[แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวP31]Out of order ขออภัยในความไม่สะดวก24จบP28:17/6/55  (อ่าน 319105 ครั้ง)

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15


ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
คุณนิตขนาดสี่สิบกว่าต่อมเขินก็ยังทำงานได้ดีจังนะ :impress2:
และอาจจะดีมากเกินไปด้วยซ้ำ :o8:
ระวังหัวใจวายนะ :-[

aoommy

  • บุคคลทั่วไป
เป็นเรื่องที่น่ารักที่สุดที่เคยได้อ่านเลยค่ะ มันละมุนละไมเหลือเกิน o13

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่13
   ผมนอนหลับสนิท รู้สึกว่าจะไม่ฝันอะไรเลยด้วยซ้ำ สุภาพงษ์เปิดหน้าต่างเอาไว้ ลมเลยโกรกเข้ามา เพราะห้องของเขาอยู่สูง ผมที่นอนเบียดอยู่บนที่นอนเขาเลยพอจะนอนหลับสบาย เนื่องด้วยมีทั้งพัดลมและแอร์ธรรมชาติคอยช่วย ท้ายที่สุดก็ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนตะวันจับขอบฟ้าพอดี
   กะพริบตาเพื่อให้ชินกับแสงสว่างได้สักพัก ผมถึงได้เห็นว่าสุภาพงษ์นอนอยู่ข้างๆ และกำลังมองผมอยู่ ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนประกายเชื่อมแสงอรุณตอนเช้า ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากเข้าไปอีก อืม... โชคดีจริงๆ ที่ผมได้เห็นของเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างแรกในการรับวันใหม่
   ผมเผลอจ้องเขาเพราะยังไม่หายง่วงดีอยู่ได้ไม่นาน สุภาพงษ์ก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเบาๆ “อรุณสวัสดิ์นะครับพี่นิต”
   “อืม....” ผมส่งเสียงในคอ กำลังจะบอกเขาว่า ขอบคุณที่ไม่ทำอะไรให้ผมฝันแปลกๆ แต่ยังไม่ทันจะได้พูด สุภาพงษ์ก็ขยับหน้าเข้ามาใกล้อีก จนผมรู้สึกว่าริมฝีปากของเราแตะกัน
   !!!
   ผู้ชายหน้าตาหล่อกว่าพระเอกละครหลังข่าวบางช่องขบริมฝีปากบน แก้มแดงนิดๆ ขณะใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผม ผมน่ะเพิ่งตื่น ยังไม่ทันหายงัวเงียก็โดนเขาเล่นงานแบบนี้ ผมควรจะทำอย่างไรดี แต่ที่แน่ๆ หัวใจผมมันเต้นแรงอีกแล้ว นี่เขาจะบริหารหัวใจผมตั้งแต่เช้าเลยหรือไง
   พอเห็นผมไม่หือไม่อือ สุภาพงษ์ก็ขยับหน้าเข้ามาอีก คราวนี้ชัดเลยว่าเขาตั้งใจจะจูบผมแน่นอน เพราะเขาเบียดริมฝีปากเข้ามาชิดกว่าเดิม นานกว่าเดิม แถมดูดปากผมนิดๆ ด้วย ผมกลัวหัวใจจะวายตาย เลยรีบผลักเขาออก สุภาพงษ์เองท่าทางจะตกใจอยู่เหมือนกัน ที่จู่ๆ ก็ถูกผลักแบบนั้น พอเห็นหน้าตื่นๆ ของเขาแล้ว ผมอดสงสารไม่ได้ เลยรีบพูดออกไป “ไม่รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะไปทำงานสายนะ”
   สุภาพงษ์มองหน้าผมอยู่พัก แล้วเม้มริมฝีปากนิดๆ “ครับ งั้นผมไปอาบน้ำนะ”
   ผมรีบพยักหน้า แต่เขายังอุตส่าห์คว้ามือของผมไปบีบเล่นอยู่ครั้งสองครั้ง ถึงได้ยอมลุกไปอาบน้ำ นี่เขาไม่รู้เลยหรือไง ว่าเกือบทำผมหน้ามืดอีกแล้ว
   หัวใจผมเต้นตุบๆ จนแทบจะกระดอนออกมา พอได้ยินเสียงเขาปิดประตูห้อง ผมก็รีบเอาหน้าซุกกับหมอนบนเตียงทันที
   โอ๊ย ไม่ไหวแล้วผม แบบนี้มัน........
   หน้าผมร้อนวาบไปหมด ร้อนไปจนถึงหู ลามมาจนถึงคอด้วย ร้อนไปทั้งตัวเลย บ้าจริงเชียว ผมโดนเขาจูบจนได้
   เกิดมาสี่สิบห้าปี ผมไม่เคยจูบกับใครเลย ผมไม่เคยรู้หรอกว่ารสจูบเป็นยังไง มีคนบอกว่าหวาน แต่ผมรู้ว่านั่นเป็นเพียงภาษากวีที่ใช้บรรยายความรู้สึกเท่านั้น... ส่วนความรู้สึกผมตอนนี้.........
   ผมถูกเขาจูบไปสามครั้งแล้ว... นี่ผมต้องนับเรื่องที่ถูกดุนปากในฝันคืนนั้นด้วยรึเปล่า
   โอ๊ย!! ไม่ไหวนะ ถูกจูบไปตั้งหลายครั้ง ผมแทบจะไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
   ผม.........
   “พี่นิต เป็นอะไรหรือครับ?”
   ผมสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงทักทุ้มๆ แต่ไม่กล้าเอาหน้าออกจากหมอน รู้อยู่หรอกว่าต้องทำท่าน่าเกลียดแน่ๆ แต่ว่า ผมยังเอาหน้าออกไปตอนนี้ไม่ได้หรอก ไม่งั้นผมไม่มีหน้าเหลือแน่นอน
   “ไม่สบายหรือครับ?”
   ผมได้ยินเสียงสุภาพงษ์ถาม รู้สึกด้วยว่าเขาขึ้นมาบนเตียง โอ๊ย ไม่นะ ไม่ต้องมาสนใจผมหรอก ขอผมซุกหน้าอยู่แบบนี้สักพัก เดี๋ยวมันก็หายเองแหละ
   “พี่นิต เป็นอะไรน่ะครับ”
   เสียงของเขาใกล้หูผมน่าดู แถมมือเขายังมาจับที่ไหล่ผมอีก ผมเลยกลั้นใจ หน้าผมเป็นไงไม่รู้หรอก แต่ขืนยังซุกหมอนต่อไป ผมอาจจะหมดทางหนีจริงๆ ก็ได้ ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นจากหมอน กะว่าจะรีบลุก แล้วพุ่งเข้าห้องน้ำไปเลย แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเขาเข้าอย่างจัง
   โอ๊ย แย่แล้ว!!
   สุภาพงษ์มองผมด้วยสายตาตื่นๆ นิดๆ คงเห็นแล้วล่ะสิกว่าหน้าผมไม่ปกติ นี่ถ้าผมมีผดผื่นขึ้นเต็มหน้า คงจะหาข้อแก้ตัวได้หรอก แต่ผดคงไม่ขึ้นตอนนี้ ที่เขาเห็นคงเป็นสีแดงจากสารพัดเส้นเลือดฝอยที่สูบฉีดอยู่บนหน้าผมล่ะมั้ง
   “พี่นิต!” เขาเรียกชื่อผม จะทักอะไรผมอีกล่ะเนี่ย ผมล่ะอยากจะวิ่งหนีเข้าห้องน้ำจริงๆ ติดแต่ไหล่โดนมือเขาจับเอาไว้นี่แหละ
   จะจับตัวกันไปถึงไหนกันนะนี่
   ผมเพ่งสายตาสำรวจเขาอีกรอบ กะว่าจะหาเรื่องไล่เขาออกไปก่อน แต่พอเห็นตัวเขาเท่านั้นแหละ ผมรู้เลยว่าความดันมันยิ่งพุ่งกว่าเดิม เพราะเขาดัน..... ไม่ใส่เสื้อน่ะสิ... ก็รู้อยู่หรอกว่าเพิ่งอาบน้ำ แต่ใส่เสื้อผ้าออกมาให้มันเรียบร้อยก่อนไม่ได้หรือไง ทั้งกล้ามอก ทั้งแผงไหล่แน่นๆ ก็เลยโชว์หราต่อหน้าผม ผมควรจะดีใจดีไหมเนี่ย หุ่นเขาก็ดี ผิวเขาก็ขาว หน้าเขาก็หล่อ มานั่งเปลือยอกให้ผมมองแบบนี้...
   !!
   จู่ๆ สุภาพงษ์ก็ทำหน้าตกใจกว่าเดิม ก่อนจะพรวดพราดเข้ามาจับหน้าผมเอาไว้ ผมงี้ยิ่งใจเต้นหนักเข้าไปอีก จนได้ยินเขาพูดเสียงร้อนใจ “เงยหน้าไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปหาน้ำแข็งให้นะ”
   “?!” ผมงงกับประโยคคำพูดของเขา เลยถามออกไป “เอาน้ำแข็งมาทำไมน่ะ?”
   “พี่นิตเลือดกำเดาไหลน่ะครับ เดี๋ยวผมหยิบน้ำแข็งให้ เงยหน้าเอาไว้นะ”
   หา!!! ผมเนี่ยนะ เลือดกำเดาไหล!!!!???
   พอสุภาพงษ์ลุกไปแล้ว ผมถึงมีแก่ใจยกมือมาจับจมูก แล้วก็เห็นจริงๆ นั่นล่ะว่ามีเลือดอกมา ทุเรศจริงๆ นี่ผมตื่นเต้นเพราะเขาจนเลือดกำเดาไหลเลยหรือนี่ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ทำตัวอย่างกับตาเฒ่าจอมหื่นมองสาวๆ แล้วความดันขึ้นจนเลือดกำเดาพุ่งงั้นล่ะ
   ผมรู้สึกรับตัวเองไม่ได้จริงๆ วันหน้าวันหลัง ผมจะไม่ยอมมาค้างห้องสองต่อสองกับเขาอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นร่างกายผมมีหวังได้ผิดปกติไปจริงๆ แน่ แค่ได้เจอหน้าหล่อๆ หุ่นสวยๆ แล้วก็ถูกเขาจูบกับหอมแก้ม
   ก็แค่จูบ... กับหอมแก้ม... เท่านั้นเอง......
   แต่นี่มันจูบแรกของผมเลยนะ!!!!!
   โชคดีที่สุภาพงษ์เอาน้ำแข็งมาเบนความสนใจก่อนที่ผมจะจินตนาการอะไรไปมากกว่านั้น เขาห่อน้ำแข็งใส่ในผ้าเช็ดหน้า แล้วโปะเอาไว้ตรงดั้งจมูกผม แล้วเอากระดาษทิชชู่มาซับเลือดที่เปรอะตรงจมูก ตอนนี้ผมรู้สึกถึงกลิ่นเลือดที่กำลังไหลลงคอ โอย... ผมเคยเลือดกำเดาไหลตอนเด็กๆ ไม่นึกเลยว่าจะมาไหลอีกทีตอนแก่กลางคนเข้าไปแล้ว แถมสาเหตุก็.......... รู้ถึงไหนอายถึงนั่นแน่ๆ
   พอเหลือบไปเห็นว่าต้นแขนเขายังขาวจั๊วะไม่มีอะไรบัง ผมเลยรีบพูดทั้งๆ ที่ยังเงยหน้าและมีน้ำแข็งโปะอยู่แบบนั้น “โจไปใส่เสื้อผ้าก่อนเถอะ พี่จัดการตัวเองได้”
   สุภาพงษ์ดูรีๆ รอๆ อยู่พัก นี่เขาคิดจะนั่งโชว์หุ่นให้ผมดูหรือไงนะ ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดรอบสอง เขาก็ลุกออกไป เฮ่อ... เกือบไปแล้วผม ดีนะที่เงยหน้าอยู่ ขืนเห็นเต็มตาอีกรอบ สงสัยผมต้องเอาผ้าห่มมาซับเลือดกำเดาแน่ๆ เลย
   โอ๊ย น่าเกลียดจริงๆ!!
   “เป็นไงบ้างครับ” สุภาพงษ์เดินกลับเข้ามา หลังจากไปใส่เสื้อผ้าแล้ว พอเห็นแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวลายทางสีฟ้าเส้นเล็กๆ ที่แขนของเขา ผมเลยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกหลายเปราะ พูดตอบเขาไป “ดีขึ้นแล้วล่ะ เลือดน่าจะหยุดไหลแล้ว”
   “งั้นเช็ดหน้าหน่อยนะครับ” เขาพูด แล้วหยิบทิชชู่มาซับหน้าผมอีก ผมเลยก้มหน้าลงมา ตั้งใจจะหยิบทิชชู่มาเช็ดเอง แต่ดันหยิบมือเขามาด้วยน่ะสิ
   พอมองตรงไปเห็นเจ้าของมือทำหน้าวิตกจริตอย่างเห็นได้ชัด ผมก็อดจะพูดปลอบไม่ได้ “พี่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแล้วกัน โจจะได้รีบไปทำงาน”
   สุภาพงษ์ทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “พี่นิตไม่เป็นไรแน่นะครับ ผมเข้าไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
   พอเห็นผมทำหน้าเหวอ ผู้ชายรูปหล่อตรงหน้าเลยรีบพูดต่อ “คือเผื่อว่าพี่นิตจะเป็นลมหรืออะไรจะได้ช่วยทัน... งั้น... พี่นิตไม่ต้องล็อกประตูห้องน้ำนะครับ”
   “อืม..” ผมส่งเสียงตอบไป พยายามจะไม่คิดว่าเขาอยากดูผมอาบน้ำรึเปล่า ผมมันอายุตั้งปูนนี้แล้ว เขาคงถามเพราะความเป็นห่วงมากกว่า นึกไปก็น่าเกลียดจริงๆ ทำตัวแย่ซะจนเขากลัวว่าจะเป็นอะไรไปในห้องน้ำ ผมนี่ไม่ไหวเลย เฮ่อ.... ไปตรวจสุขภาพอีกรอบดีกว่ามั้ง
   ผมลุกจากเตียง หยิบเสื้อที่แขวนไว้แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำ โดยมีสุภาพงษ์คอยเดินใกล้ๆ อย่างกับกลัวว่าผมจะเสียหลักหน้าทิ่มระหว่างทางไปห้องน้ำที่ระยะทางไม่น่าจะเกินสี่เมตร อืม... นี่ถ้าผมเป็นเด็กๆ ฟันธงได้เลยว่าเขาคงอุ้มผมไปอาบน้ำแล้วล่ะ
   แต่ผมไม่ใช่เด็ก แถมแก่กว่าเขาเป็นสิบปี เพราะงั้นผมไม่ต้องพึ่งเขาในการอาบน้ำหรอก ผมเดินเข้าห้องน้ำ โดยเปิดประตูแง้มๆ เอาไว้ รักษาน้ำใจเขาหน่อยน่ะ เขาอุตส่าห์เป็นห่วงแล้ว เปิดแง้มๆ ไว้ เขาคงไม่แอบดูหรอก
   พอเข้ามาในห้องน้ำแล้ว ผมถึงเพิ่งเห็นสภาพตัวเองในกระจก โห... ท่าทางเลือดจะออกเยอะอยู่นะ เพราะยังมีคราบติดอยู่ตรงร่องจมูก คิดแล้วมันน่าขายหน้าจริงๆ ผมรีบเปิดก๊อก วักน้ำล้างหน้าก่อน แล้วค่อยหยิบแปรงมาแปรงฟัน พอบ้วนน้ำก็เห็นคราบเลือดหลุดออกมาด้วย ผมควรต้องไปตรวจสุขภาพแล้วล่ะ ไว้ค่อยจองคิวไว้ล่วงหน้าดีกว่า ขี้เกียจไปนั่งรอที่โรงพยาบาล
   ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว ผมก็ถอดเสื้อผ้าออก ตรงไปอาบน้ำ ล้างตัวล้างหัว เผื่อว่าจะล้างอายได้บ้าง แต่คงยากหรอก ผมเลยบอกตัวเองให้ทำเป็นลืมๆ อาบน้ำฟอกสบู่เรียบร้อย ผมก็หยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดแล้วสวมเสื้อผ้าชุดเดิมกับวันที่มา ก่อนจะตีหน้านิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ
   อย่างที่คิด สุภาพงษ์ยืนเฝ้าผมอยู่หน้าห้องน้ำ พอเห็นผมเดินออกมา เขาก็กะพริบตาปริบๆ “พี่นิต...”
   “หืม?”
   “ขอโทษนะ” เขาว่า พลางเดินเข้ามาใกล้ แล้วยกแขนเสื้อข้างหนึ่งเช็ดแถวใบหูผม ผมเงยมองหน้าเขาอึ้งๆ แล้วก็ได้ยินเสียงเขาพูดออกมา “มีฟองติดอยู่น่ะครับ”
   “อะ.. อ้อ ขอบใจนะ” ผมว่า รู้สึกอายขึ้นมาทันที ผมยิ่งเป็นพวกไม่ค่อยชอบสำรวจตัวเองในกระจกหลังอาบน้ำอย่างละเอียดซะด้วยสิ พอไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรแก้เขิน ผมเลยหันไปจับปกคอเสื้อเขาขยับบ้าง
   “เรียบร้อย” ผมว่า หลังจากแก้เขินด้วยการจับปกเสื้อเชิ้ตเขาขยับไปขยับมาเรียบร้อยแล้ว สุภาพงษ์มองผมแล้วเม้มปากนิดๆ จากนั้นก็ยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ “ขอบคุณนะครับ”
   ผมเกือบจะพยักหน้าอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเขายกมือผมขึ้น แล้วเอาไปแนบที่ปากเขาเบาๆ.... เอ่อ.... เขาไม่กลัวผมเลือดกำเดาทะลักอีกหรือไง หรือว่าเขาไม่รู้? นี่ผมควรจะบอกให้เขารู้สาเหตุรึเปล่านะเนี่ย??
   แต่ผมไม่กล้าพูดหรอก ให้ตายผมก็ไม่พูดเด็ดขาด เพราะงั้น ผมเลยต้องรีบหาอย่างอื่นมาเบนประเด็นตัวเองแทน
   “โจจะทานข้าวเช้ารึเปล่า?”
   “พี่นิตจะทำให้หรือครับ” เขาถามกลับมาเร็วทันใจ ผมกะพริบตาปริบๆ แล้วถามเขากลับ “กี่โมงแล้วล่ะ”
   “เจ็ดโมงสิบนาทีครับ” สุภาพงษ์ตอบ หลังจากยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ผมอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่พัก ก็ถามเขาต่อ “โจเข้างานกี่โมงน่ะ”
   “เก้าโมงครับ ถ้าพี่นิตจะทำข้าวเช้า น่าจะทันนะครับ”
   แน่ะ.... รีบพูดเชียวนะ ไม่อยากเข้าข้างตัวเองนักหรอกว่าเขาติดใจกับข้าวฝีมือผม หรือว่าอยากอยู่กับผมนานๆ กันแน่ แต่สรุปแล้วว่าอันไหนมันก็ทำผมใจเต้นแรงทั้งนั้นแหละ ผมเลยรีบดึงมือออก แล้วเดินปลีกออกมา “งั้นโจลงไปซื้อขนมปังมาก็แล้วกัน พี่ว่าหุงข้าวไม่ทันหรอก เดี๋ยวพี่จะผัดไส้แซนวิชรอไว้ จะได้ไม่เสียเวลา”
   “ครับ พี่นิตจะซื้ออะไรเพิ่มนอกจากขนมปังรึเปล่าครับ?” สุภาพงษ์ถามอีก ผมรู้สึกล่ะว่าเขาเดินตามหลังผมมา นี่ผมพูดกับเขาโดยไม่หันกลับไปมองเลยนะ ก็นึกอยู่หรอกว่าอาจจะเสียมารยาท แต่กลัวหันไปมองแล้วใจมันจะเต้นแรงกว่าเดิมน่ะสิ
   ผมเดินมาเปิดตู้เย็น มองๆ ของแล้วก็หันกลับไปพูดกับเขา “ไม่ต้องหรอก แค่นี้พอแล้วล่ะ”
   “ครับ” สุภาพงษ์พูด แล้วก็ยิ้ม คราวนี้เขาไม่ยิ้มนิดๆ ที่มุมปากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวจั๊วะ เขายิ้ม ยิ้มพอประมาณ แบบว่ายิ้มประมาณนายแบบ แน่ะ.. แอบมีลักยิ้มด้วยนะ ผมเพิ่งสังเกต โอย... ผมว่าเขาหล่อเกินเหตุแล้วล่ะ รีบๆ ลงไปซื้อขนมปังได้แล้วมั้งเนี่ย อย่ามายิ้มเขย่าหัวใจผมอยู่แบบนี้เลย
   โชคดีที่ไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยปากไล่ หรือว่าเป็นลมเป็นแล้ง หรือว่าเลือดกำเดาพุ่งกลางคัน สุภาพงษ์ยิ้มแล้วก็หันตัว เดินออกจากห้องไป ผมเลยกลับมามีสมาธิกับการคิดไส้แซนวิชของผมต่อ
   ให้ตายสิ ผมว่าสุขภาพผมอาจจะไม่ได้มีปัญหา แต่อาจจะมีปัญหาเวลาเจอเขาก็ได้
   ผมรื้อตู้เย็นของสุภาพงษ์ แล้วก็เลยไปดูพวกของกระป๋องในตู้แขวนบนเตา สุดท้ายก็ได้ถั่วลันเตากระป๋องมาผัดกับแฮม แค่นี้ก็คงพอทำไส้แซนวิชตอนเช้าสำหรับสองคนล่ะ

   ตอนผมกำลังเทไส้แซนวิชที่ผัดเสร็จแล้วลงในจาน สุภาพงษ์ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี มือเขาหิ้วถุงใส่ขนมปังมาถุงหนึ่ง ส่วนหน้าก็.... ไม่ได้มีเหงื่ออะไรหรอก แต่มุมตอนที่เขาเปิดประตูเข้ามา... เอิ่ม... มันดูดีจริงๆ นี่ถ้าผมเป็นนักวาดภาพ ผมต้องวาดภาพนี้ของเขาเก็บไว้แน่
   สุภาพงษ์ซื้อขนมปังมาแล้ว ก็รีบเดินมาช่วยผมเทไส้แซนวิช อันที่จริงมันก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร ทำไมต้องทำท่าเหมือนกับว่าผมกำลังเทของหนักด้วยนะ โอบซะอย่างกับจะเทผมลงไปด้วยงั้นแหละ ผมกลัวโดนเขาเทลงจานไปพร้อมกับไส้แซนวิช เลยรีบพูดขึ้นทันที “โจแกะขนมปังออกมาสิ จะได้ใส่ไส้”
   สุภาพงษ์ขยับไปแกะขนมปังอย่างว่าง่าย จากนั้นเราสองคนก็ช่วยกันเอาไส้ที่ผัดแล้วแปะลงบนขนมปัง ผมใช้คำว่าแปะ ไม่ผิดหรอก เพราะมันจะทาก็ทาไม่ได้ จะราดก็ราดไม่ได้ ต้องแปะๆ ลงไป แล้วเอาขนมปังอีกแผ่นปิดทับอีกที ทำไปได้สี่คู่ ไส้ก็หมด สุภาพงษ์เลยชวนผมไปนั่งทานหน้าโทรทัศน์ พวกเราทานแซนวิชไป ดูข่าวภาคเช้าไป เสร็จแล้วสุภาพงษ์ก็อุตส่าห์เก็บกระทะที่ผมใช้ไปล้างอีก กว่าจะออกมาจากห้องก็เก้าโมงพอดี
   “โจไปทำงานเถอะ เดี๋ยวพี่นั่งรถเมล์กลับ” ผมพูด เมื่อเห็นเขาทำท่าจะขับรถไปส่งผมอีก สุภาพงษ์อึ้งไปสักพัก ก็พูดออกมา “ครับ พี่นิต... นั่งรถกลับดีๆ นะครับ”
   ผมพยักหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้เดินต่อ มือเขาก็ยื่นมาจับมือผมไว้ จากนั้นก็ยัดอะไรบางอย่างลงมา ผมเงยหน้ามองเขา
   “กุญแจห้องผม พี่นิตเก็บไว้นะ” สุภาพงษ์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ผมเลยเผลอกำกุญแจเอาไว้แน่นเลย จนได้ยินเสียงเขาพูดต่อ “ผมไปนะครับ พี่นิต ไว้เจอกันนะ”
   “อืม..” ผมส่งเสียงในคออย่างงงๆ ไม่หาย แล้วเดินออกมาพร้อมกับกุญแจห้องของสุภาพงษ์
-----------------------------------------------------------
   ผมกลับมาถึงบ้านสักเกือบๆ เที่ยงแล้ว กลับมายังเห็นต้นกล้วยไม้หน้าบ้านเขียวดีไม่มีเหี่ยว เลยเดินไปบอกขอบคุณคนข้างบ้านหน่อย ค่าที่มาช่วยดูแลต้นไม้ระหว่างที่ผมไม่กลับบ้าน แล้วถึงได้เปิดประตูบ้านเข้าไปสักที แต่ยังไม่ทันที่ผมจะรื้อเสื้อผ้าไปซัก เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น
   “พนิตอยู่มั้ย?”
   “ครับ ใครครับ” ผมกรอกเสียงลงไป ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา “อื้อ เราสมพงษ์เองนะ วันอาทิตย์นี้พนิตว่างมั้ย วิศิษฐ์มันจัดงานเลี้ยงรุ่นน่ะ ที่โรงแรมA ตอนทุ่มหนึ่ง พนิตสนใจจะไปรึเปล่า?”
    ผมตาโตพอได้ยินว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่น “ใครไปบ้างน่ะ”
   “หลายคนอยู่ วิชัยก็จะไปด้วย นายเพิ่งเจอมันไปวันก่อนใช่ไหมล่ะ”
   “อือ” ผมกรอกเสียงกลับไป ได้ยินสมพงษ์พูดต่อ “กลุ่มนายสมัยเรียนก็มาหลายคนนะ พวกประกิต ภุชงค์ก็ไป นายจะไปรึเปล่าล่ะ”
   “อืม.. ไปสิ” ผมว่า พลางนึกถึงหน้าเพื่อนเก่า ที่บางคนก็ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว “โรงแรมA ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ห้องอะไรน่ะ”
   สมพงษ์บอกชื่อห้องผม แล้วกำชับอีก “มาให้ได้นะพนิต นานๆ เจอกันที”
   “อือ” ผมส่งเสียงกลับไป เราคุยนั่นคุยนี่กันอยู่สักพัก ก็วางโทรศัพท์ ผมเลยเดินไปอาบน้ำต่อ เพราะใส่เสื้อตัวเดิมกลับมา อาบน้ำแล้วก็เอาเสื้อผ้าใส่ถังซัก กวาดบ้าน ถูบ้าน กว่าจะเสร็จก็เที่ยงกว่าพอดี กับข้าวไม่ได้ทำ เลยปั่นจักรยานฝ่าแดดร้อนไปทานอาหารเที่ยงตรงร้านตามสั่งใกล้ๆ แทน
   ทานข้าวเสร็จผมก็ยืนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กับพี่ที่ร้านขายข้าว เกือบๆ บ่ายสอง ถึงได้ปั่นจักรยานกลับมาที่บ้าน ตั้งใจว่าวันนี้จะเขียนต้นฉบับพ่อกระแตต่อให้จบอีกสักหน้า แต่ว่าเพราะเพิ่งฝ่าแดดร้อนมา แถมข้าวที่ทานเข้าไปก็ยังตุงๆ ท้อง เลยว่าจะนั่งพักสักหน่อย ไปๆ มาๆ เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงเรียกที่หน้าบ้านนั่นแหละ
   “ลุงนิต ลุงนิตอยู่มั้ยครับ?”
   ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเดินไปชะโงกที่ประตูบ้าน พอเห็นว่าเป็นเด็กที่มาเล่นที่บ้านบ่อยๆ ก็เลยออกไปเปิดรั้วให้ เจ้าเด็กน้อยสี่ห้าคน หญิงบ้างชายบ้างยกมือไหว้กันใหญ่ แล้วก็ถามตามประสา “ลุงไปเที่ยวมาเหรอครับ ไม่เห็นอยู่บ้านตั้งหลายวัน”
   “อืม ไปบ้านเพื่อนมาน่ะ” ผมตอบพวกเด็กๆ ไป แล้วก็โดนถามต่อประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น “ที่ไหนครับ ต่างจังหวัดหรือ แล้วสนุกมั้ย ผมอยากไปเที่ยวบ้าง”
   “ไปคุยธุระกันน่ะ ไม่สนุกหรอก” ผมตอบเขา เจ้าเด็กน้อยรีบพยักหน้า “อือ ธุระของผู้ใหญ่มีแต่เรื่องเครียดๆ นี่”
   ผมได้แต่หัวเราะ แล้วพวกเด็กๆ ก็ขอผมเข้าไปเล่นตรงสวนในบ้าน ผมเลยเดินไปดูนาฬิกา ถึงเพิ่งรู้ว่าบ่ายสี่โมงกว่าเข้าไปแล้ว พวกเด็กๆ เล่นกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวแบบนี้ผมเขียนต้นฉบับไม่ได้แน่ ก็เลยไปหยิบกรรไกรตัดกิ่งมาเล็มกิ่งไม้แทน เล็มๆ ไปได้สักพัก ก็นึกว่าน่าจะเอากิ่งต้นไม้ที่ตัดมาปักชำเอาไว้ เผื่อไปฝากขายที่ร้านตรงหน้าซอยได้ ก็ขายคนแถวนี้นี่แหละ มีทั้งกิ่งโมก กิ่งเฟื่องฟ้า ขายกันถูกๆ เอาไปปลูกเล่นๆ เก็บเงินเอาไว้จ่ายค่าน้ำค่าไฟก็พอได้อยู่
   พอคิดได้แบบนั้นแล้ว ผมเลยเดินไปหยิบถุงดำกับจอบมา ขุดดินแถวโคนต้นไผ่มุมสวนมาได้กองหนึ่ง เอามานั่งกรอกใส่ถุง แล้วเอากิ่งไม้ที่ตัดมาเล็มๆ ตัดจนขนาดพอสมควร แล้วปักเอาไว้ ผมขายเล่นๆ ไม่ใช้ปุ๋ย ไม่ใช้ยาหรอก แช่กิ่งก็ยังไม่แช่เลย ปักๆ ไปแบบนี้ รดน้ำทุกวัน เดี๋ยวมันก็แตกตาเขียวออกมาเอง ขายไม่ได้ก็แจก ไม่ก็ปลูกมันต่อที่บ้านนี่แหละ พอตกกลางคืนก็หอมฟุ้งไปหมด ทั้งกลิ่นดอกแก้ว ดอกโมก ลืมไป ยังมีกระดังงาลนไฟกับมะลิวัลย์อีก แต่พวกนั้นเป็นไม้เถา ผมเลยขี้เกียจเพาะ เพราะไม่อยากเสียเวลาทำร้านให้มันไต่ แค่ที่มีอยู่ก็แทบจะคลุมต้นมะไฟผมตายอยู่แล้ว
   ผมนั่งเอากิ่งไม้ลงถุงเพาะอยู่ได้สักพัก เจ้าพวกเด็กๆ ก็วิ่งมาถามกันใหญ่ สงสัยจะเบื่อเล่นไล่จับแล้ว ผมเลยสอนให้พวกเขาปลูกต้นไม้ซะเลย จากนั้นก็ให้ลองตักน้ำมารดเอง สุดท้ายผมเลยได้พวกเด็กๆ ช่วยกันหิ้วถังน้ำใบเล็กๆ ไปรดน้ำต้นไม้ในสวนให้ รดบ้างเล่นบ้างว่ากันไป ผมก็ดูแลไม่ให้เลอะเทอะมาก จนสักหกโมง ผมเลยให้พวกเด็กๆ กลับ เพราะค่ำแล้วยุงมาก เดี๋ยวจะไม่สบายกัน
   ตอนที่เดินมาส่งพวกเด็กๆ ตรงรั้วบ้าน ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ที่เห็นรถยนต์สีขาวจอดอยู่ ส่วนเจ้าของ ยืนชะเง้ออยู่ตรงประตูรั้วพอดี พอเห็นผม เขาก็ยิ้มออกมา
   อืม.... ผมเพิ่งเห็นคนที่หล่อจนน่าโมโหก็เขานี่แหละ…………. ไม่ได้โมโหตัวเขาหรอก แต่โมโหที่เขาหล่อจนผมมองตาค้างทุกที
   “ลุงนิต เพื่อนเหรอครับ” เจ้าพวกเด็กๆ หันมาถามผม ผมพยักหน้า “อืม เพื่อนน่ะ”
   “มาคุยธุระเหรอ มาเย็นจังเลย หรือว่าจะมาพาลุงนิตไปทานข้าว”
   ผมยังไม่ทันได้ตอบ เจ้าเด็กอีกคนก็พูดขึ้นมา “อ๋อ พี่คนนี้ ที่มาวันก่อนใช่มั้ยลุง หล่ออย่างกับดาราหนังแน่ะ”
   ผมล่ะอยากจะเอ็ดให้เด็กมันเงียบจริงๆ ติดแต่เดินมาใกล้จนสุภาพงษ์เอ่ยปากทักขึ้นก่อน “สวัสดีครับพี่นิต”
   ผมยกมือรับไหว้เขา จากนั้นก็แนะนำให้พวกเด็กๆ ไหว้ด้วย “นี่พี่โจ เคยมาเล่นแถวนี้เหมือนพวกเธอนั่นแหละ”
   เด็กๆ ยกมือไหว้อย่างว่าง่าย จากนั้นใครสักคนก็ถามขึ้น “พี่เคยมาเล่นที่บ้านลุงนิตตอนเด็กๆ เหรอ? ตอนหนุ่มๆ ลุงนิตหล่อไหม?”
   ผมล่ะอยากตีปากเด็กจริงๆ ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง ติดแต่ว่านี่ไม่ใช่ลูกหลานผม ตีไปเดี๋ยวพ่อแม่เขาจะมาเอาเรื่องแทน มันจะยุ่งไปกันใหญ่ ได้ยินเสียงสุภาพงษ์ตอบกลับมา
   “อืม... พี่นิตตอนหนุ่มๆ หล่อมากเลยล่ะ ใจดีที่สุดด้วย”
   ผมนึกอยากตีปากสุภาพงษ์แทน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องอีกล่ะ สุดท้ายก็เลยเสไปไล่พวกเด็กๆ กลับบ้านแทน “เอ้า กลับบ้านกันได้แล้ว พ่อแม่รอทานข้าวอยู่นะ”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เจ้าพวกเด็กๆ รีบกุลีกุจอออกจากรั้วบ้านผมอย่างกับผึ้งแตกรัง บางคนวิ่งไล่กันอีก ผมเลยต้องเอ็ดไป “อย่าวิ่งไล่กันแบบนั้น มันอันตรายนะ”
   “ผมไปแล้วนะ ลุงนิต ลุงจะได้กินข้าว” เด็กอีกคนตะโกนมาจากไหนไม่รู้ ผมมองพวกเด็กๆ วิ่งกลับบ้านไป โชคดีที่ซอยนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่ง แล้วถึงมีก็วิ่งไม่เร็ว เพราะแคบน่าดู พอพวกเด็กๆ ไปกันหมดแล้ว ผมถึงได้หันกลับมามองผู้ชายที่เคยมาเล่นที่บ้านผมเหมือนกัน
   สุภาพงษ์ยืนยิ้มๆ อยู่ตรงประตูรั้ว มองไม่ค่อยออกหรอกว่าเขายิ้ม แต่เพราะผมสังเกตเขาบ่อยล่ะมั้ง พอเห็นปากเขายกขึ้นนิดๆ เลยรู้ว่าเขายิ้มอยู่ เหมือนสุภาพงษ์จะมองพวกเด็กๆ เหมือนกัน สักพักเขาก็หันหน้ามาหาผม “พี่นิตน่าจะเปิดเนสเซอรี่นะครับ”
   “ไม่เอาหรอก” ผมปฏิเสธทันที “เปิดเนสเซอรี่ แล้วพี่จะเอาเวลาที่ไหนไปเขียนนิยายล่ะ”
   “อืม.. ก็จริงครับ” สุภาพงษ์พยักหน้า แล้วเม้มปากนิดๆ “ถ้าผมมีลูกได้ พี่นิตจะแต่งงานกับผมมั้ย?”
   ผมเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง รีบหันไปมองหน้าเขา “โจจะเล่นตลกอะไรน่ะ โจเป็นผู้ชายนะ แล้วพี่ก็ไม่คิดอยากจะแต่งงานกับผู้หญิงหรอก”
   ผมเห็นนะ ว่าตอนแรกน่ะเขาเม้มปากอยู่ แต่ตอนนี้.... เขายิ้มแล้วล่ะ เขาค่อยๆ ยิ้ม ยิ้มไม่มากหรอก แต่ก็เห็นว่ายิ้มอยู่ ยิ้มทำไมน่ะ หรือว่า...
   “พี่นิตไม่ชอบผู้หญิงหรือครับ?”
   “.............” ผมอึ้งไปอีก ไม่นึกว่าจะขุดหลุมดักตัวเอง เลยต้องรีบหาอะไรมาเบนประเด็นเป็นการใหญ่ เพราะเขาพูดแล้วก็ยิ้มเหมือนรู้ทัน เดี๋ยวเถอะ นี่ถ้าตัวเล็กๆ จะจับดึงปากให้เข็ดเลย
“ก็ไม่เชิงหรอก โจมาหาพี่ทำไมน่ะ?” ผมได้ทีรีบเปลี่ยนเรื่อง สุภาพงษ์หยุดยิ้ม มองผมแล้วกะพริบตาปริบๆ “ผมมาชาร์ตแบ็ตโทรศัพท์มือถือให้พี่น่ะ”
   “?!”
   “พี่นิตลืมชาร์ตอีกแล้วใช่ไหมล่ะครับ”
   ผมมองเขา แล้วหัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง “อืม... พอโจพูดเลยนึกได้น่ะ ที่จริงพี่เอาใส่กระเป๋าจะเอาไปชาร์ตที่ห้องโจตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่ลืมไปเลย”
   สุภาพงษ์มองผม แล้วก็ยิ้มออกมาอีก อืม...... เขามีลักยิ้มจริงๆ ด้วย จะมีเสน่ห์อะไรกันนักกันหนานะเนี่ย แค่หน้าหล่อๆ ยังไม่พออีกหรือไง
   “งั้น... เดี๋ยวผมเข้าไปชาร์ตให้นะ”
   ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เลยได้แต่พยักหน้า แล้วเปิดประตูให้เขาเข้าบ้านไป

   “พี่นิตทานข้าวหรือยังครับ?” สุภาพงษ์ถามผมหลังจากเข้ามาในบ้านแล้ว ผมเอื้อมมือไปเปิดไฟทั้งหน้าบ้านในบ้าน เพราะฟ้าเริ่มมืดลงทุกที ก่อนจะตอบเขาไป “ยัง โจล่ะ?”
   “ยังเหมือนกันครับ” เขาตอบ แล้วเม้มปากนิดๆ “ที่จริงผมซื้อกับข้าวมาแล้ว... ทานด้วยกันไหมครับ?”
   “..............” ผมเพิ่งเห็นว่าเขาหิ้วถุงอะไรพะรุงพะรังมาด้วย ที่แท้ซื้อกับข้าวมานี่เอง ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นต่อ
   “พี่นิตอุตส่าห์ไปดูแลผม ให้ผมเลี้ยงข้าวพี่นิตสักมื้อเถอะ”
   เดี๋ยวนะ... เดี๋ยวก่อน!! ผมว่ามันชักแปลกๆ นะ เขาจะเลี้ยงข้าวผม แต่ซื้อมาทานที่บ้านผม... นี่ตกลงเขาอยากทานข้าวที่บ้านผมแล้วหาข้ออ้างรึเปล่าเนี่ย?!
   “พี่นิต....?”
   ผมกะพริบตาปริบๆ มองผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาเอาการ เออ เอาการจริงๆ ทำเอาผมอาการหนักเลย ผมมองเขาอยู่พัก ก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ครั้นจะบอกว่าได้ก็เหมือนให้ท่า ไอ้จะบอกว่าไม่ได้มันก็ไม่ใช่ที่ อืม.. ที่จริงผมอาจจะคิดมากของผมเองก็ได้ แค่ตกลงทานข้าวที่เขาซื้อมา มันให้ท่าตรงไหนกันล่ะ ก่อนหน้านี้ผมก็ไปค้างกับเขามาแล้ว แถม... ยังถูกเขาจูบมาแล้ว
   โอ๊ย บ้าจริง ทำไมถึงต้องคิดเรื่องนั้นตอนนี้ด้วยนะเนี่ย!!
   “พี่เป็นอะไรครับ?!” สุภาพงษ์ถามเสียงแปลก แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ เออ ถึงไม่มีกระจกส่อง ผมก็พอจะนึกสภาพตัวเองออกหรอก หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ มันน่าตบตัวเองจริงๆ ดันมานึกถึงเรื่องไม่เข้าท่าเอาตอนนี้ พอเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ ผมกลัวเลือดที่ฉีดไปที่หน้ามันจะแออัดจนออกจมูกแบบเมื่อเช้าอีก ก็เลยรีบพูดออกไป “พี่กำลังคิดนิยายอยู่น่ะ”
   “?!” สุภาพงษ์มองผมแล้วเบิ่งตานิดๆ ท่าทางจะแปลกใจอยู่ แต่ผมไม่รอให้เขาพูดอะไรแทรกหรอก กลัวว่าจะเถียงไม่ออกอีกน่ะ เพราะงั้น ผมเลยพูดแบบแทบจะไม่ใช่สมองคิด
“เวลาพี่กำลังคิดพล็อตเรื่อง หน้ามันจะเป็นแบบนี้แหละ” ผมแถสุดชีวิต ขนาดไม่ต้องรอมานึกตอนหลัง แค่พูดออกไปก็ยังรู้สึกเลยว่าคิดได้ยังไง สุภาพงษ์มองหน้าผมงงๆ แล้วก็พยักหน้า “งะ... งั้นหรือครับ งั้น... ผมเอากับข้าวไปถ่ายใส่จานนะ”
   ผมพยักหน้าหงึกๆ ลืมไปสนิทเลยว่ากำลังชั่งใจอยู่เรื่องจะให้เขาทานข้าวที่บ้าน จนสุภาพงษ์เดินไปถ่ายกับข้าวแล้วนั่นแหละ ผมถึงเพิ่งจะมานึกออก แต่คงสายไปสนิท ผมเลยสูดหายใจ บอกตัวเองให้ทำใจดีๆ ไว้ อย่าไปนึกถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่... ไม่นึกถึงจะดีกว่า เดี๋ยวมันจะพาให้ความดันขึ้นเอาน่ะ
   “โจ พี่ไม่ได้หุงข้าวไว้นะ” ผมหันไปพูดกับเขา หลังจากสงบจิตสงบใจ และนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ได้หุงข้าวเอาไว้เลย สุภาพงษ์หันมามองหน้าผม แล้วตอบกลับ “ผมซื้อมาเผื่อแล้วล่ะ เห็นว่าไม่ได้บอกพี่นิตล่วงหน้า เลยกลัวข้าวไม่พอ พี่นิตมาดูสิครับว่าพอทานรึเปล่า จะได้ออกไปซื้อเพิ่ม”
    ผมเลยเดินไปดูข้าวเปล่าที่เขาซื้อมา อืม... เยอะอยู่นะ ผมว่าพอเลยล่ะ ดูจากปริมาณที่เขาทานระหว่างที่ผมไปค้างที่ห้อง น่าจะไม่ต้องซื้อหรอก
   “อืม... แค่นี้น่าจะพอมั้ง” ผมตอบ แล้วเลยช่วยเขาถ่ายกับข้าวจากถุงลงถ้วยลงจาน เอาเถอะ มีเขามาทานข้าวเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน ได้ทานข้าวกับคนหน้าตาดี แถมทานฟรีอย่างนี้ ไม่เห็นจะมีตรงไหนไม่ดีนี่นา
   สุดท้าย ผมก็ได้นั่งทานข้าวที่สุภาพงษ์ซื้อมาในบ้านของตัวเอง ทานไปเปิดโทรทัศน์ไปนั่นล่ะ นั่งทานกันไปได้สักพัก ผมก็ชวนเขาคุย “เป็นไงบ้างล่ะ ที่ออฟฟิศวันนี้นะ ไม่ได้ไปหลายวัน วุ่นวายเลยสิ”
   “ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมแค่ต้องเช็กงานที่ค้างมาจากวันก่อน เอ่อ... จริงสิครับพี่นิต ปลายเดือนหน้าจะมีงานหนังสือแล้ว พี่นิตจะไปแจกลายเซนที่บูทของสำนักพิมพ์เรารึเปล่าครับ?”
   ผมเลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง แล้วเพิ่งนึกได้ว่าใกล้ปลายปีแล้วนี่นา จำได้ว่างานหนังสือตอนนั้นผมมัวแต่ซื้อหนังสือเพลินจนลืมแวะไปที่บูท มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเอาต้นฉบับไปส่งในอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังนั่นแหละ คราวนี้ที่จริงผมควรจะแวะไปให้กำลังใจน้องๆ หน่อย แต่พูดขนาดให้ไปแจกลายเซ็นมันก็น่าอายนะ ก็ผมยังไม่ได้ออกรวมเล่มกับเขาเลยสักเล่มนี่นา
   “พี่ว่าไม่ต้องหรอก ก็พี่ยังไม่ได้ออกรวมเล่มกับสำนักพิมพ์โจนี่นา ถ้าโจอยากได้ลายเซ็นพี่ โจก็หอบหนังสือมาขอเลยสิ” ผมได้ทีแหย่เขาไปด้วยในตัว สุภาพงษ์จ้องผม ดูอึ้งๆ แล้วจากนั้นก็หน้าแดงวาบขึ้นมา
   ได้เวลาผมเอาคืนบ้างล่ะ
   ผมนึกกระหยิ่มยิ้มย่องได้ไม่นาน ก็มีอันต้องเขินเอง เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาหน้าแดงเพราะอะไร ก็ยังจะไปแหย่เขาอีก ผมนี่ก็นะ..... คิดอะไรกับเขาอยู่กันแน่นะเนี่ย
   “แล้วพี่นิตจะแวะไปดูที่บูทหน่อยไหมครับ?” เขาถามต่อ ดูสิ หน้าแดงแว้บเดียวก็หายแล้ว เก็บความรู้สึกเก่งจริง ไม่เลือดกำเดาไหลแบบผมบ้างก็แล้วไป ผมตอบเขา “ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะแวะไปก็ได้มั้ง โจไปรึเปล่าล่ะ?”
   “ไปครับ งั้นไปด้วยกันนะครับ ผมจะได้แวะมารับ”
   ผมรีบโบกมือทันที “ไม่ต้องๆ ไว้ใกล้ๆ เดี๋ยวพี่ไปเอง พี่อาจจะแวะไปแป๊บเดียว ไปเป็นกำลังใจให้น้องๆ หน่อยน่ะ”
   สุภาพงษ์มองผมสักพัก ก็พยักหน้า “ครับ แล้ว... วันอาทิตย์นี้พี่นิตว่างรึเปล่าครับ?”
   “ทำไมล่ะ?” ผมถาม นึกว่าเขาจะมีงานอะไรให้ทำอีก สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ เหมือนพยายามรวบรวมความกล้าอยู่ แล้วพูดออกมา “ไปเที่ยวอยุธยากับผมมั้ย?”
   ผมเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพูดออกมา “โจอยากไปหรือ?”
   “ครับ.. พี่นิตไปนะ”
   “พี่มีนัดเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนแล้วน่ะ”
   “..................”
   “เพื่อนพี่เพิ่งโทรมาชวนเมื่อกลางวันนี้เอง”
   สุภาพงษ์กะพริบตาปริบๆ อยู่พักใหญ่ๆ ถึงส่งเสียงออกมาได้ “อ้อ... ครับ”
   ผมมองหน้าเขา ถอนหายใจ แล้วพูดยิ้มๆ “เอาไว้วันหลังแล้วกันนะ”
   “ครับ” เขาพูด จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อ... อืม.... นี่ผมไปทำลายความหวังอะไรของเขารึเปล่านะ แต่เพื่อนผมนัดผมก่อนนี่นา...
--------------------------------------------   
   สุภาพงษ์ทานข้าวเสร็จแล้วก็เก็บถ้วยชามไปล้าง คราวนี้ผมคงให้เขาล้างคนเดียวไม่ได้ เพราะกับข้าวเขาเป็นคนซื้อมา ผมให้แค่สถานที่ ท้ายที่สุดเราสองคนเลยยืนเบียดกันอยู่หน้าอ่างล้างจาน คนหนึ่งล้างน้ำยา อีกคนหนึ่งล้างน้ำเปล่า ทำเหมือนไปล้างจานงานวัด ทั้งๆ ที่จานชามรวมกันไม่ถึงสิบใบด้วยซ้ำ คิดแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน
   สุภาพงษ์ล้างจานเรียบร้อยแล้วก็ทำท่าจะเปิดก๊อกล้างมือ ผมเลยรีบดันกะละมังที่ใส่น้ำล้างน้ำสุดท้ายให้เขา “ล้างในนี้ก็ได้ จะได้ประหยัดน้ำ”
   เขามองผมนิดหนึ่ง แล้วก็จุ่มมือลงไปในกะละมัง ผมเลยหันไปหยิบผ้าเช็ดมือมาให้เขา สุภาพงษ์ล้างมือเสร็จก็หยิบผ้าเช็ดมือไปเช็ด.... พร้อมกับมือผมด้วย
   อืม.... ผมว่านิสัยรับของติดมือของเขาคงจะแก้ไม่หายแล้วล่ะ
   ผู้ชายหน้าคม พูดน้อย หุ่นดีตรงหน้าผม กำลังเช็ดมือพร้อมกับบีบมือผมไปด้วย นี่ตกลงเขาจะเช็ดมือตัวเอง หรือเช็ดมือผมกันแน่นะ เช็ดไปสักพัก เขาก็ดึงผ้าออก เหลือแต่มือผมแทน จากนั้นก็กำเอาไว้
   เอ่อ.... ผมไม่รู้จะบรรยายไงน่ะ... เอาว่าเขาจับมือผมเอาไว้แบบนั้น สักพักก็ยิ้มออกมา “พี่นิต เสาร์หน้า พี่ไปเที่ยวกับผมได้มั้ย ไปแค่สองคนนะ ผมอยากไปกับพี่”
   ผมใจเต้นตึกๆ เกือบจะตอบรับเขาไปแล้วเชียว แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินอะไรให้ผมต้องบอกเลิกนัดเขากลางคัน มันอาจจะทำให้เสียความรู้สึกก็ได้ เลยพูดตอบเขาไป “เดี๋ยวใกล้ๆ พี่จะบอกแล้วกัน”
   สุภาพงษ์หน้าม้านไปนิดๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้า ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผมไม่ชอบนัดล่วงหน้านานๆ ด้วยสิ ยกเว้นว่าจะเป็นเรื่องงาน นี่มันนัดเที่ยว เกิดวันเสาร์ผมเปลี่ยนใจอยากไปหาเพื่อนฝูง จะทำยังไงล่ะ ให้ผมต้องขัดใจตัวเองไปเที่ยวมันก็ใช่ที่
   “โจ... ถ้าไงลองชวนคนอื่นแทนก็ได้นะ” ผมพูด เพราะไม่อยากเห็นเขาทำหน้าผิดหวัง สุภาพงษ์มองผมอีกครั้ง แล้วพูดช้าๆ “ผมไม่ชวนใครหรอก ผมอยากไปกับพี่คนเดียว”
   วินาทีนั้นผมนึกสะท้อนใจกับความรู้สึกที่สื่อออกมาจากดวงตาสีดำสนิทของเขา ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฝังใจกับผมนัก เขาคงไม่รู้ว่าคนอย่างผมมันมีบางส่วนบิดๆ เบี้ยวๆ จนไม่อยากจะให้ใครเห็น คนอย่างผมอาจจะดูดีถ้ารู้จักกันเพียงผิวๆ เขาอาจจะคิดว่าชอบผม ทนผมได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะทนเขาได้ หากได้อยู่ใกล้ชิดกันจริงๆ
   คนเราทุกคนมีส่วนขาดๆ เกินๆ กันทั้งนั้น คนที่ชอบใช่ว่าจะเป็นคนที่ใช่ เขาฝังใจกับผม ชอบผม ส่วนผม... อาจจะชอบเขาอยู่บางส่วน แต่ผมแน่ใจว่าความชอบพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ผมกับเขาไปด้วยกันได้ การอยู่ใกล้ชิดกันมันเป็นการเปิดโลกส่วนตัวให้คนอื่นเข้ามา ผมไม่รู้เขาพร้อมรึเปล่า แต่ผมยังไม่พร้อม และผมก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง....
   ผมอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้ว... ผมคงอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ
   ผมรักตัวเอง รักโลกส่วนตัวของผม และผมไม่กล้าให้ใครเข้ามา แล้วเผลอทำลายมันทิ้งอีกแล้ว
   ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามเถอะ.....
   “งั้นเดี๋ยววันศุกร์ ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” ผมได้ยินเสียงตัวเองตอบเขาไป สุภาพงษ์กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ยิ้มออกมา
   อืม... เขาหล่อจริงๆ นะ
   ผมยิ้มตอบเขา แล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ ผมรู้อยู่เต็มอกว่าคงคบกับเขาแบบนั้นไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้แบบนั้น แต่ผมก็ทำใจตัดเยื่อใยกับเขาไม่ได้เสียที พอเห็นเขาทำหน้าเศร้าแล้วผมก็ใจหล่นวูบ พอเห็นเขายิ้มแล้วก็ใจเต้นตึกๆ แย่จริงๆ หัวใจผมชักจะมีปัญหาใหญ่แล้ว
   คงต้องไปเช็กอีกสักที
   สุภาพงษ์ยิ้มแล้วก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาผมใจเต้นตึกๆ ลืมตัวผวากอดเขาด้วย เรากอดกันแบบนั้นสักพัก ก็ได้ยินเสียงเขากระซิบที่ข้างหู “พี่นิต ผมรักพี่นะ รักมากๆ เลย”
   หัวใจผมเต้นแรงจนตัวแทบสั่น ตัวเขาใหญ่ หนา อุ่น ผมกอดเขาแน่นอีก แต่อ้าปากพูดอะไรไม่ออกสักคำ นอกจากน้ำตาที่ไหลหยดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
   บางทีผมก็นึกอยากลืมๆ ไม่อยากจะคิดอะไรมาก อยากจะพยักหน้า ตอบรับคำบอกรักของเขาไป อยากกอดเขา อยากอยู่ใกล้ๆ เขา อยากมองหน้าเขาทุกวัน อยากตื่นมาได้เจอรอยยิ้มของเขา ได้ยินเขาพูดอรุณสวัสดิ์
   ไม่อยากจะเป็นลม หรือเลือดกำเดาทะลัก เพราะต้องข่มความรู้สึกที่มีต่อเขาเอาไว้อีกแล้ว...
   แต่ผม....................
   “พี่นิต?” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม คงรู้สึกล่ะมั้งว่าผมเงียบไปนาน ผมไม่กล้าพูดอะไรตอบเขา ได้แต่กอดเขาไว้แน่น กลัวเขาจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นน้ำตาของผม ผมอธิบายสาเหตุให้เขาฟังไม่ได้หรอก และคงปล่อยให้เขาตีความไปเองไม่ได้ด้วย สุภาพงษ์ชะงักหน่อยหนึ่ง แล้วยกมือลูบหลังผมเบาๆ ผมซบหน้าลงกับไหล่เขา อาศัยจังหวะนั้นแอบเช็ดน้ำตาของตัวเอง พอแน่ใจว่าสีหน้าคงเป็นปกติแล้ว ผมถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วยิ้มออกมา
   “โจกลับคอนโดได้แล้วล่ะ เดี๋ยวจะดึก”
   สุภาพงษ์มองหน้าผม เบิ่งตานิดๆ ขยับปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจพยักหน้าแทน ผมเลยผละออกมา เดินไปที่ประตู เตรียมจะส่งเขากลับ พอหันกลับไปก็เห็นสุภาพงษ์ยืนรีๆ รอๆ เหมือนหาอะไร สักพักเขาก็ถามออกมา “พี่นิตครับ โทรศัพท์ล่ะครับ ผมยังไม่ได้เสียบสายชาร์ตแบ็ตให้เลย”
   ผมชะงักอย่างคนเพิ่งนึกได้ แล้วเลยรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้นอย่างดิบดีให้เขาพร้อมกับสายชาร์ต สุภาพงษ์รับไปแล้วเสียบเข้ากับปลั๊กไฟใกล้ๆ กับโต๊ะรับแขก แล้ววางโทรศัพท์เอาไว้
   “เดี๋ยวก่อนนอนพี่นิตดูนะครับว่าไฟตรงแบ็ตมันหยุดขยับหรือยัง ถ้าหยุดขยับแล้วก็ถอดปลั๊กเลยนะครับ ผมเปิดเครื่องไว้ให้แล้ว ไปไหนอย่าลืมพกไปนะ”
   ผมยืนฟังเขาพูดจ้อยๆ อย่างที่ไม่ค่อยจะได้ยิน แล้วรู้สึกว่าเขาดูมีความสุข คงเพราะได้กอดผมล่ะมั้ง
   สุภาพงษ์เสียบโทรศัพท์เสร็จแล้ว จึงเดินไปที่ประตูบ้าน ผมก็เดินตามไปส่งเขาถึงประตูรั้ว ก่อนจะออกประตูไป เขาหันมาจับมือผมเอาไว้ แล้วบีบเบาๆ “พี่นิต ผมกลับนะครับ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
   “อืม... ขับรถดีๆ ล่ะ” ผมตอบเขา บีบมือเขาเบาๆ สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ กว่าเขาจะยอมปล่อยมือ ผมว่าเหงื่อเราสองคนออกจนชุ่มเลยล่ะ ผมมองเขาขับรถออกไป แล้วถอนหายใจเฮือก...
   หรือผมจะเปลี่ยนใจ ไปเที่ยวอยุธยากับเขาแทนไปงานเลี้ยงรุ่นดีนะเนี่ย....
-----------------------------------------------
**ตอนนี้คุณพนิตแอบสับสน (อาจจะไม่แอบ สับสนอย่างแรง :a5:)

เรารู้สึกถึงความดราม่า(อีกแล้ว) ที่จริงปมของคุณพนิตมันแรงกว่าคุณไพฑูรย์เยอะ เพราะคุณพนิตอาร์ต!!? o22 (ไม่อาร์ตแกคงไม่เป็นลมแถมเลือดกำเดาพุ่งแบบนี้)

กำลังดั้นด้นเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จะทำให้คุณพนิตรับโจเข้ามาเป็นหนึ่งในโลกส่วนตัวของตัวเองสักที (ไม่สิ โจเป็นโลกส่วนตัวของพี่นิตตลอดแหละ รอแต่เมื่อไหร่พี่นิตจะยอมกลายเป็นโลกส่วนตัวของโจบ้าง อั้ยย :z1:)

ปล. ถ้าเราเป็นนายโจ เราเครียดแน่ๆ... ดูสิ ว่าที่แฟนทำไม.... อาการหนักแบบนี้ (คิดเองเออเองเสร็จเลยว่าเป็น"ว่าที่"555+ :laugh:)

ปล.2 รู้สึกมากขึ้นว่า คุณพนิตเป็นสุดยอดมนุษย์คิดเองเออเองจริงๆ!! (แถมเป็นจอมเนียน... แถ... นายโจก็คงน้องๆ กัน เพราะเนียน และแถจับมือได้ตลอด  :m20:)

แอบแวะมาแปะรูปเงียบๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2011 21:04:04 โดย juon »

ออฟไลน์ irksome

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
คุณพนิตต้องมีอดีตฝังใจอะไรแน่ๆ
ฝังใจกับเพื่อนร่วมรุ่นด้วยแน่เลย ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไอ่แก้พุงโตหัวล้านรึยัง :laugh:
หรือไม่แน่ อาจจะเป็นหนุ่มใหญ่วัยกระชากอยู่ โจระวังคู่แข่งให้ดีๆนะ   o18

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
คุณนิตเขินน่ารักเนอะ เขินแต่ละทีทำเอาคุณโจใจหายใจคว่ำหมด :laugh:
อยากรู้เรื่องรักๆในอดีตของคุณนิตจัง o18
คุณโจขยันรุกเข้า สู้ๆ o13

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
ถ้าเราเป็นโจ เราจะปล้ำเสียเลย ฮิฮิ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ขำคุณพนิตที่เลือดกำเดาชอบกระฉูดตอนตื่นเต้นนี่แหละ 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
อาการหนักนะนั้น
ถึงกับเลือดกระฉูด :m25: :m25:

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
พี่นิตก็ออกจะหลงไหลโจเอาการอยู่นะ
แค่ตอนนี้ตอนเดียวก็นับคำชมว่าหล่อ หน้าตาดี ดูดี หุ่นดี ฯลฯ ไม่ถ้วนเลย  :laugh:

ออฟไลน์ misso

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ฮาพี่นิตอะ เวลาเขิน เวลาแถ อยากหยิกแก้ม ฮ่าๆ

ว่าแต่ปมอะไรของพี่นิตน้า โจสู้ๆ

ดีใจจังได้อ่านก่อนนอน ตอนใหม่ก็มาเร็วๆนะคะ  :impress2:

รอเสมอ :กอด1:

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
อดีตของคุณพนิตคืออะไรกันน กลิ่นดราม่าลอยมานิดๆแล้ว ฮ่าๆ
คุณพนิตรั่วจริงๆ เป็นลมว่าหนักแล้วนี่เลือดกำเดาไหลเลย ฮ่าๆ
โอ๊ยยย ชอบคนแก่!!!~~~~

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
พี่พนิตตตตตตตอย่าสับสนมากสิสงสารน้องโจ  :m15:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
จะจีบคุณพนิตทั้งที ต้องเหนื่อยหน่อยนะโจ
พยายามเข้า

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12

ออฟไลน์ powvera

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-3
พีนิตก็ชวนคุณ บ.ก.ไปงานเลี้ยงรุ่นก็สิ้นเรื่อง

เพื่อเป็นการเปิดตัวว่าที่แฟนไปในตัวเลยอ่ะ  คริคริ

zomtum

  • บุคคลทั่วไป
 :m20: :m20: :m20: :haun4: :haun4: :haun4:
 ฮาเลือดกำเดามากกกกก  5555

 ไม่ไหวๆๆ  อิอิ  รักโจ พี่นิตจ้าา า :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Cherry Red

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 882
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-0
คราวนี้คุณพนิตถึงกับเลือดเดาไหล กว่าจะจบเรื่อง คงได้มีหามส่งโรงพยาบาลกันบ้างล่ะ  :m29:

คนที่เคยอยู่คนเดียวชิลล์ ๆ มาได้ตั้งครึ่งค่อนของชีวิต ไม่ได้โหยหาใครเคียงข้าง ไม่ได้รอคอยเนื้อคู่ฟ้าบันดาลอะไร
จนมีโลกส่วนตัว (ความเป็นส่วนตัว) สูงมาก ๆ ค่อนข้างตามใจตัวเอง ทำอะไรตามอารมณ์อย่างคุณพนิต
คงจะกลัวกับการที่ใครจะเข้ามาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวแห่งนี้พอสมควร ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง
ถึงจะหวั่นไหวกับโจขนาดไหน แต่จุดนี้ก็ใช่ว่าน้องโจจะผ่านกันได้ง่าย ๆ นะเนี่ย... :m21:

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
เรื่องเจ้าชายจอมอสูรจะดองเหรอ :o11:
รออ่านเรื่องนั้นอยู่ :monkeysad:
ไปต่อให้หน่อยนะ o1

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เรื่องเจ้าชายจอมอสูรจะดองเหรอ :o11:
รออ่านเรื่องนั้นอยู่ :monkeysad:
ไปต่อให้หน่อยนะ o1

จะต่อหลังปีใหม่ค่า ขอเคลียร์หนังสือรวมเล่มก่อนนะค้า^^

- คราส -

  • บุคคลทั่วไป
 :m20: พี่นิตคิดเยอะเหมือนเดิม
โจจะคิดยังไงกับอาการของพี่นิตนะ
 โจสู้ๆ
:pig4:

ออฟไลน์ u_cosmos

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1114
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-1
โล่งใจที่คืนนี้พี่นิตนอนแล้วไม่ฝัน  :laugh:
โจเดี๋ยวนี้รุกเอาๆนะจ๊ะ คราวนี้เลือดกำเดาไหลเลย
คุณพนิตนี่น้าาา :-[

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
ถ้าเป็นพี่นิตก็คงหัวใจจะวายวันละหลายเหมือนกันละ 555 ก็น้องโจเค้าทั้งหล่อ ทั้งหน้าดี น้องโจสู้ๆ เนียนเท่านั้นที่จะครองโลก
แอบเห็นด้วยกับ คห. บน ลุ้นให้พี่นิตชวนน้องโจไปงานเลี้ยงรุ่นด้วย เปิดตัวๆ คิคิ

ออฟไลน์ jaja-jj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-3
-^-

พี่นิตทำไมขยันทำร้านน้ำใจโจจังเลยๆๆๆๆๆๆ

สงสารนะรู้มั๊ย

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป



    รู้สึกเหมือนคนแก่กว่าโดนหลอกล่อให้ตกหลุมลึกลงไปเรื่อยๆยังไงก็ไม่รู้






ออฟไลน์ Heisei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 405
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ชื่อเพื่อนคุณพนิตแต่ละคนเนี่ย...บ่งบอกอายุอานามจริงๆเลยค่ะ
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่14
   สุดท้ายวันอาทิตย์ผมก็มางานเลี้ยงรุ่นตามกำหนดนัดเดิม ตอนทุ่มกว่าๆ ก็มีคนมากันพอสมควรแล้ว เพื่อนบางคนผมไม่ได้เจอตั้งแต่สมัยเรียนจบ เจออีกทีแทบจำไม่ได้ บางคนอ้วนแถมหัวล้านอย่างกับขุนช้างแน่ะ อายุเพิ่งสี่สิบห้ากันแท้ๆ แต่ผมจะแซวก็แซวไม่ได้นาน เพราะพอแซวไปได้สักพัก เพื่อนๆ จะหันมารุมผมแทนว่าเขียนนิยายจนไส้แห้ง ก็เลยผอมเป็นกุ้งแบบนี้ อืม... ไม่มีคนผอมมาเป็นพวกผมบ้างก็แล้วไป เดี๋ยวผมไปดึงสสส.มาเป็นพวกแล้วจะหนาว เขารณรงค์ลดอ้วนกันอยู่ เจ้าพวกนี้ไม่อินเทรนด์บ้างเลย
   ผมนั่งลงตรงโต๊ะที่มีที่ว่างเหลืออยู่อีกสองสามที่ เพราะเป็นโต๊ะที่มีเพื่อนในกลุ่มเดียวกันอยู่เยอะ คุยไปสักพัก อาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟ เสิร์ฟพร้อมเหล้าเบียร์ตามระเบียบ แต่ผมถือคติมาแต่ไหนแต่ไร ว่าของมึนเมาทำให้ขนาดสติ ขนาดปกติผมก็แทบจะคุมสติตัวเองไม่ค่อยอยู่อยู่แล้ว ขืนดื่มไอ้ของพวกนี้เข้าไป มีหวังเพื่อนได้เลิกคบผมแน่ เคยดื่มครั้งหนึ่งตอนเข้าปีหนึ่ง ตื่นเช้ามาเพื่อนๆ รุมด่าผมใหญ่ บอกว่าผมเพ้อเจ้ออยู่ทั้งคืนจนเพื่อนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ใครทำท่าหลับก็ปลุกขึ้นมานั่งฟังเรื่องที่คิดไว้ในหัว แหม.. มานึกถึงตอนนี้ยังอาย ผมน่ะจำไม่ได้สักอย่างว่าเล่าเรื่องอะไร ส่วนเพื่อนก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะเมากันหมด สรุปแล้วดื่มของพวกนี้ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรจริงๆ ดังนั้น เพื่อนๆ ดื่มเหล้า ส่วนผม ยกน้ำเปล่าชนแก้วตามระเบียบ ไม่ดื่มเหล้า เพื่อนฝูงก็ไม่เลิกคบหรอก ผมการันตีได้
   ขณะที่กำลังนั่งคุยถึงเรื่องธุรกิจแพปลาของเพื่อนคนหนึ่ง ใครบางคนก็เดินมานั่งข้างผม ผมน่ะกำลังจะหันไปมอง แต่เพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยทักขึ้นก่อน “นั่นภูมิวัฒน์รึเปล่า? อ้า ใช่จริงๆ ด้วย”
   ผมขนลุกขึ้นมาทันที หน้าที่กำลังจะหันไปมองมีอันชะงักไปกะทันหัน
   ภูมิวัฒน์..............
   “พนิต...” ได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อผม เสียงเขาดูทุ่มลงอีก ส่วนหน้าตา.....
   ก่อนที่ผมจะได้เงยขึ้นไป เขาก็ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างๆ ผม เอ่อ......... ผมอธิบายก่อนดีกว่า ผมกับภูมิวัฒน์เคยเป็นรูมเมทกัน ผมกับเขาจับคู่เป็นรูมเมทกันจนถึงปีสามเทอมหนึ่ง แต่หลังจากนั้น........
   ผมกะพริบตา มองผู้ชายอายุสี่สิบห้าที่เพิ่งมานั่งข้างๆ สารภาพตามตรง ผมลืมเขาไปนานแล้วล่ะ ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตอนอายุเท่านี้เขาจะหน้าตายังไง แต่ตอนเขาอายุสิบปลายๆ ถึงยี่สิบต้นๆ น่ะ เขา... หน้าตาดีมากเลยล่ะ... นี่ผมไม่ได้ชมของผมเองนะ เขาเคยได้เป็นเดือนคณะด้วย สาวๆ รุ่นเดียวกันรวมถึงรุ่นน้องที่เข้ามาตอนหลังนี่กรี๊ดกร๊าสเขากันใหญ่เลยล่ะ สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ แถมสาวๆ หนุ่มๆ ก็ยังไม่ใจกล้าหน้าหนาแบบสมัยนี้ จะจีบใครอย่างเก่งเลยก็ส่งจดหมายรักให้กัน ในฐานะที่ผมเป็นรูมเมทกับภูมิวัฒน์ ผมเลยกลายเป็นบุรุษไปรษณีย์ต้องรับส่งจดหมายรักให้เขาไปโดยปริยาย แต่ก็นะ ไม่เคยเห็นเขาตอบจดหมายใครกลับสักคน ขนาดผมอุตส่าห์เชียร์ว่าบางคนน่ารักสุดๆ เขายังไม่ยอมตอบเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
   “ภูมิ...” ผมได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อเขา แล้วก็ได้ยินเสียงเพื่อนๆ ทักขึ้นอีก “นายเองก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเลยนะเนี่ย แข่งกับพนิตล่ะสิ”
   เออ... ผมนึกเห็นด้วยกับคำพูดเพื่อนจริงๆ ภูมิวัฒน์แทบไม่มีอะไรเปลี่ยน เขาสูง หุ่นแบบนักกีฬา หน้าตาเริ่มมีริ้วรอยตามวัยแล้ว แต่เขาก็ดูดีนะ เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมา รีดเรียบกริบเหมือนเคย อืม... ผ่านไปตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว เขายังดูเนี๊ยบเหมือนเดิมจริงๆ แถมยัง.... หล่อเหมือนเดิม.........
   “พนิต...?” ภูมิวัฒน์เรียกชื่อผมอีก สงสัยเพราะเห็นผมมัวแต่อ้าปากค้าง ตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของเขาล่ะมั้ง ผมกะพริบตา พยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับเขา แต่เสียงมันไม่ยอมออกไปสักที สุดท้ายเลยได้แต่ยิ้ม แล้วหันกลับมามองจานข้าวตรงหน้า สูดหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง ถึงพูดออกมาได้ “อืม... ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ด้วย”
   ไม่รู้ผมพูดอะไรผิดกาลเทศะ เพราะจู่ๆ โต๊ะเงียบไป แต่ประมาณชั่วอึดใจเท่านั้น แล้วเพื่อนอีกคนก็ชวนคุยต่อ
   ผมถึงได้รู้ว่าภูมิวัฒน์รับราชการอยู่กระทรวงศึกษาธิการ พวกเราแซวเขาหลายอย่างถึงเรื่องระบบการศึกษา ผมก็อยากแซวนะ เพราะกว่าพรรณแพรวหลานผมจะได้สอบปีที่แล้ว วุ่นวายไปหมด แต่มีเพื่อนช่วยแซวแทน แล้วเขาก็ตอบแล้ว ผมก็เลยได้แต่นั่งเงียบ หัวเราะบ้างอะไรบ้างตามเรื่องไป แต่ไม่ได้หันไปมองเขาเลย ไม่รู้สิ... ผม.........
   “แล้วพนิตล่ะ เขียนนิยายไปถึงไหนแล้ว” จู่ๆ ภูมิวัฒน์ก็หันมาถามผม ผมกำลังเคี้ยวกุ้งทอดอยู่ เลยไม่ทันตอบเขาในทันที รอจนกลืนกุ้งลงไป ผมก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ ออกมา “ก็อย่างนั้นแหละ นายไม่สนใจอยู่แล้วนี่ จะถามทำไมน่ะ”
   คราวนี้โต๊ะทั้งโต๊ะเงียบไปในทันที ผมกะพริบตาปริบๆ รู้ตัวว่าคงพูดอะไรไม่เหมาะออกไป ก็เลยรีบพูดต่อ “โทษที เราไปห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ”
   ผมไม่รอมองหน้าเพื่อนว่าจะพยักหน้าหรืออะไร พอพูดจบแล้วผมก็รีบลุก เหมือนจะชนกับภูมิวัฒน์หน่อยหนึ่งด้วยมั้ง ผมพูดขอโทษเขาเร็วปรื๋อ แล้วเดินฉับๆ ออกมาจากโต๊ะ
   แย่จัง... ผมนี่ไม่ไหวเลย ยังจะผูกใจเจ็บเขาอยู่อีก ทั้งๆ ที่เรื่องมันผ่านมานานแล้วแท้ๆ แถมเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร
   ก็แค่..... เขาไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดมันทำร้ายความรู้สึกผมล่ะมั้ง
   ผมเดินมาถึงห้องน้ำ เปิดก๊อก วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า มองตัวเองในกระจก แล้วพยายามจะปรับความเข้าใจเสียใหม่ว่า เรื่องมันก็ตั้งยี่สิบกว่าปีมาแล้ว และเขาก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ผมควรเลิกโกรธเขาได้แล้ว
   ขณะที่ผมบอกตัวเองว่า เดี๋ยวพอกลับไปถึงโต๊ะจะยิ้มให้เขา แล้วพูดแซวเรื่องที่ทำงานเขาต่อ ให้เขาได้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไร ภูมิวัฒน์ก็เดินเข้ามาในห้องน้ำ ผมเห็นเขาผ่านกระจกเงาที่กำลังมองอยู่ เขาเดินเข้ามาข้างผม และเหมือนจะมองผมด้วยเหมือนกัน
   เราสบตากันผ่านกระจกเงา เขา... แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยจริงๆ ยังดูดีอย่างที่คนแบบเขาตอนอายุสี่สิบห้าสมควรเป็น ผมสูดหายใจลึก เพราะตั้งใจแล้วว่าจะหันไปพูดกับเขาอย่างที่เพื่อนปกติสมควรทำกัน แต่ยังไม่ทันได้หันหน้าไป เขาก็พูดขึ้นมาก่อน “พนิต”
   “อะ... อืม?” ผมหันหน้าไป ก็เห็นเขากำลังมองมาอยู่ ตาเขาออกสีน้ำตาลนิดๆ ตอนที่เขาเขาอ้าปากทำท่าจะพูดอะไร พอดีว่ามีแขกจากอีกห้องเดินเข้ามาพอดี ผมเลยได้โอกาส พูดออกไปก่อน “เรากลับไปที่โต๊ะก่อนนะ”
   เหมือนเขาจะทำหน้าอึ้งๆ นิดๆ แต่ผมเดินออกมาก่อน เพราะเกรงใจคนที่กำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ไม่อยากจะยืนคุยแย่งอากาศอันน้อยนิดในห้องน้ำน่ะ เดินออกมาได้สี่ห้าก้าว ก็ได้ยินเสียงเขาเรียกผมอีก “พนิต คุยกับเราก่อนได้มั้ย?”
   “อ้อ... อืม” ผมส่งเสียงออกไปโดยไม่ได้หันกลับไปมอง แล้วก็เลยพูดขึ้นต่อ “ไปคุยกันที่โต๊ะก็ได้”
   ภูมิวัฒน์เงียบไปพัก ระหว่างนั้นเขาเร่งเดินมาจนทันผม ก่อนจะพูดอีก “คุยกันเป็นการส่วนตัวได้มั้ย แถวนี้ก็ได้”
   ผมเกิดขนลุกขึ้นมาอีก อ้าปากจะตอบเขาก็นึกคำพูดไม่ออก แต่ท่าทางภูมิวัฒน์จะไม่ยอมรอให้ผมคิดคำพูดอะไร เขาดึงมือผม แล้วจูงไปที่มุมมุมหนึ่ง ผมเลยต้องเดินตามไป นึกฉุนนิดหน่อยที่ต้องมาถูกเขาลากมือเป็นเด็กๆ ทั้งๆ ที่อายุก็ปาเข้าไปค่อนคนแล้ว ก็เลยพูดกระแทกเสียงออกไปอย่างไม่ตั้งใจ “มีอะไรอีกล่ะ?”
   ภูมิวัฒน์กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดออกมา “นายโกรธอะไรเราน่ะ?”
   ผมกะพริบตาปริบๆ บ้าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเผลอทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่เขาอีกแล้ว เออ ผมนี่จริงๆ เลย เรื่องมันตั้งยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ตั้งใจก็ตั้งใจแล้วว่าจะคุยกับเขาเหมือนปกติ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็มาอารมณ์นี้อีกแล้ว สงสัยเพราะผมไม่ได้เตรียมใจว่าจะมาเจอเขามาก่อนล่ะมั้ง บอกตรงๆ ว่าผมลืมเขาแล้ว ผมลืมไปเลยว่าเคยมีเขาอยู่ แต่พอได้เจอหน้าเขา ความทรงจำของผมมันเลยย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนล่ะมั้ง เพราะเขาดูไม่ค่อยเปลี่ยน.... เหมือนเวลาของผมกับเขาหยุดไว้ตั้งแต่วันนั้นตั้งนานแล้ว
   “ปะ... เปล่า” ผมตอบเขา แล้วพยายามจะยิ้มออกมา “นายมีเรื่องอะไรจะพูดกับเราล่ะ?”
   “...............” ภูมิวัฒน์เงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดต่อได้ “เรา... อยากพูดหลายเรื่องเลยล่ะ... พนิต นายโกรธเราเลยย้ายหอหนีเราไปใช่มั้ย?”
   ผมกะพริบตามองเขาอีก แล้วพูดไปหัวเราะไป “ก็บอกแล้วว่าเราอยากได้สมาธิคิดทีสีท ปีสี่เรียนหนัก นายบอกเองนี่นา”
   “............” เขาเงียบไปอีก ก่อนจะพูดออกมา “บอกเราได้มั้ย นายโกรธเราเรื่องอะไร?”
   “เปล่า.. ไม่มีนะ”
   “พนิต..”
   “หืม?”
   “นายอายุสี่สิบห้าแล้วนะ อย่าทำตัวเหมือนเด็กๆ สิ บอกเราเถอะ นายโกรธอะไรเรา?”
   ที่จริงผมตกลงกับตัวเองไว้แล้ว ว่าเรื่องมันผ่านมาตั้งยี่สิบกว่าปี ผมก็อายุตั้งเยอะแล้ว ควรเลิกโกรธเขาไปได้แล้วล่ะ แต่พอเจอเขาพูดแบบนี้ ผมห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้จริงๆ
   “เราโกรธเพราะนายพูดแบบนี้กับเรานี่แหละ!”
   “!?” ภูมิวัฒน์ดูอึ้งๆ ไปหน่อย ส่วนผมก็ได้สติ เลยรีบพูดต่อทันที “ช่างมันเถอะ ก็จริงแหละ เราอายุตั้งสี่สิบห้าแล้ว ยังทำตัวแบบนี้อีก ขอโทษนะ”
   เขาเงียบไปสักพัก “อืม.. นายนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ อายุปูนนี้แล้วแท้ๆ นี่ปกติโมโหใส่คนอื่นแบบนี้ด้วยรึเปล่าน่ะ?”
   ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรเข้ามาจุกที่คอกะทันหัน เอ่อ.... ที่จริงมันก็ตั้งยี่สิบกว่าปีมาแล้ว แถมผมก็อายุเยอะแล้ว มันไม่ควรจะมีอาการแบบนี้แล้วล่ะ หรือว่าเพราะตั้งแต่ตอนนั้น ผมไม่ได้บอกสาเหตุที่แท้จริงกับเขาไปนะ พอเขาพูดอะไรแบบนี้ มันเลยเหมือนเสี้ยนที่ย้อนกลับมาทิ่มผมอีก
   ผมเม้มปาก สุดท้ายก็พูดตอบเขาไป “เปล่า...”
   “พนิต?!”
   ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่ไหวแล้วจริงๆ นะ เขาน่ะ ใจร้ายโดยไม่รู้ตัวเกินไปแล้วล่ะ นี่ถ้าเขาหัวล้าน อ้วนฉุ ผมคงทำใจได้ง่ายกว่านี้ คงพอจะคุยกับเขา แซวเขาเรื่องหุ่น เรื่องาน ทำใจคุยกับเขาเหมือนเพื่อนเก่า คงพอจะทำใจอะไรได้บ้าง แต่เขาดัน... หล่อเหมือนเดิม........ ผมเลย..........
   พอเห็นเขาขยับเข้ามา ทำท่าเหมือนจะจับหน้าผม ผมเลยขยับหนี แล้วพูดออกไป “โทษที ไม่รู้อะไรมันบินเข้าตาน่ะ”
   ที่จริงมันเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย นี่มันในโรงแรม มันจะมีแมลงอะไรมาบินเข้าตาผมได้ล่ะ แต่ผมนึกข้อแก้ตัวดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว ก็น้ำตามันไหลออกมาขนาดนี้ จะให้ผมบอกเขาหรือ.. บอกเขาหรือว่าผม............
   ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วพูดต่อ “เรา... เราไปล้างตาแป๊บหนึ่งนะ” จากนั้นผมก็หันหลัง เดินกลับไปที่ห้องน้ำทันที แต่ผมไม่ได้ตรงไปที่อ่างหรอก ผมตรงไปที่ห้องสุขา แล้วก็ปิดประตู คือ... ผมไม่อยากให้ใครเห็นน่ะ ว่าผมร้องไห้ไปล้างหน้าไป... มันคงไม่น่าดูเท่าไหร่หรอก
   ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา พลางนึกด่าตัวเอง ทำไมต้องมาเป็นอาการแบบนี้ต่อหน้าเขาด้วยนะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมยังไม่เคยมีอาการแบบนี้เลยแท้ๆ ตอนที่เขาเจอผมในห้องเรียน ถามผมถึงเรื่องที่ผมขอย้ายหอพัก ผมยังตอบเขาด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง ว่าอยากได้สมาธิคิดทีสิท ผมไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าเขา กระทั่งตอนที่อยู่ห้องเดียวกัน ผมยังแอบร้องไห้คนเดียวกับหมอนเงียบๆ ไม่เคยแสดงอะไรให้เขารู้เลย
   เขาคงไม่รู้ว่าผมเคยชอบเขามาก ผมเคยมีความสุขที่ได้ตื่นเช้ามาเห็นหน้าเขาทุกวัน ชอบที่จะเล่านั่นเล่านี่ให้เขาฟัง เล่านิยายที่ผมคิดไว้โดยแอบเอาเขามาเป็นตัวเอกให้เขารู้ แต่เขาคงรำคาญ รำคาญผม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มใช้คำพูดแดกดันโดยไม่รู้ตัวกับผม ไม่สิ เขาเป็นคนพูดแบบนั้นอยู่แต่แรกแล้ว แต่ผมก็ยังชอบที่จะได้อยู่ใกล้ๆ เขา จนวันนั้น วันที่เขาพูดใส่หน้าผม
   “พนิต หยุดเพ้อเจ้อถึงนิยายของนายสักทีเถอะ เรารำคาญ”
   เขาแค่อาจจะอยากให้ผมพูดเรื่องอื่นบ้าง แต่ผม.... ผมพูดอะไรกับเขาไม่ออกอีกเลย... ผม...
   เขาไม่ได้ตั้งใจ ผมรู้... เขาแค่หวังดี เตือนผมไม่ให้เพ้อเจ้อ
   เขาดีทุกอย่าง แต่ผม.....
   
   หลังจากวันนั้น ผมไม่รู้สึกมีความสุขเวลาได้มองหน้าเขาอีก แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรที่รังเกียจผมเลย แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดอยู่ลึกๆ ผมรู้ว่าเขาอดทนกับผม ผมรู้ว่าเขาเป็นคนใจดี แต่ผมคงทนให้เขาทนผมไม่ไหวแล้วพูดออกมาแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
   ผมแยกตัวเองออกมา หาข้ออ้างที่ฟังดูน่าชื่นชม แต่อันที่จริงแล้ว ผมแค่เพียงพยายามจะเอาเขาออกไปจากโลกส่วนตัวของผม พยายามจะกอบกู้โลกส่วนตัวที่ผมบังเอิญรับเขาเข้ามา แล้วเขาก็บังเอิญทำลายมันไปอย่างไม่ตั้งใจ
   แต่ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกยี่สิบกว่าปีต่อมา ผมต้องมาเจอเขา ในสภาพที่เราต่างแทบจะไม่เปลี่ยนกันไปเลย แค่ประโยคคำพูดสองสามคำ เขาก็ขุดเอาซากความเสียหายที่ผมฝังเอาไว้อย่างที่ขึ้นมาแสดงต่อหน้าผมโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผมถึงได้รู้ รู้ว่าผมไม่ได้ลืม ผมจำได้ทุกอย่าง ผมโกรธ ผมโมโห... และผมเสียใจ
   เสียใจที่ผมยังไม่ลืมเรื่องที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำพวกนั้นลงไปได้เสียที
   ทั้งๆ ที่ผมควรจะพูดกับเขาให้ดีกว่านี้แท้ๆ

   ผมยืนร้องไห้เงียบๆ สักพัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เลยนึกขึ้นได้ว่าอาจจะรบกวนการทำธุระส่วนตัวของใครอยู่ เลยรีบเช็ดน้ำตา แล้วเปิดประตูห้องสุขาออกมา ตรงไปที่อ่างล้างหน้า วักน้ำล้างสักหน่อย พอล้างหน้าเสร็จ ก็หันไปเห็นภูมิวัฒน์ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ
   “พนิต... ออกไปคุยกันต่อข้างนอกนะ”
-------------------------------------
   ด้านนอกโรงแรมไม่มีอะไร แม้กระทั่งสวนหย่อม เพราะเป็นโรงแรมในเมือง ภูมิวัฒน์พาผมเดินผ่านประตูโรงแรมออกมา แล้วเดินวกเข้าไปในที่จอดรถ ผมเลยต้องถามเขา “จะไปคุยกันที่ไหนน่ะ?”
   “รถเรา” เขาตอบผม แล้วพูดต่อ “เผื่อมีอะไร นายจะได้ไม่ต้องอายคนมาก”
   ผมหยุดเดินขึ้นมาดื้อๆ ภูมิวัฒน์หันมามองผม จากนั้นก็ยื่นมือมาดึงแขนผมไป “ไปเถอะ เราว่าวันนี้เรากับนายต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
   สุดท้ายผมก็ต้องเข้ามานั่งในรถเขา ภูมิวัฒน์เปิดประตูให้ผมนั่งเบาะหลัง ส่วนเขาไขกุญแจรถแล้วเปิดแอร์ จากนั้นก็เปิดประตูเข้ามานั่งข้างผมที่เบาะหลัง “พนิต... บอกเราสิ นายรู้สึกยังไงกับเรากันแน่?”
   ผมอึ้งไปนิดๆ แล้วก็ขืนหัวเราะออกมา “อืม... เราว่านายไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
   “.............” ภูมิวัฒน์นิ่งไปพักเหมือนกำลังชั่งใจอะไรสักอย่าง จากนั้นก็พูดออกมา “นายโกรธเราใช่มั้ย?”
   “เปล่า?”
   “นายโกรธเรา... เรารู้ ไม่งั้นนายจะย้ายหอทำไม นายบอกเราตามตรงเถอะ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว เราไม่อยากให้นายผูกใจเจ็บโดยที่ไม่ยอมให้โอกาสเราแก้ตัวหรือขอโทษเลย บอกเราเถอะ”
   ผมสูดหายใจลึก “ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรหรอก เราคิดมากของเราเองน่ะ”
   “อืม... นายคิดมากเรื่องอะไรล่ะ?”
   “................” ผมไม่รู้จะตอบเขาว่าไง เลยได้แต่ยิ้มๆ “ช่างมันเถอะ เรากลับไปในงานดีกว่า เพื่อนๆ รอแล้วล่ะ”
   พูดจบผมก็ทำท่าจะเปิดประตูรถออกไป แต่กลับถูกเขายุดมือไว้ก่อน “นายโกรธเรื่องที่เราว่านิยายของนายใช่มั้ย?”
   ผมนิ่งไปพัก สุดท้ายก็ส่งเสียงออกมา “อืม...”
   “รู้รึเปล่าว่าทำไมเราถึงพูดใส่นายไปแบบนั้น”
   “อืม... เรารู้ ว่าเราน่ารำคาญ” ผมพูดตอบเขาไป แล้วรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกตรงคอ หน้าของภูมิวัฒน์จู่ๆ มันก็พร่าเสียอย่างนั้น ผมก็เลยต้องรีบกะพริบตาเพื่อไล่ม่านน้ำตาที่ทำท่าจะก่อตัวขึ้นออกไปก่อน
   “นายไม่ต้องขอโทษเราหรอก นายไม่ได้ทำผิดอะไร”
   มือของภูมิวัฒน์ที่จับอยู่บีบแน่นขึ้นจนผมรู้สึกได้ “พนิต... เราชอบนายนะ”
   ผมเกือบจะร้อง”หา?!”ออกไป แต่ท่าทางผมคงอึ้งจนขากรรไกรค้าง ไม่สามารถขยับได้กะทันหัน เลยได้แต่จ้องหน้าเขา แล้วถามตัวเองว่าฟังอะไรผิดไปรึเปล่า..
   ภูมิวัฒน์ดูท่าทางจะลำบากใจเมื่อเห็นสีหน้าผม แต่ก็เหมือนว่าเขาตัดสินใจลงไปแล้วล่ะมั้ง เลยพูดให้ผมได้ยินอีกครั้ง “เราชอบนาย ชอบนายตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้ว”
   “?!”
   “เราตั้งใจชวนนายมาเป็นรูมเมท เราอยากอยู่ใกล้ๆ นาย”
   ผมหูอื้อกะทันหัน ชักสงสัยแล้วว่านี่ผมฝันหรืออะไรกันแน่ ภูมิวัฒน์คนนั้นน่ะนะ บอกว่าชอบผม?!
   “นายไม่เชื่อเราใช่มั้ย?” เขาพูดเหมือนอ่านใจผมออก จากนั้นก็ยิ้มออกมาหน่อยๆ “เราพลาดเองที่ไม่เคยบอกนายเลยสักครั้ง เรากลัวว่าถ้าพูดไปแล้วนายไม่ได้คิดเหมือนเรา นายอาจจะหนีจากเราไป”
   “......................” ผมอ้าปาก แต่ไม่มีเสียง เออ... ผมไม่เชื่อเขาหรอก เขาพูดอะไรของเขาน่ะ ดื่มมากไปเลยเมารึเปล่า แต่ภูมิวัฒน์ก็ยังพูดต่อ
   “รู้ไหม เวลาที่นายเอาจดหมายรักของคนอื่นมาให้เรา เราแอบหวังทุกที แอบหวังจะเห็นลายมือนายในกองจดหมายพวกนั้น เวลานายถามว่าเราทำไมไม่ตอบจดหมายบ้าง เราอยากจะบอกนายจริงๆ ว่าถ้านายเป็นคนเขียนเราจะตอบ”
   “...........................” ผมเป็นใบ้ไปอย่างสิ้นเชิง ได้แต่มองหน้าเขา ฟังเขาพูด ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขารู้สึกกับผมแบบนั้น ก็เขา.... เขาไม่เคยแสดงออกให้ผมรู้เลยนี่นา
   ภูมิวัฒน์นิ่งไปพัก เขาบีบมือผมแน่นอีก แล้วพูดต่อ “เวลาที่นายเล่านิยายที่นายคิดให้เราฟัง เราอิจฉาตัวละครในนิยายของนายจริงๆ นายดูมีความสุขเวลาพูดถึง มันอาจจะฟังดูตลกนะพนิต ตอนนั้นเราอิจฉาตัวละครในนิยายของนาย เราอิจฉาที่นายสนใจมโนภาพพวกนั้นมากกว่าเรา เราเลยพูดกับนายแบบนั้น แค่อยากให้นายหันมาสนใจเราบ้าง แต่สุดท้าย...” เสียงเขาพร่าไปกะทันหัน พอๆ กับสายตาของผม เราเงียบกันอยู่พักใหญ่ ได้ยินแต่เสียงรถบางคันในลานจอดรถที่แล่นออกไป มือของเขาบีบแน่นขึ้นอีก
   “เราเพิ่งมารู้เอาตอนสายว่านายไม่ได้คุยกับเราด้วยรอยยิ้ม ไม่หันกลับมามองเราอีกแล้ว คำขอโทษของเรา นายก็ไม่รับรู้มันแล้ว เราทำให้นายเดินจากเราไป โดยที่เราไม่เคยพูดให้นายรู้ถึงความรู้สึกของเราเลยสักครั้ง”
   ผมสูดหายใจลึก ทั้งหัวทั้งอกตื้อไปหมด นี่มันอะไรกันน่ะ เขาคิดกับผมแบบนี้หรือ ที่เขาพูดแบบนั้น ก็เพราะว่าเขาชอบผมหรือ?
   “พนิต... เราไม่ขอให้นายยกโทษให้เราหรอกนะ แต่ตอบคำถามเราสักคำถามได้ไหม?” ภูมิวัฒน์พูดออกมา หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ท่าทางเขาเองก็คงสะเทือนใจไม่แพ้ผม เพราะเขาสูดหายใจลึกอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ผมพยักหน้า จากนั้นเขาก็เริ่มคำถาม
   “ตอบเราตรงๆ นะ นายเคยชอบเราบ้างไหม?”
   หัวใจผมเต้นตึกๆ จนได้ยินสะเทือนมาถึงหู แต่ก็แค่สองถึงสามครั้งเท่านั้น จากนั้นความเงียบก็เข้ามาแทน ผมเม้มริมฝีปาก สูดหายใจสลับกับถอนหายใจอยู่หลายครั้ง พยายามจะหาคำพูดที่เข้าท่าที่สุดเพื่อตอบคำถามเขา
   ภูมิวัฒน์นั่งเงียบๆ รอคำตอบจากผมอย่างอดทน โดยที่ยังจับมือผมเอาไว้อยู่ จำได้ว่าสมัยเรียน เขาเคยจับมือผมแบบนี้ ตอนที่ผมไม่สบาย นับแล้วเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของผม....
   เพื่อนที่ดี.........
   “ถ้าเราไม่ชอบนาย... เราคงไม่โกรธนายนานขนาดนี้หรอก” ผมได้ยินเสียงตัวเองพูดตอบไป จากนั้นก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าน้ำตามันร่วงผล็อยลงบนตัก ภูมิวัฒน์ขยับเข้ามาใกล้ผม ท่าทางเขาดูตื่นเต้น “พนิต... นายเอง ก็คิดเหมือนกันหรือ? นาย... ก็ชอบเราเหมือนกันสินะ”
   ผมยิ้มออกมา ไอ้น้ำตาที่มันไหลไปแล้วก็ช่างมันแล้วกัน “อืม... แต่ว่า... ถ้าให้เราเลือกระหว่างพระเอกนิยายของเรากับนาย เราขอเลือกพระเอกนิยายดีกว่า.... เพราะงั้น.... เราไม่โกรธนายแล้วล่ะ”
   เขามองผมอึ้งๆ ผมเองก็มองตอบเขา ผมว่าเราทั้งคู่อึ้งไม่แพ้กันนั่นล่ะ ผมอึ้งเพราะเพิ่งรู้ว่าเขาชอบผม และเพิ่งตัดสินใจได้เหมือนกันว่า ถ้าเขาต้องการจะให้ผมสนใจเขามากกว่านิยายล่ะก็.. ผมคงจะชอบตอบเขาไม่ไหว เขาเองก็คงอึ้งกับคำตอบของผมเหมือนกัน
   ตลกดี เราสองคนมาถามและตอบคำถามที่ควรจะถามกันตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีที่แล้วเอาป่านนี้ แต่ว่าผลลัพธ์ดูจะไม่ต่างไปเลย
   ในที่สุด ภูมิวัฒน์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “เราเอาชนะพระเอกนิยายของนายไม่ได้จริงๆ แต่ช่างเถอะ เรารู้อยู่แล้วล่ะ ยังไงนายก็รักโลกส่วนตัวของนายที่สุด”
   “อืม... ขอโทษด้วยนะ” ผมได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไป น่าแปลกจริงๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาพยายามมาขอโทษผมแท้ๆ แต่ผมกลับยกโทษเรื่องที่เขาทำร้ายจิตใจผมไม่ได้ พอถึงตอนนี้ ผมกลับรู้สึกผิดต่อเขา ผมไม่นึกโกรธเขาแล้ว แค่สงสารชะตากรรมของเราสองคน ที่บังเอิญทำให้เขาต้องมาชอบคนอย่างผม และมันก็แย่ที่คนอย่างผมคงสละโลกส่วนตัวให้เขาไม่ได้ทั้งใบ กระทั่งส่วนหนึ่งของมันผมก็หักใจทำลายให้เขาไม่ได้ แม้ว่าผมจะชอบเขามากก็ตาม
   คงเพราะผมรักโลกส่วนตัวมากที่สุดอย่างที่เขาว่าจริงๆ....
   “นี่ พนิต” ภูมิวัฒน์เรียกผมหลังจากพวกเราเงียบกันไปพักใหญ่ ผมเงยหน้ามองเขา “มีอะไรล่ะ?”
   “เดี๋ยวกลับเข้าไปในงานแล้ว นายร้องคาราโอเกะกับเราสักเพลงสิ”
   ผมหัวเราะออกมา “ทำไมจู่ๆ ถึงชวนร้องคาราโอเกะล่ะ?”
   “เราอยากแน่ใจว่านายไม่โกรธเราแล้ว นายกับเราไม่เคยทำอะไรร่วมกันมาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว แล้วคงไม่ได้มีโอกาสจะมาทำอะไรด้วยกันเท่าไหร่แล้ว เพราะงั้น.. ร้องคาราโอะเกะกับเราสักเพลงก็แล้วกัน”
   ผมมองเขา แล้วถามอีก “เพลงอะไรล่ะ?”
   เขาตอบผมยิ้มๆ “อุบไว้ก่อน รับรองว่านายร้องได้แน่ๆ”
------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด