ตอนที่ 45เมื่อความรัก เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ .. แต่ถ้ามันจะเกิด อะไรก็ห้ามมันไม่ได้อยู่ดี เอากับมันสิ ไอ้ความรักนี้ เรื่องขี้ๆซะที่ไหน ..
“กินไรกันยังพวกมึง กูซื้อของมาฝาก” ผมเดินเข้าห้องคนป่วยที่เพิ่งออกไปเมื่อตอนบ่าย ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เลยซื้ออะไรติดไม้ติดมือเข้ามาด้วย
แต่เอ่อ .. ผมคงเข้ามาผิดจังหวะไปหน่อยสินะ .. และคงเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงด้วย ก็ภาพตรงหน้าที่เห็นมันคือภาพของไอ้เดชนั่งอยู่บนเตียงคนป่วยนั่งมองหน้ากันตาหวานเยิ้มจนมดแถวนั้นป่วยไปตามๆกัน
“กูว่ากูออกไปก่อนดีกว่า” ผมพูดกับตัวเอง
“เอ๊ย ไอ้โป้ มาตั้งแต่ตอนไหน” ไอ้เดชที่เผื่อสายตามามองผมบ้าง มองกลับมาทางผมแล้วทักขึ้น
“นึกว่าจะไม่สนใจกูซะแล้ว” ผมว่ามัน
“เข้ามาตอนไหนวะ ทำไมไม่เคาะประตูบ้าง” ไอ้โอ๊ตถาม มองสีหน้ามันแล้วคงดีขึ้น เพราะว่าได้น้ำเกลือไปหลายขวดแล้ว พรุ่งนี้คงออกจากโรงพยาบาลบ้าน หลังจากนี้ก็คงต้องบำบัดกันอีกเล็กน้อย เพื่อไม่ให้มันกลับไปเล่นยาบ้าๆนั่นอีก
“เออ กูขอโทษ กูไม่คิดว่าพวกมึงจะสปาร์คกันขนาดนี้” ผมแซวพวกมัน
“สปาร์คไรมึง” ไอ้โอ๊ตสวนมาแบบอายๆ
“แหมๆ ถ้ากูเข้ามาช้ากว่านี้ กูว่ากูคงได้เห็นอะไรเด็ดๆ” ผมยังไม่หยุดแซวก่อนจะส่งถุงของกินไปให้ไอ้เดช ที่ยืนยิ้มอายๆอยู่ไม่ห่างจากเตียง มันรับไปแล้วไปจัดการ
“ทะลึ่งนะมึง กูไม่นอกใจมึงหรอก” ไอ้โอ๊ตล้อผมครับ
“ให้มันแน่นะ อย่ารักใครมากกว่ารักกูละ กูไม่ยอมจริงๆด้วย” เล่นมาก็เล่นไปครับ
“พวกมึงเล่นกันไม่เกรงใจกูเลยนะ” ไอ้เดชครับ สวนมาทันที
“พวกมึงเป็นไรกัน ทำไมกูต้องเกรงใจ” ผมย้อนถาม ทำหน้ายักคิ้วใส่ไอ้เดช ไอ้เดชถึงกับเงียบหันไปมองหน้าไอ้โอ๊ตที่ส่งสายตาไม่รู้ไม่ชี้
“นั่นไง ก็ไม่เห็นจะเป็นไรกัน ..”
“เป็น !!” ผมพูดไม่ทันจบ ไอ้เดชก็ขัดขึ้น หันหน้ามามองผมอย่างจริงจัง มึงจะต่อยกูมั๊ยเนี่ย ก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้โอ๊ต ที่มันหันมามองไอ้เดชอย่างตกใจกับคำว่าเป็นของมันเหมือนกัน
“เป็นอะไรของมึง” แต่มีเหรอที่ผมจะยอม การงัดปากคนนี้ชอบนักชอบหนาแหละ
“ไม่รู้ ถามไอ้โอ๊ตเอาเอง” ไอ้เดชมีโบ้ยครับ
“เอ๊ย โยนขี้มาทางกูอีก” ไอ้โอ๊ตหันหน้าหนีครับ
“ปากหนักกันทั้งคู่” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ และเหมือนสองคนนั้นจะได้ยิน เพราะมันสองคนก็หันมามองทางผมเป็นตาเดียวกัน ผมเดินช้าๆ มานั่งที่โซฟาเยี่ยมไข้ สายตาของมันก็มองมาทางผมอย่างกับกล้องวงจรปิด เมื่อเห็นว่าผมทำเป็นไม่สนใจ พวกมันสองคนเลยสบตากัน เหมือนต้องการจะบอกอะไรกันและกัน
“เป็นแฟนกับกูได้มั๊ย .. ไอ้โอ๊ต”
อึ้ง ครับ อึ้ง อึ้งกันไปเลยทีเดียว ไอ้เราก็ไม่คิดว่ามันจะมามุขนี้ เล่นมาขอเป็นฟงเป็นแฟนกันหน้าเรา ไม่เขินไม่อายกันบ้างเหรอนั่น แต่คนที่อึ้งกว่าคงไม่ใช่ผมครับ แต่เป็นไอ้โอ๊ตที่นั่งมองบนเตียงตาค้าง ผมได้แต่ยิ้มๆให้กับสองคนนี้ เรื่องราวต่อไปก็ปล่อยให้เขาสองคนคุยกันเองดีกว่า หน้าที่เปิดปากของผมจบลงแล้ว ผมยิ้มให้กับไอ้เดชอีกครั้ง ก่อนจะลุกเดินออกจากห้อง
“จะไปไหนไอ้โป้” ไอ้โอ๊ตเรียกผมเสียงเยือกเย็น ผมรู้สึกเสียวสันหวังวาบเลย
“มีไร” ผมเอี้ยวคอไปถามอย่างงงๆ
“เริ่มแล้ว ก็อยู่ต่อให้จบดิ” มันบอกผม
“อะไรอีกกกก” ผมถามลากเสียง
“อยากรู้ แล้วทำไมไม่อยู่ฟังละ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อยู่เป็นพยานรักให้เพื่อนหน่อยไม่ได้เหรอ” มันบอกผมพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“อุ๊บ๊ะ พูดยังกับจะแต่งงานกัน” ผมแซวเล่นไป
“เอ้า จะทำอะไรก็ทำ จะพูดอะไรก็พูด กูทั้งเขิน ทั้งอายแทนหมดแล้วนี่ ยิ่งไอ้เดชนะ ไม่ต้องพูดถึง” ผมบอกมันก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้เดชที่ยืนบิดๆลุ้นๆ อย่างกับคนปวดเยี่ยว
“มึงพูดว่าอะไรนะไอ้เดชเมื่อกี้ กูไม่ได้ยิน” ไอ้โอ๊ตหันไปคุยกับไอ้เดชครับ ไอ้เดชเงยหน้ามามองอย่างกลัวๆ พร้อมกับเกาหัวอย่างอายๆ
“กูบอกว่าเป็นแฟนกับกูได้มั๊ย” ไอ้เดชพูดออกมาเบาๆ แต่ก็พอได้ยินครับ
“มึงพูดว่าอะไรนะ กูไม่ได้ยิน เข้ามาใกล้ๆซิ” แหม ไอ้โอ๊ต มารยาเยอะจริงๆนะมึงเนี่ย ผมยืนอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเลย แต่ไอ้เดชก็เชื่อครับ เชื่องด้วย ไอ้โอ๊ตเรียกก็เดินเข้าไปใกล้ๆเตียง
“มาอีก ..” ไอ้โอ๊ตบอก
“แล้วพูดใหม่” มันยิ้มได้ใจครับ ไอ้เดชก็ยิ้มเขินเหมือนกัน ก็ตอนนี้ตัวมันห่างกันไม่ถึงสิบเซน ไอ้โอ๊ตเหมือนจะลงจากเตียงคนป่วยมาคุยกันมันยังไงยังงั้น
ไอ้เดชคงรู้ตัวครับ ว่าโดนไอ้โอ๊ตเล่นซะแล้ว และเหมือนต้องรีบข่มบ้าง มันเลยโน้มตัวเข้าไปใกล้ไอ้โอ๊ต ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น โอ๊ยยยย กูเขินแทน ผมเอามือมาปิดตา ไม่กล้ามองภาพข้างหน้านั้น แต่นิ้วทั้งห้าก็อ้าออกมาให้เห็นอยู่ดี
“เป็นแฟนกับผมนะครับ โอ๊ต”
อ๊ากกกกกกกกกกก ขอโรแมนซ์กว่ากูอีก พูดเพราะซะผมขนลุกเลย หยึ๋ยๆๆ อะไรของพวกมันสองคนเนี่ย ผู้ชายแมนๆ มีกล้าม รูปร่างสมส่วน หน้าเถื่อนเรียนช่าง มาจีบกันต่อหน้าต่อตา คิดแล้วสยิว แอบคิดถึงคู่ตัวเองว่ามันจะเหมือนคู่นี้มั๊ยนะ ไม่หรอก น้ำมนต์น่ารัก และผมก็หล่อซะขนาดนั้น คงจะดูเหมาะสมกันอย่างกับดอกฟ้าและหมาพันธุ์
พอๆ วกกลับเข้ามาดูพวกมันสองคน ที่จ้องตากันอย่างกับจะกลืนกินกันแล้ว
“ไอ้โอ๊ต มึงจะเป็นไม่เป็นก็ตอบไปสิวะ กูลุ้นจนเยี่ยวเหนียวแล้ว” ผมบอกไปอย่างหงุดหงิด
“ก็กูไม่รู้จะตอบยังไงนี่ ไม่เคยมีใครมาขอกูเป็นแฟน” นั่น มามุกคล้ายๆน้ำมนต์เลย
“ถ้าเป็นจูบมัน ไม่เป็นมาจูบกู” ผมบอกเงื่อนไขมันไป แต่ไม่วายขอเข้ามีส่วนร่วม และถ้ามันจะมาจูบผมจริง ไม่เป็นไร
ผมวิ่งได้
สองคนนั้นขำๆกับเงื่อนไขที่ผมเสนอไป ไอ้เดชมองหน้าไอ้โอ๊ตอย่างกับรอคำตอบ ใจมันคงสั่นอยากกับแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ ไอ้โอ๊ตยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มแบบเด็กๆ รอยยิ้มที่ผมคิดว่าน่ารักสมวัยเหมาะกับไอ้โอ๊ตตอนนี้มาก
“อยู่ใกล้กันซะขนาดนี้แล้ว จะไปไขว่คว้าหาคนอื่นจูบทำไม”
สิ้นประโยคนั้นปากของไอ้โอ๊ตก็ประกบเข้ากับปากของไอ้เดช ผมปิดตาหยีโดยที่มือยังอยู่ข้างลำตัว ยอมรับว่าเขินอาย และค่อนข้างอิจฉา แต่ก็ไม่กล้ามองว่าพวกมันจะทำอะไรกันต่อไป ผมรีบหันหลังให้ ลืมตา แล้วเดินออกจากห้องนั้นอย่างช้าๆ
ภาพเบื้องหลังตอนนี้จะเป็นอย่างไรผมว่าไม่สำคัญเท่ากับภาพต่อจากนี้ ความรักที่จะเริ่มต้นไปพร้อมๆกับลบล้างความเจ็บช้ำของทั้งสอง บาดแผลจากความรัก ต้องใช้ยาใจเท่านั้นครับในการรักษา และคนที่มียาใจ ก็คือคนที่เราพร้อมจะมอบใจให้เค้าไป ..
รักษากันดีๆนะครับ
ถ้าเราอยากให้เวลาหมุนไปไวๆเท่าไหร่ เวลามันก็จะดูเชื่องช้าไม่ทันใจเราเมื่อนั้น แต่ถ้าหากเราอยากยื้อรั้งเวลาไว้ มันก็กลับไปไวให้ไม่ได้อย่างใจตลอดสินะ แต่นั่นคงจะเป็นเมื่อก่อนสำหรับผม เพราะตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าเวลาของผมกำลังเดินตามเข็มทีละติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก อย่างที่มันควรจะเป็น
มีใครอยากเร่งเวลาให้ผมบ้าง .. แล้วมีใครอยากยื้อเวลาให้ผมบ้างเหมือนกัน ? ถามไปอย่างนั้นแหละครับ ไม่มีใครส่งผลกับคนอื่นได้ เท่ากับตัวเองหรอก จริงมั๊ย ?
วันนี้ผมมาแปลกว่ะ คิด พูด ทำอะไรก็ดูเป็นปรัชญาไปหมด คนมันมีความสุขนี่ครับ จะไปมองอะไรๆให้มันเกิดขึ้นในทางลบทำไม แต่ถ้าให้บอกว่าสุขเรื่องอะไรก็คงบอกกันเยอะหน่อย งั้นเอาง่ายๆ สั้นๆ แล้วกันนะครับ ว่าทำไมผมถึงรู้สึกว่ามีความสุขแบบนี้
“เพราะว่าผมมีคนที่ผมรัก เป็นครอบครัว น้ำมนต์และกลุ่มเพื่อนของผม และเขาเหล่านั้นก็รักผมด้วย”
แค่นี้แหละครับ สุขแบบย่อๆของผม แต่ดูยิ่งใหญ่จริงๆ .. ว่ามั๊ยครับ
ถ้าขึ้นย่อหน้าใหม่ย่อหน้านี้เพื่อบอกว่าหลายวันผ่านมา คงดูจะเป็นนิทานซะเกินไป แต่ตอนนี้เวลาของผมมันก็เดินไวกว่าที่คิดนั่นสิ ไอ้โอ๊ตออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ ทุกอย่างกลับมาดำเนินไปอย่างช้าๆอีกครั้ง
“ตกลงไอ้โอ๊ตกับไอ้เดชคบกันเหรอวะ” ไอ้เอ็มถามผม ขณะนั่งรอคนอื่นๆที่จะตามมาสมทบที่ร้านเหล้าเจ้าประจำของพวกเรา น้ำมนต์ก็มาครับ แต่รอมาพร้อมหญิงและช้างน้อย ผมกับไอ้เอ็มมานั่งรอกันก่อน เพราะพวกเค้ายังเคลียร์งานกันไม่เสร็จ
“เออ ประมาณนั้นแหละ” ผมตอบมันไป มือก็คนแก้วเหล้าที่เพิ่งใส่โซดาลงไป
“มีอีกคู่แล้วไงแก๊งค์เรา ชายชายอีกแล้ว กูเหมือนแปลกแยกเลย”
“แปลกแยก ยังไงวะ ?” ผมมองหน้าก่อนยกเหล้าขึ้นซด
“ก็กูมีแฟนผู้หญิงคนเดียวไง” มันพูดแล้วยิ้มภูมิใจในความเป็นชายชาตรีของมัน
“ยังมีพี่เอก ไอ้บ่าวนี่ และไม่ว่าใครมีแฟนเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง ก็ไม่ได้ทำให้กลุ่มเรามีปัญหาอะไรนี่” ผมบอกมัน
“อืม มันก็จริง”
“หรือมึงมีข้อสงสัยอะไร” ผมถามมันอย่างเป็นทางการ
“เปล่าครับนายหัวโป้ ผมจะกล้าไปสงสัยอะไร” มันก็ตอบผมมาอย่างเป็นทางการเหมือนกัน
ไอ้เอ็มมันเพื่อนผมตั้งแต่ประถมครับ มันก็รู้รสนิยมผมตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันรับเรื่องพวกนี้ได้ และผมว่าต่อไปทุกคนก็ต้องรับมันได้เหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่อยากมีใครถูกมองว่าวิปริต หรือว่าแปลกแยกหรอกครับ แต่การทำตามสิ่งที่เสียงหัวใจเรียกร้อง ก็ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นด้วย
ความรักในรูปแบบนี้จึงต้องมีขอบเขต ขอบเขตในการแสดงออก ขอบเขตในการแสดงความคิด หรือพูดง่ายๆ ในที่สาธารณะก็อย่าให้มันมาก แต่สำหรับผม ผมสนซะที่ไหนละ .. คนมันรักนี่ ใครมีปัญหาก็มาตีกัน ฮ่าๆๆ
“โน่นไง ผัวเมียคู่ใหม่มาแล้ว” ไอ้เอ็มพูด พร้อมกับสายตาที่มองไปที่หน้าร้าน เป็นไอ้โอ๊ตกับไอ้เดชครับ สองคนนี้ก็เหมือนเดิมครับ คบกันเป็นแฟน แต่การแสดงแบบเพื่อน อาจจะห่วงใยดูแลกันมากขึ้น แต่มองภายนอกและไม่บอกนี่ไม่รู้จริงๆครับ ว่ามันเป็นแฟนกัน
“มึงนินทาอะไรกูไอ้เอ็ม” ไอ้โอ๊ตครับ อย่างกับมีหูทิพย์
“เปล่านี่ ไม่เชื่อมึงถามไอ้โป้ดู” มันโยนมาทางผมครับ
“มันนินทา”
“อ้าววว แสด ไม่ช่วยกันเลยนะมึงนะ” ผมเป็นคนดี ไม่อยากโกหก
“ไอ้โป้ไม่บอกกูก็พอรู้ กูกับไอ้โป้อ่ะ มองตาก็รู้ใจแล้ว” ไอ้โอ๊ตครับ พอมีแฟนแล้วกล้าเล่นกับผมมากขึ้นนะรู้สึก
“เหรอจ๊ะ มองตารู้ใจเลยเหรอ” ไอ้เอ็มแซวครับ
“เอ๊ยๆๆ อย่าดึงกูเข้าไปพัวพัน เดี๋ยวผัวมึงต่อยกู” ผมบอกพร้อมทำท่าไม่สนใจ
“มึงจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอไอ้เดช” ไอ้เอ็มถามขึ้นครับ
“ไม่เอาอ่ะ กูชอบแสดงความรัก มากกว่าแสดงความคิดเห็น”
“โอ้ววววววววววววว” เอากับมันสิครับ ผมกับไอ้เอ็มถึงกับครวญครางกันเลยทีเดียว ไอ้นี่มันพูดน้อยต่อยหนักจริงๆ พูดมาทีนึงเล่นเอาไอ้โอ๊ตเขิน เงียบกริบกันไปเลยทีเดียว ไม่พูดเปล่านะครับ ยังเอามือไปโอบเอวของไอ้โอ๊ตไว้ด้วย ไอ้นั่นก็ยิ่งเขิน
“หมั่นไส้วะ” ไอ้เอ็มจิ๊ๆ ในลำคอ
อีกสักพักเพื่อนๆคนอื่นก็ตามกันมาครับ น้ำมนต์กับเพื่อนๆก็มาถึงเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกชอบบรรยากาศแบบนี้ที่สุดครับ บรรยากาศที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะเป็นแฟนหรือว่าเพื่อน มันทำให้ผมยิ้มไปได้กับรสเหล้าอ่อนๆที่อยู่ในแก้ว และคนหนึ่งคนที่นั่งข้างๆ มีแค่มือที่จับกันไว้อย่างหลวมๆ สบตาแล้วยิ้มๆ โดยไม่ต้องพูดอะไรมากมาย
“มีแต่คนมีแฟนเว๊ย กูละเบื่อจริงๆ” พี่เอกพูดมาท่ามกลางเสียงของคู่รักแต่ละคู่นั่งคุยกัน
“ไรกันพี่ ยังมีผมที่โสดเหมือนพี่นะ” ไอ้บ่าวช่วยพี่มันครับ
“โสดจริงอ่ะมึง พูดแบบนี้น้องช้างน้อยน้อยใจแย่” พี่เอกพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าช้างน้อย ที่ตอนนี้กำลังหยิบแก้วเหล้าขึ้นซดหมดแก้ว
ไอ้บ่าวก็เหมือนกันครับ มันยกแก้วเหล้าขึ้นมาตามๆเหมือนกัน .. สองคนนี้กำลังคิดอะไรของเค้าอยู่อีกนะ
“เราสองคนเป็นเพื่อนกันพี่เอก ใช่มั้ยช้างน้อย ?” ไอ้บ่าวบอกทุกคนให้ได้ยิน ช้างน้อยยิ้มๆให้กับคำพูดของไอ้บ่าว
“อ่า .. ใช่” ช้างน้อยตอบมาแบบค่อยๆ บรรยากาศของราตรีคืนนี้ดูอึมครึมขึ้นมาทันที
“เอ๊ย เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว แล้วทำไมต้องเศร้ากันทั้งสองคนด้วยวะ กูละไม่เข้าใจ” พี่เอกบอกทั้งสองคนครับ ไอ้บ่าวเลยหันมองหน้าช้างน้อย เช่นเดียวกันที่สองคนนั้นหันหน้ามองกันพอดี เหมือนสองคนนี้มีเรื่องอะไรจะพูดกัน เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยปากก่อนก็เท่านั้น
“นาย ..” น้ำมนต์เรียกผมครับ เสียงเหมือนจะดูมึนๆแล้ว ผมเลยเลิกสนใจคู่ไอ้บ่าวช้างน้อย มาสนใจตัวเอง
“มีไรครับ” ตอบไปเพราะๆหน่อย เพราะเวลาน้ำมนต์มึนๆนี่น่ารักอย่าบอกใครเลย
“เราอยากร้องเพลงให้นายฟัง” เอ่อ อึ้งสิครับ อยู่ๆก็มาอ้อนบอกว่าอยากร้องเพลงให้ผมฟัง มาไม้ไหนอีกเนี่ยน้ำมนต์ของผม ผมก็ได้แต่ยิ้มครับ
“ว่าไงนะ ?” ขอถามอีกที เผื่อหูฝาดไป
“เราอยากร้องเพลงให้นายฟัง ที่ติดค้างนายไว้ไง” น้ำมนต์บอกผมครับ ก่อนจะยิ้มซะผมใจละลาย
“เอางั้นเหรอ แล้วจะร้องเพลงอะไร”
“ไม่บอก เดี๋ยวรู้เองนั่นแหละ” ยังไม่หยุดครับ ยิ้มอะไรของมันเนี่ย
“น่ารักใหญ่แล้วนะเราเนี่ย” ผมบอกมันพร้อมกับเอามือหยิกแก้มมันเบาๆ ก่อนที่จะลุกไปคุยกับเจ้าของร้าน ให้จัดแจงเครื่องดนตรีให้หน่อย อย่างที่บอกนั้นแหละครับว่าร้านนี้พวกผมมากันบ่อย จึงสนิทชิดเชื้อกันดี
ผมนัดแนะกับนักตนตรีไว้แล้วก็เดินมาบอกน้ำมนต์ว่าไปร้องได้แล้ว แปลกใจจริงๆกับน้ำมนต์ครับ ที่จะมาร้องเพลงให้ผมที่ร้านนี้ มันไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง ..
น้ำมนต์ยิ้มให้ผมก่อนที่จะเดินไปนั่งบนเวทีเล็กๆของร้าน มันนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางไว้ และมีไมค์กับขาตั้งที่ปรับไว้อย่างพอดี ทุกคนบนโต๊ะหันไปสนใจน้ำมนต์ที่กำลังกลายเป็นที่สนใจของคนทั้งร้าน ภาพของเด็กศิลป์เสื้อยีนส์เก่าๆ กับทรงผมที่กล้าวมวยไว้ข้างบนแบบทรงเดิมๆของมัน รอยยิ้มแบบใสๆเด็ก และหน้าตาที่ดึงดูดให้ทุกคนสนใจ ผมห่วงและหวงมันจนอยากเข้าไปดึงกลับมานั่งที่โต๊ะ และกลับไปร้องให้ผมฟังคนเดียว แต่ก็คงยากครับ เพราะรายนั้นดูตั้งใจกับการร้องเพลงครั้งนี้มาก มันหันไปบอกนักดนตรีที่มีแค่มือกีตาร์ด้านหลังในเพลงที่มันจะร้อง พี่มือกีตาร์ยิ้มรับกับชื่อเพลงนั้น ก่อนที่อินโทรของเพลงจะเกิดขึ้นผ่านการเกากีตาร์ของพี่แก
น้ำมนต์มองมาทางโต๊ะผม สายตาจ้องอยู่กับผมไม่ขาด รอยยิ้มบางๆบนในหน้าเรียวขาวนั้น ทำให้ผมเขินอายไปก่อนที่เสียงเพลงของน้ำมนต์จะขับขานอีก ..
ก็ไม่รู้ว่าอะไร ทำให้เราได้พบกัน
ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้
เธอก็มีโลกของเธอ ต่างกับฉันมากมาย
เหมือนไม่มีอะไรเลยที่คล้ายกัน
(แต่)ถามว่าชอบเธอไหม
สบตาแล้วถูกใจไหม
ก็ตอบว่าใช่เป็นอย่างนั้น
จะเป็นลิขิตจากฟ้า หรือว่าปาฏิหารย์
อะไรยังไงก็คงไม่สำคัญ
เท่ากับวันนี้ฉันมีเธอ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงร้องที่ลงตัว หรือเนื้อหาเพลงที่กินใจ ผมจึงฟังไปยิ้มไป พร้อมๆกับรอยยิ้มของคนร้อง เพื่อนในโต๊ะมีแซวๆ จนผมเขินอายเล็กน้อย .. ทำไมน้ำมนต์มันน่ารักแบบนี้นะ
เธอไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด
เธอไม่ใช่คนที่ฉันฝัน
แต่เธอเป็นมากกว่านั้น
เธอคือคนที่ฉันรัก
ก็ไม่รู้ว่าอะไร ทำให้เราได้พบกัน
ทั้งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้
เธอก็มีโลกของเธอ ต่างกับฉันมากมาย
เหมือนไม่มีอะไรเลยที่คล้ายกัน
แต่ถามว่าชอบเธอไหม
สบตาแล้วถูกใจไหม
ก็ตอบว่าใช่เป็นอย่างนั้น
จะเป็นลิขิตจากฟ้า หรือว่าปาฏิหารย์
ฉันเองก็ไม่เคยเข้าใจ
(แต่)ถามว่าชอบเธอไหม
สบตาแล้วถูกใจไหม
ก็ตอบว่าใช่เป็นอย่างนั้น
จะเป็นลิขิตจากฟ้า หรือว่าปาฏิหารย์
อะไรยังไงก็คงไม่สำคัญ
เท่ากับวันนี้ฉันมีเธอ
เท่ากับวันนี้ฉันมีเธอ
และจะขอมีเธอ อยู่อย่างนี้
เสียงร้องของน้ำมนต์จบลงไปก่อนที่เสียงกีตาร์จะสิ้นสุด เสียงปรบมือในร้านดังขึ้นเป็นกำลังใจ และส่วนมากจะดังสุดที่โต๊ะพวกผม ผมยังยิ้มไปหยุด เช่นเดียวกันกับคนบนเวทีที่ยังยิ้มและมองมาที่ผมไม่หยุดเหมือนกัน ..
“มีคนๆหนึ่งครับ เค้าเข้ามาทำให้คนธรรมดาอย่างผม กลายเป็นคนที่พิเศษสำหรับเขา คนที่บอกผมว่า ถ้าวันไหนเค้าทำให้ผมเสียใจอีกหนึ่งครั้ง เค้าพร้อมที่จะเดินออกไปจากชีวิตผม .. แล้วผมก็บอกเค้าว่า ถ้าวันนั้นมาถึง ผมนี่แหละจะรั้งเค้าไว้เอง สุดท้ายแล้วประเด็นมันก็เลยไม่ได้อยู่ที่ว่า ต่อไปผมจะดีใจ หรือผมจะเสียใจอีกหรือเปล่า แต่ประเด็นมันดันอยู่ที่ว่า ต่อไปเราจะยังรักกันแบบนี้หรือเปล่า .. ถ้ายังรัก ก็ยังไหวครับ ขอบคุณทุกความรัก ณ ที่แห่งนี้ครับ”
สิ้นคำพูดนั้นของน้ำมนต์ เสียงตบมือดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินยิ้มลงมาจากเวทีเล็กๆของร้าน ทุกสายตามองตามมันมาอย่างสงสัยว่าใครคือคนที่โชคดีคนนั้น ที่ได้รักกับผู้ชายที่โคตรจะน่ารักคนนี้ ผมไม่รอให้เค้าจับได้หรอกครับ ว่าเป็นผม ผมเลยลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง และเดินเข้าไปหามัน แต่เป็นการเดินเข้าหาแบบไม่ได้สบตา น้ำมนต์มองมาทางผมอย่างงงๆ มือของผมกับมันสัมผัสกันเล็กน้อยตอนเดินสวนกัน ตอนนี้ผมมานั่งอยู่บนเวที และมันก็กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเก้าอี้ผม และมองมาทางผมเช่นเดียวกัน
“ผมอยากร้องบ้างครับ เห็นเค้าร้องแล้วน่ารักดี” ผมพูดใส่ไมค์ไปเบาๆ คนในร้านยิ้มเล็กน้อยกับท่าทีของผม
“ผมร้องเพลงรักไม่เก่งนะครับ เก่งแต่แสดงความรัก” ผมพูดไปอีกนิด
“เอ๊ยยย นั่นมันมุขกู” ไอ้เดชตะโกนขึ้นมาเลยครับ
“เออน่ะ กูยืมก่อน” ผมบอกไปขำๆ ก่อนจะหันหลังไปบอกพี่มือกีตาร์ในเพลงที่ผมร้อง
“ร้องได้เหรอน้อง เพลงมันค่อยข้างเร็วนะ” พี่มือกีตาร์ถามผมกลับ
“พี่ก็ช่วยผมร้องด้วยสิครับ” ผมบอกพี่แกไป พี่แกทำหน้าเอ่อๆเล็กน้อย ประมาณว่ามึงร้องไม่ได้ แล้วจะมาร้องทำไม ผมยิ้มปลอบใจพี่แก ก่อนจะหันกลับมามองข้างหน้าอีกครั้ง
“ผมมีหนึ่งประโยคที่อยากบอกคนที่ผมรักครับ เป็นประโยคที่ไม่มีในเนื้อเพลง แต่มันคือชื่อเพลงเพลงนี้ ผมอยากบอกเธอว่า รักเมียที่สุดในโลกครับ”
สิ้นเสียงพูดนั้น เสียงกรี๊ดโห่ร้องดังตามขึ้นมา พร้อมกับอินโทกีตาร์ที่รู้จังหวะ ผมยิ้มเขินอายอย่างมีความสุข มองหน้าน้ำมนต์ที่ทั้งยิ้ม ทั้งขำในตัวผม
i never love another like i love u baby
u ma number one lady yeah...
ฉันมักจะถามเธอเป็นประจำว่าเธอ¬นะรักฉันไหม
และหากว่าเธอนะบอกว่ารักแล้วเธอ¬นะรักแค่ไหน
รักเท่าฟ้าหรือมหาสมุทร รักเท่าผืนดินหรือผืนน้ำ รักฉันที่สุด
เธอบอกว่าบางทีมันยากที่จะอธิบาย
ไม่ต้องกังวลจะไม่ไปไหน จนกว่าวันสุดท้าย
ไม่ใช่ว่าฉันนั้นไม่เชื่อใจ ฉันรู้ว่าเธอทำเพื่อฉันนะ ไม่ใช่เพื่อใคร
ย้ำคิด ย้ำทำ อยากได้ยินซ้ำๆ เวลาเธอหายไปก็อยู่กับใจช้ำๆ
ช่วยมองตาตอนฉันข้างเธอ ฉันยังรอฟังเธอรู้ไหมเธอต้องห้ามเหม่อ
u ma number one lady...
จะไม่มีใครที่มาแทนที่เธอ
และไม่ว่านานแค่ไหนฉันจะรักเธอ¬ตลอด ไป...
ให้บอกว่ารักเท่าจักรวาลมันก็ยังไม่พอ
ก็อยากได้ยินเธอพูดซ้ำ like i never heard dat before
ก็อยากได้ยินมันทุกวัน อยากได้ยินอยากจะบอกรักฉัน
ได้มั้ยเธอ. . .
ถึงเเม้ว่าเสียงเพลงมันคือชีวิต¬ฉันเเต่ตื่นขึ้นมาไม่มีเธอมีชีวิตไปก็เท่านั้น
เพราะอยู่กับเธอฉันไม่ต้องเเกล้งทําเหมือนว่าเข้¬มเเข็งถึงอ่อนเเอก็ไม่สําคัญ
เหมือนซุปเปอร์แมนบ้างครั้งต้องเเก¬ล้งทําเป็นคนธรรมดา
เเต่อยู่กับเธอฉันเป็นซุปเปอร์แมนได้ทุกเวลา
ไม่¬ใช่ใครเพียงเเค่คนหนึ่งมันคือคําว่าเราก็เท่านั้นไม่ใช่คนอื่น
ฉัน¬ไม่ใช่คนดีอะไรเเถมยังเอาเเตใจ เ¬เต่เธอก็รักฉันเเบบที่เป็นไม่ว่¬าจะไม่เหมือนใคร
ไห้กอดฉันไว้ทุก¬ๆคืนทําไห้อุ่นใจเเม้ยามนอนหรือ¬ว่ายามตื่น
u ma number one lady...
จะไม่มีใครที่มาแทนที่เธอ
และไม่ว่านานแค่ไหนฉันจะรักเธอ¬ตลอด ไป...
ให้บอกว่ารักเท่าจักรวาลมันก็ยังไม่พอ
ก็อยากได้ยินเธอพูดซ้ำ like i never heard dat before
ก็อยากได้ยินมันทุกวัน อยากได้ยินอยากจะบอกรักฉัน
ได้ไหมเธอ...
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนั่นแหละครับ ว่าผมนนี้ “รักเมียที่สุดในโลก” จริงๆ ...