]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 164103 ครั้ง)

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ได้อ่านต่อแล้วว เย้  :oni2: :oni2: :oni2:  :oni2:
ปริศนาของตุ๊กตาตัวแรกเฉลยแล้ว ตัวที่สองนี่ ขอเดาว่าเป็นแบงค์อ่ะ    :a3: :a3:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
เคยคิดแค่นัทเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด... แต่ดันเป็นตัวการซะเอง  :o
หมดไปหนึ่ง...เหลืออีกตัว...มันจะอารายกันนักหนาละเนี่ยยย
วุ่นวายอะไรกับเมฆกะซันจังงงงงงง  :serius2:
เอาใจช่วยเมฆกะซันน๊า.....


น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เอาใจช่วยต่อไปเหมือนกันเลยจ้า

รักเมฆกะซันจังเลย :m1:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
คนที่มีอารมณ์รุนแรงแบบนัทเนี่ย น่ากลัว เพราะทำอะไรไม่ค่อยรู้ตัวเอง

แต่ VCD กะตัวที่ 2 นี่ดิ  :serius2:

โอ๊ยยย สับสน

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 22


หลังจากเราที่เคลียร์กับนัทเสร็จหมดแล้ว ผมก็ตัดสินใจว่าผมจะไม่บอกไอ้เมฆเรื่องของพัสดุชิ้นที่สองที่ผมได้รับมา อย่างน้อยๆก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะผมไม่อยากจะให้มันต้องไม่สบายใจจริงๆ แต่ถึงยังไงก็ตาม วันเสาร์ที่จะถึงนี้ก็เป็นวันที่ผมนัดเจอกับไอ้เอ็นเพื่อไปคุยเรื่องที่ผมวานให้มันทำให้ และเป็นวันที่ผมต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มันฟังอย่างละเอียดอีกด้วย และวันนั้นก็ยังเป็นวันที่พี่แอมป์นัดพวกเราให้ไปเอารูปอีกเช่นกัน ผมจึงจำเป็นต้องให้เมฆกับไคล์ไปหาพี่แอมป์กันแค่สองคน ส่วนผมก็จะไปเจอไอ้เอ็นเพียงคนเดียว

“ทำไมไม่ไปด้วยกันวะ มึงจะไปไหนเหรอ” ไอ้เมฆถามขึ้นเมื่อผมบอกมันว่าผมตัดสินใจยังไงในคืนวันศุกร์ “แล้วทำไมไม่บอกกูล่วงหน้าวะ เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้เนี่ยนะ”

“โทษที ก็กูมัวแต่ตัดสินใจอยู่น่ะว่าจะเอายังไง แถมกูก็เพิ่งจะถูกนัดเมื่อวานนี้เองด้วย” ผมตอบแบบเลี่ยงๆ “เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เห็นรูปของตัวเองพร้อมๆมึงน่ะ”

“นัดอะไรวะ มึงจะไปไหนแล้วเสร็จกี่โมงล่ะ”

“ก็.........” นี่แหละ คือข้อเสียของการที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาและรู้เรื่องราวของกันและกันแทบจะทุกๆอย่าง ทำให้ไม่มีช่องว่างเหลือให้สำหรับความลับหรือการโกหกอะไรได้เลยจริงๆ ซึ่งในกรณีนี้ก็ต้องยอมรับเลยว่ามันแย่มาก “นัดกับเพื่อนที่บริษัทน่ะ ไปกินข้าวกันเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”

ไอ้เมฆมองผมด้วยสายตาแบบรู้ทัน และก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา จนสุดท้ายผมจึงเป็นฝ่ายที่แพ้ทาง

“เออๆ ก็ได้วะ คือจริงๆแล้วกูนัดไอ้เอ็นเอาไว้ว่าจะไปคุยกับมันน่ะ แต่ว่ากูไม่อยากบอกมึงเพราะไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ กูขอโทษ”

“มึงจะไปคุยอะไรกับไอ้เอ็นวะ”

“ก็หลายๆอย่างน่ะ หลักๆแล้วก็คงเป็นเล่าเรื่องของเราสองคนให้มันฟังมั๊ง เพราะมันบอกว่ากูต้องเล่าเรื่องทั้งหมดเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยให้มันสืบเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้น่ะ และกูก็สัญญาไปแล้วด้วย..........” ผมจ้องตาของมัน และมันก็จ้องตาผมตอบกลับมาด้วยเหมือนกัน “มึงคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันจบหมดแล้วจริงๆรึเปล่าวะเมฆ”

ไอ้เมฆไม่ตอบแต่กลับหันหน้าหนีไปมองทางอื่นแทน มันเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนที่จะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “พรุ่งนี้ถ้ามึงเสร็จธุระเร็วและพอจะเป็นไปได้ล่ะก็....... มึงตามกูไปที่ยิมนะ”

เช้าวันต่อมา ไอ้เมฆกับไคล์ก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ส่วนผมที่มีนัดกับไอ้เอ็นมันตอนมื้อเที่ยงก็เลยลองเอาเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นช่วงหลังๆนี้มาเรียบเรียงและจดมันลงสมุดบันทึกของผมแบบเป็นเรื่องเป็นราวดูสักครั้ง โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่เราไปทะเลว่ามันมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับนัทและพี่จ๊อบอะไรเกิดขึ้นบ้าง จากนั้นก็ไล่มาจนถึงเหตุการณ์ล่าสุด ซึ่งนั่นก็คือเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี่เอง ผมลองเขียนวัน วันที่ เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประเด็นต่างๆที่ผ่านเข้ามาในสมองของผมเป็นระยะๆลงไป ไม่ว่าจะทั้งคำพูด ท่าทาง หรือแม้แต่ลางสังหรณ์ของผมที่ผมรู้สึกแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด และแน่นอน ผมยังไม่ลืมที่จะจดสิ่งที่ผมอยากจะรู้และยังข้องใจอยู่ลงไปอีกด้วย

แต่มันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้เลย

ผมนั่งคิดย้อนไปย้อนมา เอาคลิปวีดีโอนั้นมาเปิดดูอีกไม่รู้กี่หนต่อกี่หน จนสุดท้ายเกือบจะได้เวลาที่ต้องออกจากบ้านแล้ว ผมจึงรีบแต่งตัวและขับรถไปหาไอ้เอ็นยังสถานที่ที่นัดเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว และเนื่องจากผมเพิ่งจะดูไอ้คลิปแอบถ่ายแอบตามผมกับไอ้เมฆนั่นมา มันก็เลยทำให้ผมอดกังวลไม่ได้ว่าถ้าคลิปนั้นมันหมายความว่ามีคนกำลังตามผมอยู่แล้วจริงๆแล้วล่ะก็ ตอนนี้ไอ้คนๆนั้นมันก็คงจะรู้ที่อยู่ของไอ้เมฆไปด้วยแล้วน่ะสิ

เมื่อเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา ผมก็รู้สึกใจหายขึ้นมากเลยทีเดียว และผมก็รู้แล้วว่าผมต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด ถึงแม้มันอาจจะเริ่มต้นช้าไปหน่อยแล้วก็ตาม แต่ก็คงดีกว่าที่จะไม่ลงมือทำอะไรเลย

ผมจอดรถที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากผมจำหน้ามันไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องโทรบอกมันให้ออกมารับผมที่หน้าร้าน และเมื่อผมเห็นมัน ผมก็ต้องรู้สึกประหลาดใจทีเดียว เพราะโครงหน้าของมันก็ดูคุ้นๆเหมือนกับใครสักคนที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผมส่วนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่าภาพในความทรงจำของผมนั้นจะตัวเล็กกว่านี้ หน้าเด็กกว่านี้ ผอมกว่านี้ และที่สำคัญ ไม่ได้ดูดีเท่านี้เลย

“เป็นไงมั่งไอ้ซัน มึงนี่ไม่ค่อยเปลี่ยนเหมือนกันนะ สูงขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น แต่ยังหล่อเหมือนเดิม” ไอ้เอ็นตบต้นแขนผมเบาๆ

“ขอบใจ มึงก็เหมือนกัน บอกตามตรงตอนแรกกูก็จำมึงไม่ได้นะเนี่ย คือชื่อน่ะจำได้ แล้วก็จำได้ว่ามึงเป็นใคร แต่ว่าจำหน้าไม่ได้ว่ะ แต่แล้วพอมาเจอแบบนี้นี่กูก็จำได้ทันทีเลย โครงหน้ามึงก็ไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากหรอก แต่ว่ามึงดูดีขึ้นเยอะว่ะ ท่าทางจะฝึกมาเยอะเจอมาเยอะสินะเนี่ย”

ไอ้เอ็นหัวเราะ และเดินพาผมไปนั่งที่โต๊ะ “ขอบใจ ก็ตามภาษาเด็กนายร้อยแหละวะ เข้าไปแค่ปีเดียวก็เปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว แต่กูน่ะไม่เหมือนมึงหรอก ตอนนั้นมึงมันก็ดังอยู่แล้ว ใครจะไม่รู้จักมึงวะ แต่กูก็ความจำค่อนข้างดีด้วยแหละมั๊ง ถ้าเราเดินกันตามถนนแล้วเผอิญสวนกันนี่กูก็คงจำมึงได้นั่นแหละ”

“เออ ดีเลย เผื่อมึงจะได้ใช้ความจำและสมองของกูช่วยเหลือกูได้บ้าง”

“ซีเรียสเหรอวะ” ไอ้เอ็นยกถ้วยกาแฟของมันขึ้นจิบ ส่วนผมก็พยักหน้า และเมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินตรงเข้ามายื่นเมนูให้แก่เรา มันก็พยักหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงจังมากกว่ายิ้มเพราะอารมณ์ดี “แล้วไอ้เมฆล่ะ มันว่ายังไงบ้าง”

“มันรู้ว่ากูมาคุยกับมึง แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องทั้งหมด...........” ผมพลิกเมนู และสั่งอาหารมาสองอย่าง ไอ้เอ็นก็เช่นกัน จากนั้นเราทั้งคู่ต่างก็ยื่นเมนูคืนให้แก่พนักงาน และเมื่อเขาเดินออกไป ผมก็หันกลับมาพูดกับมันต่อ “ซึ่งกูเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากูควรจะให้มันรู้หมดทุกเรื่องมั๊ย ทั้งๆที่รู้ว่ามันน่ะฉลาดกว่ากูและน่าจะคิดเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่ากูนะ แต่กูก็ไม่อยากให้มันคิดมาก แถมที่สำคัญ กูเองก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก เพียงแต่กูต้องการความช่วยเหลือบ้างเท่านั้นเอง”

ไอ้เอ็นนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด “นี่มันค่อนข้างจะช็อกกูอยู่เหมือนกันนะไอ้ซัน คือ กูแปลกใจเหมือนกันนะเนี่ยพูดจริงๆ”

“เรื่องอะไรวะ” ผมถาม

“ก็เรื่องมึงกับไอ้เมฆน่ะสิวะ มึงเล่นพูดออกมาแบบเมื่อกี๊ก็แปลว่ามึงกับไอ้เมฆไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันใช่มั๊ยเนี่ย มึงอย่าบอกนะว่ามึงไม่รู้ตัวว่ามึงพูดอะไรออกไปน่ะ”

“เออ ใช่ กูกับมันเป็นแฟนกัน” ผมพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “คือกูก็ไม่ได้เผลอถึงขนาดหลุดออกไปให้มึงจับได้หรอกนะ แต่กูตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วน่ะว่าจะบอกมึง มันก็เลยพูดออกไปได้แบบไม่ต้องระวังไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องกังวลว่ามึงจะตีความถูกหรือผิดอะไรแบบนั้นน่ะเพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ กูกับมันเป็นแฟนกัน...... และเป็นมาสามปีแล้วด้วย” ผมพูดเสริมเมื่อเห็นสีหน้าของมัน

“อย่างแรกที่กูจะพูดเลยนะ ไอ้ซัน......” ไอ้เอ็นเอามือลูบคางของตัวเองที่มีร่องรอยของหนวดที่ไม่ได้ผ่านการโกนมาแล้วอย่างน้อยๆสองสามวันเบาๆ “นั่นก็คือกูแปลกใจจริงๆว่ะ เฮ้ย กูพูดไปแล้วนี่หว่า เออช่างมันเหอะ คือประเด็นของกูน่ะ กูคิดว่า ‘ในที่สุดมันก็เป็นแฟนกันจริงๆจนได้งั้นเหรอวะ’ น่ะ” เมื่อมันพูดออกมาแบบนี้ ผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เออน่า ถึงกูจะเตะบอลกับมึงไม่นาน แต่กูก็พอดูออกแหละ ว่ามึงสนิทกันมากขนาดไหน แถมกูยังได้ยินข่าวของพวกมึงสองคนอยู่เรื่อยๆด้วย เพราะกูไปเรียนอยู่ในนั้นน่ะมันก็มีแต่ผู้ชาย กูก็เลยพอเดาระดับความสนิทสนมและความสัมพันธ์ของพวกมึงออก ไม่ใช่ว่ากูฟันธงไปว่ามึงสองคนเป็นเกย์หรอกนะ กูก็แค่คิดว่ามันคงไม่แปลกเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายกูก็แปลกใจจริงๆว่ะ แบบว่า ‘เชี่ยยย ในที่สุดมันก็เป็นอย่างที่กูคิดจนได้’ น่ะ”

“โอเคๆ อันนั้นกูรู้แล้ว ก็เห็นมีแต่คนพูดแบบมึงกันทั้งนั้นนั่นแหละ” ผมเบรกมันเอาไว้ก่อน “แล้วมีอะไรอีกมั๊ย นอกจากความแปลกใจว่า ‘ในที่สุดกูก็เป็นแฟนกับไอ้เมฆจนได้หลังจากผ่านมาหลายปี’ น่ะ”

“เออ โอเค อย่างที่สองก็คือ กูไม่แน่ใจนะว่ากูจะช่วยเหลือมึงได้ขนาดไหน และที่สำคัญก็คือ กูไม่รู้เลยว่าปัญหาของมึงมันคืออะไร โดยเฉพาะไอ้เรื่องสุดท้ายที่มึงวานให้กูไปช่วยตรวจสอบน่ะ กูว่ามันแปลกมากๆเลยว่ะ”

“อืมมม กูรู้” ผมพยักหน้า “นี่ตอนแรกกูกะว่ามันคงจะใช้เวลาไม่นานนะเนี่ย แต่ดูไปดูมาถ้าให้เล่าทั้งหมดเลยนี่ก็ท่าทางจะยาวว่ะ มึงพอมีเวลาใช่มั๊ยวะ”

“อืม วันนี้กูว่างทั้งวัน” ไอ้เอ็นพยักหน้า “และกูเองก็อยากรู้เรื่องราวทั้งหมดด้วยเหมือนกัน”

ผมเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้เมฆ โดยที่ตอนแรกผมตั้งใจจะเล่าแค่ย่อๆว่าผมคบกันมานานเท่าไหร่แล้วและมีความสัมพันธ์มีความไว้ใจกันอะไรยังไงในระดับไหน แต่ปรากฏว่าไอ้เอ็นก็คอยซักผมตลอดตั้งแต่เริ่มต้นยังไง ราบรื่นมั๊ย ทะเลาะกันแค่ไหน นิสัยของใครและใครเป็นยังไงบ้าง พ่อแม่รู้รึเปล่า ปกติวางตัวกันยังไง จนเลยไปถึงกระทั่งเรื่องของพีกับไคล์ด้วยด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะมันสนใจเรื่องของผมกับไอ้เมฆมากจริงๆ เพราะมันเป็นคนอยากรู้อยากเห็น หรือเพราะเป็นนิสัยอันเนื่องมาจากหน้าที่การงานของมันที่ต้องละเอียดรอบคอบเก็บทุกรายละเอียดถึงขนาดนี้กันแน่ และเมื่อผมเล่าเรื่องทุกอย่างจบแบบหมดเปลือก อาหารที่เราสั่งกันเอาไว้ก็มาถึงพอดี

“กูขอพักหน่อยก็แล้วกันนะไอ้เอ็น ช่วงกินข้าวนี่ตามึงเล่าเรื่องชีวิตมึงมั่งก็แล้วกันนะ ส่วนประเด็นหลักของเราจริงๆวันนี้ค่อยคุยกันหลังกินเสร็จดีกว่า” ผมเสนอ และระหว่างที่เราสองคนกินข้าวกัน ผมก็กลายเป็นฝ่ายนั่งฟังมันเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวของมันบ้าง โดยเริ่มนับตั้งแต่มันออกจากโรงเรียนไปเลยทีเดียว ซึ่งผมก็ได้ความมาว่า ตอนนี้มันยังโสดอยู่ แต่พี่ชายของมันแต่งงานไปแล้วเมื่อปีที่แล้วนี่เอง หน้าที่การงานก็ราบรื่นดี เพื่อนฝูงก็มีอยู่พอตัวทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เนื่องจากอิทธิพลของพ่อมันนั่นเอง แต่มันก็ยืนยันว่าบ้านมันนั้นไม่ใช่ “ตำรวจเลว” อย่างแน่นอน

“กูทนไม่ได้ว่ะ ถ้าต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้เรื่องแบบนั้น พ่อกูพี่กูก็เหมือนกัน คือมึงเข้าใจป่ะ รู้ไว้น่ะดี รู้จักไว้ยิ่งดีใหญ่ แต่มึงจะจัญไรแน่ ถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือกลายไปเป็นหนึ่งในพวกเดียวกับมันน่ะ” ไอ้เอ็นอธิบาย

เมื่ออาหารของเราตรงหน้าหมดลง พร้อมๆกับไอ้เอ็นที่เล่าเรื่องของมันจบแล้ว ผมก็เริ่มต้นเล่าเท้าความไปถึงตั้งแต่ตอนที่เราไปทะเลกันเลยทีเดียว และคราวนี้ผมก็เล่าไปถึงเรื่องที่ไอ้เมฆไปช่วยทั้งพี่แอมป์และนัทเอาไว้ด้วย เพราะผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่เล่าละเอียดๆ มันก็จะต้องถามผมอีกอยู่ดี หรือไม่งั้นถ้ามันมารู้ทีหลังว่าผมข้ามเรื่องไหนไป มันก็คงจะต้องโวยผมแน่ๆ ผมพยายามเรียงเรียงลำดับเหตุการณ์ให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดตามที่ผมได้ลองไล่ลำดับดูเมื่อตอนอยู่ที่บ้านเมื่อเช้านี้ โดยมีไอ้เอ็นคอยทำหน้าแปลกใจ ตกใจ และถามคำถามแทรกอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งผมเล่าจบ

“และเรื่องของเมื่อคืนวันพุธก็จบลงแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็อย่างที่มึงรู้ว่าไอ้เมฆก็ยังคงไม่รู้เรื่องหมีตัวที่สองกับแผ่นซีดีแผ่นนั้นอยู่ดี และวันนี้กูก็มาหามึง มาเล่าทุกอย่างให้มึงฟังอย่างหมดเปลือกแบบนี้นี่แหละ”

“มึงยังไม่น่าคืนหมีนัทไปเลยว่ะ น่าเสียดาย..........” ไอ้เอ็นหลุบตาลงต่ำและลูบคางของตัวเองเบาๆแบบใช้ความคิดอีกครั้ง “และถ้ามีคนตามมึงอยู่จริงๆนี่ก็น่าสนุกเลยว่ะ” มันหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่นี่มึงเอาหมีอีกตัวมาด้วยรึเปล่า แล้วก็ไอ้แผ่นที่มึงว่าด้วย กูอยากดูสักหน่อยน่ะ”

“แน่นอน อยู่ในรถน่ะ กูก็กะว่าจะเอามาให้มึงดูอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน แต่ก่อนอื่นมึงต้องตอบกูมาก่อนว่า พอกูเล่าเรื่องทั้งหมดให้มึงฟังแบบนี้แล้วเนี่ย มึงพอจะนึกอะไรออกมั่งมั๊ย เมื่อเทียบกับข้อมูลที่มึงมีอยู่น่ะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ.........” ไอ้เอ็นส่ายหัวเบาๆ “กูพูดตามตรงนะ กูเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกว่ากูจะทำอะไรได้บ้าง แต่กูก็จะพยายามอย่างดีที่สุดล่ะวะ เพราะกูมันยังกระจอกอยู่เลย แต่กูมั่นใจว่าพี่กูหรือพ่อกูคงช่วยกูได้บ้าง ไม่สิ ถ้าเอาเข้าจริงๆนะ นามสกุลของกูมันก็น่าจะให้กูได้อะไรขึ้นมาบ้างแหละ”

ผมส่ายหน้า “มึงใจเย็นๆก่อน ขอกูทำความเข้าใจกับมึงนิดนึงนะไอ้เอ็น กูไม่ได้อยากทำให้มึงเดือดร้อน กูไม่ได้อยากรบกวนเวลามึง โดยเฉพาะกวนกระทั่งเรื่องงานของมึงด้วยน่ะ ยิ่งถ้าไปรบกวนพ่อมึง พี่มึง หรือนามสกุลมึงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ กูก็แค่ต้องการข้อมูลนิดหน่อย กับคนที่ช่วยกูคิดเรื่องพวกนี้ได้บ้างเท่านั้นเอง หรือสรุปง่ายๆก็คือ กูต้องการมันสมองกับความสามารถของมึงน่ะ และต้องการเฉพาะเท่าที่กูต้องการ เฉพาะเวลาที่กูต้องการเท่านั้นด้วย กูไม่ได้ต้องการจะไปวุ่ยวายมึงถึงขนาดนั้น”

“กูเข้าใจ” ไอ้เอ็นพยักหน้า “กูอาจจะพูดเกินไปหน่อย แต่ว่าความหมายของกูมันก็คือกูเต็มใจและเต็มที่ที่จะช่วยเหลือมึงเท่านั้นแหละไอ้ซัน อะไรที่กูช่วยได้กูก็จะช่วย แต่ตอนนี้กูคิดว่าถึงตากูต้องเล่าเรื่องทางฝั่งกูให้มึงฟังบ้างแล้วสินะ และที่สำคัญ กูอยากจะดูของขวัญจากหนึ่งในผู้ที่กำลังแอบชื่นชอบมึงอยู่คนนี้แล้วด้วยสิ แต่ที่นี่ก็คงจะไม่เหมาะอีก กูอยากย้ายที่ว่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเราควรจะไปที่ไหนดี”

“ถ้าอย่างนั้นกูรู้ที่นึงที่ดีๆ” ผมยิ้ม

“ที่ไหนวะ บ้านไอ้เมฆเหรอ”

“เปล่า........” ผมส่ายหน้า “ที่คอนโดของกูเอง”



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ต้นน่ะ ทำไมวันนี้ลงสั้นจังเลย
อ่านยังไม่ทันหายอยากเลยจบตอนซะแระ :m20:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
555 ไปที่คอนโดเรอะ   :m24:  :m24: เตรียมถ่ายรูปฟ้องเมฆ  :m24:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เหนื่อยๆๆๆ คับ

ขอบ่นหน่อย T__T

เด๋วไป ตจว อีกแล้ว
ฮืออออ
นั่งนานๆบ่อยๆแบบนี้ ตูดด้านแน่เลยย

 :sad2:


ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
ต้องไปที่คอนโดเลยหรอ

เนี่ย .... ตัวแปรที่ต้องคืนแหวนกันรึเปล่าน๊า ไม่อยากคิดเลย

ต้นอ่ะ มาต่ออีกหน่อยดิ :m13:

ออฟไลน์ ErosAmor

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 851
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
อ่านเรื่องนี้เเล้วรู้สึกกลัวเหมือนกับดูหนังผี

หรือมันเป็นเพราะอ่านยามค่ำคืนกันแน่

เรื่องมันดูลึกลับซับซ้อนมีเงื่อนงำเต็มไปหมด

ถึงจะแก้จุดๆนึงได้เเล้ว ก็มีปมใหม่ขึ้นมาอีก

เป็นเรื่องที่เดาไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ

เพราะเป็นแบบนี้เลยให้ความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างตื่นเต้นมากๆ ใจสั่นเลย o2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






nartch

  • บุคคลทั่วไป
ปัญหาไม่รู้จบจริง ๆ ... เอาใจช่วยเมฆกะซันต่อไปปปปปปป
 :m29:

Angle Froze

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากเลยๆ ซับซ้อนจริงๆ อ่านแล้วลุ้นเรื่องไปได้เรื่อยๆ  :m4:

แต่ก็แอบเครียด(อ่าว?)

มาอัพเร็วๆนะ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อ่านเรื่องนี้เเล้วรู้สึกกลัวเหมือนกับดูหนังผี

หรือมันเป็นเพราะอ่านยามค่ำคืนกันแน่

เรื่องมันดูลึกลับซับซ้อนมีเงื่อนงำเต็มไปหมด

ถึงจะแก้จุดๆนึงได้เเล้ว ก็มีปมใหม่ขึ้นมาอีก

เป็นเรื่องที่เดาไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ


เพราะเป็นแบบนี้เลยให้ความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างตื่นเต้นมากๆ ใจสั่นเลย o2

อย่าว่าแต่คนอ่านเลยครับ คนแต่งยังไม่รู้เลย (ฮา)

วันนี้ไม่ต้องไป ตจว แล้วครับ เปื่อย เลยนอนอยู่ในห้อง

แต่มันเครียดประมาณนั้นเลยเหรอเนี่ย แหะๆ

เปลี่ยนแนวสุดชีวิต จากเศร้า --> หวาน --> ล่าสุดกลายเป็นหล็อนซะงั้น

ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับผม ^^


ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :m22: มารอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 23


ไอ้เอ็นแปลกใจนิดหน่อยว่าถ้าผมมีคอนโดแล้วทำไมผมถึงยังต้องไปนอนอยู่ที่บ้านของไอ้เมฆอีก ผมจึงอธิบายคร่าวๆให้มันฟัง จากนั้นเราก็ตัดสินใจจะย้ายที่ไปคุยกันต่อที่คอนโดของผมกัน โดยที่ผมจะขับรถนำ ส่วนมันก็ขับรถของมันตามไป ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาถึงที่ไทยเลยด้วยที่ผมจะได้เข้าไปยังคอนโดของตัวเอง และแม้แต่ไอ้เมฆเองก็ยังไม่เคยมาเลยด้วยซ้ำ

อีกครึ่งชั่วโมงถัดมานับจากที่เราออกมาจากร้านอาหาร ผมก็พามันมาถึงยังคอนโด ผมเดินนำพามันขึ้นไปที่ห้อง และเมื่อไขกุญแจเข้าไป ผมก็พามันเดินทัวร์รอบๆนิดหน่อยพอเป็นพิธี

คอนโดแห่งนี้ไม่ใช่คอนโดใหญ่โตโอ่อ่าอะไรมากนัก มันมีทั้งหมดสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องรับแขก แต่ก็มีระเบียงยื่นออกไปด้านนอก มีพื้นที่ใช้สอยที่เยอะ โปร่งโล่งสบาย วัสดุและการออกแบบที่ดี ซ้ำยังมีระบบความปลอดภัยรวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่ดีและครบครันอีกด้วย พ่อของผมที่มองการณ์ไกลเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่หลายปีก่อนนั้นแล้วคงเห็นว่าบ้านหลังเล็กๆแห่งนี้อาจจะมีความจำเป็นในอนาคต เขาถึงได้ซื้อทิ้งเอาไว้ และตอนนี้ความจำเป็นที่ว่านั่นก็มาถึงแล้วจริงๆซะด้วย

“มึงบอกว่าไอ้เมฆก็ยังไม่เคยมาเลยใช่มั๊ย”

“ใช่ มึงนี่แหละ คนแรก แต่อย่าว่าแต่ไอ้เมฆเลย นี่กูเองก็มาเป็นครั้งแรกเหมือนกันตั้งแต่กลับมาถึงไทยน่ะ”

“อ้าว แล้วมึงเอากุญแจมาจากไหนวะ แถมห้องมันก็ยังดูสะอาดดีอยู่ด้วยนี่หว่า เฟอร์นิเจอร์ก็มี เพียงแต่ยังโล่งๆไปหน่อยเท่านั้นเอง” เอ็นหยิบตุ๊กตาหมีออกมาจากกล่องแล้วนั่งพิจารณามันไปด้วยขณะที่พูดกับผม

“กุญแจมันอยู่ที่ลุงกูน่ะ เค้าเป็นคนจัดการเรื่องดูแลทำความสะอาดที่นี่ให้มาตลอด พอกูกลับมากูก็ไปเอากุญแจที่บ้านเค้าไว้ตั้งแต่ตอนแรกๆแล้ว เพียงแต่กูยังไม่เคยมีโอกาสพาไอ้เมฆมันมาเลยก็เท่านั้นเอง” ผมยกคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็เปิดเครื่อง และเมื่อเครื่องบู๊ทเสร็จแล้ว ผมก็หยิบแผ่นซีดีออกมาจากในซอง “พร้อมรึยัง หรือมึงจะเล่าเรื่องของมึงให้กูฟังก่อน”

“กูเล่าก่อนก็แล้วกัน สรุปแล้วเรื่องพี่จ๊อบของมึงน่ะ มันก็ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมเท่าไหร่หรอก เรื่องหลักๆก็อย่างที่กูบอกมึงไป แต่เรื่องสามเรื่องที่มึงอยากรู้เป็นพิเศษที่ว่า มันใช้บารมีพ่อได้ขนาดไหน มันเป็นพวกอยากได้อะไรต้องได้มั๊ย กับมันเป็นเกย์รึเปล่าเนี่ย กูก็พอได้อะไรน่าสนใจมาอีกหน่อย โดยเฉพาะพอกูรู้เรื่องของมึงกับไอ้เมฆและสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว กูก็เริ่มเห็นภาพแล้วว่ะ”

“ว่ามาเลย กูฟังอยู่”

“อย่างแรก เรื่องบารมีพ่อมันน่ะ เท่าที่กูรู้มาตอนมันอยู่มัธยมกับมหาลัยน่ะ มันก็ใช้เงินของมันนั่นแหละเป็นใบเบิกทางให้หลายๆอย่างบ้างเหมือนกัน และถ้ามีปัญหาถึงตำรวจ พ่อมันก็ช่วยมันออกมาได้ทุกครั้ง อย่างพวกเมาแล้วขับ อุบัติเหตุ หรือทะเลาะวิวาทนิดๆหน่อยน่ะนะ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเท่าไหร่ ดูเผินๆก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป อย่างที่สองที่ว่ามันอยากได้อะไรต้องได้รึเปล่า พี่กูบอกมาว่า ประมาณนั้นว่ะ เช่นเรื่องชกต่อยที่มหาลัย มันก็เคยมีเพราะเรื่องแย่งแฟนเมื่อตอนมันอยู่ราวๆปีหนึ่งรึปีสองนี่แหละ........ ซึ่งอันนี้กูว่ามันน่าสนใจที่สุดสำหรับมึง แต่ว่าบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่ามันน่ะเป็นฝ่ายโดนต่อยก่อน แน่นอนว่าเพราะไปแย่งแฟนเค้า แต่อีกไม่กี่วันถัดมา ไอ้คนที่ต่อยมันกับเพื่อนๆ ก็โดนนักเลงที่ไหนไม่รู้รุมกระทืบชิงทรัพย์เข้าโรงบาลไปเลย  ส่วนข่าวก็ไม่มี ซึ่งกูว่ามันค่อนข้างลงตัวไปหน่อยเนอะ มึงว่ามั๊ย”

ผมพยักหน้า รู้สึกว่าขนของตัวเองกำลังลุกเกรียว เพราะเมื่อนึกถึงหน้ายิ้มๆของมันแล้ว ผมก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่ามันจะทำได้ถึงขนาดนี้

“ส่วนอย่างสุดท้าย เรื่องผู้ชาย........” ไอ้เอ็นส่ายหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้ม “นอกจากมันจะเจ้าชู้แล้ว สมัยมหาลัยมันก็เคยมีคนพูดถึงอยู่เหมือนกันว่า มันน่ะ ขอให้หน้าตาดีไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ได้หมด หรือไม่ก็จริงๆมันคงชอบผู้ชายนั่นแหละ แต่ก็เอาหญิงได้อาจจะไว้บังหน้า ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกแฟนเก่าของมันไม่กี่คน หรือไม่ก็เพื่อนๆในกลุ่มมันนั่นแหละ ซึ่งเพื่อนๆก็รับได้ หรือไม่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ส่วนผู้หญิงน่ะบางคนพอรู้แล้วก็คงอึ้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเหมือนกัน เรื่องมันก็แค่นั้น และที่สำคัญ ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ใส่ใจให้มันเป็นความลับอะไรเท่าไหร่ด้วย ไม่งั้นกูคงไม่ได้ข้อมูลนี้มาง่ายๆ”

“กูว่าแล้ว........ งี้ที่กูคิดไว้มันก็ถูกน่ะสิวะ ว่ามันคิดจะมาอะไรกับไอ้เมฆจริงๆน่ะ”

“ก็คงใช่” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่เท่าที่กูรู้มาเรื่องทั้งหมดมันก็อยู่แค่ในช่วงมัธยมจนถึงสมัยมหาลัยตอนต้นๆนะ หลังจากนั้นมาก็ไม่ค่อยมีอะไรแล้ว ซึ่งก็น่าเอามาคิดเหมือนกันว่าทำไม และเพราะอะไร มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆรึเปล่า รึพ่อมันเอือมกับมันสุดๆแล้วใช่มั๊ย หรือว่ามันต้องคอนโทรลตัวเองเนื่องจากพ่อมันกดดันมา อันนี้ก็คงไม่มีใครรู้ได้”

“เข้าใจล่ะ โอเค ขอบใจมากเว้ย ช่วยกูได้เยอะเลย”

“แล้วมึงจะโอเคมั๊ยวะ ถ้ามึงต้องเข้าไปพัวพันกับไอ้พวกนักเลงขึ้นมาจริงๆน่ะ”

ผมหัวเราะเบาๆ “มึงรู้จักไอ้เมฆน้อยไปหน่อยว่ะ”

ไอ้เอ็นมองหน้าผมงงๆเล็กน้อย แต่สุดท้ายมันก็ส่ายหน้าเบาๆ “กูหมายถึง ‘มึง’ นะ ไม่ใช่แค่ไอ้เมฆ”

“กูคิดว่ากูเอาตัวรอดได้ว่ะ มึงไม่ต้องห่วงหรอก” ผมตอบหลังจากเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ มึงพร้อมสำหรับเรื่องสุดท้ายที่มึงควรรู้รึยัง” ผมชูแผ่นซีดีขึ้น

ไอ้เอ็นพยักหน้าและวางตุ๊กตาหมีลงบนโซฟา จากนั้นมันก็เขยิบเข้ามานั่งชิดกับผมมากขึ้นเพื่อที่จะได้ดูภาพในจอได้ชัดๆ

“มึงไม่ต้องเบียดขนาดนั้น เอ้า มึงใส่เองเลยก็แล้วกัน จะดูกี่รอบก็ได้ ตามใจ” ผมยื่นแผ่นซีดีให้กับมัน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปยังห้องครัว และหยิบน้ำเย็นออกมารินใส่แก้วสองใบ

“ภาพไม่ชัดนะ” ไอ้เอ็นพูดขึ้น “ใช้กล้องมือถือ.........”

“ใช่ กล้องมือถือ” ผมตอบ แล้วก็ยกแก้วทั้งสองใบเดินกลับมายังโต๊ะรับแขก “แล้วมึงคิดว่าไง” ผมถามขึ้นหลังจากที่ไอ้เอ็นเงยหน้าขึ้นมาจากจอคอมแล้ว

“ที่มึงสงสัยไว้ว่ามีคนตามดูมึงอยู่นั้นก็เป็นไปได้สูงทีเดียวว่ะ” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่ที่น่าคิดก็คือ มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาเฝ้าตามมึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โอเค เราไม่ได้พูดถึงความโอเว่อร์เกินจริงเหมือนในหนัง และบอกว่า ‘เฮ้ย นี่มันชีวิตจริง แบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะลงทุนไปมั๊ง’ อะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่กูกำลังพูดถึงความเป็นไปได้ว่า คนที่ตามมึงน่ะ จะตามติดชนิดที่ว่าไม่ปล่อยให้คาดสายตาเลยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างแรกเลยคือ หมู่บ้านของไอ้เมฆ คนนอกเข้าไม่ได้อยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ สอง มึงทำงานในออฟฟิศแบบนั้น มันไม่ใช่ว่าใครจะเข้าก็เข้าออกก็ออกกันได้ง่ายๆ แถมช่วงที่มึงทำงาน มันจะไปไหนล่ะ นั่งเฝ้ามึงอยู่นอกตึกเรอะ แบบนั้นมันก็เกินไป ทั้งสะดุดตา ทั้งไร้จุดหมาย และคนอย่างไอ้หมอนี่ก็คงไม่มีปัญญาทำได้ขนาดนั้นหรอก”

“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นวะ” ผมสงสัยกับคำพูดสุดท้ายของมัน

“มึงดูที่คุณภาพของกล้องสิ ห่วยแตกซะขนาดนั้น มันมือถือรุ่นไหนราคาเท่าไหร่ หรือมันเก่ามาตั้งแต่เมื่อกี่ปีมาแล้ว” ไอ้เอ็นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกนิดๆ แต่เมื่อมันเห็นสีหน้าของผม มันจึงอธิบายต่อ “นี่แปลว่ามึงไม่ได้ติดตามเรื่องราวของเทคโนโลยีมือถือกับเค้ามั่งเลยรึไงวะ”

“ไม่อ่ะ ไม่ได้สนใจอะไรเลย” ผมส่ายหน้า

“นี่มึงไปอยู่ไหนมาวะเนี่ย ถึงได้ตกยุคขนาดนี้”

“อังกฤษ”

“เออๆ กูขอโทษ กูลืมไป งั้นมือถือเครื่องนี้ล่ะ ทำไมมึงถึงได้เลือกซื้อรุ่นนี้” ไอ้เอ็นชี้มายังมือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

“กูเอง ก็ไปซื้อพร้อมไอ้เมฆนั่นแหละ อ้อ ไปกับไคล์ด้วย มันสองคนก็จิ้มๆเลือกๆให้กู กูไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว อันไหนสวยกูก็พยักหน้า อันไหนสเป๊กดี กูก็เห็นชอบด้วย และรุ่นนี้มันก็โอเคอยู่นี่ กูเห็นโฆษณาในทีวี”

“ใช่ เรื่องนั้นกูไม่เถียง มือถือมึงน่ะมันเวิร์คมากเลยทีเดียว ทั้งความสามารถในการใช้งานทั่วไป ทั้งเรื่องของการใช้งานในเชิงธุรกิจ และเรื่องของการฟังเพลงหรือการถ่ายรูป”

“เอาล่ะๆ โอเค ตกลงมึงจะเข้าเรื่องได้รึยัง” ผมนึกสงสัยว่านี่ถ้าไอ้ไคล์มันพูดภาษาไทยเก่งๆล่ะก็ ไอ้สองคนนี้มันคงคุยกันแบบน้ำไหลไฟดับแน่นอน

“ก็นี่ไง กูกำลังพูดถึงอยู่นี่แหละ มึงฟังนะ มือถือมึงน่ะ ราคาตกอยู่ที่ประมาณสองหมื่นใช่มั๊ย มึงคงเคยเอามันมาถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอมั่งแล้วล่ะ กูมั่นใจ และมันก็ออกมาชัดดีใช่มั๊ยล่ะ ชัดโคตรๆเลยด้วย แต่ว่ามันไม่ใช่ไง เดี๋ยวนี้น่ะ มันไม่จำเป็นเลยว่ามือถือต้องราคาแพงๆถึงจะถ่ายรูปถ่ายวีดีโอชัดๆ หมื่นเดียวหรือไม่ถึงก็ซื้อได้แล้ว กล้องสองล้านพิกเซลอะไรพวกนั้นน่ะ” ไอ้เอ็นยกมือขึ้นปัดไปมาเบาๆในอากาศ “และมันไม่ได้เพิ่งเป็นแบบนี้มาตอนวันแรกที่มึงกลับมาจากอังกฤษหรอกนะ แต่เป็นมาได้สักเกือบสองปีแล้วมั๊งที่ตลาดการแข่งขันมือถือมันสูง ราคามันก็เลยตกตามน่ะ เข้าใจรึยัง ยิ่งถ้ามึงไปซื้อรุ่นดีๆความสามารถสูงๆมาใช้แต่เป็นพวกมือสองน่ะ ไม่ถึงหมื่นก็ยังพอหาได้เลย แต่มึงลองดูกล้องของไอ้เหี้ยนี่สิ คุณภาพเลวมาก เลวขนาดที่กูพูดได้เลยว่ามันเป็นมือถือรุ่นที่มีกล้องไว้แค่ให้ได้ชื่อว่ามือถือติดกล้องน่ะ”

ผมชะโงกหน้าไปดูยังหน้าจอที่ไอ้เอ็นกำลังชี้อยู่ ภาพของผมกับไอ้เมฆกำลังเดินเข้าไปในห้างเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง “แล้วมันบอกนิสัยคนถ่ายยังไงวะ”

“แค่นั้นยังไม่จบ กูน่ะทำงานอยู่กับพวกกล้องมือถือเหมือนกันนะ ไอ้พวกที่ถ่ายรูปถ่ายคลิปมาเป็นหลักฐานอะไรพวกนั้นน่ะ เพราะงั้นมึงดูนี่ นอกจากพิกเซลยังต่ำแล้ว หน้าจอก็เล็กเว่อร์ สีก็ไม่ชัด แถมยังกระตุกโคตรๆ พอขยายดูนี่มองอะไรแทบไม่เห็นเลย ถ้าให้กูวิเคราะห์ง่ายๆจากตรงนี้นะ ก็คือไอ้เหี้ยนี่คงไม่ได้ทำหน้าที่จับตาดูมึงเพื่อถ่ายภาพคอยแบล็คเมล์มึงอะไรงั้นหรอก”

“อืมม กูเริ่มจะเข้าใจความคิดมึงขึ้นมานิดนึงแล้วว่ะ นั่นก็หมายความว่าถ้าไอ้เจ้าตัวคนที่ตามกูมันอยากจะได้ภาพกูไปเพื่อทำอะไรสักอย่าง มันก็น่าจะใช้กล้องที่มีคุณภาพดีกว่านี้สินะ”

“ใช่ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะนะ คือ กูคิดว่าไอ้คนที่ตามถ่ายภาพมึงเนี่ยมันคงจะถูกจ้างมาอีกที และจู่ๆพอเห็นมึงเข้าไปในห้างนั่น มันก็เลยรีบถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ อาจจะทำตามคำสั่งตั้งแต่แรกของนายมัน หรือไม่ก็นายมันบอกให้ทำตอนรู้ว่ามึงไปถึงที่นั่นก็ได้ ส่วนเหตุผล กูไม่รู้ว่ะ” ไอ้เอ็นพูด

ผมลุกขึ้นยืน และเดินวนรอบห้องช้าๆอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้กูพอจะนึกอะไรออกอีกหลายๆอย่างแล้วล่ะ แต่ว่ากูก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่ะ ที่มึงบอกว่าไอ้นี่คงไม่มีปัญญาเฝ้ากูได้ขนาดนั้น แต่นี่มันถ่ายกูมาตั้งแต่ลานจอดรถเลยนะเว้ย ก็แปลว่ามันก็ต้องตามกูมาตลอดทั้งวันเลยน่ะสิ”

“ก็อาจใช่ แต่นั่นหมายถึงถ้ามันมีเพียงคนเดียว กับ ถ้ามันตามมึงทั้งวันทุกวันน่ะนะ”

“มึงคิดว่ามันอาจจะมีมากกว่าคนนึงอย่างนั้นเหรอ”

“ก็แค่ความน่าจะเป็นน่ะ เอาล่ะ มึงฟังกูดีๆ ตอนนี้มึงก็คงคิดเหมือนกูว่ามึงอาจจะโดนคาดเดาการกระทำล่วงหน้าเอาไว้ได้แล้ว คือกูหมายถึงในตอนนั้นน่ะนะ เพราะงั้นพวกมันก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องคอยตามติดมึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้ว่ามึงจะไม่เกิดอาการหุนหันรีบบึ่งรถไปยังร้านตุ๊กตาซะตั้งแต่วันแรกที่มึงได้ไอ้หมีนั่นมา......... หรือแม้แต่วันถัดไป” ไอ้เอ็นรีบพูดเสริมเมื่อมันเห็นผมอ้าปากจะพูด “เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเป็นไปได้ที่มีคนๆนึงคอยจับตาดูที่ร้านตุ๊กตานั่นเอาไว้ในตอนเย็นหลังมึงเลิกงาน แต่นั่นก็ยังไม่ชัดเจนนัก ถ้าแค่ไอ้คนที่ตามมึงมันคอยดูมึงแค่หลังเวลาเลิกงาน และดูรถมึงว่ามึงกลับถึงบ้านแล้วก็คงพอ ไม่จำเป็นต้องใช้คนเปลืองและเปลืองเวลาอะไรมากมาย แต่ที่กูคิดว่ามันอาจจะมีสองคนน่ะ มันเป็นเพราะการตัดต่อในคลิปนี่ต่างหาก”

“อ้ออ กูพอจะเข้าใจ” ผมพยักหน้า “เพราะถ้าหากไอ้นี่มันเป็นมือสมัครเล่น หุนหันขนาดรีบถ่ายพวกกูไว้ตั้งแต่ตอนออกจากรถ จนมันต้องไปตัดภาพทิ้งให้สั้นลง แถมยังมีแนวโน้มว่ามันเป็นแค่คนธรรมดาทั่วๆไปที่มือถือยังบอกยี่ห้อห่วยซะขนาดนี้ มันก็ไม่น่าจะตัดต่อภาพเองเป็นสินะ”

“ก็คงใช่มั๊ง ยกเว้นแต่ว่ามันส่งภาพไปให้คนที่จ้างวานมันตัดให้น่ะ และมึงเดาผิดไปนิดหน่อย ตรงที่ไฟล์วีดีโอนี้น่ะ อาจจะไม่ใช่วีดีโอยาวๆแล้วเอามาตัดทิ้งหรอก แต่กูดูๆแล้วมันเหมือนจะเกิดจากคลิปสั้นๆสองคลิปเอามาต่อกันต่างหาก”

“อันนั้นกูก็มีคิดอยู่เหมือนว่า แต่ก็ไม่ได้แน่ใจนักน่ะ........ งั้นตอนนี้กูก็พอจะรู้แล้วว่า หนึ่ง ไม่ว่าไอ้เหี้ยนี่มันเป็นใคร มันถูกคนๆนึงจ้างมา และรับหน้าที่ในการจับตาดูการเคลื่อนไหวของกูว่าเป็นไปตามที่คนจ้างมันคิดไว้รึเปล่า มันเป็นมือใหม่ กระจอก และไม่ฉลาดเท่าที่ควร อีกอย่างคือไอ้เหี้ยนี่มันไม่ได้ตามกูทุกวัน แต่น่าจะตามถึงแค่วันเสาร์ที่ผ่านมาเท่านั้น เพื่อดูว่าการที่มันส่งตุ๊กตามาให้กูนั้นมันได้ผลมั๊ย และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้านายมันคิด มันก็เลยอาจจะถูกสั่งให้อัดคลิปเอาไว้เป็นหลักฐานไว้ย้อนรอยกูอีก หลังจากนั้นมันก็เลยส่งหมีอีกตัวพร้อมคลิปนี่มาให้กูเพื่อตอกย้ำและตอกหน้ากูว่าสิ่งที่กูคิดไว้ทั้งหมดมันผิดถนัด และมันรู้นะว่ากูกำลังคิดอะไรอยู่ แบบนั้นสินะ....... และที่สำคัญคือ ความเป็นไปได้ที่ตอนนี้กูจะยังคงถูกตามอยู่ก็คงไม่มีแล้วด้วย ใช่มั๊ย”

“อย่างน้อยๆวันนี้ก็ไม่มี ตอนกูขับรถตามมึงมากูดูให้มึงแล้ว” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่ก็ใช่มั๊ง ตอนนี้มึงคงเข้าใจทุกอย่างได้พอๆกับที่กูกำลังคิดอยู่แล้วล่ะ หลักๆรวมๆแล้วมันก็คงจะประมาณนี้ แต่ว่าถึงกูจะไม่คิดว่าไอ้เหี้ยนี่จะมาเป็นอันตรายกับมึงเท่าไหร่นะ กูก็ยังไม่อยากให้มึงวางใจอยู่ดี ซัน ต่อจากนี้ไปมึงคงต้องระวังตัวและสังเกตรอบข้างมากขึ้นอีกหน่อยว่ะ”

“กูเข้าใจ แต่กูก็ไม่ได้เก่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ด้วยสิ ถ้าเป็นไอ้เมฆล่ะก็ มันก็คงจะรอบคอบมากกว่ากูเยอะ” ผมเดินกลับมานั่งลงบนโซฟา

“และนั่นก็คืออีกเรื่องนึงว่ะ มึงคิดจะบอกไอ้เมฆมั๊ย เรื่องนี้”

“คิดว่ายังว่ะ กูคิดว่ากูคงจะไปคุยกับนัทก่อนให้มันรู้เรื่องไปเลย ว่าทำไมแม่งต้องทำเหี้ยอะไรแบบนี้ด้วย แล้วค่อยจัดการอย่างอื่นทีหลัง รอดูปฏิกิริยาของมันก่อน” ผมพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด และเมื่อคิดถึงน้ำตาของนัทเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้แล้วก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ นี่ผมกำลังโดนยายนั่นปั่นหัวเอาอยู่งั้นสินะ

“แต่กูกลับไม่คิดว่าเป็นนัทนะ” ไอ้เอ็นพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทำให้ผมต้องมองมันด้วยความแปลกใจ “ทุกอย่างมันลงตัวเกินไป มึงเข้าใจป่ะ มันไม่แปลกเหรอวะ นัทเค้าจะมาทำอะไรแบบนี้เพื่อให้ตัวเองถูกจับได้ทำไม นี่มันชัดมากๆเลยนะเว้ย มึงก็ลองคิดดูดิ่ นี่พอเราคิดๆอะไรออกมาได้แบบนี้แล้ว ชื่อของนัทก็เด้งขึ้นมาใส่หัวมึงเลย และเค้าก็น่าจะรู้ว่ามึงไม่ได้โง่ขนาดนั้น แถมที่สำคัญ เรื่องทั้งหมดที่เราพูดกันไปมันก็ยังเป็นเพียง ‘สมมติฐาน’ เท่านั้นด้วย”

“เรื่องนั้นมันก็.........” ผมนิ่งไปพักหนึ่ง “แต่นัทมันอาจจะทำอะไรไม่รอบคอบเองก็ได้นี่หว่า มันคงไม่คิดมั๊งว่ากูจะจับได้แบบนี้น่ะ”

“แต่มึงได้ตุ๊กตาหมีตัวที่สองนี้วันเดียวกับวันที่มึงเคลียร์กับนัทมาแล้วนะ ถ้าไม่งั้นตอนนั้นนัทจะทำเงียบให้มึงไปโวยอีกทีทีหลังทำไมวะ” ไอ้เอ็นขมวดคิ้ว “เรื่องมันไม่ลงตัวเอาซะเลยว่ะ......... กูขอสารภาพตรงๆว่าที่กูพูดๆไปน่ะกูก็แค่เดาเอาทั้งนั้น ปกติกูก็คงไม่พูดออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นหรอก แต่นี่กูคิดว่ามึงคงอยากฟังก็เลยลองพูดๆออกไปเหมือนเราลองคุยกันมากกว่าที่จะฟันธงอะไรลงไปน่ะ ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ที่กูจะผิดพลาดมันก็มีอยู่สูงมาก”

“ว่าแต่มึงยังไม่ได้บอกกูเลยนะ ว่าเรื่องสุดท้ายที่กูส่งเมสเสจไปบอกมึงให้มึงช่วยตรวจสอบให้น่ะ ผลเป็นยังไง”

“เรื่องพ่อของนัทใช่มั๊ย......... อืมมมม........” ไอ้เอ็นเว้นช่วง “จริงๆกูก็แทบไม่ต้องตรวจสอบอะไรมากมายหรอกนะ เพราะพ่อของนัทน่ะมียศสูง มีชื่ออยู่พอควร แต่ที่มึงต้องการรู้ก็ออกแนวคล้ายๆของพ่อพี่จ๊อบ นั่นก็คือ ‘อิทธิพล’ เพราะงั้นกูก็ตอบได้ง่ายๆเลยว่า มีแน่ แต่คนละขั้วกับพ่อของพี่จ๊อบมันเท่านั้นเอง”

“โอเค........ กูจะเอามันเข้ามาประกอบความคิดของกูด้วย เพราะงั้นมึงลองบอกกูทีดิ๊ว่ามันจะเป็นใครไปได้วะ ไอ้คนที่ทำเรื่องแบบนี้น่ะ”

“เรื่องนี้กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ไอ้ซัน แต่กูบอกมึงได้แน่แค่สองอย่าง อย่างแรกเลยนะ เรื่องนี้น่ะ มันอาจจะซับซ้อนกว่าที่เราคิดมาก ซึ่งตรงกันข้ามกับปัญหาที่มันมีอยู่เยอะมากมายเลย เพราะมันกลายเป็นว่าตอนนี้ช่องโหว่มันเยอะมาก เยอะมากเกินไปจนเราไม่สามารถมองเห็นภาพรวมอะไรได้เลย ที่เราพูดๆกันไปมันก็เป็นแค่แนวทางความคิดและความน่าจะเป็นเท่านั้น และอย่างที่สองก็คือ มึงห้ามตัดใครทิ้งไปทั้งนั้น ไม่ว่าคนที่เข้ามาหามึงกับไอ้เมฆตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษนั้นจะมีใครบ้าง มึงห้ามตัดทุกคนทิ้งออกจากผู้ต้องสงสัยเด็ดขาด” ไอ้เอ็นเน้นคำพูดสุดท้ายอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 มึงห้ามตัดทุกคนทิ้งออกจากผู้ต้องสงสัยเด็ดขาด

หุหุ รวมถึงตัวคนพูดด้วยรึเปล่าหว่า   :m21: :m21:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :m4: ยิ่งอ่านยิ่งตื่นเต้น

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:serius2:
กลายเป็นสืบสวนสอบสวนกันไปละ...เครียด ๆๆๆ
ไม่พี่จ๊อบก็แบงค์แหง๋ ๆๆๆๆ  :m23:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ยิ่งอ่านยิ่งตื่นเต้น ลึกลับซับซ้อน น่าค้นหาติดตามจริงๆ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วันนี้ไม่เสบยคับ T__T
สะอึกตั้งกะเช้ายันเย็น อ้วกหมดไส้หมดพุง
เจ็บหน้าอก แสบคอ แสบท้องไปหมด
ตอนเจ็บมากๆอยากจะเอามีดมาแทงหน้าอกมันซะให้รู้แล้วรู้รอด

 :sad2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 24


พอตกบ่าย ผมก็นั่งรถของไอ้เอ็นไปยังยิมที่เมฆกับไคล์กำลังซ้อมกันอยู่ เพื่อพามันไปพบเมฆด้วยพร้อมๆกัน และระหว่างทางเราก็คุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกันไปตลอด โดยส่วนมากแล้วเราก็ยังหนีไม่พ้นที่จะคุยกันเรื่องของผมกับไอ้เมฆกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี่มากกว่า

“กูว่ามึงไม่ต้องคิดมากหรอกว่ะ ซัน มันก็อาจจะแค่มีคนมาแกล้งมึงก็ได้ เรื่องมันก็แค่นั้น ยังไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไรมากมายนักหรอก” ไอ้เอ็นบอกผม

“กูก็พยายามคิดแบบนั้นนะเว้ย แต่ว่าถ้ามันกลายเป็นแกล้งไปแกล้งมาแล้วผลลัพธ์มันทำให้ไอ้เมฆต้องไปจากกูหรืออะไรพวกนี้น่ะ กูก็เฉยไม่ไหวเหมือนกัน”

“มึงก็เชื่อใจมันสิวะ อยู่กันมาตั้งสามปีแล้วนี่”

“กูน่ะเชื่อใจมันอยู่หรอก แต่กูไม่เชื่อใจคนที่เข้ามาหามันนี่หว่า ไม่รู้ว่ะ ของแบบนี้มันพูดยากนะ ยิ่งถ้าไอ้ปลาไหลนั่น...... เอ่อ กูหมายถึง ไอ้พี่จ๊อบน่ะ มันเป็นประเภทที่ถ้าอยากได้ไอ้เมฆแล้วยังไงมันก็ต้องเอาให้ได้ขึ้นมาจริงๆล่ะก็ กูก็คงวางใจไม่ได้ง่ายๆหรอกใช่มั๊ยล่ะ”

“ก็คงจริงของมึง.......” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่เท่าที่กูรู้เรื่องมาจากมึงเนี่ย กูกลับคิดว่าพี่จ๊อบมันดูพูดจริงและจริงจังจริงใจมากกว่านัทอีกนะ ก็อย่างเรื่องที่มึงให้ไอ้เมฆคุยกับพี่จ๊อบวันนั้น สรุปแล้วคนที่โกหกก็คือนัทนี่หว่า ไม่ใช่มัน”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง.........” ผมพยักหน้าตอบอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้ามานึกๆดูแล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเท่าที่เราพอสรุปได้ตอนนี้ก็คือคนที่โกหกเรานั้นก็คือนัทเพียงคนเดียว หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ ไอ้พี่จ๊อบมันยังไม่เคยโกหกอะไรเราสองคนเลยแม้สักครั้ง “แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่ายังไงๆมันก็จะมาแย่งแฟนกูอยู่ดีนี่หว่า”

“ก็คงใช่มั๊ง......... มึงก็แค่ต้องแยกระหว่างเรื่องสองเรื่องนี้ให้มันดีๆเท่านั้นเอง อย่าเอามาปนกัน ไม่งั้นเรื่องมันจะยิ่งแย่ไปใหญ่ และที่สำคัญ จะทำอะไรก็ระวังๆไอ้เมฆมันด้วย”

“กูรู้แล้ว แต่กูก็ยังไม่ค่อยอยากบอกไอ้เมฆว่ะ กูอยากจะให้อะไรๆมันชัดเจนซะก่อนก่อนที่กูจะทำอะไรลงไปน่ะ และถ้าเรื่องมันไม่ชัดเจนสักทีกูก็จะเป็นฝ่ายลงมือทำให้มันชัดเจนเอง”

“มึงนี่ใจร้อนจริงๆว่ะ แต่ก็เอาเถอะ กูจะคอยหนุนหลังมึงอยู่ให้เอง มีอะไรก็บอกกูก็แล้วกัน แล้วก็ที่สำคัญก็คือระวังตัวนะเว้ย อย่าทำอะไรผลีผลาม มีอะไรก็ปรึกษากูได้เสมอ หรือถ้าจะให้ดี บอกกูล่วงหน้าด้วย เข้าใจมั๊ย”

“อืมม ขอบใจมาก”

“จะว่าไปตอนนี้พี่จ๊อบมันทำอะไรกับมึงหรือไอ้เมฆแล้วเหรอวะ เท่าที่กูฟังมึงมานี่มันก็ยังไม่ค่อย.........”

“ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอก นอกจากตอดเล็กตอดน้อยน่ะนะ แต่ก็อย่างที่บอกไปไงว่ามันรู้แล้วว่ากูเป็นคนสั่งไอ้เมฆให้เอาของขวัญมันไปทิ้ง เพราะงั้นหลังจากนี้ไปมันก็คงไม่อยู่เฉยๆแล้วล่ะมั๊ง”

“นี่แหละ กูถึงได้บอกว่ามึงต้องใจเย็นๆอย่าผลีผลามน่ะ........ ว่าแต่ ไอ้เมฆมันรู้มั๊ยเนี่ยว่ากูกำลังจะไปหามันด้วย”

“ไม่รู้ กูไม่ได้บอกน่ะ บอกแค่ว่ากำลังจะไป ป่านนี้มันก็คงกำลังเรียกเหงื่อได้ที่แล้วล่ะมั๊ง....... หึหึ ดีเลย มึงจะได้เห็นว่าไอ้เมฆน่ะ มันดูแลตัวเองได้ดีขนาดไหน และมึงจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตอนที่ระยองมันถึงได้กลายเป็นฮีโร่ของทุกคนขนาดนั้นน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

เมื่อมาถึงที่ตึก ผมก็พาไอ้เอ็นเดินขึ้นไปหาไอ้เมฆ ผมพามันเดินเข้าไปในคลาสยูโด และที่นั่นไคล์ก็กำลังนั่งรอพวกเราอยู่แล้ว ส่วนไอ้เมฆก็กำลังจับคู่ซ้อมอยู่กับครูวิชญ์อยู่เหมือนเคย

“ซัน มาดูรูปสิ สวยมากๆเลยนะ” ไคล์เรียกพวกเราด้วยท่าทางอารมณ์ดี “อ้าว แล้วนี่เพื่อนซันเหรอ สวัสดีครับ” ไคล์ยกมือไหว้ไอ้เอ็นแบบคนไม่คอยเคย แต่ดูๆแล้วก็น่ารักดี

“สวัสดีครับ นี่น่ะเหรอน้องมึง ไอ้ซัน หล่อนี่หว่า” ไอ้เอ็นกระทุ้งสีข้างผมเบาๆ “ว่าแต่รูปนี่คือรูปที่มึงไปถ่ายกับคนที่ชื่อแอมป์มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน่ะเหรอ”

“ใช่ เอ้อ ไคล์ แล้วนี่ไอ้เมฆมันจับคู่กับครูวิชญ์มานานรึยัง”

“ก็ได้สักสิบห้านาทีแล้วมั๊ง”

“อืมมม งั้นไคล์มานั่งคุยกับเพื่อนพี่ไปก่อนนะ ส่วนเอ็น มึงก็ดูรูปกับคุยกับน้องกูไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวกูขอไปเปลี่ยนชุดก่อน เดี๋ยวออกมาหาอีกที”

ผมเดินแยกไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดฝึก จากนั้นก็เดินออกมารวมกับสองคนเมื่อครู่อีกครั้ง และเมื่อผมเดินกลับมาหาไอ้เอ็นกับไคล์ที่กำลังนั่งดูรูปอยู่ด้วยกันแล้ว ส่วนไอ้เมฆก็ซ้อมเสร็จแล้วพอดีและกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเราอยู่เช่นกัน

“ไอ้เอ็น มาด้วยเหรอวะ” ไอ้เมฆเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา “ไอ้ซันไม่เห็นบอกกูเลยว่ามันจะพามึงจะมาด้วยน่ะ”

“ก็แวะมาเยี่ยมมึงนั่นแหละ ตั้งแต่มึงกลับมากูก็ยังไม่ได้เจอมึงเลยนี่หว่า” ไอ้เอ็นเงยหน้าขึ้นมาจากรูปถ่ายในมือแล้วยิ้มให้ไอ้เมฆ “ว่าแต่ ไอ้เมฆ ไอ้ซัน........ รูปพวกนี้นี่แม่งสุดยอดเลยว่ะ”

“สวยดีมั๊ย กูเองก็ชอบน่ะ พี่แอมป์กับพี่บอลถ่ายรูปสวยจริงๆนั่นแหละ” ไอ้เมฆยิ้มกว้าง

“กูยังไม่เห็นเลย แต่ว่านี่คือทั้งหมดแล้วใช่มั๊ยวะ เมฆ” ผมหันไปถามไอ้เมฆ

“อื้มม แล้วก็มีที่พี่แอมป์ฝากมาให้มึงอีกนิดหน่อยน่ะ พี่เค้าไรท์ลงซีดีมาให้ อยู่ในรถ” ไอ้เมฆหันมายิ้ทให้ผมอย่างรู้กัน

“ซัน เมฆ กูถามอะไรหน่อยดิ่ คือ....... ไอ้รูปพวกนี้น่ะ มึงถอดหมดเลยจริงๆรึเปล่าวะ” ไอ้เอ็นถาม

ผมกับเมฆมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ

“โดยเฉพาะรูปนี้น่ะมึง” ไอ้เอ็นหยิบรูปขาวดำที่เป็นรูปผมกับไอ้เมฆยืนหันหน้าเข้าหากัน กึ่งๆจะจูบกันอยู่ใต้ฝักบัวให้พวกเราดู “กูสาบานได้ว่ากูเห็นอะไรดำๆตรงนั้นนะเว้ย นี่ถ้าต่ำลงมาอีกนิดนึงมันก็คง.........”

ผมเอื้อมมือไปหยิบรูปนั้นมาดูใกล้ๆแล้วก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ นี่เป็นหนึ่งในรูปภาพที่สวยแล้วก็ดูเซ็กซี่มากที่สุดรูปหนึ่งที่ผมเคยดูมาเลย โดยเฉพาะเมื่อคนในรูปนั้นเป็นผมกับไอ้ตัวดีของผมด้วยแล้ว เพราะรูปนี้พี่บอลจัดท่าให้เราสองคนยืนหันหน้าเข้าหากันข้างใต้ฝักบัว เอาหน้าผากเข้ามาใกล้จนเกือบจะชนกัน ใช้แขนกระหวัดกันเล็กน้อย ทำเหมือนเรากำลังจะกอดกันธรรมดาๆ แต่ก็สามารถมองเหมือนว่าเรากำลังจะจูบกันได้ด้วย และมันก็เลยออกมาดูสุดยอดมากจริงๆ

“กูชอบมากเลยว่ะ เมฆ มีรูปแนวๆนี้อีกเยอะมั๊ยวะ กูจำได้ว่าพี่บอลเค้าถ่ายไปหลายรูปเหมือนกันนะ ตอนฉากในห้องน้ำน่ะ ใช่มั๊ย”

“แบบเปลือยคู่น่ะ มีแค่สามรูป แต่ถ้าในห้องน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะมีเสื้อผ้าหรือไม่มีน่ะ ก็ประมาณเจ็ดรูปได้ พี่แอมป์บอกว่าบางรูปมันไม่ค่อยสวยน่ะ พี่เค้าก็เลยไม่ได้อัดออกมา แต่รูปทั้งหมดก็อยู่ในแผ่นแหละ ไว้ค่อยกลับบ้านไปดูก็ได้”

“ตกลงคือมึงถอดกันจริงๆใช่มั๊ยวะเนี่ย” ไอ้เอ็นพูดขึ้น “กล้าเนอะ พวกมึงเนี่ย เชี่ยแม่ง แก้ผ้าให้ผู้หญิงถ่ายรูป” ไอ้เอ็นก้มหน้าลงดูรูปถ่ายของพวกเราอีกครั้ง และผมสาบานได้ว่าผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงบริเวณส่วนนั้นภายใต้กางเกงของมันด้วย และมันก็ทำให้ผมต้องแปลกใจไปเลยเหมือนกัน

“เกย์ ไม่ใช่ผู้หญิง” ไอ้เมฆหัวเราะ “รูปที่พวกกูถอดเสื้อผ้ากัน พี่บอลที่เป็นเกย์ถ่ายให้ ไม่ใช่พี่แอมป์น่ะ”

“เอาเถอะๆ เดี๋ยวกูค่อยกลับไปดูรูปทั้งหมดที่บ้านก็แล้วกัน ว่าแต่มึงเหนื่อยรึยังเมฆ มาช่วยกูวอร์มหน่อยมั๊ย”

ไอ้เมฆพยักหน้า จากนั้นเราสองคนก็วอร์มร่างกายด้วยกัน และผมก็เล่าเรื่องที่ไปคุยกับไอ้เอ็นมาให้มันฟังคร่าวๆด้วย แต่ก็ยังตัดส่วนที่เกี่ยวกับตุ๊กตาหมีตัวใหม่ออกไปก่อน ซึ่งไอ้เมฆก็รับฟังแถมยังดูไม่ค่อยซีเรียสกับมันเท่าไหร่นักด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเราสองคนจึงเริ่มต้นจับคู่กันซ้อมโดยมีไคล์กับเอ็นนั่งดูอยู่ไม่ไกล

“ว่าแต่มึงทำอะไรมาบ้างแล้วเนี่ย” ผมถามขึ้นขณะที่ยื้อยึดอยู่กับไอ้เมฆได้สักพักใหญ่ “ได้ไปที่คลาสเทควันโดมารึยัง”

“ไปมาแล้ว ได้ไคล์ช่วยถือเป้าให้ด้วย” ไอ้เมฆตอบพร้อมกับบิดตัวเหวี่ยงผมลงไปนอนอยู่บนพื้น

“อั๊กกก!” ผมร้องออกมา “แล้ว...... จะซ้อมอยู่อีกนานมั๊ย กูมีที่อีกทีนึงที่อยากพามึงกับไคล์ไปน่ะ” ผมดันตัวลุกขึ้น แล้วก็หมุนตัวอย่างรวดเร็วเพื่อทุ่มไอ้เมฆด้วยท่าเดียวกับที่มันเพิ่งใช้กับผมไป และคราวนี้ก็เป็นฝ่ายมันที่ต้องลงไปนอนแผ่อยู่บนพื้นบ้างแล้วเหมือนกัน

“ไปไหนวะ” ไอ้เมฆตอบพร้อมเสียงหอบ พร้อมๆกับเอื้อมแขนมาดึงตัวผมให้ลงไปนอนลงกับมัน และด้วยความรวดเร็ว มันก็จับผมกดล็อคทั้งคอและแขนเรียบร้อยไปแล้ว

“โอ๊ยยย เชี่ยยย เบาๆหน่อยมึง” ผมร้องออกมาเมื่อรู้สึกถึงเสียงร้องของกระดูกข้อต่อที่ลั่นออกมา “ไปคอนโดกูไง แล้วพรุ่งนี้กูก็จะชวนพวกเรากับพ่อเล็กไปเดินซื้อของเข้าคอนโดด้วยเหมือนกัน” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากท่ากดล็อค แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนในที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้

“มึงตัดสินใจแน่นอนแล้วเหรอ” ไอ้เมฆถามขณะที่ดันตัวเองขึ้นและอยู่ในท่ากำลังนอนคร่อมผมอยู่ ผมจึงฉวยโอกาสนั้นรีบพลิกตัว แล้วจับมันกดล็อคบ้างเช่นกัน

“อืมม อย่างน้อยๆกูก็อยากพามึงไปเห็นมันก่อนน่ะนะ แต่กูยังไม่ได้คิดอะไรมากหรอก ก็แค่จะเริ่มลงมือทำอะไรกับมันบ้างแล้วเท่านั้นเอง” เมื่อผมพูดจบ ไอ้เมฆก็หัวเราะออกมาเบาๆ “หัวเราะอะไรวะ”

ไอ้เมฆใช้ขาถีบขาของผมที่กำลังคร่อมมันอยู่ให้ลื่นหลุดออก ทำให้ผมเสียการทรงตัว และมือที่ล็อคมันเอาไว้ก็เลยพลอยคลายออกไปด้วย จากนั้นมันจึงใช้แขนทั้งสองข้างที่ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้วมาล็อคคอของผมเอาไว้ แล้วก็ใช้ขาตวัดขึ้นมาคร่อมรัดผมเอาไว้ด้วย

“กูหัวเราะไอ้นี่ไง” ไอ้เมฆพูดเบาๆ

“กู.... ยอมม.... แพ้แหล่วว.........” ผมพูดออกมาอย่างยากลำบาก แต่ไอ้เมฆก็ยังไม่ยอมปล่อยอยู่ดี มันแค่คลายล็อคออกให้ผมหายใจได้คล่องขึ้นเท่านั้น “........จริงๆ”

“ดีมาก เพราะกูก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน” ไอ้เมฆคลายแขนออก

ผมที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระจึงรีบกลิ้งตัวลงมานอนแผ่อยู่ข้างๆมัน แล้วสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ๆทันที ไอ้เมฆชันตัวขึ้นนั่งแล้วเอามือมาลูบหัวผมเบาๆก่อนที่จะลุกขึ้นยืน และยื่นมือมาให้ผมจับเพื่อช่วยดึงผมขึ้นด้วย

“ซันว่าไงก็ว่าตามกันครับ เมฆยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ไอ้ตัวดีของผมยิ้มให้ และเมื่อเห็นรอยยิ้มและแววตาของมันแล้ว ผมก็รู้สึกอยากจะโผเข้าไปกอดแล้วก็หอมแก้มมันซะตรงนี้เลยจริงๆ

แต่สุดท้ายเราทั้งสองคนก็ตองแยกจากันเมื่อไคล์เดินเข้ามาหาพวกเราแล้วจูงแขนของเราสองคนเดินกลับไปหาไอ้เอ็นที่นั่งรออยู่ตรงริมห้อง

“ปล่อยให้กอดให้ฟัดกันสักแป๊บนึงไม่ได้เลยจริงๆ สองคนนี้นี่” ไคล์พูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ “รู้มั๊ยว่าคนเค้ามองกันเต็มไปหมดแล้ว ถ้ารออีกแค่แป๊บเดียวป่านนี้ซันโผเข้าไปหอมแก้มศิลาแล้วมั๊ง ผมว่า”

เราสองคนหัวเราะเบาๆ แต่ไอ้เอ็นกลับไม่หัวเราะไปด้วย ผมรู้สึกว่าผมเห็นว่ามันกำลังหน้าแดงอยู่ด้วยซ้ำไป

“เป็นอะไรวะไอ้เอ็น มึงเขินแทนกูสองคนงั้นเหรอ” ผมพูด

“เปล่าๆ ไอ้เหี้ย กูก็แค่........ ไม่ชินมั๊ง..........” ไอ้เอ็นตอบ หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“แล้วไหนมึงว่ามึงคุ้นภาพกะพวกนักเรียนนายร้อยที่มันสนิทๆกันดีไง กูไม่เชื่อนะว่ามึงจะไม่เคยเห็นภาพผู้ชายสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันแบบเมื่อกี๊น่ะ”

“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น........” ไอ้เอ็นหน้าแดงมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก จนผมเองก็ชักจะมั่นใจแล้วว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่แน่ๆ “เรื่องนั้นช่างมันเหอะ ว่าแต่พวกมึงเสร็จกันรึยัง กูดูไอ้เมฆมันเหนื่อยมากแล้วนะเนี่ย”

“ก็กูเล่นทั้งสองอย่างมาตั้งเกือบสองชั่วโมงแล้วนี่หว่า แต่ที่สำคัญกูว่าไคล์คงหิวแล้วด้วยมั๊งเนี่ย” ไอ้เมฆตอบ

“งั้นเรากลับกันเลยก็ได้มั๊ง กูนั่งรถไอ้เอ็นมันมาน่ะเมฆ เดี๋ยวมึงขับรถตามพวกกูไปก็แล้วกันนะ”

“ว่าแต่นี่มึงมาเพื่อถูกทุ่มแค่สิบนาทีแล้วมึงก็จะกลับแล้วเหรอวะ ไอ้ซัน” ไอ้เอ็นถาม

“หรือมึงอยากให้กูถูกมันทุ่มสักยี่สิบนาทีล่ะ ไอ้เชี่ยนี่ แค่นี้กูก็จะแย่แล้ว”

เมื่อผมกับไอ้เมฆเปลี่ยนชุดเสร็จ เราสี่คนก็เดินออกจากยิมไปโดยมีไอ้เมฆกับไคล์เดินนำหน้า และผมกับไอ้เอ็นก็เดินคู่กันตามหลังสองคนนั้นไปติดๆ ผมจึงได้โอกาสลากมันให้เดินช้าลงหน่อยแล้วคุยกับมันแบบไม่ให้ไอ้เมฆได้ยิน

“ที่กูบอกมึงไปว่าไอ้เมฆมันดูแลตัวเองได้น่ะ มึงพอจะเข้าใจรึยังล่ะ” ผมพูด

“อืมม กูเข้าใจแล้ว และกูก็เลยยิ่งเป็นห่วงมึงเข้าไปใหญ่เลยน่ะสิวะ คราวนี้น่ะ” ไอ้เอ็นหัวเราะ

“ไอ้ห่า ก็ถ้าคนที่จับคู่กับกูไม่ใช่ไอ้เมฆ กูก็คงไม่เหี้ยถึงขนาดนี้หรอกน่า แถมกูก็ไม่ได้ถนัดเท่าไหร่อยู่แล้ว ไอ้ยูโดอะไรเนี่ย” ผมแกล้งตบก้นมันเบาๆ ทำเอาไอ้เอ็นสะดุ้ง “หืมมม มีปฏิกิริยาตอบกลับรุนแรงผิดปกติไปหน่อยนะเนี่ย แค่ตีตูดเบาๆทำไมต้องสะดุ้งขนาดนั้นด้วยวะ” ผมหัวเราะ

“เล่นเหี้ยอะไรบ้าๆ ไอ้ซัน” ไอ้เอ็นผลักไหล่ผมเบาๆ “ทะลึ่งแล้วนะมึง จะทำอะไรแบบนี้ก็ไปทำกับไอ้เมฆนู่น”

“หือ กูทำไมนะ” ไอ้เมฆหันกลับมาหาพวกเราสองคน

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร มันก็แค่บอกว่าถ้าซันอยากจับตูดมัน ก็ให้ไปจับตูดเมฆแทนน่ะ”

“เฮ้ย!!” ไอ้เอ็นร้อง

“แล้วซันไปจับตูดมันทำไม มานี่เลยครับมานี่เลย ไอ้แสบ” ไอ้เมฆหัวเราะพร้อมกับหยุดเดินรอให้ผมเดินเข้าไปหา

“นิดๆหน่อยๆเองอ่ะ ไม่เห็นจะสึกหรอ” ผมเดินไปโอบเอวไอ้เมฆไว้

“มันสึกหรอที่ความรู้สึกว้อย ไอ้เหี้ยซัน” ไอ้เอ็นโวย “แม่ง เล่นห่าอะไรไม่รู้เรื่อง” หลังจากนั้นมันก็ยังทำบ่นอุบอิบๆแก้เขินไปตลอดทางจนกระทั่งเราแยกกันขึ้นรถแล้ว ผมจึงเริ่มต้นแหย่มันต่อ

“ทำไมมึงไม่มีแฟนวะ ไอ้เอ็น” ผมถาม หลังจากที่มันเริ่มออกรถได้ไม่นาน

“ทำไมวะ กูก็เคยบอกไปแล้วไงว่ามันไม่มีเวลา ไม่อยากมีด้วย” ไอ้เอ็นตอบ แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำตอบแบบป้องกันตัวหน่อยๆ

“บอกกูมาตามตรงดีกว่า ว่าไอ้ที่มึงบอกว่ามึงคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันของผู้ชายสองคนน่ะ มันเป็นยังไงกันแน่วะ........ ไม่สิ กูขอถามเป็นว่า ‘มึง’ เคยสนิทสนมกับผู้ชายมากถึงในระดับไหนดีกว่า”

“มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง” ไอ้เอ็นพูด และก็หน้าแดงอีกแล้ว “ไร้สาระน่าไอ้ซัน เปลี่ยนเรื่องคุยได้แล้ว มึงนี่มันจะออกนอกเส้นทางไปเยอะแล้วนะ”

“ไม่เอาน่า ไอ้เอ็น ถึงกูจะเพิ่งได้คุยกับมึงเป็นครั้งแรก...... ในรอบกี่ปีวะ หกปีใช่มั๊ย แต่กูก็บอกมึงเรื่องของกูทุกอย่างนะเว้ย ไม่ใช่เพราะกูจะขอความช่วยเหลือจากมึง แต่มันเป็นเพราะกูไว้ใจมึงต่างหาก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ไอ้เอ็นเองก็เงียบไปเลยเช่นกัน “และถ้าเราจะต้องพูดคุยและร่วมมือกันอีกบ่อยๆน่ะ เราก็ควรจะไว้ใจกันได้สิวะ จริงมั๊ย”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้เอ็นก็เงียบลงไปอีกครั้ง ผมเองก็ไม่ได้คิดจะเร่งเร้าอะไรมันอีก ก็เลยปล่อยให้เรื่องมันจบลงตรงนั้นไป แต่เมื่อเราต่างคนต่างเงียบไปได้ราวๆห้านาที มันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นเสียเอง

“เมื่อตอนกูเข้าไปเรียนเตรียมฯใหม่ๆน่ะ กูมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง มันมาจากเชียงใหม่ และเราก็เข้ากันได้ดีมาก กลายเป็นคู่หูกันไปเลย ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไม่ว่าจะกิน นอน เรียน เล่น เที่ยว อะไรก็แล้วแต่ เรามักทำด้วยกันเสมอๆ กูยังเคยไปบ้านมันที่เชียงใหม่เลยด้วยซ้ำ แต่พอเวลาผ่านไปสองปี วันนั้นกูก็นอนอยู่กับมัน มันร้องไห้เสียใจเพราะว่าแฟนมันขอเลิก กูก็ปลอบๆมันไป มันก็พร่ำเพ้อใหญ่เลย ว่ามันรักเค้าอย่างนั้น เคยคบกันดีอย่างนี้ แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะระยะทางและเวลาที่ทำให้แฟนมันเปลี่ยนไป มันก็บ่นก็คร่ำครวญว่าทีมันมันยังรอและยังทนได้เลย แต่ทำไมฝ่ายนั้นถึงทำไม่ได้............” ไอ้เอ็นเล่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและน้ำเสียงที่ราบเรียบ “กูก็ปลอบมันไปเรื่อยๆนะ เพราะตอนนั้นมันแย่มากๆ แต่ว่านอกเหนือไปจากที่มันบ่นเรื่องแฟนมันแล้วนะ มันก็ยังบอกขอบคุณกู บอกรักกู บอกกูว่ากูเป็นเพื่อนที่มันรักมากแค่ไหน บอกว่ากูดีกับมันมากยังไง บอกว่ากูไม่เคยทิ้งมันเลยซ้ำแล้วซ้ำอีก และแล้ว พอกูรู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากของเรามันก็เขยิบเข้ามาใกล้กันมาก แล้วสุดท้าย..........”

ไอ้เอ็นเงียบลงอีกครั้ง ผมจึงต้องเป็นฝ่ายต่อประโยคให้จนจบ “มึงก็จูบกัน.........”

“ใช่ เราจูบกัน” ไอ้เอ็นพยักหน้า “ไม่ใช่แค่ ‘มันจูบกู’ หรือ ‘กูจูบมัน’ นะ มึงเข้าใจมั๊ย แต่เป็น เราต่างก็จูบกันว่ะ แต่มันก็เป็นจูบสั้นๆเท่านั้นเอง พอกูรู้สึกตัวกูก็รีบผละออกจากมัน มันองก็ตกใจ กูเองก็ช็อก แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นนะ มึงอาจจะคิดว่าพอเราจูบกันปุ๊บ อารมณ์มันก็เลยพาไปอะไรแบบนั้นใช่มั๊ยวะ คือโอเค กูก็เคยเห็นมันแก้ผ้าออกบ่อย ไม่สิ เราก็เคยเห็นกันและกันออกบ่อยไป ชักด้วยกันยังเคยทำมาแล้ว แต่ว่าตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ตกใจมากน่ะ เราสองคนไม่เคยแตะตัวกันและกันในแง่นั้นมาก่อนเลยนะเว้ย เราอาจจะเคยปล้ำกัน เล่นกัน แต่เราไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นเลยจริงๆ มันเหมือนเราก้าวข้ามเส้นนั้นไปแล้วว่ะ เส้นที่กูไม่รู้เลยว่าเคยมี....... ตอนนั้นกูไม่ได้เคยคิดอะไรแบบนั้นกับผู้ชายเลยจริงๆ แต่ว่ามัน..........”

“........แล้วไงต่อวะ อย่าบอกกูนะว่าพอหลังจากนั้นมึงก็ไม่คุยกันอีกเลยน่ะ”

“หึ ความเป็นจริงแม่งเหี้ยกว่านั้นอีก........” ไอ้เอ็นส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยแกมด้วยความขมขื่นอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ “กูกับมันก็ไม่ใช่ไม่คุยกันอีกเลย เพราะกูรักมันมากกว่าที่จะทำร้ายมันแบบนั้น มันเองก็รักกูมากกว่าที่จะยอมเสียกูไปเหมือนกัน ทำให้เราสองคนก็ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆนะ แต่ว่า จากไอ้ที่กูไม่เคยเห็นเส้นบางๆที่กั้นช่องว่างระหว่างเรามาก่อนน่ะ มันกลับกลายเป็นมีกำแพงอันใหญ่เกิดขึ้นตรงกลางระหว่างเราสองคนไปเลย เรายังคุยกัน ยิ้มให้กัน ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่นะ แต่มันไม่ใช่ว่ะซัน มึงเข้าใจมั๊ยว่ามันไม่ใช่ โดยเฉพาะที่หลังจากนั้นแล้วเราก็แทบไม่เคยอยู่กันตามลำพังสองคนอีกเลย เราจะต้องมีเพื่อนอยู่ด้วยตลอดเวลา และที่เหี้ยก็คือ ไม่ว่าตอนไหนถ้ามันอยากจะขอเวลาอยู่กับกูแค่สองคนนะ กูจะเลี่ยงมันตลอด กูไปฟันหญิงกับเพื่อน กูก็ไม่บอกมัน กูไปจีบใครไปมีใคร มันก็ไม่เคยรู้เรื่องของกูอีกเลย กูเป็นฝ่ายเริ่มทิ้งระยะห่างออกมาเอง........ จนเวลาผ่านไป และถึงวันที่เราได้กลับบ้าน ครั้งนี้มันก็ชวนกูไปเชียงใหม่อีกเหมือนกัน แต่แน่นอน ว่ากูไม่ไป”

“แล้วยังไงต่อ” ผมถาม นึกกลัวคำตอบอยู่ในใจ และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ผมเริ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องราวของพีกับบาดแผลในอดีตของมันแล้วด้วยเหมือนกัน

“หลังจากนั้นพอเปิดเทอม มันก็ไม่ได้กลับมาเรียนอีกเลย..........”

“ทำไมวะ” ผมถามออกไปทั้งๆที่หัวใจเริ่มจะหวั่นไหว

“มันโดนนักเลงรุมกระทืบตายน่ะ มันไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วเมา จนไปมีเรื่องกับพวกอันธพาลและโดนไม้หน้าสามกระหน่ำเข้าจนปางตาย มันต้องนอนโคม่าอยู่สามวัน พอออกจากโคม่าได้ก็กลับต้องมาทรมานอยู่อีกกว่าหนึ่งอาทิตย์ ก่อนที่จะจากไปทั้งๆที่กูยัง..... ยัง..........”

“ยังไม่ได้บอกมันออกไปเลย ว่ามึงรักมันมากแค่ไหน.......... ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็ตาม” ผมพูดต่อ

ไอ้เอ็นพยักหน้า พร้อมกับน้ำใสๆที่หยดลงมาจากหางตาช้าๆ “แต่ที่แย่กว่านั้นนะ กูน่าจะรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่ากูชอบมัน....... ว่ากูรักมันมากเหมือนกัน ไม่ใช่มารู้เอาในวันที่กูเสียมันไปแล้วแบบนี้ กูมัวแต่คิดว่ากูเป็นผู้ชาย กูไม่ใช่เกย์ และกูไม่........” น้ำเสียงของไอ้เอ็นเริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างไปจากมือที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่ของมัน “และที่เหี้ยที่สุดนะ กูเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าจริงๆแล้วในคืนนั้นกูเองก็ต้องการมันแค่ไหน ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าตลอดเวลาที่กูอยู่กับมันมา ก็ไม่ใช่ว่ากูไม่เคยรู้สึกถึงมันเลยด้วยซ้ำ แต่กูแม่งมัวแต่โกหกตัวเอง มัวแต่ปิดกั้นตัวเอง จนสุดท้ายมันก็จากกูไป......... กูสับสนว่ะซัน กูบอกตามตรงว่ากูสับสนมาก”

“เอ็น...... มึงจอดรถเถอะ เดี๋ยวกูขับให้เอง” ผมบอก และไอ้เอ็นก็ทำตาม เราสองคนจอดรถข้างทาง และรีบวิ่งสลับที่กัน ผมย้ายมานั่งอยู่ทางด้านหลังพวงมาลัยแทน ส่วนไอ้เอ็นก็นั่งอยู่ข้างๆผมและเงียบลงไปอีกครั้ง

“ขอบใจมาก ซัน” ไอ้เอ็นพูดขึ้น

ผมพยักหน้า “มึงอยากจะเล่าต่อมั๊ย”

“กูไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะเว้ย เรื่องนี้น่ะ ไม่เคยมีใครรู้เลย กูเก็บมันไว้กับตัวมานานมาก กูร้องไห้แค่ครั้งเดียวเมื่อตอนที่กูรู้ข่าวว่ามันจากกูไปแล้วเท่านั้นเอง และหลังจากนั้นกูก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมาอีกเลย.........”

“มึงไม่ได้ร้องไห้หรอก ไอ้เอ็น มึงก็แค่หลั่งน้ำตาให้กับความทรงจำดีๆที่มึงกับเขาคนนั้นเคยมีให้กันเท่านั้นเอง แต่มึงไม่ได้ร้องไห้ให้กับการจากไปของเค้า จำไว้ น้ำตาของมึงมันก็คือสิ่งเตือนใจว่ามึงจะไม่มีวันลืมเค้าและช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นไปจากใจของมึงเด็ดขาด มันก็เท่านั้นเอง”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้เอ็นก็เอนหัวไปพิงกับเบาะรถพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดหน้าและสะอื้นเบาๆ ผมเหลือมองมันด้วยหางตาก็เห็นน้ำตาของมันกำลังไหลออกมาจากช่องวางของฝ่ามือไล่ลงมาตามใบหน้าของมันช้าๆ

“กูน่ะ ไม่เคยลืมมันได้เลย กูไม่เคยยกโทษให้ตัวเองเลยที่กูไม่เคยถามใจตัวเองให้ดีกว่านั้น ที่กูผลักไสมันออกไปจากชีวิตของกู และสุดท้ายกูก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังให้กับคนที่เค้าจากไปแล้ว”

“และมึงก็เลยลงโทษตัวเองด้วยการไม่เปิดใจให้ใครอีกเลยน่ะเหรอ”

“กูไม่รู้...... กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูก็เคยคบคนนั้นคนนี้นะบ้างนะ เอ่ออ ผู้หญิงน่ะนะ แต่ก็ไม่รู้สิ........” ไอ้เอ็นส่ายหน้า “มันเหมือนกับกูไม่กล้าที่จะรักใครแล้วมั๊ง ไม่สิ กูไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะรักใครได้อีกเลยด้วยซ้ำ มันเหมือนว่าความผูกพันของกูกับนนท์มันฝังรากลึกลงไปแล้วว่ะ และที่สำคัญ กูไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ากูเป็นอะไร หรือว่ากูชอบแบบไหน............”

“สักวันนึงมึงจะรู้ ไอ้เอ็น กูจะบอกให้นะ ทั้งกู เมฆ และไคล์ ต่างก็ไม่ได้เป็นเกย์มาตั้งแต่จำความได้หรอกนะ แต่ว่าพวกเราทุกคนล้วนรู้สึกถึงความรักและความผูกพันให้กับคนๆนึง และก็บังเอิญที่ว่าคนๆนั้นก็เป็นผู้ชายเหมือนกันมันก็เท่านั้น มึงจะเป็นอะไรยังไง มึงก็คือมึง ความรักก็คือความรัก และมันก็ไม่มีวันหดหายไปจากใจของมึงหรอก ที่ผ่านมามึงก็แค่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมือไปแตะต้องมันอีกครั้งเท่านั้นเอง”

ไอ้เอ็นเงียบไปพักหนึ่ง “เมื่อตอนพี่กูแต่งงานน่ะ กูเจ็บแปล๊บเลยนะเว้ย กูน่ะดีใจกับพี่กูนะ แต่อีกใจกูก็......... ไม่รู้ว่ะ มันเหมือน ‘ทำไมกูไม่มีอย่างนั้นบ้าง’ มั๊ง แต่ไม่ใช่ความหมายของที่ว่า ‘ทำไมกูไม่มีแฟน’ อะไรแบบนั้นหรอกนะ มึงพอนึกออกมั๊ยวะ”

“กูคิดว่ากูเข้าใจนะ” ผมพยักหน้า

“แต่พอกูเห็นมึงกับไอ้เมฆแล้ว........ มันบอกไม่ถูกว่ะ” ไอ้เอ็นหันมายิ้มให้กับผม “กูคงรู้สึกดีมั๊งที่ได้เห็นพวกมึงแบบนี้น่ะ และมึงก็เป็นคนแรกเลยด้วยที่กูพูดเรื่องนี้ด้วยน่ะ”

“พูดออกมาเหอะ ทั้งกูทั้งไอ้เมฆยินดีรับฟังมึงเสมออยู่แล้ว การที่มึงเก็บไว้กับตัวเองมากๆนานๆเข้า มันก็จะกัดกินมึงได้นะ”

“ก็อาจจะเป็นไปได้.......... แต่บอกตามตรงนะซัน พอกูเห็นพวกมึงสองคน และพอได้รู้เรื่องราวที่ผ่านมาของพวกมึงแล้วเนี่ย..........” ไอ้เอ็นยิ้ม “มันเหมือนกูมีความหวังอีกครั้งยังไงไม่รู้ว่ะ กูเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ต่างจากที่กูเห็นพี่กูกับแฟนเค้าเยอะเลยว่ะ”

“หึหึ กูจะบอกอะไรให้เหมือนกันนะ เอ็น มึงยังไม่รู้เรื่องของกูกับไอ้เมฆ หรือแม้แต่เรื่องของไคล์กับพวกกูอีกเยอะ” ผมหัวเราะเบาๆ “และพวกกูก็ยินดีที่จะเล่าให้มึงฟังทั้งหมดเลยด้วย ถ้าเผื่อมันจะช่วยให้มึงรู้สึกดีขึ้นได้นะ เพราะกูเชื่ออยู่อย่างนึง.......... กูเชื่อว่า คนเราทุกคนน่ะ มีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ เอ็น ไม่ว่าสิ่งๆนั้นจะเป็นอะไร หรือ คืออะไรก็ตาม”


^^sky^^

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาให้กำลังใจคับ
ขอบคุณที่ตามอ่านไอ่ป๊อบ กับ ไอ่ร๊อคทุกตอนเลย

ผมบอกตามตรงว่ายังไม่มีเวลาอ่านของนายเลยอ่ะ  แต่สัญญาน่ะด้วยเกียรติของลูกเสือวิสามัญเลย
จะอ่านแน่นอน  เมื่อทุกอย่างในชีวิตช่วงนี้มันโอเค
ขอบคุณน่ะคับ
สู้ๆๆ  แล้วจะตามอ่านให้ทัน

 :m1: :m1:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :เฮ้อ: ใครเล่าจะจักย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้  :เฮ้อ:
ปล. หายไวไวนะ  :a1: :a1:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เจ็บจนเหมือนหนังหัวใจจะฉีก!!!!



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ต้นเป็นไรมากป่าว ไปหาหมอเถอะ  :m13:

artkung

  • บุคคลทั่วไป
ความหลังของเอ็น ???

น่าสนใจแฮะ ตามลุ้นต่อ อิอิ

 :m23:  :m23:  :m23:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ต้นเป็นไรมากป่าว ไปหาหมอเถอะ  :m13:

เมื่อคืนอุตส่าห์หายแล้ว แต่จู่ๆมันก็กระตุกขึ้นมาอ่ะครับ
เหมือนหนังหัวใจจะฉีกเลย เจ็บมากกกกกกกกก!!!!
T___T

และสุดท้ายก็สะอึกอีก อ้วกอีก ทรมานอีก
เมื่อเช้าตีห้าก็อีก ชม นึง อ้วกอีก อ้วกทั้งๆไม่มีอะไรในกระเพาะนั่นแหละ
ตอนนี้เลยแย่หน่อย เจ็บหน้าอกมากกก แถมไม่กล้าพูดไม่กล้ากลืนน้ำลายหรือกระแอมเลย
กลัว T___T


ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
เรื่องที่เจอน่าสงสารจัง คงอึดอัดน่าดู
ยิ่งอยู่ในสังคมนายร้อยแบบนั้น  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
เย้ยยย
พี่ชายเป็นอะไรอ่ะ

ปล.โทหาผมม่ะด้าย ก้อไว้คุยกันผ่าน pm ก้อได้นะ  :o12:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด