]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 163981 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
 :a5: :a5: :a5:

พี่ชาย อย่ามาหื่นใส่พี่เมฆป๋มนะ

ป๋มม่ะยอมนะเนี่ย

 :serius2: :serius2: :serius2:

นิลวัฒน์

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 14


ถึงพี่บอลจะไม่ได้แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด แต่แค่ผมมองเห็นเขาแวบแรกผมก็รู้แล้วว่าพี่เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงแน่นอน และเท่าที่คุยๆกัน พี่เขาก็ดูเป็นกันเองดีในระดับหนึ่งด้วย และนอกจากนั้นถึงแม้พี่แอมป์จะยังพูดย้ำเตือนเราสองคนอีกหลายต่อหลายหนว่ามันเป็นงานศิลปะ และรูปพวกนั้นจะไม่มีทางหลุดออกไปข้างนอกเด็ดขาด พี่แอมป์บอกว่าพี่เขาต้องการแค่ด้านข้างหรือด้านหลัง ไม่ได้ต้องการด้านหน้าที่เห็นเจ้าซันน้อยของผมเต็มๆ แต่ความคิดของการต้องมาเปลือยกายถ่ายรูปต่อหน้าคนที่ผมไม่ได้รู้จักดีก็ทำให้ผมตกใจไปเลยเหมือนกัน

“จริงๆพี่ก็อยากได้รูปของเมฆด้วยนะคะ อยากได้ของทั้งสองคนเลย เพราะอย่างที่พี่บอกไงว่ารูปร่างของทั้งสองคนดีมากๆ แถมยังคล้ายกันมากด้วย พี่ก็เลยอยากจะเก็บภาพพวกนั้นเอาไว้” พี่แอมป์อธิบายต่อ

“เฮ้ยพี่ คือแบบว่ามันจะดีเหรอครับ” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นนิดๆ “ไอ้อายน่ะ ผมไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่า....... ถ่ายรูปครั้งแรกก็จะเล่นแบบนี้เลยเหรอครับ”

“ถ้าซันกับเมฆไม่อยากก็ไม่เป็นไรค่ะ พี่เข้าใจ มันก็เกินไปจริงๆพี่เองก็รู้ แต่ว่าพี่ก็แค่แอบหวังไว้นิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“ใส่กางเกงในจะเป็นอะไรมั๊ยครับ ถ้าแค่นั้นจะพอไหวมั๊ยล่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้น ทำเอาผมหันไปหามันแทบจะทันทีที่มันพูดจบทีเดียว และเมื่อมันเห็นสายตาของผม มันก็ยักไหล่เบาๆ “ก็นะ ก็ไม่เห็นจะเสียหายมั๊ง มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามึงไม่อายน่ะ”

“มันก็ใช่ แล้วมึงล่ะเมฆ ไม่อายรึไง”

แม้แต่พี่แอมป์เองก็ยังดูแปลกใจกับคำพูดของไอ้เมฆด้วยเลยเหมือนกัน เพราะพี่เขาก็คงคาดหวังไว้ว่าเมฆน่าจะเป็นคนที่ขี้อาย และรับเรื่องนี้ไม่ได้มากกว่าผมแน่ๆ

“ก็คงไม่ต่างกับใส่กางเกงว่ายน้ำหรอกใช่มั๊ยละ หรือแม้แต่ตอนเข้ายิมหรือตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าแก้ผ้าต่อหน้าฝรั่งมาแล้วตั้งหลายคนหลายหน เรายังทำกันมาแล้วเลย”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็ใช่......... สำหรับกูนะ แต่กูไม่คิดว่ามึงจะโอเคด้วยนี่หว่า” ผมพูดด้วยความรู้สึกอึ้งๆ “คือโอเค มึงอาจจะไม่อายตัวมึงเอง แต่แบบว่า มึงแน่ใจว่าจะโอเคเหรอวะ ถ้าคนอื่นจะเห็น........ เอ่ออ กูแบบนั้นน่ะ”

“คนอื่นที่ไหน ก็มีกันอยู่แค่นี้ แถมกูคิดว่าถ้าเราปฏิเสธมันก็เท่ากับเราไม่เชื่อใจพี่แอมป์น่ะสิ” ไอ้เมฆหันกลับไปมองหน้าพี่แอมป์พร้อมรอยยิ้มแสนเสน่ห์ของมันอีกครั้ง แต่ผมรู้ดีว่าคำพูดนี้ของมันไม่ใช่เพียงคำพูดที่ทำให้พี่แอมป์ฟังแล้วรู้สึกดีและสบายใจในตัวเองเท่านั้น แต่มันยังแฝงไปด้วยความต้องการจะตอกย้ำและกดดันพี่แอมป์อีกด้วย เพียงแต่ว่าพี่แอมป์จะเข้าใจนัยแฝงที่ไอ้เมฆจงใจซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มของมันนั่นหรือไม่เท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าพี่เขาจะเข้าใจความหมายของมันได้โดยตรงหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้พี่เขาก็คงต้องรู้สึกถึงความรับผิดชอบและภาระที่พี่เขาต้องรับและดูแลไปแล้วโดยปริยายอย่างแน่นอน

“ขอบคุณค่ะเมฆที่เชื่อใจพี่ แต่ว่าถึงยังไงถ้ามันลำบากใจก็ไม่จำเป็นต้องทำจริงๆนะ พี่ไม่อยากบังคับทั้งสองคนหรอก”

“ไม่เป็นไรครับพี่ ถ้าไอ้เมฆโอเค ผมก็โอเค แต่บอกตามตรง ผมก็แค่ไม่ค่อยรู้สึก คือ....... ไม่รู้สิครับ แบบว่า กับพี่บอลเพื่อนพี่น่ะ”

“พี่เข้าใจค่ะ เรื่องไอ้บอลน่ะ” พี่แอมป์หัวเราะเบาๆ “คือถ้าเป็นเรื่องรูป มันจะอยู่เฉพาะในบ้านพี่เท่านั้น ซันกับเมฆไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะให้บอลมันกลับไปแค่ตัวกับความทรงจำเท่านั้นพอ อย่างอื่นไม่มี ไม่มีเด็ดขาดเลย แถมบอลมันก็เชื่อใจได้ด้วย พี่เชื่อใจมันนะ ไม่งั้นพี่ก็ไม่เรียกใช้มันหรอก” พี่แอมป์พูดอย่างหนักแน่น “เอ้อ จริงสิ ของขวัญวันเกิดของเมฆ ที่พี่บอกไว้ว่าติดเอาไว้ก่อน มันอาจจะไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย แต่ก็หวังว่าเมฆน่าจะชอบนะคะ”

เมื่อพูดจบพี่แอมป์ก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นกรอบรูปที่วางนอนอยู่บนเคาน์เตอร์ใกล้ๆชั้นวางทีวีมายื่นให้กับเมฆ และประกฎว่ามันก็คือนาฬิกากรอบรูปที่เต็มไปด้วยรูปของไอ้เมฆกับผมตอนที่อยู่ที่ทะเลด้วยกันนั่นเอง โดยบางรูปเป็นรูปที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ถึงยังไงรูปที่เด่นที่สุดก็ยังคงเป็นรูปที่ผมนอนตักไอ้เมฆอยู่ดีนั่นเอง

หลังจากการเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าบางๆของเราทั้งสี่คนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาร์มที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องของตัวเองได้ครู่ใหญ่ๆก็พาพีกับไคล์ออกไปข้างนอก ผมคิดว่าคงจะพาทั้งสองคนไปเดินเล่นและอาจจะถ่ายรูปเล่นไปด้วยพร้อมๆกัน

“เอาล่ะ เมฆไปนอนลงบนเตียงในห้องพี่เลย ส่วนซันไปกับบอลเลยนะคะ” พี่แอมป์พูดขึ้น

“ห้องพี่เลยเหรอครับ” ไอ้เมฆถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “มันจะดีเหรอครับพี่ ผมเกรงใจนะเนี่ย”

“ไม่ต้องเลยค่ะ พี่จัดห้องเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกังวลเลย คนกันเอง แถมถ้าเป็นเมฆกับซันนี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และที่สำคัญ ไอ้อาร์มมันยังชอบมานอนเล่นห้องพี่ออกบ่อยไป ตอนแรกพี่ก็กะจะใช้ห้องนอนแขกเหมือนกัน แต่พี่ว่ามันเรียบไปหน่อย ห้องพี่น่าจะดีที่สุด เอาล่ะ ไปกันเถอะค่ะ ถ้าเสร็จเร็วจะได้กินข้าวเที่ยงกัน เดี๋ยวจะหิวกันซะก่อนนะ”

เมฆหันมามองหน้าผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินตามพี่แอมป์เข้าไปในห้องนอนใหญ่

“งั้นซันก็ถอดเสื้อผ้าเลยก็แล้วกันครับ” พี่บอลหันมาบอกผม

“ตรงนี้เลยเหรอครับพี่” ผมถามกลับ เพราะที่ๆเรานั่งอยู่นี้มันเป็นห้องนั่งเล่น แถมยังไม่ใช่ห้องนั่งเล่นในบ้านของผมเองอีกด้วย และถึงแม้พี่บอลจะไม่ได้เป็นเกย์ออกสาวหรือแสดงออกอะไรเลย แต่ว่าผมก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่อยู่ดี “ผมว่าไปในห้องน้ำดีกว่ามั๊งครับ หรือไม่ก็ผมถอดเสร็จแล้วค่อยเรียกพี่มาอีกทีไม่ได้เหรอ”

“เออจริงด้วย เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ งั้นซันไปถอดในห้องน้ำก็ได้ เหลือกางเกงในไว้ตัวเดียว แล้วเอาผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำนั่นแหละมาพันเอาไว้ แอมป์มันคงเตรียมเอาไว้แล้ว พอเสร็จแล้วก็ค่อยเรียกพี่ก็แล้วกัน”

ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าที่ใส่มาทั้งหมดออกเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว และเมื่อผมพันผ้าขนหนูรอบเอวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับถือเสื้อผ้าที่เพิ่งใส่มาไว้อยู่ในมือ

“เรียบร้อยแล้วครับพี่ เสื้อนี่จะให้ผมทำไง”

พี่บอลหันมามองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกแทบจะในทันที “เอ่อ เออๆ วางไว้บนโซฟาก็ได้มั๊ง แต่อย่าพับนะ เดี๋ยวมันจะยับซะเปล่าๆ พาดๆไว้แถวนี้แหละ”

ผมทำตามที่พี่เขาบอก จากนั้นพี่บอลก็พาผมเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ซึ่งห้องน้ำห้องนี้มีขนาดค่อนข้างกว้างพอสมควรเลยทีเดียว ทำให้ผู้ชายสองคนสามารถยืนกันอยู่ได้แบบไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นทั้งแสงไฟสีส้มและการตบแต่งก็ยังดูดีมากอีกด้วย ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่แอมป์ถึงได้เลือกใช้คอนโดของตัวเองเป็นที่ๆใช้ถ่ายรูปของพวกเราในวันนี้

“พี่อยากได้รูปตอนซันตัวแห้งๆก่อนนะ จากนั้นค่อยตัวเปียก แล้วเดี๋ยวเราก็ลองดูกันหลายๆอิริยาบถก็แล้วกัน เริ่มที่อ่างล้างหน้านี่ก่อนเลย ส่องกระจกเลยซัน ทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นนอนให้พี่หน่อย และปกติอยู่บ้านทำอะไรก็ทำไปเลย ไม่ต้องสนใจพี่ เดี๋ยวพี่จะคอยเบรกหรือกำกับให้เองถ้าจำเป็น”

ผมยืนนิ่งงงๆทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกพร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์จากทางด้านข้าง ผมจึงค้างท่าเอาไว้นิดหน่อย จากนั้นก็เริ่มต้นล้างหน้าช้าๆ หยิบแปรงสีฟันพร้อมกับยาสีฟันขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่พี่บอลบอกให้ค้างท่านั้นเอาไว้ ผมเริ่มเข้าใจอะไรๆมากขึ้นว่า ผมก็คงต้องทำอย่างที่อยากจะทำไปตามธรรมชาติก็เท่านั้น แต่เพียงแค่พยายามทำช้าๆและค้างท่าเอาไว้บ้าง เพราะพี่บอลจะไม่ค่อยบอกให้ผมทำท่านั้นท่านี้มากนัก เขาแค่อยากได้แบบธรรมชาติๆจริงๆอย่างที่พี่แอมป์เคยพูดเอาไว้

“ยกแขนขึ้นนิดนึงครับ น่านแหละ ก้มหน้าหน่อย เอียงไปทางซ้ายนิดนึง คราวนี้มองกล้องผ่านทางกระจกหน่อย........” พี่บอลคอยพูดประโยคเหล่านี้อยู่ตลอดเวลากว่าสิบห้านาทีที่หน้ากระจกของผม

“ผมคงไม่ต้องแปรงฟันจริงๆใช่มั๊ยพี่” ผมหันไปถามพี่เขา

“ไม่ต้องหรอก พี่ขอภาพแบบเต็มตัวอีกนิดหน่อยก็แล้วกัน” พี่บอลพูดพร้อมกับถอยหลังออกไปและหามุมกดชัตเตอร์อีกสามสี่ครั้ง “เอาล่ะ ต่อไปก็อาบน้ำ......... จะไหวมั๊ยเนี่ย”

“พี่อย่าลืมกดชัตเตอร์ก็แล้วกัน” ผมปลดผ้าขนหนูที่พันรอบเอวอยู่ จากนั้นก็แขวนมันไว้บนราวแขวนผ้า และเมื่อผมเห็นสีหน้าของพี่บอลแล้วผมก็อดยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อยไม่ได้จริงๆ พี่เขาดูเหมือนจะหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งไปเลย และราวๆสามวินาทีถัดมาพี่เขาจึงจะตั้งสติได้และหันกลับมามองผมผ่านเลนส์กล้องอีกครั้ง

“ค้างก่อนซัน ค้างไว้ก่อน พี่ขอตอนถอดผ้าเช็ดตัวออกมาอีกครั้งนึง เอาตอนแขวนผ้าด้วยนะ”

ผมทำตามที่พี่บอลบอกทุกอย่าง จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยืนข้างใต้ฝักบัว พร้อมกับเปิดน้ำอุ่นให้ไหลผ่านตัวไปอย่างช้าๆ และเมื่อผมเห็นว่าพี่เขาเริ่มจะชินกับภาพตรงหน้าแล้ว ผมก็ตัดสินใจหันหลังให้พี่เขา พร้อมกับดึงกางเกงในปราการด่านสุดท้ายของตัวเองออกและโยนมันลงไปกองลงตรงหน้าของพี่เขา

“ผมบอกให้พี่อย่าลืมกดชัตเตอร์ไงครับ” ผมเตือนพี่บอลเมื่อเห็นว่าพี่เขายืนถือกล้องค้างอยู่ในมือเฉยๆ และสายตาก็จับอยู่ที่เจ้าซันน้อยของผม “จะให้ผมทำไงก็บอกก็แล้วกัน แต่พี่แอมป์บอกแล้วนะว่าจะไม่มีรูปน้องชายผมหลุดออกไปน่ะ ถ้าจะเอาเต็มตัวก็แค่หันหลังกับด้านข้างแบบไม่เห็นตรงนั้นนะครับ ถ้าจะถ่ายด้านหน้าก็ห้ามต่ำกว่านั้นเด็ดขาด” ผมย้ำ

“ได้ๆ” พี่บอลพยักหน้าดึงสติของตัวเองกลับมาพร้อมกับกำกับให้ผมหันซ้ายหันขวา เอียงคอ หันหลัง หลายท่ามากๆจนผมเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา จึงขอพี่บอลว่าพอได้แล้วล่ะ ก่อนที่ผมจะกลายเป็นลูกพรุนเปื่อยๆไปซะก่อน พี่บอลยื่นผ้าเช็ดตัวคืนมาให้แก่ผม และก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปผมตอนกำลังเช็ดตัวด้วย “เสร็จแล้วพี่ไปดูแอมป์กับเมฆก่อนนะ ซันรออยู่ในนี้ก่อนก็แล้วกัน”

ผมเช็ดตัวและหัวจนแห้งแล้วก็ยืนรอพี่บอลอยู่ราวๆสองสามนาที ก่อนที่พี่เขาจะเดินกลับเข้ามาในห้อง และบอกให้ผมเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพันรอบคอและเดินไปในห้องนอนใหญ่ที่พี่แอมป์กับเมฆกำลังรอผมอยู่ได้เลย ผมทำตามที่พี่เขาบอก และเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพี่แอมป์ ผมก็เห็นเมฆที่ใส่กางเกงชุดนอนขายาวตัวเดียวกำลังนอนคว่ำกอดหมอนอยู่บนเตียงอยู่ พร้อมกับพี่แอมป์ที่ลงทุนถึงขนาดปีนขึ้นไปกดชัตเตอร์อยู่บนตู้เสื้อผ้ากันเลยทีเดียว

และเมื่อไอ้เมฆได้ยินเสียงผมเดินเข้าไปในห้อง มันก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมายิ้มให้ผม “ได้ยินว่ามึงโชว์ของดีเลยเหรอวะ ไหนตอนแรกบอกไม่อยากทำไง”

“ดีรึเปล่านี่ต้องถามพี่บอลว่ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยิ้มแล้วยักไหล่ “แต่มึงนั่นแหละที่น่าจะรู้ดีกว่าใครนะ”

“เมฆนอนไปก่อนนะคะ คราวนี้พี่อยากได้ตอนซันไปปลุกเมฆน่ะ ทนหนาวอีกแป๊บนึงนะซัน” พี่แอมป์พูดตัดบท

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหาไอ้เมฆที่ฟุบหน้ากลับลงไปบนเตียงเหมือนเดิมเรียบร้อยแล้วอย่างช้าๆ

หลังจากถ่ายรูปตอนที่ไอ้เมฆเพิ่งตื่นเสร็จแล้ว เราก็ตัดไปยังฉากที่ผมยืนส่องกระจกในห้องน้ำขณะที่ไอ้เมฆกำลังอาบน้ำอยู่ โดยครั้งนี้มีพี่บอลเป็นคนคอยถ่ายภาพคู่เราของทั้งสองคนแบบเปลือยทั้งตัวอีกครั้ง เพราะว่าไอ้เมฆเองก็กล้าที่จะถอดกางเกงในออกจนหมดด้วยเหมือนกัน ผมรู้สึกได้เลยว่ามันกำลังรู้สึกสนุกอยู่จริงๆ โดยเฉพาะสนุกกับการได้แกล้งปั่นหัวพี่บอลเล่นนิดๆแบบนี้

“ถ้าถ่ายติดตรงนั้นไปก็ไม่เป็นไรนะครับพี่ แต่ถ่ายออกมาให้มันดูใหญ่กว่าความเป็นจริงหน่อยก็แล้วกัน” ไอ้เมฆแกล้งแซว ทำให้ผมยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เราสองคนถูกทั้งพี่แอมป์และพี่บอลช่วยกันแต่งหน้าให้อีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มถ่ายช็อตต่อไปซึ่งเป็นตอนที่เรากำลังแต่งตัว หลังจากนั้นก็เป็นตอนนั่งกินกาแฟที่โต๊ะอาหาร ซึ่งช่วงหลังๆนี้พี่ทั้งสองคนจะคอยกำกับบอกท่าให้เราทั้งคู่มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกที่สนุกแปลกๆดีไปอีกอย่าง เพราะมันก็ไม่ได้เคร่งอะไรมากมายนัก ทั้งผมและเมฆต่างก็ยังสามารถพูดคุยหัวเราะกันได้เหมือนกับเวลาปกติ โดยที่เรามักจะตั้งเป้าไปหยอกล้อไปที่พี่แอมป์กับพี่บอลมากเป็นพิเศษ ทำให้พี่ทั้งสองคนก็รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นตามไปด้วย

“ซันโทรหาน้องๆบอกให้กลับมาได้แล้วล่ะค่ะ รบกวนหน่อยนะ แต่ว่าพี่อยากให้ซันลุกขึ้นไปยืนคุยที่หน้าหน้าต่างบานใหญ่นั่นนะ แล้วก็หันข้าง ทำเป็นมองออกไปทางด้านนอกด้วย”

ผมพยักหน้ารับ และทำตามอย่างที่พี่แอมป์บอกทุกอย่าง จากนั้นไม่นานไคล์ พี และอาร์มก็กลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับถึงเวลาพักที่พวกเราจะได้กินข้าวเที่ยงกันก่อนจะเริ่มถ่ายรอบต่อไป โดยมื้อเที่ยงของพวกเราในวันนี้ก็คือพิซซ่าที่โทรสั่งมากินกันง่ายๆและเป็นกันเอง ซึ่งช่วยทำให้พีเริ่มคุ้นเคยกับทุกคนมากขึ้นด้วย

“ได้อะไรมามั่งล่ะ อาร์ม” พี่แอมป์ถามน้องชายของตัวเอง

“ไม่ได้อะไรหรอก ส่วนมากก็นั่งคุยกัน เดินเล่น แล้วก็ถ่ายรูปนิดหน่อยเอง”

“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วพี่บอลรับไคล์ไปถ่ายเดี่ยวๆต่อเลยนะ ส่วนเมฆกับซันขอพี่อีกนิดนึง แล้วจากนั้นเราค่อยถ่ายทั้งสี่คนพร้อมหน้า”

“แล้วพีล่ะครับ ไม่ถ่ายมันเดี่ยวๆบ้างเหรอ” ผมถาม

“โอ๊ย ไม่ล่ะครับ พี่ซัน แค่นี้ก็พอแล้ว” พีรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

พอตอนบ่ายหลังจากกินข้าวและเก็บล้างกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับเมฆก็ถูกพี่แอมป์ถ่ายทั้งรูปเดี่ยวบ้างคู่บ้างอีกนิดหน่อย โดยที่ไคล์เองก็มีพี่บอลรับหน้าที่เป็นตากล้องส่วนตัวชั่วคราวให้ด้วยเช่นกัน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราทั้งสี่คนก็ถูกจัดฉากอีกครั้งทันที โดยที่ไคล์กับพีจะเป็นแขกที่มาหาพวกเราและชวนพวกเราไปเล่นบาสกันข้างนอก ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งสามคน ได้แก่ ไคล์ พี และ ไอ้ตัวดีของผม แทบจะตีปีกกันเลยทีเดียว

“แต่มันจะร้อนหน่อยนะ ถ้าไปตอนบ่ายสามแบบนี้น่ะ” พี่แอมป์ท้วงขึ้น

“ไม่เป็นไรครับพี่ พวกผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว” ไอ้เมฆรีบตอบ และอีกสองคนก็พยักหน้ารับอย่างแข็งขันด้วยเช่นกัน

“ในที่สุดก็ได้ถ่ายรูปแบบที่ถนัดๆแถมยังไม่ต้องเกร็งแล้วสักที” ไคล์พูดอย่างอารมณ์ดี

เราทุกคนเปลี่ยนชุดและเคลื่อนย้ายพลลงไปยังสนามบาสทางด้านล่างของคอนโด และเริ่มต้นเล่นเกมส์แบบสองต่อสองทันที ครั้งนี้ทั้งพี่บอลและพี่แอมป์จะไม่บอกบทอะไรพวกเราอีกแล้ว เรามีหน้าที่แค่เล่นบาสกันแบบธรรมดาๆเท่านั้น ซึ่งถึงบาสเก็ตบอลจะไม่ใช่กีฬาถนัดของผม แต่เมื่อผมอยู่กับคนบ้าบาสตั้งสามคนมาหลายปีขนาดนี้ มันก็ทำให้ผมซึมซับและฝึกฝนตัวเองไปในตัวได้มากเหมือนกัน

เราสี่คนแบ่งทีมโดยที่ผมคู่กับไคล์ ส่วนเมฆคู่กับพี และก็เป็นอย่างทุกครั้งนั่นคือถ้ามีการแข่งขันเกิดขึ้น ไอ้เมฆก็จะไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆเลยสักครั้งเดียว มันจึงเล่นอย่างเต็มที่มาก และมันก็ทำให้พวกเราทุกคนเล่นกันอย่างสนุกสนานมากขึ้นด้วย จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เราทุกคนก็ถูกเรียกให้หยุดโดยพี่บอล

“พอแล้วๆ หนุ่มๆ พวกพี่กดชัตเตอร์กันจนเมื่อยแล้ว เรากลับขึ้นห้องกันเถอะ จะได้ไปดูรูปกัน” พี่บอลพูดพร้อมกับเก็บของไปด้วย จากนั้นพี่แอมป์กับอาร์มก็เดินนำออกไปก่อน

“เจ็บแผลรึเปล่าเมฆ”ผมถามมันขณะที่เรากำลังเช็ดเหงื่อกันอยู่

“ไม่แล้ว ตึงๆนิดหน่อยนะ แต่มันก็หายดีแล้วล่ะน่า เออใช่ จะว่าไปมันมีรอยแผลเหลืออยู่นิดนึงด้วยนะ พี่แอมป์เค้าจะเก็บมันไว้รึเปล่าวะ” เมฆชี้ไปที่รอยแผลยาวราวสามนิ้วที่สีข้างของตัวเอง

“ไม่รู้ว่ะ แต่งรูปเอาก็หายมั๊ง ยกเว้นแต่มึงอยากจะให้พี่เขาเก็บไว้น่ะนะ”

“แล้วแต่พี่เค้าก็แล้วกัน กูไงก็ได้อยู่แล้ว”

“เออ ว่าแต่ไคล์......” ผมหันไปเรียกไคล์ที่กำลังยืนคุยกับพีอยู่ใกล้ๆ “อาร์มมันรู้เรื่องเรากับพีแล้วเหรอ”

“รู้ตั้งแต่ตอนงานวันเกิดพี่เมฆนั่นแหละครับ ผมบอกเขาเอง เพราะปิดบังไปยังไงเดี๋ยวก็คงรู้อยู่ดี”

“แล้วแน่ใจมั๊ยว่ามันจะเก็บเป็นความลับเอาไว้ได้น่ะ”

“ได้ครับ ผมค่อนข้างเชื่อนะ” ไคล์พยักหน้า

“แล้วพีล่ะ คิดว่าไง สำหรับวันนี้” เมฆหันไปถามพีบ้าง

“ก็ดีครับพี่เมฆ แปลกดี แต่ก็สนุกไปอีกแบบ”

“ไว้รอให้ไอ้ไคล์มันเกิดดังขึ้นมาจริงๆก่อนเหอะ สงสัยได้สนุกกว่านี้แน่นอน” ผมหัวเราะ

“ไม่หรอกพี่ซัน ผมเชื่อใจไคล์นะ” พีหันไปมองหน้าไคล์ จากนั้นก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง “แต่ถ้าเกิดมันเจ้าชู้ขึ้นมาล่ะก็ ผมตัดทิ้งเอาไปโยนให้เป็ดกินแน่ๆ ให้มันกลายเป็นชันทีไม่ต้องเหลือเอาไปใช้กับใครอีกเลย คอยดู”

และก็เป็นอีกครั้งที่พวกเราสามคนหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ไคล์ไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่พีพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
กลายเป็นนายแบบกันไปหมดแล้ว สี่คนเลย :m26:

ตอนนี้มีความสุขกันจัง :m18: :m18:


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
บอกตามตรงไม่ค่อยไว้ใจพี่แอมป์คนนี้เลยแฮะ ตรูคิดมากไปรึเปล่าเนี่ย  :a6:  :a6: :a6:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
หุหุหุ... ตอนนี้น่าร๊ากกกก  :m3:


แต่ลึกๆก็เริ่มกังวลใจนะครับ
ก็คุณต้นนิ่มเล่นบอกว่า "....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)" อ่ะ :m17:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:m3:
อยากเห็นรูปถ่าย 4 นายแบบมั่งจังเลยยยยยยย 
โหหหห พี เห็นเรียบร้อยงี้แอบโหดแฮ๊ะ ไคลน์จะรอดมะเนี่ยยยยย
บรรยากาศน่าจะสนุกสนานอบอุ่น แต่ทำไมกลับไม่รู้สึกงั้นเลยนะ
ก็ดันเปิดเรื่องงงงโหดร้ายขนาดนั้น..... o1
 :o11:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
 :sad2: :sad2: :sad2:

พี่ชายม่ะโทรหาบ้างเรยนะ

 :sad2: :sad2: :sad2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 15


เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของวัน พวกเราทุกคนต่างก็สนุกแล้วก็เอ็นจอยกับสิ่งที่ทำกันวันนี้มาก ถึงแม้พี่แอมป์กับพี่บอลจะเหนื่อยกว่าคนอื่นมากหน่อย และเขาสองคนยังมีงานแต่งภาพที่ต้องทำอีก แต่พี่ทั้งสองคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวันนี้เป็นวันที่พี่เขาทำงานอย่างมีความสุขมาก และรูปของพวกเราสี่คนนั้นจะเสร็จพร้อมให้พวกเราดูอย่างเร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยังไม่ถูกเผยแพร่ไปที่ไหนก่อนแน่นอน รวมถึงรูปของไคล์ด้วย ถึงแม้ว่าพี่บอลบอกว่าพี่เขาจะเป็นคนไปเสนอโมเดลลิ่งให้เองด้วยก็ตาม

ในขณะที่คนอื่นกำลังนั่งคุยและเก็บของกันอยู่ด้านนอก ผมที่แอบย่องไปทางด้านหลังของพี่แอมป์ที่นั่งอยู่หน้าคอมก็มีโอกาสได้เห็นรูปฉากเปลือยแบบเต็มตัวของผมและของเมฆก่อนใครๆ และผมก็กำชับกับพี่แอมป์เอาไว้แล้วว่าอย่าเพิ่งลบรูปพวกนั้นทิ้งไป เพราะผมจะขอเก็บเอาไว้เอง

“ซันแน่ใจเหรอคะ” พี่แอมป์ถามด้วยน้ำเสียงอายๆและใบหน้าที่แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเราสองคนกำลังดูรูปอยู่พร้อมๆกัน

“แน่ดิ่ครับ แต่ผมขอพี่แค่อย่างเดียวก็คือ ผมไม่อยากให้พี่ก๊อปไฟล์รูปพวกนี้ไว้น่ะครับ ผมอยากจะขอเก็บไว้แค่คนเดียวพอ เอาไว้ดูเล่นน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

เมื่อถึงวันที่พีต้องบินกลับไปอังกฤษ ก็มีเพียงไคล์กับเมฆเท่านั้นที่ไปส่งมันได้ ส่วนผมต้องออกไปกินข้าวเย็นกับลุงกิตและลูกค้า ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องออกไปเร็วขนาดนี้เพราะว่าผมเพิ่งจะเริ่มทำงานได้เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง แต่เมื่อผมพบกับลูกค้าของเรารายนี้ ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผมจึงจำเป็นต้องมาด้วย เพราะว่าลูกค้ารายนี้นอกจากจะเป็นเพื่อนของลุงกิตแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของพ่อของผมคนหนึ่งอีกด้วย

และถึงมื้อเย็นมื้อนั้นจะเป็นไปได้ด้วยดีมาก แต่ทว่าสภาพจิตใจของผมนั้นกลับว้าวุ่นอย่างที่สุด และเรื่องนี้มันก็สืบเนื่องมาจากกล่องของขวัญที่ผมเพิ่งได้รับเมื่อตอนกลางวันในที่ทำงานนั่นเอง

ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังมีความสุขดีมากอยู่เลย และสองวันแรกของการทำงานของผมก็เป็นไปได้ดีมาก ผมเข้ามาเริ่มทำงานในตำแหน่งที่ค่อนข้างจะสูง และได้เครดิตในฐานะของลูกชายของหัวหน้าระดับสูงคนเก่าคนหนึ่งของบริษัทด้วย ซ้ำยังเป็นคนรู้จักและเป็นที่เอ็นดูของลุงกิตอีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นพนักงานทุกคนก็ยังต้อนรับผมดีมาก ไม่มีใครแสดงท่าทีต่อต้านหรือไม่พอใจกับผมเลย และถ้าเชื่อตามที่ผมได้ยินมา ผมก็ค่อนข้างจะเนื้อหอมอยู่พอตัวเหมือนกันด้วยซ้ำ

ทุกอย่างดำเนินผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งมาถึงวันนี้ในตอนบ่ายหลังจากพักเที่ยง พี่กบที่เป็นเลขาของลุงกิตก็เดินเอากล่องของขวัญกล่องนั้นเข้ามาให้แก่ผมที่โต๊ะ

“นี่จ๊ะ สุดหล่อ มีคนฝากของขวัญมาให้น่ะ” พี่กบวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

“อะไรอ่ะครับพี่”

“อยากรู้ก็เปิดดูสิคะ มาถามพี่พี่จะรู้ได้ไงล่ะ แหม” พี่กบยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเจอพี่กบ ผมก็แทบยังไม่เคยเห็นใบหน้าของพี่เขาแบบปราศจากรอยยิ้มเลยสักครั้ง ผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนอารมณ์ดีและมีอัธยาศัยที่สุดยอดเลยจริงๆ

“แล้วใครฝากมาล่ะครับพี่” ผมหยิบกล่องขึ้นมาถือดูใกล้ๆ ไม่รู้เลยจริงๆว่าใครจะเป็นคนฝากมาให้แก่ผม

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ เมื่อตอนกลางวันพี่ไปกินข้าวกับพวกพี่อ้นพี่แตงพวกนั้นน่ะ แล้วลุงยามหน้าออฟฟิศค้าบอกว่ามีคนฝากกล่องนี้มาให้คุณฟ้าคราม ชัยศักดิ์มงคล แต่ถึงยังไงคนชื่อฟ้าครามทั้งตึกก็มีอยู่แค่คนเดียวแหงอยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ พี่ก็รับมา แล้วก็เอามาให้ซันนี่แหละค่ะ”

“แปลว่ากล่องนี้มาจากคนนอกงั้นเหรอครับ”

“ก็คงใช่นะคะ แหม ไปเนื้อหอมใส่ใครเข้าล่ะเนี่ย ขนาดคนในออฟฟิศนี้ก็แย่แล้วนะ มาทำงานได้สามวันคนยังรู้จักกันไปแทบจะทั้งตึก และนี่ยังอุตส่าห์แอบไปโปรยเสน่ห์ใส่สาวออฟฟิศอื่นอีกงั้นเหรอจ๊ะ” พี่กบแซว

“บ้าน่าพี่ ไม่มีหรอก แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่มากนะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ และเริ่มจะรู้แล้วว่าคนที่ส่งกล่องนี้มาให้แก่ผมเป็นใคร

“ไม่เป็นไรจ้า ยังไงก็อย่ามัวแลแต่สาวนอกบริษัทนะ ดูคนข้างในซะบ้าง จะบ้าตายกันไปหลายคนแล้วนั่นน่ะ” พี่กบหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินจากไป

ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่จะหมุนกล่องของขวัญตรงหน้าดูรอบๆ ตอนนี้คนที่รู้ที่ทำงานของผมก็มีเพียงแค่ห้าหกคนเท่านั้นเอง นั่นก็คือ ไอ้เมฆ พ่อเล็ก ไคล์ และเพื่อนของเราแค่ไม่กี่คน ตัวไคล์นั้นถึงมันจะรู้ว่าผมทำงานที่ไหน มันก็ไม่มีปัญญาและไม่คิดจะส่งอะไรแบบนี้มาให้ผมแน่นอน รวมทั้งเพื่อนของเราคนอื่นๆด้วย ดังนั้นความน่าจะเป็นจึงมีเหลือแค่เพียงคนเดียว นั่นก็คือไอ้ตัวดีของผมนั่นเอง

ผมนึกขำอยู่ในใจว่าอะไรเข้าสิงมันให้มันทำแบบนี้ให้ผม ตอนแรกผมก็คิดจะกดโทรศัพท์หามันอยู่เหมือนกัน แต่ว่าผมก็อยากจะลองดูของข้างในกล่องซะก่อนว่ามันคืออะไร และเมื่อผมเปิดฝากล่องออกมา ของที่อยู่ข้างในนั้นก็ทำให้ผมถึงกับลมหายใจขาดช่วงไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว

“ซัน เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูหน้าซีดๆล่ะ หรือว่าไม่สบายตรงไหน” ลุงกิตถามขึ้นเมื่อเห็นว่าผมพูดน้อยกว่าปกติ และมันก็ทำให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์ในทันที

“แต่ปกติซันก็เป็นคนพูดน้อยแบบนี้อยู่แล้วนี่นา” ลุงเอนกพูดขึ้นบ้าง “เครียดอะไรอยู่รึเปล่า เอ๊ะ หรือว่าจริงๆแล้วมัวแต่คิดถึงแฟนอยู่รึไง”

“เปล่าหรอกครับ ขอโทษนะครับ คือผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆน่ะครับ และก็คงเครียดหน่อยๆด้วย” ผมพยายามฝืนยิ้มออกไป ทั้งๆที่ภาพของสิ่งที่อยู่ในกล่องของขวัญกล่องนั้นยังคงติดตาของผมอยู่ “ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ แต่ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ”

ผมขอตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารอย่างสุภาพ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องน้ำชายพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาไอ้เมฆทันที แต่ก็ไร้ผล ผมพยายามจะโทรหามันทุกครั้งที่ผมมีเวลามาตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้ว แต่โทรยังไงผมก็โทรไม่ติด โทรศัพท์ของมันถูกปิดเครื่อง และตอนนี้แม้แต่โทรศัพท์ของไคล์ก็ยังปิดเครื่องอีกด้วยเช่นกัน

“ปิดเครื่องทำไมวะ ไอ้เมฆ!” ผมกัดฟันคำรามออกมาเบาๆ

ย้อนกลับไปเมื่อตอนบ่าย หลังจากที่ผมเห็นสิ่งที่วางอยู่ในกล่องของขวัญใบนั้นแล้วผมก็รีบคว้าโทรศัพท์มากดหาไอ้เมฆทันที

“เมฆ มึงทำอะไรอยู่” ผมนั่งบนเก้าอี้และมองกล่องของขวัญที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยหางตา

“ทำงานดิ่ว่ะครับที่รัก มีอะไรรึเปล่า เสียงมึงฟังดูแปลกๆนะ”

“ก็นิดหน่อยว่ะ แต่กูก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน........” ผมอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้จะเริ่มเล่าเรื่องของที่ผมเพิ่งได้รับมานี่ยังไง

“นี่มีปัญหาอะไรรึเปล่าวะ......... เฮ้ย เวรและไง ซัน แค่นี้ก่อนนะ กูยุ่งๆอยู่ว่ะ เดี๋ยวเลิกงานแล้วกูโทรไปหานะ” เมื่อพูดจบ ไอ้เมฆก็วางโทรศัพท์ไปทันที และพอมันเลิกงาน มันก็โทรกลับมาหาผมจริงๆเพื่อบอกผมว่ามันกำลังจะไปเจอไคล์เพื่อไปส่งพีที่สนามบิน ซึ่งในตอนนั้นผมเองก็กำลังติดงานอยู่เหมือนกันเลยทำให้คุยกับมันไม่ได้ แต่ว่านับจากนั้นเมื่อผมโทรกลับไปหามัน ผมก็โทรไม่ติดอีกเลย จนกระทั่งถึง ณ เวลานี้

นี่มันมีอะไรสักอย่างผิดปกติแล้ว มีอะไรบางอย่างกำลังผิดปกติจริงๆ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับน้อง” ชายแปลกหน้าคนหนึ่งถามผมขึ้นขณะที่เขากำลังเดินออกจากห้องน้ำ ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะเขาเห็นสีหน้าของผมนั่นเอง

“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าตอบ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาไอ้เมฆอีกครั้ง ชายคนนั้นมองหน้าผมอีกครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป

และอีกครั้งที่ความพยายามของผมไร้ผล ตอนนี้ไอ้เมฆกับไคล์ก็คงอยู่ที่สนามบินและกำลังจะส่งพีขึ้นเครื่องบินแล้ว แต่ทำไมล่ะ ทำไมทั้งสองคนถึงต้องปิดมือถือด้วย ผมคิดจะโทรเข้าบ้านเพื่อถามพ่อเล็ก แต่ถ้าหากทำอย่างนั้น พ่อเล็กก็คงต้องกังวลใจไปด้วยแน่ๆ

“เชี่ยเอ๊ยย! มึงไปไหนของมึงวะ ไอ้เมฆ!” ผมสบถออกมาเบาๆอีกครั้ง พร้อมกับสะบัดหัวลบภาพของสิ่งที่ตอนนี้ถูกวางอยู่บนเบาะหลังรถทิ้งไป

ผมถอนหายใจเบาๆ พยายามตั้งสติให้อยู่กับเนื้อกับตัวและพยายามไม่คิดมาก มันก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ใช่ แค่เรื่องบังเอิญ เพราะถ้าไม่มีไอ้กล่องของขวัญบ้านั่นส่งมาที่โต๊ะของผม กะแค่เรื่องไอ้เมฆปิดมือถือ ผมจะคิดมากขนาดนี้มั๊ย คำตอบก็คงเป็นคำว่า ไม่ ถึงมันจะไม่เคยปิดมือถือนานแบบนี้ แต่ผมก็คงไม่วิตกจริตขนาดนี้หรอก เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดนี้มันก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญและการเล่นตลกอย่างร้ายกาจของใครบางคนเท่านั้นเอง ใช่แล้ว มันก็แค่การเล่นตลกร้ายของใครคนหนึ่ง........

และอย่าให้ผมรู้นะว่าใครมันกล้าเล่นกับผมแบบนี้

“ซัน เป็นอะไรรึเปล่า หายไปนานเลย” เสียงของลุงกิตดังขึ้นที่หน้าห้องน้ำ ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งออกมาเล็กน้อย

“อ๋อ เปล่าครับ ขอโทษครับ ผมกำลังจะออกไปพอดีเลย”

“ไหวรึเปล่า หน้าซีดจริงๆนะเราน่ะ”

“ไหวครับไหว ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง” ผมเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมือ

“ไอ้เป็นห่วงน่ะ แน่นอนอยู่แล้วล่ะ........ ในฐานะของหลานชายของลุงคนนึงนะ” ลุงกิตเดินเข้ามาวางมือลงบ่าข้างซ้ายของผม “แต่ถ้าในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง ลุงก็ต้องเตือนซันนิดหน่อยว่า ตอนนี้เราออกมาทำธุระกับลูกค้า ถึงการกินข้าววันนี้มันจะเป็นกันเองมากและลูกค้าคนนี้ก็เป็นคนที่เราต่างก็รู้จักดี แต่ถึงยังไงมันก็คือธุรกิจ และมันก็นับว่านี่เป็นหน้าที่ของซันที่ซันต้องทำ เข้าใจมั๊ย ถือซะว่านี่เป็นการทดสอบเล็กๆน้อยๆก่อนต้องลงสนามของจริงก็แล้วกัน เพราะต่อจากนี้ไปซันจะต้องออกไปไหนมาไหนกับลุงอีกเยอะเลยด้วย เข้าใจนะ”

ผมหันกลับมาพยักหน้าให้กับลุงกิตแทนคำตอบ

“เอาล่ะ ตกลงไหวรึเปล่า แต่ถึงไม่ไหวยังไงก็ต้องทนเอาไว้ก่อนอยู่ดี ซันเข้าใจใช่มั๊ย”

“ผมไหวครับ แล้วก็ต้องขอโทษลุงกิตด้วยนะครับที่ผมทำตัวงี่เง่าแบบนี้”

“ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องน่าขอโทษเลย” ลุงกิตส่ายหน้า “แต่ตกลงไหวแน่นะ” ผมถูกถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของลุงกิตก็บ่งบอกว่าเขาเป็นห่วงผมมากจริงๆ

“ครับ” ผมรับคำอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินตามลุงกิตออกไปที่โต๊ะ

หลังจากนั้นอีกกว่าสองชั่วโมง ผมก็เริ่มทำใจลืมสิ่งที่รบกวนใจผมมาตลอดครึ่งวันได้ และตั้งสมาธิไปที่ ‘งาน’ ของผมตรงหน้านี้ จนหลังจากที่อาหารมื้อนี้จบลงและผมเดินไปส่งทั้งลุงกิตและลุงเอนกที่รถเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับมาที่รถของไอ้เมฆซึ่งตอนนี้กลายเป็นของรถผมชั่วคราว โดยมันอาศัยไปทำงานพร้อมกับพ่อเล็ก ผมนั่งลงข้างหลังพวงมาลัย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของมันอีกครั้ง แต่ผลก็ยังคงออกมาเป็นเหมือนเดิม ผมเหวี่ยงโทรศัพท์ลงไปที่เบาะฝั่งคนนั่งด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็เอี้ยวตัวหันไปมองกล่องของขวัญที่ถูกวางอยู่บนเบาะหลังอีกครั้ง

ผมถอนหายใจเบาๆพร้อมกับยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้บนหน้าตัก ลักษณะของกล่องภายนอกนั้นก็ดูมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับกล่องของขวัญธรรมดาๆทั่วไป กล่องกระดาษแข็งสีน้ำตาลลายสวย ไม่จำเป็นต้องมีกระดาษห่อของขวัญห่อให้แกะกะ ฝากล่องมีลายริบบิ้นสีฟ้าพาดทั้งสี่ด้าน ส่วนฝากล่องทางด้านบนก็มีโบว์แปะประดับเอาไว้และสามารถเปิดออกได้โดยง่าย เนื่องจากฝาไม่ได้ถูกห่อหรือปิดผนึกเอาไว้

ผมค่อยๆเปิดฝากล่องขึ้นอย่างช้าๆราวกับกลัวของที่อยู่ข้างในมันจะกระโจนออกมากัดคอผม แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นมันก็แทบไม่ต่างกัน เพราะสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมันได้กัดกินหัวใจของผมไปตั้งแต่นาทีแรกที่ผมเห็นมันแล้ว........

มันคือตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินที่ผมคุ้นตา เพียงแต่ว่าตุ๊กตาตัวนี้ส่วนหัวและส่วนตัวของมันนั้นไม่ได้อยู่ติดกันอย่างที่ควรจะเป็นอีกแล้ว ครั้งแรกที่ผมหยิบมันขึ้นมาออกจากกล่อง ส่วนหัวของมันที่ติดอยู่กับส่วนลำตัวอย่างหมิ่นเหม่ก็ร่วงหลุดออกมากลิ้งหล่นลงไปบนพื้นแทบจะในทันที แถมตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของมันก็ยังเต็มไปด้วยรอยถูกกรีด รอยฉีกขาด และเปื้อนไปด้วยรอยสีแดงเข้มรอยใหญ่บ้างเล็กบ้างอีกหลายจุด และไม่ต้องสงสัยเลยว่ารอยเปื้อนเหล่านั้นมันก็คือ.......... เลือด



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
 :sad2:

เฮ้ออออ..........

 :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:


tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป



เป็นไรมากป่ะน้อง . . .

ไม่ชอบเลือด . . . กลัวสีแดง

ปล.  กูพี่มึงนะ  เซเว่นอ่ะรู้จักป่ะ  เพื่อนที่ไม่เคยหลับ


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แต่ตอนนี้อยากหลับไม่อยากตื่น.......

"ความฝันกับความจริงมันจะต่างกันตรงไหน ถ้าตอนหลับเราไม่รู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่........ หรือเราอยากให้ตอนตื่นมันเป็นเพียงความฝัน"

ประโยคเดิม เอามาอแด๊ปนิดหน่อย

และก้อไปนอนซะ ไอ้ต้น............


tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


ปัญหา . . . มีไว้แก้

แก้ไม่ได้ . . . เอามีดไป๊  ตัด

. . . ฉับ . .  .

เอาน่า  คนเราเกิดมาก็เท่านี้  ลองมองอีกด้านนึง  อาจสวยกว่าที่เป็นอยู่







น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ต้น พี่อ่านจบตอนนี้แล้ว ลำไส้มันเริ่มบิดเป็นเกลียวแล้วนะ รู้สึกปวดท้องจัง
รู้สึกว่ามันจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นหรือเปล่านี่ :m29:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เริ่มออกแนวโรคจิตซะงั้น  :try2:

เป็นกำลังใจให้น้องต้นจ้า  :a1:  :a1: :a1:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
 :m15: :m15: :m15:

เย้ยยย พี่ชาย

ทำอะไรเนี่ยยยยยยย

 :m17: :m17:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้ย...'ไรอ่ะครับ  :serius2:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:serius2:
อารายเนี่ยยยย ทำไมมมมชอบสร้างปัญหาให้ซันกะเมฆจังงงงง  :m16:
ครายเล่นอารายอีกอ่ะ.....หงุดหงิด ๆๆๆๆๆ
 :m7: :m7: :m7:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
เข้ามานั่งรอพี่ชาย . . .

ลป. เป็นห่วงน้าค้าบพี่ชายยยยยยย มีรายก้อโทรหาน้องด้ายน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 16


ผมขับรถกลับบ้านด้วยจิตใจอันว้าวุ่น ทั้งสับสนและกังวลกับทุกๆเรื่องที่ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าเบอร์ของเมฆอีกครั้ง แต่ก็ไร้ผลเช่นเคย ผมสบถออกมาเบาๆอีกหน ก่อนที่จะกดเบอร์อีกเบอร์หนึ่งขึ้น และเป็นเบอร์ที่ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากจะโทรไปเลยจริงๆ

“ไอ้แบ๊งค์ นี่มึงอยู่ไหนทำอะไรอยู่” ผมพูดออกไปอย่างวดเร็วทันทีที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์

“หา เอ่อ กูอยู่บ้าน ไม่ได้ทำไร มึงมีอะไรวะ” เสียงของมันสั่นและฟังดูไม่มั่นคงเล็กน้อย นั่นก็คงเป็นเพราะมันตกใจกับน้ำเสียงของผมนั่นเอง

“กูอยากจะขอเบอร์พี่จ๊อบจากมึงหน่อยว่ะ มึงมีเบอร์มันใช่มั๊ย กูรู้ว่ามึงต้องมี”

“เฮ้ย มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะ ซัน มึงใจเย็นๆก่อนดิ่วะ”

“กูไม่ได้เป็นเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละ กูก็แค่โทรมาขอเบอร์พี่จ๊อบจากมึงเท่านั้น อ้อ เบอร์นัทด้วยก็ดี แต่ถ้ามึงไม่ให้ กูก็จะไปขอจากคนอื่นเอง ตกลงมึงจะเอาเบอร์พวกมันมาให้กูได้รึยัง”

“เออๆ ก็ได้ๆ มึงรอกูแป๊บนึงนะ” ไอ้แบ๊งค์ตอบรับ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงขยับโทรศัพท์และกดปุ่มจากอีกฝั่ง แต่ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของผมก็มีสายซ้อนเข้ามา และเบอร์ที่โชว์อยู่นั้นก็คือเบอร์ของไอ้เมฆนั่นเอง ผมจึงรีบกดปุ่มสลับสายทันที

“ฮัลโหล เมฆ มึงอยู่ไหนเนี่ย และทำไมถึงปิดเครื่อง กูโทรหามึงทั้งเย็นเลยนะมึงรู้รึเปล่า เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าวะเนี่ย”

“ใจเย็นๆซัน กูขอโทษ พอดีแบตกูมันหมดน่ะ และของไคล์ก็เหมือนกัน แถมมันยุ่งๆด้วยกูก็เลยไม่ได้โทรบอกมึง ไม่คิดว่ามึงจะเป็นห่วงขนาดนี้ กูขอโทษจริงๆ”

“เชี่ยเอ๊ยยย ตกลงนี่คือมึงถึงบ้านแล้วใช่มั๊ย”

“ใช่ พอมาถึงปุ๊บกูเสียบแบตแล้วก็โทรหามึงปั๊บเลยเนี่ย มึงกำลังกลับบ้านรึยัง”

“เออ กำลังกลับแล้ว โธ่เว้ย ไอ้เมฆเอ๊ยยย มึงอย่าทำให้กูเป็นห่วงนักได้เปล่าวะ แม่งงง........” ผมถอนหายใจเอามาแรงๆ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าไอ้แบ๊งค์ยังคงถือสายรออยู่เลย “เมฆ มึงถือสายรอกูแป๊บนึงนะ อย่าเพิ่งวางล่ะ”

ผมกดสลับสายกลับไปหาไอ้แบ๊งค์อีกครั้ง “เฮ้ย ไม่ต้องแล้วว่ะ แบ๊งค์ ขอโทษทีที่กวน”

“อ้าว ทำไมวะ” ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมาแบบงงๆ

“ไม่มีไร เออ กูติดสายอยู่ กำลังยุ่งๆว่ะ ขับรถอยู่ด้วย แค่นี้ก่อนนะ” เมื่อพูดจบ ผมก็กดปุ่มสลับสายกลับมาหาไอ้เมฆอีกครั้งทันที “เออ กูกลับมาแล้ว ตกลงนี่มึงอยู่บ้านและแบตหมดใช่มั๊ย แน่ใจนะว่ามันแค่นั้นไม่ได้มีอย่างอื่น”

“เออ แน่ใจดิ่ มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะซัน ทำไมมึงถามอย่างนั้นล่ะ”

“ก็..... เปล่า ไม่มีอะไรหรอก กูเป็นห่วงมึงเฉยๆ ว่าแต่นี่ไคล์กับพ่อเล็กล่ะ ทำอะไรกันอยู่” ผมถอนหายใจยาวๆแล้วก็เริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้นิดหน่อย

“พ่อกูหลับไปแล้ว ไคล์ก็อยู่ในห้องของมัน เดี๋ยวกูลงไปนั่งรอมึงข้างล่างเอง อีกนานมั๊ยล่ะกว่ามึงจะมาถึงน่ะ”

“ไม่นานหรอก อีกราวๆไม่เกินยี่สิบนาที มึงรอกูก่อนนะเมฆ อย่าเพิ่งนอนล่ะ”

“คร้าบ รู้แล้วครับที่รัก ขับรถดีๆก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเจอกัน”

เมื่อผมได้ยินเสียงของมันแล้วผมถึงได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงมืดแปดด้านอยู่ดีว่าจะเริ่มพูดเรื่องนี้กับมันยังไงดี หรือแม้แต่ว่าผมควรจะเล่าให้มันฟังดีรึเปล่า เพราะถ้าไอ้เมฆรู้เรื่องนี้เข้า มันก็ต้องกังวลใจและไม่สบายใจมากด้วยแน่ๆ

เมื่อผมกลับมาถึงบ้านและจอดรถดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว ผมก็มองเข้าไปในตัวบ้านเห็นว่าไฟในห้องนั่งเล่นยังคงเปิดอยู่ และที่นั่น ไอ้ตัวดีของผมก็คงกำลังนั่งรอต้อนรับผมเดินเข้าไปนั่นเอง แต่ว่าผมยังไม่พร้อมเลย ผมไม่พร้อมเลยจริงๆว่าผมจะเริ่มต้นเรื่องนี้ขึ้นมายังไง ถึงเราสองคนจะเคยผ่านอะไรมาด้วยกันก็มาก แต่เราก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย ไม่มีเลยจริงๆ

“เหนื่อยมั๊ย และนี่อิ่มมาแล้วใช่มั๊ยครับ ยังอยากกินอะไรอยู่อีกรึเปล่า” ไอ้เมฆที่นั่งดูทีวีอยู่หันมาส่งยิ้มให้แก่ผม และให้ตายสิ ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของมันเลยจริงๆ มันเป็นอย่างที่ไคล์และพีพูดไว้ทุกอย่างเลย เวลาที่ไอ้ตัวดีของผมยิ้มนั้น มันไม่ใช่แค่เพียงรอยยิ้ม แต่ว่ายังเป็นทั้งสายตาและความรู้สึกที่มันส่งผ่านออกมาให้แก่ผม หรือให้แก่คนรอบข้างทุกๆคนอีกด้วย

“เหนื่อยด้วย หิวด้วย แต่ไม่อยากกินอะไรแล้วว่ะ แค่เห็นหน้ามึงก็อิ่มอกอิ่มใจแล้ว” ผมยิ้มกว้าง

“อะไรของมึง ผีเข้ารึไง” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆพลางขยับตัวให้ผมนั่งลงข้างๆมันด้วย “ว่าแต่ทำไมหิววะ ไปกินข้าวกับเจ้านายมาแล้วนี่นา หรือว่าเครียดเหรอ เห็นเมื่อกลางวันยังเสียงเครียดๆอยู่เลย”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วภาพของตุ๊กตาตัวนั้นมันก็วนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งทันที

“เมฆ ซันอยากกินสปาเก็ตตี้น่ะ ทำให้กินหน่อยดิ่ แล้วเดี๋ยวซันไปอาบน้ำก่อน พอเสร็จแล้วจะได้ลงมากินพอดี ได้มะ”

ไอ้เมฆทำหน้างงๆนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มรับแล้วลุกออกไป ส่วนผมก็เดินขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย อย่างน้อยๆผมก็หวังว่าการได้ยืดเวลาออกไปบ้างพร้อมกับสายน้ำอุ่นๆ มันก็น่าจะช่วยให้สมองของผมปลอดโปร่งขึ้นได้บ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเวลาสิบห้าหาทีผ่านไป ผมก็ยังคงนึกอะไรไม่ออกอยู่ดี นอกเสียจากว่า หนึ่ง ผมจะต้องบอกไอ้เมฆออกไปตรงๆ สอง ไม่บอกอะไรมันเลยเพื่อไม่ให้มันต้องไม่สบายใจ กับสาม เล่าให้มันฟังแค่บางส่วน มันจะได้รู้เรื่องบ้างเฉพาะเนื้อๆแต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป

ผมตัดสินใจจะเลือกทางเลือกสุดท้าย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มันฟังโดยไม่เล่าออกไปหมดทุกอย่างได้ยังไง

“ไหน ตกลงมีอะไร เล่ามาให้กูฟังซิ” ไอ้เมฆพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังลงมือจัดการกับสปาเก็ตตี้ฝีมือของมันตรงหน้าอยู่

“กูก็ไม่รู้ว่ะ.......... คือจริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอกนะ แต่กูก็แค่อยากรู้ว่าตอนนี้ตุ๊กตาหมีที่นัทให้มึงมาน่ะ ยังอยู่รึเปล่าวะ”

“อือ ยังอยู่ดิ่ อยู่บนห้องนั่นแหละ ทำไมวะ”

“แล้วตัวที่มึงให้นัทไปล่ะ มึงบอกกูว่าเค้าทำหายไปแล้วใช่มั๊ย ตกลงมันหายไปได้ยังไง”

“เห็นเค้าเคยบอกว่าตอนนั้นมีน้องๆญาติๆมาเที่ยวที่บ้านน่ะ แล้วเด็กมันก็คงหยิบติดมือกลับไปด้วยรึไงนี่แหละ”

“นานรึยัง”

“เพิ่งช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมานี่แหละมั๊ง ช่วงที่ญาติๆเค้ามาเที่ยวบ้านน่ะ”

“ไม่ๆ กูหมายถึงว่าเค้าบอกมึงมานานแล้วรึยัง”

“อ๋อ ก็ที่ทะเลน่ะแหละ วันสุดท้ายตอนก่อนเค้ากลับน่ะ เฮ้ย ทำไมวะเนี่ยซัน ทำไมอยู่ดีๆมึงถึงได้มาอยากรู้เรื่องตุ๊กตาหมีพวกนี้วะ” ไอ้เมฆนิ่วหน้า ท่าทางสงสัยผมเต็มที่

“ก็ได้ กูเล่าให้มึงฟังก็ได้.........” ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังอย่างใจเย็นในขณะที่ปากกับมือก็กำลังกินไปด้วย โดยหวังว่าถ้าผมไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์อะไรมากมายนักมันก็อาจจะทำให้ไอ้เมฆไม่ต้องรู้สึกเป็นกังวลมากนักไปด้วยเหมือนกัน จนเมื่อผมเล่าจบ ไอ้เมฆก็มีสีหน้าสงสัยและเป็นกังวลฉายแววขึ้นมาทันที “เพราะงั้นไง กูถึงได้กังวลว่าตอนนั้นมึงจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า แต่ก็อย่างที่บอก กูคงคิดมากไปเองนั่นแหละ ว่าแต่มึงแน่ใจใช่มั๊ยว่าตุ๊กตาของมึงมันยังอยู่น่ะ”

“ยังอยู่ดิ่ ก็อยู่ในห้องนั่นแหละ แล้วมึงได้เช็คดูที่หน้าอกเสื้อของหมีรึยัง”

“ดูแล้ว แต่ดูไม่ออกว่ะ อย่างที่บอกไงว่าเสื้อมันขาดหลายจุด และตรงหน้าอกก็ด้วย แถมแม่งยังเปื้อนเลือดอีกต่างหาก เลยดูไม่ออกเลย”

“กูขอดูหน่อยได้มั๊ยวะ หมีน่ะ อยู่ในรถใช่มั๊ย” ไอ้เมฆพูดพลางทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ถูกผมจับข้อมือให้หยุดเอาไว้เสียก่อน

“มึงอย่าดูเลยเมฆ” ผมส่ายหน้า “กูไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ บอกตามตรงนะ ตอนแรกกูกะจะไม่บอกมึงด้วยซ้ำ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกทีนะ แต่ตอนนี้กูยังไม่อยากจะไปวุ่นวายอะไรกับมันอีกแล้วว่ะ กูเหนื่อย”

ไอ้เมฆมองหน้าผมด้วยสายตาอ่อนโยน จากนั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ “กูเข้าใจนะ แล้วก็รู้สึกดีด้วยที่มึงเป็นห่วงกูมากขนาดนั้น เอาเป็นว่าตอนนี้กูจะยังไม่เซ้าซี้มึงเรื่องตุ๊กตาอีกก็ได้ แต่บอกตามตรง กูกลับรู้สึกไม่สบายใจเรื่องนัทเลย มันจะเป็นไปได้มั๊ยว่านั่นมันหมายถึงมีอะไรเกิดขึ้นกับนัทนะ ไม่ใช่กู เพราะตอนนี้เราก็รู้แล้วนี่ว่ากูไม่ได้เป็นอะไรน่ะ”

“ก็อาจะเป็นไปได้” ผมพยักหน้า “แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ตุ๊กตาตัวนั้นก็ควรจะถูกส่งไปที่มึงสิ ไม่ใช่กู และที่สำคัญ ใครจะมาทำอะไรนัทเรื่องอะไรวะ แถมถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นจริงนะ ผ่านมาแล้วตั้งหลายชั่วโมงขนาดนี้ ป่านนี้เราคงต้องรู้อะไรเพิ่มเติมกันมาบ้างแล้วสิ ไม่ใช่เงียบไปหมดไม่มีอะไรอีกเลยแบบนี้ เพราะงั้นตอนนี้กูจึงเริ่มมั่นใจแล้วว่าไอ้ตุ๊กตาหมีตัวนั้นมันจงใจถูกส่งมาให้กูจริงๆนั่นแหละ และคนส่งก็คงจงใจจะกวนตีนกูมากๆเลยด้วย”

ไอ้เมฆพยักหน้าเห็นด้วย และสีหน้าของมันก็คลายกังวลลงเยอะแล้วด้วยเช่นกัน “สรุปแล้วก็คือ มึงสงสัยพี่จ๊อบงั้นเหรอวะ”

“ก็คงงั้นมั๊ง........” ผมพยักหน้า และตัดสินใจไม่บอกมันเรื่องที่ผมโทรไปขอเบอร์พี่จ๊อบกับไอ้แบ๊งค์มา “ก็พอนึกๆดูแล้วมันจะมีใครน่าสงสัยไปกว่ามันล่ะ แต่กูก็ยอมรับนะว่าจะฟันธงไปแบบนั้นเลยก็ไม่ถูกว่ะ เพราะกูไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไอ้ครั้นจะเอาแค่เรื่องกูไม่ชอบหน้ามันแล้วไปโยนความผิดให้มัน มันก็คงเหี้ยไปหน่อย แต่บอกตามตรง กูคิดว่ามันชอบมึงว่ะเมฆ กูเลยไม่ไว้ใจมันเลยแม้แต่นิดเดียว”

“จริงๆเรื่องนี้จะว่าไปแล้วกูก็เหมือนจะรู้ตัวนะ แต่ว่ากูก็ไม่อยากคิดแบบนั้นว่ะ กูพี่เขาเป็นแฟนนัทอยู่ เค้าจะมาอะไรกับกูได้ไงวะ กูไม่เข้าใจ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่คนสมัยนี้นะ แม่งเดาไม่ได้หรอก เดาไม่ได้เลยจริงๆ..........”

วันเสาร์ถัดมาผมก็ติดรถไปเข้าคลาสยูโดกับไอ้เมฆด้วย โดยจะว่าไปแล้วก็คือผมกึ่งๆโดนมันบังคับมานั่นเอง ซึ่งผมเองก็เคยเข้าไปร่วมเรียนร่วมซ้อมทั้งยูโดและเทควันโดกับมันบ้างเหมือนกันมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่อังกฤษแล้ว และครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับประเทศไทยมาที่ผมได้กลับมาทำอะไรแบบนี้ร่วมกับมันอีกครั้ง และถึงนี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาที่แห่งนี้ แต่ก็เป็นครั้งที่สามของไอ้เมฆแล้วตั้งแต่กลับไทยมา

สถานที่ที่เมฆขับรถพาผมมานี้เป็นยิมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนตึกสูงตึกหนึ่ง โดยที่แห่งนี้นั้นมีคลาสสอนทั้งสามคลาส ได้แก่ยูโด คาราเต้ และก็เทควันโด โดยไอ้เมฆคนเดียวก็เล่นเหมาได้สายดำไปทั้งสองอย่างแล้ว แถมเท่าที่มันเล่าให้ผมฟัง อาจารย์ที่สอนยูโดของมันนั้นยังอยากจะให้มันมาเป็นครูสอนให้แก่เด็กๆที่มาเรียนที่นี่อีกด้วย

“แล้วมึงไม่ตกลงเหรอวะ เรื่องมาสอนที่นี่น่ะ” ผมถามมันขณะที่เราสองคนกำลังวอร์มร่างกายด้วยกันอยู่

“จะเอาเวลาที่ไหนวะ แค่มาเล่นที่นี่อย่างมากกูยังมาได้แค่อาทิตย์ละหนสองหนเลย”

“แต่ท่าทางมึงจะดังไม่เบาเลยนะ เห็นมีคนรู้จัก มีคนเข้ามาทักหลายคนเลยนี่” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก็เห็นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่บางคนยังคงมองมาทางเราสองคนอยู่เลย

“ก็กูเล่นที่นี่มาตั้งแต่หลายปีแล้ว แทบจะตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นคนส่วนมากถ้ามาประจำก็คงรู้จักกูกันอยู่แล้วล่ะ แถมนี่กูหายไปตั้งสี่ปี คนที่รู้จักกันก็เลยเข้ามาทัก ส่วนคนที่อาจจะแค่เคยเจอหน้ากันบ้างก็คงงงๆมั๊งว่ากูหายไปไหนมาตั้งนานอะไรแบบนี้น่ะ ไม่รู้สิ”

“เมฆ มาจับคู่ซ้อมกับครูหน่อยมั๊ย” เราสองคนหันไปตามเสียงเรียก และคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเราก็คือครูวิชญ์ ครูสอนยูโดของที่นี่นั่นเอง

ครูวิชญ์เป็นผู้ชายวัยกลางคน อายุน่าจะราวๆสักสี่สิบปีได้ ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันเพราะผมไม่เก่งเรื่องเดาอายุคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาคนนี้ก็ยังดูแข็งแรงบึกบึนสมกับเป็นครูฝึกยูโดมาก หากลองดูและประเมินด้วยสายตาแล้ว เขาน่าจะสูงสักราวๆเกือบๆร้อยแปดสิบเซนติเมตรได้ ซึ่งก็คือพอๆกับไอ้เมฆ แถมน้ำหนักดูน่าจะไม่ต่ำกว่าแปดสิบกิโลกรัมแบบที่หนักไปทางกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน สรุปคือเรียกได้ว่าเป็นผู้ชายประเภทที่ถ้าคุณไม่บ้าก็คงตาบอดแน่ๆถึงจะกล้าเข้าไปมีเรื่องด้วย

“ก็ได้ครับ แต่ขอผมยืดเส้นอีกพักนึงนะ” ไอ้เมฆหันไปพยักหน้าให้กับเขา จากนั้นมันก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง “กูว่าแล้วเชียวว่าต้องโดน แม่งงง ครูวิชญ์อ่ะ เคยไปแข่งระดับชาติมาด้วยนะเว้ย ซวยจริงกู”

“แล้วไงวะ เค้าเก่งกว่ามึงมากเลยเหรอ มึงกลัวเค้ารึไง ตอบกูมาตามจริงนะ ไอ้ตัวดี”

ไอ้เมฆยิ้มอายๆนิดหน่อย “กูก็ไม่รู้ว่ะ ไอ้กลัวน่ะคงไม่กลัวหรอก เล่นกับครูมันก็สนุกดี และถ้าพูดจริงๆ ครูเค้าก็เคยบอกเหมือนกันว่ากูมีแววนะ แต่เค้าไม่รู้ไงว่าจริงๆแล้วกูไม่ชอบเล่นหรือใช้แต่ยูโดอย่างเดียวน่ะ มึงพอนึกออกป่ะ”

“เออ นึกออก และไม่ใช่แค่นึกด้วย แต่เห็นด้วยตาตัวเองมาหลายหนแล้ว” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง “นี่เมฆ ตกลงมึงคิดว่าไงวะ เรื่องตุ๊กตาหมีตัวนั้นน่ะ มึงได้คุยกับพี่จ๊อบหรือนัทมั่งรึเปล่า”

“สามหน” ไอ้เมฆพยักหน้า และเมื่อมันเห็นสีหน้าของผมมันก็เลยรีบพูดต่อขึ้นมาอีก “กูหมายถึง นับจากวันนั้นน่ะ พี่จ๊อบเค้ามีโทรมาหากูสามหน แต่กูไม่ได้รับโทรศัพท์เค้าเลย ล่าสุดก็เมื่อเช้าตอนกูอาบน้ำมั๊ง”

“แล้วกับนัทล่ะ ได้คุยรึเปล่า”

“กูโทรไปรอบนึง แต่เค้าไม่ได้รับโทรศัพท์ แล้วก็ไม่ได้โทรกลับด้วย กูก็เลยไม่ได้ทำอะไรต่อ........ เฮ้ย อย่าเพิ่งน่า มึงอย่าเพิ่งเครียดเลย กูอุตส่าห์ลากมึงมาที่นี่ก็เพื่อออกกำลังได้ระบายๆความเครียดออกไปมั่งนะเว้ย เอางี้ ตอนนี้มึงวอร์มๆไปก่อนแล้วกัน นั่งดูกูก็ได้ แล้วอีกสิบห้านาที ไม่สิ เชี่ย นานไป ตายห่าพอดี เอาแค่ไม่เกินสิบนาที กูจะกลับมาจับคู่กับมึงเอง”

ผมพยักหน้าตอบ จากนั้นไอ้เมฆก็ลุกขึ้นเดินออกไปหาอาจารย์ของมัน และทั้งคู่ก็เดินมาหยุดอยู่ที่กลางห้อง ผมยืนมองไอ้เมฆกับอาจารย์วิชญ์ผลัดกันรุกและรับจนลืมเวลาไปเลยทีเดียว ทั้งสองคนเก่งและสูสีกันมาก และถ้าสายตาของผมมองไม่ผิด ทั้งคู่นั้นเล่นกันแบบเอาจริงเอาจังมากทีเดียว ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็น่าจะเกิดมาจากไอ้เมฆที่มักเอาจริงเอาจังอยู่เสมอนั่นเอง แต่ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของมันก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังมีความสุขและสนุกมากขนาดไหน

ผมยืนมองทั้งสองคนผลัดกันทุ่มและถูกทุ่มจนเพลิน และเมื่อผมรู้สึกตัวอีกที ไอ้เมฆก็กำลังบอกขอบคุณอาจารย์วิชญ์และเดินตรงเข้ามาหาผมแล้ว

“ไง เครื่องเย็นไปรึยัง” ไอ้เมฆถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“แล้วมึงเครื่องร้อนพอรึยังล่ะ”

“พร้อมจะถูกกูทุ่มรึยัง”

“แล้วมึงพร้อมจะเหนื่อยเป็นหมาหอบแดกรึยังล่ะครับ ก้อนเมฆ”

เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน จากนั้นไอ้เมฆก็ดึงข้อมือผมไปที่กลางห้อง “สามนาที กูให้มึงทุ่มกูได้เต็มที่เลยสามนาที กูจะตบเบาะอย่างเดียว”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความประหลาดใจ “ตลกและ ไอ้ตัวดี จะดูถูกกูไปหน่อยแล้วม๊าง แล้วแบบนี้มันจะไปสนุกอะไรวะ มึงเล่นไม่ขัดขืนเนี่ย” ผมตบหัวมันเบาๆ

“ขัดขืนเด่ะ แต่กูจะหลับตาด้วย ให้มึงได้ระบายความเครียดให้เต็มที่เลยไงครับ ไอ้แสบ และหลังจากนั้นมึงจะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าโดนกูทุ่มอยู่ฝ่ายเดียวเลยไง”

“โห ดูถูกกันเกินไปมั๊งครับ ไอ้ตัวดี มึงพูดเองนะ เพราะงั้นอย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกันนะเว้ย”

แต่ปรากฏว่าสามนาทีที่ผมควรจะเป็นต่อกลับไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดเลย ถึงทุกครั้งที่ผ่านมาการมีไอ้เมฆเป็นครูฝึกส่วนตัวให้จะค่อนข้างได้เปรียบกว่าการที่ผมไปเข้าคอร์สเรียนเดี่ยวๆ นั่นก็คือ ถึงผมจะไม่ได้เรียนตามสเต็ป ไม่ได้เรียนตามขั้นตอนของสายสีโดยต้องมานั่งเริ่มต้นจากพื้นฐานใหม่ แต่ผมก็ได้ฝึกในแบบที่คนอื่นๆไม่ได้ฝึกด้วยเช่นกัน เช่นเทคนิคการเข้าจับยึด การทุ่มท่ายากๆ และการนำไปใช้จริง แต่ว่าผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจริงๆแล้วไอ้เมฆมันเก่งมากขนาดไหน ถึงผมจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันมีฝีมือ แต่ก็ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับเวลาสามนาทีที่ผมจับคู่กับมันอยู่นี่ได้เลย และนี่ขนาดมันหลับตาและปล่อยให้ผมบุกได้ตามใจชอบแล้วนะ ผมยังทุ่มมันลงเสื่อแบบเต็มๆตัวเต็มๆหลังได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง

และหลังจากหมดเวลาสามนาทีตามที่ตกลงกันไว้แล้ว อีกเกือบสิบนาทีถัดมา ผมก็โดนมันจับทุ่มซะจนจุใจเลย

“หลังจากนี้แล้วจะไปต่อที่คลาสเทควันโดอีกมั๊ยครับ ท้องฟ้า” ไอ้เมฆก้มหน้าลงมาถามผมพร้อมเสียงหอบเบาๆทั้งๆที่ยังคงยึดจับแขนเสื้อผมเอาไว้ ส่วนผมก็นอนเหงื่อแตกหงายหลังแผ่หลาอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งความอายต่อสายตาของคนรอบข้างอีกต่อไป

“มึงจะได้เตะกูเป็นกระสอบทรายอีกอ่ะดิ่ แม่งงงง” ผมหอบพร้อมกับชันตัวลุกขึ้นยืน และเดินนำมันออกจากกลางห้องไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง “ฝากไว้ถึงคืนนี้ก่อนก็แล้วกันมึง แล้วจะได้รู้กัน ไอ้ตัวดี”

ไอ้เมฆหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วเหวี่ยงขาขึ้นมาเตะกลางลำตัวผมเบาๆหนึ่งที “งั้นตอนบ่ายตกลงเราจะไปกันชัวร์ใช่มั๊ย แต่มันจะได้อะไรขึ้นมารึเปล่าวะ กูไม่ค่อยแน่ใจเลย”

“แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรว่ะ เพราะมึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าตุ๊กตาหมีตัวนั้นมันเป็นแบบสั่งทำ เพราะงั้น เราลองไปดูที่ร้านกันดูก่อนดีกว่าว่ามีคนเคยมาสั่งอะไรเอาไว้มั่งมั๊ย แล้วค่อยดูกันอีกทีว่ามันจะเป็นอย่างที่กูคิดรึเปล่า”


fc_uk

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณครับ น่าติดตามสุดสุด

ผมจะนอนรอตอนต่อปายยยย  :a4:

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณครับผม....

niph

  • บุคคลทั่วไป
บททดสอบกับตลกร้ายของใครบางคน

หรือนี่จะเป็นหนึ่งในต้นเหตุของความร้าวฉาน

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
เล่นอารายกันอยู่เนี่ย สงครามจิตวิทยาแบบนี้ น่าปวดหัวแทนจัง

 :a6:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
เข้ามาดันให้พี่ชาย ๆ  :m13:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :oni2: อยากทำกิจกรรมกับแฟนบ้างจังถ้ามี :เฮ้อ:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 17


ผมกับเมฆจอดรถที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่เมฆบอกผมว่าเป็นที่ที่มันเคยซื้อตุ๊กตาหมีตัวนั้นให้นัทเมื่อกว่าสี่ปีก่อน เราสองคนเดินตรงไปยังชั้นใต้ดินเพื่อไปถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวตุ๊กตาและคนที่มาเป็นลูกค้าของร้านกับเจ้าของร้านผู้หญิงหน้าตาใจดีคนหนึ่งทันที

“มันก็ใช่ค่ะว่าร้านเราไม่ได้ทำตุ๊กตาสำเร็จออกมาแล้วมาวางขายให้คนเลือกซื้อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหมีทุกตัวนั้นแฮนด์เมคขึ้นมาหมดนะคะ มันก็แค่ชุดแต่ละชุดหรือหน้าตาเครื่องประดับของตุ๊กตาเท่านั้นเองที่ลูกค้าจะสามารถเลือกเองหรือแม้แต่สั่งเราทำได้” เจ้าของร้านตอบกลับมา

“หมายความว่า นอกจากชุดนักเรียน ตำรวจ หรือชุดทหารพวกนี้แล้ว......” ผมชี้ไปยังเหล่าตุ๊กตาที่ตั้งเรียงกันอยู่หน้าร้าน “เราสามารถบอกได้ใช่มั๊ยครับ ว่าอยากให้ชุดมันเป็นยังไง สีไหน หรือเพิ่มเติมอะไรลงไป”

“ใช่ค่ะ อย่างเช่นสัญลักษณ์ ชื่อย่อ เครื่องประดับอะไรพวกนั้นก็จะแล้วแต่คนที่สั่งมา หรือบางคนถึงขนาดเอาพวกเครื่องประดับจริงๆมาให้พี่ติดเข้ากับชุดหรือตัวตุ๊กตาเองเลยด้วยซ้ำ”

ผมกับเมฆหันมาสบตากันและพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เราสองคนคิดกันเอาไว้นั้นมันไม่ผิดเลยจริงๆ

“งั้นมันก็เป็นไปไม่ได้สินะครับ ถ้าตุ๊กตาสองตัวมันจะออกมาเหมือนกันเป๊ะ ไม่ว่าจะสี รูปร่าง หน้าตา ขนาด และเสื้อผ้า เว้นแต่จะมีคนเอาแบบมาให้ที่ร้านแล้วก็สั่งทำให้มันออกมาเหมือนกันเป๊ะๆน่ะ” ไอ้เมฆถาม

“ก็....... ใช่ค่ะ คือจริงๆแล้วจะบอกปากเปล่าก็ได้ว่าอยากจะให้ทำแบบไหน แต่ถ้าอยากจะให้เหมือนกันจริงๆมันก็คงต้องมีแบบหรืออย่างน้อยๆก็รูปถ่ายให้ดูน่ะค่ะ”

“แล้วมีมั๊ยครับ” ผมถาม และเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของเจ้าของร้าน ผมจึงอธิบายต่อ “ผมหมายถึงว่า แล้วมีใครที่ทำอะไรแบบนั้นรึเปล่าครับ เอาต้นแบบหรือรูปถ่ายอะไรมาให้พี่ทำหมีอีกตัวนึงขึ้นมาน่ะ”

เจ้าของร้านสาวทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“มีงั้นเหรอครับ ถ้างั้นผมถามได้มั๊ยครับ ว่าเค้าเอาหมีแบบไหนมาให้ทำ” ผมถาม เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับคำตอบที่กำลังจะได้รับ

“เป็นหมีสวมชุดกะลาสีค่ะ แต่ถ้าถามรายละเอียดแล้ว...... พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะ เพราะมันก็ผ่านมากว่าสองอาทิตย์แล้วน่ะ”

“ถ้างั้นคนที่มาสั่งให้ทำนั่นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ” ไอ้เมฆถามขึ้นบ้าง และคราวนี้เจ้าของร้านก็ตอบกลับมาโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว

“ผู้ชายค่ะ”

เย็นนั้นหลังจากที่ผมกับไอ้เมฆกลับบ้าน และเนื่องจากพ่อเล็กยังคงออกไปธุระนอกบ้านยังไม่กลับ เราสองคนจึงเอาตุ๊กตาหมีเจ้าปัญหาตัวเดิมมาตั้งไว้ที่กลางโต๊ะกินข้าว แล้วเราก็นั่งคุยกันถึงเรื่องราวและข้อมูลทั้งหมดที่เรามีในตอนนี้

นับจากวันแรกที่ผมได้รับเจ้าหมีตัวนี้มามันก็ผ่านมาแล้วหลายวัน และตอนนี้สภาพของตุ๊กตาตัวนี้ก็ดูแย่ยิ่งกว่าวันแรกที่ผมได้รับมันมาเสียอีก ทั้งนุ่นด้านในที่หลุดทะลักออกมาแทบจะตลอดเวลาเนื่องจากส่วนหัวที่ขาดออก ลำตัวที่ถูกกรีด เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและเริ่มมีรอยเปื้อน และรอยเลือดที่แห้งกรังจนเป็นสีคล้ำในบางจุดก็ยิ่งส่งให้ผมรู้สึกขยะแขยงเจ้าหมีตัวนี้มากขึ้นไปอีก

“ตกลงก็คือ ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของมึงก็คือพี่จ๊อบใช่มั๊ย” ไอ้เมฆหยิบส่วนหัวของตุ๊กตาขึ้นมาถือเล่นอยู่ในมือ

ผมพยักหน้า “แล้วมึงคิดว่าไง”

“ไม่รู้ว่ะ ถ้าตัดสินจากที่ถามมาจากที่ร้านมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นได้อย่างเดียวนะ แต่ที่สุดแล้วมึงคิดว่าพี่เขาทำไปทำไมวะ”

“จงใจแกล้งกูมั๊ง กูคิดออกแค่นี้เอง” ผมยักไหล่ “ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไม มันอาจจะแค่ทำเพื่อให้กูไม่สบายใจเล่นเฉยๆก็ได้ ซึ่งกูคิดว่ามันเป็นวีธีที่ไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยจริงๆว่ะ แถมที่สำคัญวันนั้นมึงก็ยังเสือกปิดมือถืออีกซะนี่ กูก็เลยยิ่งกังวลหนักมากเข้าไปใหญ่ เลยเข้าทางมันไปเลยพอดี”

ไอ้ตัวดีทำปากขมุบขมิบพึมพำออกมาเบาๆเป็นทำนองว่า “ก็แบตมันหมดนี่หว่า”

“แต่ถึงงั้นก็เหอะ มึงคิดว่าไงล่ะ........” ผมมองไปทางตุ๊กตาไร้หัวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ “คนที่รู้เรื่องตุ๊กตาหมีตัวนี้น่ะ ไม่สิ กูหมายถึง ตุ๊กตาแบบนี้ที่มึงซื้อมาตอนแรกนี่น่ะ มันก็น่าจะมีอยู่แค่สี่คน นั่นก็คือ มึง นัท ไอ้พี่จ๊อบ และกู ถูกมะ นี่กูเรียงตามลำดับเวลาด้วยนะ มึงซื้อตุ๊กตาให้นัท นัทได้รับ พี่จ๊อบเป็นแฟนนัทและคงเคยเห็นมันบ้างที่ห้องของนัท สุดท้ายก็คือกูที่เพิ่งรู้ว่ามึงเคยซื้ออะไรแบบนี้ให้นัทเท่านั้นเอง” ผมพูดพลางหยิบส่วนหัวของตุ๊กตาออกมาจากมือของไอ้เมฆ แล้ววางมันกลับลงไปบนคออันควรจะเป็นที่ตั้งของมัน แต่มันก็หลุดหล่นลงมากลิ้งอยู่ข้างๆส่วนลำตัวเหมือนเคย

“พี่จ๊อบมันจะกล้าเข้าบ้านนัทเหรอวะ” เมฆหัวเราะเบาๆ “กูว่าพี่เค้าคงต้องใจกล้า และเป็นแฟนที่ดีสุดๆเลยว่ะถึงจะทำได้ขนาดที่เข้าไปในห้องนอนของนัทน่ะ หรือถ้าพูดจริงๆแล้วเนี่ย ภาพลักษณ์ของพี่จ๊อบในฐานะแฟนของนัทต้องออกมาดูดีมากๆโคตรๆเลย”

“ทำไมวะ”

“มันก็มีอยู่สองเหตุผลน่ะนะ”

“สองเหตุผลเหรอ” ผมนิ่วหน้า “ยังไงวะ”

“ก็พ่อนัทเป็นตำรวจ มึงจำไม่ได้เหรอ ตำรวจใหญ่ด้วย ขนาดกูเองแต่ก่อนนี้นะ จะเข้าบ้านเค้าทียังเกร็งแทบตายห่าเลย พ่อนัทแม่งดุมากกกก” ไอ้เมฆลากเสียง “แต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ยังค่อนข้างโอเคกับกูนะ ถึงจะดุ แต่ก็ยอมรับกูในระดับหนึ่ง กูก็เลยไม่มีปัญหาอะไรมาก แถมกูก็ไม่ได้ไปบ้านนัทบ่อยด้วย เข้าไปข้างในนี่นับหนได้ ส่วนขึ้นห้องนอนนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย........ แต่หลังจากที่กูทิ้งลูกสาวเค้าไปอังกฤษนี่ กูก็ไม่รู้แล้วว่าว่าพ่อเค้าจะยังโอเคกับกูอยู่รึเปล่าน่ะ” ไอ้เมฆหัวเราะในลำคอเบาๆ

“แต่ไอ้พี่จ๊อบมันก็ดูดีในระดับหนึ่งน่ะ กูว่ามันดูเป็นผู้ชายกะล่อนๆดี ทั้งท่าทาง หน้าตา และน้ำเสียงของมัน ดูท่าทางว่าถ้ามันอยากจะประจบใครก็คงทำได้ไม่ยากหรอก” ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆพร้อมกับยิ้มเหยียดๆเมื่อถึงหน้าตาท่าทางของไอ้ปลาไหลนั่น “ขนาดนัทเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยนี่ ว่าถูกมันหลอกแดกเอาน่ะ”

“ก็คงเป็นกันทั้งตระกูลมั๊ง” ไอ้เมฆยักไหล่ และเมื่อมันเห็นสีหน้าสงสัยของผมมันก็รีบอธิบายต่อ “นี่แหละ คือเหตุผลข้อที่สองที่มึงยังไม่รู้ บ้านพี่จ๊อบน่ะ ไม่สิ พ่อเค้าน่ะเล่นการเมืองด้วย อืมม....... ก็ไม่ได้เล่นระดับประเทศหรอก แค่ระดับเขตระดับพื้นที่น่ะ แต่นามสกุลของเค้าก็มีชื่อเสียงอยู่พอตัวในระดับหนึ่งเลยเหมือนกัน เห็นว่ามีทั้งเงินและอิทธิพลไม่เบา”

“แปลว่ามันไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไหร่สินะ”

“ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่” ไอ้เมฆส่ายหน้า “แต่กูก็ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอกนะ”

“แล้วมึงรู้เรื่องนี้มาจากไหนวะ ทำไมกูไม่เห็นรู้ล่ะ”

“กูเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง หลังจากที่มึงเล่าให้กูฟังเรื่องตุ๊กตาหมีนี่น่ะแหละ แต่กูยังไม่มีโอกาสได้บอกมึงเท่านั้นเอง เพราะกูรอจังหวะที่เราจะได้คุยกันแบบนี้อยู่น่ะ เรื่องของเรื่องก็คือกูลองสืบๆเสาะๆหาข้อมูลของนัทกับพี่จ๊อบมานิดหน่อยน่ะ แล้วก็เลยได้อะไรๆน่าสนใจมาหลายอย่าง”

“เช่นอะไรวะ” ผมขยับตัวเป็นนั่งหลังตรง

“ตอนแรกเลยกูก็ว่าจะถามๆรายละเอียดมาจากเพื่อนๆเราอย่างพวกไอ้วิท ไอ้กอล์ฟอะไรพวกนั้นน่ะนะ แต่กูคิดว่ามันอาจจะสงสัย และกูคิดว่ามึงเองคงยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ กูก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นถามคนสองคนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดแทน”

“สองคนงั้นเหรอ” ผมสงสัย เพราะทั้งๆที่มันเพิ่งบอกว่ามันรู้ว่าผมไม่อยากให้ใครรู้ แต่นี่มันกลับถามคนถึงสองคนแทนที่จะถามคนๆเดียวเพื่อกันไม่ให้เรื่องรั่วไหลนี่นะ

“คนแรกก็คืออีฟ กูก็แค่ถามเรื่องทั่วๆไปของนัทกับพี่จ๊อบธรรมดาๆเอง เพราะคืนวันเกิดกูนั้นมันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าพี่จ๊อบเขามาที่บ้านกูได้ยังไง มันก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรกูมากนัก แน่นอนว่ากูไม่ได้บอกมันเรื่องตุ๊กตาหมีนี่หรอก และสิ่งที่กูได้มาก็คือ นัทกับพี่จ๊อบคบกันมาตั้งแต่หลังจากกูบินไปอังกฤษได้ราวๆปีนึง และหลังจากนั้นเค้าก็คบกันมาตลอด แต่ว่าไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องภายในของเขาทั้งสองคนมากนัก นอกจากที่รู้ว่าพี่จ๊อบมันค่อนข้างจะเที่ยวเก่งและเจ้าชู้เท่านั้นเอง”

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ไอ้เมฆเล่าต่อ

“กูว่าแล้วว่ามึงต้องสงสัย คือ คำว่าเรื่องภายในที่กูพูดน่ะ มันหมายถึงว่า เค้าดีกันแค่ไหน ทะเลาะกันบ่อยมั๊ย และสนิทกับครอบครัวของแต่ละฝ่ายยังไง อะไรทำนองนั้นน่ะ คือ ไอ้เรื่องทะเลาะกันน่ะก็มีบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็มีน้อยคนจริงๆที่จะรู้เรื่องราวเบื้องลึกของทั้งสองคนนะ ซึ่งกูว่าก็คงไม่ค่อยแปลก เพราะเพื่อนๆเรามันก็ต่างคนต่างอยู่กันมาตั้งนานแล้ว มีแค่นานๆได้เจอได้คุยกันถึงได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวกันก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเท่าที่เพื่อนเรามันจะรู้กันได้ก็คงมีไม่มากเท่าไหร่แบบนี้แหละ กูก็เลยไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อมากมาย” ไอ้เมฆยักไหล่

ผมยังคงรู้สึกสะกิดใจเล็กน้อยกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา แต่ก็พยักหน้าออกไป “แล้วอีกคนที่มึงโทรหาล่ะ”

“มึงจำไอ้เอ็นได้มั๊ย” ไอ้เมฆยิ้มออกมา “ซี้กูตอนมอต้นไง ที่พอขึ้นมอสี่แล้วมันอยู่ห้องข้างๆเรา”

“จำได้ดิ่ ตอนนั้นมันก็เล่นบอลกับพวกเราอยู่บ่อยๆนี่ เอ้อ หมายถึงเล่นบอลกับพวกกูน่ะ แต่ว่ากูรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับมันมานานมากแล้วเลยว่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะ อืมมมม รู้สึกว่ากูจะแทบไม่ได้คุยกับมันเลยมาตั้งแต่........”

“ใช่ ตั้งแต่มันไปหนีไปเป็นตำรวจนั่นแหละ” ไอ้เมฆพยักหน้าและต่อประโยคให้จนจบ “พอจบมอสี่มันก็ออกจากโรงเรียนเราไปเข้าเตรียมฯแล้ว และมึงก็เลยไม่ค่อยได้เจอได้คุยกับมันไง มึงจะรู้สึกว่ามันนานก็ไม่แปลก”

“ก็คงใช่” ผมพยักหน้า “แล้วไง อย่าบอกนะว่ามึงไปคุยกับมันมาน่ะ เรื่องของนัทกับพี่จ๊อบเนี่ยนะ”

“ทั้งใช่และไม่ใช่ว่ะ” ไอ้เมฆหันไปมองตุ๊กตาหมีบนโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาสบตากับผม “ใช่ กูโทรไปคุยกับมันมา เพราะตั้งแต่มันออกจากโรงเรียนไปแล้วกูก็ยังคงติดต่อกับมันมาเรื่อยๆในระดับหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ กูไม่ได้คุยกับมันเรื่องนัทกับพี่จ๊อบหรอก แต่กูคุยกับมันเรื่องของพี่จ๊อบอย่างเดียวเลยต่างหาก”

“หมายความว่าไงวะ”

“มันน่ะ เป็นตำรวจ และไม่ใช่แค่มันด้วย พี่ชายมัน พี่เอ็มน่ะ ที่เคยเป็นรุ่นพี่เราที่โรงเรียนก็เป็นตำรวจเหมือนกัน ส่วนพ่อมันก็เป็น เรียกได้ว่าเป็นกันทั้งบ้านเลย เหลือน้องมันคนเดียวที่ยังเรียนนิติอยู่ แต่ช่างเหอะ คือเรื่องของเรื่องคือ หลังจากกูรู้มาจากอีฟว่าพ่อพี่จ๊อบเค้าทำงานอะไรและรู้ว่าบ้านเค้าอยู่แถวไหน กูก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าบ้านของไอ้เอ็นน่ะอยู่แถวๆบ้านของพี่จ๊อบพอดี แถมบ้านเพื่อนเราก็ยังเป็นตำรวจกันทั้งบ้านด้วย กูก็เลยคิดว่ามันอาจจะพอรู้อะไรบ้าง เพราะงั้นกูก็เลยโทรไปหามันไง”

“แล้วสรุปได้เรื่องว่าไงบ้างล่ะ”

“มึงต้องไม่อยากเชื่อแน่ๆว่าไอ้เอ็นมันตอบกูมาว่ายังไง” เมฆหัวเราะหึๆพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “มันบอกกูว่า ‘ถ้ามึงอยากมีความสงบสุขในชีวิตนะเมฆ มึงต้องไม่ไปข้องเกี่ยวกับไอ้ตระกูลนี้เด็ดขาด ก่อนที่มึงจะกลายเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงของพ่อมันที่สวนหลังบ้านน่ะ’”

มีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนเล็กน้อยหลังจากที่ไอ้เมฆพูดจบ ก่อนที่ผมจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“แล้วไง พ่อมันเลี้ยงอะไรเอาไว้ที่บ้านล่ะ” ผมถาม พลางเอื้อมมือไปคว้าส่วนหัวของตุ๊กตาหมีขึ้นมาถือเอาไว้ในมือแต่ก็ถูกไอ้เมฆดึงมันออกไปจากมือของผม

ไอ้เมฆถือหัวของตุ๊กตาหมีไว้ในมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ใช้มือขวาประคองมันไว้ด้วยท่าทางที่มันคุ้นเคย และผมเองก็เห็นมันทำท่าทางแบบนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พันหนแล้ว มันตั้งข้อศอกขวาขึ้นตั้งฉากกับพื้นห้อง ยกมือที่ถือตุ๊กตาอยู่ขึ้นไว้ที่เหนือหัว สายตาของมันเล็งเลยไปทางด้านหลังของผมอันเป็นที่ตั้งของตะกร้าหวายทรงสูง เมฆเหลือบมาสบตากับผมอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะปาของในมือออกไปแบบเดียวกับท่าทางตอนกำลังชู๊ตลูกบาสออกจากมือ

“จระเข้น่ะ”

เสียง ‘ตุบ’ เบาๆที่ดังขึ้นทางด้านหลังของผมบอกให้รู้ว่า ตอนนี้ส่วนหัวของหมีเปื้อนเลือดที่น่าสงสารตอนนี้ลงไปนอนกลิ้งอยู่ที่ก้นตะกร้าหวายใบนั้นเรียบร้อยแล้ว



ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นก&#
«ตอบ #148 เมื่อ20-12-2007 08:28:45 »

 :mc4: :m1: สืบสวนสอบสวนชองจริงแนวนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2007 08:41:45 โดย artday »

nartch

  • บุคคลทั่วไป
ตกลงบ้านคุณพี่จ๊อบนี่เป็นโรคจิตกันช่ายยยยยมะ....  :angry2:
ทำไมต้องเอาเมฆกะซันไปเกี่ยวกะพวกโรคจิตบ่อยจังงงงง
จับได้ตืบบบบบให้ตายยยยยย  :เตะ1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด