Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่16
“พี่นิต”
ผมได้ยินเสียงลมหายใจของเขาขาดเป็นห้วงๆ ดวงตาสีดำของเขาเป็นประกายวาว จ้องมาที่ผมด้วยหน้าตาหมดจด หล่ออย่างกับเจ้าชายในฝัน จากนั้นเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ ถอดเสื้อผ้าออก จับมือผมลูบไล้ผิวกายเขา ผมร้อนวาบไปทั้งตัว ผิวเขาตึงแน่น เรียบน่าจับ กล้ามเนื้อก็กำลังสวย แล้วเขาก็ขยับตัวเข้ามาอีก ก้มลงพ่นลมหายใจรดหูผมจนขนลุกซู่ ก่อนจะกระซิบเบาๆ
“ผมใส่เข้าไปนะ”
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ผมทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมา ก่อนจะต้องรีบเอาหัวทิ่มลงไปบนหมอนเหมือนเดิม เพราะเกิดอาการหน้ามืดกะทันหันเนื่องจากลุกเร็วเกินไป
เดี๋ยวสิ! ตะกี้มันอะไรกันน่ะ?
ระหว่างที่รอให้ความดันเข้าที่เข้าทาง ผมก็หันไปมองข้างๆ ถึงพอจะรู้สึกตัวอย่างจริงๆ จังๆ สักทีว่าอยู่บนเตียงนอนที่ห้อง แล้วก็ไม่มีใครอีก มีแต่ผม ผ้าแพรที่ห่มนอน หมอนหนุนที่ก็ลืมตากมาสองสัปดาห์แล้ว อืม... ตะกี้ทำไมจู่ๆ ผมลุกพรวดขึ้นมาอย่างนั้นล่ะ?
ผมคิดว่าอาจจะเพราะฝันร้าย แต่ว่า... ฝันว่าอะไรผมดันนึกไม่ออกซะแล้วสิ รู้แต่ว่าให้ความรู้สึกแย่ชะมัดเลย ฝันอะไรของผมนะ ถึงกระทั่งลุกพรวดจนหน้ามืดแบบนั้น
พอเห็นว่าน่าจะพอลุกได้แล้ว ผมจึงค่อยๆ ตะแคงข้าง ไถลตัวลงมาจากเตียง พับผ้าห่มวางบนหมอน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะเอาหมอนไปตากได้แล้ว เลยถอดปลอกหมอนออก ดึงผ้าปูที่นอนออกมา แล้วก็เอาหมอนที่ถอดปลอกแล้วไปตากตรงระเบียง ก่อนจะหยิบกองปลอกหมอนและผ้าปูลงมาใส่ถังซักผ้าด้านล่าง
วันนี้ท้องฟ้าดูสดใส ผมทานข้าวเช้าแล้วนึกครึ้มใจว่าคืนนี้หมอนผมคงหอมแดด แดดขนาดนี้รับรองว่าตัวเรือดตัวไร และสิ่งมีชีวิตอีกสารพัดที่ชอบแฝงเร้นตัวอยู่ในหมอนต้องอพยพถอยทัพออกไปแน่
ทานข้าวเสร็จ ผ้าปูที่นอนก็ปั่นแห้งพร้อมตากพอดี ผมเลยหาผ้ามาเช็ดราวที่เป็นเชือกไนล่อนขึงด้านหลังเสียหน่อย เพราะปกติไม่ค่อยได้ใช้ เดี๋ยวคราบฝุ่นมันจะติดไปบนผ้าปูที่นอนซักใหม่ จากนั้นก็ค่อยเอาผ้าที่ซักแล้วมาตาก อืม... น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นนี้หอมดีจริงๆ
ผมยืนดูผ้าปูสีขาวที่อดีตเคยเป็นสีฟ้าอ่อน แต่ถูกกาลเวลากัดกร่อนจนสีเปลี่ยนไปแล้ว ปลิวพะเยิบพะยาบตามแรงลมอ่อนๆ พลางคิดว่า ผ้าปูผืนนี้มันเก่าเกินไปรึเปล่านะ
อืม... จำได้ว่าเมื่อวันก่อนที่สุภาพงษ์มานอนค้างที่บ้าน ผมก็ปูผ้าปูผืนนี้ เออ... ใช่... ผมกับเขา เอ่อ.... ทำอะไรที่คนอายุรุ่นเราไม่น่าทำกันแล้วบนเตียงของผม โอ๊ย ให้ตายสิ ทำไมผมคิดถึงเรื่องนี้อีกแล้วนะ อุตส่าห์ทำเป็นลืมๆ ไปได้ตั้งวันสองวันแล้วแท้ๆ เอาน่ะ มันก็แค่การช่วยเหลือให้ร่างกายได้ระบายของเหลวคัดคั่งออกไปเท่านั้นแหละ ผมจะเก็บมาติดใจอะไรนักหนา
แค่ช่วยกันช่วยตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าผมจะตกลงปลงใจกับเขาแล้วสักหน่อย
ถึงงั้นก็เถอะ ไม่รู้ว่าเขาจะมองผมยังไงบ้างนะเนี่ย ไหนจะแก้ผ้าออกมาจากห้องน้ำเอย... ทำแบบนั้นกับเขาเอย โอ๊ย แย่ๆๆ แล้วผมก็ดันชวนเขาไปเที่ยวเสาร์อาทิตย์นี้อีก ตอนนั้นผมคิดอะไรกันอยู่นะเนี่ย
หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เลย...
เรื่องเริ่มแค่ผมซักผ้าปูที่นอน แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นเรื่องการหาเหตุผลมาเลื่อนนัดผัดผ่อนการไปเที่ยวกับสุภาพงษ์ได้ยังไงก็ไม่รู้ จนสิบโมงครึ่งเข้าไปแล้ว กระดาษบนแคร่พิมพ์ผมยังไม่มีอะไรคืบหน้าไปสักเท่าไหร่ ในหัวเริ่มคิดวนๆ เวียนๆ ว่าจะบ่ายเบี่ยงเรื่องไปเที่ยวที่เผลอหลุดปากชวนเขาไปได้ยังไง คือ... กลัวน่ะ... กลัวเกิดเหตุซ้ำรอยแบบคืนนั้นอีก ไม่ใช่ว่าผมจะลืมผ้าเช็ดตัวแล้วแก้ผ้าโทงๆ ออกมาหรอกนะ แต่ถ้าเกิดไปด้วยกันแล้วเขาหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ล่ะ?
เหวอ!! แค่คิดผมก็แทบจะโทรไปบอกเลิกนัดเขาแล้วนะเนี่ย แต่ว่าถ้าสรุปเอาเองแบบนั้นมันก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับเขาเกินไปหน่อย ก่อนหน้านี้ผมไปนอนห้องเขา ก็ยังไม่เห็นเขาทำอะไรเกินเลยขนาดนี้ อืม.... แบบนี้ผมระวังตัวเองไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่ไปสะกิดอะไรให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้อีก
หึย! เขาพิศวาสอะไรผมนักนะเนี่ย
เพราะไม่เข้าใจรสนิยมของสุภาพงษ์แม้แต่นิดเดียว ผมเลยไม่กล้าจินตนาการอะไรอีก เพราะกลัวจะเผลอหลุดปากด่าเขาว่าโรคจิตไปสักวัน อืม... ผู้ชายหุ่นดีๆ วัยเดียวกันก็มีตั้งเยอะตั้งแยะนะเนี่ย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะผมเป็นต้นเหตุล่ะก็ ผมว่าเขาโดนเล่นของแน่ๆ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดบ้าบอกับตัวเองอยู่ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น เล่นเอาผมสะดุ้งแทบจะร้องออกมา รีบกุลีกุจอไปรับทันที
“สวัสดีครับ”
“พนิต นี่เราเอง ภูมินะ”
“อ้าว ภูมิ มีธุระอะไรน่ะ ไม่ทำงานหรือไง?”
“เปล่า พอดีวันนี้มีสัมนาน่ะ แล้วมันน่าเบื่อเลยขอกลับก่อนน่ะ เราแวะไปเยี่ยมนายที่บ้านได้รึเปล่า?”
พอฟังเขาบอกว่าอยู่แถวไหน ผมก็รีบตอบกลับไปทันที “มาสิ ใกล้ๆ นี่เอง” จากนั้นผมก็บอกทางเขา ภูมิวัฒน์ส่งเสียงตอบรับกลับมา จากนั้นก็วางสายไป
เพราะว่าจะมีเพื่อนมาที่บ้าน แล้วไหนๆ ก็คิดนิยายไม่ออกอยู่แล้ว ผมเลยไปหยิบไม้กวาดมาจัดการกวาดบ้านอีกสักรอบ เป็นการฆ่าเวลา พอกวาดบ้านเสร็จ รถของภูมิวัฒน์ก็มาจอดหน้าบ้านผมพอดี
“พนิต!” เขาลงจากรถแล้วตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดัง ผมเลยรีบเก็บไม้กวาดกับที่โกย ออกไปเปิดประตูรับเขา
ภูมิวัฒน์ตัดผมสั้นเรียบร้อย วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแถบขาว ใส่ไว้ในกางเกงซะด้วย สงสัยตอนสัมมนาเขาจะใส่สูท เพราะเห็นกระดุมเสื้อเชิ้ตก็ติดถึงข้อมือ ที่ปลอดออกก็คงเป็นกระดุมเม็ดบนล่ะมั้ง เห็นเลยว่าหุ่นเขายังฟิตดีอยู่ แหม.... หล่อตั้งแต่หนุ่ม จนมีอายุแล้วก็ยังดูดีอยู่เลย
“เข้ามาก่อนสิ” ผมพูด แล้วเปิดประตูรั้วให้ ภูมิวัฒน์เดินเข้ามา มองซ้ายมองขวา แล้วหันมาพูดกับผม “เพิ่งเคยมาบ้านพนิตครั้งแรกนะเนี่ย”
“อือ... หายากมั้ย?”
“ไม่ยาก พอได้ยินว่าเป็นบ้านสวนกลางเมือง เลยคิดว่าน่าจะหาง่ายอยู่น่ะ แล้วนี่พนิตอยู่คนเดียวเหรอ?”
“อืม” ผมตอบ แล้วเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้าน ภูมิวัฒน์เดินตามเข้ามา “อืม... บ้านก็กว้างอยู่นะ เราคิดว่าพนิตอยู่กับน้องที่มารับวันนั้นซะอีก”
“หา?!” ผมหันไปมองหน้าเขา “น้องคนไหนน่ะ?”
“ก็บ.ก.ที่มารับพนิตวันนั้นไง”
ผมเกือบพ่นน้ำลายออกมา “บ้าเรอะภูมิ ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็... เห็นพนิตท่าทางจะชอบเขานี่นา” ภูมิวัฒน์ออกความเห็น แล้วยิ้ม “ปกติพนิตไม่ชอบเครื่องมือสื่อสารไม่ใช่เหรอ ขนาดพกโทรศัพท์ที่เขาซื้อให้ไว้ เราว่าพนิตรู้สึกกับเขาไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”
ผมอึ้งไปหน่อยหนึ่ง ก่อนจะถามเขากลับไป “ภูมิมาเยี่ยมเราหรือมาหาเรื่องเราน่ะ”
ภูมิวัฒน์หัวเราะชอบใจ “พนิตเขินล่ะสิ แล้วตกลงปลงใจกับเขาหรือยังน่ะ?”
ผมชักฉุนเพื่อน ถึงจะเข้าใจนิสัยพูดตรงๆ ของเขาก็เถอะ แต่หมอนี่ไม่จำหรือไงนะ ว่าเพราะไอ้นิสัยพูดตรงๆ ของเขานี่แหละ ที่ทำให้เรามองหน้ากันไม่ติดมาตั้งเป็นยี่สิบปี
“ภูมิคุยเรื่องอื่นที่มันเป็นสาระกว่านี้หน่อยเถอะ” ผมว่า เพราะขี้เกียจฟังคำถามแสลงหู ที่แค่ถามตัวเองผมยังไม่อยากถาม แล้วทำไมจะต้องมาฟังคนอื่นถามด้วย ภูมิวัฒน์เงียบไปพักหนึ่ง
“พนิตอยู่บ้านนี้แต่เกิดเลยเหรอ?”
“อืม...”
“งี้แสดงว่ามีรูปถ่ายสมัยเด็กๆ เก็บไว้ด้วยล่ะสิ” เขาว่า คราวนี้ผมหันมาหัวเราะบ้าง “อะไรน่ะ จู่ๆ ก็อยากดูรูปถ่ายสมัยเด็กขึ้นมาหรือ? นายไปสัมมนาอะไรมาเนี่ย?”
“การปฏิรูปการศึกษา” ภูมิวัฒน์ตอบ แล้วทำหน้าละเหี่ยใจทันที “งี่เง่าไร้สาระเหมือนเคยนั่นแหละ ขี้เกียจอยู่ฟังเลยบอกว่าเพื่อนไม่สบายหนัก เดี๋ยวค่อยให้เลขาสรุปให้ทีหลัง”
“โห... ทำงานนี้นี่เอง มิน่าล่ะ กระทรวงถึงไม่ก้าวหน้าสักที” ผมแซวเขา ภูมิวัฒน์ทำหน้านิ่ว “อยากให้นายไปนั่งทำงานแบบฉันสักวันจริงๆ ชีวิตนักเขียนนิยายนี่ดูสบายดีนะ อยู่บ้านทั้งวันเลยล่ะสิ”
“อือ”
“เออ ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอดูรูปถ่ายสมัยเด็กๆ หน่อยสิ”
ผมเลิกคิ้วมองเขา แล้วพูดปนขำ “อะไรกัน โดดงานแถมแก่จนจะมีหลานอยู่แล้ว ยังจะมาขอดูรูปตอนเด็กๆ อีก”
“ช่วยไม่ได้ ฉันยังไม่มีลูกนี่นา จะมีหลานได้ไง” ภูมิวัฒน์ตอบผมหน้าซื่อ “หรือนายมีแล้ว?”
“ยังเหมือนกัน” ผมตอบเขา จากนั้นก็เดินไปรื้ออัลบั้มรูปถ่ายที่อยู่ในลิ้นชักออกมา สักพักก็ได้ยินเสียงเขาถามอีก “พนิต แก้วน้ำอยู่ไหนน่ะ”
ผมลืมสนิทว่าต้องยกน้ำมารับแขก เลยรีบวางมือจากลิ้นชัก จะไปหยิบแก้วให้เขา แต่ก็ถูกห้ามไว้อีก “นี่ บอกมาเถอะน่า เดี๋ยวฉันไปหยิบเอง เรื่องแค่นี้ไม่ต้องทำเหมือนเป็นแขกหรอก”
“อืม... อยู่ตรงชั้นหลังบ้านน่ะ น้ำมีในตู้เย็น เทได้เลยน่ะ”
“อื้อ นายหารูปถ่ายต่อไปเถอะ” เขาว่า จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงหยิบแก้วที่หลังบ้าน แล้วก็เสียงเปิดตู้เย็น อืม... ทำไมเจ้าหมอนี่ถึงได้อยากจะดูรูปถ่ายสมัยเด็กๆ ของผมนักนะ ผมรื้อๆ เจออัลบั้มหนึ่ง เก่าเก็บจนแทบจะเปิดไม่ขึ้นอยู่แล้ว เป็นรูปถ่ายรวมๆ มีรูปแม่ผมด้วย รูปขาวดำทั้งนั้นน่ะ
“เอ้า” ผมหยิบอัลบั้มส่งให้เขาที่เดินผ่านมาพอดี ภูมิวัฒน์รับไปแล้วชะโงกหน้ามาดูในลิ้นชัก “รูปสมัยเรียนมีรึเปล่า”
“มี” คราวนี้ผมตอบชัดเจน ก่อนจะรื้อออกมาอีกสองสามอัลบั้ม “มีรูปนายด้วยล่ะ” ผมพูดกับเขา “แต่เราแอบเอาไว้ลึกเลย โมโหนายน่ะ”
“อืม.... ช่างเรื่องเก่าๆ เถอะน่า” เขาว่า แล้วรับอัลบั้มรูปทั้งหมดไป
“ไหนๆ ขอดูหน่อยซิ เด็กชายพนิตหน้าตายังไง” ภูมิวัฒน์พูด ก่อนจะเอาอัลบั้มรูปพวกนั้นไปเปิดดูที่โต๊ะรับแขก ผมเดินตามไปแล้วหัวเราะ “ทำเป็นมาดูหน้าหลานไปได้ ตอนเด็กๆ ใครมันก็ขี้เหร่ทั้งนั้นแหละ”
“ก็ไม่นะ” เขาว่า ขณะพลิกดูรูปถ่าย “นี่น้องสาวพนิตสินะ ตอนเด็กๆ น่ารักดี”
ผมพยักหน้าทันที ก่อนจะพูดเสริมต่อ “น้องเราน่ารักมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“นี่พนิตไม่เคยอ้วนกับเขาเลยหรือ?” ภูมิวัฒน์ถามต่อ หลังจากดูไปได้สักพัก ผมสั่นศีรษะ “ไม่เคยเลยน่ะ มีน้ำหนักขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง” ผมว่า แล้วขยับไปช่วยเปิดอัลบั้มรูปให้เขา “นี่ไง ตอนอยู่ม.ปลายน่ะ อ้วนมาหน่อยหนึ่ง”
“โหย.. อย่างนี้น่ะเขาเรียกว่ากุ้งแห้งเยอรมัน” ภูมิวัฒน์แซวผม ผมหัวเราะชอบใจ “กุ้งแห้งเยอรมันก็ดีนะ จะได้ไปอังกฤษไง”
“แล้วก็ถูกอังกฤษเตะกลับมาใช่ไหมล่ะ?”
จากนั้นเราก็เริ่มต่อกลอนที่เคยเล่นสมัยเด็กกัน ต่อไปได้สักสี่ห้ากลอน ผมก็ขำจนนึกต่อไม่ออก “โอ๊ย ภูมิ ขอเถอะ พอเห็นหน้านายรุ่นนี้ต่อกลอนแบบนั้นแล้ว เรานึกอะไรไม่ออกเลยน่ะ”
“อะไรกัน นายก็รุ่นเดียวกับเรานั่นแหละ ทำมาว่าเราไปได้”
ผมขำไม่หยุด ไม่ใช่อะไรหรอก ภูมิวัฒน์ถึงจะอายุเยอะแล้ว แต่ยังหน้าตาดีในแบบคนมีอายุอยู่นะ พอเห็นเขาใช้หน้าหล่อๆ แบบนั้นมาพูดกลอนด้นสมัยเด็กๆ แล้วมันไม่เข้ากันสุดๆ จนน่าขำเลยน่ะ
“เอ้าๆ หัวเราะให้พอ” เขาพูดกระแทกเสียงนิดๆ แล้วยกมือผลักผมเบาๆ ผมหัวเราะใหญ่ ขำจนลงไปนอนพิงกับเก้าอี้ “โอ๊ย ขำ เดี๋ยวนะ ขอเราพักหายใจแป๊บหนึ่ง”
ภูมิวัฒน์เหลือบตามามองผมที่นอนพิงกับเก้าอี้ยาวหน่อยๆ แล้วพูดยิ้มๆ “พนิตอย่าไปนอนแบบนี้ให้น้องเค้าเห็นนะ ถ้ายังไม่ตกลงปลงใจกันน่ะ”
“?” ผมหยุดหัวเราะ เงยมองเขาทันที ภูมิวัฒน์พูดต่อ “แล้วรูปถ่ายพวกนี้น่ะ เก็บดีๆ เลยนะ ถ้าน้องเขายังไม่เคยดูก็อย่าให้ดูเลย”
“นี่จะพูดอะไรกันแน่น่ะ ภูมิ” ผมถามเขา ยันตัวลุกขึ้นมา ภูมิวัฒน์ยิ้มนิดๆ “เราห่วงน้องเขาน่ะ กลัวน้องเขาตกหลุมรักนายจนโงหัวไม่ขึ้น ถ้าไม่ตกลงปลงใจก็อย่าให้ท่าเขามากเลย สงสารเขาเถอะ”
ผมนิ่วหน้า อารมณ์ที่ดีๆ อยู่เมื่อตะกี้หายวับไปเหมือนถูกเช็ด “เราไม่ได้ให้ท่านะ!”
“อืม...” อดีตรูมเมทผมพยักหน้า “แต่ที่พนิตทำอยู่ เราว่า สำหรับน้องเขา มันก็เหมือนให้ท่านั่นแหละ ถ้าไม่คิดอะไรก็อย่าทำใจดีเกินหน้าที่กับเขาเลยนะ”
ผมมองหน้าภูมิวัฒน์ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือก “ภูมิ... เราไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง”
“?” เขาเลิกคิ้วมองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ ผมมองเขาอยู่พัก ก็ตัดสินใจพูดต่อ “นี่เห็นว่านายเคยเป็นรูมเมทเรา แถม... ท่าทางจะเป็นเกย์ด้วยหรอกนะ ถึงบอกนะ”
ภูมิวัฒน์หัวเราะออกมา “ไม่ใช่ท่าทางหรอก เราเป็นเกย์เลยล่ะ”
ผมอึ้งไปหน่อยหนึ่ง “ระ... เหรอ...”
“อืม... พนิตดูไม่ออกเลยเหรอ?”
ผมสั่นหัวดิก ภูมิวัฒน์ยิ้มอีก “อืม... เราไม่แปลกใจนะ เพราะกระทั่งตัวนายเอง นายยังไม่รู้ตัวเลย”
“นี่ หลอกด่าอะไรเราอีกน่ะ” ผมถามเสียงเขียว เพื่อนผมรีบสั่นศีรษะ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด ทั้งๆ ที่ยังหัวเราะอยู่ “นายจะบอกอะไรเราน่ะ?”
“ไม่บอกแล้ว” ผมเมินใส่เขา ค่าที่ชอบแกล้งหลอกด่าผมดีนัก ภูมิวัฒน์ทำหน้าเจื่อนๆ อย่างที่ไม่เข้ากับบุคลิกเขาเลยสักนิด แล้วถามผมเสียงอ่อน “ไม่บอกจริงเหรอ?”
ผมล่ะไม่รู้จะโกรธหรืออะไรเขาดี อายุก็ไม่ใช่สิบเก้ายี่สิบแล้ว ยังจะมาทำท่าเด็กๆ อยู่อีก หน้าตาเขาก็ดูดีแบบคนมีอายุ หยุดทำอะไรไม่เข้ากับหน้าแบบนี้สักทีได้ไหมเนี่ย เดี๋ยวผมก็ขำกลิ้งอีกหรอก
“บอกหน่อยเถอะ นะ...”
พอเห็นเขาทำหน้าแล้วเสียงอ้อนๆ แบบนั้น ผมอดไม่ได้จริงๆ ต้องขำออกมา “โอ๊ย ขอเหอะภูมิ อย่าทำหน้าแบบนี้อีกนะ ฮ่ะๆ”
“หนอย ขำได้ขำดีจริงนะ หน้าเรามันมีปัญหาอะไรน่ะ”
ผมตอบไม่ออก เพราะพอเขาทำหน้าโกรธหลอกๆ แบบนั้นแล้วก็ยิ่งขำหนักเข้าไปอีก สงสัยภูมิวัฒน์จะทนหมั่นไส้ผมไม่ไหว เลยขยับมือมาจักจี้เอวผมต่อ “งั้นจะให้หัวเราะให้พอเลย”
ความจริงผมก็ไม่ใช่คนบ้าจี้อะไรนักหรอก ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอกำลังขำอยู่แบบนี้ แล้วถูกเขาทำแบบนั้น อาการบ้าจี้มันเลยออกมา ผมดิ้นพลางหัวเราะพลางจนหน้าดำหน้าแดง “โอ๊ย ภูมิ ไม่เอานะ ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย ฮ่าๆๆ”
ภูมิวัฒน์จี้เอวผมอย่างกับคับแค้นกันมานานปี นี่เขากะจะให้ผมหัวเราะจนขาดใจตายเลยหรือไง ขณะที่กำลังหัวเราะน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีใครเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็...
พลั่ก!!!
มันเกิดขึ้นเร็วมากจริงๆ ผมยังหัวเราะอยู่เลยตอนที่เพื่อนผมถูกดึงตัวออกไป จากนั้นก็เห็นเขากระเด็นไปที่พื้น เพราะถูกใครบางคนต่อย พอเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นคนที่ไม่คิดว่าจะมาปรากฏตัวอยู่ได้ในเวลาแบบนี้
สุภาพงษ์!!
ผมตกใจจนพูดไม่ออก แต่พอเห็นเขาเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อภูมิวัฒน์ขึ้นมา แล้วเงื้อหมัดอีก ผมก็รีบวิ่งเข้าไปขวางกลางทันที “หยุดนะ!!” จากนั้นเราก็ยื้อยุดกันอยู่พักหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยง สุภาพงษ์แรงเยอะมาก แถมภูมิวัฒน์เองก็ดูจะโมโหสุดๆ ที่ถูกต่อย ก็เลยพยายามจะเงื้อหมัดเข้าใส่ จนผมต้องร้องขึ้น “หยุดนะ!! หยุด!!”
ผมทั้งถีบทั้งผลักสู้แรงกันจนพอจะแยกสองคนนั่นออกมาได้ พอเงยหน้าก็เห็นสุภาพงษ์หน้าแดงก่ำ ท่าทางโกรธจัด เขาถลึงตามองผม ขบกรามจนเป็นสันนูน ก่อนจะโพล่งออกมา “พี่นิตจะให้ท่ากับทุกคนเลยใช่มั้ย?!”
ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรแทงทะลุอก ถึงกับลืมหายใจไปกะทันหัน
เพี๊ยะ!!!!
เสียงฝ่ามือกระทบกับใบหน้าดังชัดเสียดเข้ามาในหู เขาเซถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง แก้มเห่อเป็นปื้นขึ้นมา ผมเจ็บแปลบตรงมือขวาที่ใช้ตบเขา แต่.... ผมไม่รู้สึกอะไรมากนักหรอก
เพราะหัวใจที่เต้นอยู่ในอกผมมันเจ็บกว่านั้นอีกหลายเท่า
“พี่นิต!”
ผมกำมือแน่น รู้สึกปวดแปลบที่หน้าอกเหมือนจะฉีกออก ตามันพร่าเพราะม่านน้ำที่เอ่อทะลักออกมา ได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไป “ออกไป...”
“พี่...”
“ออกไป!!” ผมตวาดลั่น “ออกไปให้พ้น!”
สุภาพงษ์หันหน้ามา ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากเห็นเขาอีกแล้ว
“ออกไป!!” ผมยื่นมือไปผลักเขาอย่างแรง สุภาพงษ์เซถลาตามแรงผลัก “พี่นิต ผม!”
ผมผลักเขาสุดแรง จนภูมิวัฒน์ต้องเข้ามาดึงแขนผมไว้ ขณะที่สุภาพงษ์เซไปชนบานประตูที่เปิดอ้าอยู่
“ไปให้พ้น แล้วไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีก!”
“!!!!”
ผมมองหน้าสุภาพงษ์ไม่ชัด อันที่จริงแล้ว ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากอาการปวดแน่นในอก เขาค่อยๆ หันหลัง แล้วเดินออกไป ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถ ได้ยินเสียงรถแล่นออกไป
“พนิต!”
ผมปวดหัวใจจนชาขึ้นมาถึงหน้า ปวดจนมองไม่เห็นอะไร เจ็บเหมือนหัวใจถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆ
ผม...............
---------------------------------------------------------------
ครั้งหนึ่งในชีวิต ผมเคยเสียใจกับคำพูดของรูมเมทตัวเอง จนต้องมานอนร้องไห้คนเดียวบนเตียง ตอนนั้นหัวใจผมเจ็บแปล๊บๆ เสียใจ แต่ก็พอเข้าใจอยู่ว่าสิ่งที่ผมทำมันงี่เง่า ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกเคืองเขามาได้ตั้งเป็นยี่สิบปี
นั่นก็เพราะ... ผมชอบเขาเอามากๆ การที่ถูกคนที่ชอบทำร้ายจิตใจ มันเจ็บปวดมากเสียกว่าถูกทำร้ายโดยคนที่เกลียดเสียอีก
แต่ผมไม่เคยคิดเลย ว่าจะมีอีกครั้ง ที่ผมจะต้องเจ็บปวดเพราะเรื่องแบบนี้อีกครั้ง ซ้ำยังรุนแรงกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่สิบเท่า
ผม.... พลาดไปแล้วใช่มั้ย.......?
“..........................” ผมลืมตาขึ้นมา เห็นฝ้าเพดานลายดอกไม้ ที่โดนแสงแดดอ่อนๆ ย้อมจนเป็นสีเหลืองอ่อน อืม.. ที่บ้านผมไม่มีฝ้าลายๆ แบบนี้นี่นา... จากนั้นผมก็ได้กลิ่นเหมือนน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ตามโรงพยาบาล
นี่ผมอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอ?
ขณะที่กำลังกะพริบตาปริบๆ แล้วหันมองนั่นมองนี่ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองอยู่ในที่แบบไหนกันแน่ ประตูแบบบานสวิงก็ถูกเปิดเข้ามา
“พนิต ฟื้นแล้วเหรอ? ดีจัง” ภูมิวัฒน์เอ่ยปากทัก แล้วเดินเข้ามาหาผม ที่ปากเขามีรอยช้ำรอยใหญ่พอสมควร เลยถามเขาอย่างเป็นห่วง “หน้าเป็นไงบ้างน่ะ?”
“ก็นิดหน่อย ฟันไม่หัก แค่ปากแตกน่ะ” เขาตอบผม แล้วพูดต่อทันที “นายห่วงตัวเองก่อนเถอะ เสียใจจนเป็นลมแบบนี้น่ะ ไม่ค่อยดีแล้วนะ”
ผมกะพริบตาซ้ำๆ หลายครั้ง แต่พอพบว่าไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ก็ต้องต้องแค่นหัวเราะออกมาแทน “เหรอ... ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ภูมิวัฒน์เงียบไปบ้าง รอจนผมน้ำตาหยุดไหล เขาเลยพูดต่อ “หมอบอกว่านายต้องออกกำลังกายบ้าง หัวใจจะได้แข็งแรงขึ้น”
“อืม....” ผมส่งเสียงในลำคออย่างไม่อยากจะสนใจอะไรนัก ภูมิวัฒน์เดินเข้ามาใกล้ แล้วยกมือลูบศีรษะผม เขาไม่ได้พูดอะไร แค่ลูบแล้วมองผมเฉยๆ แต่กลับทำให้น้ำตาผมไหลไม่หยุด ผมจับมือเขาเอาไว้แน่น
เราสองคนยืนเงียบๆ กันแบบนั้นสักพัก ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ ขณะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในอก ภูมิวัฒน์ยกมือเช็ดน้ำตาให้ผมเป็นระยะ จากนั้นเขาก็ขยับออก ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง
“พนิต”
“อืม” ผมส่งเสียง แต่ไม่ได้หันไปมองหน้า ได้ยินเสียงภูมิวัฒน์พูดต่อ “ชอบเขาใช่มั้ย?”
น้ำตาผมไหลออกมาอีก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ “งั้นเราตามเขามานะ”
ผมรีบสั่นศีรษะ พยายามเค้นเสียงบอกเพื่อนไป “ไม่ต้องหรอก”
“ทำไมล่ะ?”
“เรา... เกลียดเขาแล้ว”
“พนิต!”
ผมหลับตา เริ่มรู้สึกรำคาญน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด “พาเราไปส่งที่บ้านทีสิ”
“...........”
“เราอยากกลับบ้านแล้วน่ะ”
“คุยกับเขาหน่อยไม่ดีเหรอ” ภูมิวัฒน์พูดขึ้นอีก ผมสั่นศีรษะ “ไม่ต้องหรอก เรารู้แล้วล่ะ ว่าเขามองเรายังไง”
“พนิต.. นี่มันแค่เรื่องเข้าใจผิดนะ”
ผมสั่นศีรษะอีก “ไม่ใช่หรอก... เรา.... ใจง่ายเองแหละ”
“?!”
“ถ้านายไม่อยากไปส่งเราตอนนี้ ขอเราอยู่เงียบๆ สักพักได้มั้ย?” ผมพูด เพราะชักรู้สึกว่าคงจะห้ามน้ำตาไม่อยู่แน่ๆ ภูมิวัฒน์นั่งนิ่งอยู่พัก สุดท้ายก็ลุกออกไปโดยไม่พูดอะไร พอได้ยินเสียงปิดประตู ผมก็ยกมือปิดหน้า น้ำตาไหลทะลักออกมา แทบจะกลั้นเสียงร้องเอาไว้ไม่อยู่
เขาคงเห็นผมง่าย เห็นผมทำอะไรกับใครก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดออกมา แค่เพราะผมถูกเขาจับ ถูกเขาลูบ ก็ยอมโอนอ่อน ยอมให้เขาจับแล้วจับอีก เขาคงเห็นว่าผมเป็นแบบนั้น
มันไม่ใช่ความผิดเขาหรอก
เขาคงไม่รู้จริงๆ ว่าที่ผมยอมให้เขาจับ ที่ผมยอมให้เขาจูบ ผมสั่นแค่ไหน หัวใจผมเต้นแรงแค่ไหน...
เขาอาจจะไม่ใช่รักแรกของผม แต่เขาเป็นจูบแรกของผม เป็นการสัมผัสอย่างลึกซึ้งครั้งแรกของผม
เขาได้ครั้งแรกจากทั้งชีวิตของผม แต่.... มันไม่มีค่าอะไรในสายตาเขาเลยสักนิด
ผมปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้ม....
ต่อไปนี้... ผมจะไม่ยอมให้ใครได้จูบผมอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครได้แตะผมอีกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายผมอย่างไม่ตั้งใจแบบนี้อีก
ผมจะไม่เผลอให้หัวใจกับใครอีกแล้ว.....
--------------------------------------------
หลังจากหมอมาตรวจอาการผมอีกครั้งในช่วงค่ำ ก็ลงความเห็นว่าควรจะพักต่ออีกสักหน่อย แล้วฉีดยาให้ผมอีกเข็ม ผมล่ะทุเรศตัวเองจริงๆ ที่ต้องมาถูกจับฉีดยาระงับประสาทแบบนี้ ภูมิวัฒน์ตั้งใจจะอยู่เฝ้าผม แต่ผมบอกให้เขากลับไปก่อน เพราะถึงจะเป็นโรงพยาบาลเอกชน ก็ใช่ว่าจะมีเตียงมีหมอนนอนสบายสำหรับคนเฝ้าไข้ อีกอย่าง ผมก็ไม่เป็นอะไรมาก
เราเถียงกันสักพัก ผมชักรู้สึกมึนๆ เพราะฤทธิ์ยา เขาเลยยอมกลับไป จากนั้นผมก็หลับไม่ได้สติ
คืนนั้นผมฝัน ฝันว่าตัวเองกำลังนั่งก่ออิฐถือปูน ซ่อมผนังห้องบิดๆ เบี้ยวๆ ที่พังอย่างกับถูกแผ่นดินไหว พร้อมสึนามิถล่มพร้อมกัน ทุกอย่างพังพินาศไม่มีชิ้นดี จากนั้น ผมก็เห็นใครสักคนเดินเข้ามาใกล้
“พี่นิต... ผมขอโทษ”
ผมไม่เห็นหรอกว่าเขาเป็นใคร ไม่รูด้วยซ้ำว่าเขาขอโทษเพราะอะไร ที่ผมทำคือ เรียงอิฐให้สูงขึ้น ฉาบปูนให้หนาขึ้น
โลกของผมมันไม่กว้างและแข็งแรงพอจะรับใครเข้ามาอีกแล้ว
----------------------------------------------
** เริ่มต้นด้วยความฮา... ลงท้ายด้วยน้ำตาจริงๆ!!!
เขียนไปปวดอกแปลบๆ เพราะนอกจากจะเศร้ากับคุณพนิตแล้ว ยังรู้(อีกนะ) ว่าโจคงจะเสียใจไม่แพ้กัน
คำพูดเป็นสิ่งที่เรียกคืนไม่ได้ โจคงนึกด่าตัวเองเป็นล้านครั้ง ว่าไม่น่าพูดออกไปอย่างนั้นเลย (แต่ก็สายไปแล้ว)
น่าเสียดายที่ไม่น่าจะมีพาร์ตความรู้สึกของนายโจสำหรับช่วงนี้ (ที่จริงอยากเขียน แต่นึกไม่ออกว่าจะแทรกยังไง เล่นมุกเดียวกับนพรัตน์ก็ไม่อยากทำแล้ว ไม่ชอบเล่นมุกซ้ำบ่อยๆ ฮ่าๆ)
ที่จริงก็รู้สึกว่าพี่นิตออกจะเห็นแก่(ความรู้สึก)ตัวเองอยู่สักหน่อย(ถึงมาก) แต่เพราะพี่นิตอาร์ต เลยให้อภัย (ง่ายๆ งี้เลย!!
)
แถมรูป (ที่ไม่ค่อยเข้ากับเนื้อหาตอนนี้)
นี่คงเป็นความฝันของทั้งโจและพี่นิต(?) แต่ว่า... มันคงเป็นฝันที่ห่างไกลไปอีกหลายหมื่นปีแสง
อืม.... เรารู้สึกมีความสุขในความทุกข์ยังไงพิกล... ช่วงเวลานี้ช่างเจ็บปวดยิ่งนัก (โดนคนอ่านตบ
อินังโรคจิตนี่ ชอบSMเร้อออ)
ขอให้ทุกท่านนอนหลับฝันดี..... เพราะคนเขียนติดภาระกิจ อาจจะไม่่ว่างมาเีีขียนตอนต่อให้ได้อ่านกันไวๆ
แต่ก็จะพยายามน๊า อืดมาม่ากันไปก่อนแล้วกัน อิิอิ