อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมไม่เคยใช้ชีวิตคู่ แน่นอนว่าตอนเด็กๆ ผมกับน้องสาวไม่เคยนอนกอดกัน แล้วโตมาจนถึงอายุสี่สิบห้า ผมก็ไม่เคยนอนกอดใครมาก่อน กระทั่งหลานตัวเอง ถึงผมจะเคยเลี้ยงเธอตอนเด็กๆ ก็ตาม
เพราะงั้น การให้สุภาพงษ์กอดนอนแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยชินแน่ๆ เวลาผ่านไปสักพัก ผมชักรู้สึกอึดอัด คิดไปเรื่อยว่าจะติดหวัดเขารึเปล่านะ คิดกระทั่งว่าถ้าเผลอหลับไปแบบนี้ ผมจะปวดเอวมั้ย จะหายใจออกมั้ย
นอนคิดไปได้สักพักชักจะเมื่อย ไอ้แขนที่โอบหลังเขาเมื่อตะกี้นั่นแหละ ตัวเขาเล็กๆ เสียที่ไหน โอบนานๆ เหน็บมันชักจะกินแขนผมเหมือนกัน ผมเลยดึงแขนกลับเบาๆ แล้วเอามาซุกไว้ตรงอกแทน
ตัวเขาอุ่น แขนเขาก็หนัก ผมนอนไม่สบายหรอก ไม่สบายสักนิดเลย....
“......................”
ผมขยับตัว เพราะรู้สึกจั๊กจี๋ เหมือนมีใครเอาอะไรมาดุนตรงแก้ม พลางคิดว่า แมวตัวไหนหลุดเข้ามาในห้องผมกันนะ แต่ผมทำห้องนอนใหม่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว ประตูก็ปิดมิดชิดดีทุกคืน ไม่น่าจะมีแมวที่ไหนหลุดเข้ามาแล้วล่ะ
“?!”
อะไรบางอย่างยังดุนแก้มผมไม่เลิก รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่แมวแล้วล่ะ เพราะที่โดนแก้มผมไม่ใช่ขนนิ่มๆ แต่ก็ไม่แข็งมาก บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่คงเป็นสิ่งมีชีวิตนี่ล่ะ เพราะอุ่นๆ ด้วย ผมขยับหนีอย่างไม่ค่อยจะได้สตินัก เพราะมันเริ่มไถลมาใกล้ๆ หูผม จั๊กจี๋น่ะ มีอะไรไม่รู้มาคลอไปเคลียมาอยู่ตรงหน้าตรงหูแบบนี้
ตัวอะไรก็ไม่รู้นะเนี่ย ซนชะมัดเลย
พอผมหันหน้าหนี ความรู้สึกนั้นก็หายไปพักหนึ่ง จากนั้นผมก็รู้สึกหนักๆ ที่ตัว เหมือนมีใครมาทับไว้
อืม... ผมโดนผีอำหรือไงนะ
แต่ถ้าเป็นผีอำ ก็คงไม่อำแรงมาก เพราะผมแค่รู้สึกหนักๆ ไม่ได้ถึงขั้นหายใจไม่ออกอะไร สักพักผมก็รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างเลื่อนเข้าไปใต้เสื้อ
งูเข้ามาในห้องผมหรือไงนะ?!
ผมไม่เคยถูกงูเลื้อยผ่านตัว แต่ก็คิดว่าถ้าเป็นงูจริงๆ มันควรจะให้ความรู้สึกสาก แล้วก็เย็นกว่านี้ เพราะมันเป็นสัตว์เลือดเย็นนี่ แต่ที่ผมรู้สึกกลับอุ่นๆ แถมไม่สากสักนิด
ตัวอะไรกันนะเนี่ย....
อะไรบางอย่างนั้นเลื้อยขึ้นมาตามท้อง เลยขึ้นมาถึงหน้าอกผม เลื้อยได้น่าเกลียดจริงๆ เล่นเอาผมขนลุกขนพองไปหมดเลย นี่ถ้าเป็นผู้หญิงคงคิดว่าโดนลวนลามแล้วล่ะ เพราะเลื้อยวนอยู่แถวหน้าอกผมอยู่ได้ เห็นเป็นที่เลื้อยเล่นหรือไง
ปล่อยให้เลื้อยไปนานๆ ผมชักเสียว ก็มันอุ่นๆ แถมเลื้อยแปลกๆ เลื้อยขึ้นเลี้อยลงแบบนี้ ไม่น่าใช่งู แต่ไม่รู้ตัวอะไรเหมือนกัน ผมเลยขยับตัวหนี แล้วตัวอะไรก่อนหน้านี้ก็มาดุนแถวแก้มผมอีก
เอ๊ะ นี่มันตัวอะไรกันนะเนี่ย
ผมยังไม่ทันรื้อข้อมูลเก่าๆ ในหัวออกมาประเมินว่าไอ้ตัวที่ทั้งเลื้อยทั้งดุนแก้มผมอยู่ มันคือตัวอะไรกันแน่ ท้องน้อยผมก็ร้อนวูบ
เอาแล้วไง! ผมดันมาตื่นเต้นเพราะตัวประหลาดในฝัน แถมดันเป็นตอนอายุสี่สิบห้าเหรอเนี่ย รู้ถึงไหนอายถึงนั่นแน่ๆ
สรุปแล้วผมก็ไม่ได้นึกว่าตัวอะไร เพราะมันทั้งดุนแก้ม ทั้งเลื้อยไปคลอเคลียที่หว่างขาผมจนสมองผมหยุดทำงานไปเลย รู้แต่ตัวเบาจนเหมือนขึ้นสวรรค์ จากนั้นก็เหมือนมีอะไรมาดุนที่ปาก
นี่ผมฝันอะไรของผมกันแน่นะ......?
---------------------------------
...................
ผมปรือตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก พอปรับสายตาได้ก็เพิ่งเห็นว่ามีใครนอนอยู่ข้างๆ ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก แทบจะร้องออกมาเลยทีเดียว
นี่ใครมานอนในห้องผมเนี่ย?!
ด้วยความตกใจ ผมเอื้อมมือไปควานหาไม้ตะพดที่ซ่อนไว้ตรงตู้หัวเตียง กะเอามาฟาดเพื่อป้องกันตัว แต่พอเอื้อมไปเจอหัวเตียงที่เป็นเบาะหนังนิ่มๆ ผมถึงระลึกได้ว่า เมื่อวานผมไม่ได้นอนที่ห้องตัวเอง แต่มานอนเฝ้าไข้สุภาพงษ์ที่ห้องต่างหาก แล้วที่นอนอยู่ข้างๆ ผมนี่....
สุภาพงษ์นอนอยู่ข้างๆ ผม ก่ายมือข้างหนึ่งมากอดเอวผมไว้หลวมๆ คับคล้ายคับคลาเหมือนกันว่าเมื่อคืนเขากอดผมนอนทั้งอย่างนี้ ท่าทางจะหลับสนิทเลย คงเพราะพิษไข้ล่ะมั้ง เขาไม่สบายอยู่นี่นา
ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากเขา พบว่าไข้ลดแล้ว เลยเสยผมที่ปรกหน้าอยู่ออกให้เขาหน่อย หน้าเขาได้รูปดีจริงๆ ขนานนอนจมหมอนอยู่ครึ่งหนึ่ง แค่แพขนตากับจมูกโด่งเป็นสันยังดูดีเลย
ผมมองซะจนอิ่ม นี่ถ้าผมเป็นจิตรกรคงขอเขาเป็นแบบวาดรูปแน่ แต่ผมดันเป็นนักประพันธ์ ไม่เอาอ่าวด้านวาดรูปเสียเลย แล้วผมก็ไม่กล้าจะเขียนเรื่องเขาด้วย อายน่ะ กลัวว่าจะเข้าตัว
ก็นะ... ถ้าเขียนเขาเป็นพระเอก ผมไม่รู้ว่าจะให้ใครเป็นนางเอกดีนี่นา ยังไม่รู้เลยว่านางเอกแบบไหนที่จะเหมาะกับพระเอกอย่างเขา
ยิ่งถ้าให้เขาเลือกเอง ยิ่งลืมไปได้เลย ผมว่านางเอกที่เขาเลือกไม่เหมาะกับเรื่องเขาแน่ๆ
สุดท้ายผมก็คิดได้ว่า ควรจะระดมสมองไปกับการคิดเรื่องพ่อกระแตดีกว่า เพราะชักจะเขียนส่งไม่ทันทุกทีทุกที แต่เอาน่ะ ยังมีพล็อตค้างอยู่หน่อยหนึ่ง กลับบ้านไปพิมพ์ต๊อกๆ แต๊กๆ สักสองสามวัน คงทันส่งแหละ ที่สำคัญบรรณาธิการผมป่วยอยู่ ไม่แน่นะ เขาอาจจะต้องเลื่อนพิมพ์นิยายผมไปเป็นฉบับหน้าก็ได้ ยกเว้นเสียแต่เขาจะใช้รองบรรณาธิการช่วยตรวจแทน
ผมนั่งคิดอะไรเพลินๆ ตาก็มองสำรวจห้องเขาไปทั่วตามประสาคนว่าง ห้องนอนเขาก็มีตู้เก็บหนังสือเหมือนกัน คราวนี้ไม่ใช่นิตยาสารในเครือเขาแล้วล่ะ แต่เห็นหนังสือ มีทั้งเล่มใหญ่เล่มเล็ก หนาบ้างบางบ้าง บางเล่มก็เป็นปกแข็งหุ้มกระดาษจั่วปัง สภาพดูเก่าพอสมควร ผมมองๆ ไปแล้วก็สะดุดอยู่ตรงสันหนังสือชุดหนึ่ง ที่เขาเก็บเอาไว้ตรงตู้ใกล้ๆ หัวนอน เป็นตู้กระจก อยู่ชั้นกลางๆ ล่ะ สันดูคุ้นตาผม.. พอจ้องดีๆ ถึงจะนึกออก นั่นมันรวมเล่มผมนี่นา เขาซื้อไว้เยอะขนาดนี้เลยหรือเนี่ย?
อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าผมมีรวมเล่มไม่มาก แถมออกกับหลายสำนักพิมพ์ เล่มแรกออกเมื่อยี่สิบปีก่อนเห็นจะได้ แต่ดูจากสันหนังสือพวกนั้น ผมว่าเขามีตั้งแต่เล่มแรกที่ผมออกเลยล่ะ
ใจผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้ว่าเขาเพิ่งซื้อหนังสือพวกนี้มาดูงานผม หรือว่าซื้อมาแต่แรกเลยนะ ด้วยความสงสัย ผมเลยค่อยๆ ดึงแขนเขาออก แล้วไถลตัวลงจากเตียง ไปดูหนังสือพวกนั้นให้ชัดๆ ถือวิสาสะขนาดเปิดตู้หนังสือเขาออก แล้วเปิดเล่มดูเลยล่ะ
ดีนะที่เขายังหลับอยู่...
ผมรู้หรอกว่าเปิดตู้หนังสือในห้องนอนคนอื่นมันน่าเกลียด แต่ผมอยากรู้นี่นา... พอเปิดมาหน้าแรก ก็เห็นลายมือเขียนชื่อสุภาพงษ์เอาไว้ แล้วลงวันที่ด้านล่าง.... ดูจากปีแล้วน่าจะเป็นช่วงที่ผมออกรวมเล่มครั้งแรก พอพลิกหน้าต่อไปดูครั้งที่พิมพ์ก็พบว่าเป็นครั้งแรกจริงๆ
งั้นเขาก็ตามงานผมมานานแล้วน่ะสิ....
ผมเกิดนึกเขินขึ้นมา อย่างที่คนอายุสี่สิบห้าไม่ควรเป็น ไม่รู้สิ จู่ๆ ได้มารู้ว่าบรรณาธิการตัวเอง เคยเป็นเด็กที่อยู่ใกล้บ้านกันมาก่อน แถมเคยมาฟังผมเล่านั่นเล่านี่ตั้งแต่ผมกระแดะจะเป็นนักเขียนใหม่ๆ เขาคงจำความบ้าๆ บอๆ ของผมสมัยนั้นได้บ้างหรอกมั้ง พอมานึกว่าเขามาขอผมเขียนเรื่องทั้งๆ ที่มีข้อมูลแบบนี้อยู่ในหัว ผมไม่เขินเลยก็บ้าแล้วล่ะ
ถึงสุภาพงษ์จะยังหลับอยู่ แต่ผมไม่กล้าหยิบเล่มอื่นออกมาดูอีก กลัวเขาตื่นมาแล้วเห็นผมยิ้มหน้าบานอยู่หน้าตู้หนังสือเขา แล้วถือรวมเล่มตัวเองอยู่ในมือ คราวนี้ต่อให้เป็นอุโมงค์ระบายน้ำของกทม. คงไม่พอให้ผมเอาหน้ามุดแล้ว
ผมรีบเก็บหนังสือ ปิดตู้ เตรียมจะหาอย่างอื่นทำ แต่พอหันมาก็เห็นสุภาพงษ์ลุกขึ้นนั่งแล้ว แถมกำลังมองมาทางผมด้วยสีหน้าที่ถ้าเห็นบ่อยๆ ก็คงรู้ว่าเขายิ้มอยู่
“..................”
ต่อให้เป็นสุดยอดนักแต่งเรื่อง เจอแบบนี้ผมว่าใครคงนึกคำแก้ตัวไม่ทันหรอก เพราะงั้น สิ่งที่ผมทำคือ เดินทื่อๆ หนีเข้าห้องน้ำไปเลย
ขอผมใช้ห้องน้ำเป็นที่กบดานแทนอุโมงค์กทม.สักพักเถอะ
พอปิดประตูห้องน้ำได้ ผมต้องใช้เวลาอีกพักเพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ ก่อนจะคว้าแปรงกับยาสีฟันมาจัดการแปรงฟันเสีย เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าผมเดินหนี... เอาน่า เขาคงรู้หรอก แต่ให้ผมยืนเฉยๆ เดี๋ยวมันจะยิ่งคิดมากกว่าเดิมน่ะสิ
คราวนี้เกิดเป็นลมเป็นแล้งคนเดียวในห้องน้ำเพราะถูกเขาจับได้ว่าแอบปลื้มที่เขาซื้องานผมอ่าน ผมไม่รู้ว่าต่อไปนี้ผมจะสู้หน้าเขายังไงดี
เพราะงั้น สู้ทำเป็นลืมๆ ไปซะ แปรงฟัน อาบน้ำแล้วออกไปตีหน้าปกติกับเขาดีกว่า
ผมแปรงฟันเสร็จ ก็รีบไปอาบน้ำ ล้างหัวให้มันโล่งๆ แล้วก็มายืนหน้ากระจก พยายามจะสะกดจิตตัวเองว่าให้ทำหน้านิ่งๆ ไว้ ตอนออกจากห้องน้ำไป ทำว่าเราไม่รู้สึกอะไร ไม่ได้อะไรกับเขาเลยสักนิด
แต่ให้ตายสิ ทำไมผมถึงหลบสายตาตัวเองในกระจกบ่อยนักก็ไม่รู้
สุดท้าย พอเห็นว่าแผนบังคับให้ตัวเองตีสีหน้านิ่งๆ ท่าทางจะไม่ได้ผล ผมเลยคิดว่า ถ้าออกไปแล้วจะชวนเขาคุยนั่นคุยนี่ เอาให้เขาลืมเรื่องที่เห็นตะกี้ไปเลย ช่วยไม่ได้นี่ ผมไม่ใช่คนหน้านิ่งอย่างเขาสักหน่อย เอาวิธีที่ผมถนัดนี่แหละ คงพอกู้หน้ากลับมาได้บ้างหรอก
คิดได้แล้วผมก็จัดการเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดของเมื่อวาน แล้วเอาชุดนอนกับผ้าเช็ดตัวเก็บใส่ถุง เตรียมจะเอากลับไปซักที่บ้าน จากนั้นก็เดินออกมา เตรียมหาเรื่องชวนคุยกับเขาเต็มที่ พอเห็นว่าเขายังนั่งอยู่ที่เตียง ผมเลยรีบทักไป
“ดีขึ้นมั้ย?”
“ครับ” สุภาพงษ์พยักหน้า แล้วเม้มปากนิดๆ เอาล่ะ คราวผมไม่ชะงักกับรอยยิ้มแบบสังเกตยากของเขาหรอก เขาอย่ามาแย่งผมพูดก็พอ
“อืม.... งั้นก็ดีแล้วล่ะ เห็นเมื่อเช้าหลับสนิทเลย เมื่อคืนไข้ขึ้นสูงนี่นะ”
“ครับ”
“ถ้าดีขึ้นแล้ว ก็ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ เดี๋ยวพี่ทำมื้อเช้าให้”
“ครับ..” สุภาพงษ์พยักหน้า เก็บที่นอน แล้วเดินไปห้องน้ำอย่างว่าง่าย ผมเพิ่งเห็นข้อดีเรื่องพูดน้อยของเขาก็วันนี้นี่แหละ ดีแล้วที่เขาไม่พูดอะไรออกมา ไม่งั้นนะ... ผมได้ไปทำหน้าใหม่แน่ๆ
ผมเปิดตู้เย็น มองหาของที่จะมาทำเป็นมื้อเช้า สุดท้ายก็ตกลงกับตัวเองว่าจะทำข้าวผัด เพราะมีแฮมกับไข่อยู่ แล้วก็จะใช้ฟักที่ยังเหลืออีกครึ่งลูกทำแกงจืดเอาไว้กินแกล้ม ต้มกับซีอิ้วเปล่าๆ ไม่มีกระดูกหมูก็คงพอไหว ผมเลยจัดการหุงข้าว หั่นเครื่องปรุงและต้มน้ำรอไว้ ต้มแกงจืดก่อนแล้วค่อยผัดข้าวตามทีเดียว
สุภาพงษ์ออกมาจากห้องน้ำหลังจากนั้นสักพัก เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หน้าตาดูสดใสกว่าเมื่อวานเยอะเลย
“พี่นิต...” เขาเรียกชื่อผม แล้วเดินเข้ามาใกล้ ผมเลยต้องหาเรื่องคุยทันที “พี่จะทำข้าวผัดแฮมกับแกงจืดไข้น้ำให้ทานแล้วกันนะ”
“ครับ” เขาว่า แล้วก็ยื่นมือมากอดเอวผมเอาไว้อีก เออ... ผมลืมไป เขาไม่ค่อยพูดหรอก แต่ชอบใช้ภาษากายมากกว่า ทำไงดีล่ะผม...
“เมื่อคืนพี่นิตหลับสบายรึเปล่าครับ” ระหว่างที่ผมกำลังชะงักเพราะการกอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ของเขา สุภาพงษ์ก็อ้าปากขึ้นมาจนได้ ดีแล้วที่เป็นคำถามธรรมดา ผมเลยตอบไปอย่างสะดวกใจ “อืม ก็พอจะหลับอยู่นะ ถึงจะฝันแปลกๆ ไปหน่อยก็เถอะ”
อันที่จริงผมก็จำไม่ได้ว่าฝันอะไร รู้แต่ว่าแปลกแล้วก็รู้สึกดีพิลึก ตื่นมาตัวเบาๆ หัวโล่งๆ จนมาโดนเขาจับได้ตรงอ่านหนังสือนั่นแหละ สุภาพงษ์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วก้มหน้ามาใกล้ๆ หูผม “พี่นิต อย่าไปนอนค้างเตียงเดียวกับใครอีกนะครับ ผมเป็นห่วง”
“ห่วงอะไรเล่า พี่ไปค้างออกบ่อยไป” ผมตอบอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรู้สึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา ไอ้มือเขาที่กอดเอวผมอยู่น่ะ มันรู้สึกคุ้นๆ อย่างกับเคยลูบตัวผมด้วยเลย..
หรือว่า.......!!
ผมรีบหันกลับไปมองหน้าเขา เห็นสุภาพงษ์เม้มปากอีกแล้ว เขาเม้มปากนิดๆ แก้มแดงแจ๋ จากนั้นก็ยื่นหน้ามาใกล้ หอมแก้มผมดังฟอด
ผมเพิ่งมาเข้าใจอาการพูดไม่ออกก็คราวนี้แหละ!!
--------------------------------------------
** อยากบอกว่า เขียนเรื่องนี้ทีไร มัน.........
ทั้งๆ ที่เรื่องมันไม่ได้มีฉากหวือหวาอะไรเลยแท้ๆ แต่ว่าความดันมันจะขึ้น (โอ๊ย เป็นลมตามคุณพนิต)
บางทีก็รู้สึกว่าโจติงต๊อง บางทีก็รู้สึกว่าคุณพนิตติงต๊อง สรุปแล้วคนเขียนติงต๊องแน่ๆ (โอ๊ยยย แอบเครียดนิดๆ ที่เขียนคนอายุ30-40ออกมาเป็นเด็กแรกรัก แต่ว่า... ฉากมันชวนให้ความดันขึ้นนนน ไม่รู้จะทำไง แต่ถ้ามันติงต๊องขนาดรับไม่ได้ขอให้บอกนะคะ เพราะคนเขียนอายุยังไม่ถึง เขียนไปตามที่นึกได้เอาเอง..)
แต่มัน.........
จริงๆ นะเนี่ย