เจ้าพวกเด็กๆ รีบกุลีกุจอออกจากรั้วบ้านผมอย่างกับผึ้งแตกรัง บางคนวิ่งไล่กันอีก ผมเลยต้องเอ็ดไป “อย่าวิ่งไล่กันแบบนั้น มันอันตรายนะ”
“ผมไปแล้วนะ ลุงนิต ลุงจะได้กินข้าว” เด็กอีกคนตะโกนมาจากไหนไม่รู้ ผมมองพวกเด็กๆ วิ่งกลับบ้านไป โชคดีที่ซอยนี้ไม่ค่อยมีรถวิ่ง แล้วถึงมีก็วิ่งไม่เร็ว เพราะแคบน่าดู พอพวกเด็กๆ ไปกันหมดแล้ว ผมถึงได้หันกลับมามองผู้ชายที่เคยมาเล่นที่บ้านผมเหมือนกัน
สุภาพงษ์ยืนยิ้มๆ อยู่ตรงประตูรั้ว มองไม่ค่อยออกหรอกว่าเขายิ้ม แต่เพราะผมสังเกตเขาบ่อยล่ะมั้ง พอเห็นปากเขายกขึ้นนิดๆ เลยรู้ว่าเขายิ้มอยู่ เหมือนสุภาพงษ์จะมองพวกเด็กๆ เหมือนกัน สักพักเขาก็หันหน้ามาหาผม “พี่นิตน่าจะเปิดเนสเซอรี่นะครับ”
“ไม่เอาหรอก” ผมปฏิเสธทันที “เปิดเนสเซอรี่ แล้วพี่จะเอาเวลาที่ไหนไปเขียนนิยายล่ะ”
“อืม.. ก็จริงครับ” สุภาพงษ์พยักหน้า แล้วเม้มปากนิดๆ “ถ้าผมมีลูกได้ พี่นิตจะแต่งงานกับผมมั้ย?”
ผมเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง รีบหันไปมองหน้าเขา “โจจะเล่นตลกอะไรน่ะ โจเป็นผู้ชายนะ แล้วพี่ก็ไม่คิดอยากจะแต่งงานกับผู้หญิงหรอก”
ผมเห็นนะ ว่าตอนแรกน่ะเขาเม้มปากอยู่ แต่ตอนนี้.... เขายิ้มแล้วล่ะ เขาค่อยๆ ยิ้ม ยิ้มไม่มากหรอก แต่ก็เห็นว่ายิ้มอยู่ ยิ้มทำไมน่ะ หรือว่า...
“พี่นิตไม่ชอบผู้หญิงหรือครับ?”
“.............” ผมอึ้งไปอีก ไม่นึกว่าจะขุดหลุมดักตัวเอง เลยต้องรีบหาอะไรมาเบนประเด็นเป็นการใหญ่ เพราะเขาพูดแล้วก็ยิ้มเหมือนรู้ทัน เดี๋ยวเถอะ นี่ถ้าตัวเล็กๆ จะจับดึงปากให้เข็ดเลย
“ก็ไม่เชิงหรอก โจมาหาพี่ทำไมน่ะ?” ผมได้ทีรีบเปลี่ยนเรื่อง สุภาพงษ์หยุดยิ้ม มองผมแล้วกะพริบตาปริบๆ “ผมมาชาร์ตแบ็ตโทรศัพท์มือถือให้พี่น่ะ”
“?!”
“พี่นิตลืมชาร์ตอีกแล้วใช่ไหมล่ะครับ”
ผมมองเขา แล้วหัวเราะออกมาหน่อยหนึ่ง “อืม... พอโจพูดเลยนึกได้น่ะ ที่จริงพี่เอาใส่กระเป๋าจะเอาไปชาร์ตที่ห้องโจตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่ลืมไปเลย”
สุภาพงษ์มองผม แล้วก็ยิ้มออกมาอีก อืม...... เขามีลักยิ้มจริงๆ ด้วย จะมีเสน่ห์อะไรกันนักกันหนานะเนี่ย แค่หน้าหล่อๆ ยังไม่พออีกหรือไง
“งั้น... เดี๋ยวผมเข้าไปชาร์ตให้นะ”
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เลยได้แต่พยักหน้า แล้วเปิดประตูให้เขาเข้าบ้านไป
“พี่นิตทานข้าวหรือยังครับ?” สุภาพงษ์ถามผมหลังจากเข้ามาในบ้านแล้ว ผมเอื้อมมือไปเปิดไฟทั้งหน้าบ้านในบ้าน เพราะฟ้าเริ่มมืดลงทุกที ก่อนจะตอบเขาไป “ยัง โจล่ะ?”
“ยังเหมือนกันครับ” เขาตอบ แล้วเม้มปากนิดๆ “ที่จริงผมซื้อกับข้าวมาแล้ว... ทานด้วยกันไหมครับ?”
“..............” ผมเพิ่งเห็นว่าเขาหิ้วถุงอะไรพะรุงพะรังมาด้วย ที่แท้ซื้อกับข้าวมานี่เอง ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร สุภาพงษ์ก็พูดขึ้นต่อ
“พี่นิตอุตส่าห์ไปดูแลผม ให้ผมเลี้ยงข้าวพี่นิตสักมื้อเถอะ”
เดี๋ยวนะ... เดี๋ยวก่อน!! ผมว่ามันชักแปลกๆ นะ เขาจะเลี้ยงข้าวผม แต่ซื้อมาทานที่บ้านผม... นี่ตกลงเขาอยากทานข้าวที่บ้านผมแล้วหาข้ออ้างรึเปล่าเนี่ย?!
“พี่นิต....?”
ผมกะพริบตาปริบๆ มองผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาเอาการ เออ เอาการจริงๆ ทำเอาผมอาการหนักเลย ผมมองเขาอยู่พัก ก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ครั้นจะบอกว่าได้ก็เหมือนให้ท่า ไอ้จะบอกว่าไม่ได้มันก็ไม่ใช่ที่ อืม.. ที่จริงผมอาจจะคิดมากของผมเองก็ได้ แค่ตกลงทานข้าวที่เขาซื้อมา มันให้ท่าตรงไหนกันล่ะ ก่อนหน้านี้ผมก็ไปค้างกับเขามาแล้ว แถม... ยังถูกเขาจูบมาแล้ว
โอ๊ย บ้าจริง ทำไมถึงต้องคิดเรื่องนั้นตอนนี้ด้วยนะเนี่ย!!
“พี่เป็นอะไรครับ?!” สุภาพงษ์ถามเสียงแปลก แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ เออ ถึงไม่มีกระจกส่อง ผมก็พอจะนึกสภาพตัวเองออกหรอก หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ มันน่าตบตัวเองจริงๆ ดันมานึกถึงเรื่องไม่เข้าท่าเอาตอนนี้ พอเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ ผมกลัวเลือดที่ฉีดไปที่หน้ามันจะแออัดจนออกจมูกแบบเมื่อเช้าอีก ก็เลยรีบพูดออกไป “พี่กำลังคิดนิยายอยู่น่ะ”
“?!” สุภาพงษ์มองผมแล้วเบิ่งตานิดๆ ท่าทางจะแปลกใจอยู่ แต่ผมไม่รอให้เขาพูดอะไรแทรกหรอก กลัวว่าจะเถียงไม่ออกอีกน่ะ เพราะงั้น ผมเลยพูดแบบแทบจะไม่ใช่สมองคิด
“เวลาพี่กำลังคิดพล็อตเรื่อง หน้ามันจะเป็นแบบนี้แหละ” ผมแถสุดชีวิต ขนาดไม่ต้องรอมานึกตอนหลัง แค่พูดออกไปก็ยังรู้สึกเลยว่าคิดได้ยังไง สุภาพงษ์มองหน้าผมงงๆ แล้วก็พยักหน้า “งะ... งั้นหรือครับ งั้น... ผมเอากับข้าวไปถ่ายใส่จานนะ”
ผมพยักหน้าหงึกๆ ลืมไปสนิทเลยว่ากำลังชั่งใจอยู่เรื่องจะให้เขาทานข้าวที่บ้าน จนสุภาพงษ์เดินไปถ่ายกับข้าวแล้วนั่นแหละ ผมถึงเพิ่งจะมานึกออก แต่คงสายไปสนิท ผมเลยสูดหายใจ บอกตัวเองให้ทำใจดีๆ ไว้ อย่าไปนึกถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่... ไม่นึกถึงจะดีกว่า เดี๋ยวมันจะพาให้ความดันขึ้นเอาน่ะ
“โจ พี่ไม่ได้หุงข้าวไว้นะ” ผมหันไปพูดกับเขา หลังจากสงบจิตสงบใจ และนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ได้หุงข้าวเอาไว้เลย สุภาพงษ์หันมามองหน้าผม แล้วตอบกลับ “ผมซื้อมาเผื่อแล้วล่ะ เห็นว่าไม่ได้บอกพี่นิตล่วงหน้า เลยกลัวข้าวไม่พอ พี่นิตมาดูสิครับว่าพอทานรึเปล่า จะได้ออกไปซื้อเพิ่ม”
ผมเลยเดินไปดูข้าวเปล่าที่เขาซื้อมา อืม... เยอะอยู่นะ ผมว่าพอเลยล่ะ ดูจากปริมาณที่เขาทานระหว่างที่ผมไปค้างที่ห้อง น่าจะไม่ต้องซื้อหรอก
“อืม... แค่นี้น่าจะพอมั้ง” ผมตอบ แล้วเลยช่วยเขาถ่ายกับข้าวจากถุงลงถ้วยลงจาน เอาเถอะ มีเขามาทานข้าวเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน ได้ทานข้าวกับคนหน้าตาดี แถมทานฟรีอย่างนี้ ไม่เห็นจะมีตรงไหนไม่ดีนี่นา
สุดท้าย ผมก็ได้นั่งทานข้าวที่สุภาพงษ์ซื้อมาในบ้านของตัวเอง ทานไปเปิดโทรทัศน์ไปนั่นล่ะ นั่งทานกันไปได้สักพัก ผมก็ชวนเขาคุย “เป็นไงบ้างล่ะ ที่ออฟฟิศวันนี้นะ ไม่ได้ไปหลายวัน วุ่นวายเลยสิ”
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมแค่ต้องเช็กงานที่ค้างมาจากวันก่อน เอ่อ... จริงสิครับพี่นิต ปลายเดือนหน้าจะมีงานหนังสือแล้ว พี่นิตจะไปแจกลายเซนที่บูทของสำนักพิมพ์เรารึเปล่าครับ?”
ผมเลิกคิ้วขึ้นหน่อยหนึ่ง แล้วเพิ่งนึกได้ว่าใกล้ปลายปีแล้วนี่นา จำได้ว่างานหนังสือตอนนั้นผมมัวแต่ซื้อหนังสือเพลินจนลืมแวะไปที่บูท มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเอาต้นฉบับไปส่งในอีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังนั่นแหละ คราวนี้ที่จริงผมควรจะแวะไปให้กำลังใจน้องๆ หน่อย แต่พูดขนาดให้ไปแจกลายเซ็นมันก็น่าอายนะ ก็ผมยังไม่ได้ออกรวมเล่มกับเขาเลยสักเล่มนี่นา
“พี่ว่าไม่ต้องหรอก ก็พี่ยังไม่ได้ออกรวมเล่มกับสำนักพิมพ์โจนี่นา ถ้าโจอยากได้ลายเซ็นพี่ โจก็หอบหนังสือมาขอเลยสิ” ผมได้ทีแหย่เขาไปด้วยในตัว สุภาพงษ์จ้องผม ดูอึ้งๆ แล้วจากนั้นก็หน้าแดงวาบขึ้นมา
ได้เวลาผมเอาคืนบ้างล่ะ
ผมนึกกระหยิ่มยิ้มย่องได้ไม่นาน ก็มีอันต้องเขินเอง เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาหน้าแดงเพราะอะไร ก็ยังจะไปแหย่เขาอีก ผมนี่ก็นะ..... คิดอะไรกับเขาอยู่กันแน่นะเนี่ย
“แล้วพี่นิตจะแวะไปดูที่บูทหน่อยไหมครับ?” เขาถามต่อ ดูสิ หน้าแดงแว้บเดียวก็หายแล้ว เก็บความรู้สึกเก่งจริง ไม่เลือดกำเดาไหลแบบผมบ้างก็แล้วไป ผมตอบเขา “ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน อาจจะแวะไปก็ได้มั้ง โจไปรึเปล่าล่ะ?”
“ไปครับ งั้นไปด้วยกันนะครับ ผมจะได้แวะมารับ”
ผมรีบโบกมือทันที “ไม่ต้องๆ ไว้ใกล้ๆ เดี๋ยวพี่ไปเอง พี่อาจจะแวะไปแป๊บเดียว ไปเป็นกำลังใจให้น้องๆ หน่อยน่ะ”
สุภาพงษ์มองผมสักพัก ก็พยักหน้า “ครับ แล้ว... วันอาทิตย์นี้พี่นิตว่างรึเปล่าครับ?”
“ทำไมล่ะ?” ผมถาม นึกว่าเขาจะมีงานอะไรให้ทำอีก สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ เหมือนพยายามรวบรวมความกล้าอยู่ แล้วพูดออกมา “ไปเที่ยวอยุธยากับผมมั้ย?”
ผมเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพูดออกมา “โจอยากไปหรือ?”
“ครับ.. พี่นิตไปนะ”
“พี่มีนัดเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนแล้วน่ะ”
“..................”
“เพื่อนพี่เพิ่งโทรมาชวนเมื่อกลางวันนี้เอง”
สุภาพงษ์กะพริบตาปริบๆ อยู่พักใหญ่ๆ ถึงส่งเสียงออกมาได้ “อ้อ... ครับ”
ผมมองหน้าเขา ถอนหายใจ แล้วพูดยิ้มๆ “เอาไว้วันหลังแล้วกันนะ”
“ครับ” เขาพูด จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อ... อืม.... นี่ผมไปทำลายความหวังอะไรของเขารึเปล่านะ แต่เพื่อนผมนัดผมก่อนนี่นา...
--------------------------------------------
สุภาพงษ์ทานข้าวเสร็จแล้วก็เก็บถ้วยชามไปล้าง คราวนี้ผมคงให้เขาล้างคนเดียวไม่ได้ เพราะกับข้าวเขาเป็นคนซื้อมา ผมให้แค่สถานที่ ท้ายที่สุดเราสองคนเลยยืนเบียดกันอยู่หน้าอ่างล้างจาน คนหนึ่งล้างน้ำยา อีกคนหนึ่งล้างน้ำเปล่า ทำเหมือนไปล้างจานงานวัด ทั้งๆ ที่จานชามรวมกันไม่ถึงสิบใบด้วยซ้ำ คิดแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน
สุภาพงษ์ล้างจานเรียบร้อยแล้วก็ทำท่าจะเปิดก๊อกล้างมือ ผมเลยรีบดันกะละมังที่ใส่น้ำล้างน้ำสุดท้ายให้เขา “ล้างในนี้ก็ได้ จะได้ประหยัดน้ำ”
เขามองผมนิดหนึ่ง แล้วก็จุ่มมือลงไปในกะละมัง ผมเลยหันไปหยิบผ้าเช็ดมือมาให้เขา สุภาพงษ์ล้างมือเสร็จก็หยิบผ้าเช็ดมือไปเช็ด.... พร้อมกับมือผมด้วย
อืม.... ผมว่านิสัยรับของติดมือของเขาคงจะแก้ไม่หายแล้วล่ะ
ผู้ชายหน้าคม พูดน้อย หุ่นดีตรงหน้าผม กำลังเช็ดมือพร้อมกับบีบมือผมไปด้วย นี่ตกลงเขาจะเช็ดมือตัวเอง หรือเช็ดมือผมกันแน่นะ เช็ดไปสักพัก เขาก็ดึงผ้าออก เหลือแต่มือผมแทน จากนั้นก็กำเอาไว้
เอ่อ.... ผมไม่รู้จะบรรยายไงน่ะ... เอาว่าเขาจับมือผมเอาไว้แบบนั้น สักพักก็ยิ้มออกมา “พี่นิต เสาร์หน้า พี่ไปเที่ยวกับผมได้มั้ย ไปแค่สองคนนะ ผมอยากไปกับพี่”
ผมใจเต้นตึกๆ เกือบจะตอบรับเขาไปแล้วเชียว แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉินอะไรให้ผมต้องบอกเลิกนัดเขากลางคัน มันอาจจะทำให้เสียความรู้สึกก็ได้ เลยพูดตอบเขาไป “เดี๋ยวใกล้ๆ พี่จะบอกแล้วกัน”
สุภาพงษ์หน้าม้านไปนิดๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้า ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ผมไม่ชอบนัดล่วงหน้านานๆ ด้วยสิ ยกเว้นว่าจะเป็นเรื่องงาน นี่มันนัดเที่ยว เกิดวันเสาร์ผมเปลี่ยนใจอยากไปหาเพื่อนฝูง จะทำยังไงล่ะ ให้ผมต้องขัดใจตัวเองไปเที่ยวมันก็ใช่ที่
“โจ... ถ้าไงลองชวนคนอื่นแทนก็ได้นะ” ผมพูด เพราะไม่อยากเห็นเขาทำหน้าผิดหวัง สุภาพงษ์มองผมอีกครั้ง แล้วพูดช้าๆ “ผมไม่ชวนใครหรอก ผมอยากไปกับพี่คนเดียว”
วินาทีนั้นผมนึกสะท้อนใจกับความรู้สึกที่สื่อออกมาจากดวงตาสีดำสนิทของเขา ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงฝังใจกับผมนัก เขาคงไม่รู้ว่าคนอย่างผมมันมีบางส่วนบิดๆ เบี้ยวๆ จนไม่อยากจะให้ใครเห็น คนอย่างผมอาจจะดูดีถ้ารู้จักกันเพียงผิวๆ เขาอาจจะคิดว่าชอบผม ทนผมได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมจะทนเขาได้ หากได้อยู่ใกล้ชิดกันจริงๆ
คนเราทุกคนมีส่วนขาดๆ เกินๆ กันทั้งนั้น คนที่ชอบใช่ว่าจะเป็นคนที่ใช่ เขาฝังใจกับผม ชอบผม ส่วนผม... อาจจะชอบเขาอยู่บางส่วน แต่ผมแน่ใจว่าความชอบพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ผมกับเขาไปด้วยกันได้ การอยู่ใกล้ชิดกันมันเป็นการเปิดโลกส่วนตัวให้คนอื่นเข้ามา ผมไม่รู้เขาพร้อมรึเปล่า แต่ผมยังไม่พร้อม และผมก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง....
ผมอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้ว... ผมคงอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ
ผมรักตัวเอง รักโลกส่วนตัวของผม และผมไม่กล้าให้ใครเข้ามา แล้วเผลอทำลายมันทิ้งอีกแล้ว
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามเถอะ.....
“งั้นเดี๋ยววันศุกร์ ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” ผมได้ยินเสียงตัวเองตอบเขาไป สุภาพงษ์กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ยิ้มออกมา
อืม... เขาหล่อจริงๆ นะ
ผมยิ้มตอบเขา แล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ ผมรู้อยู่เต็มอกว่าคงคบกับเขาแบบนั้นไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจไว้แบบนั้น แต่ผมก็ทำใจตัดเยื่อใยกับเขาไม่ได้เสียที พอเห็นเขาทำหน้าเศร้าแล้วผมก็ใจหล่นวูบ พอเห็นเขายิ้มแล้วก็ใจเต้นตึกๆ แย่จริงๆ หัวใจผมชักจะมีปัญหาใหญ่แล้ว
คงต้องไปเช็กอีกสักที
สุภาพงษ์ยิ้มแล้วก็ดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาผมใจเต้นตึกๆ ลืมตัวผวากอดเขาด้วย เรากอดกันแบบนั้นสักพัก ก็ได้ยินเสียงเขากระซิบที่ข้างหู “พี่นิต ผมรักพี่นะ รักมากๆ เลย”
หัวใจผมเต้นแรงจนตัวแทบสั่น ตัวเขาใหญ่ หนา อุ่น ผมกอดเขาแน่นอีก แต่อ้าปากพูดอะไรไม่ออกสักคำ นอกจากน้ำตาที่ไหลหยดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
บางทีผมก็นึกอยากลืมๆ ไม่อยากจะคิดอะไรมาก อยากจะพยักหน้า ตอบรับคำบอกรักของเขาไป อยากกอดเขา อยากอยู่ใกล้ๆ เขา อยากมองหน้าเขาทุกวัน อยากตื่นมาได้เจอรอยยิ้มของเขา ได้ยินเขาพูดอรุณสวัสดิ์
ไม่อยากจะเป็นลม หรือเลือดกำเดาทะลัก เพราะต้องข่มความรู้สึกที่มีต่อเขาเอาไว้อีกแล้ว...
แต่ผม....................
“พี่นิต?” สุภาพงษ์เรียกชื่อผม คงรู้สึกล่ะมั้งว่าผมเงียบไปนาน ผมไม่กล้าพูดอะไรตอบเขา ได้แต่กอดเขาไว้แน่น กลัวเขาจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นน้ำตาของผม ผมอธิบายสาเหตุให้เขาฟังไม่ได้หรอก และคงปล่อยให้เขาตีความไปเองไม่ได้ด้วย สุภาพงษ์ชะงักหน่อยหนึ่ง แล้วยกมือลูบหลังผมเบาๆ ผมซบหน้าลงกับไหล่เขา อาศัยจังหวะนั้นแอบเช็ดน้ำตาของตัวเอง พอแน่ใจว่าสีหน้าคงเป็นปกติแล้ว ผมถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วยิ้มออกมา
“โจกลับคอนโดได้แล้วล่ะ เดี๋ยวจะดึก”
สุภาพงษ์มองหน้าผม เบิ่งตานิดๆ ขยับปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจพยักหน้าแทน ผมเลยผละออกมา เดินไปที่ประตู เตรียมจะส่งเขากลับ พอหันกลับไปก็เห็นสุภาพงษ์ยืนรีๆ รอๆ เหมือนหาอะไร สักพักเขาก็ถามออกมา “พี่นิตครับ โทรศัพท์ล่ะครับ ผมยังไม่ได้เสียบสายชาร์ตแบ็ตให้เลย”
ผมชะงักอย่างคนเพิ่งนึกได้ แล้วเลยรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนชั้นอย่างดิบดีให้เขาพร้อมกับสายชาร์ต สุภาพงษ์รับไปแล้วเสียบเข้ากับปลั๊กไฟใกล้ๆ กับโต๊ะรับแขก แล้ววางโทรศัพท์เอาไว้
“เดี๋ยวก่อนนอนพี่นิตดูนะครับว่าไฟตรงแบ็ตมันหยุดขยับหรือยัง ถ้าหยุดขยับแล้วก็ถอดปลั๊กเลยนะครับ ผมเปิดเครื่องไว้ให้แล้ว ไปไหนอย่าลืมพกไปนะ”
ผมยืนฟังเขาพูดจ้อยๆ อย่างที่ไม่ค่อยจะได้ยิน แล้วรู้สึกว่าเขาดูมีความสุข คงเพราะได้กอดผมล่ะมั้ง
สุภาพงษ์เสียบโทรศัพท์เสร็จแล้ว จึงเดินไปที่ประตูบ้าน ผมก็เดินตามไปส่งเขาถึงประตูรั้ว ก่อนจะออกประตูไป เขาหันมาจับมือผมเอาไว้ แล้วบีบเบาๆ “พี่นิต ผมกลับนะครับ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
“อืม... ขับรถดีๆ ล่ะ” ผมตอบเขา บีบมือเขาเบาๆ สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ กว่าเขาจะยอมปล่อยมือ ผมว่าเหงื่อเราสองคนออกจนชุ่มเลยล่ะ ผมมองเขาขับรถออกไป แล้วถอนหายใจเฮือก...
หรือผมจะเปลี่ยนใจ ไปเที่ยวอยุธยากับเขาแทนไปงานเลี้ยงรุ่นดีนะเนี่ย....
-----------------------------------------------
**ตอนนี้คุณพนิตแอบสับสน (อาจจะไม่แอบ สับสนอย่างแรง
)
เรารู้สึกถึงความดราม่า(อีกแล้ว) ที่จริงปมของคุณพนิตมันแรงกว่าคุณไพฑูรย์เยอะ เพราะคุณพนิตอาร์ต!!?
(ไม่อาร์ตแกคงไม่เป็นลมแถมเลือดกำเดาพุ่งแบบนี้)
กำลังดั้นด้นเข้าสู่หัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จะทำให้คุณพนิตรับโจเข้ามาเป็นหนึ่งในโลกส่วนตัวของตัวเองสักที (ไม่สิ โจเป็นโลกส่วนตัวของพี่นิตตลอดแหละ รอแต่เมื่อไหร่พี่นิตจะยอมกลายเป็นโลกส่วนตัวของโจบ้าง อั้ยย
)
ปล. ถ้าเราเป็นนายโจ เราเครียดแน่ๆ... ดูสิ ว่าที่แฟนทำไม.... อาการหนักแบบนี้ (คิดเองเออเองเสร็จเลยว่าเป็น"ว่าที่"555+
)
ปล.2 รู้สึกมากขึ้นว่า คุณพนิตเป็นสุดยอดมนุษย์คิดเองเออเองจริงๆ!! (แถมเป็นจอมเนียน... แถ... นายโจก็คงน้องๆ กัน เพราะเนียน และแถจับมือได้ตลอด
)
แอบแวะมาแปะรูปเงียบๆ