเลยอ่ะ    :m29:  :m29:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 o2รอลุ้นครับ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
แปลกดีจ้า ต้น เรื่องนี้เริ่มออกแนวโหดแบบปริศนาฆาตกรรมโรคจิต ดีไปอีกแบบนึง

ขอแค่ให้เมฆกะซันอยู่ด้วยกันก็พอใจแล้ว  ปัญหาอะไรจะเกิดก็ค่อยๆ แก้ไปเหอะ :m12:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
555 ออกแนวโรคจิตซะแล้วคุณต้นนิ่ม ...  :o

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 20

ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่ลุงกิตจะเข้ามาเรียก ทำให้ผมต้องสะดุ้งจนเกือบสุดตัว

“ซัน เดี๋ยวคุณเข้าไปพบผมที่ห้องหน่อยนะ” เมื่อถึงเวลางาน สรรพนามของผมกับลุงกิตก็จะเปลี่ยนไปทันที

“อ๊ะ เอ่อครับ ได้ครับบอส”

ลุงกิตนิ่วหน้าเล็กน้อย “เป็นอะไรไปล่ะเรา กำลังเหม่อถึงเจ้าของกล่องของขวัญนั่นรึไง”

ผมเหลือบมองตามสายตาของลุงกิตไปยังกล่องของขวัญที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบมันลงมาวางไว้บนพื้นข้างใต้โต๊ะทำงานแทน “อ๋อ เปล่าหรอกครับ ผมก็แค่คิดอะไรเพลินๆนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวผมจะรีบตามเข้าไปนะครับ”

ลุงกิตยิ้มจางๆและพยักหน้าให้ก่อนจะเดินจากไป ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความเข้าไปหามือถือของเอ็นเพื่อบอกให้มันช่วยสืบเรื่องๆหนึ่งเพิ่มให้ผมอีกนิดหน่อย

จนถึงยามตกบ่ายแก่ๆอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เวลาเลิกงาน โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น และเมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ผมก็อดโอดครวญกับตัวเองออกมาเบาๆไม่ได้

“ว่าไงแบ๊งค์” ผมทัก รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะตามมาคืออะไร

“มึงว่างมั๊ย เย็นนี้น่ะ”

“อืมม....... ไอ้ว่างมันก็ว่างนะ แต่กูไม่แน่ใจว่ะแบ๊งค์ ว่ากูจะไปได้รึเปล่า”

“ทำไมวะ มึง....... ไม่อยากไปเหรอ คือ ถ้ามึงไม่อยากไปมึงก็บอกกูมาตรงๆได้นะเว้ย กูไม่ถือ” ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง และมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปล๊บในอกไปเลยเหมือนกัน

“เปล่า กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่พอดีกูมีเรื่องนิดหน่อยว่ะ กูก็เลยอยากจะรีบกลับบ้านไปคุยกับไอ้เมฆ”

“มึงมีปัญหากับมันเหรอวะ”

“เปล่าๆ แต่มันก็......... เออ เอาวะ เอางี้ กูขอโทรไปหาไอ้เมฆก่อนนะเว้ย แล้วเดี๋ยวกูโทรกลับ”

“ก็ได้ๆ แล้วกูจะรอนะ”

ผมกดวางสายจากไอ้แบ๊งค์ จากนั้นก็โทรไปหาไอ้เมฆทันที

“เมฆ วันนี้ซันต้องไปกินข้าวกับไอ้แบ๊งค์อ่ะ เอาไงดี รับปากมันไปตั้งแต่คืนนั้นแล้วด้วย”

“อ้าว แล้วเรื่องปัญหาที่เราจะคุยกันล่ะ ไหนมึงบอกมึงอยากรีบกลับไปคุยกับกูไง”

“ก็นั่นน่ะสิ...... เอาไงดีวะ จริงๆกูก็ไม่ได้อยากจะไปหามันหรอกนะ อยากจะรีบๆกลับไปคุยกับมึงก่อนโคตรๆ ตอนนี้กูแม่งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย........” ทันใดนั้นผมก็คิดอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ “เออ เมฆ เอางี้ได้มั๊ย มึงตามไปหากูทีหลังได้รึเปล่า แบบนั้นกูจะได้คุยกับมึงได้ด้วย แล้วก็กูก็จะได้ไม่ต้องอยู่กับไอ้แบ๊งค์แค่สองคนไง แถมที่สำคัญมันอาจจะช่วยกูในเรื่องที่กูไม่สบายใจอยู่ตอนนี้ก็ได้”

“อะไรจะช่วยมึงยังไงวะซัน กูงงไปหมดแลวเนี่ย แล้วถ้ากูไปกับมึงแบบนั้นมันจะดีเหรอ มึงนัดกินกันแค่สองคนนะ”

“เอางี้ก็แล้วกัน กูจะไปกินข้าวกับไอ้แบ๊งค์ก่อน ส่วนมึงก็กินข้าวหรือหาอะไรรองท้องมาก่อนก็ได้ แล้วค่อยตามมาหากูทีหลังหลังจากกูเสร็จธุระกับมันแล้ว แบบนั้นดีมั๊ย นะเมฆ มึงมาหากูหน่อยนะ นั่งรถเมล์หรือแท็กซี่มาก็ได้ แล้วขากลับค่อยกลับพร้อมกู เราจะได้คุยกันได้สะดวกๆไง”

ไอ้เมฆตอบตกลง และผมก็ยังคงยืนยันไม่เล่าเรื่องของขวัญชิ้นล่าสุดที่ผมเพิ่งได้มาวันนี้ให้มันฟังอยู่ดดี รวมทั้งไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่ผมอยากจะไปพบไอ้แบ๊งค์โดยให้มันตามผมไปทีหลังด้วย เพราะตอนนี้ผมยังไม่รู้และไม่มั่นใจอะไรสักอย่างเลยแม้แต่นิดเดียว และผมก็อยากจะลองฟังความคิดเห็นของไอ้เมฆแบบคุยกันต่อหน้ามากกว่าคุยผ่านโทรศัพท์ด้วย

หลังจากวางสายจากเมฆแล้ว ผมจึงโทรกลับไปหาไอ้แบ๊งค์อีกครั้ง เพื่อยืนยันนัดของเราในเย็นนี้

และความบังเอิญมันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเวลา และทุกสถานที่ โดยไม่มีใครสามารถคาดเดาหรือรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนได้เลยจริงๆ

หลังเลิกงานผมก็โทรไปนัดสถานที่และเวลากับไอ้ตัวดีของผมอีกครั้ง ก่อนที่จะขับรถไปหาไอ้แบ๊งค์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวกับที่ผมเพิ่งไปกับไอ้เมฆมาเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว......... ห้างเดียวกับที่ผมและมันโดนคนแปลกหน้าถ่ายคลิปวีดีโอของเราเอาไว้ และส่งมันกลับมาให้ผมดูราวกับเพื่อจะตอกย้ำหรือเตือนผมว่า ‘กูรู้นะว่ามึงกำลังทำอะไรอยู่บ้าง’

หลังจากจอดรถเสร็จ ผมก็กดโทรศัพท์เข้าหาไอ้แบ๊งค์เพื่อถามมันว่าจะให้ผมไปหาที่ไหน และหลังจากที่ก้าวขาลงจากรถแล้ว ผมก็ยังอดที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆตัวไม่ได้ พร้อมๆกับหยิบมือถือออกมากดอีกครั้ง

“เมฆ กูมาถึงแล้วนะ กำลังจะเดินไปหาไอ้แบ๊งค์” ผมโทรหาไอ้เมฆขณะที่กำลังเดินเข้าไปในห้าง

“อืมๆ ดีแล้ว นี่กูกำลังขับรถพาพ่อกลับบ้านน่ะ แล้วกูคงกินข้าวกับพ่อก่อนเลยว่ะ จากนั้นค่อยออกไปหามึง”

“เออ แบบนั้นก็ดี........” ผมเหลียวมองซ้ายขวาอีกครั้ง เพื่อหาว่ามีคนเดินตามผมอยู่รึเปล่า จนผมรู้สึกว่าตัวเองชักจะประสาทกินเกินไปเสียแล้ว “เมฆ กูขอถามอะไรแปลกๆมึงหน่อยดิ่”

“เออ ว่าไงคับ” ไอ้เมฆเคลียร์ลำคอของตัวเองเบาๆจากนั้นก็ลดเสียงลงเล็กน้อย “แฮ่ม แต่อย่าแปลกมากนะ เพราะว่าพ่อกูนั่งอยู่ข้างๆ”

“ทะลึ่งๆ กูไม่ได้จะถามอะไรแบบนั้นเว้ย คือ.........” ผมเองก็เบาเสียงของตัวเองลงเช่นกัน “หลังๆนี้ลางสังหรณ์ของมึงมันมีกระด่งกระดิกมั่งมั๊ยวะ”

“มึงหมายความว่าไงวะ”

“ก็ไม่รู้ดิ่ แบบว่า...... มึงมีรู้สึกแปลกๆมั่งมั๊ย ว่าช่วงนี้มันอาจจะมีเรื่องไม่ดีๆเกิดขึ้น หรือมีใครจงใจพยายามหาเรื่องเราอะไรแบบนั้นน่ะ”

ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่ง “ก็ไม่เชิงนะ แต่ไม่ใช่ว่าจู่ๆมันจะมีก็มี มันมีก็เพราะตุ๊กตาของมึงตัวนั้นนั่นแหละ” ไอ้เมฆตอบแบบเลี่ยงๆ “คือมันก็อดคิดไม่ได้น่ะนะ ถึงจะไม่อยากคิดมากก็เถอะ........ ว่าแต่ทำไมจู่ๆมึงถึงถามแบบนั้นวะ มีอะไรรึเปล่า”

“ก็ไม่เชิงหรอก........ เอาไว้มึงมาถึงแล้วกูค่อยคุยกับมึงทีเดียวก็แล้วกัน”

“อืมม มึงอย่าทำให้กูไม่สบายใจสิวะ........ อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไรครับพ่อ” ไอ้เมฆคงหันไปพูดกับพ่อของตัวเอง ก่อนจะกลับมาพูดกับผมอีกครั้ง “เออ ซัน ไงกูขอขับรถก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกูโทรกลับอีกที”

“เออ ก็ดีแล้ว มึงขับรถไปเถอะ เนี่ย กูเจอไอ้แบ๊งค์พอดีเลย” ผมเดินมาจนถึงจุดที่นัดกับไอ้แบ๊งค์เอาไว้ แล้วก็เห็นมันกำลังยืนหันหลังพิงกำแพงอยู่ข้างๆร้านขายเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่ง และเมื่อมันเห็นผมกำลังเดินมา มันก็หันมายิ้มให้ผมทันที “งั้นเอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีแล้วกันนะ เมฆ กลับบ้านดีๆล่ะ” ผมวางสายไปหลังพูดจบ แล้วก็โบกมือทักมายตอบไอ้แบ๊งค์

“หิวรึยัง” ไอ้แบ๊งค์ทัก

“ก็นิดหน่อยว่ะ หวังว่ามึงจะคิดไว้แล้วนะ ว่าจะกินอะไรน่ะ กูไม่อยากมามัวนั่งเสียเวลาเลือกอีก”

“อ่า เอ่ออ ก็ประมาณนั้นแหละ” มันดูอึกอักๆนิดหน่อย ซึ่งก็คงเป็นเพราะมันยังไม่ได้คิดเอาไว้นั่นเอง “แต่มึงไม่อยากเลือกเหรอว่าจะกินอะไรน่ะ”

“มึงเป็นคนเลี้ยงนี่ มึงก็ตัดสินใจไปเองเลยดิ่วะ” ผมส่ายหัว

“เอ่ออ งั้นไปกินอาหารญี่ปุ่นกันแล้วกันนะ มึงกินได้ป่าววะ”

“กูกินได้หมดแหละ” ผมพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองหน้ามันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราเจอกัน “แต่มึงยังจำได้ใช่มั๊ย ที่กูบอกว่าเดี๋ยวไอ้เมฆมันจะมาหากูน่ะ กูอาจจะอยู่นานไม่ได้นะ”

ไอ้แบ๊งค์พยักหน้าโดยไม่ได้สบตากับผมตอบ “อืม กูจำได้ ไม่เป็นไรหรอก กูเข้าใจว่ามึงมีธุระกัน”

ผมกับไอ้แบ๊งค์เดินไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรก แต่ปรากฏว่าเนื่องจากเป็นช่วงเวลาหัวค่ำและคนเพิ่งเลิกงานกัน ทำให้เราต้องรอคิวนานมากจนผมไม่อยากรอ เราเดินเปลี่ยนไปยังร้านอีกร้านหนึ่ง แต่ก็ค่าเท่ากัน ไม่ว่าร้านไหนๆก็คนเยอะแทบจะไม่ต่างกัน แต่ว่าห้างนี้ยังมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่อีกร้านหนึ่ง เราสองคนจึงเดินไปที่นั่นและตัดสินใจแล้วว่าจะกินร้านนี้ไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนก็ตาม และในขณะที่ผมกำลังยืนรอไอ้แบ๊งค์เข้าไปจองคิวอยู่นั้น สายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างโต๊ะหนึ่งที่มีคนสองคนกำลังนั่งกินด้วยกันอยู่ และมันก็ทำให้ผมตกใจมาก จนถึงกับต้องเดินเลี่ยงหนีไปทางอื่นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของไอ้เมฆทันที

“เมฆ กูเจอนัทกับพี่จ๊อบ”

“จริงเหรอวะ ที่ไหน มึงเข้าไปคุยกับเค้าสองคนแล้วเหรอ”

“ยัง เจอที่ร้านอาหารน่ะ กูบังเอิญเห็นเค้าก่อน แต่ว่าทั้งสองคนยังไม่เห็นกู แล้วกูก็โทรมาหามึงนี่แหละ” ผมพูดลงโทรศัพท์โดยอดไม่ได้ที่จะเบาเสียงของตัวเองลง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม และตอนนั้นเองที่ไอ้แบ๊งค์ที่รับบัตรคิวเสร็จแล้วกำลังมองหาผมอยู่ ผมจึงโบกมือบอกให้มันรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงไหน

“ทำไมมึงมายืนตรงนี้วะ เราต้องรออีกประมาณสิบนาทีนะ” ไอ้แบ๊งค์บอก

“ไอ้แบ๊งค์ก็อยู่แถวนั้นเหรอ” ไอ้เมฆถาม

“อืม อยู่” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้ไอ้แบ๊งค์เป็นสัญญาณว่าให้รอแป๊บนึง “เข้าไปดีมั๊ย”

“เดี๋ยวนะ.........” ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด “ซัน มึงดูดิ๊ว่าเค้านั่งกันอยู่ยังไง”

“ยังไงเหรอ........”ผมหันกลับไปมองยังตำแหน่งที่นัทกับพี่จ๊อบนั่งอยู่อีกครั้ง และตอนนั้นเองที่ไอ้แบ๊งค์ก็เพิ่งสังเกตเห็นทั้งคู่เช่นกัน “จะว่ายังไงดีวะ....... ก็ปกติอ่ะ นั่งตรงข้ามกัน ท่าทางก็ดูปกติดี บอกไม่ได้ว่าเป็นยังไง”

ไอ้เมฆเงียบลงอีกครั้ง และคราวนี้มันก็เงียบไปนานกว่าเดิมด้วย

“ฮัลโหล เมฆ”

“ซัน ที่มือซ้ายของนัทมีพลาสเตอร์หรือผ้าพันแผลอะไรอยู่รึเปล่า”

ผมนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจกับคำถาม แต่ก็หันกลับไปมองที่มือของนัทอีกครั้ง และมันก็เป็นอย่างที่ไอ้เมฆพูดจริงๆด้วย ที่มือข้างซ้ายของนัทมีผ้าพันแผลพันอยู่จริงๆ

“นี่มึงรู้ได้ยังไงวะ เมฆ” ผมถามอย่างประหลาดใจ

“เหี้ยเอ๊ยยย.........” ไอ้เมฆสบถออกมาเบาๆ ก่อนจะเว้นช่วงไปอีกหน “ซัน คือ เอางี้ ตอนนี้มึงไปกินข้าวกับไอ้แบ๊งค์ก่อนเถอะ ไม่ต้องกังวล แล้วเดี๋ยวกูจะรีบไปหานะ นี่กูเพิ่งกลับถึงบ้านได้พักนึงเนี่ย”

“ได้ๆ ดีแล้ว มาแล้วก็โทรบอกกูแล้วกัน”

“อ้อ อีกอย่างนะซัน สองคนนั้นเค้ากินกันไปเยอะรึยัง ใกล้จะกลับกันรึยังน่ะ มึงดูออกมั๊ย”

“ไม่น่านะ เหมือนอาหารเพิ่งจะมาถึงเองมั๊ง ไม่รู้สิ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน กูจะพยายามรีบไป”

ผมตอบตกลง จากนั้นก็กดปุ่มวางสาย แล้วก็หันไปหาไอ้แบ๊งค์ “โทษที คุยกับไอ้เมฆน่ะ”

“ไม่เป็นไร อีกสองคิวก็คิวเราแล้วนะ ว่าแต่ นั่นนัทกับพี่จ๊อบนี่ มึงทักเค้ารึยัง”

“ยังอ่ะ ทำไมวะ”

“เปล่า ก็เมื่อกี๊กูโบกมือให้ทั้งสองคนไปแล้วน่ะสิ มึงหันกลับไปมองดิ่ นัทก็มองมาหาเราอยู่เนี่ย”

ผมหันกลับไปมองยังทั้งสองคนอีกครั้ง เห็นนัทกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แต่สายตาของเขาก็กำลังมองมาทางเราสองคนด้วย พี่จ๊อบเองก็เช่นกัน และเนื่องจากครั้งนี้ทั้งสองคนกำลังมองมาที่เราอยู่ ผมจึงไม่ลืมที่จะโบกมือกลับไปให้พวกเขาตอบ และตอนนั้นเองที่พนักงานหน้าร้านเรียกชื่อของไอ้แบ๊งค์ เราสองคนจึงเดินเข้าไปในร้านพร้อมๆกัน และความบังเอิญที่สองที่เกิดขึ้นเย็นนี้ก็คือ ที่นั่งของเราที่พนักงานจัดให้ก็คือโต๊ะตัวที่อยู่ติดกับโต๊ะของนัทกับพี่จ๊อบนั่นเอง

เมื่อเราเดินผ่านทั้งสองคน เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกนอกจากยิ้มกับพยักหน้าให้กันเท่านั้น ส่วนไอ้แบ๊งค์ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะที่หันหลังชนกับนัท ทำให้ผมต้องไปนั่งฝั่งตรงข้ามที่หันหน้าเข้าหาพี่จ๊อบอย่างช่วยไม่ได้

“ว่าไง มากันแค่สองคนเหรอ” นัทชะโงกหน้ามาคุยกับพวกเรา “แล้วเมฆไปไหนล่ะ ซัน”

“อยู่บ้านน่ะ กลับไปส่งพ่อเล็ก..... พ่อเอกน่ะ แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็ตามมา” ผมตอบ

“อ๋ออ แล้วแบ๊งค์ล่ะ เป็นไงมั่ง”

“ก็ดีว่ะ เรื่อยๆเหมือนเดิม” ไอ้แบ๊งค์ตอบ ผมแอบเห็นว่าสายตาของมันชำเลืองมองเลยไปทางพี่จ๊อบด้วย

“แล้วว่าแต่นัทน่ะ มือไปโดนอะไรมา” ผมถาม

“อ๋อ นี่น่ะเหรอ” นัทยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมา “คัตเตอร์น่ะ ซุ่มซ่ามไปหน่อย....... เอ้า งั้นทั้งสองคนสั่งอาหารเถอะ เราไม่กวนและดีกว่า” นัทยิ้มให้เราสองคนอีกครั้งก่อนจะหันกลับไป

หลังจากที่เราสองคนสั่งอาหารกันเสร็จ เราทั้งคู่ต่างก็นั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย ซึ่งตัวผมเองนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้แบ๊งค์นั้นมันจะคิดยังไงกันแน่

“ไหนมึงบอกว่ามึงอยากชวนกูมากินข้าวในฐานะเพื่อนไง แล้วมาถึงมึงก็นั่งเงียบแบบนี้น่ะเหรอวะ” ผมเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นหลังจากเรานั่งเงียบกันไปได้ราวๆห้านาที “แต่กูก็ไม่ว่าอะไรนะ เราจะกินข้าวกันเงียบๆก็ได้ แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน กูน่ะเฉยๆอยู่แล้ว”

“เปล่าๆ เอ่อ กูขอโทษที” ไอ้แบ๊งค์ก้มหน้าแล้วเกาหัวตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วชะโงกหน้าเข้ามาหาผม พร้อมกับลดเสียงพูดของตัวเองให้เบาลงเล็กน้อย “กูน่ะก็อยากจะคุยกับมึง แต่นี่เล่นนั่งโต๊ะติดกับนัทเลย มันก็เลย........”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายชะโงกหน้าเข้าไปหามันบ้าง และจงใจลดเสียงของตัวเองลงให้เบายิ่งกว่ามันเมื่อครู่นี้อีก “มึงไม่อยากให้นัทได้ยิน หรือ......... มึงไม่อยากให้พี่จ๊อบได้ยิน”

ไอ้แบ๊งค์มีปฏิกิริยาเล็กน้อยหลังจากคำพูดของผม แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะไอ้เรื่องดูคนหรือจับพิรุธคนนี้ไอ้เมฆต่างหากที่เป็นฝ่ายเก่งกว่าผมเยอะ

และตอนนั้นเองที่เสียงเมสเสจเข้าของโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมจึงผงะออกพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมากดดู ปรากฏว่ามันเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากเบอร์ของไอ้เมฆ และเนื้อหาในข้อความก็มีสั้นๆแค่ว่า

“คุยกับนัท อย่าเพิ่งให้พวกเขากลับก่อนที่กูจะไปถึง”



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
บอกตามตรงคับ ว่าเริ่มเซ็งและหมดกำลังใจนิดหน่อย
ภาคนี้นี่ผมคิดหัวแทบระเบิด ไม่ว่าจะเนื้อหา เนื้อเรื่อง และที่สำคัญ แกนเรื่อง หรือก็คือคีย์เวิร์ดคำว่า "เส้นขอบฟ้า" นั่นเอง
สองภาคแรก จะเน้นเรื่อง "เวลา" ที่หยุดลงของ ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ
ภาคสาม ก็เน้นที่ การดำเนินต่อของเวลา และชะตากรรมความผูกพันของตัวละคร ไม่ว่าจะ ท้องฟ้า ก้อนเมฆ พื้นดิน สายน้ำ
ภาคนี้ ผมก็เพิ่มตัวละคร เพิ่มปม เพิ่มแก่นของเรื่อง และอีกหลายๆอย่างลงไป โดยเน้นที่ขอบฟ้า และก็ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องของเวลาด้วย
ถึงมันจะดูโหดๆ ไซโคๆ แต่ผมก็ไม่ทิ้งเรื่องความรักหรอกครับ นั่นน่ะ เรื่องสำคัญของสองคนนี้เลยแหละ

แต่ที่บอกว่าเริ่มเซ็งๆก็เพราะ รู้สึกเหมือนโดนก๊อปยังไงไม่รู้สิครับ เลยเบื่อๆ เหนื่อยๆ
เอาเป็นว่าไม่เจาะลงรายละเอียดแล้วกัน ไม่โทษใคร ไม่ว่าอะไรด้วย แต่แค่เซ็งๆกับเสียอารมณ์
เอาไว้ดีขึ้นแล้วจะมาบอกและกันนะครับ ช่วงนี้อาจจะมาต่อได้ไม่บ่อย เพราะหมดอารมณ์มากมาย

เฮ้อออ......


ปล. ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้มั๊งครับ กูผิดเองอ่ะแหละ ไรงี้๊
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2008 12:00:05 โดย ExecutioneR »

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้คุณต้นนิ่มนะครับ  :m13:


ถ้าเหนื่อย ถ้าเบื่อ ก็พักก่อนก็ได้ครับ
ผมคิดว่าแฟนๆรอได้ครับ ... (หรือเปล่าหว่า?:m23:)

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เป็นกำลังใจให้น้องต้นค่ะ   ถ้าเบื่อ หรือ เหนื่อย ก็พักก่อนก็ได้
ถ้าคิดว่าถูกก๊อปเรื่อง ก็แจ้งมาที่ โมฯ ได้นะ จะช่วยดูแลให้ (อยู่ในบอร์ดนี้รึเปล่า)    :m16:

ปล. ยังไงก็รอน้า  :oni1: :oni1:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ต้นเหมือนกัน อย่างเพิ่งเหนื่อย อย่าเพิ่งท้อไปเลยนะจ๊ะ

ต้นทำดีที่สุดแล้วละ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรืออะไรๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้

เรื่องก๊อปอะไรนั้น ช่วยให้พี่ทิพย์ดูให้สิ 

ส่วนเรื่องนี้จะรอซักพักนึงก็ได้ ทำใจให้สบายแล้วค่อยลงต่อก็ได้ รอได้จ้า ไม่ว่ากัน

ความสบายใจของต้นสำคัญที่สุด เพราะจะได้แต่งเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ และราบรื่นจนจบไงจ๊ะ

พี่เป็นกำลังใจให้เสมอนะ




ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เป็นกำลังใจให้ครับจะรอตอนต่อไปครับ :m4:

niph

  • บุคคลทั่วไป
ยังไงก็จะรอ

ถ้าท้อพักก่อนก็ได้ ยังมีกำลังใจให้เสมอครับ  :mc4:

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป
เป้นกำลังใจให้ครับ ยังตามอ่านอยุ่เสมอ  :m1:(แม้ว่าจะตามอ่านไม่ค่อยทันก็เตอะ แฮะ ๆ)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 21


“คุยกับนัท อย่าเพิ่งให้พวกเขากลับก่อนที่กูจะไปถึง”

ผมอ่านข้อความที่เพิ่งได้รับมาจากไอ้เมฆซ้ำอีกถึงสองหน และถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจความคิดของมันนัก แต่ผมก็ตัดสินใจว่าผมจะพยายามทำอย่างที่มันบอก

“แป๊บนึงนะแบ๊งค์” ผมขอตัวแล้วลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะของนัท โดยมีสายตาของไอ้แบ๊งค์คอยมองตามด้วยความสงสัยอยู่ไม่ขาด

“มีอะไรเหรอครับ ซัน” พี่จ๊อบถามขึ้นเมื่อมันเห็นผมลุกขึ้นมาหา

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากถามนัทว่านัทกับพี่จ๊อบจะรีบกลับรึเปล่าเท่านั้นเอง เพราะเดี๋ยวเมฆมันก็จะมาแล้ว เผื่อจะได้รอเจอมันก่อนไง”

“ก็ได้นี่ พี่เองก็อยากเจอเมฆเหมือนกัน” พี่จ๊อบชิงตอบขึ้นมาก่อน ในขณะที่มือของเขาก็กำลังกดมือถือไปด้วย

“แล้วอีกนานมั๊ยล่ะกว่าเมฆจะมาน่ะ” นัทถาม

“ก็คงอีกพักนึงล่ะ เห็นว่าจะรีบออกมานะ น่าจะราวๆสักครึ่งชั่วโมงมั๊ง ไม่รู้สิ”

“ถ้างั้นซันกับแบ๊งค์มานั่งโต๊ะเดียวกับพวกพี่เลยมั๊ยล่ะ จะได้ประหยัดโต๊ะไง แล้วก็จะได้คุยกันได้สะดวกๆด้วย” พี่จ๊อบเสนอ

“ไม่ดีกว่าครับพี่ ผมเกรงใจ แค่นี้อาหารพวกพี่ก็จะเต็มโต๊ะอยู่แล้ว” ผมกับพี่จ๊อบสบตากัน และผมก็เห็นได้ทันทีเลยว่าสายตาของพี่จ๊อบนั้นแฝงหมายความบางอย่างเอาไว้ ถึงสีหน้าและคำพูดของมันอาจจะไม่ได้สื่อออกมาโดยตรง แต่ผมก็มั่นใจว่าตอนนี้ในหัวของมันต้องกำลังคิดถึงเรื่องของขวัญที่มันซื้อมาให้เมฆแล้วผมเป็นคนสั่งให้เอาไปทิ้งแน่ๆ

“งั้นไม่เป็นไรหรอกซัน เดี๋ยวเรากับพี่จ๊อบนั่งกินกันไปเรื่อยๆรอเมฆก็แล้วกัน”

“แหม แต่ก็บังเอิญจังเลยนะเนี่ย ที่ได้มาเจอกันวันนี้น่ะ” พี่จ๊อบยิ้ม และผมก็ยิ้มตอบกลับไปด้วย แต่เราสองต่างก็รู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากใจหรือยิ้มเพราะความพิศวาสใดๆเลยแม้แต่น้อย จากนั้นผมก็หันหลังกลับเดินไปนั่งลงที่เบาะของตัวเองเหมือนเดิม

ระหว่างที่ผมกับไอ้แบ๊งค์กำลังกินอาหารอยู่ด้วยกัน ผมก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกับมันเลย ส่วนมากแล้วพอมันถามอะไรมา ผมก็จะตอบไปเพียงแค่ ใช่ ไม่ใช่ หรือ อือๆอาๆไปตามเรื่องเท่านั้น เพราะในหัวของผมมันมีแต่เรื่องให้คิดอยู่มากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องของตุ๊กตาหมีตัวเก่านั้น เรื่องหมีตัวใหม่ที่ได้มาในวันนี้ แถมยังมาพร้อมกับหลักฐานแปลกๆที่ชวนให้คิดว่าผมกำลังถูกจับตาดูอยู่ด้วย เรื่องความบังเอิญอันน่าอึดอัดใจที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาบังเอิญเจอกับสองคนนี้เอาในเวลาอย่างนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องที่ไอ้เมฆเพิ่งพูดกับผมไปเมื่อครู่ใหญ่ๆนี้ที่เกี่ยวกับนัทและพี่จ๊อบนั่นเอง โดยเฉพาะน้ำเสียงของมันที่บ่งบอกให้ผมรู้อย่างชัดเจนเลยว่าตอนนี้มันคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว แต่ทว่าสิ่งๆนั้นมันคืออะไรกันล่ะ ทำไมมันถึงต้องถามว่านัทกับพี่จ๊อบนั่งกันยังไง และที่น่าแปลกใจที่สุดคือมันรู้ได้ยังไงว่ามือของนัทนั้นมีแผลอยู่ ผมพยายามคิดหาคำตอบของคำถามทั้งหมดนี้จนสุดท้ายผมก็เกือบจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ไอ้แบ๊งค์พูดเลยสักนิดเดียว

“ซัน.......... ไอ้ซัน............”

“หา ว่าไงนะ” ผมตื่นขึ้นจากภวังค์เมื่อถูกไอ้แบ๊งค์แตะเข้าที่ข้อมือเบาๆ

“มึงเป็นไรวะ พอกูพูดกับมึง มึงก็ไม่ได้ฟังซะอย่างงั้นน่ะ” ไอ้แบ๊งค์นิ่วหน้า

“โทษทีว่ะ พอดีกูคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปหน่อยน่ะ ว่าแต่เมื่อกี๊มึงว่าไงนะ”

“เอ่ออ ช่างมันเหอะ” ไอ้แบ๊งค์ถอนหายใจเบาๆ “แต่อันสุดท้ายน่ะ กูถามว่าเมฆมันจะมาถึงกี่โมง นี่เราก็กินกันไปเยอะแล้วนะ”

“นั่นสินะ...... แต่ก็คงใกล้จะถึงแล้วล่ะ กูก็ไม่ค่อยอยากจะโทรไปเร่งมันเท่าไหร่ด้วย”

“ซัน แล้ว........ เมฆมันรู้รึเปล่าวะ เรื่องที่กู เอ่ออ คุยกับมึงเมื่อตอนงานวันเกิดมันน่ะ”

“เรื่องอะไรวะ กูลืมไปหมดแล้ว” ผมคีบปลาดิบเข้าปากอีกหนึ่งชิ้น

“ก็เรื่อง........ เรื่องที่กูพูดกับมึงทะเล แล้วก็เรื่องที่กูเมาแล้วพูดออกไปตอนอยู่ที่บ้านของไอ้เมฆมันน่ะ” ไอ้แบ๊งค์มีท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“มึงพูดอะไรของมึงวะ กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ผมยังคงปฏิเสธอยู่ และในที่สุดก็ดูเหมือนไอ้แบ๊งค์จะเข้าใจความหมายของผมจนได้

“เอ่อ งั้นก็ไม่เป็นไร กูขอโทษที” ไอ้แบ๊งค์ก้มหน้ากลับลงไปที่จานของตัวเองเล็กน้อย พอเห็นแบบนี้แล้ว ผมก็อดรู้สึกว่ามันก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางของมันแบบนี้แล้วก็ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผมเคยใช้อยู่กับมันเมื่อสมัยก่อนได้อีกหลายๆอย่างทีเดียว พอมาคิดๆดูแล้วผมก็ถึงนึกขึ้นได้ว่า คนที่คอยอยู่เคียงข้างผม ตามใจผมเอาใจผมทุกอย่าง และเป็นคนที่ยอมผมในทุกๆเรื่อง ก็คงจะมีเพียงไอ้แบ๊งค์คนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ต่างกับไอ้เมฆที่ตอนนั้นเรากลับทะเลาะกันบ่อยโคตรๆลิบลับ......... นึกๆแล้วก็น่าแปลกใจนะว่าทำไมตอนนั้นผมถึงได้ไม่ดูไม่ออกเลยว่ามันเองก็แอบชอบผมอยู่เหมือนกัน

ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น และคนที่โทรเข้ามาก็คือไอ้เมฆนั่นเอง มันบอกว่ามันมาถึงแล้ว และผมก็บอกมันว่าผมจะเดินออกไปรอรับมันที่หน้าร้าน จากนั้นอีกไม่ถึงห้านาทีถัดมา ไอ้เมฆก็เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับถุงใบใหญ่ใบหนึ่งในมือ

“เอาอะไรมาด้วยวะเมฆ” ผมถาม และเมื่อผมเห็นแววตาของมันแล้ว ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่ามีอะไรอยู่ในถุงใบนี้ “อย่าบอกนะว่ามึงเอามันมาด้วยน่ะ”

ไอ้เมฆไม่ตอบนอกจากพยักหน้ารับผมเบาๆ “ไปข้างในกันเถอะ กูเริ่มหิวแล้วเหมือนกันว่ะ”

ผมเดินนำไอ้เมฆเข้าไปในร้านด้วยความรู้สึกปั่นป่วนภายในอกเล็กน้อย ดูเหมือนไอ้เมฆเองก็คงคาดหวังเอาไว้เหมือนกันว่าผมน่าจะเข้าใจอะไรๆบ้างแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือผมยังไม่เข้าใจอะไรสักนิดเลย

“ว่าไงเมฆ หิ้วอะไรมาด้วยน่ะ” พี่จ๊อบทักไอ้เมฆ ส่วนผมก็เดินเลยไปนั่งลงยังที่นั่งของตัวเองก่อน

“นิดหน่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก” ไอ้เมฆตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน “นัทเป็นไงบ้าง ขอโทษทีนะที่เมฆมาช้า เลยทำให้ต้องรอไปด้วยแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่กินอะไรมารึยัง” นัทถามกลับ

“รองท้องมาแล้วกับพ่อนิดหน่อยน่ะ แต่ก็หิวอยู่เหมือนกัน ถ้างั้นเมฆขอไปนั่งก่อนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน” ไอ้เมฆยิ้มให้นัทอีกครั้งก่อนที่จะเดินตรงเข้ามาหาผม แต่ผมเห็นบางอย่างในแววตาของมัน ผมสาบานได้ว่าผมเห็นมันจริงๆ และนั่นมันก็ทำให้ผมเริ่มได้คิด.............

“ไงไอ้แบ๊งค์ วันนั้นเมาเป็นหมาเลยนะมึง จำได้มั๊ยวะน่ะว่ากลับบ้านไปยังไง” ไอ้เมฆทักไอ้แบ๊งค์ขึ้นพร้อมๆกับที่นั่งลงข้างๆผมและรับเมนูมาจากพนักงาน

“เฮ้ยมึงอย่าพูดแบบนั้น กูเขินนะเนี่ย โทษทีว่ะที่ทำให้พวกมึงหมดสนุกกัน แถมยังไปกวนบ้านมึงเอาไว้อีก วันนี้กูเลี้ยงเอง มึงกินให้เต็มที่เลยนะเว้ย แทนทั้งคำขอบคุณแล้วก็คำขอโทษของในวันนั้น”

หลังจากนั้นไอ้เมฆก็เริ่มสั่งอาหาร และทั้งสองคนก็พูดคุยโต้ตอบกันอีกนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ฟังพวกมันแล้ว สมองของผมกำลังทำงานอย่างหนักที่สุดเพื่อประมวลข้อมูลทั้งหมดที่ผมมี และอะไรบางอย่างมันก็ดูเหมือนจะเริ่มลงล็อกตั้งแต่เมื่อวินาทีแรกที่ไอ้เมฆขยับตัวมานั่งลงข้างๆผม ใช่แล้ว อย่างแรกที่ไอ้เมฆถามถึงก็คือทั้งสองคนนั่งกันอยู่ยังไง ซึ่งคำถามนั่นไม่ได้หมายความว่าทั้งสองคนนั้นนั่งกันอยู่ท่าไหน หรือว่าการแสดงออกของทั้งคู่เป็นยังไง แต่จุดประสงค์ของไอ้เมฆก็คือจงใจถามว่าเค้าสองคนนั้นนั่งที่เบาะเดียวกันฝั่งเดียวกัน หรือนั่งฝั่งตรงข้ามกันแบบนี้ตอนนี้ต่างหาก

ใช่แล้ว นัทต่างหากที่เป็นฝ่ายโกหก และถ้าคิดแบบนี้ทุกอย่างมันก็เริ่มลงตัวพอดี

ถึงผมจะไม่ได้รู้จักนิสัยของนัทดีเท่าไอ้เมฆ แต่ผมก็เคยรับฟังปัญหาของไอ้เมฆกับนัทตอนที่ทั้งคู่คบกันอยู่มาบ่อยพอสมควรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าผมคิดไม่ผิด......... เพราะฉะนั้นปัญหาก็เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับตุ๊กตาหมีคอขาดนั่นยังไง

“เฮ้ย ไอ้ซัน” เสียงของไอ้แบ๊งค์ปลุกผมจากภวังค์ขึ้นอีกครั้ง “เหม่ออีกแล้วนะมึง เป็นไรของมึงวะวันนี้น่ะ”

“โทษที กูกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆ และมันเองก็กำลังสบตาผมรออยู่แล้ว

“คิดอะไรอีกวะ สองครั้งแล้วนะ แถมคิดเพลินๆที่มึงว่าน่ะ หน้ายุ่งเชียวนะเว้ย กำลังเครียดอะไรอยู่รึเปล่า” ไอ้แบ๊งค์ถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย

“เปล่าหรอก กูไม่ได้เป็นอะไร..........” ผมวางมือของซ้ายลงบนขาของไอ้เมฆโดยที่ไม่ให้ไอ้แบ๊งค์รู้ “ตอนนี้กูก็หาคำตอบไปได้ส่วนนึงแล้วล่ะว่ะ เหลืออีกแค่นิดหน่อยเท่านั้นเองที่ยังติดอยู่”

“มึงคิดเรื่องอะไรวะ เรื่องงานเหรอ” ไอ้แบ๊งค์ยังคงถามอยู่

“ก็ประมาณนั้นแหละ กูนิสัยเสียน่ะ ชอบเอางานกลับมาที่บ้านด้วยอยู่เรื่อย และไอ้ที่กูยังคิดๆอยู่เนี่ย ก็เป็นงานตั้งแต่ของเมื่อวันพุธที่แล้วด้วยซ้ำ”

“เอาน่า มึงอย่าเพิ่งคิดมากดิ่ เรื่องมันอาจจะไม่ยากขนาดนั้นก็ได้” ไอ้เมฆพูดขึ้นบ้าง “ถ้ามึงรู้ตั้งแต่พื้นฐานและแก้ปัญหาของไอ้ส่วนแรกได้แล้วน่ะนะ ส่วนที่สองมันก็จะตามออกมาเองนั่นแหละ......... บางทีคำตอบมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มึงคาดคิดไว้ตั้งแต่แรกก็ได้ มันอาจจะเป็นอะไรที่มันไม่น่าเชื่อหรือเกินจากที่มึงเดาเอาไว้ไปสักหน่อย มึงก็เลยคงต้องใช้เวลาคิดพิจารณาดูนานสักหน่อยน่ะ แต่กูเชื่อว่ามึงทำได้” ไอ้เมฆพูดออกมาเป็นลักษณะของคำใบ้ และไอ้แบ๊งค์ก็ทำหน้างงๆกับบทสนทนาของเราทั้งคู่ แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะมองเห็นคำตอบลางๆแล้ว

ผมขอตัวทุกคนลุกออกไปเข้าห้องน้ำ และใช้เวลาที่มีอยู่ตามลำพังเพียงแค่ไม่กี่นาทีคิดถึงคำพูดทุกอย่างของไอ้เมฆ และทันใดนั้นเองทุกอย่างมันก็ลงตัวพอดี ในที่สุดผมก็หาคำตอบที่เราทั้งสองคนเฝ้าครุ่นคิดกันมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ได้แล้ว ถึงจะช้ากว่าไอ้เมฆและต้องอาศัยให้มันช่วยใบ้ให้ แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าผมคิดไม่ผิด เพราะฉะนั้นปริศนาเดียวที่เหลืออยู่ก็ก็เพียงตุ๊กตาหมีตัวที่สองที่ผมเพิ่งได้รับมาในวันนี้เท่านั้น และผมก็ยังไม่เห็นเลยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของตุ๊กตาหมีตัวแรกยังไง

แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับรู้สึกโกรธและหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว ถ้าสิ่งที่ผมคิดได้นี่มันเป็นความจริง ถ้าหากว่าผมคิดมันไม่ผิดแล้วล่ะก็......... นี่ผมต้องถูกไอ้บ้านั่นมันแกล้งปั่นหัวเอาก็เพราะเรื่องงี่เง่าแค่นี้น่ะหรือ ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์เอาซะเลยจริงๆ


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page


ผมพยายามสงบสติอารมณ์ลงและคิดถึงไอ้เมฆเข้าไว้ จากนั้นก็เดินกลับมาที่ร้านเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อไอ้เมฆมองหน้าผม ผมก็พยักหน้าให้กับมันเป็นทำนองว่าผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว และมันเองก็พยักหน้าตอบผมกลับมาพร้อมแววตาแบเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อตอนแรกด้วยเช่นกัน จนหลังจากที่ไอ้เมฆจัดการอาหารของตัวเองที่สั่งมาทีหลังสุดหมดแล้ว รวมทั้งนัทและพี่จ๊อบเองที่ก็กินเสร็จไปหมดได้สักพักแล้วด้วยเช่นกัน เราทั้งสองโต๊ะจึงจัดการเช็คบิล และเดินออกมาจากร้านพร้อมๆกัน

“นัท พี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ ถ้าจะไปเดินเล่นที่ไหนกันก็ไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ตามไปอีกที” พี่จ๊อบพูดขึ้น และมันก็เป็นโอกาศของผมพอดีเลยด้วยเช่นกัน

“พอดีเลย ไอ้แบ๊งค์ กูขอโทษทีนะ แต่กูขอคุยอะไรส่วนตัวกับนัทแป๊บนึงสิ” ผมพูดขึ้น และนอกจากไอ้แบ๊งค์แล้ว นัทเองก็ดูมีท่าทีแปลกใจมากเช่นกัน

“อ๊ะ เอ่ออ....... งั้นกูไปห้องน้ำด้วยเหมือนกันดีกว่า ว่าจะเข้าอยู่เหมือนกันแหละ”

“อืมม กูก็เหมือนกัน กูไปด้วย” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมกับยื่นถุงที่ใส่ตุ๊กตาหมีไว้ให้แก่ผม “ถ้างั้นกูฝากของไว้ที่มึงก็แล้วกันนะซัน”

“จะเอางั้นเหรอ” ผมถาม ไม่คิดว่ามันจะไม่อยู่กับผมตรงนี้ด้วย

“อือ ปวดฉี่ว่ะ จะไม่ไหวแล้วเนี่ย” ไอ้เมฆตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นมันก็หันไปพยักหน้าให้กับไอ้แบ๊งค์ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไป

“แล้ว.........” นัทเริ่มพูดขึ้น “ซันมีอะไรจะพูดกับเราเหรอ”

“ก่อนอื่นเราว่า เราไปนั่งกันตรงนั้นดีกว่า ดีกว่ามายืนคุยกันอยู่หน้าร้านแบบนี้น่ะ” ผมชี้ไปทางม้านั่งยาวที่ว่างอยู่ไม่ไกลจากที่เรากำลังยืนอยู่มากนัก และเมื่อนัทนั่งลงแล้ว ผมกลับยังคงเป็นฝ่ายยืนอยู่เสียเอง “เราจะพูดตรงๆสั้นๆเลยก็แล้วกันนะนัท......... เมื่อวันพุธที่แล้วมีคนจากข้างนอกฝากของชิ้นนึงมาให้เราที่บริษัทน่ะ และปรากฏว่าของที่อยู่ในกล่องของขวัญนั่นก็ทำให้เราต้องตกใจมาก นัทพอจะเดาออกมั๊ยว่ามันคืออะไร”

“แล้วมันอะไรล่ะ เราจะรู้มั๊ยเนี่ย ซัน”

“มันคือตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินน่ะ ฟังดูคุ้นๆมั๊ยถ้าเราพูดแบบนี้” ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย และตอนนั้นเองที่สีหน้าของนัทเริ่มเปลี่ยนไป “ซึ่งก็แปลก เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้นไอ้เมฆก็เพิ่งจะได้รับมันมาจากนัทเป็นของขวัญวันเกิดผ่านทางพี่จ๊อบนั่นเอง......... จริงสิ ถ้าจะว่าไปแล้ว ทำไมวันนั้นนัทถึงไม่ได้ไปงานวันเกิดของไอ้เมฆด้วยตัวเองล่ะ”

“เราไม่ค่อยสบายน่ะ ก็เลยไปไม่ได้” นัทตอบ แต่ไม่ยอมสบตากับผม

“ไปไม่ได้หรือไม่อยากไปกันแน่” ผมล้วงมือลงในถุงและหยิบกล่องของขวัญเจ้าปัญหานั้นขึ้นมา รู้สึกว่าความอดทนของตัวเองกำลังจะหมดลง “ตอนแรกเราก็ไม่รู้เลยจริงๆนะ นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้........... นัทลองดูสิว่าอะไรอยู่ในกล่อง” ผมวางกล่องของขวัญลงข้างๆนัท และเปิดฝาของมันออก เผยให้เห็นด้านบนของตุ๊กตาหมีที่หัวหลุดออกจากคออยู่ข้างใน

“ซันพูดอะไรน่ะ เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เสียงของนัทเริ่มสั่นเล็กน้อย และก็หลบสายตาไปจากหมีที่น่าสางสารตัวนั้นอย่างรวดเร็ว

“ก็คงเป็นอย่างนั้น ถ้าหมีตัวนี้ไม่ใช่หมีตัวที่เมฆซื้อให้นัท และนัทเป็นคนที่ทำลายมันและส่งมันมาให้เราเองกับมือ” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ “เรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ถ้านึกดูดีๆที่นัทอุตส่าห์บอกไอ้เมฆเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ทะเลแล้วว่าหมีตัวนี้มันหายไปเพราะน้องๆหลานๆเอาไปอะไรนั่นน่ะ มันเพื่ออะไรกัน คำตอบมันก็มีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือนัทวางแผนเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หรืออาจจะนานกว่านั้นอีกก็ได้ ใครจะไปรู้” ผมเว้นช่วงเล็กน้อย นึกแปลกใจว่าทำไมทั้งสามคนยังไม่กลับมากันอีก ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะไอ้เมฆมันช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ให้ก็เป็นได้

“พอแล้ว เราไม่รู้เรื่องอะไรสักนิดเดียว ซันพูดเรื่องอะไรน่ะ เราไม่รู้เรื่อง” เสียงของนัทเริ่มสั่นเครือมากขึ้นและนัทเองก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืนด้วย แต่ก็ถูกผมยืนขวางเอาไว้ก่อน นี่แหละคือข้อดีของการที่ผมไม่นั่งลงไปกับนัทด้วยตั้งแต่ตอนแรก

“ห้ามไปไหนทั้งนั้นล่ะ ถ้านัทลุกไปจากตรงนี้แม้แต่ก้าวเดียว เรื่องไม่จบลงแค่เราสองคนคุยกันตรงนี้แน่” ผมพูดจนเหมือนกับจะเป็นการขู่

“แล้วไง ซันจะทำอะไรเรารึไง” นัทแหวใส่ผม แววตาทอแสงไฟเป็นประกายไปด้วยน้ำตา

“นัททำลายตุ๊กตาหมีตัวนี้เพราะความแค้น ความโกรธ หรือจะความเกลียดชังอะไรก็แล้วแต่ เราไม่รู้ และเราก็ไม่แคร์ด้วย”ผมพูดต่อ ไม่สนใจสิ่งที่นัทพูด และนัทเองก็นั่งเอามือปิดหน้าก้มหน้าอยู่ที่เดิม ท่าทางคงจะร้องไห้ แต่ผมก็ยังคงไม่สนใจอยู่ดี “นัทคงนึกโกรธที่เรากับไอ้เมฆไปด้วยกันได้ดีในขณะที่ตัวเองกลับมีปัญหากับพี่จ๊อบแทบจะทุกๆวันก็เป็นได้ และก็เพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้นัทต้องโกหกไอ้เมฆว่านัทยังคบกับพี่จ๊อบดีอยู่ นั่นมันเป็นเพราะนัทอายใช่มั๊ยล่ะ ที่แฟนเก่าของตัวเองมีความสุข ในขณะที่ตัวเองกลับมีความทุกข์ เพราะว่านัท......... ไม่สามารถลืมมันได้”

“ทำไมซันถึงคิดว่าเราทำ” นัทถามทั้งๆที่ยังคงไม่กล้าสบตาผม

“เพราะนัทนั่งคนละฝั่งกับพี่จ๊อบไง........ ไอ้เมฆเป็นคนฉุกใจคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก่อน และมันก็ยังเคยบอกเราด้วยว่าวันสุดท้ายที่ทั้งสองคนเจอกันก่อนไอ้เมฆจะไปอังกฤษน่ะ นัทก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับไอ้เมฆ แถมเมื่อก่อนเราก็ยังเคยเห็นมันด้วยตาตัวเองมาหลายครั้งแล้วด้วยว่าปกติแล้วนิสัยของนัทก็คือนัทมักจะนั่งฝั่งเดียวกับแฟนเสมอๆ นึกๆดูเราก็น่าจะฉุกใจคิดได้เร็วกว่านี้นะ แต่นี่วันนี้มันไม่ใช่ นัทนั่งตรงข้ามกับพี่จ๊อบ มันจึงทำให้เรารู้ว่านัทโกหก จริงๆแล้วทั้งสองคนคงจะกำลังอยู่ในช่วงที่มีปัญหากันจริงๆอย่างที่พี่จ๊อบมันพูดนั่นเอง เพราะฉะนั้น ถึงมันจะค่อนข้างยากที่จะเชื่อน่ะนะ แต่มันก็เป็นไปได้ว่านัทก็อาจจะโกหกพวกเราเรื่องอื่นๆด้วย........” ผมสูดลมหายใจเข้า แล้วค่อยๆผ่อนมันออกมาเบาๆ “และถ้ามันเหี้ยมากๆน่ะนะ ไอ้เลือดตามตัวของตุ๊กตาหมีตัวนี้มันก็เกิดมาจากนัทตั้งใจจะกรีดตัวเองนั่นเอง แต่ถ้าไม่ใช่ ซึ่งเราก็หวังว่ามันคงจะไม่ใช่ ก็คือมันเป็นแค่อุบัติเหตุ ทำให้นัทกรีดโดนมือของตัวเองและเลือดมันเลยไปเปรอะอยู่ตามตัวและเสื้อผ้าของตุ๊กตาแบบนี้ และสุดท้ายแล้วแบบนั้นมันก็อาจจะยิ่งดีใหญ่ก็ได้เพราะมันก็ทำให้ดูน่ากลัวน่าสยดสยองมากขึ้น แถมยังทำให้เราเป็นกังวลมากได้จริงๆด้วย เรียกได้ว่านัทเองก็ทำได้สำเร็จตามแผนอย่างที่ต้องการหมดเกือบจะทุกอย่าง”

ผมเอื้อมมือไปปิดฝากล่องและหยิบกล่องใส่ตุ๊กตาหมีนั้นวางลงในถุงพลาสติกเหมือนเดิม ส่วนนัทก็ยังนั่งเอาฝ่ามือซบหน้าของตัวเองพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ

“เมฆมันเอาสิ่งนี้มาก็คงเพื่อเอามาคืนนัทนั่นแหละ มันเป็นคนที่คิดขึ้นมาได้หลังจากที่รู้ว่านัทกับพี่จ๊อบไม่ได้นั่งอยู่ที่เบาะเดียวกันอย่างที่เคยเป็นและควรจะเป็น......... เราเองก็คงไม่มีวันรู้หรอกว่านัทคือตัวการทั้งหมดนี่ เพราะเราเองก็ไม่ได้รู้จักนิสัยนัทดีเท่าไอ้เมฆมัน แต่นัทอย่าลืมว่าเราอยู่ห้องเดียวกันมาสามปี และเราเองก็รับรู้ปัญหาแทบทุกอย่างที่เมฆกับนัทเคยมีมาตลอดช่วงนั้นนะ........” ผมถอนหายใจออกเบาๆ “นัทเป็นเพื่อนเรานะ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนก็ตาม เราไม่เข้าใจว่าทำไมนัทถึงต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย”

“เรา....... เรา........ เราขอโทษ........” นัทพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมทั้งๆที่น้ำตาอาบแก้ม “เราเสียใจ เราโกรธตัวเอง เราก็แค่อยากจะทำให้เมฆกับซันรู้สึกสับสน กลัว แล้วก็กังวลเหมือนกับเราบ้างเท่านั้นเอง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราทำอะไรลงไป” นัทส่ายหน้า

ผมคุกเข่าลงข้างหนึ่งและคว้ามือข้างที่เป็นแผลของนัทขึ้นมากุมไว้ในมือ “นัททำร้ายตัวเองนะ ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ นอกจากนั้นนัทยังทำร้ายคนที่รักนัทอีกด้วยรู้มั๊ย ไอ้เมฆมันเสียใจมากนะที่รู้ว่านัททำเรื่องแบบนี้ มันหวังดีกับนัทด้วยใจ แต่นัทกลับตอบแทนมันแบบนี้น่ะเหรอ วันนี้ตอนมันเดินมาหาเราที่หน้าร้าน เรามองตามันเราก็รู้แล้วว่ามันเจ็บปวดกับเรื่องนี้มากแค่ไหนน่ะ”

“เราขอโทษ........ เราขอโทษจริงๆ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราถึงคิดทำแบบนี้ลงไปได้ ทั้งๆที่ตุ๊กตาหมีตัวนี้มันก็มีความสำคัญกับเรามากแท้ๆ มันคือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เราได้รับมาจากเมฆ แต่เรากลับทำร้ายมันได้ลงคอ” นัทเริ่มร้องไห้หนักมากขึ้น

ผมหันไปมองทางด้านขวามือของตัวเอง ก็เห็นเมฆ แบ๊งค์ และพี่จ๊อบกำลังเดินตรงมาทางพวกเราอยู่ ผมจึงปล่อยมือของนัทออก พร้อมกับประคองตัวนัทให้ยืนขึ้นตามไปด้วย

“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปก็แล้วกัน เราพูดปลอบใจคนไม่เก่งหรอกนะ แต่จำคำเราเอาไว้ว่า นัทยังคงมีเมฆอยู่เสมอ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันก็ยังคงเป็นคนหนึ่งที่รักและห่วงใยนัทมากกว่าใครๆ เข้าใจนะ”

“นัทเป็นอะไรน่ะ” พี่จ๊อบถามพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาเราสองคน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย” ไอ้แบ๊งค์ถามขึ้นอีกคน ส่วนไอ้เมฆกลับยืนมองหน้าผมสลับกับนัทนิ่งๆ

“ไม่มีอะไรหรอก พี่จ๊อบ ไม่มีอะไรจริงๆ” นัทพูดขึ้น จากนั้นก็หันมามองหน้าผมสลับกับเมฆ “ซัน เมฆ เราอยากจะขอมันคืนได้มั๊ย”

ผมมองหน้าไอ้เมฆ และเดินหลบออกไปสองก้าวให้มันเดินเข้ามาหานัทแทน

“ได้สิ ก็มันเป็นของนัทนี่นา” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมกับหยิบถุงขึ้นมาจากม้านั่งแล้วยื่นให้นัท “เมฆขอโทษนะ ที่ทำให้นัทต้องลำบากใจ”

นัทไม่ตอบ นอกจากรับถุงนั้นไปแล้วก็ส่ายหน้าทั้งๆน้ำตา ก่อนที่จะเดินจากไปโดยมีพี่จ๊อบเดินตามหลังไปติดๆ ผมจึงเดินเข้าไปโอบบ่าไอ้เมฆเอาไว้แล้วบีบลงบนหัวไหล่ของมันเบาๆ

“มึงโอเคนะ” ผมถาม

“อืมม ไม่เป็นไรหรอก แต่กูก็หวังนะ ว่าหลังจากนี้ไปทุกอย่างมันก็น่าจะดีขึ้น”

“โทษทีนะไอ้แบ๊งค์” ผมหันไปหาไอ้แบ๊งค์ที่กำลังยืนงงอยู่คนเดียวในตอนนี้ “มึงคงงง แต่กูก็ไม่อยากให้มึงถามอะไรเหมือนกัน อะไรที่มันจบไปแล้วกูก็อยากให้มันจบน่ะ”

“เออออ ก็คงใช่ กูก็ไม่อยากถามหรอก เพราะดูๆแล้ว เครียดๆแบบนี้กูไม่รับรู้น่าจะดีที่สุดว่ะ”

“ขอบใจมากนะแบ๊งค์” ไอ้เมฆหันไปยิ้มให้กับมัน “แล้วก็ขอบใจที่เลี้ยงด้วย มึงเลยต้องมาเสียเงินเพิ่มเพราะกูเลย แถมยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกต่างหาก”

“ไม่เป็นไรหรอก........ แต่นี่ก็แปลว่างานเลี้ยงจบลงแล้วสินะเนี่ย ดูจากสถานการณ์แล้วก็คงถึงคราวที่กูคงต้องกลับได้แล้วมั๊ง ใช่มั๊ย”

เราทั้งสามคนหัวเราะเบาๆก่อนจะโบกมือลากันแบบพอเป็นพิธี แต่เมื่อผมกับเมฆหันหลังเดินจากมา อะไรบางอย่างมันก็ทำให้ผมต้องวิ่งกลับไปหาไอ้แบ๊งค์ที่เดินแยกไปอีกทางอีกครั้ง

“เดี๋ยว ไอ้แบ๊งค์” ผมเรียกเพื่อหยุดมันเอาไว้ ไอ้แบ๊งค์จึงหันกลับมามองผมงงๆ “เรื่องวันนี้ กูขอโทษนะเว้ย ที่ทำตัวเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยดีกับมึงเท่าไหร่ กูหมายถึง เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารที่ดีน่ะนะ”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูรู้ว่ามึงเครียดๆกันอยู่ ถึงตอนแรกกูจะงงๆหน่อยก็เถอะนะ”

“แต่กูก็ผิดเองที่หาเรื่องมาให้มึงแบบนี้น่ะ นี่ถ้าเราไม่บังเอิญมาเจอนัทกับพี่จ๊อบ เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้........ แต่ก็ดีแล้วล่ะที่มันจบลงได้แล้ว” ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “เอาเถอะ เอาไว้ครั้งหน้าเราค่อยไปกินกันใหม่แบบที่ไม่มีปัญหาก็แล้วกัน แบบนั้นดีมั๊ยวะ” เมื่อผมพูดจบ ไอ้แบ๊งค์ก็ยิ้มออกทันที เป็นรอยยิ้มจริงๆ ไม่ใช่รอยยิ้มแบบที่ผมเห็นมาตลอดทั้งเย็นนี้ด้วย “กูหมายถึงว่า ในฐานะเพื่อนที่ทำให้เย็นนี้ของมึงต้องเสียเงินเยอะขึ้นและเสียอารมณ์ไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่มึงไม่เข้าใจน่ะนะ”

“ได้เลย ถ้าสำหรับมึงล่ะก็กูว่างเสมออยู่แล้ว” ไอ้แบ๊งค์รับคำ

ผมตบบ่ามันเบาๆ จากนั้นก็เดินกลับมาหาไอ้เมฆที่ยืนรออยู่ไม่ไกลอีกครั้ง แล้วเราสองคนก็เดินกลับมาที่รถกันแบบเงียบๆ ผมคิดว่าผมรู้จักมันและเข้าใจมันดีพอที่จะยังไม่พูดอะไรออกไปในตอนนี้ และเป็นฝ่ายรอ ว่าเมื่อไหร่ที่มันพร้อม มันก็คงจะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง จนกระทั่งเมื่อเราสองคนเข้ามานั่งอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว ไอ้เมฆก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ

“ขอบใจมึงมากนะซัน ที่ทำแบบนั้นให้กู”

ผมพยักหน้าตอบ โดยไม่รู้ว่าจะหาคำพูดอะไรมาพูดออกไปได้

“กูยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่านัทเค้าจะทำแบบนี้ได้ ตอนแรกนะพอกูรู้ว่านัทมีแผลที่มือจริงๆ กูก็ใจแป้วเลย กูรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วดูรอยเลือดทันทีเลยว่ามันเป็นยังไง และสุดท้ายมันก็แค่ใช่....... กูคิดถูก และกูผิดเองที่มัวแต่มองโลกในแง่ดีจนมองข้ามเรื่องง่ายๆแบบนั้นไปน่ะ”

“หมายความว่าไงวะ เรื่องง่ายๆที่มึงว่า”

“ก็เรื่องนิสัยของนัทไง........ กูก็รู้อยู่แล้วว่าเค้าเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆลงๆและค่อนข้างจะรุนแรงอยู่บ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่นึกเลยว่ามันจะเลยเถิดขนาดนี้..........”

“มึงก็แค่ปกป้องนัทโดยที่มึงไม่รู้ตัวเท่านั้นเองแหละ ใครจะไปคิดล่ะ กูเองยังไม่คิดเลยว่านัทจะทำอะไรแบบนี้ได้น่ะ”

“อืมมม” ไอ้เมฆพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“มึงอย่าคิดมากเลยเมฆ เรื่องแค่นี้เอง มันจบแล้วก็ให้มันจบไปเถอะว่ะ นะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ” ไอ้เมฆส่ายหน้า “มันก็คงเป็น ‘เรื่องแค่นี้’ อย่างที่มึงบอกกูนั่นแหละ กูกำลังคิดนะว่า มันก็คงเป็นเหมือนในเอ็มวีหรือในละครที่พอผู้หญิงไม่พอใจอะไรแฟนตัวเอง พอต้องเลิกกับแฟนแล้วเค้าก็เลยทำลายข้าวของของที่แฟนเคยซื้อให้อะไรแบบนั้น โดยเฉพาะยิ่งเป็นนัทกูก็ยิ่งไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะเขาก็ดูเป็นอะไรแนวๆนี้อยู่แล้ว........” ไอ้เมฆเว้นช่วง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฮ้อออ แต่พอเจอเข้ากับตัวแล้วมันก็ช็อกน่ะนะ เพราะว่าถึงไงกูก็ยังรักเค้าและเวลาคิดถึงเค้าก็ยังคงเห็นภาพเค้าพร้อมรอยยิ้มนั่นอยู่ในใจของกูเสมอๆ”

ผมพยักหน้ารับ พยายามที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่นัททำถึงขนาดลงทุนส่งหมีตัวนั้นมาก่อกวนผมถึงที่ออฟฟิศของผมเลยทีเดียว เพราะถึงนัทจะขอโทษและพูดออกมาแบบนั้นแล้วก็ตาม แต่ผมก็รู้ดีว่าเป้าหมายหลักของเขาจริงๆแล้วก็คือตัวผม ไม่ใช่ไอ้เมฆ

“แรงรักแรงแค้นแรงหึงนี่มันแรงจริงๆเนอะ ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้แบบที่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” ผมส่ายหน้าเบาๆ

“แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ปัญหาทุกอย่างมันก็จบแล้ว และหลังจากนี้ก็คงจะไม่มีอะไรเหี้ยๆแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วนะ”

“อืมม กูก็ว่างั้น.......” ผมพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับสต๊าร์ทรถ และในช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาทีตรงนั้นเอง ที่ผมลืมปัญหาชิ้นต่อไปที่ผมเพิ่งได้รับมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เองที่วางอยู่ในกระโปรงหลังไปเสียสนิท “ถ้าเป็นไปได้ กูก็อยากจะให้มันหมดเรื่องแค่นี้แล้วจริงๆเหมือนกัน”




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด