บ้านพักอลเวง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านพักอลเวง  (อ่าน 365369 ครั้ง)

TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
รอพี่รัญ กะน้องบาส ต่อไป  หุหุ

ว่าแต่ว่าคุณผีไปไหนเนี่ย

pad_dfg

  • บุคคลทั่วไป
รออยู่น้า

ออฟไลน์ watermoonj

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-1
พึ่งได้มีโอกาสอ่านจนจบ อ่านแล้วประทับใจในความรักของโอ๊ต และของโค้กด้วย
ปริ้นโชคดีมากที่ได้เจอคนสองคนที่มีความรักที่ยืนยงและมั่นคงอย่างนี้
คุณผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้จับจิตจับใจมากๆ
ขอบคุณที่ช่วยเล่าเรื่องที่แสนจะกินใจเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันนะคะ
 :pig4:

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
ตึก ตีก ตีก ตึก ตีก ตีก …….….. “

เสียงวิ่งกระหืดกระหอบของชายหนุ่ม 2 คนที่กำลังลงจากหอพักอันแสนเงียบสงบ พร้อมเสียงคุยก็ดังขึ้น…

“เฮ้ย !! จะรีบไปไหนกันว่ะ ยังเช้าอยู่เลย พึ่ง 7 โมงเอง ช้านิดช้าหน่อยเค้าไม่ฆ่านายร้อก ?? “

“น้อยไปซิ นายรู้จักพวกรุ่นพี่ชั้นน้อยไปซะแล้ว อีกอย่างชั้นไม่อยากถูกใครหาว่าเป็นตัวทำให้คนอื่นต้องวิดพื้นหรอก “

“นายจะไปจริงจังอะไรกับไอ้พวกนี้ฟ่ะ นายไปเรียนนะไม่ได้ไปเป็นเบ๊ใคร ชั้นหมายความว่านายควรจะเป็นตัวของนายเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบงการชีวิตของตัวเองง่ะ “ เด็กหนุ่มที่ดูท่าทางจะเป็นรุ่นพี่ออกความเห็น

“ดี !! เป็นความคิดที่ดี … สำหรับนายนะ แต่ถ้านายไม่สะดวกล่ะก็ ชั้นไปเองก็ได้ แค่นี้เอง“ เด็กหนุ่มรุ่นน้องตอบเสียงขุ่น หนุ่มรุ่นพี่หลิ่วตา พร้อมกดปุ่มปลดสัญญาณกันขโมย พร้อมเปิดประตูรถ

“ชั้นก็แค่อยากบอกนายว่า มันไม่ใช่เรื่องเลยกะที่นายต้องมารีบตื่นไปมหาลัยแต่เช้า เพื่อไปทำอะไร
ไร้สาระอะ มันไม่เ……“

“ออกรถได้ยัง… เหรอจาให้ขับเอง“ หนุ่มรุ่นน้องสั่ง ดูท่าทางเหมือนจะมีอิทธิพลเหนือรุ่นพี่ “ชั้นยังจำภาพ
นายตอนอยู่ปี 1 ได้เลย นายเป็นมากกว่าชั้นซะอีก เค้าให้ทำอะไร นายก็ทำ กลิ้งเกลือกบนถนน ถอดเสื้อผ้า แล้วยัง..“
หนุ่มรุ่นน้องทำท่าทางเหมือนจะขำเสียให้ได้

“เออ เออ พอเถอะ“ ขณะนี้หูของหนุ่มรุ่นพี่ดูจะเป็นสีแดงเรือๆ “…. ถึงได้รู้ไงว่ามันน่าอาย และไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น … ตามใจนายแล้วกัน“ ว่าแล้วก็รีบสตาร์ตรถ ขับออกไปโดยไว …

… 1 เดือนผ่านไปท่ามกลางความสนุกสนาน ความมีสีสันของเหล่าเฟรชชี่ทั้งหลาย รวมถึกิจกรรมรับน้องที่เป็นประเพณีสืบทอดของแต่ละสถาบัน ชีวิตภายใต้รั้วมหาวิทยาลัยของผม หลายสิ่งหลายอย่างแปลกไปอย่าง
เหลือเชื่อ สังคมใหม่ๆที่เกิดขึ้น ช่างแตกต่างกับชีวิตในช่วงขาสั้นโดยสิ้นเชิง สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อนๆ รุ่นพี่จอมเฮี้ยบทั้งหลายแหล่ รวมถึงอาจารย์ ที่ดูจะห่างเหินกับนักศึกษามากทีเดียว

“ไอ้บาส … บ่ายเรียนห้องไหนว่ะ“ เพื่อนที่คณะคนนึงถามผม

“มึงเรียนมาเดือนกว่าแล้ว ยังจำห้องเรียนไม่ได้อีกเหรอ“ ผมเปิดสมุดโน้ตดู พร้อมบอกไป ผมก็คงจะลืม
เหมือนเพื่อนผมเหมือนกัน ถ้าไม่ได้จดรายชื่อวิชา กับ ห้องเรียนเอาไว้ในโน้ต เพราะวิชาที่ต้องเรียนมันช่างมากมาย
เหลือเกิน แถมชื่อแต่ละวิชาก็ยาวกันทั้งนั้น ไม่รวมชื่อภาษาอังกฤษอีก ทั้งอาคารเรียนก็ช่างมาก ไม่รวมพื้นที่ที่ต้อง
เดินไปเดินมาอีก โชคยังดีที่มีรถโดยสารรับส่งภายในมหาลัย หลังจากเรียนวิชาภาคบ่ายเสร็จ .. มันก็เป็นช่วงผ่อน
คลายสำหรับนักศึกษาอย่างพวกผมที่จะไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้าบ้าง

“บาส เอ็งไปไหนว่ะเลิกเรียน“ เพื่อนคนนึงในกลุ่มถามผม (มายุ่งอาไรกะกรู)

“ว่าจะไปเดินเดอะมอลล์หว่ะ ไปกับแพร“ ผมมองไปที่เพื่อนสาวสวยของผม ตอนนี้เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ผมกับ
เพื่อนคนนี้คบกันในฐานะคนรู้ใจ แพรเป็นคนเชียงใหม่ เดินทางมาเรียนต่อถึงกรุงเทพ และเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมรู้จัก อะไรบางอย่างในตัวเธอทำให้ผมอยากรู้จักมากขึ้น แล้วหลังจากรู้จักกัน 3 อาทิตย์ ผมก็ขอคบกับเธอ ซึ่งเธอก็ตอบรับ
เป็นอย่างดี ผมไม่รู้ว่าเธอชอบผมมากแค่ไหน แต่เแพรเป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมคบด้วยในฐานะแฟน

“โจ ไปด้วยกันมั้ย ไปหลายๆคนสนุกดี เนี่ยกะไปดูหนังด้วย“ แพรถามเพื่อนผม ซึ่งก็คือเพื่อนเธอด้วยอะแหละ

ผมมองหน้าโจอย่างเหี้ยมเกรียม ไอ้โจหันมามองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย !!

“เฮ้ย ไปได้จริงเหรอ ไปดิไป เด๋วเราไปชวนไอ้ปอมกะไอ้ต้าร์ไปด้วยนะ เออ ไม่รู้หนิงมันไปด้วยอะป่าว เดี๋ยวแป้ปนะ“ มันว่าพลางวิ่งไปชวนเพื่อนกลุ่มมันมา (ซึ่งมันก็เพื่อนกลุ่มผมด้วยแหละ) อีก 10 นาทีต่อมาก็พร้อมหน้า..

“ทำไมทำหน้างั้นละบาส ?? ไปกันเยอะๆเงี้ยหนุกดีออก“ ว่าพลางก็หันไปคุยกะเพื่อนๆตัวดีของผม

“ดี๊ !! “ ผมพูดออกมาตามไรฟัน “ดีมากๆ วิเศษแบบหาที่เปรียบไม่ได้เลย !! “

นี่เป็นอีกครั้งที่ผมพลาดการเดทของผม มันอาจจะไม่ได้เรียกว่าเดทก็ได้ แต่พลาดความเป็นส่วนตัวไปอีก
ครั้ง ตั้งแต่ผมคบเธอมาเกือบเดือนได้ ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป 2 ต่อ 2 ทุกที ทำเอาผมเอือมเหมือนกันนะ !!

“เออ เออ กูโทษทีหว่ะ ไอ้บาส เห้ย เพื่อนกัน อย่าคิดมากดิ“ ไอ้ปอมบอกผม ขณะที่เรานั่งกินพิซซ่ากันอยู่

“เด๋วดูหนังอะ พวกกูให้พวกมึงนั่งกัน 2 คนก็ได้ น่า น่า“ มันปลอบผมที่นั่งหน้าบูดอยู่ ส่วนแพรก็นั่งคุยกับหนิงอยู่ข้างๆโดยไม่สนใจผมเลย ผมเลยเรียกร้องความสนใจซะหน่อย

“แพร จะดูหนังเรื่องอะไรเหรอ“ ผมถามหวังให้เธอสนใจผมบ้าง
“เรื่องอะไรก็ได้ จ๊ะ บาสเลือกให้แล้วกัน เราดูเรื่องไหนก็ได้“ ว่าแล้วก็หันไปคุยกันหนุงหนิงเหมือนเดิม

“ให้มันได้ยังงี้ซิ !! “ ผมพึมพำกะตัวเอง

หลังจากกินกันอิ่มหนำสำราญ (พิซซ่าฮาวายเอี้ยน+ซีฟู้ดขอบชีสถาดใหญ่ - ไก่นิวเออรีนและหอมทอด) พวกก็ขึ้นชั้นบนเตรียมดูหนัง

“เออ ดูเรื่อง……..แล้วกัน เรื่องอื่นมันพึ่งเข้า กูขอบัตรฟรีไม่ได้ เออ รออยู่นี่นะ เด๋วไปเอาบัตรมาให้“ ผมบอก พลางวิ่งไปหลังห้องขายตั๋ว ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาผมได้มาสมัครทำงานที่โรงภาพยนตร์แห่งนี้ และพนักงานก็มีสิทธิได้ตั๋วดูหนังฟรี ถ้าทำงานตามชม. ที่กำหนดไว้ให้ และชม ของผมก็เพียงพอที่จะเลี้ยงหนังให้คน 5 คนดูนะ (แม้จะ
เสียดายเพราะผมกะจะดูกับแพรสองคนก็เหอะ)

“อะ ผมยื่นตั๋วให้ ดูให้สนุกนะ“ ผมทำเสียงบูดกลับไป

“อ้าว แล้วบาสไม่ดูเหรอ“ แพรถามผม

“บาสว่าจะไปทำงานเลยอะ ขี้เกียจดูแล้ว“ ผมบอกพลางนึกให้แพรคัดค้านความคิดผมบ้าง

“เอางั้นเหรอ แหม งั้นเราค่อยไปดูกันวันหลังละกันนะบาส“ แพรบอกผม

- นี่จะไม่ห้ามกันซักนิดเลยใช่ม่ะ – ผมคิดในใจ

“เออ แกไปเอาน้ำมาให้หน่อยดิ หิวหว่ะ“ คราวนี้ไอ้ต้าร์บอกผม ผมมองหน้ามันอย่างหงุดหงิด “นี่พวกแกดูฟรีแล้วไม่คิดจะซื้อแดกกันมั่งเหรอว่ะเนี่ย“ ผมว่าพลางไปเบิกน้ำมาให้ 2 แก้ว

“ขอบใจจ๊ะ งั้นเราเข้าไปดูก่อนนะ“ หนิงบอกผม

“ไปนะบาส ทำงานให้สนุกนะ“ แพรบอกผม ผมยิ้มให้ แต่ในใจนี่ซิ

------ ร้อนรุ่ม --------

ผมรีบเดินไปเปลี่ยนชุดทำงาน

“บาส วันนี้ไปขายตั๋วนะ“ พี่ที่ทำงานบอกผม

“อ้าว พี่โบ วันนี้ผมต้องเดินฟลอไม่ใช่เหรอ“ ผมตอบเสียงไม่ค่อยพอใจ ดูพี่โบแปลกใจเหมือนกัน

“อ้อ วันนี้เจ้ากฤษณ์มันไม่มาอะ ฉุกเฉินๆ อะไรก็ไม่รู้ เราไปทำแทนหน่อยละกัน“ อย่างงี้มันโบ่ยกันชัดๆ

“ครับๆ คร๊าาาบพี่ “ ผมตอบ นี่ผมจะคบกะแพรรอดมั้ยนี่

“ทะเลาะกับแฟนมาละซิเนี่ย ดูอารมณ์เสียจังวันนี้ “ พี่ที่ทำงานอีกคนถามผม

“ป่าวนี่“ ผมโกหกเต็มคำ

“ฮะฮะฮะ เห็นได้ชัด …“ พี่เค้าหัวเราะ แล้วก้มหน้าทำงานต่อไป นี่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว คนเริ่มน้อยลง พวกนั้นคงกลับไปกันหมดแล้วมั้ง เฮ้ย กรรมจริงๆ ผมคิดพลางส่ายหัว ซักพักก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาซื้อตั๋ว…

“สวัสดีคับ ******** ยินดีต้อนรับครับ ชมภาพยนตร์เรื่องไหนครับ “

“……………. “

“ชมภาพยนตร์เรื่องไหนดีครับ “ผมชักพูดเสียงดังขึ้น

“…………….. “

“ชมภาพย……!! “ ผมยังพูดเป็นครั้งที่ 3 แต่ยังไม่ทันจบ มันก็หันกลับเดินออกไปซะนี่ ผมนี่รู้สึกควันออกหูเลย แต่ยังพอควบคุมอารมณ์ได้ด้วยการ พี่ ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่ ว่าแล้วผมก็รีบลุกออกมาทันที ไอ้ตี๋นั่นคิดว่าตัวเองเป็นใครว่ะ ไม่ดูแล้วมากวน teen แบบนี้ ผมละเกลียดที่สุด ครั้งหลังสุดที่ผมฉุนขนาดนี้ก็ตอนทีมีคู่รักกันมาจองตั๋ว พร้อมเลือกที่นั่งกันเป็นเวลา 10 นาที เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วอยู่ๆก็เปลี่ยนใจไม่ดูขึ้นมาซะงั้นแหละ ถ้าไม่ติดว่า
ผมจะโดนไล่ออก คงจะยกอะไรใกล้ตัวทุ่มไปแล้ว

กว่าจะหมดเวลาทำงานของผม ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนที่สุด นี่ผมคิดถูกเหรอผิดเนี่ยที่มาทำงานหาเงินเองแบบนี้ โชคยังดีอยู่บ้างที่มหาลัยผมออกจะอยู่ใกล้หน่อยทำให้สะดวกบ้าง นี่แหละ
บางส่วนของชีวิตที่เติบโตขึ้นของผม

“วี่………………….วี่……………..วี่“ เสียงอันแสนค้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในห้องผม ทำให้ต้องรู้สึกตัวตื่นขี้น พร้อมทำหน้าตาที่พร้อมจะชกใครก็ได้ที่เข้ามาในห้อง เสียงบานหน้าต่างปิดดังปัง พร้อมๆกับสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านใบหน้า

“ออกมาน่ะ แก“ ผมคำราม ท่ามกลางความว่างเปล่าในห้อง ฉับพลันกลุ่มหมอกควันก็ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 16 ปี ใบหน้าซีดเซียวแต่แฝงความกวน teen อย่างร้ายกาจปรากฏชัดขึ้น พลางส่งยิ้มให้…

“แก มาทำอะไรที่นี่อีก“ ผมถามด้วยความโกรธ คนกะลังนอน

“ชั้นอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว อ๋อ ต้องบอกว่าชั้นตายที่นี่มานานแล้วตะหา…“

“ชั้นทำบุญให้ แก ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ทำไมยังไม่เลิกจองเวรกันซะทีว่ะ“ ผมหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น ทุกๆ 49 วันหลังจากมันถูกปล่อยตัวมาจากนรกขุมไหนก็แล้วแต่ มันมักจะมากวนผมเสมอ และคืนนี้ก็ครบรอบพอดี

“….ชั้นจำไม่ได้ว่าเคยขอส่วนบุญจากใคร“ มันตอบ ผมกำลังจะอ้าปากเถียงกะมัน “….แล้วอีกอย่างนายอย่าเรียกชั้นว่า แก ได้ม่ะ มันดูไม่มีสกุลรุนชาติชอบกล ชื่อของชั้น – ริดซี่ – โว้ย“ มันตอบอย่างหน้าชื่น ซึ่งเป็นครั้งที่ 10 ในรอบปี ที่บอกผม

“เหมาะเหมงเลย หน้าตาโคตรไทย….. “ ผมประชด “เดาว่ามันคงย่อมาจาก ริดสีดวง ละซิ“ พูดแล้วนึก
ขำไม่ได้ พลางล้มตัวลงนอน “เอาละทีนี้พอรู้ที่มาของชื่อนายแล้วชั้นขอตัวนอนก่อนละกันนะ …. “

มันทำท่าท่างไม่ค่อยพอใจ พร้อมกับพยายามจะทำหัวปูดเกินคนธรรมดา แต่มันก็ทำให้ผมกลัวไม่ได้แล้ว
หลังจากมันหลอกผมได้สำเร็จด้วยการถอดหัวออกมาระหว่างผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่เมื่อ 3 เดือนก่อน… ทำเอา
ผมช๊อกไปหลายชั่วโมงเลยอะ

“นายกำลังจะซวยนะช่วงนี้ …. “ มันพูดพลางทำหัวให้เป็นขนาดปกติ

“ไม่มีอะไรมาทำให้ฉันซวยได้ ถ้าฉันไม่ได้ทำให้มันซวยเอง “

“ตามใจ………นายนี่โง่บรมเลยหว่ะ อุตสาห์หวังดี นายไม่อยากรู้เหรอว่าจะซวยเพราะ …“

“ฉันจะขอบใจนายมากถ้านายไม่มายุ่งอะไรกับฉันอีก !! แค่นี้นะ“ ผมขี้เกียจเสวนากับผีโรคจิตอย่างไอ้หมอนี่
ซักพักก็มีเสียง ฟุ้บ ขึ้น ผมหันไปมองปรากฏว่ามันหายไปแล้ว คราวหน้าผมจะให้แม่ผมเอาพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆมา
ตั้งไว้ในห้องซักองค์คงดี … ดูดิ๊ มันจะถลนมาได้อีกมั้ย “…. โอ้ย ง่วงเว้ย …!!! “

วันรุ่งขึ้นหลังการปรากฏตัวของริดซี่ ผมรู้สึกง่วงเหมือนนอนไม่พอ ตั้งใจโทรศัพท์ไปบอกพี่โบขอหยุดงาน
เถอะวันนี้

“โหล … พี่โบเหรอ “

“ฮัลโหล บาสเหรอ โทรมาแต่เช้าเชียว มีธุระอะไรสำคัญเหรอเปล่า พี่กำลังไดร์ผมอยู่นะ เอ๋ อะไรนะ ไม่ได้ยิน
เลย เสียงไดร์มันดังอะ เอ้ ว่าไงนะ ฮัลโลๆ ไม่ได้ยินเลยบาส งั้นเอาไว้คุยกันที่ทำงานนะ แค่นี้นะ “

- - ตื้ด ตื้ด ตื้ด - - -

“อ้าว“ ผมทำหน้างง “นี่กรูยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะเนี่ย“ ผมว่าพลางโกรธๆ ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายโดยจะ
โดดเรียนในคาบเช้า – แต่ก็นึกได้ว่ามีเทสโดยอ.ป้ามหาโหด ขณะที่ช่วงบ่ายนั้น ผมยอมกินขี้ซะดีกว่าที่จะต้องโดดเรียน เพราะมันอาจทำให้ผมไม่จบก็ได้ .. เมื่อนึกได้ดังนั้น จึงต้องหอบสังขารที่อิดโรยไปมหาลัย

“พี่โอ ไอ้เป้กออกไปแล้วเหรอ“ ผมถามหาเพื่อนรุ่นพี่ผม ซึ่งผมต้องออกไปกับมันทุกเช้า

“เออ ไปแล้วหว่ะ เห็นว่าวันนี้มันมีประกวดอะไรที่คณะไม่รู้ สงสัยจะกลับดึกด้วย..“ พี่โออธิบาย หอผมที่อยู่
ตอนนี้เหลือกันอยู่เพียง 3 คน คือ ผม เป้ก และพี่โอ ส่วนน้ำซึ่งเป็นลูกเจ้าของหอ ต้องไปเรียนไกลถึงนครปฐม ซึ่งมัน
จะดีกว่าที่จะอยู่หอแถบนั่น ส่วนพี่รัญ พี่ชาย(ซะที่ไหนกันละ)ที่แสนดีของผม ต้องเรียนต่อเมืองนอก ป่านนี้ก็ปาไป 3 ปีเห็นจะได้ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับเลย นั่นแหละรักแท้แพ้ระยะทาง ทำให้ผมได้มีโอกาสมาคบกับแพรยังไงละ หึ …

“บาสเป็นอะไรเหรอ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย“ แพรถามผม เออ ค่อยยังชั่วที่มีคนรู้ใจคอยห่วง

“ไอ้บาสเมื่อคืนหักโหมละซิมึง เสร็จไปกี่ยกวะ 555 เออ ซีดีกูอะ เอามาคืนด้วยนาโว้ย ไม่ใช่อุบเงียบ“ ไอ้ปอม
แซวผม

“ก็บอกแล้วไงว่า กรูไม่ได้เอาไป โน่น ถามไอ้ต้าร์โน่น“ ผมชี้ไปที่ไอ้ต้าร์ ซึ่งกะลังนั่งลอกงานอยู่อย่างกับวิ่งผลัดx400 เมตร

“เฮ้ยๆ มึงอย่ามาโบ่ยให้กูดิ ไอ้บาส มึงก็รู้กูไม่ใช่คนอย่างนั้น“
“มึงเป็นคนแบบนั้นเลยแหละ ไอ้ต้าร์“ ผมบอก พลางหัวเราะ บรรยากาศค่อยดีขึ้นมาหน่อยนึง

หลังพักเที่ยง พวกผมก็ได้มานั่งทานอาหารกัน (ผม – แพร - โจ - ปอม - ต้าร์ - หนิง )

“เมื่อวานดูหนังสนุกมั้ย “ผมถามแพร แน่นอนต้องมีคนสอดอย่างไอ้โจ – ไอ้ต้าร์ และไอ้ปอมตอบแทน

“ สุดสนุกเลยเพื่อน – มันส์โคตรๆเลยหว่ะ – หนุกมั๊กๆ “ ผมละเอือมกะไอ้พวกนี้ซะจริงๆ

“เด๋วบาสไปซื้อน้ำให้นะแพร “ผมบอกแพร

“ เห่ย ซื้อให้กูขวดนึง “ไอ้โจบอกผม

“มีตีนก็เดินไปเองดิ อย่ามาใช้ กรูไม่ใช่เอลฟ์ประจำบ้านมึงนะ“ (ทาสรับใช้ในบ้านของพ่อมด )

ระหว่างที่ต่อคิวอยู่นั้นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคน รู้สึกมันคุ้นๆวะไอ้หมอนี่ เออ ช่างมันเหอะ ผม
จ่ายเงินให้แม่ค้าพร้อมหยิบแก้วโค้ก 2 แก้ว กำลังหันหลังเดินกลับ

พลั๊ก !!! “โอ๊ก …“

ซ่า ……………. แก้วโค้กหล่นใส่เสื้อผมเต็มๆ 1 แก้ว

“อ๋าา “ ไอ้ตัวต้นเหตุร้องเสียงสูง ผมยืนมองหน้าอย่างเดือดดาล

“นี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย เดินยังไงของคุณเนี่ย ไม่ดูตาม้าตาเรือ..“ ผมอดไม่ได้แต่ยังพอควบคุมอารมณ์อยู่

เค้ายิ้มแห้งๆ เอามือเกาหัว แล้วตอบ “เออ… โชคดีนะคับ ทะ ..ที่เหลืออีกแก้ว ไม่งั้นหกหมดอดกินเลย … “
ผมงี้จุกพูดอะไรไม่ออกเลย ผมหมายถึงแค้นจุกอกอะ

“คุณพูดงี้ได้ไงอะ ชนผมยังไม่ขอโทษซักคำ เสื้อผมก็เปียกงี้ แล้ว … แล้ว… “ ผมพูดไม่ออกอะ พอเห็นหน้า
ชัดๆแล้วก็ถึงบางอ้อ

“นายมันไอ้หน้าตี๋ที่กวนตีนกรูเมื่อวานนี่หว่า !! “ ผมโพล่งออกมา
“เฮ้ย ใจเย็นๆก่อน“ เค้าบอกผม เมื่อเห็นผมกำหมัดพุ่งมาที่เค้า ด้วยความไม่ถนัดที่ผมถือแก้วโค้กอยู่ ทำให้วืดไป แถมมันล็อคแขนผมอย่างไม่ตั้งใจ .. !!

ซ่า …!!

“อึก “หมดกันน้ำผม คราวนี้มันหกราดเสื้อไอ้บ้านั่นเลอะเลย

“อ้าว หมดกัน “ไอ้หน้าตี๋ตอบ

“ทีนี้ก็เจ๊ากันแล้วซิ เลอะทั้งคู่เงี้ย“ ตอบหน้าตาเฉย ก่อนที่ผมจะด่าอะไรมัน มันก็วิ่งแน่บไปนู่นแล้ว ยังหันหน้ามาบอกอีกนะ

“แล้วเจอกัน โทษทีเรื่องน้ำ “

แค่เนี้ย ----- ผมคิดในใจ

“อ้าว ไหงเปียกอย่างงั้นล่ะ บาส“ แพรถามผม มีไอ้พวกลิงนั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ “แล้วน้ำละ“

“หมาชนเข้า แก้วเลยตกอะ“ ผมตอบแบบเซ็งๆ “เออ ไปเรียนเหอะ“ ผมเดินนำไปอย่างฉุนๆ โดยที่เสื้อเปียก
อยู่งั้นแหละ …

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
เหตุการณ์ที่เกิดตอนเที่ยงทำให้ผมอารมณ์เสียทั้งวัน แถมยังรู้สึกเพลียอีกตะหาก เมื่อทั้ง 2 อย่างผสมกัน
อย่างลงตัว ตอนนี้ผมก็เหมือนลูกระเบิดเคลื่อนที่ดีๆนี่เอง ซึ่งเพื่อนผมก็คงจะรู้ดี พยายามออกห่างจากผมอยู่ในระยะ
ปลอดภัย หลังเลิกเรียนต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

- - ตื้ด - -

- - ตื้ด - -

“ฮาโหล บาสเหรอ “เป้กโทรมาหาผม



“แล้วแถวนี้มีหมาตัวไหนรับสายอยู่ละ “ผมยังฉุนอยู่

“อ้อ … เหรอ โมโหครายมาอีกละซิ“ ถามเหมือนจะรู้ใจ พูดตามตรงในวัฐจักรเพื่อนๆของผม มีเป้กนี่แหละที่
รู้ใจผมที่สุด แน่ล่ะดิ กินอยู่กันมา 3 ปีแล้ว ไม่ซี้ก็ไม่รู้จะว่าไง …

“วันนี้ทำงานป่าว ไปหาอะไรกินนอกหอม่ะ หิวหว่ะ “เป้กถามผม

“เออ ก็ดี เซ็งๆอยู่เหมือนกัน แต่ชั้นต้องเข้างาน 6 โมงนะ“ ผมว่าพลางยกนาฬิกาเรือนละ 299 บาทมาดู
“มีเวลา 2 ชม มาทันม่ะล่ะ เจอกันที่ ฟูจิเดอะมอลนะ “

“เฮ้ย ฟูจิเลยเหรอว่ะ “ถามเสียงแห้ง

“อะ งั้นไม่กินก็ได้ แล้วเจอกันที่หอนะ - -“

“เฮ้ย เดี๋ยว เออ ฟูจิ ก็ได้ เออเนี่ย อยู่ท่าน้ำนนท์แล้ว เด๋วก็ถึงแล้ว แม่ง รถติดชิบเป๋งเลย “เป้กสบถเบาๆ เออ
“เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วจะโทรไป - -“

ผมรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เห็นมันเดินหน้าบานมาหาผม

“ยิ้มอยู่ได้ บ้าป่าวว่ะ“ ผมถาม

“อาราย ยิ้มไม่ได้เหรอ คนจายิ้มยังมาห้ามอีก แปลกคน !? เข้าไปหาไรกินเถอะ หิว“ พูดพลางดันหลังผมให้เข้าไป …

ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง รวมถึงเรื่องความรู้สึกน้อยใจที่มีต่อแพร หนุ่มรุ่นพี่รับฟังโดย
ไม่ได้พูดขัดอะไร ซึ่งผมรู้สึกดีมากที่ได้ระบายให้ใครฟังบ้าง

“เฮ้ย !? ใจเย็นๆ ผู้หญิงก็งี้แหละ นายก็เอาใจเค้าบ่อยๆซิ เด๋วก็มีโอกาส “เป้กบอกผม

“นายก็รู้ว่าชั้นเอาใจใครไม่เก่งอะ“ ผมบอกอย่างหมดท่า พลางคีบซูชิเข้าปาก

“ก็พยายามเข้าดิว่ะ เรื่องแค่นี้เอง คนเราถ้าริจะรักใครอะ มันต้องปรับตัวให้เข้ากะเค้าให้ได้ ไม่ใช่อะไรๆก็รอ
ให้คนอื่นปรับตัวเข้าหา เข้าใจม่ะ - - อะ กุ้ง“ ว่าพลางคีบกุ้งมาใส่จานผม

“พูดมันง่าย แต่ถ้าชั้นง้อเค้าอย่างเดียว แบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็แย่เหมือนกันแหละ ทุกวันนี้แค่เดินจูงมือยังหา
โอกาสไม่ได้เลย“ ผมพูดอย่างท้อใจ ใช้ตะเกียบคีบกุ้ง จิ้มลงไปในวาซาบิอย่างลืมตัว - -

“เออ ไม่งั้นก็เลิกกันเลยดิ“ เป้กบอกผมอย่างอ่อนใจ “ แล้วนายก็หาคนใหม่เอา - -ยังมีอีกหลายคนนาที่เค้า
เข้าใจนายอะ - - เออ แล้วก็อยากดูแลนายอะ“ ว่าพลางมองมาทางผมอย่างมีความนัยบางอย่าง แต่ผมมัวแต่ก้มหน้า
อยู่

“พึ่งคบกันไม่ถึง เดือน จาให้เลิกกันแล้ว พูดเป็นเล่น“ พลางคีบกุ้งเข้าปาก “ชั้นไมให้ใครมาว่าหรอกนะว่า
ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำก็ - - อ๊อก - - “

ผมดันเผลอจิ้มวาซาบิมากไปหน่อย เลยสำลัก

“นะ น้ำ เผ็ด“ ผมลนลานคว้าแก้วน้ำดื่มจนหมด เมื่อเห็นว่าผมยังไม่หายเผ็ด เป้กเลยเสียสละแก้วน้ำให้ผมอีกแก้ว

“ก็ตามใจนายละกัน ชีวิตนายนี่ ก็ต้องเลือกทางเดินกันเอาเอง - - ชั้นมันคนอื่นนี่หว่า“ เอ๊ะ พูดเสียงเหมือน
น้อยใจอะไรหว่า

“นายพูดงี้หมายความว่าไงเหรอ“ ผมถามตามตรง

เป้กมองผม อะไรบางอย่างทำให้ผมไม่กล้าสบตา

“ไม่รู้ดิ โตป่านนี้แล้ว หัดคิดเองบ้างซิ มัวแต่พึ่งคนอื่นก็เป็นอยู่ยังงี้แหละ - - ไปเถอะ 6 โมงแล้ว งานไม่ต้องทำมันแล้วเหรอ“ พูดเหมือนจะอารมณ์เสีย

“มันคิดว่ามันเป็นใครว่ะ มาเทศนาเรา“ ผมพึมพำกะตัวเองขณะทำงานอยู่

“ว่าไรนะ“ พี่ที่ทำงานผมถาม

“ไม่รู้ซักเรื่องได้ป่ะเพ่ !! “

พี่เค้าค้อนใส่ผมหนึ่งวง แล้วเดินบุ่ยปากไป จริงอย่างที่เป้กมันพูดเวลาผมมีปัญหาทีไร ตอนที่พี่รัญอยู่มัก
คอยให้คำปรึกษาที่ดีกะผมเสมอ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ ผมควรที่จะเมล์ไปหาพี่เค้าบ้างแล้วอะ หลังจากที่ไม่ได้ทำมาหลายสัปดาห์….

หลังจากกลับมาถึงหอ ผมก็ตรงไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ทันที พร้อมต่อเน็ต เพื่อส่งเมล์ หลังจากกดปุ่ม
Inbox แล้ว ผมก็สังเกตว่ามีเมล์นึงปรากฏอยู่ท่ามกลางเหล่าเมล์ขยะที่ถูกส่งมา

พี่รัญเมล์มานี่หว่า ผมพูดกะตัวเอง พร้อมกดเปิดอ่าน




หวัดดี บาส –
เงียบหายไปนานเลย ทำไมไม่ยอมติดต่อมามั่งละ มีปัญหาอะไรเหรอเปล่า?? มีอะไรก็บอกกันได้
นะ ยิ่งเงียบๆอยู่ด้วย - - เอาเถอะ ถึงนายไม่เมล์มาพี่ก็เมล์มาแล้วอะนะ ใกล้จะสอบแล้วไม่ใช่เหรอ ขยันเข้า
ล่ะ อย่ามัวแต่ตั้งหน้าทำงานอยู่อย่างเดียว ถึงไงการเรียนก็สำคัญกว่านะ - -

”ทำไมมีแต่คนชอบเทศกรูว่ะ” ผมพึมพำแล้วอ่านต่อ

- - ช่วงนี้ทางบ้านพี่มีปัญหานิดหน่อยอ่ะ ปวดหัว พ่อกับแม่ทะเลาะกันได้ทุกวันเลยหว่ะ (รู้แล้วเหยียบไว้นะ
เว้ย) ตอนนี้ก็ใกล้สอบเทอมสุดท้ายแล้วด้วย เลยไม่ค่อยมีสมาธิอ่านหนังสือเลย แย่มาก เร็วๆนี้คิดว่าคงจะ
ได้กลับเมืองไทยแล้ว อย่าลืมไปรอรับล่ะ แล้วถ้าแน่นอนเมื่อไรจะบอกอีกทีนะ ฝากเตะปากไอ้โอ - - ไอ้น้ำ –
- ไอ้เป้กด้วย - - หวังว่ากลับไปแล้วยังคงยังไม่ลืมหน้ากันนะ เออ วันนี้แค่นี้นะ เดี๋ยวต้องไปเรียนแล้ว
ป.ล. อ่านแล้วอย่าพึ่งหวังว่าจะได้กลับไปจริง …
พี่รัญ ..(โว้ย)



พี่รัญจะกลับมาแล้วเหรอ หัวใจผมตอนนี้เหมือนลิงโลด หลังจากอ่านเมล์จบ แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนที่
ผมหลับฝันดี หลังจากที่ไม่ได้ฝันมานานหลายเดือน ..

”ทำไมวันนี้ดูอารมณ์ดีจัง เมื่อคืนฝันดีเหรอ” เป้กถามผมระหว่างกินอาหารเช้า

”เมื่อคืนพี่รัญเมล์มา” ผมว่า ” บอกว่าจะกลับมาแล้ว” เป้กมองผม พลางปาดเนยลงบนขนมปัง

”เมื่อไรละ ”

”ยังไม่รู้เลยอะ แต่บอกว่าเร็วๆนี้ ”

ไอ้เป้กยิ้มอย่างไม่มีความหมาย ”เหรอ แล้วมันเมื่อไรอะ เร็วๆนี้ อย่าพึ่งไปหวังอะไรมากเลยดีกว่า
นะ อย่างพี่รัญอะ ”

”พูดแบบนี้ – หมายความว่าไง – ” ผมชักเคือง

”อิด-เอา-เอง-อิ (ึคิดเอาเองดิ) ” เป้กบอกผมระหว่างมีขนมปังเต็มปาก

ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วบอกหวัดดีพี่โอ พร้อมกับเดินออกจากหอไปอย่างเร็ว

”อ้าว !? แล้วเอ็งไม่ไปส่งมันเหรอไง เป้ก” พี่โอถามเด็กหนุ่มข้างๆ

”อง-ไอ้-อะ-อับ” (คงไม่อะคับ) ว่าพลางกลืนขนมปังชิ้นสุดท้าย ”เห็นอยู่ว่ามันเคืองผมอะ หึหึหึ” ไป
แล้วพี่ เด๋วสาย เป้กขำในลำคอ พลางหยิบหนังสือเรียนก้าวออกไป ปล่อยให้โอนั่งงงกับคำพูด ??

ไม่รู้เป็นอะไร นับวันไอ้เป้กจะพูดกวนเท้า กวนประสาท และชอบเสียดสีผมมากขึ้นทุกวัน เซ็งจริงๆ
นั่นไม่นับกับการสอบปลายภาคที่กำลังจะมาถึงภายในเวลาอีกเพียง 1 สัปดาห์ แน่นอนว่าสถานภาพ
ระหว่างแพรกับผม ก็ยังคงเส้นคงวา ไม่มากไม่น้อยไปกว่าเดิม

”แย่จัง จะสอบอยู่แล้ว ยังไม่ได้อ่านหนังสือซักวิชาเลยแหะ” แพรบอกผม ขณะเดินออกจาก
ห้องเรียน ”ข้อสอบ อ. *** ต้องยากกว่าที่แกสอนเน่เลย ยิ่งชอบกดเกรดเด็กอยู่ด้วยสิ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

”เออ เสาร์ – อาทิตย์นี้ไปติวกันที่หอบาสม่ะ” ผมอ้อมแอ่มถาม
แพรหยุดคิดนิดนึง แล้วตอบ

”ก็ดีเหมือนกัน ว่างๆ ถ้าอยู่บ้านมีหวังไม่ได้อ่านแน่เลย อืม บาสเก่ง หลักชีววิทยา นี่ ติวให้แพร
บ้างก็ดี ” เธอเยินยอผม ซึ่งนานๆครั้งหรอกที่จะได้ยิน แล้วชวนหนิง กะโจไปด้วยยัง

”ยัง..” ผมตอบเสียงราบเรียบ

”งั้นเด๋วแพรไปชวนเอง” เธอตอบเสร็จสรรพ คิดแล้วว่าต้องมาอีหรอบนี้

และแล้วก็มาถึงวันอาทิตย์กว่าที่จะเริ่มติวกันได้ ผมไม่โทษแพรหรอกนะที่ตามใจไอ้พวกลิงพวกนั้นที่เสนอความคิดว่าวันเสาร์ควรจะหาอะไรผ่อนคลายเช่นการไปดูหนังซักเรื่องก่อน ซึ่งมันทำให้เสียเวลาไปตั้ง
1 วันเต็มๆ นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว ยังไม่มีใครเสด็จมากันเลย ถ้าไม่ติดว่าหนิงโทรมาบอกว่ากำลังอยู่บน และรถ
ติดมากๆ ทั้งที่ตามความคิดผม วันอาทิตย์เป็นวันที่รถว่างสุดแล้วบนท้องถนน ผมคงเลิกคอยไปแล้ว และ
ผมก็เห็นหัวไอ้โจกำลังเดินมาคนแรก …

”โห นี่นัดกัน 8 โมงนะมึง มาอะไรกัน เกือบบ่าย” ผมทำเสียงเข้ม ”อ้าว… แล้วไอ้ปอมอ่ะ”

”เด๋วมันมา .. มันรอญาติมันอยู่” ไอ้ต้าร์บอกผม

”อย่าบอกนะว่าญาติมันจะมาด้วย” ผมว่าพลางหยิบน้ำมาเสิร์ฟ ”…เฮ้ย มึงอย่าเปิดทีวีดิไอ้โจ มาติวไม่ได้มาดูทีวีมึง” แล้วผมกะหันไปหาแพร

”แพรตามสบายนะ วันนี้ไม่มีใครอยู๋หออะ หนิงด้วย …” ผมบอกอาจดูลำเอียงไปบ้างแต่ก็โอเค..
”เออ เรื่องญาติไอ้ปอมอะ จะมาที่นี่ด้วยเหรอ” ผมถามอีกรอบ ผมไม่ค่อยชอบให้ใครที่ไม่รู้จักมาเท่าไร มันอึดอัด

”สงสัย .. จะมา เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้างั้นหรอก” ไอ้ต้าร์รีบบอกผม เมื่อเห็นผมทำหน้าเริ่มบิด ”ญาติ
มันก็เรียนที่เดียวกะพวกเราแหละ ไอ้ปอไง เรียนอยู่วิดวะอะ ปีเดียวกะพวกเราหละ มึงไม่รู้จักเหรอ”

”ปอ เปอ อะไร ไม่รู้จักเว้ย เออ … เริ่มติวกันดีกว่าแพร” ผมว่าพลางหยิบหนังสือล
ทรัพยากรห้องสมุด ขึ้นมา มันเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดตามความคิดผม หลังจากผ่านการอ่านหนังสือไปหลาย
วิชา ไอ้ปอมก็มาซะที

”เฮ้อ !! ถึงซะที แม่งไกลชิบหายหอมึง” มาถึงก็ด่าผมเลยไอ้นี่ ”… เออ เข้ามาดิ ปอ หอเพื่อนก็เหมือนหอกูแหละ ตามสบาย”
”ตามสบายนะ …” ผมบอกแขกผู้มาใหม่ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง เพราะก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือ
ศิลปการดำเนินชีวิตอยู๋ ดูท่าทางพวกเพื่อนๆผมจะรู้จัก ปอ ดีกว่าทุกคน

”นี่ไง ชั้นบอกแล้วว่าไอ้เนี่ย มันอยู่หน้านี…!! ” พอหาคำตอบเจอ ผมก็เงยหน้าขึ้นมา - - แล้วก็อึ้ง
กิมกี่ เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าผม ก..ก็คือ ไอ้หน้าตี๋ที่ผมเจอวันนั้น ที่โรงอาหารในมหาลัย

”อ้าว หวัดดี – นาย – น่ะเอง” ปอทักผมเสียงใส ”อยู่ที่นี่เหรอ น่าอยู่ดีอ่ะ”

”……………………” หลังจากนั้นผมก็ไม่พูดอะไรกับใครเลย นอกจากทำหน้าหักตลอดการติว ผมรู้สึกขอบคุณแพรมากที่เป็นตัวที่ช่วยให้ผมระงับอารมณ์ ไม่ให้ระเบิดออกมาได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้
วีรกรรมที่ – มัน – ทำกะผมไว้ หลังจากนั้น 4 ชม. พวกก็เตรียมตัวกลับกัน ไม่ต้องล่ำลาอะไรกันมากเพราะ
เด๋วพรุ่งนี้ก็เจอกัน

”เรานึกว่านายจะโกรธ เรื่องวันนั้นซะอีก” ปอกระซิบบอกผมระหว่างเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ ”เออ
แล้วก็วันนั้นด้วยอ่ะ ที่โรงอาหารง่ะ”

”จำไม่ได้ว่า – เรา(กรู) – กับ – นาย(มึง) – รู้จักมักจี่กันตอนไหน ถึงมาคุยตีสนิทแบบนี้” ผมตอบเคืองๆ

”อ้าว แสดงว่ายังโกรธอยู่แฮะ เป็นผู้ชายอ่ะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยซิ” มันแซวผม ผมไม่พูดอะไร แต่
ในใจผมนี่ดิ อยากยกมันทุ่มลงไปในถังขยะแถวนั้นให้รู้แล้วรู้รอด รอสักพักก็เห็นรถมาไวๆ

”เจอกันคราวหน้าคงหายโกรธเราแล้วนะ” ปอบอกผมพร้อมกระทุ้งสีข้างผมเบาๆ ก่อนจะวิ่งขึ้นรถ
ไปกะพวกเพื่อนๆ

”เจอกันคราวหน้า กรูจะฆ่ามึง” แล้วหมกส้วม พร้อมทั้งวิ่งกลับเข้าหอ แล้วถีบต้นไม้แถวนั้นต้นสอง
ต้นเป็นการระบายอารมณ์ …

ไม่รู้เป็นอะไรการสอบปลายภาคผ่านพ้นไปได้ด้วยดีกว่าที่ผมคาดไว้ จากนั้นจะเป็นเวลาปิด
เทอมซะที หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ก็เป็นประเพณีปฏิบัติที่จะไปเลี้ยงฉลองกันพอเป็นกระสัย

”ไปเที่ยวไหนดีปิดเทอมเกือบเดือน” หนิงว่า หันมาถามพวกผู้ชาย
”ไปไหนก็ได้ - - ที่ไม่มีไอ้หมอนั่นไปด้วย” ผมพูดพลางพยักหน้าไปด้านหลัง ปอเดินมาพร้อมกับ
ปอม (ทำไมต้องชื่อคล้ายกันด้วยหว่ะ พิมพ์ลำบาก)

”อ้าว ทำไมล่ะ” แพรถามอย่างแปลกใจ พักหลังๆนี่ไอ้ปอชักจะมาอยู่ในกลุ่มผมมากเกินความ
จำเป็นแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะรู้ความระหองระแหงของผมกะแพร แล้วกะมาเสียบเหรอเปล่า … ยังไงผมก็ขอกัน
มันไว้ก่อนละกัน

”ไปเที่ยวทะเลกันม่ะ” ปอมเสนอความคิด

”ทะเลเหรอ ดีๆ แต่ตอนนี้มันหน้ามรสุมนะ” หนิงบอกผม แต่ดูเธอจะพูดเผื่อไปงั้นแหละ เพราะหน้าเธอนี่ตกลงไปเรียบร้อย

”ไม่น่าห่วงหรอก ดูนี่ดิ ร้อนยังกะอะไรดี ปีนี้ฝนตกน้อยจะตาย เนี่ย ไม่ตกมาเป็นชาติแล้วมั้ง อย่าห่วงไม่เข้าเรื่องไปหน่อยเลยเจ๊” โจแหวใส่หนิง

”พอดีเรามีป้าที่อยู่สุราษฯอะ มีบ้านพักให้เช่าอยู่ด้วย ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนเที่ยวเท่าไรอะ น่าจะไปอยู่
ได้ฟรีๆ” ปอมเสริม - อ้าว ถ้าเป็นญาติไอ้ปอม มันก็ญาติไอ้ปอด้วยซินี่ – ผมคิด

ผมยังไม่ได้ออกความเห็นอะไร แต่พวกผมก็ตอบตกลงกันไปเรียบร้อย

งั้นกรูเอาเพื่อนไปด้วยคนได้ป่ะ ผมถาม

”ใคร ? เป้กเหรอ” แพรถาม ผมพยักหน้า ”ช่าย มันไม่มีที่ไปเหมือนกัน ได้ม่ะ” ผมว่าพลางกด
โทรศัพท์มือถือไปถาม ถึงแม้ว่าไอ้เป้กจะไม่ไป ผมก็จะลากมันไปให้ได้…

หลังจากที่มีการวางแผนกันเป็นที่เรียบร้อย คืนนี้ในเวลา 3 ทุ่มจะเป็นเวลาออกเดิน ซึ่งกว่าจะถึงสุราษฯ ก็ปาเข้าไปตี 5 ของอีกวันหนึ่ง ยาวนานดีแท้ ... ผมกำลังจัดการแพ็กกระเป๋าเดินทางอยู่ เป้กก็เดิน
มาหาผม

”ชักไม่อยากไปแล้วหว่ะ !! ”

”เฮ้ย มาพูดอะไรเอาตอนนี้ว่ะ จะไปกันอยู่แล้ว อย่ามาทำตัวอย่างนี้ดิว้า” ผมบอกมัน

”ก็มีแต่เพื่อนนายไป ฉันจาสนุกอะไรอะ แล้วยังมีญาติของเพื่อนอีก โห คงจะสนุกโขเลย” มันว่า
...ผลสุดท้ายก็ลงเอยโดยที่ผมต้องลากมันมาหัวลำโพงอย่างยากลำบาก ทำไงได้ละ เสียเงินจอง
แล้วนี่หว่า ตอนนี้เกือบทุกคนมาพร้อมกันหมดแล้ว ยกเว้น ไอ้ปอคนเดียว

”อ้าว แล้วปอไปไหนละ” แพรถามปอมผู้เป็นญาติ

”ไม่รู้ดิ เด๋วคงมามั้ง ปอมโทรไปหามันแล้ว มันก็ออกมาแล้วนะ” ปอมตอบ พลางล้วงมือลงหยิบ
มันฝรั่งขึ้นมากิน

”ถ้าไม่มาคงจะดีพิลึกเลยหว่ะ เพี้ยง อย่ามาทีเถอะ ผมคิดในใจ พลางยกมือไหว้

”ไหว้ใครอยู่เหรอ” แล้วเสียงของคนที่ผมสาปแช่งอยู่ก็ดังขึ้น พร้อมเจ้าของร่างสูงโปร่ง

“ตายยากจิงนะแก” ผมพึมพำ

ไม่นานนักขบวนรถไฟก็มาถึง พวกผมจองตู้พิเศษไว้ ถึงแม้จะไม่ถึงกะเป็นตู้นอน แต่ก็สบายกว่านั่ง
อยู่ในตู้ชั้น 3 หลังจากที่จัดวางข้าวของกันแล้ว วงสนธนาของพวกเราจึงเริ่มต้นขึ้น คิดไม่ถึงว่าคุณพี่เป้กที่
ปากบอกว่าไม่สนิทสนมอะไรกับเพื่อนผม จะเป็นคนช่างพูดช่างคุยสุดแล้ว และดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกับ
ไอ้ปอเป็นพิเศษด้วย สงสัยเพราะมีความปากสุนัขเหมือนกัน เลยเข้ากันได้ดี

แน่นอนว่าการเดินทางของวัยรุ่น การนอนมักจะมีเรื่องสยองๆเล่ากันเพื่อความตื่นเต้น กรรมจึงมา
ตกอยู่กับไอ้เป้ก เนื่องจากมันเป็นคนที่กลัวผีที่สุด พิสูจน์ได้จากการที่ไปเที่ยวสวนสนุกมา - -

“นี่ เฮ้ย ทำไมต้องมาเกาะแกะข้างๆด้วยหว่ะ เป้ก รำคาญหว่ะ” ผมว่าพลางดันตัวไอ้เป้กออกห่าง
จากตัวผม

“อะไรเล่า แค่นี้เอง เอ้ยๆ เลิกเล่าเถอะนอนกันดีกว่าหว่ะ” ไอ้เป้กคร่ำครวญ ผมรู้ว่ามันไม่ได้ง่วง
นอนอะไรหรอก เพียงแต่มันกลัวว่าเรื่องที่เล่าจะเป็นจริงขึ้นมาเท่านั้น (ตอนนี้หนิงกะลังเล่าเรื่อง ผีพนักงานบนรถไฟ ซึ่งโดนฆ่าปาดคอ ...ที่ชอบมาหลอกหลอนพวกนักท่องเที่ยวอะไรประมาณนี้) กว่าพวกเราจะเลิกเล่ากัน และนึกได้ว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่ออีกไกลโข จึงพากันตกลงว่าควรจะนอนกันได้ซะที ไม่ต้องทายว่าผู้ที่โล่งอกมากที่สุดจะเป็นใคร...

ผมหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีเพราะรู้สึกเหมือนมีใครมากอด ผมหันหน้าไปหาต้น
ตอ ก็เห็นเป้กซบผมอยู่ ช่วงเวลานั้นทุกคนหลับกันหมด มีเพียงผมรู้สึกตัว และผมคงไม่ใจร้ายพอที่จะปลุก
ให้ไอ้เป้กมันนอนดีๆ อย่ามาก่ายกรู ช่วงเวลาตี 3 ตี 4 ผมว่าอากาศต้องค่อนข้างหนาวพอสมควร เพราะเห็น
พวกเพื่อนผมนั่งสั่นกันเป็นแถว แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนรุ่น
พี่คนนี้ ตอนนี้ความง่วงเริ่มถาโถมเข้ามาหาอีกครั้ง ผมค่อยๆ
ขยับพร้อมเอนตัวพิงเป้กไว้ เหมือนจะรู้ .. มันกอดผมแน่นขึ้น พลางซุกหน้าลงที่ต้นคอ ทำให้ผมได้กลิ่นหอม
ของแชมพูที่มันพึ่งสระผมเมื่อช่วงหัวค่ำ แล้วก็ผล่อยหลับไป ..

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
“นี่ .. นี่ จะนอนกอดกันไปถึงไหนห่ะ ตื่นได้แล้ว“ ใครซักคนปลุกผม แถมไม่ปลุกเปล่า ยังเขย่าตัวอีกตะหาก

ผมลืมตาตื่นขึ้นมา แต่เป้กยังคงหลับอุตุอยู่ เห็นท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย พลันมองไปหาคน
ปลุก ไอ้ปอนะเองปลุกผม แต่คนอื่นมันไม่เห็นจะปลุกเลย

“จารีบปลุกไปหาสวรรค์วิมานอะไรว่ะ ยังไม่ถึงเลยเห็นป่ะ“ ผมแหวใส่ด้วยความงัวเงีย
“นี่ๆ คุณชาย อีกเด๋วก็ถึงแล้ว นี่มันเข้าเขตสุราษมาตั้งนานแล้วนะ อีก 2 -3 สถานีเอง “



“อ้าว - - ก็ปลุกพวกนี้ด้วยดิ เอ้า ตื่นๆ ไอ้โจ ไอ้ต้าร์ ไอ้ปอม ไอ้เป้ก ตื่นเว้ย ด้วยเลยกรูไม่ตามเก็บนะมึง“ ผมว่า พลางหันไปหาสาวๆ

“แพร จะถึงแล้ว ตื่นได้แล้ว“ ผมว่าพลางเสยผมที่ปรกหน้าเธอออกไป

“เด๋วเราต้องไปท่าเรือก่อน 8 โมงด้วยนะนี่ ไม่งั้นตกเรืออ่ะยุ่งเลย“ ไอ้ปอบอกแผนการกับพวกเรา หลังจากลงรถไฟที่สถานีสุราษเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งเรือเร็วไปเกาะพะงันเลย คงจะถึงซักเที่ยงอะ เด๋วป้าจะส่งรถมารับ ที่หน้าเกาะ

“หาอะไรแดกก่อนได้ม่ะ กูหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว“ ไอ้โจบ่น เอาเป็นว่าโชคดีที่แถวๆนั้นมีร้านโจ๊กและก็กาแฟอยู่บ้าง ทำให้พวกเราประทังความหิวไปได้โข

ที่จริงผมว่าเรามีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะแยะ เพราะนี่มันพึ่งจะ 6 โมงเช้าเอง อากาศเย็นแต่รู้สึกได้
ถึงความสดชื่น หลังจากหาเช่ารถประจำทางแถวนั้น เราก็ถึงท่าเรือ ในเวลา 7 โมง ครึ่ง เหลือเวลาอีกถมเถ

ขาไปอะ เราไปเรือเร็ว มันจาเร็วกว่านิดนึง ส่วนขากลับอะ ไม่รีบร้อนอะไร จะกลับเรือเฟอร์รี่นะ ไอ้
ปอบอกรายละเอียดทุกขั้นตอน มันน่าจะไปเรียนธุรกิจท่องเที่ยวมากกว่าเรียนวิศวะนะนี่ ผมคิดในใจ

การเดินทางด้วยเรือเร็วพอจะทำให้พวกวัยรุ่นอย่างเราดูจะคึกคักเป็นเพิเศษ เพราะสามารถ
ใกล้ชิดน้ำทะเลได้มากกว่าขึ้นตึกลอยฟ้าอย่างเฟอร์รี่ แพรดูท่าจะชอบเป็นพิเศษ และมันจะสนุกกว่านี้ ถ้า
ไอ้ต้าร์ไม่เมาเรือ จนปล่อยของบางอย่างให้ปลาเป็นอาหารมื้อเที่ยงซะ 2 รอบ สิ่งที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษเห็น
จะหนีไม่พ้นน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้ม พอเข้าใกล้ฝั่งจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตใส มองเห็นฝูงปลาที่ว่ายอยู่
ข้างใต้อย่างชัดเจน สวยจริงๆ (ไม่ได้บรรยายโวหารนะคับ เรื่องจริง 55) หลังจากขึ้นฝั่งเป็นที่เรียบร้อย พว
เราต้องรอรถป้าของไอ้ปอเกือบชั่วโมง อากาศก็ร้อนแสนร้อน นี่มันหน้าฝนแน่เหรอว้า จากนั้นรถจะพาเรา
อ้อมเกาะไปอีกฝั่งเพื่อไปที่บ้านพักที่ป้าของปอจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งต้องบอกว่าน่าอยู๋เกินคาด บังกะโล
ถูกเตรียมไว้ 2 หลัง สำหรับคน 8 คน โดยผมต้องไปนอนกะพวกผู้หญิง 2 หน่อ เพราะดูว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้
สุดแล้ว

“เฮ้ย มันจะดีเหรอว่ะ ก็นอนบ้านเดียวกันไปเลยดิ 8 คนอะ มี ตั้ง 2 ห้อง“ ไอ้โจเสนอ

“อ่านะ อย่าดีกว่า เวลาเพวกนายกินเหล้ากินเบียร์อะไรเงี้ย พวกฉันขี้เกียจมานั่งฟังคนเมาย่ะ“
“อีกอย่างมันทำอะไรไม่สะดวกด้วยอะ“ หนิงว่า

“อ้าว แล้วทำไมให้ไอ้บาสไปนอนด้วยหละ ไม่กลัวมันปล้ำเอาเหรอ“ ไอ้ปอมถียง

“นิ อย่าเอากรูไปเปรียบเทียบกะมึงดิ ไอ้ปอม“ ผมบอก ที่จริงผมก็ไม่อยากไปนอนกะพวกผู้หญิง
หรอกนะ แต่ทำไงได้ละ

“เออ ตกลงกันได้แล้วจะได้จัดข้าวของซะที จะได้ไปกินข้าวแล้ว ชักช้าจิง“ ปอบอกเสียงขุ่น

“นอนคนเดียวได้ใช่ป่ะ“ ผมกระซิบถามเป้ก ที่จริงดูเหมือนมันสนิทกับเพื่อนของผมนะ แต่มันก็คง
ลำบากใจเหมือนกันที่ต้องไปนอนก็คนอื่น

“เฮ้ย ทำไมจะนอนไม่ได้อะ เราผู้ชายนะโว้ย นอนที่ไหนก็ได้ เอ เหรอว่าจะให้เราไปนอนกะนายด้วย“ ถามผมพลางหลิ่วตายอกย้อน ผมเบ้หน้าใส่มันแล้วขนของไปเก็บ

หลังจากที่ผมช่วยพวกสาวๆเก็บของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็รวมพลกันที่ด้านหน้าอีกครั้ง เตรียม
ลงเล่นน้ำกัน ผมสังเกตว่าเป้กดูจะคึกคักเป็นพิเศษทีเดียวเชียว ทึ่จริงดูจะคึกกันทุกคนมากกว่า มีแต่ผมคน
เดียวเท่านั้น อาจเป็นเพราะชักรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กๆ คงเป็นเพราะอากาศหนาวเมื่อคืนแน่แท้ ผมอาจจะ
เป็นหวัดก็ได้ ทางที่ดีอย่าเสี่ยงเล่นน้ำจะดีกว่า ผมคิดในใจ ..

“เฮ้ย เดี๋ยวข้าเอากล้องมาถ่ายรูปด้วยดีกว่า พวกนายไปกันก่อนเถอะ“ ว่าแล้วผมก็หันกลับไปเอา
กล้องมา

ตูม ซ่า …

กรี๊ดกราด ๆๆ

เสียงเพื่อนๆผมเล่นน้ำกันอย่างมีความสุข สนุกสนาน บานหทัย แม้แต่ไอ้เป้กเอง ยังเข้ากับเพื่อน
ได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ผมเลยต้องทำหน้าที่เป็นตากล้องจำเป็นให้กับเพื่อนๆ สุดเปรี้ยว ซักพักเป้กคงเห็นผม
นั่งอยู่เฉยๆละมั้ง ไม่ยอมลงมาเล่นซะที จึงเดินขึ้นมาหวังจะลากผมไป

โอ้ แม่เจ้า – โว้ย – ผมอุทานในใจ จะอะไรซะอีกล่ะ ผมพึงสังเกต ตอนก่อนลงเล่นน้ำมันไม่เท่าไร
หรอก แต่ตอนนี้นี่ดิ สภาพที่เสื้อผ้ามันเปียกน้ำทะเลชุ่มโชก เสื้อสีขาวบาง แถมดันเจือกใส่กางเกงบอล คงไม่
ต้องบรรยายว่าจะเห็นอะไรต่อมิอะไรแค่ไหน (??)

“ทำไมไม่ลงไปเล่นน้ำกันอ่ะ เฮ้ย เร็ว พวกรออยู่ “

“…. เออ“ ผมยังอึ้งอยู่ แปลกใจอยู่เหมือนกัน ทำไมน้อผมต้องตกใจ ในเมื่ออยู่ด้วยกันมาตั้งนานนม

“นี่ นี่ เป็นไรไปว่ะ หน้าแดงๆ“ เป้กถามผม

“เป็นหวัดแดดเหรอ“ ว่าพลางคล้ำหน้าผากผมเฉยเลย

“เออ ป่าวไม่ได้เป็นอะไรหรอก“ ผมตอบ พลางรีบปัดมือมันออกไป

“งั้นก็ไปดิ เร็ว …“ เป้กพูดพร้อมกระชาก (แรงไปป่าว) มือผมตามไป … (กรูม่ายปายว้อยยย)

“เฮ้ย เป็นไรไปฟะ ไอ้บาส ซึมๆ“ ไอ้โจถามผม หลังจากเราทานข้าวเย็นกันเสร็จ เป้กหันมาเหมือน
จะรอฟังคำตอบเช่นกัน

“ป่าว ไม่ได้เป็นไร“ ผมตอบ “แค่ง่วงนอนหว่ะ “

ถ้าง่วง งั้นไปนอนก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอพวกเราหรอก บาส แพรบอกผม ผมมองหน้าแพรอย่างเคืองๆ
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากคืนนั้น ไม่อยากจะเชื่อว่าผมไม่ได้เป็นไข้อย่างที่คิด เพราะในเช้าวันต่อมาผมก็รู้สึกแข็งแรง
ดีเหมือนเดิม โปรแกรมการท่องเที่ยวของพวกเราตลอด 3 วันเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ไม่ว่าจะไปเล่น
น้ำตก ปีนเขา ดำน้ำ สารพัดจะทำ และในคืนสุดท้าย ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับเทศกาลที่มีชื่อเสีย(ง) ของเกาะ นั่น
ก็คือ ฟูลมูนปาร์ตี้นั่นเอง แน่ละพวกเราเฮฮากันเต็มคราบ ต้องยอมรับเลยว่าเป็น คืนที่เร้าจาย เจง เจง เอิ๊ก..
ขากลับพวกเราต้องเดินเลาะชายหาดกลับบังกะโล พวกผู้ชายอย่างผมเมาแอ๋กันทุกคน มีแต่ผมกับไอ้ปอ
เท่านั้นที่พอจะพูดรู้เรื่อง แน่ละซิ ในสถานการณ์แบบนี้ เราสองคนจึงต้องรับภาระแบกไอ้พวกลิงที่เหลือกลับ
แต่ละตัวก็ใช่จะเบาๆ น้องควายทั้งนั้น

“บอกแล้ว ว่าอย่ามา อย่ามา เป็นไงละ อ๊วกแตกอ๊วกแตน กันเป็นแถวเลย“ หนิงบ่นให้แพรฟัง มือข้างนึงหิ้วปีกไอ้โจไว้

“อ้าว ๆ อย่าโทษงั้นเด๊ะเพ่ ก็แค่อยากให้คืนสุดท้ายมันมีรสชาติก็เท่านั้นเอง“ ปอว่า ผมก็เห็นด้วยกับหนิงนะเนี่ย เพียงแต่ไม่พูดเพราะผมก็กินเข้าไปหลายอยู่เหมือนกัน …

“อ๊ออกกก อ๊วกกกกก“ ไอ้เพื่อนตัวดีผมแหวะมาอีกรอบซะแล้ว คราวนี้ถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้นเลย

“เฮ้ย เป้ก ทนหน่อยดิว่ะ เกือบถึงห้องแล้ว “… แต่มันยังนั่งอยู่ แสดงถึงความหมดเรี่ยวแรง ป่วย
การเปล่าที่จะเรียก ผมเลยบอกให้เพื่อนๆเดินกลับไปพลางๆก่อน เดี๋ยวรอให้แหวะให้เสร็จจะตามไ
ป อยากจะบอกว่ามันแหวะนานมากคราวนี้ ไม่รู้กินอะไรกันหนักหนา ผมยังคงนั่งลูบหลังอยู่ข้างๆมัน

“ออกหมดยังหว่ะ เป้ก เค้าเดินกันจะถึงแล้วมั้งเนี่ย“ ผมชักเริ่มกังวลใจ นี่ถ้าหากมันไม่ลุกขึ้นมาผมต้องแบกมันกลับไปละแย่แน่ ทางก็ไม่ใช่จะใกล้เลย แถมเปลี่ยวแล้วก็มืดอีกตะหาก

“เป้ก เป้ก …“ ผมเขย่าตัวแรงขึ้น หวังให้รู้สึกตัว ผลคือมันกลับหลับปุ๋ยสบายใจเฉิบไปแล้ว

“เฮ้ย มึงจะมาหลับอย่างงี้ไม่ได้นะเฟ้ย เฮ้ยตื่นเว้ย“ ไม่เป็นผล มันส่งเสียงอู้อี้ๆ ไม่รู้เรื่องเลย

“ไม่ลุกใช่มั้ย ได้ ได้ …“ ผมพยุงตัวมันขึ้นมา ลากไปพลางบอก

“ไม่ตื่นก็กินน้ำทะเลไปหน่อยละกัน“ว่าแล้วผมก็ปล่อยมันลงไปในน้ำทะเล

ตูม ซ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

“อั๊กกกๆ แค่ก ทำไมโหดจาาาง ววว่ะ“ มันต่อว่าผมหลังจากได้สติขึ้นมาบ้าง สงสัยสำลักน้ำทะเล
ไปหลายอึก

“เร็วเข้า กลับห้องได้แล้ว“ ผมบอกเป้ก พลางจะลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวดิ จะรีบไปไหน นั่งคุยเล่นๆกันก่อนเถอะ เรายังมึนๆอยู่เลย“ เป้กขัดขึ้นมา พร้อมชวนผมนั่งเป็นเพื่อน อะไรบางอย่างทำให้ผมยอมนั่งเป็นเพื่อนมัน ต่อด้วยการคุยเรื่องสรรพเพเหระ เรื่อง รร เก่า ในหอ
เพื่อนๆ และมาหยุดลงที่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแพร …

“เป้ก นายว่าเรากับแพรจะคบกันได้อีกนานม่ะ“ ผมถามขึ้นมา เป้กหันมามองผม ทำหน้า
ประหลาดใจ มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า ผมไม่เคยใช้คำแทนตัวเอง ว่า “เรา” กับเป้กเลย แล้วอยู่ๆ ผมมาพูดกับมันได้ไงฟ่ะ

“พักนี้เราว่าแพรแปลกๆ ไป บอกไม่ถูกหว่ะ …“ ผมพูดต่อ

“ไม่รู้ซิ .. . แต่เราว่านายอย่ากังวลอะไรมากมายเลยดีกว่า เราก็ไม่เห็นว่ามีผู้ชายคนไหนมาจีบมันเลยนี่นา … เว้น แต่ …“ เป้กพูดค้างเหมือนคิดอะไรออก

“แต่อะไร …“ ผมถาม

มันหันมามองหน้าผม แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

“ เว้นแต่แพรมันจะเปลี่ยนมานิยมเพศด้วยกัน อยากมีความสัมพันธ์ฉันฉิ่งอะดิ เหรอไม่ก็อยากเข้าร่วมวงมโหรีไง …555“ ว่าแล้วก็พลางหัวเราะ

“เฮ้ย เวรกรรม ไอ้เป้ก ปากหมาหว่ะ“ ผมแหวใส่ พลางชวนมันกลับห้อง เดินต่ออีกไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว ผมแยกกับเป้กด้านหน้าบังกะโล ก่อนแยกมันยังไม่วายแซวผม

“เฮ้ย คืนสุดท้ายแล้วอ่ะ อยากทำไรก็รีบๆทำกันเน้อ จะได้เปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุกซะที“ ก่อนที่
ผมจะทันเตะมัน ก็ผลุนผลันวิ่งเข้าห้องไปแล้ว ตอนนี้ความง่วงถาโถมมาหาผมอีกครั้ง เลยรีบกลับเข้า
บังกะโล กำลังจะเข้าห้องแล้ว (ห้องผมนอนคนเดียว อีกห้องหนิงกับแพรนอน) เหลือบไปเห็นรองเท้าของ
แพรไม่อยู่ ก็นึกสงสัย เลยค่อยๆแง้มห้องดู เห็นหนิงนอนหลับอยู่ แพรไม่ได้อยู่ที่เตียง !!!

ลางสังหรณ์ประหลาดเกิดขึ้นทันที แพรอาจจะนอนไม่หลับ แล้วออกไปเดินเล่นชายหาดก็ได้ – แต่นี่มันจะตี 2 แล้วนะ – ด้วยความเป็นห่วงแฟนสาว ผมเลยกลับออกไปหาเธอที่ชายหาดอีกครั้ง จะว่าไป
ความมืดของบริเวณนั้น ก็ทำให้ผมเกรงๆเหมือนกัน ถ้าเกิดมีคนร้ายมาปล้นละก็ผมคงไม่รอดแน่ แต่ถ้าเป็น
อย่างนั้น แพรคงจะรอดยากกว่าผม ผมเดินหาจนเมื่อยแล้ว ก็ไม่พบ จึงตัดสินใจกลับเข้าที่พักอีกครั้ง

ฉับพลันผมเห็นเงาของใครบางคนนั่งอยู่ตรงม้านั่งใกล้ๆกับที่พัก ตอนออกมาผมไม่ทันสังเกตเห็น
เพราะมันไม่ได้หันหน้าออกชายหาด จึงค่อยๆเดินไปหา แพรแน่ผมจำได้ แต่เอ๊ะ มีคนนั่งอยู่ข้างๆเธอด้วย
“ใคร ?? “ ผมนึกในใจ ในหัวผมตอนนี้สับสนไปหมด แต่เท้าผมก็ยังเดินตรงไปหาอย่างเงียบๆ พอดี
กับที่ด้านข้าง มีพุ่มไม้อยู่ ผมเดินเข้าไปนั่งหลบด้านหลัง โชคดีที่มุมนี้ผมสามารถมองเห็น ใครคนนั้น ได้
ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไอ้ปอ นั่นเอง ผมอึ้งไปพักใหญ่ เกิดอะไรขึ้น มันต้องมีอะไรบางอย่างระหว่าง 2 คนนี้แน่นอน
ความโกรธเริ่มพุ่งสูงขึ้น ตอนนี้ผมอยากรู้เหลือเกินว่าสองคนนั่นคุยเรื่องอะไรกัน ท่าทีของพวกเค้าไม่
เหมือน – เพื่อน – คุยกันซักนิด มันเหมือนแฟนคุยกันมากกว่า อากาศภายนอกนั้นหนาวจับใจ แต่ในขณะนี้
เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาทั้งตั้งผม ร่างกายพร้อมที่จะวิ่งเข้าไปต่อยไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างแฟนผม แต่ … สมองของ
ผมกับไม่สั่งการใดๆ เพียงแต่รอคอยอะไรบางอย่างเท่านั้น

ผมมองหน้าแพร ถึงแม้จะไม่ชัดเท่าไรก็ตาม เธอยิ้มแย้มมีความสุข หัวเราะคิกคักกับไอ้ปอ ผมเจ็บ
แปรบที่หัวใจ แพรไม่เคยทำท่าทางแบบนี้ให้ผมเห็นมานานแล้ว ซักพักปอเริ่มโอบกอดแพร เธอดูเหมือนจะ
ไม่ขัดชืนแม้แต่น้อย ปอค่อยๆหอมแก้มเธอ แพรยิ้มอย่างเอียงอาย … ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ผม
เข้าใจว่า การถูกแทงข้างหลัง มันเป็นยังไง ถึงผมจะไม่ค่อยชอบขึ้หน้าไอ้ปอเท่าไร แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดมัน
เลย คิดว่ามันเป็นเพื่อนสนิทคนนึง แพรก็เหมือนกัน ผมไม่เคยที่จะขัดใจเธอ พร้อมมอบความรักให้อย่างที่
ผู้ชายคนนึงจะมอบให้ได้

แต่ ..ทำไม … สิ่งที่เค้าทั้ง 2 ทำกับผม ถึงได้ …

ตอนนี้ 2 หนุ่มสาว คลอเคลียกันในเงามืด ผมรู้ตัวว่าทนเห็นภาพที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้อีกแล้ว
ทางเลือกในใจตอนนี้มีอยู่ 2 ทาง เดินไปต่อยหน้าแม่งเลย หรือ เดินถอยกลับออกไปเงียบๆ เมื่อมาคิดอีกที
ผมจะไปขัดขวางความสุขของเค้าทำไมกัน ผมไปต่อยหน้าไอ้ปอ แพรก็ไม่มีวันกลับมาหาผมอีกแล้ว ผมจึง
ขอเลือกอย่างหลังดีกว่า …

แม้ว่าจากบริเวณเงามืดกับบังกะโลจะอยู่ไม่ห่างกันมาก แต่ระยะทางที่ผมเดินกลับมันดูเหมือน
ยาวไกลเหลือเกิน สมองผมทำงานอย่างหนักแต่มันก็ไม่สามารถหาคำตอบได้เลย ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้
ยังไง ทำไม เพราะอะไร ผมมีอะไรไม่ดีเหรอ แพรถึงทำยังงี้กับผม ความโกรธแค้นเริ่มลดระดับลง
กลับเปลี่ยนเป็นความเสียใจที่พุ่งขึ้น ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำตา

“อย่าร้อง อย่าร้อง ไอ้บาส แกต้องไม่ร้อง“ ผมเฝ้าเตือนตัวเอง ตอนนี้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งไม่
เคยเกิดขึ้นกับผมค่อยๆคืบคลานเข้ามา เท้าผมเดินมาหยุดลงที่บังกะโลอีกหลังนึงโดยไม่รู้ตัว ผมเดินเข้าไป
กะจะมาขอพวกนอนด้วย ผมทนไม่ได้ที่ต้องนอนอยู่กับคนทรยศหรอก

“อ้าว ยังไม่ไปนอนอีกเหรอ มาทำไร“ ไอ้เป้กเดินมาเจอผมพอดี มันคงพึ่งอาบน้ำเสร็จ

“จ จะมาขอนอนด้วยอ่ะ“ ผมพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“เหรอ เป็นไรป่าวอ่ะ เนี่ย ไอ้ปอก็ยังไม่เข้ามาเหมือนกัน ไม่รู้หายหัวไปไหน สงสัยแอบไปปี้กะใคร
แหง่ม“ เป้กพูดทีเล่นทีจริง มาถึงตรงนี้ผมถึงกับสะอึก มันเดาถูกจริงๆ เพียงแต่ผู้หญิงที่ว่านี่มันแฟนผมเอง

“เป้ก ….. แพรก็ยังไม่กลับเหมือนกัน..“ ผมตอบเสียงสั่น น้ำตาเริ่มเออท้นขึ้นมาทำให้ผมเริ่มมอง
อะไรไม่เห็นแล้ว ผมรีบก้มหน้า น้ำตาเม็ดเป้งหยดลงบนพื้น เป้กมันคงสังเกตเห็นได้

“เค้าสองคน .. “ ผมกำลังจะบอกแต่เป้กขัดไว้

“เราพอจะรู้แล้ว ..แหละ“ เป้กบอกผม ทำให้ผมนึกออก ตอนที่เรานั่งอยู่กันที่หาด ที่มันบอกว่า
เราก็ไม่เห็นว่ามีผู้ชายคนไหนมาจีบมันเลยนี่นา … เว้น แต่ … มันคงจะพูดต่อว่า ยกเว้นแต่ ไอ้ปอ นะเอง

เป้กเดินเข้ามาจับไหล่ผมสองข้าง พลางบอกให้ใจเย็นๆ แต่มันเหมือนคำพูดที่ออกมาจะไร้
ความหมาย

ผมพูดขึ้นมาอย่างน้อยใจ ทำไมว่ะเป้ก “ข้าทำอะไรผิดเหรอว่ะ พวกมันถึงทำกับข้าแบบนี้อ่ะ ผมรู้
ว่าทำไม่ถูกที่จะมาระบายอารมณ์กับไอ้เป้ก แต่ผมต้องทำ ตอนนี้ผมไม่มีใครแล้วจริงๆ ผมเริ่มควบคุม
อารมณ์ไว้ไม่อยู่ พอดีกับที่ไอ้เป้กเอื้อมมือดึงผมเข้าไปกอด สัมผัสบางอย่างทำให้ผมต้องสะอื้นออกมา สิ่งที่
ผมพยายามอดกลั้นเอาไว้ตลอดมา ความอ่อนแอ ความเสียใจ ผมซบหน้าลงไปเหมือนหาที่พึ่ง แล้วร้องไห้
ออกมาอย่างไม่อาย ร้องเหมือนเด็กๆ นานแล้วที่ผมไม่ได้ทำอะไรหน้าอายแบบนี้นับตั้งแต่ขึ้นมัธยม ยิ่งร้อง
ผมก็ยิ่งกอดไอ้เป้กหนักขึ้น เป้กเอามือมาลูบหัวผมเบา เหมือนปลอบเด็กขี้แย ตอนนี้เองความอบอุ่น
บางอย่างเกิดขึ้นมาภายใจจิตใจที่เหมือนมืดมนของผม

แล้วค่อยๆแผ่ขยายวงกว้างขึ้น เมื่อผมได้ยินเป้กกระซิบข้างหูผม คำๆนี้ผมจำได้ตลอดมาและจะไม่
วันลืม

“บาส ตอนที่บาสไม่มีใคร บาสยังมีเป้กอยู่ข้างๆไม่ใช่เหรอ อย่ากังวลไปเลยนะเป้กจะอยู่ตรงนี้
แหละ …. ไม่ทิ้งบาสไปไหนหรอก …“

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
เช้าวันต่อมา อาการไม่อยากรับรู้ความเป็นจริงของผมเกิดขึ้น ทันทีที่ลืมตา ผมภาวนาให้ภาพที่เห็นเมื่อคืนเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิด แพรเข้ามาทักทายผมตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้ผมคิดได้ว่า เมื่อคืนคงไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอกับปอหลบมาจู๋จี้กันแน่ คงจะมีความสัมพันธ์กันมานานพอควรแล้ว ถ้าเธอรู้ว่าผมทราบว่าเธอสวมเขาให้ผมแล้ว เธอจะทำหน้ายังไงนะ ???



วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสำหรับการท่องเที่ยวช่วงปิดเทอมของพวกเรา ไม่เข้าใจเหมือนกัน เมื่อคืนผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แต่วันนี้ผมเหมือนยกภูเขาลูกโตออกจากอกได้ ถึงแม้ผมจะไม่มีวันให้อภัยแพรและไอ้ปอได้เลยก็ตาม ระหว่างอยู่บนเรือเฟอรี่เวลาช่างผ่านไปอย่างยืดยาดเหลือเกิน ผมกำลังยืนคิดอะไรเพลินๆอยู่บนดาดฟ้า
เป้กก็เดินมาหาผมพลางถือกระป๋องน้ำอัดลมมาด้วย

“เฮ้ย“ ผมอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ มันดันเอากระป๋องมาแนบแก้มผมเข้านะซิ

“เค้าดูทีวีกันอยู่ชั้นล่าง ไมมานั่งเงียบอยู่คนเดียวล่ะ“ แหม มันพูดเหมือนไม่รู้อะไร

………………… ผมไม่ตอบ มันส่งน้ำมาให้ผม


ผมปฏิเสธไป

“นี่ นี่ คนซื้อมาให้แล้วก็รักษาน้ำใจกันหน่อยดิ รู้น่าว่าไม่ชอบน้ำอัดลมอะ แหกตาดูก่อนดิ นี่มันชามะนาวเว้ย“ มันบอกผม

“เออ เรื่องข้านี่รู้ดีจังนะ“ ผมคิด พลางรับน้ำไว้

“แล้วนี่จะทำยังไงต่อไปอ่ะ“ เป้กถามผม

“หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ“ ผมตอบซื่อๆ

เป้กมองหน้าผม ถอนหายใจ

“เฮ่ออ นายก็น่าจะรู้นะว่าเราหมายถึงอะไร เหรอจะให้พูด ก็เรื่ อ ……. “

“เออ รู้แล้ว จะย้ำทำไมนะ“ ผมตะคอกใส่

“ข ขอโทษ“ เป้กมันคงตกใจรีบขอโทษผม ที่จริงฝ่ายที่ต้องขอโทษควรจะเป็นผมมากกว่าที่ไปตะคอกมัน ทั้ง
รู้ว่าเป้กมันหวังดีกับผม แต่ว่าช่างมันเหอะ แฮะ ๆ ๆ อีกอย่างผมนึกอายอยู่โขที่เมื่อวานไปร้องไห้ฟูมฟายอยู่กะมันซะ
ยกใหญ่

“ไปถึงกรุงเทพ ก็คงบอกเลิก“ ผมตอบอย่างมั่นใจ

“-มั้ง -“

เป้กขมวดคิ้ว “ทำไมต้องมี – มั้ง – ด้วยหละ “

“จะให้บอกกะเค้า (แพร) ว่าไงละ เมื่อวันก่อนชั้นแอบดูเธอกะไอ้ปอมันจูบกัน ต่อจากนี้เราเลิกกัน งั้นเหรอ “ผมถาม

“อ้าว ก็งั้นอะดิ แต่คำพูดต้องขัดเกลาหน่อยนะ“ เป้กบอกผม

“ทำไม่ได้หว่ะ“ ผมบอก

“นายอย่าบอกนะ ว่านายยังหวังว่าแพรมันจะกลับมาหานายอีกอ่ะ“ มันพูดได้จี้ใจดำผมเต็มๆ

เป้กมันอ่านใจผมจริงๆ มันรู้ว่าผมคิดอะไร จะทำอะไร จนผมกลัวว่ามันเป็นพ่อผมจริงๆ ซักวัน

“คิดอะไรแบบเด็กๆ แบบนี้เด๊ะ จึงโดนเค้าสวมเขาให้อะ“ มันด่าผมอีก

“ทำไมถึงไม่ยอมรับความจริงบ้างอ่ะ คิดหน่อยเด๊ มัวแต่จมปลักอยู่กับคนแบบนี้ นายอะแหละ จะเป็นฝ่ายเจ็บอยู่ร่ำไป ถ้าอยากจะนอนร้องไห้ทุกคืนก็ตามใจนายละกัน “

มันหันหลังเดินผลุนผลันไป ปล่อยให้ผมยืนอึ้งกับคำพูดของมัน

“แล้วจะให้กรูทำยังไงว่ะ“ ผมพูดอย่างเจ็บใจในความอ่อนแอของตนเอง

การเดินทางกลับบ้านของพวกเราเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยกันทุกคน ทำให้เพื่อนคนอื่นๆไม่ได้สังเกตสีหน้าอมทุกผิดปกติของผม หลังจากนี้อีก 1 อาทิตย์ ก็จะเปิดเรียนภาค 2 ผมตัดสินใจกลับบ้านที่ต่างจังหวัด เผื่อว่าผมจะคิดอะไรออกบ้าง อย่างน้อย ผมก็ขอกลับไปเลียแผลใจก็ยังดี …

การกลับไปเจอหน้าพ่อ-แม่ซะบ้าง กลับไปเจอบรรยากาศเก่าๆสมัยเด็ก ทำให้ผมมีชีวิตชีวาขึ้นมาพอสมควร จิตใจในตอนนี้ดีขึ้นมาก อาจจะเรียกได้ว่าเกือบสู่สภาพปกติแล้ว พร้อมจะเดินทางกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้นในขณะที่ผมกำลังดูคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบรายวิชาที่จะต้องเรียนในเทอมต่อไปอยู่

ก๊อก ก๊อก

“ห้องไม่ได้ล็อกคับแม่“ ผมตอบไป

ตามที่คาดไว้ แม่ผมเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับนมร้อนๆถ้วยหนึ่ง ในเวลาเกือบเที่ยงคืนแบบนี้ พ่อผมคงนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว มีน้อยครั้งมากที่แม่ผมจะนอนหลับก่อนที่ไฟในห้องลูกจะดับ นั่นทำให้บางครั้งในสมัยมัธยมต้น ผมต้องแอบทำงานโดยเปิดโคมไฟแทน

“พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า ยังไม่รีบนอนอีก เดี๋ยวก็เพลียแย่หรอก“ แม่ว่าพลางยกถ้วยนมวางบนโต๊ะ

“โถ แม่ ยังไม่เที่ยงคืนเลย ไม่ต้องรีบหรอก ที่นอนไม่หนีไปไหนซะหน่อย “ ผมตอบแบบกวนๆ โดยไม่ได้ละ
สายตาจากจอ

“แม่แหละ รีบไปนอนเถอะ ไม่ต้องมารอหรอก ต้องไปสอนแต่เช้าม่ะใช่เหรอ บาสไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ “ผมว่า
พลางบิดขี้เกียจ

“ใครว่าไม่เด็กหละ“ แม่ผมเถียง แล้วเอามือลูบหัวผม

“เรามีอะไรอยากคุยกับแม่หรอเปล่า “

“เปล่านี่“ ผมอ้อมแอมตอบ ยกนมขึ้นมาดื่ม

“แม่ว่าไม่นะ” สายตามองผมเเหมือนจะจับผิดอะไร

“เอาเถอะ ….. ไม่บอกก็ไม่บอก แต่หวังว่าคงไม่ได้ถูกสาวหักอกมา แล้วหนีมาเลียแผลใจที่บ้านหละ “

“แอ๊ก แค่ก แค่ก “

ผมสำลักเบาๆ รีบวางถ้วยลง แม่ผมคงสังเกตได้ แต่ทำเป็นไม่สนใจ

“เรื่องรักๆใครๆนี่ มันไม่เข้าใครออกใครหรอก“ แม่ผมทำพูดลอยๆ

“วันนี้เค้าอาจจะชอบเรา แต่ใครจะรู้ พรุ่งนี้เค้าก็อาจมีคนอื่นได้ ถ้าเค้าเจอคนที่ดีกว่าเรา“

“แล้ว … แม่ว่าบาสไม่ดีตรงไหน“ ผมเผลอถามไป

แม่มองผมด้วยสายตาอ่อนโยน

“คำว่าดีกว่าที่แม่พูดน่ะ ไม่ได้บอกว่าบาสไม่ดีหรอกนะ เพียงแต่บาสอาจไม่ใช่คนที่ใช่ สำหรับเค้า คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเราน่ะ แต่จะเจอหรอเปล่า ก็ไม่รู้ … แม่อยากจะบอกบาสว่า อย่าไปยึดติดกับอดีต แต่ให้ …“

“แต่ให้เก็บอดีต ไว้เป็นประสบการณ์ใช่มั้ยคับ“ ผมพูดต่อจากแม่

แม่ผมยิ้ม “ก็รู้ดีนี่นา“

“บางครั้งมันก็พูดง่ายนะแม่ แต่ถ้าเจอเข้ากับตัว ผมว่ามันทำยากกว่าคำพูดสวยๆที่แม่สอนอีก“ ผมว่า

“เวลา .. บาส เวลาจะช่วยให้อะไรหลายๆอย่างดีขึ้น“ แม่ผมบอก พลางจูบที่หน้าผากผมนึงที ก่อนจะเดินออกไป – บางครั้งการที่ผมยังมีแม่คอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า ปัญหาทุกปัญหา มีทางออกของมันอยู่เสมอ ขอเพียงเรามีสติ แม้เพียงน้อยนิด แสงสว่างก็อยู่ไม่ไกล

วันรุ่งขึ้นผมเดินทางกลับมาถึงหอ ก็เกือบทุ่มหนึ่ง (อีกแล้ว) พี่โอ นั่ง กินข้าวเย็นอยู่กะน้ำ แต่ไม่เห็นเงาหัว เอ้ย เงาของเป้กเลยแฮะ

“หวัดดีคับ พี่โอ หวัดดีน้ำ“ ผมทักทาย พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ

“มีหว่ะ มีตอนบ่ายอะ“ น้ำบอกผม

แล้วผมก็คุยอะไรต่อมิอะไรกับไอ้น้ำอีกโข เนื่องจากไม่บ่อยนักที่มันจะกลับมา เนื่องจากเรียนไกลตั้ง
นครปฐมโน่น

“เดี๋ยวข้ากลับเลยดีกว่าหว่ะ เดี๋ยวมืด“ น้ำว่าพลางดูนาฬิกา

“หว๋า จะ 2 ทุ่มอยู่แล้ว ไปน่ะ บาส พี่โอ“

“เออ เดี๋ยว อะ ของฝาก แม่ฝากมาให้คนที่หออะ“ ผมบอกพลางยกถุงขนมหอบใหญ่ให้ไป

“เออ ขอบใจหว่ะ มีแม่ดีก็สบาบไปแปดอย่างหว่ะ“ ชมเสร็จก็รีบบึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว

“พี่โอ แล้วไอ้เป้กไปไหนอ่ะ“

“ไปเรียนอะดิ มหาวิทยาลัยมันเปิดแล้วนี่นา เดี๋ยวก็คงกลับแหละ คิดถึงมันเหรอ ปกติไม่เห็นเคยถามนี่นา “พี่โอแซวผม ผมทำท่าจะหวดเข้าให้หนึ่งป้าบ พี่โอหลบทันพลางหัวเราะ

“เออ เป็นโสดด้วยกันทั้งคู่แบบนี้ มันน่าคิดนาเฟ้ย“ ว่าพลางหัวเราะ เดินเข้าห้องไป

“อ้าว ไอ้เป้ก ปากประชาสัมพันธ์อีกแล้วนะมึง“ ผมคิดในใจ “เด๋วเหอะกลับมาเมื่อไรละมึง“

กริ๊ง กริ๊ง

เสียงโทรศัพท์ทำให้ผมสะดุ้ง

“ฮัลโหล หอ **** คับ“ ผมบอก

………… เงียบไปซักพัก

“ฮัลโหล ต้องการพูดกับใครคับ“ ผมทวนคำถาม

“บะ บาสสส บาสสเหรอ ชะ ช่วยด้วย“ ผมตกใจ เสียง
เป้กนี่หว่า

“ชะ ช่วยด้วย “

แกร็ก…….

ตู๊ดด ตู๊ดดด …

“อ้าว เฮ้ย ฮัลโหล ๆ เป้ก เป้ก“ ผมสับสนไปหมด ตกใจด้วย เกิดอะไรขึ้นกับมันฟ่ะ เหรอว่ามันโดนใครลากไป ข่มขืน เฮ้ย จะบ้าเหรอ ผมคิด

“เหรอว่าโดนใครดักตีหัวฟ่ะ ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย“ กดโทรศัพท์เข้ามือถือมันอีกรอบ แต่กลายเป็นฝาก
ข้อความไปแล้ว

“พี่โอ พี่โอ“ ผมตะโกนเรียกพี่โอบนชั้น 2

“เด๊ววว กะลังอาบน้ำอยู่“ พี่โอตะโกนตอบ

ผมรอช้าไม่ได้แล้ว รีบวิ่งออกไปนอกหอทันที ทั้งที่ไม่รู้จุดหมาย ไอ้เป้กมันจะเป็นอะไรเหรอเปล่า โธ่ เมื่อกี้
น่าจะถามว่าอยู่ที่ไหนก่อน พลัน ผมได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะอยู่ด้านหลัง ผมหันกลับไปดู เห็นไอ้ตัวดียืนหัวเราะท้องขด
ท้องแข็งอยู่เบื้องหน้า

“เฮ้ยๆ บาส เรายังไม่ได้บอกเลยว่าอยู่ โรง’บาลไหน อย่าพึ่งรีบ อย่าพึ่งรีบ ยังไม่ตาย“ มันแซวผม

“เฮ้ย ไอ้เฮี้ยเป้ก มึงเล่นงี้เลยเหรอ เล่นบ้าอะไรว่ะ เป็นห่วงนะเว้ย“ ผมโกรธจนตัวสั่น มันเล่นอะไรไม่รู้จัก
กาลเทศะบ้างเลย ไอ้หอกนี่

“อ้าว ไม่ทำยังงี้ จะรู้เหรอว่ามีคนเป็นห่วงอ่ะ“ มันว่า

“มึงล่อพูดแบบนี้ เป็นใครก็เป็นห่วงวะ“ ผมแก้ตัว ใจนึงผมก็โกรธ แต่ใจนึงก็โล่งอก นี่ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมา
จริงๆ ผมจะทำยังไงดีเนี่ย แต่ … มันจะเป็นอะไรก็ช่างมันดิ ผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ

“อ่ะ นี่ของฝาก แม่ฝากมาให้นะ“ ผมยกขนมมาให้มันหลังจากเข้าหอ

“โอ้ว มีของฝากด้วย แม่นายนี่ใจดีจัง ชักอยากเป็นลูกอีกคนแล้วดิ“ มันตอบพลางล้วงขนมขึ้นมากิน ผมไม่ทันได้คิดอะไรเลยพยักหน้าเออออไป

“ถ้าแม่นายมาได้ยินเข้าคงเสียใจพิลึก “ แล้วผมก็นึกได้ว่ายังไม่ได้สะสางบัญชี

“เออ เดี๋ยวดิ นีทำไมแกต้องไปโพทนาเรื่องของข้าให้พี่โอเค้าฟังด้วยหว่ะ เรื่องแพรอ่ะ“ ผมต่อว่า

“ป่าวโพทนาซะหน่อย แค่บอก“ ตอบหน้าตาเฉย

“ก็จะได้รู้กันไปเลยไง ไม่ต้องปิดบังใคร มันอึดอัดป่าวๆ หรอนายไม่คิดยังงั้น จะให้คนอื่นเค้าเข้าใจว่านายยังคบอยู่กับแพรงั้นเหรอ มันจะทำให้นายเจ็บใจซะป่าวๆนะ“ เป้กบอกผม ผมก็ว่ามันก็เป็นความคิดที่ดี

“แล้วตั้งใจจะเลิกกันเมื่อไรล่ะ “

“แล้วทำไมชั้นต้องรายงานแกด้วยว่ะ“ ผมตอบอย่างหงุดหงิด

“จะเลิกตอนไหนมันก็เรื่องของชั้นเว้ย“ ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นชั้น 2 ไป ปล่อยให้ไอ้เป้กนั่งหน้าบูดอยู่ข้างล่าง

“เออ ต่อไปนายต้องทำมากกว่ารายงานตัวกับเราแน่“ เป้กบ่นอุบอิบ

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
ภารกิจในวันเปิดเทอม 2 วันแรกของผมมีหลายอย่างเหลือเกินที่ต้องทำ แต่เหนือสิ่งอื่นใด วันนี้เป็นวันที่ผม
จะบอกเลิกกับแพร แพรยังคงปฏิบัติตัวกับผมตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อืม … การบอกเลิกนี่มันช่างยากเย็นกว่าการบอกรักเป็นไหนๆ เพื่อความเป็นส่วนตัวผมจึงนัดกินข้าวกับเธอ ถือว่าผมเลี้ยงเธอเป็นการสั่งลาละกัน


หลังจากนั้นเธอก็คงจะได้คบกะไอ้ปออย่างเปิดเผยซะที

“บาสกินอะไรดีล่ะ “เธอถามผม

“แพรอยากกินอะไรก็สั่งเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง“ ผมเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองให้ดูเริ่มห่างเหิน แต่เธอก็
คงไม่ได้เอะใจ

หลังจากกินเสร็จ ผมชักเริ่มปอดขึ้นมาแล้ว ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเป้ก
ผมก็มีแรงฮึด

“แพร เรา 2 คนคบกันมานานเท่าไรแล้วอ่ะ “

“อืม … ประมาณ 4 เดือนมั้ง ถามทำไมเหรอ อ้าา หรือว่ามีอะไรพิเศษ“ เธอยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มสังหารแท้ๆ

“แล้ว … แพร เออ “ผมหยุดนิดนึง “แล้ว แพรรักผมเหรอเปล่า“

เธอทำหน้าสงสัยเล็กๆ บาส ถ้าแพรไม่รักบาสแล้วจะคบกับบาสทำไมล่ะ พูดงี้แสดงว่าบาสเลิกรักแพรแล้วงั้นซิ เธอพูดเชิงล้อเล่น เอื้อมมือมาแตะมือผม

“รักซิ รักมากด้วย แต่ตอนนี้ … มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะ“ ผมพูดเสียงเริ่มสั่น แต่ตายังจับจ้องที่ใบหน้าเธอ พลาง
ยกมือเธอออก

“แพร ผมว่าเราสองคนคงไปกันไม่ได้หรอก เราไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลย“ ผมปดไปงั้นแหละ ผมไม่อยากเอา
เหตุผลที่แท้จริงที่ผมต้องการเลิกกับเธอมาอ้าง ผมยังแคร์ความรู้สึกเธออยู่

แพรอึ้ง รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า พูดกับผมเสียงสั่น

“บาส …. รู้ตัวเหรอเปล่า ว่าพูดอะไรออกมาน่ะ เกิดอะไรขึ้น !!! “
“รู้ตัวซิ ทำไมจะไม่รู้ ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้ปกติที่สุด แพร ผมว่าเรา 2 สองคนน่าจะดูกันให้นาน
กว่านี้อีกหน่อยก่อนที่จะคบกัน มันจะได้ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ “… ผมพูดเว้นช่วง

“เราเลิกกันเถอะ “

เพียะ !!!

แพรตบหน้าผมอย่างแรง ดีที่ผมเบี่ยงตัวออกแต่ก็ยังโดนเต็มๆอยู่ดี ผมไม่เข้าใจเลยว่าเธอตบผมเรื่องอะไร
กัน อายที่ผมบอกเลิกเธอ หรือว่าที่จริง เธอควรจะต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกผม งั้นซิ

“นาย ทำไมเป็นคนแบบนี้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวที่สุด ฉันไปทำอะไรให้นายเหรอ ถึงได้ทำกับฉันแบบนี้“ เธอ
เสียงดังมากขึ้น จนโต๊ะข้างๆหันมามอง (ที่จริงหันมาตั้งแต่เพียะแรกแล้ว) ผมยังนั่งเฉย เธอเลยทำท่าจะตบผมอีกรอบ
แต่คราวนี้ผมจับมือเธอไว้ได้ทัน

“เห็นแก่ตัวเหรอ ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว ใครกันที่ไปทำอะไรกันบนเกาะ ใครกันที่ไปกอดกับไอ้ปออ่ะ“ ผม
โพล่งออกไปอย่างหมดความอดทนเหมือนกัน แพรถึงกับหน้าถอดสี

“อย่านึกว่าผมโง่มากนักได้มั้ย ดีซะอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าเลิกกันแล้ว เธอจะได้ไปคบกะไอ้ปอได้อย่างเปิดเผยไงล่ะ ไม่ต้องมาหลบๆซ่อนๆกันแบบนี้ พอเถอะ อย่ามาตีหน้าใสซื่ออยู่เลย มันจบลงแล้ว แพร“ ผมตอบเธอด้วยโทสะ

“มื้อนี้ผมถือว่าเลี้ยงอำลาละกัน“ พูดจบผมกระะแทกเงินลงบนโต๊ะ พลางเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้แพรยืนอึ้ง ตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้อยู่ที่โต๊ะ ผมพอสรุปได้ว่าเธออายชาวบ้านก็เลยร้องไห้นะ ไม่ได้เสียใจอะไรที่ผมเลิก
หรอก

ผมรีบพุ่งกลับหออย่างด่วน ขึ้นห้องปิดประตู ใจหนึ่งก็เสียใจ แต่อีกใจหนึ่งรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ผมคง
ร้องไห้กับเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมสัญญากับตัวเอง พอซะที ความรัก เข็ดโว้ย … (แต่มันไม่งั้นดิ)

ผมผล่อยหลับไปนานเท่าไรไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“บาส กินข้าวโว้ย“ เสียงพี่โอ

ผมเดินงัวเงียลงไปข้างล่าง พี่โอ นั่งอยู่ พี่เนนั่งตรงข้าม( ขานี้นานๆจะมาซะที) และไอ้ตัวดีเป้ก นั่งยิ้มเฉ่งรอ
อยู่

“ไง …“ เป้กทักผม

“ก็ … ดี “ผมบอก พลางนั่งลงตักข้าว

“ท่าจะดีมากเลยหว่ะ ฝากรอยมือเอาไว้ด้วย“ ไม่ว่าเปล่า มาจับแก้มผมตรงที่มีรอยตบอีกตะหาก

“โอ้ย มันเจ็บนะ ทำอะไรฟ่ะ“ ผมโอด

“นี่แหละน้า รักแรกเค้าว่าจะไม่สมหวัง“ พี่เนบอกผม ยิ้มให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรหรอก หล่อๆแบบนี้ ไม่นานก็มี
ใหม่“

“ใครว่ารักแรกอ่ะ พี่เน“ ผมบอกพร้อมกับหัวเราะในลำคอ

ผมยิ้มให้พี่เน พลางเหลือบมองหน้าเป้กแว็บนึง ถ้าตาไม่ฝาด ผมเห็นหน้ามันบูดนิดหน่อยนะ

“้อ้าว เหรอ งั้นก็หน้าแตกอะดิ“ พี่เนบอกพลางหัวเราะ การกินข้าวในเย็นวันนี้ ครึกครื้นเป็นพิเศษ ไม่รู้ทำไม
ผมหายเศร้าเร็วจังวะ

“เฮ้ย บาส แกจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้แล้วนาเว้ย“ เป้กบอกผมในห้องนอน วันนี้มันอยากมานอนกะผมด้วยหว่ะ
เหตุผลคือมันกลัวว่าผมคิดมาก เด๋วจะไปโดนตึก

“หมายความว่าไงฟ่ะ ทำตัวไง“ ผมแปลกใจ

“โธ่เว้ย โง่จัง เวลาที่คนเค้าเลิกกะแฟนอ่ะ เค้าต้องรีบทำตัวเองให้ดูดีขึ้นกว่าเก่าโว้ย“ มันบอกผมอย่างผู้เชี่ยว
ชาญ

“เหรอ แล้วไงล่ะ “

“นายก็ต้องทำตัวให้ดูดีขึ้นไง แบบว่าดูแลตัวเองหน่อย ให้พอแบบว่ามีสาวติดตรึมอ่ะ พอถึงเวลา นายก็ควง
ไปเย้ยแพรมันเล่นๆไง ประมาณว่า มันคิดผิดที่ไปเลือกไอ้ปอ ทั้งๆที่มีคนที่ดีที่สุดอยู่แล้ว“ มันยังพร่ำอยู่ไม่เลิก

“ไม่เอาหว่ะ จบแล้วให้มันจบไปเถอะ ขี้เกียจไปต่อแยด้วย“ ผมว่าพลางล้มตัวลงนอน “ที่ไม่อยากทำก็
กลัวไง“

“กลัวบ้าไร“ เป้กถาม

“กลัวว่าจะเด่นเกินนายไง เดี๋ยวจะไปแย่งเด็กนายอะยุ่งตายชักเลย“ ผมว่าพลางเอาหมอนข้างตีหัวมัน

ปั๊ก

“กรูไม่มีเด็กเว้ย อย่ามาแถ“ มันเอาหมอนตีผมกลับ “เออ ถ้านายหล่อได้ขนาดนั้นก็ดี ใครๆเค้าจะได้อิจฉา
เราไง“

“อิจฉานายเรื่องไร“ ผมถาม แต่พอรู้ความหมายนัยๆ

“คิดเองดิ ฟายจัง“ มันว่า

“เออ นอน ๆ ๆ “ ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปปิดไฟ พอปิดเท่านั้นแหละ มันโถมตัวมาทับผมอย่างแรงจนจุกเลย

“ไอ้เป้ก จุกนะมึง ลุกออกไ ปเว้ย เดี๋ยวเจอตีน “ ผมทั้งพลักทั้งดันให้มันออกไป แต่ไม่เป็นผล รู้กันอยู่ว่ามัน
ตัวใหญ่กว่าผม (มุขเดิม) ปล้ำกันอยู่ซักพัก ผมก็หมดแรงข้าวต้ม มันก็ยังไม่ยอมปล่อยอีก

“มันหนักนะโว้ย“ ผมพูดเสียงหอบ เพราะ …เหนื่อย(อย่าคิดมาก) สายตาผมเริ่มชินกับความมืด เห็นหน้ามัน
อยู่ใกล้มากเลย ผมเลยเอามือดันหน้ามันออกไป

“ยอมแพ้ยัง “

มันถามผม แข่งอะไรกันตอนไหนฟ่ะ งง คงหมายถึง ให้ผมหยุดขัดขืนเหรอยังประมาณนั้นแหละ แต่ด้วย
สัญชาติญาณความดื้อของผม

“ยอมก็โง่อะดิ อ้ายกร้วกก “

“ไม่ยอมเหรอน้อง ได้เลย“ ไม่ว่าเปล่า มันเอื้อมมือลงเบื้องล่าง จับเข้าที่จุดยุทธศาสตร์ผมเต็มๆ ไม่จับเปล่า
ขยำอีกตังหาก เจอไม้นี้เข้าผมสะดุ้งเฮือก

“เฮ้ย ไอ้ลามก ไอ้เปรตนี่ ปล่อยน่ะเว้ย“ ผมด่ามัน แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยอีก

“โอ้โหแฮะ บาสน้อย ใหญ่ก่าเก่าอีกนะเนี่ย“ มันล้อผม

ผมตัดสินใจกัดไปที่แขนไอ้เป้ก เอาให้พอเจ็บ แต่มันด้านครับท่านผู้อ่าน มันร้องออกมาแต่ไม่ยอมปล่อยอีก ผมจึงกัดแรงขึ้น

“โอ้ย เลิกกัดซะทีเด๊ะ เป็นหมาเหรอไงว่ะ ไอ้บาส“ มันทุบหัวผม

“แออ้ออ่อยอ้าอิ (แกก็ปล่อยข้าดิ ) เอ่นแองอะอึง (เล่นแรงนะมึง) “ ผมตอบไป ทันใดนั้นมันก็เอาหน้ามาไซร้
คอผมโดยไม่ทันตั้งตัว

“อ้ะ “ ผมเผลอปล่อยแขนมันไป(จากการกัด) สาเหตุจากอะไรคงไม่ต้องพูดถึง นับแต่ลืมตาดูโลก ยังไม่เคยมี
ใครมาซุกไซ้อะไรงี้กะผมเลย ประสบการณ์แรกอันเแปลกใหม่ที่ไอ้เป้กประเคนให้ผมถึงกะตั้งตัวไม่ติด (ังั้นเชียว) ผม
เลิกดิ้นหันมานอนนิ่งแทน ไอ้เป้กเห็นผมหยุดขัดขืนคงได้ใจเลยไซ้ต่อซะเลย มือข้างที่มันจับเป้าผมเปลี่ยนมากุมมือผมไว้แทน จากคอมันเลื่อนมาที่ข้างแก้มผม ใบหู

“เฮือก“ เสียงถอนหายใจของผม ทำให้ไอ้เป้กมันรู้ว่ามันตรงเป็นตรงนี้แน่ๆ เสร็จกู เมื่อรู้จุดอ่อนของผม ไอ้
เป้กมันยิ่งไซ้แรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมทนเกือบไม่ไหว ต้องร้องห้าม

“ปะ เป้ก มันเสียวนะเว้ย ยะ อย่าาา“ พลางเอามือดันหน้ามันออก แต่อย่างว่าแหละ มือที่ดันมันเหมือนเอา
ไปแตะมากกว่า เพราะตอนนี้ผมหมดแรงแย้ว

มันปัดมือข้างที่ดันหน้ามันออก ผมลืมตาขึ้น บัดนี้สายตาผมกะสายตาเป้กผสานกัน (ปิ้งปั้งๆ) เป้กค่อยๆ
เลื่อนหน้าเข้ามาหาช้าๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้า ใกล้ ….. ใกล้เกินไปแล้ว ผมคิด กำลังจะอ้าปากห้าม แต่ไม่ทันซะแล้ว
ทันทีที่ปากผมอ้า ริมฝีปากเป้กก็ประกบเรียบร้อยโรงเรียนเกย์…

ึถึงแม้มันจะไม่ใช่จูบแรกของผม แต่มันก็เหมือนใช่ มันเหมือนจูบมากว่าที่พี่รัญทำกับผมเมื่อก่อนจากไป เมื่อก่อนถ้ามันทำยังงี้ ผมคงกัดลิ้นมันไปแล้ว แต่จิตสำนึกตอนนี้ ณ ขณะนี้ มันไม่ปฏิเสธความแปลกใหม่นี้ เป้กบดปากเข้าประกับกับปากผมหนักขึ้น คราวนี้มันเอาลิ้นเข้ามาด้วยคับ หว๋า เป้กใช้ลิ้นดุนเข้าไปความหาลิ้นของผม ผมลืม
ตัวเผยอรับการมาของลิ้นไอ้เป้ก เราจูบกันดูดดื่มอยู่ซักพัก เป้กถอนปากออกมาไซ้ใบหน้าผมต่อ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น
พลางคิดในใจ ผมกำลังจะทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ซักพักก็เรื่อยมาที่ซอกคออีกครั้ง เสียงหายใจของผมเริ่มถี่ขึ้น
แรงขึ้น

มือไอ้เป้กปลดกระดุม 2 เม็ดที่อยู่บนเสื้อผมแหวกออก พร้อมกับเลื่อนหน้าไปซุกไซ้บนหน้าอกผม เรื่อยไปที่หัวนมสีชมพู (มั้ง ) ดูดอีกตะหาก โอ้ย มันจะทรมานผมมากไปแล้วนะเว้ย … แต่ผมบอกออกมาเป็นเสียงครางแทน

“อะ อ่าาาา ปะ เป้ก พะ พอเถอะ จะไม ไม่ไหวแล้วววว“ ผมบอกมันตามความจริง พอได้ยินดังนั้น ไอ้เป้ก
หัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย กระซิบบอกผม …

“เสียวว ขนาดนั้นเลยเหรอน้องรัก “

จากนั้นกลับทำหนักกว่าเดิมอีก โอ้ว จอร์จ (ไม่มีความหมายแต่ประการใด) แค่มันไซ้ผมก็จะไม่ไหวแล้ว
คราวนี้มือมันครับ ปล่อยจากการกุมมือผม ล้วงเข้าไปในกางเกงเลยครับ (กล้ามากไอ้เวร) สัมผัสของมือไอ้เป้กทำ
ให้เจ้าบาสน้อยของผมที่แข็งโป้กอยู่แล้ว ยิ่ง…หนักกว่าเดิม ยังไม่พอครับ มันลูบจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน
ลูบวนๆ แล้วตวัด !!! (เอ๊ะ สรุปมันคือไร) เจองี้เข้า ผมดิ้นพล่านเลยคับ แต่ก็ยังไม่พ้นมือมารร้ายอยู่ดีคับ จนมันเห็นว่าผมไม่ไหวแล้ว หันมาประกบปากผมอีกรอบ ทำให้เสียงครางของผมรอดออกมาไม่ได้เลย ได้แต่อู้อี้อยู่อย่างนั้น มือมันก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีคับ ชำชองเหลือหลาย ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น ผมถึงกับกอดรัดไอ้เป้กอย่างรุนแรง แล้วก็…

ครึก ครึก ครื่นนนนน !!

ตู้มมมมม !! ภูเขาไฟระเบิด ??

หมดแรง ใช่ครับ มันยิ่งกว่าหมดแรงอีก กางเกงผมเปื้อนไปหมดเลย ไอ้เป้กถอนปากที่ประกบอยู่ มองผมซึ่ง
กำลังหอบ มันยกมือข้างที่พึ่งปฏิบัติการระเบิดภูเขาไฟขึ้นมาดู พินิจพิจารณา แล้วยิ้มๆ

“โห ไม่ได้ทำมานานล่ะซิเนี่ย ทำไมมันออกมาเยอะยังงี้วะ“

ผมไม่มีแรงจะเถึยงอะไรกะมัน ไม่รู้จะพูดอะไรออกมามากกว่า ได้แต่นอนหอบอยู่เฉยๆ ซะงั้น มันลุกขึ้นยืน คว้าแขนผมให้ลุกขึ้น แต่ผมไม่มีแรงจะลุก

“เฮ้ย ลุกขึ้น ไอ้บาส ไปล้างก่อนเร็วดิ นายจะนอนทั้งงี้เลยเหรอวะ “ว่าพลางลากผมเข้าไปในห้องน้ำ

“เด๋วพี่อาบน้ำให้นะน้องรัก “ ยังกล้ามาบอกผมอีก

ผมได้สติขึ้นมา “ เฮ้ย ไอ้บ้า ไอ้ลามก ทำไรวะ อาบเองได้เว้ย ออกไป“
“โถ ทำมาเป็นอาย เมื่อกี้ยังนอนครางกระเส่าอยู่เลยม่ะใช่เหรอ ฮึ “ มันหยอกผม แล้วปล่อยให้ผมอยู่ใน
ห้องน้ำ โดยที่มันเดินไปล้างมือแล้วออกไป ผมยังคงมึนๆอยู่ (มึนกามา) คิดไรสับสน

เราทำอะไรผิดไปเหรอเปล่า ผมพูดกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมผมถึงปล่อยให้เป้กมันทำแบบนี้ เพราะผม
พึ่งเสียใจเรื่องแพรเหรอ ผมถึงอยากมีใครซักคน หรือว่าไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ถ้าไม่ใช่เป้ก ผมก็คง
ไม่ยอมให้ใครมาทำงี้หรอก ใช่แล้ว ความรู้สึกนี้ โอ้ว จอร์จ (ไม่มีความหมายแต่ประการใด) นี่ผมรักไอ้เป้กใช่มั้ยเนี่ย..
ผมถึงยอมแบบนี้ … ความสนิทของผมกับไอ้เป้กมันก่อตัวขึ้น แล้วพัฒนาเป็นความรักใช่มั้ย




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ติดตาม บ้านพักอลวง the ZERO #6  ตอนต่อไป

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
และแล้วก็เรียบร้อยโรงเรียนเป้ก 555

Jeremy_F

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาอ่านครับ  :o8:

มาอัพทียาวได้ใจมากเลยย  o13

 :bye2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ISACBTMN

  • บุคคลทั่วไป
ยาวมากๆ

พี่รัญ ... เป็นไงละ เป้กคาบไปแล้ววว

mantdash

  • บุคคลทั่วไป
ยาวมากเลยครับ ถึงใจมากอิอิ :m1:

TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
ง่า น้องบาส เสร็จพี่เป้ก ซะแล้ว
 :oni1:
พี่รัญ ชักช้านัก กลับมาด่วน :angry2:

mazinga

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้ยาวสะใจมากๆๆเลย

สรุปเรื่องนี้ใครเป็นพระเอกกันแน่เนี่ย
จะเหมือนบ้านพักอันเดิมรึป่าวที่รักแท้แพ้ระยะทาง

pad_dfg

  • บุคคลทั่วไป
นั่นดิ

แต่ภาคนี้หื่นๆนะเนี่ย

แล้วก็รู้สึกว่าบาส จิตใจไม่มั่นคงเลยอะ

ไม่เหมือน ปริ๊นซ์เลย


ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
หื่นมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ตกลงต้องเสียตัวให้เป๊กก่อนชิิมิเคอะ

FOAM

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อแบบว่ายาววววววว จุใจมากมาย


เมื่อไหร่พี่รัญจามาหวา

Jeremy_F

  • บุคคลทั่วไป
อ่านทันแล้วค้าบบ 

จ๊ากกก!!! มีหลอนทุก 49วันหรือนี่    :sad3: :sad5: o22 o21

 :bye2:

SheRbEt

  • บุคคลทั่วไป

พี่รัญ กลับมาด่วนค่า

ไม่งั้นบาสเสร็จเป็กแน่เลย

Dangerous_patz

  • บุคคลทั่วไป
  :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:



เสดเป็ก แน่เรย




555+




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [Story] บ้านพักอลเวง the ZERO # 5 [ อัพดท 5/11/2551 ]
« ตอบ #1009 เมื่อ: 08-11-2008 10:46:24 »





LIZZ

  • บุคคลทั่วไป
เห็นทีจะเสร็จเป้กก่อนพี่รัญซะละ  :laugh:

Akiizz

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อเรวๆนะคับบ



สนุกจัง




ความรักกำลังจะเริ่มก่อตัว



พี่รัญกลับมาด่วนนนนน



 o13 o13 o13

Jeremy_F

  • บุคคลทั่วไป
รอ stp ครับ  :o11:

รอ พี่รัญ   :onion_asleep:

บาสทนอีกนิด  :impress:

 :bye2:

ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
โหยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ได้ไงเป้กๆๆๆอะ  แล้วพี่รัญยังไม่ได้อะไรขนาดนี้เลย นะบาสๆๆๆๆ

ออฟไลน์ LingNERD*

  • จบแล้ว...รักที่เคยมี *
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
เสดเป็กซะงั้น :a5:

tamkub

  • บุคคลทั่วไป

แหมม..!! "ไอ้เป๊ก" นี่มันหื่นจิงๆ

 o18
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2008 10:07:13 โดย tamkub »

pad_dfg

  • บุคคลทั่วไป
สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ

ลอยๆกระทง

ออฟไลน์ fulres

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 594
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อ่าว บาสทำงี้ แล้วพี่รัญ ล่ะ ม่ายยยยยยยยยย

tamkub

  • บุคคลทั่วไป
จะมาต่อมั้ยห๊ะ!!  :beat:

pad_dfg

  • บุคคลทั่วไป
ก็ยังคงรอต่อไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด