“อ้อ.. ซองน่ะครับ คือผมฝากโจหาข้อมูลบางอย่างมาให้”
“?!”
สุดท้ายคุณากรก็ยอมแพ้ ปิดลิ้นชักตู้ที่อยู่มุมโซฟา แล้วเดินมาหาพวกผม “พอดีผมทำงานเป็นนักข่าวน่ะ เลยฝากเขาช่วยหาข้อมูลให้” เขาพูดพลางหรี่ตามองภูมิวัฒน์อย่างมีนัยน์ ผมหันไปมอง แล้วก็เห็นว่าเพื่อนสวมชุดเหมือนพนักงานบริษัท ท่าทางคุณากรอาจจะยังไม่รู้ว่าหมอนี่ทำงานอะไร เลยแกล้งพูดไป “เออ ทำข่าวไอ้หมอนี่ด้วยสิ ว่ากินสินบาทคาดสินบนเท่าไหร่ ดูว่างๆ เช้าชามเย็นชาม สมเป็นข้าราชการเลย”
คุณากรเลิกคิ้วหน่อยๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงเพื่อนผมก็ดังขึ้นก่อน
“โห.. พนิต ถ้าไม่ติดว่าเคยเป็นรูมเมทกัน เราฟ้องนายข้อหาหมิ่นประมาทแล้วนะเนี่ย” ภูมิวัฒน์พูดด้วยสีหน้ากึ่งเล่นกึ่งจริง แต่ผมน่ะ พูดอย่างเอาจริงเอาจังเลยล่ะ “เราก็อยากจะฟ้องนายเหมือนกัน ข้อหาชอบตัดสินใจแทนเราแล้วพูดมั่วๆ”
คราวนี้เขาทำหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะถามกลับ “เราตัดสินใจแทนนายเรื่องอะไรน่ะ”
“ก็เรื่องที่นายบอกโจว่าเราชอ....” ผมพูดค้าง เพราะนึกขึ้นได้ว่ามีคนอื่นยืนอยู่ด้วย แต่ภูมิวัฒน์ดูจะไม่คิดอะไรแบบนั้น เขาหัวเราะออกมา แล้วพูดเสียงดัง “เราพูดอะไรกัน นายพยักหน้ายอมรับเองนะ เรื่องนี้จะมาโทษเราไม่ได้หรอก”
“แต่นายพูด” ผมยังเอาเรื่องเขาต่อ อดีตรูมเมทผมทำหน้าซื่อจนน่าหมั่นไส้ “เปล่า เขาเล่าให้นายฟังว่าไงล่ะ”
“เขาบอกว่าเราชอ....” ผมพูดไม่ได้อีก เพราะติดเรื่องคุณากรยืนอยู่ พอหันไปก็เห็นเขาทำตาเป็นประกาย แล้วยกมือปิดหู “คุณพนิตพูดเถอะ ผมไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินอะไรเลย”
ผมนึกอยากจับสองคนนี่โยนลงนอกหน้าต่างไปเลย พอหาเหตุเอาเรื่องไม่ได้ เพราะอายคน อายปากตัวเองด้วย ผมเลยเสไปพูดเรื่องอื่นแทน “แล้วนี่ไม่ทำงานทำการหรือไง?”
“ทำสิ” เพื่อนผมตอบ ขณะที่นายกั้งทำเสียงเหมือนเสียดายที่ไม่ได้ยินผมพูดอะไร ผมหันไปค้อนใส่เขาทีหนึ่ง แล้วพูดกับเพื่อนอีก “จะไปทำกี่โมงกันล่ะ จะบ่ายแล้วนะ”
“หา?!” เขาทำหน้าตกใจ แบบที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ตกใจจริงๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา “ที่จริงลามาครึ่งวัน แต่ลาอีกครึ่งวันก็พอได้ เดี๋ยวใส่ว่าญาติไม่สบาย ต้องมาดูแลด่วน”
“โห............ สมเป็นข้าราชการจริงๆ” ผมลากเสียง เขาทำหน้าเขินนิดๆ “ไม่เอาน่า พนิต นี่เราอุตส่าห์เป็นห่วงนะเนี่ย มามองเหมือนเราเป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดไปได้”
“เพราะกระทรวงศึกษามีข้าราชการแบบนายแน่ๆ มันเลยโย้ๆ เย้ๆ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้” ผมแขวะ เขาทำหน้าปฏิเสธถึงที่สุด “ไม่ใช่เราหรอก... ไว้พนิตอยากเขียนนิยายเกี่ยวกับเรื่องคอรัปชั่นในวงราชการเมื่อไหร่ ค่อยปรึกษาเราแล้วกัน”
“ทำไม เป็นโต้โผใหญ่หรือไง” ผมว่า แล้วพูดต่อ “ไม่เอาหรอก เรากลัวโดนนายฆ่าปิดปาก”
ภูมิวัฒน์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ขณะที่คุณากรพูดขึ้นบ้าง “แต่ผมอยากเขียนนะ ถ้าคุณยังไม่ทานมื้อเที่ยง เราไปทานด้วยกันไหมล่ะครับ ผมอยากลองทำข่าวข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการดูบ้าง”
ภูมิวัฒน์เหล่มองคนพูด แล้วตอบยิ้มๆ “เอาบัตรนักข่าวมารึเปล่าล่ะ ถ้าเอามาก็เอามาดูก่อนว่าจะให้ข่าวอะไรได้บ้าง ค่าข่าวผมแพงนะ”
“นี่! นายเป็นพวกหากินกับอะไรแบบนี้หรือไง?” ผมเอ็ดเขา ภูมิวัฒน์หัวเราะอีก “เปล่าๆ พนิตจะไปทานด้วยกันไหมล่ะ?”
ผมมองหน้าเพื่อน พลางคิดว่าไหนๆ สุภาพงษ์ก็หลับไปแล้ว แถมผมยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลย จะปฏิเสธไปทำไม ดีไม่ดีผมอาจจะบังคับให้ไอ้หมอนี่ช่วยขับรถกลับไปส่งที่บ้านด้วย จะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถเอง คิดแล้วผมก็พยักหน้าทันที จากนั้นเราสามคนก็เดินลงไปทานข้าวด้านล่าง โดนทิ้งสุภาพงษ์ไว้อย่างนั้น
-----------------------------------------
ดูเหมือนภูมิวัฒน์กับคุณากรจะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนผมอดคิดไม่ได้ว่า เจ้าสองคนนี่เคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า ทั้งคู่ผลัดกันเล่าเรื่องฉาวๆ ในวงการอย่างสนุกปาก นี่เพื่อนผมไม่กลัวถูกเก็บบ้างหรือไง หรือเพราะมั่นใจว่าแต่งแบบนี้ไม่มีใครรู้แน่นอนว่ารับราชการ แต่ดูพวกเขาคุยกันแล้ว ท่าทางจะมีอะไรในใจทั้งคู่ ปล่อยให้ไปลับลวงพรางกันสองคนแล้วกัน เรื่องแบบนี้ผมไม่ถนัดหรอก
กว่าจะทานข้าวเสร็จ ผมแทบจะไปเขียนนิยายคอรัปชั่นได้ ดีหน่อยที่ผมไม่ค่อยมีหัวทางนี้ เรื่องเลยไม่ไหลไปไหน พอจ่ายเงินลุกจากโต๊ะ ผมก็หันไปหาเพื่อนเก่า “ภูมิ ไม่รีบไปทำงานใช่มั้ย?”
เขาเลิกคิ้ว แล้วมองผม “อือ ทำไมหรือ?”
“ไปส่งเราที่บ้านหน่อยสิ”
ยังไม่ทันที่ภูมิวัฒน์จะตอบ คุณากรก็ส่งเสียงขึ้นมา “ไม่ได้นะครับ คุณพนิตจะทิ้งโจไว้แบบนี้เหรอ?”
ผมนิ่วหน้า “เขาไม่เป็นอะไรหรอกน่า แค่นอนน้อยเฉยๆ”
คุณากรทำหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่ได้นะครับ มันบอบช้ำขนาดนั้น ถ้าไม่มีคุณพนิตคอยอยู่เยียวยาล่ะก็ มันต้องช้ำในตายแน่ๆ คุณพนิตจะใจร้าย ดูมันตรอมใจตายได้ลงคอเหรอครับ?”
ผมว่าคุณากรไม่น่าเป็นนักข่าวแล้วนะ ถ้าเขาไปเป็นนักเขียนนิยายน้ำเน่าคงรุ่ง ผมตอบเขาไป “ไม่เอาล่ะ พี่มีต้นฉบับจะต้องไปพิมพ์ต่อ”
“แต่บ.ก.ป่วยนี่ครับ มีต้นฉบับ แต่ไม่มีบ.ก.ตรวจ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่ใช่หรือครับ?”
ผมตอบคำถามเขาอย่างอดทน “มีบ.ก.คนอื่นอีก ไม่รู้จักคำว่ากองบ.ก.หรือไง?”
คุณากรทำหน้าซื่อจนหน้ามั่นไส้ ผมอดไม่ได้เลยต้องพูดอีก “ถ้าเป็นห่วงก็อยู่ดูแลเองสิ”
“ทำไมต้องผมล่ะ?”
“ก็เคยเป็นแฟนกันไม่ใช่หรือไง”
“โห... เรื่องตั้งสิบกว่าปีแล้ว ยังจะให้ผมไปดูแลมันอีกเหรอครับ?”
“?!” ผมหันไปมองเขาอึ้งๆ คราวนี้คุณากรยิ้มนิดๆ “อย่าบอกนะว่าคุณพนิตหึง”
“หา?!” ผมร้องออกไป “หึงเหิงอะไรกันเล่า”
คนพูดหัวเราะคิกคัก “แหม... ก็เห็นไล่ผมไปดูไอ้โจ คิดว่าคุณพนิตจะหึงนี่ครับ ไม่ต้องหึงนะครับ ผมเลิกกับมันตั้งนานแล้ว เพราะมันแกะคุณจากใจไม่ออกเสียที แถมไม่ยอมให้ใครทำหน้าที่แทนด้วย เพราะงั้นนะ คุณพนิต คุณเป็นคนเดียวในโลกที่จะเยียวยาแผลใจมันได้” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนฟังนิยายน้ำเน่าอยู่
“เอาล่ะ พอๆ ผมจะกลับบ้าน” ผมพูดเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปหาภูมิวัฒน์ “จะไปส่งเรารึเปล่า?”
เพื่อนผมทำท่าอึกๆ อักๆ ก่อนจะพยักหน้า “อืม ไปส่งก็ไปส่ง”
“ถ้าไม่อยากส่งก็บอก” ผมชักฉุน เพราะเพิ่งโดนนายคุณากรเล่นงานมา เพื่อนกันยังจะทำท่าลังๆ เลๆ แบบนี้อีก คราวนี้ภูมิวัฒน์รีบลนลานตอบ “ไปส่งๆ แหม.. อย่าขี้งอนนักซี่”
ผมไม่พูดอะไร แต่เดินฉับๆ ออกไป เขาเลยต้องเดินตามมาด้วย ได้ยินเสียงคุณากรพูดอึ้งๆ “งั้นก็... สวัสดี... เดินทางดีๆ นะครับ”
เดินกันมาได้สักพัก ภูมิวัฒน์ก็ถามขึ้นอีก “พนิต จะกลับจริงๆ หรือ?”
“อืม” ผมตอบเขา แล้วถามต่อ “ไหนรถล่ะ?”
“จอดอยู่ตรงโน้นน่ะ” เขาชี้มือไป แล้วถามผมอีก “ไม่ใช่ว่ากลับไปถึงแล้วนั่งรถกลับมาอีกนา”
“...................”
“ไม่ห่วงน้องเขาเหรอ?”
“..................................”
“นี่ กั้งขึ้นรถไปแล้วน่ะ นายเดินกลับไปก็ไม่มีใครเห็นหรอก”
ผมล่ะเบื่อนิสัยรู้มากของเขาจริงๆ
“บอกว่าจะกลับก็จะกลับสิ ถามมากทำไมน่ะ”
ภูมิวัฒน์หัวเราะอีก ก่อนจะกดรีโมทฯเปิดประตู ผมเลยมุดไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ รัดเข็มขัดนิรภัย เขามุดตามเข้ามา แล้วสตาร์ตรถ จากนั้นก็ขับออกไปบนถนน
“พนิต ที่จริงเราแอบอิจฉาน้องโจอยู่หน่อยๆ เหมือนกันนะ” ภูมิวัฒน์พูด ตอนที่เลี้ยวรถเข้าซอยบ้านผมแล้ว ผมหันไปมองเขา “นายจะอิจฉาเรื่องอะไรน่ะ”
ผู้ชายที่ดูดีแม้วัยจะเยอะแล้วซึ่งขับรถอยู่หัวเราะ “บอกตรงๆ นะ หลังงานเลี้ยงรุ่น เราแอบหวังจะคืนดีกับนายหน่อยๆ”
“?!”
“นายเป็นผู้ชายคนเดียวที่เรายังรู้สึกชอบมากๆ อยู่จนถึงทุกวันนี้นะ”
ผมว่าเพื่อนผมไม่ได้หัวกระแทกอะไรระหว่างขับรถนะเนี่ย เลยถามเขาไป “ตอนทานข้าว มีใครให้วางยาอะไรนายรึเปล่านะ”
ภูมิวัฒน์หัวเราะร่วน ก่อนจะจอดรถหน้าบ้านผม แล้วหันหน้ามาถาม “เรายังหวังจะคืนดีกับนายได้อีกมั้ย?”
“ถ้าเรื่องที่โกรธน่ะ ยกโทษให้แล้วล่ะ” ผมว่า แล้วขยับไปเปิดประตูรถ “ขอบใจที่มาส่งนะ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบงึมงำ จากนั้นก็ยื่นมือมาคว้ามือผมไว้ ผมเลยหันไปมองเขาทันที “ยังชอบเราอยู่อีกรึเปล่า?”
“.....................”
“กลับมาคบกันได้มั้ย? คบกันแบบแฟนน่ะ ไม่ใช่แค่เพื่อน”
“.................” ผมอึ้งไปหน่อย ก่อนจะพยายามดึงมือออก “เราว่าระหว่างเรากับนาย เป็นเพื่อนกันดีกว่า”
“.............................”
“หรือว่าไม่อยากจะรู้จักกันแล้ว?”
“เปล่า” เขาตอบทันที แล้วยิ้มฝืนๆ “เราพูดช้าไปเยอะเลยสินะ”
“ยี่สิบกว่าปี” ผมตอบแบบไม่ไว้หน้าเขา ภูมิวัฒน์หน้าเจื่อนนิดๆ “เหรอ... ฮ่ะๆ ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?”
ผมไม่ได้ตอบ เพียงแต่จ้องหน้าเขากลับ สักพัก ภูมิวัฒน์ก็ถอนหายใจ แล้วยิ้มออกมา “ที่จริงเราน่าจะรู้สึกตัวตั้งแต่เห็นพนิตยอมพกโทรศัพท์แล้วล่ะ”
ผมนึกคันปากขึ้นมา เลยพูดตอบเขาไป “ก็เห็นนายเชียร์จริงๆ ให้เรารีบตัดสินใจ อย่าไปทำร้ายใครอีก จำที่ตัวเองพูดไม่ได้หรือไง?”
ผู้ชายมีอายุแต่ยังดูดีตรงหน้าผมหัวเราะเฝื่อน “อืม... เพราะเราหวังลมๆ แล้งๆ เองแหละ เราอยากให้พนิตตัดสินใจสักอย่าง ถ้าไม่อยากไปกับน้องเขา เราจะได้เข้าแทนไง”
“?!”
“แต่สงสัยพนิตจะตัดสินใจได้นานแล้วล่ะ”
“บ้าเรอะ!” ผมเอ็ดเขาไป แล้วรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ เขาพูดบ้าอะไรเนี่ย
ภูมิวัฒน์ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ เขาจับแน่นอีก “งั้นให้เราจูบสักหนได้รึเปล่า?”
ผมบอกตัวเองให้ตั้งสติ แล้วตอบเขาไปเสียงเรียบ “ภูมิอยากถูกตบอีกคนรึไง?”
ภูมิวัฒน์อึ้งไปหน่อย แล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ยอมปล่อยมือผม ผมเลยลงจากรถ แล้วพูดกับเขา “ขับรถกลับดีๆ ล่ะ แล้วก็... ขอบใจ.... ขอโทษด้วยนะ...”
“ไม่เป็นไรหรอก” ภูมิวัฒน์ตอบ จากนั้นก็ยิ้มกว้างให้ผม “ดูแลตัวเองดีๆ นะ”
พอเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรแล้ว ผมก็เลยปิดประตูรถ แล้วเดินเข้าบ้านไป ภูมิวัฒน์ออกรถหลังจากนั้นสักพัก ผมถอนหายใจเฮือก
เพื่อนผมคิดบ้าอะไรอยู่นะ มาพูดเอาป่านนี้ เขาเองก็น่าจะรู้ว่าสายไปแล้วไม่ใช่หรือไง...
ถึงเขาจะเป็นคนแรกที่ผมยอมรับกับปากว่าชอบ แต่... เขาไม่ใช่คนที่ผมอยากคิดตกลงปลงใจด้วยหรอก
เกือบเสียเพื่อนแล้วมั้ยล่ะ!!
ผมเดินจ้ำๆ เข้าไปในตัวบ้าน วางของอะไรแล้วก็หยิบมีดยาวออกมาจากครัว เดินลงไปที่สวนหลังบ้าน ซึ่งปลูกพวกพืชหัวกับผักสวนครัวบางอย่างเอาไว้ ตัดตะไคร้ออกมาสี่ห้าต้น แล้วหยิบเสียมไปขุดหัวไพลมาได้อีกสองหัวใหญ่ เป็นโชคดีที่มะกรูดที่ปลูกอยู่มีลูกสุกกำลังดีอีกสองลูก ก็เลยเด็ดติดมือมาด้วย จากนั้นผมก็เอาทั้งหมดกลับเข้าบ้าน แล้วขึ้นไปหาผ้าเช็ดหน้าเก่าๆ ในตู้ออกมาสองสามผืน
ผมล้างแล้วหั่นสิ่งที่ผมเอามาจากส่วนหลังบ้านทั้งหมดจนละเอียด กลิ่นหอมจากน้ำมันระเหยของทั้งผิวมะกรูด และหัวไพลตลบอบอวลไปทั่ว จากนั้นผมก็แบ่งทั้งหมดเป็นสามกอง เอาใส่ผ้าเช็ดหน้า แล้วหยิบเชือกมัดของมารัดปากไว้ ก่อนจะเอาใส่ถุง
เพราะไม่แน่ใจว่าที่ห้องของสุภาพงษ์จะมีหม้อนึ่งรึเปล่า ผมเลยหยิบซึ้งอันเล็กที่น้องสาวเคยซื้อมาไว้นึ่งขนมเล่นใส่ถุงผ้าไปด้วย ก่อนจะเดินไปหยิบของใช้จำเป็นอีกสองสามอย่าง รวมถึงเสื้อผ้าอีกชุด เตรียมของเสร็จแล้ว ผมก็ยัดทุกอย่างใส่ถุง ปิดบ้าน เดินไปโบกรถเมล์ที่หน้าซอย
หวังว่าภูมิวัฒน์คงไม่ได้ซุ่มรถ ดูพฤติกรรมผมอยู่หรอกนะ ถ้าทำ ผมว่าผมควรพิจารณาตำแหน่งเพื่อนของเขาได้แล้วล่ะ
ผมลงรถเมล์ แล้วเดินหิ้วถุงผ้ากลับขึ้นไปบนคอนโดฯของสุภาพงษ์อีกครั้ง พอเข้าไปก็เห็นว่าเขายังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง หน้าตาอย่างกับไปถูกใครอัดมาจริงๆ ทั้งที่ผมแค่ตบเขาไปสองหนเท่านั้น
ผมมองอยู่พัก แล้วก็เลยเดินไปที่เตา หยิบหม้อมาต้มน้ำ แล้วก็นึกดีใจที่หยิบซึ้งมาด้วย เพราะห้องเขาไม่มีจริงๆ ผมวางลูกประคบที่ทำมาเองใส่ลงในซึ้ง แล้วปิดฝา จากนั้นก็เดินไปดูอาการเขาอีกรอบ
เขาดูโทรมสุดๆ จริงๆ นะเนี่ย
ผมอดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมา จะโทษใครดีล่ะ โทษเขาที่ปากพล่อยจนทำให้ผมเผลอลงไม้ลงมือได้รึเปล่านะ? แล้วแบบนี้จะถือว่าผมลงมือเกินกว่าเหตุรึเปล่า นึกหน้าคุณากรตอนเห็นเพื่อนแล้วพูดออกมาว่าถูกซ้อม ทำเอาผมไปไม่เป็นเหมือนกัน ผมว่ามือผมก็ไม่ได้หนักมาก....
แต่สภาพเขาดูแย่จริงๆ นั่นแหละ
ผมปล่อยให้น้ำเดือดอยู่สักพัก ถึงปิดเตา แล้วสวมถุงมือทำครัว หยิบลูกประคบห่อผ้าพออุ่น เอาไปประคบแก้มช้ำๆ ของผู้ชายตัวใหญ่ที่นอนอยู่ในห้อง
เขาหลับสนิทเหมือนเดิม ไม่สะดุ้งอะไรเลยด้วยซ้ำตอนที่ผมแตะลูกประคบลงไปบนใบหน้าเขา ผมอดลูบศีรษะเขาอีกครั้งด้วยความสงสารไม่ได้
แต่... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมอะไรกับเขานะ ผมแค่พยายามทำลายหลักฐาน... ขืนถ้าปล่อยให้เขาเอาหน้าบวมๆ แบบนี้ไปที่ออฟฟิศพรุ่งนี้ คนจะได้ถามกันให้ขวักน่ะสิ แล้วผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบยังไง เพราะงั้น เพื่อความอุ่นใจ ผมรีบทำลายหลักฐานก่อนดีกว่า เดี๋ยวเกิดวันหลังไปที่ออฟฟิศ แล้วมีคนพูดว่าผมมือหนักเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมาล่ะก็ ผมได้ทำหน้าไม่ถูกแน่ๆ
อีกอย่าง... ผมชอบดูหน้าสุภาพงษ์ตอนเกลี้ยงๆ มากกว่า... ก็แค่นั้นเอง
----------------------------------------------
ผมผลัดลูกประคบมาประคบหน้าเขาจนเมื่อย เลยผละออกมา ถือวิสาสะเปิดโทรทัศน์ดูนั่นดูนี่ นั่งเขียนนิยายที่จะต้องส่งเขาตอนต่อไป แล้วก็แวะลงไปทานข้าว
นี่ถ้าเขารู้ว่าต้นฉบับนิยายตอนใหม่ ผมเขียนในห้องเขา เขาจะดีใจรึเปล่านะ? แต่ว่า ผมไม่บอกเขาหรอก
จากนั้นผมก็กลับขึ้นมา นึ่งลูกประคบ ประคมแก้มเขาอีกรอบ แล้วกลับมานั่งเขียนนิยายต่อ จนสักสามทุ่ม ผมเลยอาบน้ำ เตรียมจะเข้านอน
เขายังหลับไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม เฮ่อ.... ผมนี่ก็จริงๆ เลยนะ รู้อยู่หรอกว่าเขาน่าจะหลับยาวไปจนถึงเช้า ก็ยังอุตส่าห์หอบเสื้อหอบผ้ามาค้างด้วยอีก ท่าทางผมจะขี้กังวลเพราะอายุซะแล้ว
ผมปิดไฟ แล้วปีนขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ พยายามขยับตัวชิดขอบเตียงมากที่สุด
พรุ่งนี้ผมจะตื่นแต่เช้า แล้วรีบแว้บกลับบ้าน เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมแวะมา...
ผมแค่มาทำลายหลักฐานน่ะ...
----------------------------------------------
***ตอนนี้... อิจฉาโจ มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
โอ๊ย พี่นิตอ๊ะ พี่นิตอ๊ะ พี่นิตอ๊ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
(เริ่มพูดไม่เป็นภาษามนุษย์)
ตอนนี้นายกั้งกับคุณภูมิมีบทนิดหน่อย ฮ่าๆๆ เรื่องคู่นี้ยังเป็นโปรเจคระยะยาวนะคะ อาจจะเขียนหรือไม่เขียนก็ได้ ดูตามอารมณ์
แต่คุณภูมิแอบน่าสงสาร ที่จริงคุณภูมิหวังมาคืนดีตั้งแต่แวะมาจี๋เอวคุณพนิตแล้วล่ะ แต่ก็อย่างทีุ่คุณพนิตว่า... บอกช้าไปยี่สิบกว่าปี
คุณภูมิเลยอดเลย
ไม่เป็นไรนะคะ เด็กๆ รุ่นใหม่ยังมี ไม่อาร์ตเท่าคุณพนิต แต่ก็เร้าใจนะค้า~
ปล. ไม่แน่นะ... งานนี้โจหายแล้ว อาจจะอยากถูกตบซ้ำอีกก็ได้ ชอบให้พี่นิตมาทำลายหลักฐาน ฮ่าๆๆ