พอกลับไปถึงห้องจัดเลี้ยง ภูมิวัฒน์ก็จัดการลากผมไปขึ้นเวทีร้องคาราโอเกะอย่างที่พูดเอาไว้ทันที พอเขาเลือกเพลงมา ผมถึงขั้นขนลุก แต่จะหันไปด่าเขาก็ใช่ที่ เพราะเพื่อนๆ ฟังอยู่ พอขึ้นทำนองน่ะ ผมร้องเป็นหรอก แต่ว่าทำไมเขาถึงต้องชวนผมมาร้องคู่หลังเราปรับความเข้าใจกันได้แล้วด้วยนะ
พอทำนองขึ้นสักพัก ภูมิวัฒน์ก็เริ่มร้อง…
“แอบมองไปเจอ
ฉับพลันนั้นเธอก็เหม่อมองสบสายตา
เธอต้องอุราให้ฉันคิดรัก
เธอในแรกเราพบกัน
ใจตรงกับใจ สายตาที่บอก
คิดยืนยันแอบรักเมื่อวันก่อน
เกิดเป็นความรัก ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอติดยังฝังตรึง
ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน
อยากบอกเธอ รักครั้งแรก
จากวันเป็นเดือน
จิตยังฝังเตือนให้แอบพะวงถึงเธอ
ไม่กล้าเสนอว่ารัก
เธอเปี่ยมล้นจนเต็มหัวใจ
วันคืนผ่านไป หัวใจจะบอก
รักจำนรรแต่ฉันไม่กล้าเอ่ย
เกิดเป็นความรัก
ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอคิดยังฝังตรึง
ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน
อยากบอกเธอ รักครั้งแรก
หวั่นใจเพียงใดไม่กล้า
เผยคำพร่ำเอ่ยสุนทรวจี
อัดอั้นเต็มทีจึงลองถาม
นิดว่าเธอรักใครหรือยัง
คำเดียวที่คอย หวังเธอจะบอก
รักเช่นกันต่างรักเมื่อวันก่อน
เกิดเป็นความรัก
ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอคิดยังฝังตรึง
ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน
อยากบอกเธอ รักครั้งแรก”
ไหนๆ ก็รับปากเขาแล้ว แล้วทักษะร้องเพลงผมก็ใช่ว่าแย่ ในเมื่อเขากล้าร้อง ผมก็กล้าร้องเหมือนกัน พอจบเพลง ภูมิวัฒน์ก็เลือกเพลงต่อโดยไม่ถามผม คราวนี้เป็นเพลงรอยเท้าบนผืนทราย จากนั้นก็ต่อด้วยปราสาททราย แรกๆ เพื่อนเอาดอกไม้ในโต๊ะมาให้ หลังๆ เริ่มตะโกนแซวกันนิดๆ หน่อยๆ พอร้องปราสาททรายจบ ก็มีคนมาขอผลัด เพราะติว่าพวกผมร้องเพลงกันเศร้าลงเรื่อยๆ เราเลยกลับมานั่งที่โต๊ะ
คราวนี้บรรยากาศในโต๊ะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมเริ่มแซวภูมิวัฒน์ เราคุยกันสารพัดเรื่อง จนผมมารู้สึกตัวอีกที ตอนที่เพื่อนอีกคนทักผมว่าโทรศัพท์เข้า ผมยังงงอยู่ได้อีกพัก ถึงนึกได้ว่าพกโทรศัพท์มือถือมา กว่าจะได้กดรับ ผมคิดว่าคนโทรมาคงจะวางสายไปแล้วล่ะ
“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไป กลั้นใจว่าคงไม่ได้รับเสียงตรู๊ดๆ อย่างอาการของสายที่ถูกตัดไปเป็นเสียงตอบกลับมา
“ครับ พี่นิตอยู่ไหนแล้วครับ?” เสียงปลายสายทำเอาผมเลิกคิ้วหน่อยๆ ก่อนจะนึกได้ว่ามีคนเดียวที่รู้เบอร์โทรศัพท์เครื่องนี้นี่นา เลยตอบเขากลับไป “ยังอยู่ที่งาน โจมีอะไรหรือ?”
“อืม พี่นิตจะกลับหรือยังครับ? พอดีผมออกมาธุระนอกบ้าน ถ้าพี่จะกลับเดี๋ยวผมจะได้แวะไปรับ”
ผมหัวเราะออกมา “โจผ่านรึไงน่ะ รู้หรือว่าพี่มางานแถวไหน”
“แถวไหนล่ะครับ”
ผมบอกสถานที่เขาไป ได้ยินสุภาพงษ์ตอบกลับมาทันใจ “อืม... ใกล้ๆ นี้เอง ผมอยู่...”
พอได้ยินเขาบอกว่าธุระอยู่แถวไหน ผมก็หันไปถามเวลากับเพื่อนทันที จากนั้นก็พูดกรอกโทรศัพท์ “งั้นโจจะแวะเข้ามากี่โมงล่ะ”
“สักสี่ทุ่มครึ่งน่ะครับ พี่นิตจะกลับหรือยังครับ”
“อืม.. ก็ได้ สี่ทุ่มครึ่ง” ผมว่า แล้ววางสายไป พอวางเสร็จเพื่อนๆ ก็แซวกันใหญ่
“ไหนพนิตบอกว่าไม่พกโทรศัพท์มือถือไง แล้วตะกี้อะไรน่ะ”
“บ.ก.ซื้อให้น่ะ” ผมตอบเพื่อนไป แน่นอนว่าได้รับเสียงแซวกลับมาทันควัน “เอาไว้ทวงงานล่ะสิ แล้วนี่ที่โทรมาตะกี้น่ะบ.ก.รึเปล่าน่ะ? อย่าบอกนะว่านายอู้ส่งงานจนเขาต้องโทรตามดึกป่านนี้น่ะ”
“เปล่า” ผมตอบ “คือเขาโทรมาถามเฉยๆ ว่าจะกลับด้วยกันรึเปล่า เห็นว่าทำธุระอยู่แถวนี้น่ะ”
“บ.ก.นายทำธุระดึกจังเลยนะ... สนิทกันเหรอ?”
“ก็ทำนองนั้น เคยเป็นเด็กข้างบ้านกันมาก่อนน่ะ”
“อ้าว... ฮ่ะๆ โลกกลมดีนะ”
ผมได้แต่หัวเราะตอบไป ได้ยินเสียงภูมิวัฒน์กระซิบข้างๆ “พนิต เดี๋ยวเราออกไปส่งนายนะ”
ผมหันไปมองเขา แล้วพยักหน้างงๆ “อืม”
-------------------------------------------
พอใกล้ๆ สี่ทุ่มครึ่ง ผมก็ขอตัวออกมา ภูมิวัฒน์เดินตามมาส่ง ระหว่างทางเขาก็พูดขึ้น “พนิต... บ.ก.น่ะ ผู้ชายสินะ?”
“อืม”
“อายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สามสิบสี่”
“อืม....” ภูมิวัฒน์เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถามต่อ “เขาจีบนายอยู่รึเปล่า?”
ผมเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง “ทำไมถามแบบนั้นน่ะ”
อดีตรูมเมทผมเลิกคิ้ว แล้วยิ้มหน่อยๆ “ก็นายยังดูดีอยู่เลย ไม่มีใครจีบสิแปลก”
ผมมองเขาอึ้งๆ เห็นเขาขยับปากพูดอีก “ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว นี่ ยิ้มหน่อยสิ เวลานายยิ้มน่ะ โลกสดใสสุดๆ เลยนะ”
ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบเขา “นี่นายจะพูดอะไรกันแน่น่ะ”
ภูมิวัฒน์ทำหน้าลำบากใจ “พนิต... นายน่ะ คิดยังไงกับบ.ก.คนนั้นล่ะ ถ้าไม่ตกลงปลงใจกับเขาล่ะก็ อย่าไปผูกสัมพันธ์อะไรด้วยมากเลยนะ ไม่ต้องให้เขาซื้อโทรศัพท์ให้ หรือมารับมาส่งก็ได้ นี่ไม่ใช่ว่าอะไรนายนะ เราสงสารน้องเขาน่ะ กลัวเขาจะอกหักเพราะนายรักโลกส่วนตัวมากไปอีก”
ผมอึ้งไปอีก เอ่อ... นี่เขาหลอกด่าผมรึเปล่านะเนี่ย พอเห็นผมทำหน้าอึ้ง ภูมิวัฒน์เลยรีบพูดอีก “เอาน่าๆ ขอโทษด้วยนะที่พูดอะไรไม่ดีอีกแล้ว ก็เรามันคนขี้อิจฉานี่นา”
ผมเลิกคิ้วมองเขา ตั้งใจว่าจะตอกเขาให้ได้สักครั้ง เลยพูดออกไป “อืม.. เดี๋ยวนี้นายหันมาอิจฉาคนมากกว่านิยายแล้วรึเนี่ย”
ภูมิวัฒน์หัวเราะ “เราอิจฉาไปหมดแหละ อะไรที่นายมองน่ะ เพียงแต่นายไม่ได้สังเกตเท่านั้นเอง”
“..................”
จากนั้นเขาก็ยกมือมาตบไหล่ผมเบาๆ “เราอยากให้นายหาใครเอาไว้ใกล้ๆ คอยดูแลสักคน อายุเราก็เยอะๆ กันแล้ว อยู่คนเดียวเหงานะ”
“มันไม่เหงาขนาดนั้นหรอกน่า พูดดีไปเถอะ นายเองก็ยังไม่แต่งงานไม่ใช่หรือไง?”
ภูมิวัฒน์ไม่ตอบอะไรผม ได้แต่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่รถเก๋งสีขาวจะแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าประตูโรงแรม เจ้าเพื่อนผมเลยผลักไหล่ผมเบาๆ “ขอบคุณ แล้วก็ขอโทษ โชคดีนะ”
ผมหันไปมองเขา แล้วพูดตอบไป “ขอโทษนะ โชคดีเหมือนกัน”
จากนั้นก็เดินลงไปที่รถ ที่จริงมันมีเด็กที่ทำหน้าที่เปิดประตูให้แขกเวลาจะขึ้นรถ แต่ว่าคงไม่ได้มาทำหน้าที่เปิดประตูรถเก๋งสีขาวที่เพิ่งมาจอด เพราะเจ้าของรถจอดแล้วก็รีบออกมาเปิดประตูให้ผมทันที แหม... เขาเป็นเด็กเปิดประตูรถที่หล่อไปแล้วล่ะ
พอเข้ามานั่งในรถ รัดเข็มขัดเรียบร้อย สุภาพงษ์ก็หันมาถามผม “งานเลี้ยงรุ่นเป็นไงบ้างครับ?”
“ก็สนุกดี” ผมตอบ พลางมองแสงไฟจากป้ายนีออนวิบๆ วับๆ ตามทางที่รถแล่นผ่าน พวกเรานั่งเงียบๆ กันได้สักพัก สุภาพงษ์ก็เอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เสียงเพลงที่ดังขึ้นทำเอาผมขนลุก
แอบมองไปเจอ
ฉับพลันนั้นเธอก็เหม่อมองสบสายตา
เธอต้องอุราให้ฉันคิดรัก
เธอในแรกเราพบกัน
ใจตรงกับใจ สายตาที่บอก
คิดยืนยันแอบรักเมื่อวันก่อน…….
ผมหันไปมองสุภาพงษ์ เห็นเขาเม้มปากนิดๆ “เพลงเพราะนะครับ”
ผมถลึงตาจ้องเจ้าเครื่องเล่นวิทยุเขาแทบทะลุ ก่อนจะถามออกไป “นี่เทปหรือวิทยุน่ะ”
“วิทยุครับ” สุภาพงษ์ตอบผมด้วยน้ำเสียงงงๆ คงจะงงกับผมที่อุตส่าห์เค้นเสียงรอดไรฟัน เพื่อจะถามเรื่องแค่นี้ล่ะมั้ง แต่ผมกันไว้ก่อน ไม่ไหวนะ คืนเดียวเจอทั้งของเก่าของใหม่ เดี๋ยวผมก็หัวใจวายตายพอดี
เพลงรักครั้งแรกจบไป มีเสียงดีเจพูด ผมเลยค่อยชื้นใจว่าเป็นวิทยุจริงๆ แล้วสักพัก เพลงแฟนฉันก็ขึ้นต่อ
“นี่มันรายการเพลงวงชาตรีหรือไง” ผมอดถามออกมาไม่ได้ ได้ยินเสียงสุภาพงษ์ตอบผม “ไม่มั้งครับ มีคนขอไปเขาก็เลยเปิดนี่ เพลงนี้ผมก็ชอบนะ”
“เกิดทันหรือไง?” ผมย้อนเขาไป คนขับรถรูปหล่อของผมตอบทันควัน “ทันสิครับ ก็ตอนนั้นผมอยู่ประถม หลังจากนั้นลิฟท์กับออยก็เอามาร้องอีกที”
“อ้อ” ผมส่งเสียงในคอ นึกออกลางๆ ถึงนักร้องวัยรุ่นช่วงยุคเพลงสตริง อืม.. สองคนนั้นก็ร้องเพลงใช้ได้เหมือนกัน นั่งฟังไปได้สักพัก ผมก็หันไปถามเขาอีก “โจ... พี่ถามหน่อยนะ โจขี้หึงมั้ย?”
ผมว่าสุภาพงษ์ชะงักไปหน่อยหนึ่งเหมือนกันนะ แต่ดีที่ไม่ขนาดเหยียบเบรกจนหน้าทิ่ม เขาค่อยๆ ชะลอรถเข้าข้างทาง แล้วหันมาถามผมด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่นิต... จะให้ผมหึงได้หรือครับ?”
นี่ถ้าผมเป็นนักมวย คงเซแซดๆ เพราะโดนหมัดแยบแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วล่ะ ดีที่ผมเป็นนักเขียนนิยาย เลยมีอาการแค่เกือบสำลักน้ำลายเท่านั้น
“เปล่า... ถามดูน่ะ”
“อืม...” คราวนี้ผู้ชายรูปหล่อ กระทั่งมีแค่แสงจากไฟเสาไฟฟ้ายังดูดีทำหน้าใช้ความคิด ก่อนจะตอบออกมา “ที่จริงผมว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะ คือ.. ถ้าแค่มองหรือว่าแอบปลื้ม ผมไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าจะเปลี่ยนใจก็ต้องบอก... ผมไม่ชอบคนขี้หึงไม่มีเหตุผลเหมือนกัน”
“อืม...” ผมครางในคอ สุภาพงษ์พูดขึ้นอีก “แต่ถ้ามีใครมาลวนลามแฟนผม ผมต่อยเลยนะ เข้าโรงพักค่อยว่ากันอีกที”
ผมอึ้งไปนิด “เคยมีใครมาลวนลามนายกั้งหรือไง?”
“เปล่าครับ” เขาพูด แล้วหันมามองผม ตอนแรกผมยังไม่คิดอะไร แต่พอเขามองเงียบๆ นานเข้า เลยชักรู้สึกเหมือนกัน “นี่ ไม่มีใครลวนลามคนแก่อย่างพี่หรอก”
สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ จากนั้นก็ยิ้มออกมา โอ๊ย เขาช่วยกลับไปยิ้มแบบสังเกตไม่ออกเหมือนเดิมทีเถอะ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้องยิ้มโจ่งแจ้งแบบนี้เลย
นั่งโมโหรอยยิ้มเขา แต่ตายังจ้องไม่กะพริบอยู่ได้พัก สุภาพงษ์ก็ขยับปากพูดต่อ “พี่นิต..”
“อะไรอีกล่ะ?”
“เป็นแฟนผมเถอะ ผมไม่ขี้หึง...”
ผมรีบหันไปดูไฟตรงถนน ว่ายังติดอยู่รึเปล่า ก่อนจะพูดออกไปโดยไม่หันกลับไปมองหน้าเขา “รีบกลับเถอะ พี่ง่วงแล้ว”
สุภาพงษ์ส่งเสียงอืม ก่อนจะออกรถ ในที่สุด หลังจากจ้องไฟข้างถนนจนเกือบจะเรียกได้ว่าเมารถ ผมก็กลับถึงบ้านเสียที
สุภาพงษ์เข้ามาส่งผมถึงในบ้าน อืม... แถมดูจะอ้อยๆ อิ่งๆ ด้วยล่ะมั้ง ดึกแล้วแท้ๆ ยังไม่รีบกลับบ้านอีก แอบหวังให้ผมชวนค้างที่บ้านหรือไง?
“โจ.. กลับบ้านได้แล้วล่ะ” ผมแกล้งไล่เขา หลังจากเห็นว่าเขาทำท่าจะเนียน ถ้าผมไม่ไล่คงไม่กลับ ไม่เกรงใจผมจะอาบน้ำ จะไปนอนบ้างหรือไงนะ สุภาพงษ์ทำหน้าอึ้งๆ แต่ก็พยักหน้า “ครับ... ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
พูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป ผมนี่ก็แปลกคนจริงๆ เพิ่งจะออกปากไล่เขากลายๆ แต่พอหันไปดูนาฬิกา เห็นว่าจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ปากมันเลยอ้าออกไปอีก
“แต่ว่าดึกแล้วนะ โจขับรถกลับไหวรึเปล่า จะค้างที่นี่ก็ได้นะ”
สุภาพงษ์หันหน้ากลับมาทันที ผมเห็นนะว่าเขาเม้มปากอีกแล้ว “งั้น.. รบกวนด้วยนะครับ”
อืม... ชักสงสัยขึ้นมาแล้วสิ ก่อนหน้านี้เวลาเขากลับดึกๆ ต้องแวะนอนปั้มรึเปล่านะ แต่ผมถือคติ ไม่ประมาทเอาไว้ก่อน ขืนไล่สุภาพงษ์กลับแล้ว เขาไปโดนดักปล้นดักจี้กลางทาง ผมคงรู้สึกผิด เพราะงั้น.... ถ้าเขาอยากค้างให้เขาค้างไปแล้วกัน
-------------------------------------------
**อยากจะร้องว่า "พี่นิต!!" (ดูไร้เหตุผลจริงๆ!!) แบบว่า พี่ินิตเสน่ห์แรงไปแล้ว ล้อมรอบด้วยคนหล่อ.. แต่พี่นิตไม่ตกลงปลงใจสักคน ดันชอบมอง แล้วรักกับนิยายตัวเอง
(ให้มันได้อย่างนี้สิคะ พี่นิต!
!)
ที่จริงตอนนี้ท่านผู้อ่านอ่านจบอาจจะรู้สึกว่า ทำไมคุณพี่ภูมิบทมันเด่นจังฟร้า!!! เหมือนมันจะติดเป็นนิสัยแล้วว่า บรรดาเคะสูงวัย(แต่หน้าเอ๊าะ?!)จะต้องมีอดีต โดยส่วนตัวเราไม่ชอบอดีตที่เลวร้ายแบบ หาดีไม่ได้ (โดยเฉพาะคนที่เป็นคนทำให้เลวร้าย<<ยกเว้นกรณีคงฉ่วย แต่... เห่ยอิงก็มีปมส่วนตัวอยู่เหมือนกัน<<ก็ร้ายหลับหูหลับตาอยู่ดีนั่นล่ะ)
เรื่องของคุณภูมิกับคุณพนิต เราว่ามันเป็นโศกนาฏกรรมความรักที่จุดจบสวยงามดี (จริงๆ นะคะ!!) โดยเฉพาะช็อตที่คุณภูมิสารภาพว่า เวลาพนิตเอาจม.มาให้ อยากเปิดอ่านแล้วเห็นลายมือพนิต ทำเอาเราอยากหยิบไปเขียนเรื่องสั้นจริงๆ (ให้มันจบแบบแฮปปี้ คงน่ารักพิลึก<<<คนอย่างแกเขียนอะไรแบบนั้นได้ด้วยเร้อออ)
ความรักของคุณพนิตกับคุณภูมิ เป็นความรักอย่างที่รักกันทั้งคู่ แต่ไม่เข้าใจ ถึงอย่างนั้น เข้าใจก็ใช่ว่าจะไปกันได้ เพราะว่าเส้นความเป็นส่วนตัวและการต้องการก้าวล่วงของทั้งคู่มันสุดขั้วเกินไป
ทีนี้ก็เลยได้เห็นข้อดีของนายโจ.. นายโจมีท่าเด็ด เอาไว้ดอดเข้าไปในหัวใจพี่นิตแล้ว
จะเป็นยังไง ติดตามกันต่อไปนะคะ
ขอบคุณค่ะ
***แปะเพลง รักครั้งแรกที่พี่นิตร้องกับพี่ภูิมิไว้หน่อย ฮ่าๆ พลงนี้เนื้อหาโดนโจหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าของโจ มันต้องพ่วงด้วยแฟนฉัน ถูกต้องที่สุด(<<เมื่อไหร่จะมีวันนั้นล่ะโจ) ส่วนของพี่ภูมิ ตามด้วยรอยเท้าบนพื้นทราย กับปราสาททราย ดูเหมาะดี (จริงๆ น่าจะมีอย่างอื่นที่เหมาะกว่า แต่หาไม่ทันแระ ไม่งั้นเดี๋ยวฟังเพลงเพลิน ไม่ได้อัพวันนี้ ฮ่าๆ)
http://www.youtube.com/watch?v=UsZbh6hdU5Y