บ้านพักอลเวง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านพักอลเวง  (อ่าน 362345 ครั้ง)

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
บ้านพักอลเวง
« เมื่อ22-10-2006 20:36:44 »

**********************************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขอนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://thaiboylovestory.ueuo.com/webboard/index.php?topic=459.0


----------------------------------------------------------


บ้านพักอลเวง(เรื่องเล่า) โดย stayingpower
อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง

----------------------------------------------------------

Story-Part1
บ้านพักอลเวง

เรื่องเป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากประสบการณ์จริงบางส่วน
และเนื้อเรื่องส่วนใหญ่มีการผูกขึ้นมาและเขียนเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้กระทบ
ต่อบุคคลจริงๆ


โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน






เช้านี้เป็นเช้าที่ค่อนข้างขมุกขมัวในชีวิตเด็กนักเรียนม.4 ตาดำๆคนนึงที่มีอัน
ต้องหันเหเปลี่ยนทิศทาง

"ปริ้นไม่ไป … ปริ้นจะอยู่ที่นี่ !"! ผมตะโกนเถียงแม่ทันทีที่รู้แน่ๆว่าต้องย้าย
โรงเรียนแบบกลางอากาศ

"จะไม่ไป ก็ได้ แต่ปริ้นต้องหาที่อยู่ใหม่เองนะ !! พ่อเค้าจะขายบ้าน" แม่ผม
ตอบแบบเอือมระอาเต็มทีพลางแพ็คของกล่อง

"ผมจะไปอยู่กะไอ้อ้นมันก็ได้" (อ้นเป็นเพื่อนสนิทผมครับ มันอยู่หอแถวโรงเรียน)
ผมตอบ

"แล้วค่ากิน ค่าอยู่ ก็ต้องหาเองด้วยนะ" แม่หันไปหยิบแจกันใบโปรดบรรจงใส่ลง
อีกกล่อง

"แม่ … แกล้งปริ้นเหรอ" ผมชักเริ่มเดือด ผมไม่อยากย้ายโรงเรียนโว้ย โรงเรียน
ที่ผมอยู่มาเกือบ 5 ปี ผมไม่อยากไปเริ่มใหม่ที่ไหนนี่

แม่หันมาด้วยสีหน้าถมึงทึงทันที

"ไม่ได้ว่าแกล้งปริ้น แต่แม่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ แม่ให้ปริ้นตัดสินใจเอาเอง
ว่าจะไปอยู่กับยาย หรือ จะขนของย้ายไปอยู่กับเจ้าอ้น …
แล้วแกก็ไม่มีสิทธิมาตะคอกใส่ ชั้น แบบนี้ … ชั้นเป็นแม่แกนะ !!"

"แม่อ่ะ ….". ผมโอดครวญ เงินเดือน partime ของเด็ก ม. ปลายที่ไหนจะพอกับ
ค่ากินค่าอยู่ในเมืองกรุงแบบนี้ล่ะวะครับ

* * * * * * * * * * * *

"อ้ายยยยอ้น มึงช่วยกูคิดหน่อยดิ กูไม่อยากย้ายไปบ้านนอกอ่ะ" ผมรีบโทร
ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนยามยาก

"แล้วมันไกลจากกรุงเทพมากเหรอวะ กร๊อบ" ไอ้อ้นถามผม แว่วได้ยินเสียงขนม

"ก็ไม่ไกลมาก 2 ชม ถึง … ว่าแต่ สัดดด มึงตั้งใจฟังกูพูดป่าววะ"

"เออ ฟังอยู่ แต่แม่มึงก็จัดการทีเรียนใหม่มึงเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ มึงก็บอกกูอยู่ - -"


กร๊อบบ

"แล้วมึงจะเอาไงต่อ ?"

"ยังไม่รู้วะ เออๆ มึงแดกต่อไปล่ะกัน กูไม่กวนมึงล่ะ" ผมชักเริ่มโกรธและ
มันไม่เข้าใจความรู้สึกของผมบ้างเลย


* * * * * * * * * * * *

ไปๆมาๆ ผมก็ต้องยอมจำนนกับทุกๆเรื่อง ผมจำเป็นต้องพรากจากสถานที่
ผูกพันมาถึงเกือบครึ่งทศวรรศ มาปักหลักและเริ่มต้นอยู่ ณ โรงเรียนต่างจังหวัด
แห่งใหม่ กับผู้เป็นยาย เนื่องมาจาก พ่อของผมจำเป็นต้องย้ายไปรายการอยู่
จังหวัดทางภาคเหนือ แม่ก็ต้องตามไปด้วย

แต่ … ทำไมเค้าไม่พาผมไปด้วยก็ไม่รู้ เค้าคงมีเหตุผล และนี่ก็เป็นสาเหตุที่
ทำให้ผมต้องมาเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่น ณ ที่แห่งนี้

ผมเป็นคนที่ติดเพื่อนมากครับ ใครๆก็รู้ (แต่คุณอาจจะพึ่งรู้ตอนนี้ แฮะๆ)
เพื่อนเฮไปไหน ผมก็เฮตาม เพื่อนมีอะไร
ใช้ ผมก็พยายามทำให้ อันเนื่องจากผมพอจะมีหัวสมองที่ดีกว่าคนอื่น
นิดหน่อย

"เฮ้ย … ไว้วันเสาร์ อาทิตย์ มึงก็นั่งรถมาหาพวกกูก็ได"้ ไอ้อ้นบอกผมก่อนจะ
เดินทาง

"แค่ 2 ชั่วโมงเองนิมึง …."

"เออ "

ผมตอบได้แค่นั้นครับ เพราะเอาเข้าจริงๆ ใจมันก็แป้วๆเหมือนกัน ไปอยู่ที่โน่น
มันต้องไม่มีอะไรให้ทำแน่เลย ไม่มี เจเจ ให้ซื้อเสื้อแนวๆ ไม่มีพันทิพย์ให้ซื้อ
เอ็มพี 3 ไม่มีสะพานพุทธให้ซื้อของมือสอง =*=

เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ผมก็เดินทางมาถึงบ้านหลังใหม่โดยสวัสดิภาพ
จริงๆแล้วบ้านหลังนี้ ผมก็เคยมาค้างบ้างแล้ว เพราะทุกเดือนเมษา หรือปีใหม่
พ่อแม่ก็จะพามาเยี่ยมยายเป็นประจำ แต่นั่นมันก็แค่ชั่วคราว แต่นี่ ผมต้องมา
อยู่ประจำแล้ว

ไม่รู้ว่าจะเป็นเหตุผลนี้เหรอป่าว จากที่รู้สึกคุ้นเคยบ้านหลังนี้ กลับรู้สึกแปลกออกไป
สภาพบ้านผม ขออธิบายก่อนว่า บริเวณของบ้าน จะมีบ้านใหญ่ กะบ้านเล็ก
ซึ่งมองเห็นกันได้ บ้านหลังใหญ่ ก็จะมียาย แล้วก็พี่เลี้ยงสองคน คนงานอีก 4 – 5 คน
อาศัยอยู่ ปกติแล้วผมกับที่บ้านจะพักที่บ้านใหญ่ แต่พอผมต้องมาอยู่ที่นี่ คุณยาย
ท่านก็เมตตาให้ผมไปอยู่ที่บ้านหลังเล็กคนเดียว บ้านเล็กนี้ คุณตา
ผมจะชอบมานั่งมานอนประจำ ท่านเสียไปได้ก่อนผมมาประมาณ 2 ปีแล้ว

"ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอยาย ขี้เกียจไปจัดบ้านใหม่อ่ะ" ผมตอแหลสุดๆ เพื่อจะได้ไม่
ต้องไปอยู่คนเดียว

"ยายให้คนงานทำความสะอาดแล้วเรียบร้อยแล้ว ปริ้นไม่ต้องจัดอะไรใหม่หรอก
แค่เอาเสื้อผ้ายัดใส่ก็แค่นั้นเอง"
ยายผมบอกด้วยความเอ็นดู … แล้วก็ไม่ต้องกลัวตาเค้านะลูก เค้าไม่มาทำอะไรเอ็ง
หรอก

อ้าว สมกะเป็นแม่ของแม่กรูจริงๆ รู้ทันซ้า



* * * * * * * * * * * *


เหอ ผมครางในลำคอเบาๆ เมื่อเดินเข้ามาภายในบ้าน

มันก็ไม่ได้มีอะไรแย่อย่างที่คิดหรอกครับ ทุกอย่างดูลงตัว เรียกว่า น่าจะอยู่
สบายๆด้วยซ้ำ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องครัวไม่ต้องเพราะต้องไปกินกับยาย
แล้วที่ไฮโซที่สุด ระหว่างที่ผมเดินๆสำรวจ ก็คือมีห้องใต้ดินครับ
(โอ้ว ออกแนวไซไฟมากๆ) อยู่ในห้องที่ผมนอนด้วย !?

"ลุงสนๆ มีห้องใต้ดินด้วย !?" ผมถามลุงคนงานที่ขนของมาให้ ตรงพื้นที่ผมจับอยู่มันมีเหมือนตะขอจับ (คงพอนึกออกนะคับ)

"อืมม มีมานานแล้วครับ มีตั้งแต่คุณทวดคุณหน่ะ เป็นหลุมหลบภัยสมัยสงคราม
โลกครั้งที่ 2 โน่น" ลุงสนพูดไปก็จัดของไปด้วย ต่างจากผม ซึ่งยืนฟังอยู่เฉยๆ
(กินแรง)

"คุณตาคุณเห็นว่าไม่ได้ใช้ทำอะไร ก็เลยทำมาเป็นห้องเก่าของหน่ะ แต่อย่าเข้า
ไปเลยครับ ฝุ่นเยอะ … ตัวอะไรต่ออะไรมีมั่งก็ไม่รู้ ลุงก็ไม่ได้ไปทำความสะอาด
ข้างในเป็นปีแล้ว"

ลุงแกก็บ่นไปตามประสาคนแก่ แต่วัยเลือดร้อนอย่างผม กลับกระหายใคร่รู้ครับ
เหอๆ

พอจัดของเสร็จ ลุงแกก็แนะนำอะไรรอบๆบ้านอีกนิดหน่อย พร้อมกับบอกเวลา
ที่จะต้องไปกินข้าวกี่โมง อะไรยังไง โห กฎระเบียบเยอะชิบหาย

พอลุงสนเดินลับตาไป ผมก็เข้ามาในบ้าน คงไม่ต้องสงสัยหรอกว่า อยากจะ
ทำอะไรเป็นอันดับแรก

แกร็ก แกร็ก ….. แอ๊ดดดดดดดด

แปลกแฮะ ไม่ได้เปิดเข้ามาเป็นปี แต่ทำไมมันเปิดง่ายจังวะ ผมคิดในใจ
แล้วค่อยๆยกให้ประตูเปิดมากขึ้น เพื่อจะได้สอดตัวลงไปได้

ข้างในมืดมากครับ ผมมองไม่เห็นบันไดที่ทอดยาวลงไป จึงได้แต่เอาเท้า
ค่อยๆแตะทีละขั้น ทีละขั้น ทีละ - -

"เชี่ยยยยยยย" ผมอุทานได้ไม่ถึงครึ่งคำ ตัวผมก็เสียหลัก ล้มกลิ้งลงไป

"อั๊กกก" ตัวผมกระแทกลงบนพื้นไม่เป็นท่า

"โอยยย" ผมค่อยๆยันตัวขึ้น สายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้เล็กน้อย
จนพอมองเห็นอะไรลางๆ มือเริ่มคลำสะเปะสะปะ จนรู้สึกว่าไปปัดของ
บางอย่างเข้า

เพล้งงงงงงงงงงงง … เสียงดังกังวานมากจนผมตกใจ

คุณตาจ๋า อย่ามาหลอกหลานเลยนะ พ้มมไม่ได้ตั้งใจง่ะ ว่าแล้วผมก็รีบเผ่นขึ้นบน
ห้องด้วยความทุลักทุเล

แอ๊ดดด ปึ้งง ผมค่อยๆงับบานประตู แล้วก็มาสำรวจตัวเอง

"ก็อีกประมาณอาทิตย์นึงคับ เปิด 15 นี้อ่ะ"

"เดี๋ยวอีก วันสองวัน ยายจะให้คนพาไปดูโรงเรียนนะ"

"ทำไมต้องไปดูด้วยล่ะยาย "

"แล้วปริ้นไปถูกเหรอป่าวล่ะ ?"

"ไม่ถูกครับ =_='' ’’ ผมนึกว่าจะมีคนไปส่งซะอีก

"ที่นี่ไม่มีคนขับรถ เวลาหลานจะไปโรงเรียน ก็ต้องนั่งรถไปเรียนเอง"
ยายผมเน้นเสียงคำว่า ไม่มีคำขับรถ และ คำว่า ไปเรียนเอง

ผมมีคำว่า - เอ๋ - ในใจ

"โรงเรียนไม่ได้อยู่แถวบ้านเหรอครับ" ถามด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

ยายมองผมแว่บนึง แล้วก็บ่นอะไรออกมาซักอย่างที่จับใจความไม่ได้

"โรงเรียนอยู่ในเมืองหลาน "

แม่จ้าววววว แล้วพ่อแม่ผมให้มาอยู่กับยายทำมายยยย อันนี้ผมคิดนะ
หน้าเริ่มงอหน่อยๆ

"แล้วผมต้องไปยังไงล่ะ"

"ขึ้นรถ ป 2 หน้าบ้านนี่ล่ะ ประมาณชั่วโมงนึง" ยายบอกผม

"ผมต้องไปเองเหรอยาย" ผมถามอีกรอบ เสียงขุ่น

"หลานเอ้ย ที่นี่ไม่สะดวกสบายเหมือนในกรุงเทพหรอก" ยายผมบอก
แล้วก็เดินกลับเข้าไปที่ห้อง งั้นก็ถึงคราวผมไปสงบสติอารมณ์บ้างแล้ว
เลยตั้งท่าจะกลับไปบ้านเล็ก ลุงสนก็เดินเข้ามาบอกผมว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้
จะให้แกมารับผมไปดูโรงเรียนใหม่

"ครับลุง แล้ว - - - " ผมว่าจะถามอะไรบางอย่าง ลุงแกก็ชิ่งเดินหลบไปก่อน
เออ คนบ้านนี้แมร่งเป็นไรวะ เย็นชากะกูจริง


* * * * * * * * * * * *

"เออ กูเซงวะ ไอ้อ้น กูเบื่อๆๆๆ" ผมได้ทีบ่นให้ไอ้เพื่อนรักฟังทางโทรศัพท์
ถ้าไม่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ ผมว่าผมตายแน่

"เฮ้ย มึง ยังไม่เปิดเทอมก็เงี้ยล่ะ เด๋วพอเปิดเทอม มีเพื่อนใหม่ มึงก็ซ่าเหมือนเดิม "

"กูเคยซ่าเหมือนมึงตอนไหนวะ"

"เออๆๆ มึงอ่ะมันเด็กเรียน ในกลุ่มเด็กเลว"

"สาดดด กูยิ่งกลุ้มๆอยู่ ยังมากวนตีนกูอีก"

"เอาน่ามึง พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว .. มึงคิดไรมาก เด๋วมึงก็ชิน" มันคงเป็นคำปลอบใจ
ที่ดีที่สุดแล้วล่ะ สำหรับผมในตอนนี้

เพื่อนๆคงจะเป็น ว่าเวลาไปนอนแปลกที่ มักจะนอนไม่ค่อยหลับ
ยิ่งบรรยากาศบางอย่างรอบๆตัว ยิ่งดึกเท่าไร ก็ยิ่ง
น่าขนลุกมากขึ้นเท่านั้น บริเวณบ้านต้นไม้จะเยอะมากคับ เยอะจนบางทีก็รู้สึกว่า
เหมือนมีตัวอะไรโยกไปโยกมาอยู่ เมื่อมองผ่านหน้าต่าง

ตี้ดดด ตี้ดดด

"ฮาโหลลล ครายยยย ว้า" เสียงไอ้อ้นดูเหมือนมันหลับแล้ว

"เฮ้ย อ้น คุยเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ"

"คูยย เหี้ยอาไร ป่านนี้ "

"เออ คุยกะกูก่อนให้กูหลับก่อน นะ นะ" ผมบอก

"สัดดดดด" แล้วมันก็ตัดสายไปครับ ไอ้เพื่อนเชี่ยเอ้ยยย ไม่ช่วยกูเล้ย
แต่ผมก็ทนความกลัวไปได้ซักพัก แล้วก็ผล่อยหลับไป

"อือออ อืออออ"

ในพะวัง หรือจะเรียกว่าอะไรซักอย่าง ผมรู้สึกว่าเหมือนมีใครจ้องมองอยู่
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรมากมาย

จนรู้สึกว่า ไอ้สิ่งๆนั้นมันเหมือนเข้ามาใกล้ตัวผมเรื่อยๆ

"อือออออ …". พยายามจะปัดเป่าความงัวเงียออกจากตัวผม
แต่สงสัยเพราะการเดินทางตลอดวัน ทำให้รู้สึกอ่อนเปลี้ยไปหมด

"ครายยยยยวะ …"

ผมพูดได้แค่นั้น แล้วก็รู้สึกเจ็บจี้ดที่ใบหน้า

"โอ๊ะ !?!?"

ในห้วงความฝัน ผมคิดไปว่า สงสัยวิญญาณตาผม คงจะมาเล่นงานที่ผมทำ
ของที่ห้องใต้ดินแตกแหง่มๆ
แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนเหอะ กรูง่วงมาก..

ตื่นมาเช้าวันนั้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องตกใจคับ

หน้าผมมีรอยแดงเป็นปื้นเลย รอยมือคนนี่หว่า ? ใครทำกรูว้า……แสดดดด


*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2011 22:26:32 โดย เตอิงเรนเจอร์ »

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #1 เมื่อ22-10-2006 20:38:45 »

“หน้าไปโดนอะไรมาห่ะ” ยายดันสังเกตเห็นรอยแดงในระหว่างการกินมื้อเช้า

“ไม่รู้เหมือนกันคับ สงสัยตอนนอนหน้ามันไปกดกับหมอน มั้ง .. ” ผมตอบ แต่มันเจ็บด้วยนี่ซิ อธิบายด้วยเหตุผลไม่ถูก

“เดี๋ยวนายสนเค้าจะให้เจ้าโอ้ตพาปริ้นไปดูโรงเรียนนะ” ยายผมบอก โอ้ตนี่คงเป็นลูกลุงสนล่ะมั้ง ว่าแต่ทำไมพ่อชื่อสน ลูกชื่อโอ้ตวะ ช่างมันๆ ซักพักผมก็กลับมาที่บ้านเล็ก สายตาก็เหลือบไปมองประตูลงไปในห้องใต้ดิน

ว้า ผมกะว่าวันนี้ตั้งใจจะลงไปสำรวจดูซะหน่อย แต่ไม่เป็นไร เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้วะ ว่าแล้วผมก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีแต่ชุด นร เก่านี่หว่า แล้ว รร ใหม่ก็ใช้กางเกงสีน้ำตาลด้วย ฮ่วยๆๆ ไม่ชอบเล้ยยย (ความคิดตอนนั้นนะ ฮะๆ อย่าพี่งด่าผม)

ผมรอไปประมาณครึ่งชั่วโมง กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในห้อง พี่แกก็ไม่ยอมมาซะที ผมก็เลย …. หลับ เหอๆ

“คุณปริ้น ….”

“ฮ้ะ … คร๊าบบบ” ผมงัวเงียตอบไป

“คุณปริ้น คือผมมารับคุณไปโรงเรียนครับ - - - เออ ผมว่าล้างหน้าก่อนไปดีกว่านะ” ผมลืมตาขึ้นก็เห็นหนุ่มน้อยหน้าเข้มคนนึงยืนยิ้มอยู่ที่หน้าห้อง

“เออ ครับ” รู้สึกอายๆ ที่มีคนมาเห็นสภาพที่ดูอนาถตอนนอน แล้วก็รีบเอามือไปปาดน้ำลายที่ปาก

เวนนน นอนน้ำลายยืดด้วยกู

หลังจากไปจัดตัวเองให้เข้าที่เข้าทางใหม่อีกรอบ คนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นพี่โอ้ต ก็เดินนำผมไปที่รถ

“พี่เป็นลูกลุงสนเหรอ ? ” ผมถามอะไรโง่ๆเพื่อความแน่ใจ เพราะผมนึกว่า ลูกลุงน่าจะดูแก่กว่านี้อ่ะ ดูคนๆนี้น่าจะอายุไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ

“ครับ”

“เออ พี่ไม่ต้องพูดว่า ครับ ก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องเรียกผมว่า คุณ หรอก มันแปลกๆอ่ะ ”

“ไม่ได้หรอกครับ ก็คุณเป็นหลานเจ้านายของพ่อผมนี่ครับ” ว่าแล้วพี่แกก็ส่งยิ้มแบบมีมารยาทให้ผม แล้วก็ออกรถ พี่โอ้ตจะค่อนข้างจะพูดเหน่อครับ เหน่อแบบเป็นเอกลักษณ์ของคนจังหวัดนี้อ่ะ ฟังแล้วแปลกๆดี

“แล้วตอนนี้พี่เรียนอยู่ป่าวคับ”

“ผมก็เรียนอยู่ที่เดียวกับที่คุณปริ้นจะเรียนนี่ล่ะคับ แต่ผมเรียน ม.6 ”

“อ้าว … จริงดิ งั้นก็ห่างกันแค่ปีเดียวอะดิ งั้นเราเรียกนายว่าโอ้ตเฉยๆล่ะกัน ได้ป่ะ” น่าน ได้ทีผมปีนเกลียวคับ หุหุ

“ก็แล้วแต่คุณครับ แต่ - - -”

“แล้วนายก็ต้องเรียกเราว่า ปริ้น เฉยๆด้วย” ผมรีบพูดขัด

“คิดดูเด๊ะ อยู่โรงเรียนเดียวกัน แล้วนายมาเรียกเราว่า คุณปริ้น ไรงี้ เราอายตายชัก เราไม่ใช่คุณหนูนะเว้ย”

พี่โอ้ตแสดงความรู้สึกลำบากใจออกมานิดหน่อย

“แต่ว่า ถ้าคุณ - - - ”

“ก็ถ้าอยู่ที่บ้าน นายจะเรียกยังไงก็แล้วแต่นาย แต่อยู่ที่โรงเรียน ก็เรียกตามนี้ล่ะกัน” ผมพูดตัดบท

“เครนะ”

“อะไรเครครับ ? ”

“หมายถึง โอเค”

“อ่อ โอเค ”

โอ้ตเอานิ้วเกาแก้มตัวเองเบาๆ แสดงอาการเขิน เออ น่ารักดีแฮะ ……………….. ว่าแต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าการกระทำม่ะกี้ของโอ้ตมันดูน่ารักว้า


* * * * * * * * * * * *

ประมาณครึ่งชั่วโมงเอง โอ้ตก็พาผมขับรถมาจอดอยู่ด้านข้างโรงเรียน เพราะว่า เค้าไม่อนุญาตให้นักเรียนขับรถเข้าไปได้ฮะ แล้วโอ้ตก็พาเดินไปดูรอบๆโรงเรียน ว่าตึกไหน เป็นตึกไหนแบบคราวๆ ซึ่งปกติแล้ว ถ้าผมเข้ามาช่วง ม 1 หรือ ม 4 เนี่ย เค้าก็จะมีปฐมนิเทศแล้วพี่ๆ ก็จะพาแนะนำ แต่ผมดันมาเข้ากลางอากาศตอน ม 5 เลยต้องมาพึ่งโอ้ตนี่ล่ะ

“โรงเรียนเก่าปริ้นเป็นโรงเรียนชายล้วนใช่ป่ะ” โอ้ตถามผมหลังจากเดินมาถึงที่ที่เรียกว่า ตึก 5

“อือ มีแต่ผู้ชาย” (ก็ต้องงั้นอยู่แระ)

“ที่นี่ก็เคยเป็นชายล้วน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสห หมดแล้ว ”

โห เสียดายแย่เลย เอ้ย ม่ายช่าย

แต่ที่นี่ยังพิเศษกว่าโรงเรียนอื่นอีกนิดหน่อย .. โอ้ตยิ้ม แล้วก็เดินนำไปด้านหลังอาคาร มันเป็นสวนป่าครับ แล้วก็มีน้ำตกที่สร้างขึ้น แล้วก็ …. ภูเขา

“เฮ้ยยย มีภูเขาติดโรงเรียนด้วยอ่ะ ไฮโซโคดๆ” ผมออกอาการดี๊ด๊า เพราะไม่เคยเห็น

“ช่ายยยย” โอ้ตมันพูดแบบภูมิใจ จะลองปีนขึ้นไปดูมั้ย


“เค้าให้ปีนขึ้นไปได้ด้วยเหรอ ? ”

“เวลาปกติก็ห้ามอยู่แล้ว แต่นี่มันปิดเทอมอยู่น่ะ แต่เวลาเปิดเรียน เด็กมันก็โดดออกทางนี้ประจำล่ะ” อ่าเป็นข้อดีของการมีเขาติดหลังโรงเรียน แล้วโอ้ตก็นำผมไปเจอขุมทรัพย์ของชีวิตนักเรียน (โดดเรียน) มันเป็นพื้นชันๆขึ้นไปบนเขา แต่ดูแล้วมีรอยถากถาง แล้วก็เหมือนถูกใช้มาหลายรุ่นแล้วล่ะ

“รู้ทางกะเค้าด้วยแฮะ”

“55 ก็เคยขึ้นไปเหมือนกันนี่นา - - -” โหย เห็นหน้าแบบนี้ โดดกะเค้าด้วยนี่หว่า

“- - - แต่ว่าขึ้นไปจับไอ้พวกเด็กที่มันโดดนะ พอดีโอ้ตเป็นกรรมการนักเรียน”

แป่ว หน้าแหก

“แล้วงี้ ถ้าเราโดดบ้าง โอ้ตจะจับป่ะ ? ”

โอ้ตทำหน้าเจ้าเล่ห์ ซึ่งไม่ค่อยจะเคยเห็น “จับดิ”

ผมแกล้งทำหน้างอใส่

“ป่ะขึ้นไปดูข้างบน” โอ้ตบอกพลางเดินนำขึ้นไปบนทางชัน

“แน่ใจนะเราขึ้นไปแล้วมันจะไม่ร่วงลงมา” ผมถามเพราะว่าไม่เคยปีนเขามาก่อน

“ถ้าร่วงเดี๋ยวโอ้ตรับเอง ไม่ต้องกลัว” โอ้ตบอก แล้วก็ยื่นมือมาหาผม

หงึบ

อึ้งไปแว่บนึง พร้อมกับความผะผ่าวที่ใบหน้า แต่ก็ยื่นมือไปจับมือโอ้ตไว้ พยุงตัว

“ขะ ขอบใจ” ผมยิ้มให้ แล้วก็โอ้ตก็ยิ้มตอบกลับมา

อะไรบางอย่างที่ซับซ้อนมากกว่าคำว่ามิตรภาพกำลังจะเริ่มขึ้น(เหรอป่าว ?)


* * * * * * * * * * * *

“อีกนิดเดียวปริ้น” โอ้ตบอก พร้อมกับดึงมือผม ซึ่งตอนนี้รู้สึกว่า อยากจะนอนมันอยู่แถวๆนั้น แทนที่จะปีนขึ้นไปด้านบนแล้ว (ถ้าเป็นตอนนี้ แค่ 10 นาทีคงถึง)

“คุณพี่ค๊าบ ผมขอพักตรงนี้ก่อน”

“เดี๋ยวอีกนิดก็ถึงแล้ว” พลางฉุดมือผมขึ้นมาด้วยความยากเย็น

ซักพัก ด้วยความพยายามของผม (และโอ้ต) ก็ทะลุออกมาเป็นถนนที่ทำไว้ให้รถยนต์ขึ้นไปจอดบนเขาได้

“ทางเรียบแล้ว เดี๋ยวเดินไปอีกนิดก็จะถึงแล้ว” โอ้ตว่า

“เหนื่อย” ผมบอก

“ว่าแล้ว .. เด็กกรุงเทพก็เงี้ย สู้เด็กตจว อย่างโอ้ตก็ไม่ได้ ”

แล้วโอ้ตก็เดินขึ้นไปต่อ โดยไม่คอยผมครับ ใจร้ายมากกก

ผมพยายายามตะเกือกตะกายเดินต่อ จนออกมาเห็นเป็นลักษณะของพระราชวังที่ตั้งอยู่บนยอดเขาครับ โอ้ตพาผมซื้อน้ำที่มีขายอยู่ข้างบน แล้วก็พาขึ้นไปนั่งพักอยู่บนที่ๆเค้าใช้เป็นหอดูดาวสมัยก่อน อยู่บนนี้ ลมพัดเย็นมากจนหายเหนื่อยไปเลย โอ้ตชี้ให้ดูนั่นดูนี่อีกหลายอย่าง ดูท่าทางมีความสุขมาก ผมก็มีความสุขมากเช่นกัน แต่ไม่แบบอธิบายไม่ถูก แฮะๆ

เราพี่น้องเดินวนไปวนมาจนกระทั้งเกือบเย็น เพราะว่าอะไรๆก็ดูประทับใจผมไปซะทั้งหมดบนนี้ แล้วก็ดูเหมือนว่า ขาลงก็ง่ายดายกว่าขาขึ้นมาก ผมแค่ระวังไม่ให้ตัวดิ่งลงไปเร็วจนเกินไป จนทำให้หน้าทิ่มดินแล้วก็กลิ้งๆลงมา แค่นั้นเอง

“หนุกมั้ย” โอ้ตถาม ผมรู้สึกว่าโอ้ตเริ่มจะคุ้นเคยกับการไม่พูด คุณ กับ ครับ กับผมแล้ว

“มากๆอ่ะ ”

“แต่ตอนเรียน ห้ามโดดขึ้นไปเลยนะ” โอ้ตรีบปราม เพราะไม่งั้น - - -

“คุณพี่โอ้ตก็จะจับผมไปขึ้นห้องปกครองใช่ป่าว”

โอ้ตหันกลับมายิ้มกริ่ม ใบหน้าแสดงความพอใจ

“อยากรู้ น้องปริ้นก็ลองดิครับ ”

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #2 เมื่อ22-10-2006 20:39:26 »

หลังจากวันที่โอ้ตพาผมไปโรงเรียนวันนั้น เกือบทุกวัน โอ้ตมันก็จะมารับผมไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นทะเลครับ หัวหินเอย สวนสนเอย สนุกสนานมาก ตอนเช้าตื่นมา ก็เตรียมตัวมีหนุ่มมารับออกไปเที่ยว กลับมาตอนเย็น ก็เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรแล้ว .. เป็นอย่างนี้มาจนพรุ่งนี้จะเป็นวันเปิดเทอมแล้ว ผมก็มีอันนึกได้ว่ายังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าเลย

“โอ้ต เรายังไม่ได้ซื้อเสื้อเลยวะ”

“ทำไมพึ่งมาบอกตอนนี้เนี่ย” โอ้ตมันทำเสียงประณาม

“เอาน่า เป็นครายกันจะมาเทศนาเรา” ผมหลุดปากออกไปโดยไม่ทันได้คิด โอ้ตดูซึมไปเลย

“เออ เราขอโทษ คือ เราพูดเล่น” ผมเดินไปกอดคอโอ้ต ทำทีเป็นล้อเล่น แต่โอ้ตมันกลับจับมือผมออก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” แล้วมันก็เดินไปที่รถ

อ้าวเว้ยเห้ย งอนซะงั้น กรูขอโทษแล้วงายย

“ผมก็แค่ลูกคนใช้ในบ้าน คุณจะพูดยังไง ผมจะไปโกรธคุณได้ไง - - ขึ้นรถซิครับ จะพาไปซื้อ”

โอ้ตมันพูดยืดยาว แถมขัดจังหวะตอนที่ผมทำท่าจะอธิบาย ตอนนั้นผมรู้สึกแย่มากๆครับ ที่พูดอะไรแล้วไม่ทันคิด เป็นโรคปากไวแต่กำเนิด ทำไงได้อ่ะ - -‘

“เราขอโทษนะ หายโกรธยัง” ผมหันไปถาม เพราะแน่ใจว่ามันยังโกรธอยู่แน่นอน แมร่ง เล่นไม่พูดไม่คุยตลอดระยะเวลาที่มากับผมเลย

“ไม่ได้โกรธ” โอ้ตตอบแบบไม่หันมา “ - - - ครับ”

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องพูดครับ กับเรา แล้วดูทำหน้าดิ๊ อย่างกับตูด แล้วบอกว่าไม่ได้โกรธ” อ่า ผมชักเหลืออดครับ เพราะว่ารู้สึกชักจาเล่นตัวกะกรูแล้วนะมรึง


* * * * * * * * * * * *

“โอ้ตตต ”

ผมหันไปหาเสียงเรียก ก็พบว่า มีกลุ่มคนกำลังเดินเข้ามาทักทายโอ้ต คงเป็นเพื่อนเค้าล่ะ (แหงล่ะซิมึง) เป็น หญิง 1 ชาย 2

“ว่าไง” โอ้ตทักแบบไม่ค่อยสบอารมณ์

“มาทำไรวะ”

“มาซักผ้ามั้งมึง ”

โหกวนตีน

“เออ กูนึกว่ามึงมาชักว่าว ไอ้สาด ”

กวนตีนพอกัน

ผมยืนฟังเพื่อนๆเค้าทักทายกันซักพัก ก็มีคนหันมาสนใจผมซะที

“ใครอะโอ้ต” เสียงพี่ผู้หญิงถาม

“อ่อ เป็น - - -” โอ้ตเหมือนจะตอบไม่ออก

“ปริ้นคับ เป็นลูกพี่ลูกน้องพี่โอ้ตอ่ะครับ” ผมยิ้มตอบไป วิญญาณสะตอเข้าสิง “จะมาเรียนโรงเรียนพี่โอ้ตครับ”

“จริงดิโอ้ต พี่ผู้หญิงหันไปถามโอ้ต เอ้า ก็กรูพึ่งบอกไปหยกๆเนี่ย ม่ะเชื่อกรูเหรอ

“เออ”

“ฝน เห็นน้องเค้าน่ารักหน่อยนี่ ต่อมแรดออกเลยนะมึง” เสียงพี่ผู้ชายคนนึงแซว ผมก็หันไปมอง แล้วจากนั้นผมก็รู้จักทั้ง 3 คนครับ พี่ท็อป พี่ฝน พี่กล้า พี่ท็อปจะออกแนวเถื่อนๆ ตัวใหญ่โคตร ผมว่าโอ้ตตัวใหญ่แล้ว พี่ท็อปยังใหญ่กว่า ประมาณใหญ่และตัน พี่ท็อป ตัวพอๆกะผมครับ ขาวกว่า เป็นอาตี๋เลย แต่ก็พูดเหน่อเหมือนกะโอ้ต ดูดีเวลาทำหน้าเฉยๆ แต่เวลาพูดแล้วจาปากหมา ส่วนโอ้ตของผม(ตั้งแต่ม่ะไร)จะผิวสีแทนๆ ไม่ดำ ไม่ขาว ตัวสูง แต่ไม่ล่ำเท่าพี่ท็อป ที่สำคัญ น่ารัก ^^

คุยกันได้ซักพักนึง ก็แยกย้ายครับ เพราะเย็นพอควรแล้ว พวกเพื่อนโอ้ตอยู่ในเมือง แต่เราสองคน อยู่นอกเมืองคับ ต้องเสียเวลาเดินทางกลับอีก

กลับมาถึง ยายก็เรียกผมไปให้โอวาท พร้อมกะเทศอีกนึงดอก เพราะรู้ว่าผมพึ่งมาจัดหาของเอาวันสุดท้าย พร้อมกับบอกให้รีบนอน เพราะต้องรีบตื่นด้วย

“ทำไมนายต้องบอกยายด้วยอ่ะ แค่ไปซื้อเสื้อก่อนเปิดเรียนแค่นี้อีก” ผมพูดฉุนๆกะโอ้ต เพราะนึกว่ามันไปบอกยาย

“ผมไม่ได้บอกซะหน่อย” โอ้ตเหมือนจะอารมณ์เสียขึ้นมาบ้าง “ยายคุณถามพ่อผมต่างหากว่าจะผมพาคุณไปไหนวันนี้ ”

ว่าพลางกระแทกประตูใส่หน้าจ๋อยๆของผม หลังจากได้ไปกล่าวว่าโอ้ตไว้อย่างงั้น จะพูดขอโทษมันก็ไม่ทันซะแล้ว


* * * * * * * * * * * *


“คุณปริ้น ปริ้น ตื่นได้แล้ว”

เสียงโอ้ตดังเข้ามาในจิตสำนึก พร้อมกับแรงเขย่าตัว

“ขออีก 5 นาที” ผมว่าพลางซุกตัวเข้ากับผ้าห่ม

“ถ้างั้นผมจะบอกยายคุณให้มาปลุกเอง” มันพูดพร้อมทำท่าเดินออกจากห้องไปจริงๆ ท่าทางยังไม่หายโกรธจากมะวานแฮะ

“เง้ยย ตื่นแล้ว” ผมว่าพลาง ลุกขึ้นมาเกาหัว กี่โมง

“จะหกโมงเช้าแล้ว”

“โห จะรีบตื่นทำมายยย ขับรถไปแป็บเดียวก็ถึง”

“ขับไปไม่ได้ ต้องนั่งรถไปครับ”

“โห .. ” ผมโอดครวญ ที่ยายพูดไว้ตั้งแต่ตอนมาก็จริงอะดิ นึกว่าไม่ต้องนั่งรถเมล์กรุงเทพแล้วนะเนี่ย ต้องมานั่งรถเมล์ต่างจังหวัดอีก กำของกรู

ผมก็รีบพุ่งเข้าไปอาบน้ำทันที เพราะว่า ต้องนั่งรถไปใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงโรงเรียน ยายทำไมชอบทำไรให้ยุ่งยากด้วยว้า ผมวิ่งผ่านน้ำออกมา ก็พบว่ามีเสื้อนักเรียนใหม่เอี่ยม แขวนไว้บนตู้เสื้อผ้า แต่โอ้ตไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว

อ่ะ ผมเข้าไปสังเกตเห็นตรงหน้าอก มีชื่อโรงเรียน แล้วก็ชื่อผมปักไว้แบบหยาบๆ

“โอ้ต” ผมคราง มันปักชื่อให้เราเหรอเนี่ย งั้นม่ะคืนก็ไม่ได้นอนเลยอะดิ ความรู้สึกผิดม่ะวานยังไม่หาย แต่เช้านี้มันยิ่งมากขึ้นมาอีกครับ ระหว่างรอรถป 2 ผมกะโอ้ตก็ไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ก็แอบสังเกตคับ ว่าโอ้ตมันหาวบ่อยมาก ผมจะพูด ก็ปากหนัก ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี จนได้ขึ้นรถ รถก็แบบว่า โคตรเต็มครับ ทั้งคนทำงาน ทั้งเด็กนักเรียน ทั้งเด็กเทคนิค เด็กอาชีวะ เด็กราชภัฏ โอ้ว จนผ่านไปเกือบ 30 นาที ก็มีที่นั่งว่างอยู่

“ปริ้นไปนั่งซิ”

ผมส่ายหน้า แล้วก็รีบดันตัวโอ้ตให้ไปนั่งแทน มันก็ทำหน้างงๆ

“นายนั่งไปเถอะ ม่ะคืนไม่ได้นอนทั้งไม่ใช่เหรอ ? ” ผมพูดแบบจับผิดครับ ไม่รู้ว่าทำไปทำไมเหมือนกัน แต่โอ้ตก็แบบหลบตา ทำหน้าแดงๆ

“อือ งั้นพอเห็น เด็กลงกันแล้วก็ปลุกด้วยนะ” ว่าพลางชี้ไปที่ นร ที่เห็นว่าอยู่โรงเรียนเดียวกัน

“ได้” ผมยิ้มตอบ คงเป็นสิ่งผมตอบแทนได้ดีที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะ ไม่ถึง 5 นาทีคับ มันหลับไปจริงๆเลยอ่ะ หัวก็โงกเงกไปเกือบจะชนคนที่นั่งข้างๆ ดูเค้าทำสีหน้ารำคาญชอบกล ผมก็เลยค่อยๆจับหัวโอ้ตไว้ มาซบที่พุงของตัวเอง ลมหายใจของโอ้ตสัมผัสกับนิ้วผมเบาๆ

อ๊างงงง ทำไมผมรู้สึกมีความสุขแบบนี้วะ ไม่เข้าใจเลย แต่ที่ทำให้ผมตกใจ ก็คือ ผมเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆที่มือของโอ้ตคับ เลยจับเบาๆ ปรากฏว่า เป็นรอยเข็มทิ่มคับ นาทีนั้น ผมรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นรอบๆดวงตา

ไม่น่าไปพูดดูถูก ไม่น่าจะเอาแต่ใจ ไม่น่าเถียงโอ้ตเลย ทั้งๆที่เค้าทำดีกับผมขนาดนี้

“โอ้ต” ผมกระซิบเหมือนให้ตัวเองได้ยินคนเดียว

“ขอบคุณนะคับ”

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองเหรอเปล่า แต่โอ้ตมันกระตุกตัวนิดนึง ก่อนที่จะนิ่งไปเหมือนเดิม ( ไม่ได้แน่นิ่งนะว้อย)

* * * * * * * * * * * *

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง

เสียงสัญญาณดังไกลๆ ว่าผมกะโอ้ตต้องรีบวิ่งเข้าโรงเรียนแล้ว ระยะห่างระหว่างหน้าประตูโรงเรียนกะที่เข้าแถวมันไกลกันพอสมควร ประมาณเกือบ 2 สนามบอล

“แล้วเราต้องไปเข้าแถวตรงไหนอ่ะ” ผมดูว้าวุ่นใจเมื่อเห็นว่า นร แต่ละคนก็มีจุดหมายที่วิ่งไปทั้งนั้น แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ไหน

“เออ …” เฮ้ย อย่าบอกนะว่ามึงก็ไม่รู้

“เดี๋ยวพาไปฝากอาจารย์ไว้ก่อนล่ะกัน ”

อ้าวเวร

ซักพักหลังจากที่เคารพธงชาติเสร็จ สวดมนต์ แผ่ส่วนกุศล แล้วก็มีคนมาพูดๆ จนเด็กเหงื่อตกเสร็จ ก็ได้เวลาแยกย้ายไปเรียนคาบ 1 แต่ผมยังอยู่ที่ห้องวิชาการอยู่เลย มีปัญหานิดหน่อย

“ตอนผมสมัครไว้ ผมเลือกสายศิลป์นะคับ ผมบอกกับอาจารย์หลังจากที่รู้ตัวว่าต้องไปเรียนห้องสายวิทย์ ”

“ตอนเธอสมัครน่ะ เค้ามีใบสีชมพู กับสีเขียว เธอเขียนใบไหน” อาจารย์ถามผม

“สี ไหน” ผมก็เริ่มต้นคิด

“เอ้า สีไหนยังจำไม่ได้เลย ครูว่าเธอเขียนใบสีเขียวล่ะซิ แย่จัง” ว่าพลางหันไปปรึกษากับเพื่อนครูคนอื่น ที่ยังดูยุ่งวุ่นวายเหมือนกัน

“เอางี้ เธอไปเรียนห้องนี้ก่อน แล้วถ้าย้ายห้องได้แล้ว จะให้คนไปบอกนะ” ครูคนนั้นรีบตัดบท ซึ่งผมก็ไม่ค่อยพอใจเอามากๆอ่ะ ตอนโรงเรียนเก่า ผมไม่ได้เรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มานี่หว่า แล้วจะให้มาเรียนกะห้องวิทย์ได้ไงวะ แถมวิชาแรกวันนี้ มันคือ เคมี !!

ผมเดินแบบเกร็งๆไปอยู่ที่หน้าห้องเรียน ซึ่งตอนนี้ก็ทำการเรียนการสอนไปได้เกือบครึ่งคาบแล้ว

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น เธอ” ครูในห้องเหลือบมาเห็นผมเข้าพอดี พร้อมๆกับสายตาคนในห้องก็หันมามองที่ตัวผม โอ้ว พระเจ้าจอร์จ อาย

“คะ คือ ผมเป็นนักเรียนใหม่ครับ จะมาอยู่ห้องนี้” ผมบอกอาจารย์ คนในห้องก็ซุบซิบๆคับ ยิ่งทำให้ผมตื่นตระหนกเข้าไปอีก ผมลืมขึ้นไปเลยว่า สังคมเด็กในกรุงเทพก็อีกอย่างนึง สังคมเด็กต่างจังหวัดก็คงจะเป็นอีกอย่างนึง พึ่งจะมาบรรลุเอาตอนนี้อ่ะคับ แล้วจากนั้น คาบชีวะในตอนแรก ก็เปลี่ยนมาเป็นคาบแนะนำตัวผมหน้าชั้น ซึ่งเป็นอะไรที่ผมเกลียดอย่างแรง

“มาจากไหนอ่ะ ”

“กรุงเทพคับ”

“จบจากไหนมาอ่ะ”

“สวนกุหลาบ

“ฮิ้ววววว สวนกุหลาบด้วย” จะฮิ้วห่าไรพวกมึง

“ทำไมขาวจัง ”

“เออ …” เอ้า ขาวก็ผิด

“มีแฟนยังอ่ะเธอ”

“เออ…” ถามเพื่อราย

จนหมดคาบ ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก โรงเรียนเก่าผมไม่มีผู้หญิงคับ ยิ่งทำให้วางตัวไม่ถูกหนักเข้าไปใหญ่ อะไรๆก็ดูแปลกไปหมด พอหมดคาบเรียนแรก ก็ต้องย้ายไปเรียนที่ห้องอื่น ที่นี่จะเป็นแบบเดินเรียนครับ มองไปมองไปในห้องผมก็ดูเหมือนเค้าจะสนิทกันเป็นกลุ่มดีอยู่แล้ว ทำให้ยิ่งรู้สึกลำบากใจมากขึ้น (พวกเข้ามาตอน ม5 ม6 ก็จะรู้สึกประมาณนี้อ่ะ)

วันนี้เรียนไปจบหมดวันคับ ก็ยังไม่มีเพื่อนสนิท หรือรู้จักใครมากเป็นพิเศษ ตอนเช้าโอ้ตมันก็นัดผมให้มาคอยอยู่ที่หน้าห้องปกครอง เพราะว่ามันเป็นกรรมการนักเรียนคับ แล้วตลอดทั้งวันนี่ ผมก็ไม่ได้เจอโอ้ตมันเลย ยิ่งเหมือนหลุดมาอีกโลกนึงอ่ะ (เว่อร์ม่ะ)

ผมก็รอไปเรื่อยเปื่อยที่หน้าห้องปกครอง ซักพักก็มองเข้าไป ก็เจอพวกอาจารย์ปกครอง ที่แค่ดูหน้าก็ยกตำแหน่งให้ได้เลย กะลังเหมือนจะทำโทษเด็กครับ

“มึงจะมาเรียน หรือมึงจะมาต่อยกันห่ะ พ่อแม่มึงส่งมาให้เรียนดีๆไม่ชอบ เป็นห่าไรวะ” เสียงอาจารย์ดังจนผมได้ยิน อดนึกในใจไม่ได้ว่า ถ้าเป็นผมเข้าไปอยู่แบบนั้น มีหวังซีด จากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียง เปี้ยยยยยะ ประมาณ 6 -7 ทีได้

โอ้ โอ้ โอ้ตอยู่ไหนว้า ให้กรูมานั่งเหมือนแดนประหารแบบนี้ อ้ายโอ้ตตตตต

ผมพึมพำอยู่ในใจ ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อไอ้คนที่พึ่งโดนตีมาหมาดๆ เดินลงมาจากห้องปกครองพร้อมกับเพื่อนอีกคน และเสียงสบถออกมามากมาย

“ไอ้เหี้ย เอ้ย เจ็บชิบหาย กูไม่น่าช่วยมึงเลย ไอ้สัด”

“ห่าคิว มาโทดกู ทีตอนต่อยอ่ะ ซัดเอาซัดเอา แมร่ง” พูดมาพร้อมกับเอามือจับตูดกันทั้งสองคนคับ ผมก็มองๆ ไม่ได้มีเจตนาเยาะเย้ยเลยนะ

“มองเหี้ยอะไร” ไอ้คนที่เพื่อนเรียกว่าคิว หันมามองผมพอดี เลยเป็นเรื่องเลย และด้วยอะไรไม่ทราบ สันดานการชอบเถียงของผมตอนนี้อยู่ในโหมดออฟไลน์

“ป่าวมอง” ผมพูดพลางหลบตา

“ก็ม่ะกี้มึงมองเนี่ย” มันย่างสามขุมเข้ามาหาผม เอ้ย จะหาเรื่องกูเหรอ

“เฮ้ย มึงคุยไรกะน้องกูวะ” อ่า พระเอกของโพ้มมมม โอ้ตมันเดินลงมาจากห้องปกครองพอดี แล้วก็คงเห็นไอ้คนที่ชื่อคิว กะลังเดินมาใส่ผม

“น้อง .. ” ไอ้คิวว่าพลางหันมองผมอีกรอบ “เออ ”

แล้วมานก็เดินไปคับ โอ้ตก็ถามว่ามันมาทำไรป่าว ผมก็บอกป่าว โอ้ตมันบอกว่า ไอ้คิวเนี่ย อยู่ชั้นเดียวกับผมล่ะ แต่ไอ้นี่มันก็ไม่ได้กลัวพวกรุ่นพี่อะไรเท่าไร มันกลัวคนเดียว คือหมูหยองคับ (ชื่อเรียกครูปกครองคนนึง) แล้ววันนี้มันก็ไปหาเรื่องต่อยกะน้อง ม 4 มา เลือดอาบอ่ะ หมายถึงน้องนะ มันไม่เป็นไรเลย

โหดโคตร

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #3 เมื่อ22-10-2006 20:40:18 »

พอโอ้ตมันจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พาผมเดินออกมาหาอะไรกินหน้าโรงเรียน มันเป็นคล้ายๆกับตลาดนัดอ่ะ ของขายเยอะดี โดยเฉพาะของกิน หุหุ ระหว่างเดินไปเดินมา โอ้ตมันก็ทักคนนั้นที คนโน้นที ทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง รู้จักคนเยอะมากๆอ่ะ แต่เวลามันจะแนะนำผมทีไร มันก็ทำท่าอ้ำอึ้งๆ

โถ ก็บอกว่าให้แนะนำว่ากรูเป็นน้องก็หมดเรื่องแระ คิดไรมาก เดินไปเดินมา ก็มานั่งรอรถกลับกันที่ป้ายรถหน้าโรงพยาบาลครับ

“แล้วโอ้ตรู้จักมันเหรอ ไอ้คิวเนี่ย”

“ไม่มีใครไม่รู้จักมันหรอก ไอ้นี่น่ะครูเค้าจะเชิญให้ออกกันทั้งโรงเรียนแล้ว”

“เลวขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามทำหน้าเลิกลั่ก

โอ้ตมองหน้าผมประมาณว่า อยากรู้ไปทำไม แต่ก็บอกคร่าวๆว่า ไอ้คิวเนี่ย ตอนม ต้นมันเป็นเด็กดีมากๆนะ จากนั้นพอมันขึ้นม ปลาย ก็เปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน เพราะมันไปคบเพื่อนเหี้ยๆ แล้วเพื่อนมันแต่ละคนก็หวังจะจับมันเพราะว่าบ้านมันรวย พอมันขึ้นม 5 บ้านมันก็มีปัญหาเพราะว่าพ่อตาย แม่มันก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ มันก็ยิ่งเสียศูนย์ไปใหญ่เลย

“ไอ้นี่นะ เป็นพวกที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอของตัวเอง เป็นพวกดันทุรัง แล้วก็มาระบายออกในสิ่งที่เลวๆไง” โอ้ตว่า

“อ่าหะ ….. ว่าแต่หายโกรธแล้วดิ ”

โอ้ตมันดูเหมือนไมได้ทันตั้งตัวกับคำถามนี้ เลยทำหันหน้าไปทางอื่นซะงั้น แฮ่ๆ หายโกรธแล้วละซิ ผมก็แกล้งเอานิ้วไปจิ้มเอวมันคับ

“เฮ้ย ทำไร มันเอามื”อมาปัดคับ แต่หน้ามันยิ้มแระ

“บ้าจี้เด๊ะ” ผมได้ทีครับ เลยจิ้มอีก 555 (เลวม่ะ)

“เฮ้ย … ไม่เล่น เอ้ยยย เดี๋ยว เอ้ยย” มันร้องใหญ่เลยคับ ตลกดี “หยุดได้แล้วววววว ”

แล้วโอ้ตก็เอามือมาจับผมไว้ทั้งสองมือเลย ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนะ แต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ มือไอ้โอ้ตอุ่นมากๆอ่ะ

“ทำไมคุณปริ้นมือนิ่มจังอ่ะ” ซะงั้น หลอกจับมือกู

“ก็บอกแล้วไง ม่ะต้องเรียกว่าคุณ” ผมบอกพลางรีบทำทีสะบัดมือด้วยความเหนียมอาย เอาปากกัดนิ้วชี้ทำท่าเขิล หุหุ แค่สะบัดมือเฉยๆเฟร้ย !!

“นิ่มแล้วผิดตรงไหนฟะ ไหนๆ ของตัวเองอ่ะ” ว่าแล้วผมก็ไปจับมือมัน แต่ … แฮ่ม ผมเผลอพูดคำว่า ตัวเอง กับไอ้โอ้ตไปแบบลืมตัว แต่มันก็ดูไม่ได้ติดใจอะไร เออ เกือบไปแระ

ผมก็เอามือลูบไปลูบมา เพลินดีครับ มือสากๆกว่าผมนิดหน่อย มันดูท่าทางจั๊กจี้ครับ โชคดีนะที่ที่เรานั่งพลอดรัก … เอ้ย คุยกันมันเป็นช่วงที่มืดนิดหน่อย เลยไม่เป็นที่สังเกต แล้วมันก็เย็นพอควรแล้วล่ะ แล้วผมก็ไปเห็นรอยแดงเป็นจุดๆที่มือโอ้ต

“เจ็บมากป่าว” จริงๆอยากบอกว่า ขอโทษ

โอ้ตมันก็ส่ายหน้า “ไม่เจ็บ แค่นี้เอง ”

โห มันทำแมน

ตอนนั้นรถที่พาเรากลับบ้านได้มันผ่านไป 3 คันแล้วครับ แต่ผมก็แบบว่าอ้างไปเรื่อยล่ะว่า ไม่อยากนั่งรถคนเยอะ ไม่อยากเบียดอะไรเทือกนี้ โอ้ตมันก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็นั่งคอยกันไป โอ้ตตอนอยู่โรงเรียน ดีกว่าตอนอยู่ที่บ้านมากอะฮะ เพราะว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร อยากให้มันเป็นพี่ผมจริงๆเลย ให้ตายดิโรบิ้น ผมไม่มีพี่ชายไง

จนเกือบ สองทุ่มแล้วครับ ปริ้นมันก็เลยบอกว่าถ้าไม่ขึ้นรอบนี้ก็ไม่มีแล้วนะ ผมก็เลยต้องเออออ ขึ้นไป คนก็ยังพอมีนิดหน่อย พอมีที่นั่ง พอรถออกจากตัวเมืองได้พักนึง รถก็ปิดไฟมืดทั้งรถเลย

“ง่วงอ่ะ นอนนะ” ผมว่า พลางปรับเบาะให้มันเอนลง

“เอากระเป๋ามานี่ก็ได้ จะได้นอนสะดวก” โอ้ตมันพูดแล้วดึงกระเป๋าที่ตักไปโดยไม่รอคำตอบ

“ขอบใจ ”

“อะไรนะ ? ”

“ป่าว” แล้วผมก็หันหน้าไปทางหน้าต่างครับ ชิส์ ทำหูทวนลมนะคุณโอ้ตตต

นั่งไปนั่งมา ผมก็ไม่หลับอ่ะ ไม่รู้เป็นไร ก็พลิกกลับตัวมา แล้วก็เหลือบไปทางโอ้ตคับ เห็นมันก็นั่งสัปหงกอยู่

หงึก

หงึก

หงึก

มันลืมตาคับ ผมก็แกล้งฟอร์มหลับตา ตอนนั้นคิดไรม่ะรู้ครับ อยากแกล้งด้วยมั้ง ช่วงที่รถมันสะเทือนๆ หัวผมก็เลื่อนไปทีละนิด ทีละนิด จนรู้สึกว่าไปพิงอยู่กับต้นแขนโอ้ตมัน อ่า นิ่มๆ แข็งๆ ตบท้ายความเนียนอย่างสมบูรณ์ เมื่อช่วงที่รถมันเลี้ยวโค้ง ตัวเราสองคนก็เรียกว่าเกือบแนบชิดกันเลยอ่ะ หุหุ น้องเนียนมากกู

โอ้ตมันก็หันมาทางผมครับ รู้สึกได้ตอนที่ลมหายใจมันมากระทบกับหัว และผมก็ได้ยินเสียง ….

- ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก –

เสียงหัวใจโอ้ตฮะ แต่มันก็เต้นแบบปกตินะ ไม่ได้แบบสูบฉีดอะไรมากมาย แอบผิดหวังเล็กๆ 555 นี่กูคิดไรกะพี่กูวะเนี่ยยย ม่ะเข้าใจจิตใจตัวเองเลย แต่ตอนนี้ …


ผมรู้สึกอบอุ่นมาก จนอยากให้รถมันวิ่งลงไปถึงนราธิวาสเลย ^^


* * * * * * * * * * * *

“ปริ้น …”

“หือ”

“ใกล้แล้ว ”

“หือ อีกนิดน่า”

“ปริ้น มันแฉะ”

“หือ ลามกวะ” ผมยังงัวเงียตอนที่โอ้ตปลุก แล้วก็ได้ยินมันว่าผมอะไรแฉะๆนี่ล่ะ แมร่ง ม่ะได้ทำไรกันนะจะน้ำแตกได้ไง (เหอๆ คิดไปโน่น)

“อะไรลามก ? ” แล้วมันก็หันเสื้อที่เปียกน้ำลายให้ดู

“เอ๊ะ น้ำอารายอ่ะ” ผมแกล้งทำเสียงปัญญาอ่อน แล้วก็ยิ้มแฮะๆ โอ้ตมันก็พึมพำว่า คนไรวะ นอนน้ำลายไหลได้ทุกวัน

กลับมาถึงบ้าน ผมก็เห็นเค้าลางไม่ดีแล้วอ่ะ เมื่อเห็นป้าเล็กมายืนรออยู่หน้าบ้านป้าเล็กหรือแม่โอ้ตนั่นล่ะ ผมหันไปมองหน้าพี่โอ้ต ก็เสียเหมือนกัน

“ไอ้โอ้ต ทำไมพาน้องกลับดึกๆดื่นๆแบบนี้ รู้มั้ยเค้าเป็นห่วงกันขนาดไหน” แม่โอ้ตมันตวาดลั่นบ้านเลย


“ขอโทษครับ” โอ้ตยกมือไหว้แม่ตัวเอง

“แล้วแบบนี้จะให้แม่ไว้ใจ ไปไหนมาไหนกับน้องได้ไง !! ดูซิ แค่วันแรกก็พากันไปตะลอนกลับเอาป่านนี้ ข้าวปลาจะได้กินกันเมื่อไร เกิดใคร บลาๆๆๆ อีกยาวโดยมี ผมยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างพี่โอ้ต

“เออ ป้า - - -” ผมกะลังจะพูดบ้าง

“คุณปริ้นก็เหมือนกัน ทำแบบนี้คุณยายเป็นห่วงรู้มั้ยคะ อ้าว กูโดนบ้างแระ ป้าจัดกับข้าวไว้บนเรือนแล้ว คุณปริ้นรีบไปกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด

“โอ้ต เข้าบ้าน ต้องฟาดกันบ้างแล้ว” ป้าเล็กพูด โอ้ตก็หันมาทางผมแป็บนึง แล้วก็เดินเข้าไปที่บ้านเค้าเลย บริเวณบ้านยายมี 4 หลังครับ มีบ้านใหญ่ บ้านที่ผมอยู่ แล้วก็บ้านของคนที่บ้านอีก 2 หลัง โห ทำไมต้องฟาดกันด้วยอ่ะ โตขนาดนี้แล้ว ผมมองหน้าป้าเล็ก คิดในใจ

ผมก็ขึ้นไปบนเรือนใหญ่ ยายผมก็นั่งดูทีวีอยู่

“ยาย กลับมาแล้ว - - คับ”

“กลับมาแล้วก็รีบกินข้าวกินปลาซะ เย็นหมดแล้ว” ยายผมบอก ไม่มีท่าทีโกรธเหมือนป้าเล็กเลยแฮะ “แล้วเจ้าโอ้ตไปไหน”

“ป้าเล็กเรียกไปที่บ้านอ่ะยาย ท่าทางโกรธมากด้วย”

“เล็กเค้าก็เป็นแบบนี้ล่ะ เป็นห่วงไม่เข้าเรื่อง ”

“เค้าจะตีพี่โอ้ต” ผมรีบฟ้องยายทันที หวังว่ายายคงจะช่วยได้

“แล้วทำไมปริ้นถึงกลับมาช้าล่ะลูก” ยายผมถามอย่างใจเย็น ตาก็ดูทีวีไป

“คือ คือ …คือปริ้นต้องทำเรื่องย้ายห้องอ่ะครับ ครูเค้าให้ปริ้นเรียนห้องสายวิทย์อ่ะ” ผมนึกคำตอแหลได้แบบสดๆร้อนๆ

“เลยต้องอยู่เย็น ? ” ยายผมส่งสายตามา

เฮือก

“ครับ” ผมตอบแบบเสียไม่ได้

แล้วก็เหมือนสวรรค์ช่วยคับ ยายลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ ได้ยินเหมือนคุยกับป้าเล็ก คือ โทรศัพท์ที่บ้านมันจะแบบพ่วงต่อกันหมดเลย ไม่ต้องเดินไปเดินมาให้เหนื่อย ผมก็ลุ้นๆอยู่ แล้วยายก็วางโทรศัพท์แล้วก็เดินมาปิดทีวี

“แม่เค้าฟาดลูกไป 3 ทีแล้ว นี่ก็จะไม่ให้มากินข้าวด้วย แต่ยายบอกว่า ให้มากินเถอะ” ยายบอกผม

“ปริ้น เดี๋ยวยายเข้านอนก่อนนะ พอเจ้าโอ้ตมากินข้าวแล้วก็ให้ปิดประตูด้วย”

“ครับ”

“- - เออ แล้วเมื่อกี้แม่เจ้าโอ้ตเค้าบอก เจ้าโอ้ตสารภาพว่า มัวแต่ซ้อมบอลจนลืมเวลา ก็เลยกลับดึก ทีหน้าทีหลัง จะซ้อมฟุตบอล หรือ ทำเรื่องย้ายห้อง ก็ทำให้มันเร็วๆหน่อยนะลูกปริ้น ”

ว่าแล้วยายก็เดินไปในห้องด้วยสีหน้าเหมือนจับผิดหลานได้แบบนั้นล่ะ


* * * * * * * * * * * *

ลงจากเรือนปั๊บ ผมก็วิ่งแจ้นไปทางบ้านโอ้ตเลย ป่านนี้จะเป็นไรมากป่าวน้า มันเจ็บเพราะผมอีกแล้ว อยากจะขอโทษเป็นพันครั้ง เดินไปจนถึงหน้าประตูบ้าน แต่ก็ไม่กล้าจะเคาะอ่ะ ก็เดินวนๆ รอ แต่ก็ไม่ยักออกมาซะที พอดีกับเห็นเงาคนลางๆ นั่งอยู่ที่ม้านั่ง

“โอ้ต…” ผมทัก เจ้าของเงาสะดุ้งตัว แล้วก็เอามือปาดที่ใบหน้า ถึงมันมืดไม่เห็นอะไร ก็พอรู้ว่าโอ้ตมันร้องไห้

“ว่าไง” น้ำเสียงมันแกล้งทำเป็นปกติ

“ป่ะ ไปกินข้าวกัน ”

“ไม่ล่ะ ผมไม่หิว”

“เฮ้ย ไม่หิวได้ไง ก็ยังไม่ได้กินอะไรมาเหมือนกัน ป่ะ” ว่าแล้วผมก็เดินไปจูงมือมันออกจากเงามืด แอบเหลือบมอง ก็เห็นเป็นคราบน้ำตาจริงๆครับ

“ไม่หิว จริงๆนะ” โอ้ตตอบผมเบาๆ

ผมอยากจะเอาอะไรที่ผมมีอยู่แลก เพียงเพราะแค่ให้อ้าปาก แล้วบอกคำว่าขอโทษกับโอ้ต แต่ทำไมมันถึงพูดไม่ออกวะ ไอ้เชี่ย

“แต่เราหิวหว่ะโอ้ต” ผมพูดแกมบังคับ

โอ้ตมันก็มองหน้าผมครับ

“ขอโทษครับ แต่ว่า ….. เลิกบังคับผมซะทีเหอะ” สีหน้าโอ้ตพูดแบบจริงจังมาก จนผมกลัว

“- - -”

เฮ้ยๆ มึง หยุดเลย กูบอกให้หยุด หยุด หยุด หยุด อย่านะว้อยยยยย

ถึงแม้ว่าสมองผมจะสั่งแบบนั้น แต่ก็มีของเหลวใสๆ หยดลงมาจนได้ ทำไมผมถึงเสียใจกับคำพูดของโอ้ตขนาดนี้วะ

“อืม …. ขะ ขอโทษ - - - ขอโทษที่เราชอบสั่งนาย บังคับนาย ทำสิ่งที่นายไม่ชอบ ”

หยดที่สองไหลก็ไหลตามมา

“ขอโทดที่ต้องให้เสียเวลาไปซื้อนั่นซื้อนี้ ขอโทษที่ทำให้ต้องเดือดร้อน ฮึก… ตะ แต่ตอนนี้ เราดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องรบกวนนายแล้ว ”

พูดเสร็จ ผมก็เอามือปาดน้ำตา แล้วก็จ้ำพลวดๆกลับเข้าบ้านเลย ข้าวปลาไม่กินแล้วคับ อารมณ์มันน้อยใจง่ะ แต่เราจะน้อยใจไปทำไมวะ เค้าไม่ใช่ญาติเรา ไม่ใช่พี่เรา ไม่ได้เป็นอะไรกับเราซะหน่อย เรามันก็เป็นแค่หลานของเจ้านายเค้าเท่านั้น แหม ทำไมยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหลวะ กูอ่อนแอจังวะ แค่นี้เอง

ปั้งๆ เสียงเคาะประตู

ปั้งๆๆ

แอ๊ดด

“ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ?” โอ้ตมันเปิดประตูเข้า หน้าแมร่งโคตรโหดเลย .. จะตามมาฆ่ากูเหรอเนี่ยยย

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #4 เมื่อ22-10-2006 22:34:15 »

“ทำไมต้องร้องไห้ด้วย !!” โอ้ตถามเสียงเครียด

“…………”

“ถามแล้วทำไมไม่ตอบ ไอ้คนเห็นแก่ตัว” โอ้ตมันตะคอกใส่อีกชุด แล้วก็เดินเข้ามาเขย่าตัวผม

“เจ็บ ….. ”

“ทำสำออยเหรอ … โอ้ตโดนหนักกว่านี้ ยังไม่พูดซัก หือออ !! ” มันจับจนแขนชาไปหมด ผมตัวสั่นน้อยๆ

“จากนี้ไปก็ต่างคนต่างอยู่เหอะ ปริ้น” โอ้ตตะโกนใส่หน้า

“ปล่อยยยยยยยยยยย” ผมตะโกนสุดเสียง

พลั๊กก …

แหง่ก แหง่ก

ผมลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองลงมานอนแอ้งแม้งอยู่ข้างล่าง พยายามยันตัวขึ้นพร้อมกับสะบัดหัวให้หายงัวเงีย นาฬิกาตอนนี้บอกเวลาตี 5 กว่าแล้ว

โอ้ตมันไม่ได้มาหาผมหรอก โอ้ตไม่ได้เข้ามาอาละวาดใส่ ผมแค่คิดมากแล้วก็ผล่อยหลับไปเท่านั้นเอง ตอนนี้สภาพตัวเองดูไม่ได้สิ้นดี หลับไปทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำ รู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนเพราะไม่ได้กินข้าวเย็น แถมเสื้อที่จะใส่ไปวันนี้ก็ยังไม่ได้ปักชื่ออีกต่างหาก เฮ้อ …

ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็รีบจัดการตัวเองให้เสร็จ เสื้อก็ใส่แบบไม่ได้ปักชื่ออะไรทั้งนั้น รู้สึกเซ็งมากมายครับ เหงาแบบบอกไม่ถูก ตั้งแต่มาที่นี่ ผมพึ่งรู้สึกตัวเองอยู่คนเดียวจริงๆ ก็ตอนนี้หล่ะ อยากกลับบ้าน แต่ ผมก็ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว

ก็ที่นี่ เป็นบ้านของผม


* * * * * * * * * * * *

“อ้าว แล้วไม่รอไปพร้อมเจ้าโอ้ตหรือปริ้น” ยายผมตะโกนถามเมื่อเห็นผมเดินอย่างเงียบๆ ไปทางประตูบ้าน โหย เรียกซะดัง

“ชู่ ชู่ เบาๆก็ได้ยาย” ผมทำท่าจุ๊ๆ ไม่อยากให้ไอ้โอ้ตรู้ว่าแอบไปก่อน ทำไงได้ง่ะ ผมไม่อยากเจอหน้ามันนี่นา …อืม อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละ

“แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” สงสัยยายจะไม่เข้าใจรหัสมอสของผม บอกให้เบ้า เบา ผมก็หันไปทางบ้านโอ้ต ก็เงียบคับ ตอนนี้ก็พึ่งจะ 6 โมงเอง เช้ามากมาย

“งั้นผมไปก่อนนะยาย หวัดดีคับ ”

“ไปดีๆนะลูก ”

“คับ”

ระหว่างทาง เกือบชั่วโมงของผม ไม่มีความรู้สึกง่วงเลย ในหัวก็คิดไปต่างๆนาๆ ว่าจะทำไงต่อดีวะเรื่องทะเลาะกะโอ้ต ไหนจะเรื่องเปลี่ยนห้องเรียน ไหนจะต้องวางตัวกะคนในห้องอีก เครียดๆๆๆๆ พอถึง โรงเรียนก็โดนยามกักตัวไว้คับ แบบว่าเสื้อ นร ไม่เรียบร้อยไง มีแต่ตราโรงเรียนโผล่มา

ตอนนั้นเรื่องโอ้ตผมไม่เครียดแล้วล่ะ มาเครียดเรื่องโดนเรียกขึ้นห้องปกครองเพราะว่าเสื้อไม่เรียบร้อยแทน เซ็งมาก เรื่องมาก กรุงเทพไม่เห็นต้องมาปักชื่อให้วุ่นวายเลย วุ้ย แล้วก็มีพวกแต่งตัวไม่เรียบร้อยจริงๆ ขึ้นมาอีก 4 -5 คนอ่ะ อาจารย์เค้าก็ไล่ถามทีล่ะคน พอดีว่าผมเป็นเด็กใหม่ ก็เลยอ้างโน่นนี่ ประกอบกับผมหน้าตาเรียบร้อยไง 55 เลยแบบว่ารอดตัวไปอย่างหวุดหวิด แต่ก็ต้องถูกจดชื่อให้พรุ่งนี้มาตรวจใหม่ = =’’

“ฮัลโล ยายเหรอคับ ยายแถวบ้านมีที่ปักเสื้อป่ะ คือ” บลาๆๆๆ ผมก็โทรไปให้ยายช่วยจัดการหาร้านปักให้ (ซึ่งน่าที่จะทำตั้งแต่แรกแล้วล่ะ) ยายก็บ่นให้ฟังอีก 1 กัณฑ์ พอผมวางปั๊บ ก็ได้เรื่องปุ๊บ

“เฮ้ย ไอ้ซีดนั่นน่ะ ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน !! ” อาจารย์ปกครองตะโกนมาหลังจากผมก้าวออกจากห้องได้ไม่ถึง 3 ก้าว คือ ผมโทรหายายหน้าห้องปกครองเลย อ้าว กูไม่รู้นี่หว่า แล้วมาเรียกกูว่าไอ้ซีด โห โคตรเคือง

“ตอนเย็นมาเอาคืนล่ะกัน” อาจารย์เค้าว่าแบบนั้น แล้วก็ตะเพิดให้ผมรีบไปขึ้นเรียน

วันนี้เปิดเทอมวันที่ 2 ผมก็เข้าสายครั้งที่ 2 แถมโดนเรียกขึ้นห้องปกครองด้วย เสียเครดิตหมดเลยตู วันนี้โหดกว่าวันแรก เพราะว่าคาบก่อนพักเป็นวิชาฟิสิกส์ !! ผมก็นอนฟังอาจารย์สอนไป หลับไป เพราะดันตื่นแต่เช้า ไม่รู้เรื่องเร้ยยยย แล้วผมก็คิดถึงโอ้ตขึ้นมาคับ แมร่ง … ไม่รู้ตอนนี้ทำไรอยู่ เรียนวิชาไรอยู่ว้า แล้วทำไมกูออกมาก่อน ไม่คิดจะโทรถามกูบ้างเลยเหรอไง เหอะ แต่มันจะคิดถึงเราทำไมวะ เอ๊ะ - - ออดแล้วว้อยย เย้ เย้

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง

“เออ เธอ เธอ” มีคนมาสะกิดผม ตอนที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋า

“ไปกินข้าวกับพวกเรามั้ย” คนที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั้นเอง รู้สึกว่าจะชื่อ แอน อะไรนี่ล่ะ (ผู้หญิงไม่ค่อยอยากจำชื่อ แฮะๆ ก็ไม่ได้ขนาดน้านนนน)

“อ่อ เอาดิ” ผมยิ้มตอบให้ ก็ยังดีคับ ผมไม่ต้องมานั่งกินคนเดียวเหมือนเมื่อวาน ตอนที่นั่งกินข้าวไป แอนกะเพื่อนๆอีกสองสามคนก็ชวนคุยกันหลายเรื่อง แต่ส่วนมากก็จะพูดเรื่องในโรงเรียนนี่ล่ะ ผมก็ฟังไป กินไป แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะว่าเหมือนมีอะไรเย็นๆมาอังที่แก้ม

“เฮ้ยยย” ตกกะใจสุดขีด

“ไง มาไม่ทันไร ก็มีสาวๆมาตอมแล้ว” ไอ้พี่ท็อปนั่นเอง

“ไม่ใช่ขี้ วู้” ผมพูดแบบอารมณ์เสียที่โดนแกล้ง แล้วก็มาแซวด้วย ม่ะชอบๆ

“เออ นั่งด้วยดิ ไม่มีโต๊ะแล้ว” ว่าแล้วก็มานั่งข้างๆผม

“แล้วไม่เห็นยกอะไรมาเลยอ่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย ก็พี่แกมีแต่น้ำขวดเดียว

“ฝากไอ้โอ้ตซื้ออยู่ เดี๋ยวมันยกมา”

“เหรอ ….” เวน ในใจตอนนี้บอกไม่ถูกว่าดีใจ หรือว่า หนักใจกันแน่ครับ อยากเจอหน้านะ แต่ทำหน้าไม่ถูก โอ้ยงง แล้วก็ไม่ต้องให้ผมงงนาน เพราะว่า พี่ท็อปก็ยกมือเป็นโบกให้โอ้ตมันเห็น ผมก็แกล้งทำของตกคับ แล้วก็แอบเหลือบตามองจากข้างล่าง (เรื่องเนียนยกให้กรู)

โอ้ตมันก็เดินมา สาบานได้ว่าผมเห็นมันชะงักไปแว่บนึง ก่อนที่จะทำหน้าตายเดินมานั่งฝั่งตรงกันข้าม เยื้องกันเล็กน้อย ผมก็ไม่ทำไรคับ นั่งจ้วงๆข้าวในจาน

แอนมันก็เห็นผมกินแปลกๆ

“หิวมากเหรอปริ้น ทำไม - - -”

“หิวดิ … ก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืน” ผมจงใจเน้นเสียงนิดหน่อย แต่ไอ้โอ้ตก็กินหน้าตาเฉยคับ สายตาก็ไม่ได้มองมาทางผมเลย แล้วอยู่ๆมันก็พูดกะพี่ท็อป

“เออ ข้าววันนี้เป็นไรวะ ไม่อร่อยเลย สู้ผัดมาม่าที่กูกินเมื่อคืนก็ไม่ได้” แล้วมันก็ส่งสายตามาทางผม

โห จี้ดดดดดด

“เด๋วปริ้นไปห้องสมุดก่อนนะ” ผมหันไปบอกทางแอน แล้วก็ลุกออกไปเอาจานวางที่ราง ในใจตอนนั้นโคตรเจ็บใจอ่า ไม่รู้ทำไม ว่าแต่ห้องสมุดมันอยู่ไหนวะ กูไม่รู้จัก =*=


* * * * * * * * * * * *

ตอนผมดูตารางสอนครั้งแรก ก็รู้ว่า โรงเรียนนี้ดีอยู่อย่างคับ เพราะว่ามันมีคาบว่างด้วย แล้วก็มีเยอะพอควร เพราะว่าเริ่มเรียนตั้งแต่ แปดครึ่ง กว่าจะเลิกก็ สี่โมงเย็น ไม่เหมือนในกทม มันก็เลยมีเวลาให้มีคาบว่างไง ก่อนจะหมดเวลาพักเที่ยงแป็บนึง

“นายxxxxxx มาพบอาจารย์ที่ห้องวิชาการในเวลานี้ด้วย ”

อ่า เป็นไปตามคาดคับ อาจารย์ที่วิชาการเรียกผมไปเพราะว่า ตอนนี้สามารถเปลี่ยนให้ผมไปลงห้องสายศิลป์-คำนวณได้แล้ว อาจารย์ก็ส่งตารางสอนมาให้ แล้วก็บอกว่าวันนี้ให้ผมกลับไปเรียนที่ห้องเก่าก่อน แล้วค่อยย้าย หุหุ เด็กดีอย่างผม มีเรอะจาเข้า 55 โดดซิคับ ว้าว ตั้งครึ่งวัน

ข้อดีของโรงเรียนนี้ดีอีกอย่างคือ เพราะมีคาบว่างนี่ล่ะ เกือบตลอดทั้งวันก็จะมีนร เดินไปเดินมา คับ ไม่ได้แบบว่าเหมือนบางโรงเรียนที่ขึ้นตึกกันหมด ผมก็เลยเนียนเดินไปเดินมา ไปห้องโน้น ห้องนี้ได้ แถมยังไม่ค่อยมีคนคุ้นหน้าเท่าไร เค้าก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

ผมก็หลบไปนั่งอยู่หลังอาคาร 5 ซึ่งมันจะเป็นสวนป่าแดงข้างหลังโรงเรียน ที่มันติดๆกะภูเขานั่นล่ะ หมดคาบ 5 ผมก็ย้ายที่คับ ไปนั่งอยู่หลังตึก 1 แทน ตรงนี้มันจะมีต้นไทร (หรือต้นอะไรซักอย่าง) ใหญ่มากๆอยู่ มีม้านั่งพร้อม ก็ได้เวลานอนของผมแระ ^^ (เหี้ยมาก)

หลับไปได้แป็บนึง ก็รู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงคนพูดคับ

“เฮ้ย เฮ้ย ไอ้ตี๋ ที่กู ”

โอ้ว ทำไมไม่มีใครคิดจะเรียกชื่อกรูเลยเหรอวะ

“ไหนที่ใครวะ” ผมงัวเงียๆลืมตาขึ้นมา ก็เจอไอ้คิวนั่งโด่อยู่ตรงม้านั่งอีกข้างนึง

“ที่กู” มันก็ชี้ไปที่ตัวมันคับ เชี่ย กรูจะโดนต่อยมั้ย ดันไปพูดหาเรื่องมัน

“โดดเรียนเหรอมึง” มันว่าพลางหยิบซอง Mild seven ขึ้นมา

“ไม่ได้โดด ”

“เชี่ยมากนะมึง โดดแล้วโกหกอีก ม่ายไหวๆ” มันก็พูดไป แกะซองไป ห่า แล้วมึงม่ะโดดเหรอเนี่ย เลวกว่ากูอีกสูบบุหรี่ด้วย

ดูท่าทางเหมือนมันจะพูดหาเรื่องผมแฮะ เออ กูไปก็ได้วะ ผมทำท่าจะลุก

“จะไปไหนวะ นั่งเป็นเพื่อนก่อนเด๊”

“จะไปห้องน้ำ” แล้วก็ส่งสายตาเหยียดหยามไปทีนึง ประมาณว่าครายเพื่อนมรึงว้า แต่ก็แป็บเดียวจริงๆ เพราะกลัวมันต่อย แฮะๆ แล้วผมก็เดินไปฉี่ในห้องน้ำ ซึ่งตรงนี้มันจะอับคนมากๆแต่ตอนนั้นไม่ได้ทันสังเกตว่ามันก็เดินตามหลังมาด้วย ผมเข้าซอง มันก็เข้าซองด้วยคับ แต่ยืนไม่ติดกันนะ

“มองไร ”

“มองไร ยังไม่ได้มองเชี่ยไรเลย” ผมชักรู้สึกรำคาญคับ คนไม่ได้มอง หาว่ามองมันเฉยเลย ไอ้บ้า

“โห พูดเชี่ยเป็นด้วย ? อ่ะ ดูดป่ะ”

“ดูดไร ”

“เอ๊ะ …ดูดKกรูม๊าง สาดดด” เออก็จริงคับ มันยื่นบุหรี่ให้ ก็ไม่น่าถามแบบนั้นเนอะ นี่ล่ะนิสัยคนไทย

ผมก็ส่ายหน้าคับ “ไม่เอาดีกว่า ไม่เคย”

“ก็เคยซะเซ่ะ ไม่เหม็นหรอกน่า ไม่ใช่กรองทิพย์” แล้วมันก็ยื่นอันที่มันดูดอยู่ให้ผมลอง

“เอ้า … ผู้ใหญ่ให้ของก็ร๊าบบบบบบบ”

โอ้ว อาจจะมีคนคิดว่า ทำไมผมไม่ปฏิเสธ มันยากคับ มันยากมาก ในที่แบบนั้น แล้วท่าทีมันไม่น่าไว้ใจเลยอ่ะ ถ้าผมเกิดทำอะไรให้ไม่พอใจ กลัวมันจะไม่ปล่อยให้ผมลอยนวล ก็เลยยอมๆไปก่อน

ฟืดดดดดด

“แค๊กๆๆๆๆๆๆๆ”

“555 ใครเค้าดูแบบไหนว้า ไม่เป็นเลยไอ้นี่” ไอ้คิวมันขำใหญ่เลยคับ สาดดด แกล้งกูนี่หว่า เลือดขึ้นหน้าแล้วผม ฆ่าได้หยามไม่ได้ว้อย

“มานี่ ต้องทำงี้” แล้วมันก็สาธิตแบบช้าๆ สูดยาพิษเข้าปอด

ฟืดดดดด แล้วก็คายสารพิษออกมาทำร้ายคนรอบข้าง

“เอ้า ลองๆ”

ผมก็บ้าจี้รับมาลองอีกคับ เหอๆ = =’’

“เออ เก่งๆๆ - - -”

“เฮ้ย ใครดูดบุหรี่ในห้องน้ำ”

เชี่ยแล้วคับ เสียงอาจารย์ปกครอง ไอ้คิวทำหน้าตื่นบอกให้ผมหลบไปในห้องน้ำ

“ล่ะ แล้วนายอ่ะ” ทำไมผมต้องเป็นห่วงใครด้วยวะ จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว

“ช่างกูเหอะ” แล้วมันก็ถีบส่งผมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก็ปิดประตูล็อกจากด้านนอกคับ จะได้เหมือนกะว่าไม่มีใครเปิดใช้ ซักพักก็มีเสียงโหวกเหวก ข้างนอก

“มีใครสูบกับมึงอีกป่าวเนี่ย” เสียงอาจารย์ดังขึ้น

“คนเดียวจาน” พอดีเคียดๆ ก็เลยลงมาสูบ

ป๊าบบ เสียงไอ้คิวโดนฟาดด้วยมือคับ ตอบกวนตีน

“มาปากดีนะไอ้คิว มึงจะโดนให้ออกอยู่แล้ว เฮ้ย ไปดูในห้องน้ำดิว่ามีใครหลบอยู่ป่าว” แย่แหล่วววว

เสียงเปิดห้องไล่มาทีละห้อง ทีละห้องคับ ใจผมเต้นไม่เป็นจังหว่ะเลย แก้ตัวไม่ออกด้วย เพราะว่ากลิ่นบุหรี่ติดตัวผมเลยอ่ะ แง๊ๆๆๆ

โดนยายฆ่าแน่

จนผมได้ยินเสียงเปิดกลอนจากด้านหน้าห้องที่ผมหลบอยู่ เหงื่อหยดเป็นทาง แต่ตัวผมกลับเย็นเฉียบ

แกร๊กกก

“ปริ้น ….?” กลายเป็นไอ้โอ้ตคับ เปิดประตูมาเจอผม ดูสีหน้าก็รู้ว่ามันตกใจมากเลย

“เออ …” ผมไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ตอนนี้ผมยอมให้อาจารย์เปิดมาเจอดีกว่าให้โอ้ตมาเจอผมในสภาพแบบนี้

“ดูดบุหรี่เหรอ” ไม่ต้องรอให้ผมต้องตอบคับ มันก็กระชากตัวผมออกมาจากห้องน้ำเลย ออกมาข้างนอก พวกอาจารย์ก็พาไอ้คิวเดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้

“เออ … โอ้ต คือ ไม่ใช่”

“ดูดบุหรี่เหรอ ? ” มันถามซ้ำคับ ตอนนี้สีหน้ามันเรียบเฉยมาก เหมือนอาจารย์ที่ห้องปกครองเลย มันไม่ใช่พี่ชายพ๋มแล้ว

“เออ ก็ไอ้นั่นมันให้ลอง ก็ - - -”

“ไอ้เหี้ยนั่นให้ลอง ก็ลองเหรอ !!!!!! ไอ้เด็กไม่มีหัวคิด” เจ็บคับ เจ็บโคด โอ้ตมันตะโกนใส่ อารมณ์คงสุดๆแล้วอ่ะ เออ จาด่าอาไรก็ด่าเลย

“ขอโทษ” ผมจ๋อยคับ ไม่มีอะไรนอกจากจ๋อยสนิท ยืมก้มหน้าเงียบ

“พ่อแม่ให้มาเรียนหนังสือ ก็โดด - - -” ตัวผมหดไป สองนิ้ว

“โดดไม่พอยัง หัดสูบบุหรี่ อะไรนะเนี่ย อาไร อ่อ เซเว่นด้วย - - -” ตัวผมหดไปอีก สี่นิ้ว

ผมก็เงียบคับ มันก็โกรธจนเหนื่อยแล้วมั้ง รู้สึกว่าสงบได้บ้าง

“จะให้ทำยังไง บอกมา ”

“- - -”

“เอ้า !!!! พูดเซ่ !!!!! ” โอย มึงไม่ต้องตะโกนก็ได้ กรูรู้สึกผิดจนจะร้องอยู่แล้ว

“…ก็ เรา เราทำผิด จะทำอะไร ก็ทำเถอะ ”

โอ้ตฟังผมพูดแล้วก็เงียบไปพักนึง เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมคาดเดาไม่ได้เลย ใจเต้นตึกตักๆ

“ไปเอากระเป๋ามาไป” โอ้ตบอกผมเสียงเฉียบ

ผมก็วิ่งไปตามคำสั่งเลยคับ ไม่มีบิดพลิ้ว เหอๆ แล้วมันก็เดินนำไปห้องปกครองฮะ

อ้าว นึกว่าจาปล่อยกรูซะอีก แหง่มๆ

แต่ผิดคาดคับ โอ้ตมันบอกว่าให้ผมรออยู่ที่หน้าห้อง ไม่ต้องขึ้นไป ในห้องผมได้ยินเสียงฟาดเพี้ยะๆ สงสัยจาเป็นไอ้คิวแน่ ซักพัก โอ้ตก็เดินถือกระเป๋าออกมา

“ป่ะ กลับบ้าน”

โห ตอนนั้นนะ เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปครึ่งลูก อยากจาโดดกอดมันเลยคับ หุหุ แต่ก็ต้องสงบจิตสงบใจนิดส์นึง เราก็ไปนั่งรอรถเหมือนกะวันแรก เพียงแต่คราวนี้ พอรถมาปั๊บ โอ้ตมันก็ลากขึ้นรถเลย วันนี้โชคดีมากๆคือไม่เบียดเท่าไร แต่ก็ต้องยืนอยู่ดี

“จะได้ไม่โดนด่าอีก …” มันพูด “โดนฟาดก็โดนฟาดคนเดียว ไม่ยุติธรรมเล้ย” คราวนี้มันพึมพำๆให้ผมได้ยิน ก็แอบยิ้มนิดนึง เลวม่ะ 55

“แล้วเจ็บมากป่ะ เมื่อคืน”

“เจ็บดิ” แล้วมันก็เอามือไปลูบก้นมันเบาๆ

“ไหนดูหน่อยดิ๊ เป็นรอยป่าว” ว่าแล้วผมก็เนียนทำเป็นจับที่สะโพกมันคับ ไม่ได้ไปจับตูดมันหรอก เหอๆ ไม่ลามกขนาดนั้น

“ทะลึงแล้ว ลามปามๆ เดี๋ยวปั๊ดไม่คืนให้ซะนี่” แต่มันพูดก็ไม่ได้ปัดป้องอะไรผมนะ

“คืนอะไร ? ”

“อ้าว ก็นี่ไง” แล้วมันก็ล้วงไปหยิบมือถือที่ผมโดนริบไปเมื่อเช้า

“หรือว่าไม่อยากได้คืน จะได้เก็บไว้เอง”

“เป็นเล่น แพงเฟ้ย แพง” แล้วผมก็แย่งกลับมาจนได้คับ มันก็ยิ้มๆ

“ขอบใจนะโอ้ต”

“อือ ….”

“ที่ทำเนี่ย” ผมอ้อมแอ้ม “เพราะว่า เป็นหน้าที่ป่ะ ”

อ่ะนะ ผมถามหาเรื่องไปมั้ยเนี่ย = =’’ แต่มันดูไม่โกรธแฮะ

“น้องทั้งคน เป็นพี่ก็ต้องดูแลน้องดิ” แล้วก็เอามือมายี้ๆหัวผม จนเป๋ไปเลย เอ๊ะ รู้สึกแปร๊บเล็กๆ

“เฮ้ย เด๋วผมเสียทรง”

“555 มีผมอยู่แค่เนี้ย ”

จ๊อกๆๆ อ่ะ เสียงท้องผมร้องขัดจังหว่ะ เสียมู้ดหมด แสดดด

“หิวอีกแล้วเหรอ” โอ้ตยิ้มหวานถาม

“อะดิ ว่าแต่ ….” ผมทำหน้าทะเล้นใส่ “อยากกินมาม่าผัดหว่ะ ว่ามันอร่อยจิงป่าว”

ได้ผลคับ ไอ้โอ้ตเขิลลลล หันหน้าไปทางอื่น แล้วก็ตอบมาเบาๆ

“โด่เอ้ย ไม่มีบุญได้กินหรอก”

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #5 เมื่อ22-10-2006 22:34:50 »

ครึก ครื่นนนนนนนนนนนนน …… เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มมาแต่ไกล พร้อมกับหยาดฝนแรกที่ตกลงมาต้อนรับกับวสันตฤดู

เวลาประมาณเกือบหกโมงเช้า ผมยังนอนอุดอู้อยู่ในผ้าห่มอันแสนสบาย

ไม่อยากลุกออกไปไหนเลยง่ะ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมกับเสียงฝนตกที่ดังเซ็งแซ่อยู่ภายนอก

หน้าฝนแล้วดิเนี่ย ฤดูของคนอกหักรักคุด

ปั้งๆๆๆ

“ปริ้น ตื่นยัง เสียงโอ้ตที่รักมาปลุกแล้ว”

“ตื่นแล้ววววววว” เอ้ย เซ็ง อยากนอนต่อเจงๆ

วันนี้ยายให้โอ้ตขับรถไปโรงเรียนได้คับ เพราะเนื่องจากฝนตกหนักมากถึงมากที่สุด ออกไปรอรถมีหวังเปียกแน่ๆ หุหุ ดีจัง ไม่ต้องยืนเบียดเป็นปลากระป๋อง

“เอารถไปจอดในโรงเรียนไม่ได้ไม่ใช่เรอะ” ผมถามพลางกัดบิ๊กเปาไส้หมูแดงอย่างอร่อยเหาะ

“ไม่ได้อะดิ ต้องจอดเลยไปอีกหน่อย” ว่าแล้วโอ้ตมันก็หักรถเลี้ยวเข้าไปในโรงพยายาบาลที่ปกติเราต้องมานั่งคอยขึ้นรถกัน

“นี่ เดี๋ยวแวะกินไรก่อนนะ” โอ้ตมันว่า สงสัยจาหิวอะเด๊ะ หุหุ กรูก็กินม่ะแบ่งเลยคับ เหอๆ

“กินด้วยๆ ”

“จะกินอีกอะไรอีกวะ เมื่อกี้ก็พึ่งยัดเข้าไปนิ” มันว่าด้วยเสียงเหน่อๆของมันคับ เด๋วนี้มีว้ง มีวะ -*-

แล้วก็เข้าไปหาไรกินในโรงบาลคับ จะว่าหลายคนอาจจะรู้สึกแปลกๆนะคับ แต่โรงบาลแห่งนี้ล่ะ ที่เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ แหล่งพักพิง(ท้อง) แล้วก็แหล่งเก็บยานพาหนะ(รถยนต์ มอไซต์) ผัดมักกะโรนีที่นี่อร่อยมากมาย ขอโบก

ว่าแต่ว่า ตกลงมันเป็นโรงพยาบาลแน่เหรอป่าววะ !?

พอหาไรกินเสร็จ ก็เกือบจะ 8 โมงแล้วคับ ต้องรีบวิ่งกันอ่ะ แต่ฝนก็แมร่งไม่ยอมหยุดเลย แถมยังตกหนักกว่าตอนมาอีก

“โอ้ตกลับไปเอาร่มที่รถมาดีกว่า ไม่งั้นเปียกแน่”

“โห เราว่า ร่มแมร่งก็ไม่อยู่หว่ะ วิ่งฝ่าไปเหอะ แป็บเดียวก็ถึง จาเข้าแถวแล้วด้วย” ผมชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือราโด้สุดเกร๋(ของปลอม) = =’’

“เอาจริงอ่ะ ”

“เออดิ ไป …” ว่าแล้วก็วิ่งตากฝนกันข้ามถนน รถแมร่งเบรกกันตัวโก่ง แต่ก็ปลอดภัยมาได้ เพราะข้ามทางม้าลาย (เกี่ยวม่ะ) แต่ที่ผมคาดว่า วิ่งนิดเดียวก็ถึง มันไม่ใช่คับ ไอ้ระยะที่ว่าเนี่ย มันก็ไกลพาสมควร แค่วิ่งข้ามถนน ตัวก็เปียกม่ะล่อกม่ะแล่กจะแย่อยู่แล้ว แต่ผมก็เห็นว่ามีบางคนมันโชว์เหนือวิ่งปู๊ดเดียวเข้าไปที่อาคารเลย

“แล้วนี่ปริ้นเรียนตึกไหน ? ” โอ้ตมันถาม น้ำไหลเป็นสาย แต่ ดูมานเซ็กซี่มากคับ เสื้อนร ที่มันรัดอยู่แล้ว พอเปียกน้ำก็ เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน ระหว่างที่กะลังเมามันกะการแทะโลมสายตาพี่ชายตัวเองอยู่ ไอ้โอ้ตก็ทักขึ้นมา

“ปริ้น !! ”

“เออ เออ ตึกไหน” แล้วผมก็ทำมึนควักตารางสอนขึ้นมาดู

ตึก 1 แว๊ก มันเป็นตึกที่อยู่ในสุดเลย คือต้องวิ่งฝ่าฝนไปอีก

“งั้นก็เลาะๆไปแล้วกัน โอ้ตเรียนตึก นี้พอดี” มันว่า ตอนเย็นเจอกันที่หน้าปกครองนะ แล้วมันก็วิ่งไปเลย

วันนี้วันที่ 3 แล้วคับ ที่ผมเข้าห้องเรียนสาย เพราะว่า กว่าจะวิ่งไปตึก 1 กว่าจะหาห้องเจอ ห้องที่ย้ายมาเป็นห้อง 10 คับ คือต้องมาเริ่มปรับตัวกับเพื่อนใหม่อีกแล้ว ทั้งๆที่ 2 วันที่ผ่านมาก็เกือบจะอยู่ตัวแระ แล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไร เมื่อผมเดินเข้าไปในห้อง(ด้วยสภาพตัวเปียกโชก) ไอ้คนในห้องก็หันมามองเป็นตาเดียว

แล้วก็มีเสียงโห่ ฮา อะไรกันเล็กน้อยพอเป็นกระสัยคับ ประมาณว่าเป็นเด็กใหม่ไง จริงๆก็ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนน่าตาดีอะไรนะคับ ออกจาจืดชืดด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า ไอ้พวกผู้ชายในห้องมันจะออกแนวเถื่อนๆกว่าผมหน่อย ผมก็เลยได้ความขาวเข้าสู้

เท่าๆที่กวาดสายตาดู ห้องนี้มีผู้ชายกว่า 80 เปอร์เซ็นต์คับ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ก็ผู้หญิง อืม ดีซะอีก ผมค่อยรู้สึกไม่แปลกแยกเท่าไร เพราะเคยเรียนแต่ชายล้วนนี่หว่า ผมยังไม่ทันหายงงดี ก็ยังยื่นเงอะงะอยู่หน้าห้อง อาจารย์ก็เข้ามาพอดี

“เธอมายืนอะไรหน้าห้อง” อาจารย์เค้าไม่รู้คับ ว่าเด็กใหม่

“เออ คือ .. ผม” ตอบไม่ถูกซิกรู

“เด็กเทบ เด็กเทบ มานั่งนี่ ”

ใครวะ ดูคุ้นตามากมาย ……………….. เฮ้ย ไอ้คิว ว่าแต่ เด็กเทบเชี่ยรายเมิง

ผมก็จำยอมเดินไปนั่งคับ แต่ไม่ได้นั่งติดกับมันหรอกนะ คือมันชี้ที่ว่างตรงหน้ามันล่ะ

“เรียนห้องนี้ด้วยเหรอ” ผมก็ยื่นหน้าไปถามคับ

“ป่าว กรูเสนอหน้ามานั่งเอง” เออ ก็จริงของมัน แว๊กกก เย็สเข้ แมร่งกวนตรีนกรู

ผมหน้าเจือนนิดหน่อย แล้วก็หันมาทักทายคนที่นั่งข้างๆแทน

“หวัดดี นั่งด้วยนะ”

“ตามสบาย” มันก็ยิ้มให้คับ ใส่เหล็กดัดฟันด้วย แต่หน้าตาก็งั้นๆล่ะคับ หุหุ

“นายชื่อไรอ่ะ เราปริ้น ”

“ซังคับ” ว้าว พูดคับ ด้วยอะ สุภาพโคตรๆ (ว่าแต่ไอ้โอ้ตก็พูดกับผมนี่หว่า ทำไมไม่รู้สึกวะ 55)

“น้อยๆ หน่อยอิ๊กคิวซัง ตีสนิทเด็กเทบเลยนะเมิง”

“อิ๊กคิว พ่อเมิงเหอะ ไอ้สัด” มันหันหน้าไปด่าไอ้คิว อาจารย์ก็เลยเดินมาเบิร์ดกระโหลกมันสองตัวเลย แต่ผมอ่ะ กลั้นหัวเราะตัวงอเลย กับคำว่า อิ๊กคิวซัง คือ ซังมันตัดผมคล้ายๆสกินเฮดอะคับ 55 เอาเป็นว่า ขำแต่พองามเพราะว่า ไม่อยากเสียมิตรภาพที่ดี

ตกลงว่า ผมย้ายมาห้องใหม่แล้ว ถึงแม้ว่าจาดูเถื่อนๆ ไม่ค่อยตั้งใจเรียน แต่ก็ดูสบายๆดี ไม่ต้องแข่งขันอะไรมากมาย แต่ไอ้คิวเนี่ย อย่างที่โอ้ตมันบอกจริงๆ คือ เรียนคาบเว้นคาบ แถมคาบที่เรียน ก็เอาแต่เล่น ไม่ค่อยสนใจ ท่ำสำคัญ มันก็จาชวนผมไปดูดบุหรี่อีก

“วันนี้เอาอีกตัวป่ะวะ” มันก็ทำหน้ากวนๆถามตามสไตร์

“โดนม่ะวานยังไม่เข็ดเหรอ ”

“ตูดกรูด้านแล้วเมิง แค่นี้จิ๊บๆ - - เฮ้ย คิวซัง เอาการบ้านมาลอกหน่อย” ไม่พูดปล่าว มันก็ไปคว้าแบบฝึกหัดอังกฤษที่ซังมันพึ่งทำเสร็จไปมาเก็บใส่กระเป๋ามันเลย

“เหี้ยยยย กรูพึ่งทำเสร็จ จะไปส่งแล้ว” ไอ้ซังมันบ่นคับ คืองานเค้าให้ส่งในคาบจริงๆแล้ว ไอ้ซังมันก็รีบปั่นเพื่อจะรีบไปส่ง แต่แมร่งไอ้คิวดันแย่งไปหมักไว้ก่อน ส่วนผมเสร็จเรียบโร้ย ปลอดภัย

“เออ เด๋วกรูไปส่งให้ - - อาไร อาไร ทำหน้าๆ”

“ไอ้คิว มึงก็แบบนี้ทุกที บอกว่าจะส่ง มึงก็ไม่ส่ง เอาไปดองไว้” อ่าแสดงว่ามันไม่ใช่ครั้งแรก

“แค่นี้ทำบ่น แหมทีขอกรูจับK กรูยางให้มึงจับได้เลย สัด” ไอ้คิวมันพูดขึ้นมาลอยๆคับ คงลืมไปว่ามีผมนั่งหน้าแป้นแล้นอยู่ข้างๆไอ้ซัง

ได้ยินแค่นั้น ก็เอ๋อแดกเลยผม หันหน้าหาไปซังประมาณว่า เมิงขอมันจับKเจงเหรอ ?

“เหี้ย คิว พูดไรวะ” แล้วมันก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงขำของไอ้คิวไล่ตามหลังไป


* * * * * * * * * * * *

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง


อ่า เสียงสวรรค์เสียงสุดท้าย เป็นอันว่าวันนี้ก็เลิกเรียนแล้วคับ ตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าจาสนิทกะอิกคิว .. เอ้ย ซังมากที่สุดในห้องแล้วคับ ไอ้คิวไม่นับเพราะไม่ได้อยากสนิท แต่ก็แปลกใจนิดหน่อยว่า ซังมันก็เข้าคุยกะทุกกลุ่มได้ แบบว่าเป็นคน friendly มากๆ แต่ทำไมมันถึงมาอยู่กลุ่มเดียวกะไอ้คิวได้ กลุ่มคิวจะมีอีก 2-3 คนที่แบบว่า เถื่อนพอๆกะมันเลย

“แล้วนี่บ้านอยู่ไหนอ่ะ ”

“อ่อ อยู่ชะอำ”

“โห โคตรไกลเลย แล้วมารถประจำเหรอ”

“ป่าว ก็ปกติมานั่งรถ ป2 มา แต่วันนี้ฝนตก ก็เลยมากับรถยนต์กะพี่อ่ะ ”

“พี่นายใครวะ ”

“พี่โอ้ตที่เป็นประธานนักเรียนอ่ะ แบบว่า คือ … เป็นญาติๆกัน”

ระหว่างนั่งรอโอ้ต ซังมันก็มานั่งเป็นเพื่อน แล้วก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย คุยเรื่องคนโน้นที คุยเรื่องคนนี้ที แต่ซังมันจะบ่นเรื่องไอ้คิวให้ฟังมากที่สุดคับ มันเหมือนเป็นลูกไล่ไอ้คิวเลย

“อ้าว มาคอยนานยัง”

“นานอย่างมากอ่ะ ทำไรอยู่” ผมได้ทีรีบแขวะไปตามเรื่อง

“หวัดดีคับพี่โอ้ต ”

“เออ ดีซัง เป็นไง ”

“ก็เหมือนเดิมหล่ะพี่”

“เออ กีฬาสีปีนี้ ห้องซังอยู่สีเดียวกับพี่นี่นา ว่าจะเรียกมาคุยเหมือนกัน”

“อีกตั้ง 3 เดือนเนี่ยนะพี่ เร็วไปป่าว”

“เออ แล้วห้องเราอยู่สีอา - - -” ผมพยายามจะเข้าไปมีส่วนร่วมคับ แต่ก็โดนเบรก

“โห ดูอย่างปีที่แล้วซิ มันเตรียมตัวกันตั้งแต่ปิดเทอม ยังเกือบล่ม”

“พี่โอ้ตก็ต้องจัดการดีๆแล้วอ่ะ จะได้ไม่ต้องโดนพวกรุ่นน้องประณาม”

“เออ - -” ผมไม่รู้จะพูดไรคับ ก็ยืนฟัง ในใจก็คิดประมาณว่า กรูกลายเป็นโดดเดี่ยวผู้น่ารักไปแระ

“งั้นเดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ ”

“ครับ งั้นไปก่อนนะปริ้น” ซังมันยิ้มให้ผมก่อนจะแยกไปทางใครทางมัน

“อืม” ม่ายสบอารมณ์คับผม ม่ายสบอารมณ์อย่างมาก

“เป็นไรไป เงียบเชียว” โอ้ตมันคงพึ่งสังเกตได้มั้งคับ ว่าตั้งแต่เดินออกจาก รร แล้วก็ขึ้นรถ ผมไม่พูดซักคำเดียว

“- - -”

“เป็นไร”

“ป่าว” แข็งคับ แข็ง ปากแข็ง

“เช้ยยยยยย ….. ”

“อ้าว เป็นไงล่ะ ตากฝน เป็นหวัดแล้ว” โอ้ตว่าพลางเลื่อนมือไปเบาแอร์

“ก็ตากเหมือนกันน่ะล่ะ ”

“เอ้า มาเทียบกันได้ไง โอ้ตแข็งแรงกว่าปริ้นตั้งเยอะ ”

“เออ ใครจะไปถึกสู้คุณโอ้ตได้ล่ะคร๊าบบบบ” แล้วผมก็หันหน้าไปทางหน้าต่าง ทำมองดูวิว แต่ในใจ ทำไมมันรู้สึกหงุดหงิดๆวะ เวลาเห็นโอ้ตมันหัวร่อ ต่อกระซิกกับอ้ายซัง คุยกานไม่สนใจกรูเล้ย

โอ้ตมันก็ไม่ว่าอะไรต่อคับ เห็นว่าผมเริ่มแบบใช้อารมณ์แล้ว

“นี่ …. ”

“หื้อ”

“รู้จักกับซังมันนานแล้วเหรอ ”

“ก็ … ตั้งแต่มันเข้ามา ม.1 แล้ว มีไรเหรอ ? ”

“ป่าว ก็เห็นเหมือนจะสนิทกัน”

“เออ ก็สนิทหล่ะ ก็เจอกันมาตั้ง 3 ปี มีไรป่าว ? ”

“ม่ะมีรายย ….. นอนก่อนล่ะกาน ปวดหัวๆ” ผมก็ว่าไปงั้นล่ะ แต่จริงๆคือเกียจคุย แต่มันดันหลับไปจริงๆนี่ดิ มารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบถึงแล้วคับ แต่ตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองมีไข้แล้วง่ะ

“โอ้ต แวะซื้อยาก่อนเข้าบ้านได้ป่ะ เหมือนมีไข้หว่ะ”

“จริงอ่ะ ”

อ้าว แล้วกรูจาตอแหลเพื่อ ?

แล้วมันก็จอดรถตรงข้ามกับตลาด แล้วก็เอามือมาอังที่หน้าผาก

“ไหน ไข้สูงป่าว” ไม่ทันคาดคิด มันก็ก้มเอาหน้าผากมันมาแตะกับหน้าผากผมคับ โอ่ว ความร้อนพุ่งปี้ดๆๆๆๆ

“งั้นรอแป็บนะ โอ้ตข้ามไปซื้อยาก่อน”

ระหว่างรอ ภาพที่ผมที่มันเอาหน้าผากมาแตะ ทำเอาจิ้นไปได้ต่างๆนาๆเลยทีเดียว

“ปริ้นคับ กินยานะ เด๋วโอ้ตป้อนให้ อ้าว อ้าปากดิคับ คนดี อ่า อย่างงั้นแหละ ”

“ถ้าคืนนี้ไข้ไม่ลด โอ้ตต้องจับปริ้นฉีดยาแล้วนะ ห้ามขัดขืนด้วย”

“อ่า อยู่นิ่งๆดิคับปริ้น ไม่เจ็บหรอกน้า หันก้นมาดิคับ - - - เจ็บนิดนึงนะคับ แล้วเด๋วก็จะสบาย”

“อึกกก อ๊า ~*”

“ปริ้น - - ปริ้น”

“เห้อะ เหออ เจ็บๆ เบาๆ”

“อะไรเบาวะ ตื่นมาเร็วกินยา” โอ้ตมันดูหัวเสีย ที่ผมพูดอะไรแปลกๆ

“เออ อ่า ขะ ขอบใจ ”

นี่ผมฝันไปอีกแล้วเหรอเนี่ย โหยยย ฝันว่า มีอะไรกะไอ้โอ้ตด้วย !? เวนกำ

“อือง่วงอ่ะ ถึงบ้านแล้วปลุกด้วยนะ” แล้วผมก็พลิกตัวหันไปซุกทางหน้าต่างคับ แอร์มานก็ไม่เบาให้วุ้ย -*-

“อืม ปลุกแน่”

“ขอบจาย”

ก่อนที่ผมจะเคลิ้มๆไป เหมือนมีอะไรบางอย่างอุ่นๆ มาแตะที่แก้มด้านขวาเบาๆ แต่ตอนนั้นไม่อยากคิดอะไรแล้วคับ กรูง่วงและปวดหัวมากมาย



ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #6 เมื่อ22-10-2006 22:35:39 »

“ซื้ดด ซื้ดดดด” โอย น้ำมูกไหล

คืนนั้นพอกลับมาถึง ยายก็เรียกให้ไปกินข้าวบนเรือนใหญ่ก่อน แล้วก็ไม่พ้นโดนว่าเรื่องไม่ดูแลสุขภาพ

“เอาเหอะๆ ยาย ปริ้นก็เป็นแล้วอ่ะ เด๋วรีบเข้านอนพรุ่งนี้ก็หายแล้ว” ผมพูดด้วยความหงุดหงิด

“แล้วก็รีบไปอาบน้ำอาบท่าเข้าล่ะ ตากฝนมาแต่เช้า ตัวชื้นไปหมด” ได้ยินดังนั้นผมก็ทำท่าสั่นหัวไปทางโอ้ต ประมาณว่า ให้ตายกรูก็ม่ายอาบหรอกคืนนี้

“โอ้ต กินข้าวเสร็จแล้วตามไปในครัวด้วยนะ” ยายผมว่าพลางเดินออกไปนอกห้อง

“ครับ” ว่าพลางรวบช้อนส่อมเข้าที่

“จะไม่อาบน้ำจริงๆเหรอ”

“เออดิ เป็นหวัดอยู่นะ จะให้อาบน้ำตอนกลางคืนเนี่ย” ผมพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่บ้านตัวเอง ตอนนี้เริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกรอบแล้วคับ สงสัยยามันหมดฤทธิ์แล้ว ช่วงนี้ผมกะลังล้างหน้าแปรงฟัน (แต่ไม่อาบน้ำ)อยู่ ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา

“ปริ้นอยู่ในห้องน้ำเหรอ”

“อือออออ ”

“คุณยายให้เอาของมาให้ โอ้ตวางไว้บนหัวนอนน่ะ ”

“อืออออ ออบไอ (ขอบจาย) ”

ก๊อกๆ โอ้ตมันเคาะประตูห้องน้ำ

“อือ อ้าไอ (ว่างาย) ”

“แล้ว……. ตอนนอน ห่มผ้าด้วย”

หลังประตูห้องน้ำผมรู้ไม่รู้ว่าโอ้ตมันทำหน้ายังไงครับ แต่ที่รู้ก็คือ หน้าผมบานที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น

“อ๊าบบ (ค๊าบ) ”

ซักพัก ผมออกมาก็ไม่เห็นโอ้ตมันอยู่แล้ว ว้า เซ็งนิดๆ แต่เอาเหอะ กรูไม่สบายอยู่นี่หว่า ถึงแม้จะรู้สึกว่าเหนียวตัวเล็กๆ แต่ผมก็ทนกับอาการปวดหัว แล้วก็อ่อนเพลียไม่ไหว ขอกรูหลับก่อนเหอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

“คร่อก …… Zzzzzzzz”

กึก กึกก

แอ๊ดดดดดดด

ผมได้ยินเสียงฝนเริ่มตกกระหน่ำลงมาอีกรอบ ในช่วงกลางดึก แล้วก็รู้สึกสัมผัสอุ่นๆ มาอังบริเวณซอกคอ หน้าอก แล้วก็ตามลำตัว สุดท้าย มันก็มาโปะเข้าที่หน้าผาก

“อืออออ”

“อาไรวะเนี่ย ผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ตรงข้างหน้าสะดุ้งเฮือก ผมรับรู้ได้เท่านั้น ม่านตาก็ค่อยๆปิดเข้าสู่ภวังค์อีกรอบ (นี่ถ้าคนร้ายเข้ามากรูโดนฆ่าแน่)


* * * * * * * * * * * *

ตี้ดด ติ้ดดดด ติ้ดดดดดดดด

เสียงมือถือดังจนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา

“โหล” เสียงผมตอบไปงัวเงียโคตรๆ

“ตื่นได้แล้ว” เสียงไอ้โอ้ตคับ คราวนี้มาแปลกโทรสับมาปลุก

“อือๆ รู้แล้ว”

“เออ เดินมาเอาเสื้อที่เรือนใหญ่ด้วย เมื่อวานก็รีบลงมาไม่ทันได้บอก”

“อืออ” โอ้ตเอามาให้หน่อยดิ ผมเริ่มใช้งาน

“อ้าวกำลังจะอาบน้ำเนี่ย อีกนานเลยกว่าจะเสร็จ” เอ๊ะ ไอ้โอ้ตอาบน้ำนานเหรอวะ

“แน่ใจ๋ว่าอาบน้ำ ? ”

“เออดิ คิดว่าทำอะไรเล่า”

“อือๆ แค่นี้ก็ไปหยิบมาให้หน่อยไม่ได้” แล้วผมก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ สายตาก็เหลือบไปชามใส่หอมใหญ่ไว้เต็มชามเลย สงสัยยายจะให้โอ้ตหยิบมาให้เมื่อคืนนั่นเอง - - - แต่ ผ้าอะไรหว่า ?

ผมแอบสังเกตเห็นว่ามีผ้าผืนเล็กตกอยู่ข้างหมอนตัวเอง

“เอ๋ !? ”

แล้วผมก็งงกะตัวเองอีกรอบว่า เสื้อที่ผมใส่มะคืน กับวันนี้มันคนล่ะตัวกันนี่หว่า ระหว่างที่กำลังเง็ง โอ้ตมันก็โทรสับมาอีกครับ

“ทำอะไรอยู่ จะสายแล้วนะ” เสียงมันโมโหๆ

“เออๆ ” แล้วก็รีบวิ่งไปเปิดล็อกประตู ห้อไปเอาเสื้อที่ปักชื่อเสร็จเรียบร้อยที่เรือนใหญ่

“เป็นยังไงปริ้น ค่อยยังชั่วเหรอยัง ” ยายทักผมระหว่างที่กำลังจะเดินกลับ

“ครับ ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังน้ำมูกไหลอยู่อ่ะ”

“ดีแล้ว ยังไงวันนี้ก็อย่าไปตากฝนอีกล่ะ” โอ้ตเค้าพูดอะไรก็เชื่อบ้าง

“ครับยาย แต่คงไม่ตกแล้วมั้ง ตกไปม่ะคืนแล้วหนิ”

“หน้าฝนแบบนี้ เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก อย่าลืมติดร่มไปด้วยล่ะกัน”

“ค๊าบบบ - - - เออ ยาย ขอบคุณนะเรื่องหอมใหญ่อ่ะ”

ยายผมก็ยิ้มให้ครับ แต่ตอนนี้ผมว่าผมสายแล้วล่ะ เพราะว่าเห็นมันยืนโด่ทำหน้าถมึงทึงอยู่ที่หน้าบ้านผม

“มัวทำอะไรอยู่เนี่ย”

“เออๆๆ ดุจางว้อย” ผมพูดพลางรีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้ามาอีกที ไอ้ผ้าผืนนั้นก็หายไปแล้วครับ O_o’’

แว๊กก ผีหลอกกรูอีกแระ


* * * * * * * * * * * *

วันที่ 4 ของการมาเรียน ผมก็มาสายอีกตามเคย ไม่รู้เป็นแมร่งอาไร จนยามมันจำหน้าผมได้แระ

“ซื้ดด ซืดดดดด”

พรืดดด พรื้ดดดดดดดดด

“โห เด็กเทบเป็นหวัด” ไอ้คิวปากเสีย


“อ่า กรูเป็นคนนะ ไม่ใช่มึงหนิ ถึงไม่เป็นหวัด” ผมพูดแดกดันมันไป

“อ้าวสาดดด แล้วกรูไม่ใช่คนซะงั้น” แล้วมันก็เดินไปตบหัวไอ้ซัง

“อิ๊กคิว ดูเด็กมึงเด๊ะ เด๋วนี้ปากกล้าขาแข็ง”

“เกี่ยวไรกะกรูอีกเนี่ย” ซังบ่นหลังจากโดนลูกหลง

“เออ แล้วไปตบหัวซังมันทำไมอ่ะ” ผมพูดจบ ไอ้คิวมันก็มองผมเขม็งเลย แล้วก็เดินกลับไปที่ที่ ไม่พูดไม่จา

“เป็นเหี้ยไรมันน่ะ” ผมกระซิบถามซัง

“ไม่รู้มัน ช่างมันเหอะ เรียนๆ” ไอ้ซังมันก็ทำท่าทางโกรธๆเหมือนกัน เอ้าเป็นไรวะทั้งคู่เลย

ครับ ชีวิตในช่วงแรกๆ ของการมาเรียน ก็ไม่ได้มีอะไรผาดโผนมากเท่าไร ก็คล้ายๆ กับที่เรียนที่โรงเรียนเก่าอ่ะล่ะ เพียงแต่ว่า ตอนนี้จะมีเพื่อนผู้หญิงเข้ามาในชีวิตด้วย ได้รู้จักการจีบหญิง แซวนั่นแซวนี่ ก็ได้มาจากไอ้คิว แล้วก็เพื่อนๆในกลุ่มอ่ะล่ะ แต่ในเรื่องการเรียนของผมก็เรียกว่าฉลุยอ่ะ ไม่ใช่เก่งอะไรมากมาย แต่ในเรื่องวิชาการบางที มันก็ง่ายกว่าโรงเรียนเดิมมาก ยกเว้นวิชาเดียวคือ เลข ที่ผมต้องคอยพึ่ง ซังมันตลอด

“เฮ้ย นี่มันจะสอบกลางภาคแล้วนะ มึงไม่คิดจะอ่านหนังสือมั่งเลยเหรอ” ซังมันเดินไปคว้าหนังสือการ์ตูนที่ไอ้คิวกะลังอ่านอย่างเมามันส์

“สาดด เอาคืนมา” ไอ้คิวมันทำท่ากินเลือดกินเนื้อ แต่ซังมันก็โยนหนังสือมาให้ผม

“ไปเอาคืนที่ปริ้นมันโน่น” เอ้า โยนบาปให้กรูแระ

“เออ คิว กรูก็ว่างั้นล่ะ มึงผ่านม 4 มาได้ไงวะ โดดตลอด” พร้อมๆกับเปลี่ยนหนังสือจากมือซ้ายไปมือขวา ไม่ให้ไอ้คิวมันหยิบได้ แถมผมตัวสูงกว่ามัน มันก็เลยเอื้อมาหยิบไม่ถึง

“เหี้ยยยยย พวกเมิง แกล้งกรู เด๋วต่อยคว่ำหรอก” ไอ้คิวมันโมโห แต่พวกผมก็ชินกับคำขู่ฟ่อๆ แล้วครับ มันเอาจริงเฉพาะคนอื่นๆ แต่กับเพื่อนมันเนี่ย ผมยังไม่เคยเห็นมันทำร้ายใครซักคน นี่เป็นข้อดีของมันอ่ะ

“คืนหนังสือกูมาไอ้ปริ้น” มันว่าแล้วก็ทำหน้าเอาจริงเอาจัง

ผมก็มองไปที่ซังที่กำลังปั่นงานอยู่ มันก็ทำหน้าแบบไม่ต้องคืน

เมื่อเห็นผมไม่คืน ไอ้คิวมันก็ทำท่าโกรธมากๆ แล้วก็คว้าหนังสือเรียน(ที่มีอยู่น้อยนิด) เดินไปทางโรงอาหาร

“เฮ้ยมึง จะเข้าเรียนแล้วนะ” ซังมันตะโกนบอก แต่ดูเหมือนคิวมันจะโกรธคับ ไม่ยอมพูดจา เดินตรงแน่วๆไป

“ไอ้คิวมันจะรู้มั้ยวะ ว่าเพื่อนจะช่วยมันไปตลอดไม่ได้หรอก สัด” แล้วมันก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

“มึงก็เหมือนกัน ปริ้น เลขง่ายๆแค่นี้ก็ทำไม่ได้อ่ะ” อ้าว มาพาลกรู

“แค่เลขวิชาเดียวเอง หยวนๆหน่อย อังกฤษก็ให้เมิงหรอกม่ะใช่เหรอ” ผมทวงบุญคุณ

แล้ววิชาต่อมา ไอ้คิวมันก็ไม่เข้าครับ ทำให้ซังมันหงุดหงิดมากขึ้น

“ไปไหนของมันวะ”

“เฮ้ย ซังใจเย็นๆหว่ะ” คบกันมาเกือบครึ่งเทอม พึ่งรู้ว่าซังมันไม่ค่อยหงุดหงิดอะไรง่ายๆแบบนี้นี่นา

ซักพัก มือถือผมก็สั่น ก็ค่อยๆก้มรับแบบไม่ให้อาจารย์เห็น

“คับ”

“ปริ้น เรียนอยู่หรือป่าว” เสียงโอ้ตครับ

“อือ มีไร”

“เพื่อนปริ้นมันไปต่อยเด็ก ม.5 เข้า”

“ไอ้คิวอ่ะนะ ” ผมโพล่งขึ้นมาเสียงดัง จนอาจารย์หันมาหาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ?

“ป่าวครับ” ผมพูดแล้วมองไปที่ซัง

“ไอ้คิวเป็นไรวะ” ซังมันถาม

“มีเรื่องกะเด็ก ม.5 หว่ะ ตอนนี้อยู่ห้องปกครอง”

“แม่ม เอ้ยยยยย” เสียงซังสบถเบาๆ แล้วมันก็ลุกขึ้นขออนุญาตลงไปห้องน้ำ ด้วยความงุนงงของผมและเพื่อนๆ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรมันหรอก คิดว่าคงห่วงเพื่อนซี้มันอ่ะนะ

ทีนี้ก็เหลือผมกะเพื่อนในกลุ่มอีกสองสามคนที่ต้องนั่งกระวนกระวายใจ จนหมดคาบล่ะครับ ก็เลยวิ่งไปที่ห้องปกครอง ก็ปรากฏว่าไม่เห็นใครแล้ว ก็เลยกดมือถือไปหาไอ้โอ้ต

“เฮ้ย บอกว่าห้ามใช้มือถือในเวลาเรียน” อยู่ๆ พ่อ ก็โผล่มาจากไหนม่ะรู้ ผมเลยวิ่งกระโดดจากบันไดวิ่งปรี้ด ไปหาที่โทรสับใหม่

“โอ้ต”

“เรียนอยู่”

“เออ ขอโทด แต่ไอ้คิวมันอยู่ไหน”

“ไม่ได้อยู่ห้องปกครองเหรอ”

“ป่าว”

“งั้นก็คงไปห้องพยาบาลมั้ง”

“แล้วเรื่องมันเป็นยังไงอ่ะ”

“ไม่รู้น่ะ แต่รู้สึกว่า คิวมันไปหาเรื่องกะน้องมันก่อน แล้วทีนี้ก็เลยพวกรุมเอา”

“โหย แล้วเป็นไรมากป่ะ”

“ก็ปากแตก แล้วก็ ..- - - ว่าแต่ ทำไมห่วงมันจัง”

“อ้าวทำไมถามแบบนั้นอ่ะ ก็เพื่อนทั้งคน” ผมพูดด้วยความหงุดหงิด แค่นี้ล่ะกาน

“ว่าไงปริ้น คิวมันอยู่ไหน” เพื่อนคนนึงที่ตามมาด้วยถาม

“เออ สงสัยอยู่ห้องพยาบาลหว่ะ แต่มันคงไม่เป็นไรมากอ่ะ”

“อ้าว เชี่ย กรูก็ไปหามันไมได้อะดิ” เพื่อนคนนั้นบอก

“ทำไมวะ”

“ก็กรูไม่ถูกกะครูในห้องพยาบาล”

“เออ งั้นมึงขึ้นเรียนเหอะ เด๋วกรูไปดูมันเอง”

“เออ ฝากดูด้วย ไอ้ซังก็ไปไหนก็ไม่รู้”

“อยู่กับไอ้คิวมั้ง” ผมว่า ก็ไม่ได้คิดอะไรครับ ก็มันซี้กันนี่นา จะห่วงกันมากก็ไม่แปลก

ผมก็เดินไปห้องพยาบาล ที่อยู่ใต้อาคาร 3 ปกติก็ไม่ค่อยได้มาหรอก รู้แต่ว่าอาจารย์เฮี้ยบมากๆอ่ะ ไม่สมกะเป็นพยาบาลเลย แต่พอไปถึงก็ปรากฏว่า ห้องมันปิดประตูไปบานนึงแล้ว เดินเข้าไปในห้อง ก็ไม่มีใครอยู่ซักคน

“ไปไหนหมดกันวะ” ผมพึมพำเบาๆ แล้วก็เดินไปที่ห้องที่เอาไว้ให้นักเรียน นอนพักครับ ซึ่งมันจะแยกเป็นสองห้อง ชายหญิง ทางเข้าจะมีผ้าม่านกั้นไว้อ่ะ

“กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามีเรื่องกับคนอื่นอีกไอ้คิว มึงก็ไม่เคยเชื่อกูอ่ะ” เสียงซังดังออกมาจากในห้อง

อ่าอยู่ในห้องนี่เอง กรูหาตั้งนาน ผมว่าพลางเดินดิ่งไปที่ห้อง

“… จะทำอะไรก็เรื่องของกู” เสียงไอ้คิวดังลอดออกมา

“เออ มึงจะทำอะไรก็ช่างมึง กูโง่เองที่เสือกเรื่องของมึง” ซังพูดเสียงสั่น

อ่ะ มันทะเลาะกันอีกแล้ว เสียงเริ่มดังขึ้น โชคดีที่ไม่มีคนอยู่ในห้อง ยกเว้นกระผม

“มึงจะไปไหน เสียงไอ้คิวดังขึ้น พร้อมๆกันกับเสียงซังมันร้องโอ้ย เหมือนโดนกระชากแขน

เท้าผมหยุดกึกที่หน้าห้องครับ แบบนี้มันแปลกๆแล้วนะนี่

“ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีมึงอยู่ไง - - - ปล่อยกูไอ้สัดด” เฮ้ย มึงคุยอะไรกัน ช่วยเบาๆหน่อยได้มั้ย กรูกลัวเค้าได้ยินกันหมดว้อยยยย

คราวนี้ไอ้คิวมันพูดเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

“ซังมึงไม่รัก กูแล้วใช่ป่าว มึงถึงจะทิ้งกูไป”


วิ้ว วิ้ววว (นึกถึงฉากห้องพยาบาลว่างๆ แล้วมีใบไม้ปลิว พร้อมกับเสียงลมแผ่วๆ)

ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองแดงซ่าน ถ้าให้เลือกได้ ผมยอมที่จะไม่เข้ามาในห้องนี้ แล้วก็ได้ยินสิ่งที่เพื่อนสองคนมันพูดกันหรอก ไม่ใช่รังเกียจ ไม่ใช่อิจฉา แต่เป็นเพราะ มันควรที่จะเป็นความลับของคนสองคนที่จะรับรู้กันแค่นั้นมากกว่า

เสียงในห้องพักเงียบไป จนผมใจหาย เลยค่อยๆแหวกผ้าม่านออกทีละนิดทีละนิด

ให้ตายซิโรบิ้น ผมไม่ได้ตอแหลนะ ไม่ว่าตอนนี้ผมจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์หรือไม่เป็นก็ตาม สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นภาพที่เพื่อนผมสองคนกะลังจูบกันอย่างดูดดื่ม โดยไม่รู้ว่ามีสายตาคนๆนึงมองอยู่

ผมเห็นไอ้คิวมันค่อยๆจับซังพลิกตัวไปด้านล่าง แล้วก็ขึ้นทับไปบนตัว

“เอื๊อกกกกกก ……….”ผมกลืนน้ำลาย กล้องวีดีโอ กล้องวีดีโออยู่หน่ายยยยยยยยย กรูจะถ่ายไปขาย เอ้ย ไม่ใช่ ผมยืนนิ่งเหมือนโดนหนัง x สะกด

จนต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อซังมันเหลือบมาเห็นผ้าม่านมันแหวกอยู่พร้อมกับคงเห็นมีคนแอบมองอยู่

“เฮ้ยยย … ใคร”

ตัวผมรีบถอยหนีโดยอัตโนมัติ จนก้าวพลาดล้มลงเสียงดังตึง

“อะ ไอ้ปริ้น” เสียงไอ้คิวแหวกผ้าม่านมาเจอผมล้มอยู่

ชิบบบหายยยยย



ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #7 เมื่อ22-10-2006 22:35:56 »

หะ เห็นมึงหายไปนาน ก็เลยมาตามหาอ่ะ” ผมพูดตะกุกตะกัก รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว หน้าไอ้คิวก็แดงพอกัน (แดงจนดำ 555)

“เออ มึงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เด๋วกูกลับก่อน เด๋ว เด๋ว พี่โอ้ตเค้ารอกูอยู่” ผมรีบร้อนจนพูดผิดพูดเถิก เอ้ย ถูก แล้วก็เผ่นแผล่วออกมาจากห้องพยาบาลทันที ไอ้คิวมันก็ไม่คิดจะตามผมมาคับ เห็นยืนนิ่งอยู่แบบนั้น

“แฮ่กก ๆๆๆๆๆ”

“โดนหมาที่ไหนวิ่งไล่มาเนี่ย” โอ้ตมันว่าที่เห็นสภาพผมหอบมาที่หน้าห้องปกครอง

“หมาที่ไหนเล่า ไอ้คิวตะหาก …. ”

“คิวมันทำไม ? ”

“- - เออ ก็มันโดนต่อยมาไง” ผมรีบแก้ตัว

“ก็โอ้ตเป็นคนบอกปริ้นเองหนิ” โอ้ตมันมองหน้าผมแบบสงสัย

“เออ นั่นแหละ จะกลับบ้านยังอ่ะ เร็วเข้า”

“หนีใครมาเหรอป่าว” โอ้ตมันพูดแบบจับผิด เข้าตรงกลางใจดำ

ติ้ด ติดดด ติ้ดดดดดดดดดดดด

ผมมองมือถือ ก็เห็นว่าเป็นเบอร์ซังโทรมาครับ แว๊ก มันจะโทรมาด่าผมเหรอป่าวเนี่ย แล้วผมก็ตัดสินใจปล่อยให้มันดังไป จนโอ้ตมันทักว่าใครโทรมา

“เพื่อนอ่ะ ”

“แล้วทำไมไม่รับล่ะ ? ”

“ขี้เกียจคุยกะมาน มันจะขอลอกการบ้านอ่ะ” ผมแถไปโน่น

“ป่ะ กลับเหอะ” พร้อมกับกดตัดสัญญาณแล้วก็ปิดเครื่องเลย

- กูขอโทดหว่ะ ซัง แต่กูไม่รู้จะคุยอะไรกะมึงตอนนี้อ่ะ - ผมคิด


* * * * * * * * * * * *

พอกลับถึงบ้าน ในหัวผมก็คิดภาพไอ้คิวมันกะลังนัวเนียกะซังอยู่ ถึงผมจะเคยอยู่ รร ชายล้วนมาก็เหอะ มันก็มีเห็นพวกคู่เกย์คบกันตั้งเยอะแยะ แต่ทำไมคราวนี้ผมถึงตกใจวะ สงสัยเป็นเพราะว่า มันเป็นเพื่อนสนิทของผม (อีกคนเกือบสนิท) โดยเฉพาะ เถื่อนๆอย่าไอ้คิว ไม่คิดหรอกคับ ว่ามันจะเป็นเกย์ เลยแอบตกใจหน่อย ที่เห็นหนังสดต่อหน้าต่อตา

มันจะคิดว่าผมรังเกียจมันป่าวนี่ ?

ผมคิดในใจวนแล้ววนอีก ผมไม่ได้รังเกียจมันนะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอะไรก็เหอะ แต่ … แต่ทำไมผมดันไปวิ่งหนีมันแบบนั้นล่ะวะ

- ดันไม่รับโทรสับมันแบบนั้น -

- กดตัดสายซังมันแบบนั้น -

ความรู้สึกผิดพลาดมันกดให้ผมจมอยู่กับที่นอน ไม่อยากจะลุก อยากจะขยับไปไหน ผมรีบกดเปิดมือถือ แล้วก็รอ แล้ว รอเล่า ให้ซัง หรือไอ้คิวโทรกลับมา แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาเลย ผมชักเริ่มเครียดเมื่อโทรไปหาซังแล้วมันก็ปิดมือถือ เหมือนกัน

มันคงเครียดกว่าผมร้อยเท่า มันยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ด้วย (พอกันกับผม) ว้อยยย ทำไมกูทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเลยวะ

“ปริ้น นอนยัง”

“ยัง ….. เข้ามาดิโอ้ต ”

โอ้ตมันก็เปิดประตูเข้ามา แล้วก็เดินมานั่งปลายเตียง

“เป็นไร มีอะไรอยากจะบอกโอ้ตมั้ย”

“มีอะไร ? … ไม่มีอ่ะ” ผมปากแข็งคับ

โอ้ตมันดูไม่ค่อยสบายใจเหมือนกัน ที่ได้ยินผมพูดแบบนี้

“งั้นถ้าปริ้นไม่มีอะไรจะบอก แต่โอ้ตมีเรื่องจะบอกปริ้นอยู่อย่างนึง” ว่าแล้วมันก็ลุกขึ้นเดินมาจับไหล่ผมไว้

“… คนที่เป็นเพื่อนกันน่ะ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาแค่วันสองวันแล้วถึงเรียกว่าเพื่อนหรอกนะ - - -” ผมรู้แล้วคับ ว่าโอ้ตจะพูดเรื่องอะไร

“- - - ถ้าเพื่อน ไม่ยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเป็น …….. สิ่งที่เพื่อนรัก ……….. สิ่งที่เพื่อนทำ เค้าไม่เรียกว่าเป็นเพื่อนกันหรอก” แล้วมันก็เอามือมาลูบหัวผมแบบปลอบๆ
“ ม่ะ ม่ะ ไม่ใช่นะโอ้ต” ผมเริ่มรู้สึกว่า มีก้อนสะอึกอยู่ที่คอ กว่าจะพูดแต่ละคำมันช่างยากเย็น

“เราอ่ะ เรา - - -” น้ำตาผมหยดลงบนหัวเข่าตัวเอง ไม่เคยเกียดอะไรพวกมันเลยนะ ไม่เคยเลย ฮึก ฮึก

“อือ …” มันพูดแค่นั้น แต่ภาษากายที่มันทำอยู่ ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาก

“แค่ .. ทำตัวไม่ถูก …. แค่นั้นเอง … โอ้ตเชื่อเรานะ ปริ้นไม่ได้เกียดอะไรมันเลย” ผมจับแขนโอ้ตเขย่าๆ แล้วก็มองหน้ามัน ให้มันรู้ว่า สิ่งที่ผมพูดมันจริงใจแค่ไหน

“อือ ไม่เป็นไรหรอก คิดแบบนี้ก็ดีแล้ว” โอ้ตมันยิ้มบอกผม แล้วก็เอามือสองมือมาปาดน้ำตา

“พรุ่งนี้ก็ไปคุยกะสองคนนั่นให้รู้เรื่องล่ะกัน …. แล้วร้องไห้ทำไมฟ่ะ เรื่องแค่นี้เอง”

“ร้องที่ไหนวะ วู้” ผมว่าพลางเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างไว ยางอายเริ่มเข้ามาครอบงำแระ


* * * * * * * * * * * *

วันรุ่งขึ้น ใจผมก็ยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวครับ โอ้ตมันบอกว่า เมื่อวาน ซังโทรมาหา แล้วก็ปรึกษาเรื่องที่ผมปิดมือถือ ไม่ยอมคุยกะมัน โอ้ตบอกว่า รู้ว่าซังเนี่ย มันมีความสัมพันธ์อะไรกะไอ้คิวตั้งนานแล้ว ซังมันก็เลยให้โอ้ตมาคุยกะผมว่า จะเอายังไง มันไม่สบายใจมาก

“ก็คุยกันให้รู้เรื่องล่ะกัน” โอ้ตบอกผมก่อนที่จะแยกไปเข้าแถวห้อง พอมาถึงแถวห้องผม ก็ปรากฏว่าไอ้คิว กะซังไม่ได้มาเข้าแถวคับ เอาแล้วดิกู ใจไม่ดีแระ

พอขึ้นคาบ 1 พวกมันก็หายหัวไม่มาเรียนเหมือนเดิม ไอ้คิวอะ ปกติ แต่ซังนี่ดิ มันไม่เคยขาดเรียนเลย ใจผมแป้วไปถึงตาตุ่ม โทรหาซังมันก็ไม่ติด ส่วนไอ้คิวไม่มีมือถือคับ เลยติดต่อมันไม่ได้

จนเวลาล่วงมาตอนกลางวัน ก็ไม่เห็นเงาหัวของไอ้สองตัวนั่นเลย เพื่อนคนอื่นๆก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย

“เฮ้ย โป้ง กูไม่เรียนคาบต่อไปนะ” ผมพูดแบบเสียไม่ได้

“อ้าว เป็นอะไร”

“กูเซ็งไงไม่รู้วะ ไปนอนหลังเขาดีกว่า ”

“เออ ระวังพ่อมาตรวจล่ะ”

ผมพยักหน้า แล้วก็เดินลงจากอาคารเรียน มองซ้ายมองขวาปลอดคน ก็เลยหามานั่งที่ม้านั่งยาว บ้าชะมัด ไอ้เวลาที่อยากเจอ มันก็หายไปไหนวะ เซงเลยกู แล้วหัวสมองผมก็แล่นกลับไปที่ห้องพยาบาลกับเหตุการณ์ม่ะวานอีกรอบ

“ซังมึงไม่รักกูแล้วใช่ป่าว มึงถึงจะทิ้งกูไป”

สลับกับภาพที่มันสองคนกำลังจูบปากกันอยู่ อ่า จะว่าไป มันก็ดูเหมาะสมกันดีคับ อีกคนดูเถื่อนๆแมนๆ อีกคนขาวใส หน้ารัก

มโนภาพผมกลับค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ว่าถ้าเหตุการณ์ที่เหลือต่อจากนั้นคืออะไร

“ไอ้คิว นี่มันห้องพยาบาลนะมึง เดี๋ยวคนมาเห็นเข - - -” คิวมันค่อยๆบรรจงประกบปากกับซังอย่างแผ่วเบา จนตัวมันกระตุกหน่อยๆ ก่อนจะค่อยผ่อนคลายลงตามลำดับ

“อือ คิว …”

คิวมันค่อยๆจับซังพลิกตัวไปด้านล่าง แล้วก็ขึ้นทับไปบนตัว ท่อนล่างของมันเริ่มบดเบียดกันอย่างรุนแรง

“ไหนว่าไม่มีอารมณ์ไง” ไอ้คิวถามเสียงกระเส่า “แข็งเชียวมึง” พร้อมกับโน้มตัวไปดูดปากกับซังอีกรอบ


ปากข้างนึงของมันก็จัดการไล้ลิ้นไปบนหัวนมของไอ้ซังจนมันสั่นสะท้าน มืออีกข้างก็เลื้อยไหล่ไปบริเวณกลางลำตัวของซัง

“ซี้ดดดด คิว กูเสียววว”

เสียงนั่นกลับทำให้ไอ้คิวฮึกเหิมชอบกล พลางขบกัดบริเวณหน้าอกจนร่างหนุ่มตี๋สั่นสะท้าน

“ปริ้น มึงเสียวมากป่าว” เสียงคิวถามผมพลางรูดเล่นไอ้ตัวเขื่องที่อยู่ด้านล่างด้วยความถนุถนอม

“อือ กูจะไม่ไหวแล้ว ไอ้คิว” ผมว่า พลางเอามือโอบคอไอ้คิวลงมาจูบอย่างรุนแรง

“จะทำอะไรก็รีบทำเหอะมึง กูจะ - - - อ๊อกกก”

“อยู่นี่เองมึงไอ้ปริ้น” เสียงไอ้คิวตัวจริงทำเอาผมสะดุ้งกับภาพจินตนาการล้ำลึก เฮ้ย ทำไมคิดถึงไอ้คิวกะซังอยู่ดีๆ กับกลายเป็นไอ้คิวกับผมไปได้ไงวะ

“เออ หายไปไหนมาทั้งวัน” ผมพูดกับมัน แล้วค่อยๆยกตัวขึ้นมานั่งอย่างยากลำบาก (ไอ้น้องชายมันกะลังเคารพธงชาติอยู่)

“คือ เรื่องเมื่อวาน - - -” ผมกะมันพูดเกือบพร้อมกัน

“เออ เรื่องเมื่อวาน กูขอโทษนะ” ผมพูดขึ้นมา แล้วจากนั้น คำพูดของผมก็พล่างพลูออกมา เหมือนเขื่อนแตก จนไอ้คิวทำหน้าเหวอแดก เพราะมันคิดว่าผมคงจะรับไม่ได้ ถึงได้วิ่งตูดเปิดไปม่ะวาน

“เออ มึงก็เล่นปิดมือถือแบบนั้น ไอ้ซังมัน กลุ้มใจตายห่า ”ไอ้คิวบ่นใส่ผมหน้าเครียด “ เนี่ย เมื่อคืนมันร้องไห้กะกูทั้งคืนเลย ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน กลัวว่ามึงจะไม่เข้าใจมัน”

ผมหน้าเสียขึ้นมาอีกรอบนึง คิดแล้ว ไอ้ซังมันต้องคิดมาก

“แล้วมีใครรู้เรื่องมึงกะมันป่ะวะ” ผมถาม ไอ้คิวมันก็บอกว่า มีแค่ไอ้โอ้ต แค่นั้นที่รู้ เพราะว่า ซังมันสนิทกะโอ้ตมานาน มันเลยเครียด

“แล้วนี่ซังมันอยู่ไหนอ่ะ”

“นอนอยู่บ้านกู จริงๆมันอยากจะคุยกะมึงด้วยซ้ำ แต่กูบอกว่า กูจะมาดูลาดเลาก่อน”

“ดูลาดเลาทำเหี้ยไรวะ” ผมสงสัย

“อ้าว ก็เผื่อมึงรับไม่ได้จริงๆ กูจะทำให้มึงรับได้ก่อนไง” มันพูดแล้วก็หัวเราะมีเลศนัย

“ไอ้สาดดด มึงจะทำไรกูได้วะ” ผมพูดหัวเราะแบบเจือนๆ

“กูก็ - - -” มันพูดไม่ทันจบ มันก็เดินมาข้างหลังที่นั่งที่ผมนั่งอยู่

“ทำงี้ไง” ว่าแล้วมันก็เข้ามากอดผมทางด้านหลัง แล้วเอาหน้ามันมาคลอเคลียๆอยู่ตรงคอผมอะ โคตรสยิวกิ้วเลย

“เหี้ยย กูขนลุก ไอ้สัดดดดด” ผมพูดพลางดันหน้ามันไปให้ห่างๆ แต่แรงมันเยอะกว่าผมคับ มันก็เล่นของมันต่อ

“ขนลุก แล้ว Kลุกป่าววะ” มันก็เอื้อมมาจะจับKผมคับ แต่ผมเอามือบังทันก่อน ไม่งั้นมันได้จับอนาคอนด้าแน่ๆ

“เชี่ย มึงเล่นของสูง” แล้วมันก็ผละออกจากตัวผม หัวเราะชอบใจ เย็สสสสเข้เจงๆ

“เออ งั้นเด๋วพรุ่งนี้กูค่อยคุยกะซังล่ะกัน ฝากบอกมันด้วยอ่ะ ว่าไม่ต้องกังวล กูรับพวกมึงได้

“เหรอ กูก็อยากลองเหมือนกานหว่ะ ตูดเมิงจารับได้เจงๆป่าว” อ่ะ ไอ้นี่ยังไม่เลิก

“เชี่ยล่ะมึง ควายอย่างมึงกูไม่เอาหรอกว้อยยย” ผมตอกกลับให้มันรู้สถานภาพตัวเอง

“อย่างกูไม่ได้ แล้วอย่างไอ้โอ้ตได้ป่าววะ”

เชี่ย จุก …. กว่าเดิมอีกกู !?

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #8 เมื่อ22-10-2006 22:36:28 »

หลังจากที่ผมได้ล่วงรู้ความลับแบบแอบๆของเพื่อนทั้ง 2 คน บางทีมันทำให้ผมรู้สึกว่า กูโชคดีหรือโชคร้ายวะ โชคดีตรงที่ว่า เรายังคบกันเป็นเพื่อนเหมือนเดิม แถมยังซี้ปึ๊กกว่าเดิมอีก โดยเฉพาะซังกับผม แต่โชคร้ายคงจะเป็นพักหลัง มันมักจะให้ชวนผมไปโน่นมานี่กัน 3 คน เพราะว่า จะทำให้คนอื่นไม่ต้องสงสัย ผมก็เลยต้องทนดูมันอี๋อ๋อกัน 2 คนซะงั้น ….

“เฮ้ย มึงสองคนอ่ะ จะละเลียดแดร่กข้าวกันอีกนานมั้ย บ้านกูอยู่ไกลนะ”

ผมด่าใส่ไอ้สองตัวนั่นที่กำลังนั่งกินสปาเก็ตตี้จานเดียวกัน แต่แมร่ง แดร่กยังไม่ถึงครึ่งจาน วันนี้นัดกันติวหนังสือสอบที่บ้านไอ้คิวคับ สะดวกสุด เพราะว่าอยู่ซอยตรงกันข้ามกับโรงเรียนเลย ส่วนบ้านไอ้ซังไม่สะดวกเพราะว่า ทั้ง อากง อาม่า บลาๆ อยู่กันเต็มบ้าน ส่วนบ้านผมไม่ต้องพูดถึง .. บ้านนอกอ่ะ

“เมิงจารีบไปทำไมวะ บ้านกูก็อยู่แค่นี้ ”ไอ้คิวมันว่า พลางทำท่าใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ แล้วก็อมมันไปทั้งอัน

“สาดด บ้านกูไม่ได้อยู่แถวนี้เหมือนมึงหนิ เด๋วอ่านแป็บเดียวก็หมดเวลา แล้วให้กูเสียเวลามาทำไมฟร่ะ” ผมหวุดหงิดคับ เพราะว่ามันไม่มีท่าทีจะสะทกสะท้าน

“เฮ้ย คิว กูว่ารีบกินเหอะ เกรงใจปริ้นมัน” ซังบอก

“เออ ก็ได้วะคับ …” ไอ้คิวว่า แล้วก็หันไปมองหน้าซัง “ … ที่ร๊ากก”

แล้วมันก็รีบโซ้ย ปล่อยให้ไอ้ซังกะผมหน้าแดง ไอ้ซังมันคงเขิลผมล่ะ แต่ผมนี่ดิ แดงเพราะว่าอิจฉาว้อยยย เหม่ มาหวีตอะไรต่อหน้าต่อตาวะ สาดดดดดดด

พอกินเสร็จ ก็ไปบ้านไอ้คิวคับ มันอยู่กับพ่อมันแค่ 2 คน แม่มันไปมีบ้านใหม่อยู่ต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าบ้านมันจะดูใหญ่ก็ตาม แต่พอเข้ามา ก็แทบที่จะหาที่เดินไม่ได้คับ รกโคตรๆๆๆๆ ไม่รู้ไอ้ซังมันทนมาบ้านนี้ได้ไงวะ

“อ้าว พ่อมึงไม่อยู่เหรอ ผมถามเพราะจะได้ไปหวัดดีก่อน”

“ไม่รู้หว่ะ เด๋วเดินดูก่อน” อ้าว …. พ่อตัวไปไหนก็ไม่รู้

“เออ สงสัยไม่อยู่วะ แต่เด๋วก็คงกลับ เข้ามาๆๆ” ไอ้คิวมันก็เดินนำไปที่ห้องมัน ซึ่งก็แบบว่า กว้างแล้วก็รกน้อยกว่าห้องอื่นพอควร เดินเข้าไป ไอ้ซังก็บ่นเบาๆว่า “รกอีกแระ” อ่อ สงสัยที่มันรกน้อยนี่ ซังมันคงมาจัดให้หลายรอบแล้วล่ะ

“งั้นกรูขออ่านการ์ตูนก่อนนะ พวกเมิงติวกันไปก่อน” ว่าแล้วมันก็โดดขึ้นเตียง แล้วก็อ่านการ์ตูนสบายใจเฉิบ

“ไรวะ ? ”

“เออ ช่างมันเหอะ เดี๋ยวปริ้นติวให้ซัง แล้วเดี๋ยวสอนมันเอง ดีกว่าให้มันมานั่งกวนสมาธิ” ซังมันบอก พร้อมกับที่ไอ้คิวมันยกขึ้นมาถีบตูด

“อือๆ ผมละเซ็ง แล้วก็เดินไปนั่ง กางหนังสือ แล้วก็ บลา บลา บลาๆๆๆ กันไปประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ (กูก็ทรหดเหมือนกันนี่นา) ก็ถึงตาซังมันเก็งข้อสอบเลขให้บ้างแล้ว ผมเหลือบไปมองเห็นไอ้คิวเอาหนังสือวางพาดหน้า สงสัยหลับไปแล้ว ไอ้เลววววว

“ปริ้น ไม่เข้าใจตรงไหนอ่ะ”

“ก็ เกือบหมดอ่ะ ”

“เป็นเล่น !! ”

“เจงๆ ”

“อ้าว แล้วตอนเรียนที่ สวนฯอ่ะ ”

“ก็ไม่รู้เรื่องนั่นแหละ”

“ต้องเริ่มตั้งแต่พื้นฐาน ม 4 เลยอะดิ” ซังมันส่ายหัวคับ แล้วก็ไปค้นๆ หนังสือ ม 4 ของไอ้คิวมาเริ่มติว แบบคนเก่งเลขคับ หลังจากนั้น เวลาผ่านไปเท่าใด ผมก็จำไม่ค่อยได้ แต่รู้ว่ามันนานมากๆ เป็นชาติเศษเลย

“เด๋ว พอก่อน ไม่หวายแล้วววววว” ผมร้อง แล้วก็ฟุบหน้าลงไปกะโต๊ะ

“พึ่งถึงความน่าจะเป็นเองปริ้น อีกเยอะเลยหว่ะ” ซังมันพูดแล้วก็เดินไปหยิบขวดน้ำมาดวดอึ๊กๆๆๆๆ

“เอ้ย ลุกมาต่อเลย เร็วๆ” ซังมันบอก แล้วก็เอามือมาโยกหัวไปมา

“โน่นๆๆ ไปปลุกแฟนตัวเองเหอะ แม่มมม นอนกินแรงคนอื่น” แต่ไอ้ซังมานก็ยังไม่ยอมเลิกเล่นหัวผมซะที

“ผมคิวแม่งแข็งหว่ะ ไม่เหมือนผมปริ้น” มันพูดขึ้นมา ทำเอาผมรู้สึกชอบกล

“อะดิ ก็มานเรียน รด มันก็ต้องตัดผมบ่อยอะ ก็เลยแข็ง ไม่เหมือนปริ้น ไม่ได้เรียนนี่หว่า” ผมตอบแก้เขิน

“แล้วทำไมปริ้นไม่เรียน รด ล่ะ ” พูดไปมันก็เล่นหัวผมไป เมิงจาหาเห็บไรให้กูเหรอไง ไอ้ซัง

“ขี้เกียจอ่ะ ม 4 ก็เรียนนะ แต่พอย้ายมา ก็ขี้เกียจทำเรื่อง ยุ่งยาก”

“เดี๋ยวก็ได้จับใบแดง เหอะๆ ”

“กลัวรายว้า อย่างมากก็เป็นทหาร 2 ปี” ผมว่า แต่บอกตามตรงว่า ยังไม่ได้คิดอะไรไกลถึงขั้นนั้นเลย

“ครืดดดดดดดดดด” เสียงไอ้คิวกรนคับ ซังมันสะดุ้ง เอามือออกจากหัวผม

“ไรว้า กะลังเพลินๆ กลัวแฟนทำโทษเหรอไง” ผมแซวไอ้ซัง

“ไอ้บ้า พูดไรไม่รู้เรื่องวุ้ย มาต่อเหอะ” ซังมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ลากให้ผมกลับลงสู่นรกทางตรรกะศาสตร์อีกหลายรอบ

กู - เกลียด – เลข


* * * * * * * * * * * *

“อืมมมม อืออออ ”

ผมผุดลุกขึ้นมาอีกที ห้องก็มืดตื๋อไปหมด พร้อมกับเสียงฝนตกพร่ำๆ เฮ้ย กูติวเลขจนสลบไปเลยเหรอวะ แล้วมานหายไปไหนกันหมด

พลั้กกกกกกก

ผมพยายามเดินหาสวิตท์เปิดไฟจน ขาไปกระแทกเข้ากับขอบอะไรบางอย่าง เจ็บชิบหายยยย ห้องก็แบบว่าของวางระเกะระกะไปหมด

กี่โมงแล้ววะเนี่ย กูโดนด่าแน่ ผมชักเริ่มกลุ้มจิต เนื่องจากมืดขนาดนี้คงไม่ต่ำกว่าทุ่ม สองทุ่มแล้ว ฝนก็ดันตกอีก จนสายตาพอจะชินกับความมืด ก็คลำไปจนเจอกับลูกบิดประตู ก็เลยถือวิสาสะเดินลงมาด้านล่าง (ห้องไอ้คิวอยู่ชั้น 2 คับ) พอดีกับชายวัยกลางคนก็เปิดประตูเข้ามา

สิ่งที่เข้ามาพร้อมกับคน ก็คือกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งเลยคับ หง่ะ

“ครายยยยยยยวะ” เสียงพูดอ้อแอ้ๆ จะคุยรู้เรื่องเหรอวะ ถ้าคิดว่ากูเป็นโจรนี่ซวยแน่

“ปริ้นคับ เป็นเพื่อนคิว คือวั - - -” ผมพูดยังไม่ทันจบ พ่อมันก็สวนขึ้นมา

“อ่ออออออ เพื่อนนนนนนนอ้ายยคิว แลวววนี่มานนนไปอยู่ไหนนนนเนี่ย ปล่อยยให้ อ๊อกกกก” พูดไม่จบ ก็อ๊วกพุ่งเป็นที่น่าสยดสยองยิ่งนัก

แล้วบิดาไอ้คิวก็นั่งฟุบลงไปกะพื้นคับ ผมไม่รู้ทำไง ก็เลยพยายามลากตัวแกเข้ามาในห้องรับแขก แล้วก็วางไว้บนโซฟา ตัวแมร่งใหญ่พอๆกับลูกมันเลย

“เอ้า พ่อ มาตั้งแต่ม่ะไร ”ไอ้คิวมันเดินออกมาจากอีกฟากนึง นุ่งผ้าเช็ดตัวสั้นจู๋ ตัวก็ไม่ยอมเช็ด แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์อะไรกะมันนอกจากอารมณ์เสียคับ ก็เลยด่ามันไปก่อนเลย

“เฮ้ย มึงไปไหนมาวะ ปล่อยให้กูลากพ่อมึงมาเนี่ย แถมอ๊วกอีกตะหาก” ผมกล้าพูดเพราะว่าพ่อมันเมาหลับไปแล้นคับ เหอๆ

“เชี่ยย กรูต้องนั่งเช็ดอ๊วกอีกแล้ว พึ่งอาบน้ำมานะเนี่ย” มันว่า พลางเหล่มาที่ผม

“เฮ้ย มึงไม่ต้องมองมาที่กูเลย พ่อมึงนะ ไม่ใช่พ่อกู” ผมแห้วใส่ ให้ลูกสะใภ้มาเช็ดให้ไป

“ไอ้ซังมันกลับบ้านไปแล้ว ”

“เย้สแม่ม แล้วเสือกให้กูนอนอยู่ได้ ไม่ปลุก” ผมด่าใส่ ทิ้งกูนี่นา

“เออ ก็ฝนมันทำท่าจะตก มันเลยรีบกลับโว้ย มึงก็ไม่ต้องกลับหรอก นอนบ้านกรูก็ได้” คิวมันพูดแล้วก็เดินไปเช็ดอ๊วกพ่อมัน

“ม่ายเอาอ่ะ” ผมรีบพูดระรัว

“กลัวเหี้ยไรวะ ”

“กลัวเหี้ยไรล่ะ ยายกูได้ด่าเปิง ” ผมว่าพลางหยิบโทรสับขึ้นมากะว่าจะโทรไปเช็คสภาพที่บ้านก่อน แต่แบตหมดคับ หมดตอนไหนวะ

“ชิบ .. กูว่าแล้ว ยายกูถึงไม่โทรมาจิก แบตหมด สาดดดดดดด”

“เออ บ้านกรูก็มีโทรสับ ก็ไปโทรดิ ”

“เออ งั้นกูขอยืมก่อน ”

“ยืมแล้วเมิงต้องคืนด้วยนะ”

“สาด ไอ้งก เพราะมึงหล่ะ” ผมฉุน แล้วก็กดโทร ปรากฏว่าเป็นป้าเล็กรับคับ

“นี่มันจะ 2 ทุ่มแล้วนะคะ คุณปริ้นยังไม่ขึ้นรถอีก” ป้าเล็กทำเสียงตำหนิ

“อือ จะกลับแล้วล่ะคับ ”

“เดี๋ยวคะ คุณปริ้น …. ป้าว่าคุณปริ้นค้างบ้านเพื่อนก่อนดีกว่า ฝนตกหนักมากเลยนะ” ผมได้ยินก็เหลือบไปมอง เออ ก็เจง

“แล้วยายจะไม่ว่าเหรอ”

“ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวป้าเรียนท่านเอง แต่ว่า บ้านเพื่อนคุณปริ้นคนนี้เป็นยังไงบ้างคะ ”

“ก็.. ดีคับ คิดว่าพ่อเค้าก็คงไม่ว่าอะไรหรอก” ผมพูด แล้วก็คิดภาพพ่อไอ้คิวคงไม่ว่าอะไรจริงๆ เพราะว่า เมาขาดไปแล้ว

“คะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า จะให้โอ้ตไปรับนะ”

“เฮ้ยย ไม่เป็นไรป้า วันอาทิตย์ให้โอ้ตเค้าพักเหอะคับ” ผมละกลัวใจไอ้โอ้ตมันจัง

“เอางั้นเหรอคะ งั้นพรุ่งนี้ก็รีบกลับนะคะ ”

“คับ ขอบคุณคับป้า”

“ว่าไง ตกลงว่าจะนอนบ้านกรูม่ะ” ไอ้คิวเดินปาดเข้ามาทักคับ มันแอบฟังผมคุยแน่ๆ

“สาดด มึงฟังกูคุยโทรสับเหรอ ”

“โห ใช้โทรสับบ้านเค้า แล้วยังมาด่าอีก เด๋วต่อยเลย ”

“เออ นอนๆ ว่าแต่มึงไปอาบน้ำป่ะ เหม็นอ๊วกพ่อมึง ” ผมพูดแล้วก็ทำท่าเอามือปิดจมูก จริงๆก็ไม่ได้เหม็นไรมากหรอก แต่อยากให้มันไปๆซะที

“เออ แม่ง ทำรังเกียจ เด๋วจาโดนเหนี่ยว”


* * * * * * * * * * * *

สรุปแล้วผมก็เลยต้องนอนบ้านมันคับ แถมคืนนี้ฝนตกแบบกระหน่ำสุดๆ นี่ก็ปาไปสี่ทุ่มแล้วนะเนี่ย

“ฮ้าวววววววว”ไอ้คิวหาวเสียงดังบนเตียง ในขณะที่ตอนนี้ผมก็นั่งอยู่บนพื้นข้างล่าง ทำอ่านหนังสือทบทวนไปมา มันไม่มีสมาธิไงบอกไม่ถูก รู้สึกแปลกๆคับ แบบว่าไอ้คิวผมไม่ได้สนิทกับมันเหมือนซังไง นิสัย อะไรหลายๆอย่างมันก็แตกต่าง ที่ผมพอมาสนิทกับมันก็เพราะว่า มันเป็นแฟนไอ้ซัง

“เฮ้ย เลิกอ่านได้แล้ว กรูจานอน ง่วง” มันบอก พลางเอาหมอนปิดหน้า

“เออ มึงนี่ก็ดีเนอะ วันๆ กิน ขี้ ปี้ นอน” ผมกัดมันเล็กน้อยที่ไม่เห็นมันจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่พึ่งเพื่อน โดยเฉพาะไอ้ซังเนี่ย ทำงานงกๆ

“กิน ขี้ แล้ว เหลือ ปี้ ยังไม่ได้ทำวะ” แน่ะกวนส้น

“แหม วันนึง มึงจะทำให้ครบเลยนะ ไอ้คิว … ไม่รู้ไอ้ซังมันคิดไงมาคบกะมึงเนี่ย”

“กรูคงน่ารักมั้ง ” มันพูดอุบอิบอยู่ภายใต้หมอน

“พูดไม่ดูหนังหน้าเลยนะมึงอ่ะ” แสดดด พูดออกมาได้ แทบอ๊วกพุ่ง

ดูเหมือนผมพูดแรงไปป่าวไม่รู้ แต่มันก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินกระแทกเท้าไปปิดไฟ ทั้งๆที่ผมยังนั่งอ่านหนังสืออยู่อ่ะ

“เฮ้ยยยยย กูยังอ่านหนังสืออยู่” ผมตะโกนใส่มัน

“กรูจานอนแล้ว” มันพูดแล้วก็เดินผ่านหน้าผมกระโดดขึ้นเตียง ทีนี้จะทำไรได้อ่ะ เออ นอนก็นอนวะ แปลกมากคับ ผมพึ่งมารู้ตัวว่า มันเกร็งๆยังไงบอกไม่ถูกหลังจากที่ตัวสัมผัสกับที่นอน ไอ้คิวมันเป็นผู้ชาย ที่ชอบผู้ชายนะว้อยยย ในใจผมคิดสับสนวนไปวนมา แล้วก็พลิกตัวหันข้างให้มัน

ตึก ตึก ตึก (ทำไมกูต้องใจเต้นโครมคราม)

……………………. 

………………..

………..

……

….

..


“ปริ้น มึงเสียวมากป่าว” เสียงคิวถามผมพลางรูดเล่นไอ้ตัวเขื่องที่อยู่ด้านล่างด้วยความถนุถนอม

“อือ กูจะไม่ไหวแล้ว ไอ้คิว” ผมว่า พลางเอามือโอบคอไอ้คิวลงมาจูบอย่างรุนแรง

..

……

อึ๊ก อยู่ๆหัวสมองผมก็คิดไปถึงตอนที่ฝันวันก่อน เป็นเชี่ยอารายของเมิงงงฝันอะไรอุบาทย์โว้ยยยย ผมพยายามข่มตาข่มใจให้ฝันตาโดยไว อาจเป็นเพราะว่าผมหลับไปแล้วเมื่อตอนค่ำ ทำให้หนังตามันค้าง

“เป็นเหี้ยไร” พลิกไปพลิกมา เสียงไอ้คิวดังขึ้น

“กูนอนไม่หลับไง สงสัยแปลกที่ ”

“แปลกกลิ่นด้วยป่าว” สาดดด นั่นมันคือสิ่งที่อยู่ในปากมึงแล้ว

“เออ …” ตอบไปแค่นั้นเพราะว่า กูขี้เกียจเถียงกะมึง

“เมิงกลัวกูอะดิ” อ่ะ ถามแบบนี้อีกแระ

“กลัวทำติ่งอะไร”

“อ้าววว ก็กลัวกรูจาฆ่าเมิงงาย ไม่รู้เหรอว่า กรูเห็นนะว่า เมิงสองคนแอบจู๋จี๋อะไรกัน ตอนกรูหลับอ่ะ ”

ผมแอบตกใจนิดหน่อยคับ เฮ้ย มันเห็นเหรอวะ งั้นมันก็ไม่ได้หลับอะดิ ไอ้เวน แล้วตอแหลว่าหลับ

“กูจะกลัวทำไม ไม่ได้ทำห่าอะไรกันซะหน่อย” ผมว่าแต่ก็ไม่ได้หันไปมองหน้ามันหรอก ว่ามันพูดเล่นๆ หรือพูดเอาจริง

“แล้วที่ลูบหัวกันหนุกหนานนั่น” คราวนี้มันทำเสียงเข้มคับ แล้วก็เอามือมาจับหัวผมอ่ะ “ห่ะ ว่าไง”

“กะ กูไม่ได้คิดอะไรซะหน่อย ไอ้คิว มึงไม่เชื่อใจซังมันเหรอ” ผมเริ่มพูดตะกุกตะกักคับ (แหง่มๆ แอบกลัว)

แล้วคิวมันก็เอาปากมากระซิบใกล้ๆหู

“อย่า ให้ กรู จับ ได้ ล่ะ กัน” โหหหห เสียงแบบมันโหดมากอ่ะ ผมนอนนิ่งอึ้งเลยคับ กลัวเลยล่ะ ด้วยความที่ผมไม่ได้สนิทอะไรมันใกล้ชิดแค่ไหน โอ้วว มันแสดงธาตุแท้ออกมาแล้วเหรอเนี่ย อ้ายเถื่อน

ผมรีบพลิกตัวกลับ กะว่า เมิงเอาไงเอากันวะ สาดด ดูถูกกูแล้วยังดูถูกแฟนตัวเองด้วย แต่พอหันกลับไป ก็เห็นหน้าไอ้คิวมันเหมือนกลั้นหัวเราะอยู่ในความมืด

“555 ไอ้ปริ้นนนนนน เมิงกลัวกรูจริงๆล่วยยย อ้ายตี๋น้อยเอ้ยยยย”

จากหน้าที่เหมือนจะซีดของผม กลับเหมือนแดงสว่างอยู่ในความมืด เอาผ้าห่มคลุมโปง หลบความอายไปในบัดดล ไอ้คิวมันก็รู้ว่าผมบ้าจี้ เลยเอานิ้วจิ้มใหญ่เลย

“เด็กเทบเอ้ย เด็กเทปปป”

“เด็กเทป พ่อ มึงเหอะ สาดดดดดดด” ผมด่ามันทีนึง โอ้ย กูจาหลับได้มั้ยเนี่ย

ไอ้คิวมันขำอีกแป็บนึง แล้วมันก็พูดขึ้นมา

“เฮ้ย ปริ้น เมิงกะซังนี่ มีอะไรคล้ายๆกันเลยวะ เจงๆนะ”

แล้วมันก็ขยับเข้ามากอดผมคับ ดีนะมีผ้าห่มกันอยู่ แต่มันก็ทำให้ผมเหวอแดก

“มะ มากอดกูทำเหี้ยไร”

“ไอ้ซังม่ะอยู่ กรูขอกอดเมิงแทนก่อน แก้หนาว” อะนะ ไอ้หน้าด้านน

“ปล่อยเหอะ กูร้อนจะตายห่า” (กูร้อนใจ เพราะซังมันเผาพริกเผาเกลือให้กูอยู่ป่าวม่ะรู้)

“เมิงก็เอาผ้าห่มออกดิวะ” มันพูดแล้วก็ดึงผ้าออกจากตัวผมไปเลย แล้วมันก็ดึงตัวผมไปกอดอีก คราวนี้ ถึงขั้นประชิดกำแพงเมืองแล้วคับ

“ตอนกรูกอดซังมันครั้งแรกนะ มันก็สั่นแบบนี้หว่ะ” ไหนๆ ใครสั่น กูไม่ได้สั่นว้อยย

“มึงจะเล่นอีกนานม่ะไอ้คิว กูง่วงแล้วนะ” ผมพูดหวังให้มันเลิกแกล้งซะที ผมก็คนนะ มีอารมณ์ๆ

“ม่ะได้เล่นว้อยยยย เออ ไอ้ปริ้น……”

มันจะถามแล้วมันก็เงียบไปคับ ว้าโว้ย จะพูดไม่พูด อึดอัดหว่ะ

“เงียบทำซอกตึกอะไร จะพูดไรก็พูด กูจะนอนแล้ว”

เหมือนมันกอดผมแน่นขึ้น แล้วก็ถามว่า “มึงเคยมีอะไรกะใครมั่งยังวะ ? ”

อ้า ไอ้นี่ดูถูก … มีเหรอที่กูจะเคยมี 555

“ไม่เคยอ่ะ ถามไมวะ”

“ป้าว ก็กรูเห็นว่าเด็กกรุงเทพ แมร่ง มีเมียกันตั้งแต่ ม ต้น” มันบอกงุบงิบ เมิงอายเหรอ เมิงอายใช่มั้ยไอ้คิววววว

“เออออ ถ้ารีบมีแล้วสมองกูมันดีขึ้น หรือว่าจะทำให้กูเรียนเก่งขึ้น กูก็อยากมีหว่ะ … แต่แมร่งเพื่อนกูแต่ละคน มีแฟนแล้ว ก็ทำตัวงี่เง่า กูว่ากูรอให้พร้อมก่อนดีกว่า ค่อยมี กูไม่รีบ (เหมือนมึง) ” ผมพูดแบบแอบประชดมันตอนท้าย

“อ้าว แล้วงี้เวลาเมิงหงี่ขึ้นมา ทำไงอ่ะ”

“ถามเหี้ยไรวะ พูดเหมือนมึงเป็นเด็กสามขวบ” คราวนี้มันก็เงียบอีกแล้วคับ แต่มันก็หน้าด้านไม่ยอมปล่อยตัวผมนะ ทำไงดีวะ

“ไอ้ปริ้น …..” เฮ้ย ทำไมมันเสียงแปร่งๆ สิ้นเสียงมันก็เอาหน้ามาไซร้ที่หลังคอผมคับ

“คิว มึงจะทำอะไร” ผมยังพูดแบบใจดีสู้เสือคับ แต่มันก็ไม่ยอมหยุด มือมันก็พยายามจะพลิกตัวให้ผมนอนหงายให้ได้เลย

“ไอ้คิว กูถามว่ามึงจะทำอะไร” ผมถามรอบสอง แต่คราวนี้ เสียงแบบสั่นอย่างเห็นได้ชัด ยอมรับคับ ว่าไอ้คิวนี่ ไซร้าแบบโคตรเซียน แถมไรหนวดของมันที่คาดว่าพึ่งโกนมาหมาดๆ ถูเนื้อกับเนื้อ โอ้ว พระเจ้าจอร์จ น้ำจาแตกให้ได้เลยทีเดียว

ตอนนี้ผมโดนพลิกให้นอนหงาย สายตาประสานกันปิ๊งๆ ผมหวั่นไหวมากคับ หวั่นไหวจนเกือบเผลอตัวเองไป
ผมกลั้นใจถามครั้งสุดท้ายคับ ในขณะที่มันค่อยๆเริ่มไซร้ที่ใบหน้า

“คิว ซังมันไม่ผิดอะไรนะ .. อย่าให้มันต้องมาเสียใจเพราะแค่ …. มึงเจอคนที่คล้ายมันแค่นั้น”

ได้ผลคับ ไอ้คิวหยุดกึกเลย มันหยุดค้างอยู่แบบนั้นนานพักใหญ่เลยล่ะ แล้วมันก็ค่อยๆถอยกลับไปนอนข้างๆเหมือนเดิม มือข้างนึงยังคงโอบตัวผมไว้อยู่

“ปริ้น ….. ”

“เออ นึกถึงเมียได้ หายเงี่ยนแล้วดิมึง” ผมแซวมัน ในใจบางส่วน ผมรู้สึกเสียดายเล็กๆนะ (ฮา)

“กรูขอบใจเมิงนะ” ไอ้คิวพูดเขินๆ

“ไม่เป็นไร กูรู้ว่ากูน่ารักจน มึงห้ามใจไม่ไหว 555”

“สัดนี่ ชมตัวเอง 555” มันก็ร่วมหัวเราะไปด้วยคับ “… อือ กรูขอโทดเมิงด้วยนะ ที่ดันไม่เชื่อใจเมิง ”

มันพูดไปก็เอามือมันเขี่ยวนที่หน้าผมไปด้วย ส้นตรีนหนิ เห็นหน้ากูเป็นไรฟร่ะ

“เออ .. ไม่เป็นไร แต่ไอ้ซังมานก็น่ารักนะ” ผมพูดแบบหื่นๆ ไอ้คิวหันมาจ้องผมเขม็งเลยคับ เหอๆ

“ปากเด ”

“แน่นอนอ่ะ ”ผมบอก แล้วก็ทำหน้ากวนตรีนหน่อยๆ

“แม่มมม ไหนนะที่ว่าดีอ่ะ” พูดจบมันก็เอาปากมันมาจ๊วบที่ปากผมคับ แบบว่าไวมากๆ แล้วก็ถอนออกไป

“555 ปากเมิงเสียความบริสุดให้กรูแล้ว ไอ้ปริ้น ….. เออ กรูเชื่อแล้วล่ะ ว่าเมิงอ่ะ น่ารักกว่าไอ้ซัง 555 ”

จ๊ากกกก จูบแรกช๊านนนนนนนน

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #9 เมื่อ22-10-2006 22:36:57 »

…… จะเอาดวงใจฉัน ค้นใจ เธอ ให้เจอสิ่งที่เธอ นั้น เก็บ ไว้
ถ้าเธอมีคำนั้นไว้ในใจ เธอทำไมไม่พูดมันออกมา

เสียงเพลงดังแว่วเข้ามากระทบโสตประสาทที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย เห็นคิวมันนอนคว่ำหลับตาฟังเพลงอยู่

…… ฉันรู้เหมือนที่เธอรู้ ว่าความรัก ต้องใช้วันเวลา
ไม่ห่วง ว่าจะนานเพียงไหน พอเพียงได้ใจที่เธอให้มา

อ้ายเถื่อนเอ้ย ไม่อยากเชื่อเลยว่ามึงจะฟังเพลงแนวนี้ได้ ผมนอนคิดอยู่ในใจ พร้อมกับอมยิ้มอยู่ในที แหม ก็ตรงข้างหน้าเรา มีไอ้เถื่อนนอนหลับตา ฟังเพลงอยู่แบบเคลิบเคลิ้ม เป็นภาพที่หาดูได้ยากเจงๆ

มองเพลินๆ จนเพลงจบ ไอ้คิวดันเสือกลืมตาขึ้นมาเปลี่ยนเพลง ผมก็แกล้งฟอร์มหลับ

เพี้ยะ …!? ง่า มันตบหน้าผมเบาๆ แต่เสียงเน้นๆ

“เหี้ย …. ตบหน้ากู” ผมค่อยลืมตามาด่ามัน

“มาแอบมองหน้ากรูนะ เด๋วเหอะกรูจับปล้ำหรอก ไอ้นี่” มันว่าพลางเอามือเอื้อมไปกดเปลี่ยนเพลง แล้วมันก็ทะลึ่งตัวมาขึ้นคร่อมแบบไม่ทันตั้งตัว

“ไอ้คิว มึงงงงง กูไม่เล่นนนนนนนน”

แต่มันก็ไม่ฟังเหี้ยไรเลย จับมือผมกางสองข้าง แล้วก็ก้มมาดูดคอผมดังจ๊วบๆ เจ็บนะไม่ได้เสียวเลย

“เหี้ยยยย กูเจ็บบ” ผมด่ามันแล้วก็เอาเท้าไปหนีบKมันคับ

“โอ้ยยยยย ปล่อยไอ้ปริ้นนนน” ได้ผลคับ มันเงยหน้าขึ้นมาหน้าเขียวเลย ผมได้ทีก็ผลักมันตกเตียงเสียงดังโครม 555 มาเล่นกะกู เด๋วเหอะ

“เล่นเหี้ยไรไม่รู้จักกาลเทศะ เด๋วเหอะมึง หมันแดก” ผมลุกขึ้นบ่น แล้วก็เดินอ้อยสร้อยเข้าไปในห้องน้ำ

“คิว กูขอแปรงด้วย” ผมลืมไปเมื่อคืนก็ไม่ได้แปรงฟัน ซกมกมากกู

“คิว กูขอยืมเสื้อด้วย ”

“คิว พ่อมึง!! เอากางเกงมาให้กูด้วยดิ สัด”

“เออ เกงในกูไม่เอาอ่ะ ”

แต่งตัวเสร็จ ผมก็รีบเก็บเสื้อผ้า แล้วก็หนังสือ ใส่เป้ทันที เพราะเหลือบดูนาฬิกามันจะเก้าโมงเช้าแล้ว ไอ้คิวมันก็เดินเข้ามาในห้องพอดี

“จารีบไปไหนเนี่ย ยังไงเมิงก็โดนด่าอยู่แล้วล่ะ อย่าเครียด” มันยักคิ้วหลิวตาให้ผม แมร่ง ……

“เอาเหอะ เพราะมึงอะล่ะ” ผมแห้วใส่ แล้วก็เดินไปกระแทกมัน แล้วก็เดินลงมาข้างล่างก็ปรากฏว่า เห็นซังกับ กับ กับ โอ้ตมานั่งรออยู่ในห้องรับแขกคับ

“เมิงนี่ดีเนอะ มีคนมารับมาส่ง” ไอ้คิวมันเดินมาประกบผมด้านหลัง แล้วก็กอดคอทำเดินลงมาคับ โหยย ซังมันก็มองผมแปลกๆ แต่โอ้ตนี่ดิ ผมแทบไม่มองหน้ามันอ่ะ ว่าแต่ทำไมผมต้องกลัวมันด้วยล่ะนี่

“โทดที เมื่อวานเรารีบกลับ เลยไม่ได้ปลุกปริ้น” ซังมันบอก ผมก็เออออ

“เออ ไม่เป็นไรหรอก ฝนตกหนักด้วยอ่ะ ถึงจะกลับก็ .. ก็คงกลับไม่ได้มั้ง” ผมบอกซัง แต่ใจจริงต้องการพูดให้โอ้ตมันได้ยินว่า กูมีเหตุผลนะว้อยยยย ที่ต้องค้างเนี่ย

“ม่ะเช้าพี่โอ้ตโทรมาหา ให้ช่วยพามารับปริ้นที่นี่” ซังมันรีบอธิบายให้ไอ้คิวกับผมเข้าใจ

“พวกมึงจากินไรกันก่อนป่ะ” คิวมันพูดขึ้นมา แบบว่ามันไม่ค่อยเคารพโอ้ตเลยอ่ะ ทั้งๆที่เป็นรุ่นพี่มัน (รู้ทีหลังว่า โอ้ตเนี่ย มันเป็นประธาน นร ก็เลยต้องคอยดูแล ควบคุมไอ้พวกเด็กเลวๆ ที่ทำตัวไม่ค่อยดี และไอ้คิวก็เป็นหนึ่งใน แบล็กลิส ก็เลยไม่ค่อยชอบขี้หน้ากัน)

ยังไม่ทันบอกอะไร โอ้ตมันก็ลุกขึ้นเดินออกจากบ้านคิวเลยคับ โห .. ท่าจะแย่แล้วกู

“งั้นกลับก่อนล่ะกัน” ผมว่า แล้วก็แบกเป้วิ่งตามไอ้ขี้งอนโอ้ตไปห่างๆ พอถึงรถมันก็ปิดประตูเสียงดังเลยอ่ะ ผมก็กล้าๆกลัวๆ นั่งยังไม่ทันจะปิดประตูดี ไอ้โอ้ตมันก็เร่งเครื่องคับ แต่ยังไม่ออกรถหรอก ประมาณว่า เร่งผมว่าให้ทำไรไวๆหน่อย

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมกลัวโอ้ตมันคับ หลังจากที่ครั้งแรก มันจับได้เรื่องแอบสูบบุหรี่ แต่ครั้งนี้ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรนะ แต่ผมกลัวว่ามันเข้าใจอะไรผิดไม่รู้

“โอ้ต” ผมเริ่มแย้บๆ เรียกชื่อ

“………..”

แล้วมันก็เหยียบเพิ่มสปีดความเร็วรถเข้าไปอีก

“เออ จริงๆก็แบบว่า …”

“จริงๆ ม่ะคืนก็บอกยายแล้วนะ ว่าไม่ต้องให้มารับก็ได้ คือ - - -” ผมกะลังจะบอกว่า ไม่อยากรบกวนโอ้ต มันก็เหยียบเบรกซะหน้าหงาย โชคดีนะผมคาดเบลไว้

“เฮ้ยย เป็นไรเนี่ย” ผมโกดขึ้นมาเลยคับ แมร่ง เบรกหัวกูทิ่มเรย

“ไม่พอใจอะไรก็บอกดิ นั่งบื้ออยู่ได้” ผมฉุนคับ โอ้ตมานชอบทำตัวแบบ พอไม่พอใจก็อะไรก็ไม่พูด แต่ชอบแสดงความไม่พอใจแบบอื่นออกมา แบบนี้มันน่ารำคาญหว่ะ เบื่อพวกชอบประชด -*-

“ทำไมต้องชอบทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย” นั่นเป็นคำแรกที๋โอ้ตมันพูดกับผม แต่มันไม่ได้พูดธรรมดาๆนะ แต่มันเป็นเสียงคำรามคับ

“อ้าว - -” ผมจะพูดต่อแต่นึกคำพูดไม่ออกคับ แต่ก็นึกไปว่า แค่ไปค้างบ้านเพื่อนแค่นี้ มันจะเป็นไรมากมายวะ

“รู้ว่าแบตฯมือถือหมดก็ไม่เอาที่ชาร์ตไป” มันพูดต่อ

“แล้วใครจะไปรู้วะ ว่ามันจะหมด ไม่ได้ตั้งใจจะค้างบ้านมันซะหน่อย” ผมก็เถียงกลับคับ เดือดเหมือนกันนะ ถึงแม้รู้ว่าตัวเองจะผิดก็เหอะ แต่ก็ไม่เห็นต้องมาโกดกูอะไรมากมายขนาดนี้หนิ

“ก็รู้ว่าหน้าฝน ก็ยังไม่รีบกลับอีก เมื่อแต่เออระเหยอยู่นั่น” มันหันหน้ามาด่าผมต่อ ขับรถก็เร็วขึ้นทุกครั้งที่มันพูด

“ .. ก็แค่มาค้างบ้านเพื่อนมันผิดอะไรมากมายขนาดนั้นวะ”

“แน่ใจ ว่าแค่ค้าง ? ” เสียงมันอ่อนลง แต่ชัดเจน

“เออซิ จะให้ทำอะไรกันวะ”

ไอ้โอ้ตมันก็หันมามองหน้าผม แล้วก็ล้วงมือไปควานหาอะไรบางอย่างตรงคอนโซล แล้วก็โยนกระจกมาให้

“แล้วไอ้ตรงคอมันรอยยุงกัดเหรอ ?! ”

อ่า ผมเถียงไม่ออกเลยคับ ซีดเลย แล้วก็รีบคว้ากระจกขึ้นมาเบิ่ง ก็ปรากฏว่า ตรงคอมันเป็นรอยคล้ำๆอะคับ ด้วยความที่ผมผิวขาวไง ก็เลยเห็นเป็นรอยค่อนข้างชัด

“อ่า …”เสียงออกมาแค่นั้นคับ แล้วก็แก้ตัวไม่ถูกจริงๆ

“คะ คิดบ้าไรอยู่เนี่ย สงสัยว่าเราจะไปมีไรกะไอ้คิวมันเนี่ยนะ ? ”

“จะไปรู้เรอะ !!! ” มันพูดเสียงกระแทก

ตอนนี้คับ เรื่องที่ผมกลัว มันเป็นแล้วจริงๆ ตอนแรกก็แค่คิดว่าโอ้ตมันคงเป็นห่วงเฉยๆ ถ้าแค่อธิบายความจริงไป มันก็คงหาย แต่นี่ รอยไอ้คิวที่มันแกล้งผมเมื่อเช้า ทำให้ผมไม่รู้จะเริ่มอธิบายให้มันฟังตั้งแต่ตอนไหนดี

“เราไม่ได้มีอะไรกะไอ้คิวมันจริงๆ” ผมตอบตามความจริง เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว

“จะบอกว่าแกล้งกันเล่นๆซิ” โอ้ตมันพูดประชด

“อืม ใช่ ”

“หึ ”

“ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้น”

“เสียงไง” มันทำเสียงเย็นชามากๆๆๆๆ

“โธ่เอ้ย ทำยังไงถึงจะยอมเชื่อวะ ว่าไม่ได้เป็นแบบที่โอ้ตคิดอ่ะ ”

โอ้ตมันก็หันมามองหน้าแบบผู้ใหญ่จับผิดเด็กได้คับ

“ก็เชื่อแล้วไง ปริ้นพูดอะไรมา โอ้ตก็เชื่อหมดล่ะ” มันตอบ โห ประชดกูอย่างแรงงงง

ผมก็รู้สึกไม่ไหวแล้วอ่ะ เคยรู้สึกป่าวคับว่า เวลาที่เราโดนเข้าใจผิด โดยเฉพาะคนที่เรารัก เข้าใจเราผิด แล้วสถานการณ์แวดล้อมมันก็เอื้อให้เค้าเข้าใจไปแบบนั้นจริงๆ แล้วเราก็ไม่สามารถอธิบายอะไรใดๆได้เลย มันโคตรทรมานเลยคับ

ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว มันไม่ได้โกรธโอ้ตนะที่เข้าใจไปแบบนั้น ก็เลยหันหน้าไปทางหน้าต่าง

“เออ เรามันก็เหี้ยแบบนี้ล่ะ - - -” ผมพูดไปเสียงสั่นๆ

“- - - แต่ถึงเหี้ยยังไง เราก็ไม่เคยคิดจะไปแย่งแฟนเพื่อน จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ”

“…………….”

“ถ้าใช้ชั่วคราว ก็คงทำได้มั้ง ”

เสียงโอ้ตพูดขึ้นมา มันไม่ได้ดังอะไรหรอก แต่ผมได้ยิน แล้วมันก็ดังที่สุดเท่าที่โอ้ตเคยพูดให้ผมได้ยิน มันไม่ได้ดังเข้ามาผ่านแค่หูอย่างเดียว แต่มันดังเข้ามาในหัวสมอง แล้วมันก็ดังเข้ามาในใจของผมด้วย

น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเจ็บแบบบอกไม่ถูก เจ็บจนไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะเถียงอะไร ผมได้แต่นั่งหันข้างให้กับโอ้ต มองไปนอกหน้าต่าง โอ้ตมันไม่เชื่อเราก็ไม่เห็นต้องแคร์นี่หว่า ไม่ต้องไปแคร์มัน แต่ทำไมน้ำตากูต้องไหลแบบนี้วะ

เสียงข้างในหัวใจผม มันตอบความจริงอะไรบางอย่างออกมา ภาพที่ผมเล่นหัวอยู่กับไอ้อ้นที่โรงเรียนเก่า ภาพที่ผมนอนอยู่ข้างมัน ในช่วงที่ไปค้างที่หอ มันรู้สึกอบอุ่น ภาพที่ผมเห็นไอ้คิวกำลังจูบกับซัง มันทำผมรู้สึกหวิวๆ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แต่รู้สึกชอบด้วยซ้ำ ภาพไอ้คิวที่ขึ้นอยู่บนตัวผม แล้วค่อยๆไซร้ซอกคอ แทนที่จะรู้สึกรังเกียจ แต่ผมกลับรู้สึกชอบ จนเกือบห้ามใจไม่ได้ จนภาพสุดท้ายที่คิดออกมา โอ้ตกำลังขยี้หัวผม ภาพโอ้ตกอดคอผมเดินเล่นไปทั่วห้าง ภาพโอ้ตยิ้มให้ตอนที่มันเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างบนรถเมล์

ผมคงเป็นแบบเดียวกับไอ้คิว ไอ้ซัง และ …. และผมก็คงชอบไอ้โอ้ตเข้าแล้ว ถึงกลัว … กลัวมันจะเข้าใจผิด แล้วก็เสียใจที่มันพูดแบบนี้กับผม มันไม่เคยเชื่อใจผมเลยใช่ป่าว เสียงหัวใจผมบอกแบบนั้น มันชัดเจนขึ้นจนถึงตอนนี้

ผมพยายามคุมเสียงไว้ให้เป็นแบบเดิม ผมไม่ต้องการให้โอ้ตมันรู้ว่าผมเสียใจแค่ไหนที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น ผมจะปล่อยให้มันเข้าใจว่า ผมเหี้ยแบบนั้นล่ะ แล้วผมก็พูดขึ้นมาจนได้

“โอ้ต …. เราเกลียดนาย !? ”

ผมพูดออกไป โดยที่ไม่ยอมหันไปมองหน้าโอ้ต ซึ่งก็เงียบไปจนตลอดทางกลับถึงบ้าน

************************************************************************************************************************
************************************************************************************************************************
ความมึนตึงของผมกับโอ้ตไม่มีท่าทีที่จะผ่อนคลายลง บนโต๊ะกินข้าว ต่างคนก็ต่างกิน ไม่มีใครปริปากพูดซักคำ
มันอาจจะดีแล้วก็ได้ที่เป็นแบบนี้ มันจะได้ทำให้ผมไม่ไขว้เขว ผมกลับเข้ามาในห้องนอน เตรียมยกหนังสือขึ้นมาอ่านก่อนจะสอบพรุ่งนี้ และเพื่อจะลืมๆอะไรที่เกิดขึ้นด้วย

“โหล ว่าไงไอ้ปริ้น หายหน้าไปเลยนะมึง” เสียงไอ้อ้นรับโทรสับผมคับ

“อืม ก็ยุ่งๆอยู่” ผมตอบเสียงไม่สู้ดีนัก

“มึงเป็นไรวะ”

“เหงาหว่ะ” ผมบอก อารมณ์ตอนนี้เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง ไม่รู้จะคุยกับใคร รอบๆตัวตอนนี้ไม่มีใครให้ผมคุยได้ซักคน

“เหงาเหี้ยไร มึงหายไปเป็นชาติ อยู่ๆมึงก็มาบอกว่าเหงาเนี่ยนะ” ไอ้อ้นมันหัวเราะแล้วก็ด่าผม

ผมก็หัวเราะแฮะๆ มันรู้ล่ะคับ ว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจ แต่มันก็ไม่คาดคั้นที่จะถาม มันก็ชวนผมคุยโน่นคุยนี่ คุยเรื่องเพื่อนเก่า ทำให้ผมยิ่งโคตรคิดถึงบรรยากาศที่สวนฯมากเลย

“กูว่ากูสอบเสร็จคงจะขึ้นกรุงเทพวะ”

“เจงดิ เออดีๆ ไม่ได้เจอมึงตั้งนานแระ กี่เดือนวะ ”

3 เดือน ไรวะแค่นี้จำไม่ได้”

“ไอ้ห่า ใครจะมานั่งนับวันคืน แล้วตกลงมึงขึ้นมาแน่ป่าว กูจะได้บอกพวก”

“เออ ขึ้นดิ อาทิตย์นี้กูสอบ เด๋วกูขึ้นวันเสาร์นี้แหละ”

หลังจากนั้นมันก็เล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในระหว่างที่ผมห่างหายจากพวกมัน ฟังแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นคับ อยากกลับไปเรียนที่เดิมจังว้อยยยยย

“เออ สงสัยกูต้องนอนก่อนแล้ว เด๋วพรุ่งนี้กูไม่ตื่น” ผมว่าพลางหาวหวอด

“ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ เนี่ยมึงไม่อยู่พวกกูตกกันระนาว สอบกลางภาคอ่ะ”

“555 มึงก็ตั้งใจเรียนหน่อยเด๊ะ ”

“สัด.. ไปนอนไป แล้ว มึงขึ้นมาก็โทรมาหากูละกัน”

“เออ ขอบใจมึงหว่ะ ”

“แล้วมึงมีเหี้ยไรก็บอกกูนะ” มันพูดย้ำขึ้นมาแบบรู้ทัน สมกับเป็นเพื่อนที่คบกันมาตั้ง สาม สี่ปีจริงๆ ไม่เหมือนคนบางคนที่พึ่งรู้จักกันแค่สามเดือน จะมาเข้าใจอะไรล่ะ ผมคิดประชดหน่อยๆ ก่อนที่จะปิดหนังสือที่ว่าจะอ่าน พร้อมกับผลอยหลับไปด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น 10%


* * * * * * * * * * * *

พอมาตอนเช้า ผมก็ไม่ลังเลที่จะรอโอ้ตคับ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่รู้สึกอยากเจอหน้า ไม่อยากคุยอะไรคับ ไม่อยากจะต้องทนดูสายตาของคนที่ไม่เคยเชื่อใจผม

“เฮ้ย ถึงว่าวันนี้ฝนตกแต่เช้า ไอ้ปริ้นมา รร เร็ววะ ” ไอ้โป้งเพื่อนที่ห้องแซว เมื่อเห็นผมมาถึงรร ยังไม่ เจ็ดโมงครึ่งเลย ซึ่งก็เป็นการดี เพราะว่าละอองฝนเริ่มร่วงโปรยปรายลงมา จากนั้นพอถึงเวลาเข้าห้องสอบ ฝนก็ตกลงมาไม่ขาดสาย และด้วยความที่วิชาเลขเป็นวิชาที่ผมโง่มากอย่างที่ได้เกริ่นๆไปแล้ว ผมก็เลยออกแมร่งเกือบคนแรกเลย (ไอ้คิวออกก่อนคนแรก) ข้อดีของการออกก่อน จะได้มีเวลาอ่านวิชาต่อไปไง หุหุ

- เฮ้อ ป่านนี้ไอ้โอ้ตมันจะทำอะไรอยู่น้า มันจะทำข้อสอบได้ป่าว …. มันคงจะทำได้ล่ะ มันเก่งจะตาย ไม่โง่เหมือนเรา -

“ไงที่รัก ทำเสร็จเร็วเจง” เสียงไอ้คิวมันเรียกผมว่าอะไรนะ ?

“ที่รักพ่องมึงดิ” ผมทำหน้าถมึงทึงใส่มัน ไอ้นี่มันเล่นไม่เลิกแฮะ ถ้าซังมันมาได้ยินเข้าจะว่าไงวะ กูโดนโกดอีกคนดิ

“โฮ่ กรูแค่พูดเล่นแค่ - - ”

“กูไม่อยากเล่นกะมึง” ผมยื่นคำขาด พร้อมกับเดินไปนั่งห่างจากมัน ซึ่งก็เป็นเวลาที่เพื่อนส่วนมากทำข้อสอบเสร็จแล้ว ไอ้คิวมันก็ไม่เดินตามมาคับ ซักพัก ซังมันก็ออกมาซะที ทำหน้าเครียดไงม่ะรู้ ผมก็ชักหวั่นใจนิดหน่อย เพราะถ้าโอ้ตมันเห็นรอยรักที่ไอ้คิวมันทำไว้กับผม ซังมันก็น่าจะเห็นเหมือนกัน

ไอ้คิวมันเดินไปแซวคนโน้นที แกล้งคนนี้ที ตามนิสัยสันดานๆของมัน แล้วก็เดินไปกระซิบกระซาบอะไรกะซังซักอย่าง โธ่ กูก็แอบดูมันอยู่ได้ หนังสือกูทำมายไม่อ่านว้า -*-

“ว่าไงปริ้น” ซังเดินมาทักด้วยสีเครียดยิ่งกว่าเดิม เอาแล้วดิ

“อือ” ผมตอบไม่เต็มปากเต็มคำ ทั้งๆที่กูก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่หว่า แบบว่ากลัวไปก่อน

“ทำได้มั่งป่าว ”

“อือ ก็ไม่ได้อะดิ ออกมาก่อนเห็นป่าว” ผมพูดอ้อมแอ่ม เพราะว่ามันก็เป็นคนติวให้ผมเองวันที่เกิดเรื่อง

“ตอนติวให้นี่ ใจลอยไปอยู่ไหนอะดิ” ซังมันถามแต่หน้าตาก็ปกติๆ

“จะลอยไปไหนว้า พูดไรแปลกๆไอ้นี่” ผมว่า พลางยกหนังสือขึ้นมาปิดหน้า (ทำแบบนี้มันมีพิรุจชัดๆ)

ซังมันก็เอามือมาจับหนังสือออกไป

“เรามีเรื่องอยากคุยกะปริ้นอะ” มันพูดขึ้นมา แล้วก็เดินนำผมไปตรงทางเชื่อมระหว่างอาคาร 1 กะ อาคาร 2 ซึ่งมันก็ไม่มีคนอยู่แถวนั้น ผมก็ก้มมองเวลาคับ เหลือเวลาอีก ประมาณ 15 นาทีกว่าจะเริ่มสอบวิชาต่อไป หันไปหาไอ้คิว มันก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ สงสัยซังมันคงอยากจะคุยเรื่องคืนนั้นแน่ๆ ช่างมานเว้ย อะไรมันจะเกิดก็เกิด กูไม่ผิดนี่หว่า ผมคิดปลอบใจตัวเอง อีกใจนึงก็รู้สึกมีอารมณ์โกรธขึ้นมานิดๆ

“ว่าไง มีอาไรเหรอ” ผมถามแบบหงุดหงิด

“ซังจะคุยเรื่องคิวกับปริ้นอ่ะ จริงๆแล้ว - - -” มันก็ก้มหน้าลงไป ดูหน้ามันออกสีแดงๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ งั้นเด๋วผมพูดเองเลยล่ะกัน

“ซังจะคิดว่า ปริ้นมีอะไรกะคิวคืนนั้นใช่ป่ะ ? คิดแบบนี้เหมือนกันอะดิ - - -” ผมตอบเสียงกระแทกกระทั้น

“- - - ถ้าซังคิดว่าปริ้นเป็นคนแบบนั้น ซังก็ต่อยหน้าปริ้นตรงนี้เลยซิวะ ให้เค้ารู้ความเลวไปทั่วก็ดีเหมือนกัน” ผมพูดชักเสียงสั่นเองคับ ทั้งมะโหทั้งน้อยใจ

“เง้ยย ปริ้นใจเย็นก่อนได้ป่าว พูดค่อยๆดิ” ซังมันก็ทำเสียงจุ๊ปาก โหยไอ้ซังกูไม่ค่อยแล้ววววว โชคดีนะ ที่ฝนมันตกเสียงเลยกลบไปหมด

“ซังยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ซังเชื่อใจเพื่อนน่า” มันพูดแล้วก็ยิ้มเขิลๆ

“ซังเชื่อใจคิวมันด้วย” (โหยมึงเชื่อมัน แต่มันเกือบปล้ำกูนะ)

เพล้ง !!! เสียงหน้าผมแตกเล็กๆ ก็เลยใช้วิธีการหันหน้าไปทางอื่นกันซังมันเห็นรอยแตกที่ใบหน้า

“เออ งะ งั้น กูก็ร้อนตัวไปเองล่ะ ”

“โถ โถ อย่าพึ่งน้อยใจไปดิ หันมานี่” มันพูดแล้วก็เอื้อมมาจับหัวให้หันไปทางมัน

“ที่จะคุยเรื่องนี้เนี่ย คือคิวมันอยากจะขอโทดปริ้นที่มันทำคืนนั้นอ่ะ แต่มันไม่กล้าบอกปริ้นเอง เข้าใจ๋ ”ซังมันบอกด้วยท่าทีปกติมากๆ

“อ้าววววว” ผมแปลกใจคับ คิวมันเล่าเรื่องแบบนั้นที่มันทำกะผมแบบนั้นกะซังด้วยเหรอเนี่ย

“แล้วซังไม่โกรธมันบ้างเหรอไง ที่มันทำแบบนั้น” ผมถาม ซังมันจะใจกว้างไปเหรอป่าว

“โกรธดิ ตอนที่มันเล่าให้ฟังตอนแรกน่ะ” สีหน้าซังเปลี่ยนคับ แต่แค่แว่บเดียวเท่านั้นเอง “- - - แต่ก็ …. ไม่เป็นไรหรอก คนเรามันทำพลาดกันได้หนิ แล้วอีกอย่าง มันก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจาก ….” เสียงมันกลายเป็นเสียงกระซิบไปแล้ว

“จูบ ไม่ใช่เหรอ ? ”

“อ่า” คราวนี้กลายเป็นผมที่หน้าแดงซ่านไปแทนคับ

“ม่ะ ม่ะ ม่ะ ช่ายยย แค่ปากแตะปากเอง ไม่ได้จูบ” ผมรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

“555 เขินซะงั้นอ่ะปริ้น ไม่เคยเหรอ ? ” เอ้ามันถามอะไรนิ

ผมก็กระซิบตอบมันบ้าง

“จะเคยได้ไงฟะ”

“ฮืมมมมมม มันทำเสียงไม่ค่อยเชื่อผมคับ รอดมาได้ไงเนี่ย ”

“เอาเหอะๆ ไปสอบป่ะป่ะ” วุ้ย แทนที่จะเอาเวลามาทบทวน ดันมาคุยเรื่องไรนี่ ไม่หวายๆ

“แล้วทะเลาะกับพี่โอ้ตเหรอ” เสียงซังถาม ทำเอาผมแทบสะดุดขาตัวเองล้ม

“ป่าว” แต่เสียงผมเข้มขึ้นมาเฉียบพลัน

“พี่โอ้ตก็คง เออ .. หวงปริ้นอ่ะแหละ อย่าโกรธพี่แกเลย” ซังมันว่า ผมมีความรู้สึกว่า มันเลือกที่จะพูดคำว่า หวง มากกว่าคำว่า หึง

“เออ ช่างเค้าเหอะ งี่เง่า” ผมรอโอกาสที่จะด่าโอ้ตอ่ะคับ เพราะไม่รู้จะด่ามันในทางไหนดี

“อ้าว ไหนว่าไม่ได้โกรธกันไง” เสียงซังมันพูดแบบตำหนิผม

อึ๊ก …

“โอ้ตมันคงปากดีไปเล่าให้ซังฟังอะดิ” ผมเริ่มพาลใส่ไอ้โอ้ต

ซังมันก็สั่นหน้า “พี่โอ้ตไม่ได้โทรมาหรือว่ามาเล่าอะไรให้ซังฟังหรอก แค่เดาสถานการณ์อ่ะ ”

อุ๊ก …

“ไปสอบเหอะ อีกสองนาทีจะเข้าห้องสอบแล้ว” ผมว่า พลางเดินไป ผมไม่อยากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับไอ้โอ้ตมันแล้วคับ ไม่ว่ามันจะคิดอะไรยังไงก็เหอะ

ซังมันก็เดินตามมา

“ปริ้น .. พี่โอ้ตอะ เค้าห่วงนายมากรู้ป่าว กะคนอื่นอะ- - จริงๆแล้ว เค้าไม่เคยทำแคร์ใครเท่าปริ้นเลย รู้ป่าว เรารู้จักเค้าดี ” ซังมันก็เดินพูดไป เสียงก็หอบไป เพราะว่าตัวมันเล็กกว่าผม จังหว่ะการเดินก้าวมันก็ต้องซอยถี่กว่าผม

หงุดหงิดคับ หงุดหงิด ความริษยามันพุ่งปี้ดๆ กับคำสุดท้ายที่ซังมันพูด ผมคิดได้ทีหลังว่า มันก็คงไม่ได้ตั้งใจจะพูดในลักษณะนั้นหรอก แต่…..

“เออซิ เรามันไม่รู้จักไอ้พี่โอ้ตดี เท่านายหรอก ”

ผมตระหนักดีว่าผมพลาดคับ ไม่น่าจะพูดแบบนั้นออกไปกับซังที่มันหวังดีกับผมเอง แล้วก็กับโอ้ต สีหน้าตอนที่มันได้ยิน ดูสลดไปเล็กน้อย แล้วก็ดูเหวอๆด้วยล่ะ ตอนนั้นผมกลับรู้สึกสะใจอยู่เล็กๆ ทำไมวะ กูจะสะใจทำไม หรือว่ากูทนไม่ได้ที่เห็นซังมันสนิทกับโอ้ตเหรอ ?

ผมเดินปึงๆ เลี้ยวเข้าไปในห้องสอบ

“เฮ้ย เป็นไง คุยกันเป็นไง” ไอ้คิวเสือกมาถามตอนอารมณ์มาคุแบบนี้อีก ด้วยหน้าตาที่มันยังทำทะเล้น ก็ยิ่งกวนมะโหผมยิ่งขึ้น

“คุยเหี้ยไร เสือกทุกเรื่องอะมึง” ผมด่ามันแล้วก็เดินหน้านิ่วเข้าห้องสอบไปด้วยใจที่อยากจะพาลทุกๆคนที่อยู่ใกล้เลยทีเดียว วู้ ไม่มีอารมณ์ทำข้อสอบเลย ข้อสอบแมร่งก็ยากชิหาย

(วิชาที่สอบเป็นวิชาอังกฤษวิชาที่มั่นใจที่สุดว่า ท็อปแน่ๆ แต่ผลกับออกมาว่ากูผ่านครึ่งไปแค่คะแนนเดียว สาดดด)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2006 23:35:36 โดย b|ue B[o]Y hUb »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-10-2006 22:36:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #10 เมื่อ22-10-2006 22:37:27 »

**************************************************************************************************



ดูเหมือนว่าการพูดคุยวันนั้นของผมกับซัง เป็นจุดที่ทำให้ความมีเหตุมีผลของผมมันมลายหายสิ้นไป ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าควรทำยังไง แต่ร่างกายกับทำตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง

เหตุการณ์หลังจากที่สอบเสร็จในวันแรก ล่วงเลยมาจนถึงวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสอบกลางภาควันสุดท้าย ผมไม่ได้คุยกับโอ้ตอีกเลย ตอนเช้าผมก็ออกมาก่อน สอบเสร็จก็กลับ เราจะเจอกันก็ตอนกินข้าวเย็น แต่ผมก็ทำเหมือนโอ้ตเป็นอากาศธาตุ และผมก็มั่นใจว่าโอ้ตมันก็คิดแบบเดียวกัน เนื่องจากมันก็ไม่มีท่าทีจะเข้ามาพูดคุยกับผมแม้แต่นิดเดียว

กับซัง … ไม่รู้ดิ หลังจากวันนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่า มันเข้าข้างโอ้ตอย่างเต็มที่ ผมก็เลยพาลไม่อยากคุยกับมันไปเลย ฮ่วย …. ส่วนไอ้คิวไม่ต้องพูดถึงคับ เลิกคุยกับมันไปเลย

หลังสอบเสร็จ เสาร์อาทิตย์ จากที่ผมจะขึ้นกรุงเทพไปหาไอ้อ้น ก็ดันมาอุปสรรคขวากหนามอีก เพราะว่าฝนตกหนักมากตั้งแต่คืนวันศุกร์ เช้าวันเสาร์ ก็ไม่ทีท่าว่าหยุดเลย

ติ๊ดติ๊ดด ตี๊ดดดด

“อ้นเหรอ”

“เออ มึงจะขึ้นมากี่โมง” เสียงมันงัวเงียๆ

“กูคงไม่ได้ขึ้นไปแล้วหว่ะ ฝนตกโคตรหนักเลย” ผมบอกเสียงเซ็งจัด

“เสียงแย่เลยมึง”

“เออ สงสัยเป็นหวัด เครียดด้วยหวะ พึ่งสอบเสร็จเนี่ย

“อย่างมึงจะกลัวไรวะแค่สอบ” มันพูดหาวไปหาวมา

“คุยกะกูนี่ง่วงมากใช่ป่ะอ้น” อยู่ๆผมก็พูดแบบหาเรื่องมันซะก่อน

“อ้าว มึงเป็นไรเนี่ย” เสียงมันแบบงงๆ

“เออ ไม่มีอะไรอ่ะ ช่วงนี้กูอารมณ์ไม่ดี …. แค่นี้ก่อนล่ะกัน ”

แล้วผมก็วางหูโทรสับไป ทิ้งตัวลงกับที่นอน มองไปนอกหน้าต่าง ฝนยังตกอยู่อย่างไม่ขาดสาย …. มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมนะนี่ ทำไมผมต้องไปหงุดหงิดใส่อ้นมันด้วย ทำไมอยู่ๆผมก็ไม่ชอบขี้หน้าซังมันขึ้นมาได้ …. แล้ว ทำไม ผมถึงคิดถึงโอ้ตมันตลอดเวลา ตั้งแต่วันที่ทะเลาะกัน จนถึง ณ วินาทีนี้ ผมกลับอยากไปคุยกับโอ้ตเหมือนเก่า อยากไปไหนมาไหนกับโอ้ตอีก

ผมค่อยๆยันตัวขึ้นมา พลางลูบกระจกที่มีละอองน้ำฝนบนหน้าต่าง บ้านโอ้ตยังมีแสงไฟเปิดอยู่ไกลๆ

“เหงาจัง โอ้ต …. เราคิดถึงนายอ่ะ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ


* * * * * * * * * * * *

ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา เหลือบไปมองเวลา ตายห่า … จะสี่โมงเย็นอยู่แล้ว ว่าแต่ใครมาเคาะประตูเรียกวะ หรือว่า ….

- โอ้ตมาเรียกผมเหรอ ? -

คิดได้ดังนั้นเหมือนลิงโลดคับ ผมรีบกระโดดจากเตียงวิ่งไปเปิดประตู แต่ก็พบลุงสนยืนกลางร่มอยู่ข้างหน้า

“อ้าว ”ผมทำสีหน้าผิดหวังจนลุงแกสังเกตเห็น

“อ้าวอะไรคุณปริ้น” ลุงสนพูดทำให้ผมคิดได้ว่า แกยืนกางร่มตากฝนอยู่นี่หว่า จึงบอกให้แกเข้ามาในบ้าน

“ไม่เป็นไรครับ คือลุงจะมาบอกว่า โอ้ตมันขับรถไปคว่ำ - - -”

“เชี่ย .. โอ้ตรถคว่ำเหรอ” ผมรู้สึกว่าควบคุมเสียงตัวเองไม่ได้ เข้าใจคำว่า หัวใจมันหล่นไปที่ตาตุ่มมันเป็นยังไง

“ละ ละ แล้วโอ้ตเป็นยังไงบ้าง” ผมล่ำล่ำละลักถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน นี่อยู่รพ จอมเกล้าครับ นี่ลุงกำลังจะไป คุณปริ้นจะด้วยเหรอ - - -”

“ไปดิลุง” ผมพูด แล้วก็รีบวิ่งพลวดเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

ตอนลุงสนขับไป ผมก็นั่งตัวสั่นไปด้วย หนาวมันไม่เท่าไรคับ แต่อาการตกใจนี่ดิ สุดยอดอ่ะ ลุงสนเล่าให้ฟังว่า ตอนกลางวัน ป้าเล็กให้โอ้ตมันขับรถไปหาเพื่อนเค้าที่ อ เมือง แต่พอมาถึง ก็มีคนบ้าวิ่งตัดหน้ารถ มันก็เลยหักหลบไปชนเกาะกลางถนน แล้วรถก็พลิกคว่ำไปอีกเลนนึงเลย

“โหย คว่ำเลยเหรอลุง” ผมถาม

“ใจเย็นๆ คุณปริ้น คงไม่เป็นไรมากหรอกครับ” ลุงสนตอบแบบใจเย็นมาก เฮ้ย เมียกะลูกลุงนะ ไม่ใส่ใจเลย -*-

“แม่เล็กเค้าโทรมาบอกกับลุงเอง แค่ฟกช้ำนิดหน่อย ”

“แล้วทำไมลุงไม่บอกผมแต่แรกอ่ะ ว่าไม่เป็นอะไรมาก” ผมบอกแบบฉุนๆ ลุงสนส่ายหน้าน้อยๆ แล้วก็เงียบ ไม่ต่อปากต่อคำกับผมอีกต่อไป


* * * * * * * * * * * *


พอมาถึง รพ ผมไม่รอให้ลุงสนแกหาที่จอดรถ ก็วิ่งเข้าไปใน รพ ทันที ท่ามกลางฝนที่ยังตกหนักอยู่ตลอดเวลา แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก เพราะว่าผมไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทั้งป้าเล็ก ทั้งโอ้ต อยู่ที่ตึกไหน ผมวิ่งรอกอยู่ซักพัก ก็เหมือนพระเจ้าเมตตาคับ ได้ยินเสียงป้าเล็กแว่วๆ ก็หันไป ก็เห็นป้าแกกำลังออกมาจากช่องจ่ายยา มีผ้าก๊อตแปะที่หน้าผากอยู่

“ป้าเล็ก เป็นไรมากป่าว” ผมวิ่งเข้าไปกอดแกคับ แกก็กอดตอบ เหมือนกะว่าแกก็ยังตกใจอยู่ไม่หายเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรลูก ” พูดเสร็จก็ลูบหัวผมเบาๆ

“แล้วโอ้ตล่ะป้า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าไม่เห็นมันอยู่แถวนี้เลย

“โอ้ตมันต้องนอน รพ คืนนึง รอ รพ เค้าเช็คสมองก่อน” ป้าเล็กบอก แล้วก็เดินนำผมไปที่ห้องพักรวม ซึ่งห้องนี้ก็จะมีคนป่วยนอนอยู่เป็น สิบๆเตียง

“แล้วทำไมต้องเช็คสมองอ่ะ ”

“ตอนหักหลบ รู้สึกว่าหัวมันไปกระแทกกับพวงมาลัย ก็เลยต้องเช็คสมองหน่อย” ป้าเล็กบอก แล้วตาสนล่ะคุณปริ้น

“ลุงเค้าหาที่จอดรถอยู่อ่ะป้า” ผมเลยลงมาก่อน

“โถ ดูซิ เปียกหมดเลย เดี๋ยวก็เป็นหว๋ง เป็นหวัดอีกหรอก” ผมได้ยินดังนั้น อยากจะตะโกนบอกป้าแกไปจริงๆว่า เป็นห่วงลูกชายตัวเองก่อนเหอะ

พอมาถึงเตียงที่โอ้ตมันนอนอยู่ ลุงสนก็เดินมาพอดี รู้สึกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงหน่อยๆแฮะ

“คุณปริ้น ทำไมอยู่ๆก็เปิดประตูลงมาก่อนนะ จะรอให้ลุงจอดรถก่อนก็ไม่ได้ บลาๆๆๆๆ” ผมก็ไม่ได้ฟังอะไรอ่ะคับ เพราะว่าใจตอนนี้อยู่ที่ไอ้โอ้ตหมดแล้ว

“ป้าคับ โอ้ตหลับไปนานยังอ่ะ” ผมเป็นห่วง พลางคิดไปว่ามันจะเป็นแบบเจ้าชายนิทราอะไรเทือกนี้ป่าววะ

“อ้อ สงสัยพึ่งหลับตอนที่ป้าลงไปรับยานะ” ป้าเล็กบอก แล้วก็หันไปคุยอะไรกับลุงสนอยู่นาน ผมก็นั่งเฝ้าอยู่ที่เตียงโอ้ตอ่ะคับ มันก็นอนนิ่งเลย เห็นมีแผลปูดๆที่หัวมัน แล้วก็รู้สึกว่า ต้องเย็บ สี่ห้าเข็ม หน้ามันมีรอยช้ำอยู่สองสามรอย

มีอยู่ช่วงนึง ป้าเล็กก็พูดประมาณว่า ให้ลุงสนขับรถกลับชะอำไปส่งผมที่บ้านก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการกับตำรวจเรื่องรถที่พังยับ

“ป้าเล็ก เด๋วผมอยู่เฝ้าโอ้ตก็ได้คับ ป้าไปทำธุระกับลุงเถอะ” ผมว่า เพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วง ให้ลุงต้องไปๆกลับๆ ฝนยิ่งตกหนักแบบนี้ เด๋วเป็นไรอีกคนจะยิ่งแย่

“ไม่ได้หรอก คุณปริ้นจะนอนยังไง” ป้าเล็กรีบโวยวายคับ เพราะดูสภาพแล้วคือ ห้องนอนรวม ก็จะไม่มีพื้นที่ให้คนเยี่ยมไข้นอนมากนัก จะมีแต่โต๊ะเล็กข้างๆ แล้วก็มีม้านั่งยาว เอาไว้ให้นอนอีกตัวนึงแค่นั้นเอง

“โหย ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะป้า แล้วป้าก็เจ็บอยู่ จะมาอยู่ได้ไงอ่ะ” ผมก็เถียงไป เถียงมา สรุปแล้ว ป้าเค้าก็ยอมให้ผมนอนเฝ้าโอ้ตมันได้ หึหึ (เถียงกะไอ้ปริ้นก็แพ้โหมดดดแหละ)

“คุณปริ้นถ้ามีอะไรก็โทรมาเลยนะคะ จะรีบมารับเลย” ป้าเล็กบอกแบบห่วงหน้าพะวงหลัง มีลุงสนทำหน้าแบบยังไงบอกไม่ถูกอยู่ข้างๆ

“ฮะ - - คับ - - โอเคเลยป้า - - บ๊าย บาย” หลังจากบอกลาเสร็จ ผมก็เดินไปหาอะไรตุนไว้สำหรับคืนนี้ โอ้ตมันชอบกินอะไรวะ นมรสกาแฟๆ ขนมปังหมูหยอง ผมก็เลือกซื้อของไปแบบมีความสุข ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นทุกข์นี่หว่า

กลับขึ้นมา โอ้ตมันก็นอนอยู่ไม่ตื่นซะทีคับ พยาบาลก็มาตรวจซักพัก แล้วก็ยาอาหารเย็นมาให้ ตอนนี้เกือบจะ 1 ทุ่มแล้ว

“โอ้ต …”ผมเรียกเบาๆ มันก็ยังไม่รู้สึกตัว

“โอ้ต …” ผมเรียกเสียงดังขึ้นอีก พลางเอามือไปหยิกแก้มมันเบาๆ (แกล้งคนป่วยซะงั้น) ไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อตอนเช้า ผมพึ่งรู้สึกว่าคิดถึงมันโคตรๆ อยากเจอมันจัง แล้วตอนนี้ มันก็มานอนให้ผมเล่นอยู่ตรงหน้า

มันพิศ ดูที่ใบหน้าของโอ้ต แม้ว่าผิวมันจะดูสีแทนๆไปหน่อยเนื่องจากโดนแดดประจำ แต่คิวเข้มๆของโอ้ตก็เป็นส่วนที่ดึงดูดที่สุด

ระหว่างที่กะลังเล่นหน้ามันอยู่เพลินๆ โอ้ตมันก็รู้สึกตัว เอามือมาจับที่มือผม

“แม่ … ทำอะไรนะ โอ้ตรำคาญนะ” โอ้ตมันพูดขึ้นมาทั้งๆที่หลับตาอยู่ นึกว่าป้าเล็ก โห ไม่คิดเหรอว่าแม่เอ็งจะมาเล่นอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้

ผมก็พยายามจะดึงมือออกนะ แต่มันก็ยังจับอยุ่อ่ะ แล้วพอมันลืมตาขึ้น มันก็เป็นฝ่ายสะดุ้งปล่อยมือซะเอง เหอๆ

“อ้าว นึกว่าแม่” มันพูดขึ้นมา

ผมก็มองๆมันคับ ยังไม่กล้าพูดอะไร คือ จริงๆ ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรมากกว่า มันเขิลห่าไรม่ะรู้

“เป็นไงบ้าง” เป็นคำแรกที่ผมคิดออกแล้วพูดออกไป

“… แล้วแม่ล่ะ” มันพูด โดยไม่สนใจตอบที่ผมถามไป

“ก็ไปกับลุงสน จัดการเรื่องรถอ่ะ” ผมตอบหน้าเจือนเล็กน้อย สงสัยมันยังไม่หายโกรธผมแฮะ ไอ้นี่

“อือ กินข้าวเหอะ พยาบาลเค้ายกมาให้ตั้งนานแล้ว” ผมเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็ยกถาดอาหารขั้นมา

“… ยังไม่หิว กินไปก่อนเหอะ” มันพูดแล้วก็พลิกตัวไปอีกด้านนึงคับ

“ปริ้นลงไปกินมาแล้วอ่ะ” ผมพูดปด พร้อมกับสูดหายใจเข้า หายใจออก ลึกๆ ลึก ลึกกกกกกกก

“ไม่หิวก็ยัดๆเข้าไป มันจะได้ไม่ปวดท้อง” ผมว่า แล้วก็ขยับตัวไปไขเตียงให้หัวนอนมันยกขึ้น (ที่ไขเตียงจะอยู่ปลายเตียงของคนป่วย เวลาคนป่วยจะนั่งหรือจะกินอะไรเงี้ย ก็จะไขให้มันยกขึ้น จะได้สะดวกไม่ต้องลุกมานั่งเองคับ)

โอ้ตมันก็ทำท่าไม่พอใจ หันกลับมาว่าผม

“ก็บอกว่ายังไม่หิวไง เดี๋ยวก็กินเองล่ะ”

“นี่ ก็บอกแล้วไง ไม่หิวก็ต้องกิน ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ ”ผมตอกกลับ

ไอ้โอ้ตมันเหมือนจะพูดอะไรออกมาแรงๆซักอย่าง แต่ผมรีบตักข้าวต้มใส่ปากมันก่อนจะได้ทันพูดอะไรออกมา โดยที่ลืมไปว่า ปากมันเจ็บอยู่

“โอ๊กกก - - แค๊ก แค๊กๆ” ไม่รู้ว่ามันจะเลือกร้องเจ็บ หรือสำลักดีคับ แต่ผมสะจาย เหอๆ

“บอกแล้วว่าอย่าดื้อ เด๋วเจ็บ” ผมขู่มันคับ ตอนนี้เหมือนถือไพ่อยู่เหนือกว่าเล็กน้อย มันก็คงกลัวเจ็บด้วยล่ะ ก็เลยว่าง่ายปล่อยให้ผมป้อนข้าวป้อนน้ำจนเสร็จ

“อ่ะ กินนมปิดท้าย จะได้นอนหลับสบาย” ผมว่าพลางยื่นนมโฟโมสรสกาแฟให้ ชอบไม่ใช่เหรอ เห็นกินอยู่บ่อยๆอ่ะ

มันมองแบบลังเลๆ แล้วก็เอื้อมมาหยิบไปดูด (ผมสงสัยว่า ตอนนี้มือมันก็ใช้ได้ แล้วทำไมปล่อยให้กูป้อนข้างมึงอยู่ได้วะ) ผมรอให้มันอารมณ์นิ่งๆก่อนแล้วก็ถามในสิ่งที่อยากจะถาม

“ยังโกรธปริ้นอยู่เหรอ” ผมถามพลางทำหน้าอ้อนสุดชีวิตที่จะทำได้

“ป่าว จะโกรธไปทำไมล่ะ” มันพูดประชดอีกแล้ว

“โกรธก็บอกโกรธดิ จะพูดประชดให้ได้ถ้วยอะไรล่ะ” ผมว่าฉุนๆ

“เออ โกรธ !!! ” มันพูดเสียงดัง จนเตียงข้างๆหันมามอง

“ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเองตลอด - - - จะไปไหนมาไหนก็ไม่บอกก่อน คิดจะออกก่อนก็ออก (มันหมายถึงผมไปโรงเรียนโดยไม่คอยมัน) คิดจะกลับก็กลับ” คำพูดมันพลั่งพรูออกมาแหลกเลยคับ แหม แล้วบอกกูว่าไม่โกรธ

“เออ ค๊าบบ กูเอาแต่ใจตัวเองอ่ะคับ” ผมบอกมัน

“เออ อะซิ ”

“แล้วโอ้ตจะเป็นห่วงอะไรปริ้นมากมากขนาดนั้นอ่ะ ขนาดยายปริ้นยังไม่อะไรเลย” ผมบอก

โอ้ตมันทำหน้าถมึงทึงคับ นี่ถ้ามันสบายดีอยู่ มันคงเดินหนี หรือไม่พูดไม่จากับผมไปแล้วล่ะ แต่นี่คือมันนอนอยู่ไง แล้วผมก็นั่งอยู่ตรงหน้าด้วย ไม่รู้จะหนีไปไหน

“ก็ถ้าไม่อยากให้ห่วง ก็จะได้ไม่ต้องห่วงไง” มันพูดกัดฟัน หน้าแดงด้วยโทสะ แล้วก็พลิกตัวหันหนีผมไปเลย

เออ เอาไงดีวะกู ดันไปยั่วมะโหเค้าอีกแระ = =’’

ซักพัก พยาบาลก็ประกาศปิดไฟห้องรวม ทำให้ตอนนี้ก็จะมีแค่แสงสลัวๆในห้องเท่านั้น ผมก็เดินไปเอาผ้ากั้นเตียงบ้างบน เลื่อนมากั้น พลางก็เหลือบไปมองไอ้โอ้ต มันก็ไม่ได้หลับหรอก แต่หน้ามันบูดมากเลยอ่ะ พอผมกั้นเสร็จ ก็มานั่งที่เดินต่อ

“โอ้ต …” ผมเรียกเบาๆ ไม่อยากรบกวนเตียงอื่น

มันก็นอนนิ่งไม่ไหวติง

“โอ้ตคับ … ”

นิ่ง

“โอ้ตค๊าบบบบ …” แต่คราวนี้ผมเอื้อมมือไปพาดไว้บนตัวมันทั้งๆที่นอนตะแคงแบบนั้นล่ะ ผมก็เลื่อนตัวให้มาอยู่ใกล้ๆมัน แล้วก็กระซิบบอก

“โอ้ต ขอโทษนะ …. เราคิดว่า ถะ ถ้า ไม่มีโอ้ต เราคงไม่มีใครแล้ว” พูดเสร็จ ผมก็เลื่อนตัวไปอยู่บนเตียงเดียวกะโอ้ต แล้วก็สวมกอดมันจากด้านหลัง

“ปริ้นไม่ได้มีอะไรกับคิวมันจริงๆนะ ไม่มีจริงๆ” ผมพูดแล้วก็เอาหน้าซบลงบนแผ่นหลังโอ้ต น้ำตามันไหลมาอีกจนได้ มันไหลมาจนเปียกเสื้อไปหมด

และวินาทีใดวินาทีนึง ผมก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของมือโอ้ต ที่เลื่อนมาจับมือของผมที่โอบกอดมันไว้อยู่ แม้ว่ามันจะไม่ได้หันหน้ามาหาผม แต่ผมก็รับรู้ได้ว่า มันยอมยกโทษ และก็เชื่อ ในสิ่งที่ผมได้บอกออกไป

ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงหัวใจของผมเต้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้มันเชื่อผมแล้ว ผมควรจะเลิกกอดมันได้ซะที แต่ทำไมร่างกายกับไม่ยอมตอบสนองกับความคิดวะ ผมอยากจะนอนกอดมันไปเรื่อยๆแบบนี้ อยากให้เวลามันหยุดนิ่งอยู่แบบนี้

แกร๊กกกกก ครืดดดด

เสียงเตียงสั่น พร้อมๆกับไอ้โอ้ตมันพลิกตัวหันมาทางผม


…. ใกล้มากคับ ใกล้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่เคยอยู่ใกล้ไอ้โอ้ตขนาดนี้เลย ปากมันกับปากผมแทบจะชนกันอยู่แล้ว ลมหายใจโอ้ตมันร้อนมากจนผมรู้สึกได้ แล้วมันก็พูดขึ้นมา

“ปริ้น …. โอ้ตปวดฉี่”

= =’’

แสดดดดดด เยสสสเข้ หมดมู๊ดเลยกู

ผมได้สติขึ้นมาก็รีบเลื่อนตัวลงมาจากเตียงไอ้โอ้ตคับ มือ ก็ควานหา คอมฟอร์ต 100 ใต้เตียง

“ไปเข้าห้องน้ำดีกว่าปริ้น ไม่อยากใช้ไอ้นั่นน่ะ” มันพูดพลางค่อยๆพยุงตัวลงมาจากเตียง แต่ดูเหมือนว่า ยังมึนไม่หาย

“เฮ้ยๆ ค่อยๆดิ เด๋วก็ล้มหรอก” ผมว่าพลางเข้าไปพยุงตัวมัน

“อือ” มันพูดแล้วก็ค่อยๆ เดินออกไปห้องน้ำ

“ปริ้นรออยู่นอกห้องล่ะ” มันว่าอายๆคับ แต่ดูมันโงนเงนอยู่เลย

“อายไรวะ เด๋วก็ล้มในห้องน้ำหรอก มานี่” ผมว่าพลางพยุงมันเข้าไปในห้องน้ำเลย (จริงๆคืออยากแกล้งมันมากกว่า หุหุ)

“ก็ฉี่ไปเหอะ เด๋วหันหลังให้” ผมว่า แล้วก็ทำเป็นหันหน้าไปทางอื่นให้ แต่มือก็ยังพยุงตัวมันอยู่ล่ะ

“อือ” มันรับคำแล้วก็ แก้กางเกง ซึ่งกางเกง รพ เนี่ย มันแก้ง่ายมากคับ แค่แกะปมหน่อยนึงก็หลุดแระ

“ปริ้น ….”

“ไร ”

“ฉี่ไม่ออก” มันว่า

“ทำไมอ่ะ”

“ก็มีคนอยู่ด้วยนี่หว่า ”

“เอาน่า ทำตัวตามสบายๆ แล้วเกร็งดิ ”ผมพูดให้มันผ่อนคลาย เออ น่ารักดีฟร่ะ 555

ซักพัก ก็ได้ยินเสียง ซู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสร็จ มันก็สะบัดๆหน่อยนึง ด้วยความที่อยากแกล้งมันต่อ

“เด๋ว โอ้ต ล้างจู๋ก่อน สกปรก” แล้วก็ทำเอามือแกล้งจะไปจับ โอ้ยย นี่กูติดนิสัยขี้แกล้งนี่มาจากไอ้คิวแหง่เลย

“เฮ้ย จะบ้าเรอะ ไม่เอา” มันก็ปัดมือผมออก แล้วก็ก้มหน้างุดๆรีบผูกกางเกงเลย

หุหุ กูนี่เล้ว เลว แกล้งคนป่วยซ้า ….

“โอ้ตนี่เป็นคนดีจังน้า” ผมพูดขึ้นมาหลังจากที่พามันมาขึ้นเตียงเหมือนเดิมแล้ว

“ฮื้มม ดียังไง ”

“ก็ …ไม่มีไร แฮะๆ” ผมบอก โอ้ตมันคงจะหักหลบคนซินะ ทั้งๆที่สถานการณ์แบบนี้ คนบ้าวิ่งตัดหน้าแบบนี้ …. มันยังยอมเลือกให้ตัวเองเจ็บ

“ไม่อยากเป็นคนดี เพราะเป็นคนดีแล้วไม่มีที่อยู่ เหอๆ” มันพูดมุกเสี่ยวแดก

“อ่าๆ เครๆ ไม่ดีก็ได้ งั้นเป็นคนน่ารักเป็นไง น่าร๊ากกกกก” ผมแกล้งแซวมันเล่นคับ แต่ใจจริงก็คิดแบบนั้นอยู่ล่ะ

“555 เหรอ” มันหัวเราะอารมณ์ดีเชียว ชมแค่นี้

“เหรออาไร ”

“ก็ ถ้าน่ารัก ……………………………….. ก็รักดิ”

O_o’’’
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 20:09:48 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #11 เมื่อ22-10-2006 22:38:28 »

“ก็ ถ้าน่ารัก ……………………………….. ก็รักดิ”

“ก็รักดิ ….”

“รักดิ …”

“ดิ …”

….

ซ่า …… ซ่า ……ซ่า

ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คำพูดของโอ้ตมันก็ดังซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเสียงเอ๊กโค่ มันชอบผมเหมือนกันเหรอ ? เหมือนกับที่ผมก็รู้สึกแบบเดียวกะโอ้ต ..

ไม่ใช่อ่ะ .. ไม่เหมือนกันหรอก

ผมยังไม่ได้รู้สึกรักโอ้ต ผมแค่รู้สึกดีๆ … ไม่ใช่เหรอไงวะ แค่รู้สึกเหงาเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วย รู้สึกหงุดหงิดเวลาที่มันทำตัวหนิดหนมกะซัง แค่ แค่ แค่ บลาๆๆๆ

อ่า ….

ผมเริ่มรู้สึกสับสนกับตัวเองมากขึ้นทุกที นึกย้อนไปตอน ม ต้น จนมาถึงตอนนี้ ผมไม่เคยรู้จัก หรือ ให้คำว่ารัก กับใคร ไม่เคยมีแฟน ชีวิตในรั้วโรงเรียนก็มีแต่เพื่อน เคยคิดเหมือนกันคับ ว่า พอเข้ามหาลัยแล้ว ก็คงจะเริ่มสนใจผู้หญิงเหมือนกับคนอื่นๆเค้าล่ะมั้ง แต่ตอนนี้ผมก็อยู่ รร สห แล้วมันก็ยังเฉยๆ อาไรกันนี่


* * * * * * * * * * * *

“ที่รัก .. เป็นไรนั่งเหม่อเชีย ข้าวเข้วไม่แดก” เสียงไอ้คิวพูดจนทำให้ผมสะดุ้ง มันก็ยังกวนตีนเรียกผมแบบนี้อยู่ได้ ซังมันก็นั่งกินอยู่ข้างมันแท้ๆ ที่สำคัญ กูอายชาวบ้านเค้าว้อยยย

“เหี้ย …” ผมด่ามันคำเดียวจบ

“เป็นไรป่าวปริ้น วันนี้เอาแต่เหม่อ” ซังถามเพราะว่าคงเห็นผมท่าไม่ค่อยดี

“อ่อ กรูรู้แล้ว คิดถึงไอ้โอ้ตอยู่ใช่ป่าว” คิวพูดขึ้นมาแล้วก็ทำตาแบบรู้ทัน

- เออดิ - ผมตอบในใจ ถึงแม้ว่าผลการสแกนสมองมันจะไม่เป็นอะไร แต่พอมันออกจาก รพ แม่มันก็อยากให้นอนพักอีกวันนึงก่อน เลยไม่ต้องมาโรงเรียนวันจันทร์สบายใจเฉิบ

“เฮ้ย ซัง มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย” ผมบอกกับมันเสียงค่อนข้างซีเรียส

“เรื่องอะไร ”

“กินข้าวเสร็จ แล้วขึ้นห้องเรียนก่อน เด๋วบอก” ผมว่าพลางจ้วงข้าวอีกไม่กี่คำแล้วก็พากันขึ้นห้องเรียน คาบนี้เรียนวิทยาศาสตร์กายภาพคับ คุยได้สะดวก แฮะๆ ขึ้นไปก่อน ก็ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่เท่าไร คิวมันก็ยังไม่ขึ้นมา ไปแรดเตะบอลอยู่ข้างล่าง

“มีอะไรว่ามา”

“เออ .. อืม ไงดี”

“อ้าว แล้วจาไงล่ะวะ” ดูซังมันหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะมันก็คงอยากจะไปเตะบอลเหมือนกัน แต่โดนผมลากขึ้นมาก่อน

“เออ คือ ซังเป็น กะ เกย์ ใช่ป่ะ ? ”

ซังมันมองหน้าผมคับ แบบว่า ไม่คิดว่าผมจาถามมันแบบนี้

“อะ ก็คงงั้นล่ะมั้ง” มันบอกทำท่าทางเก้ๆกังๆ คือตั้งแต่วันที่ผมรู้ความลับของพวกมันวันนั้นเนี่ย เราก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ไม่เคยถามกันเรื่องนี้อีกเลย เหมือนกะว่าเราไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น

“เออ งั้นก็ต้องดูออกใช่ป่ะว่าใครเป็นเกย์ ไม่เป็น ไรเงี้ย ….” ผมก็อ้อมแอ้มถามแบบไม่มองหน้ามัน ใจนึงก็กลัวนะคับ ไม่รู้มันจะตอบว่าไง มันจะโกรธมั้ย

“อืม เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน” มันตอบแบบไม่ค่อยแน่ใจ ว่าแต่ถามทำไมล่ะ

“คือ .. คือ ”

“คือรายว้า”

ผมจากที่เดินไปเดินมาอยู่ ก็ลงไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ก้มหัวแบบคนคิดไม่ตกเลย

“… แล้วซังดูออกป่าว ว่าปริ้นเป็นหรือไม่เป็น” แล้วผมก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ รอฟังคำตอบมันด้วยใจระทึก ซังมันก็เงียบคับ ทั้งๆที่พัดลมแขวนบนหัวเราก็เปิดไว้นะคับ แต่ตอนนั้นเหงื่อผมออกมาเต็มตัวเลย ผมอยากจะคิดว่า ที่ผมรู้สึกแบบนั้นกะโอ้ตเนี่ย มันก็เป็นอะไรที่ผู้ชายทั่วไปก็รู้สึกได้เหมือนกัน

“ซังไม่รู้ว่าปริ้นเป็นเหรอป่าวหรอก - - -” มันตอบเสียงแผ่ว เพราะว่าตอนนี้เริ่มมีพวกผู้หญิงเดินเข้ามาในห้องกันแล้ว

“แต่ซังรู้สึกว่า ที่ปริ้นกับพี่โอ้ตทำให้กันอ่ะ มันไม่เหมือนเพื่อนที่ทำให้กันนะ” อ่า ซังมันก็ดูออกเหรอเนี่ย

“ก็ เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันซ้าหน่อย” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบซัง

“- - เราก็เป็นเหมือนญาติกัน อยู่บ้านเดียวกัน ก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน” ผมพูดเหมือนกับจะอธิบายย้ำให้ตัวเองฟังมากกว่าที่จะพูดให้ซังฟังซะอีก

“ตกลงว่าปริ้นไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไรเหรอ ”

“อือ ”

เสียงซังมันถอนหายใจ

“ปริ้น …. ซังว่า ให้เวลามันตัดสินเองดีกว่า ให้ปริ้นรู้ด้วยตัวเองดีกว่า ให้คนอื่นมาบอกว่า ตัวเองเป็นแบบนั้น แบบนี้ … จะดีกว่ามั้ย ”

ผมก็มองหน้าซัง แบบค้นหาคำตอบ

“ยะ ยังงั้นเหรอ ”

ซังมันก็พยักหน้า แล้วก็เอามือตบบ่าผม

“สำคัญอยู่แค่ พอถึงเวลาที่เรารู้จักตัวเองแล้ว .. เราจะยอมรับตัวเองได้เหรอป่าว …… อย่าคิดมากน่า” แล้วมันก็ยิ้มให้อีกรอบ น่ารักจริงๆ

“คุยอาไรกันอยู่” เสียงไอ้คิวมันแว่วมาแต่ไกลเลยคับ เหงื่อโซกเต็มตัวเลย ซกมกมาก แล้วมันก็หน้าด้านมานั่งตากพัดลมที่บนโต๊ะผมอีกนะ

“เหี้ย มึง เหม็นหว่ะ” ผมกัดมัน จริงๆแล้วม่ะเหม็นหรอกคับ ได้แต่กลิ่นโรลออน

“มึงลอกงานวิทย์เสร็จยัง กูจะส่งแล้วนะไอ้คิว” ซังมันทวงงานจากไอ้คิวแล้วคับ

“เออ กรูลืมมมมมมมมมม” มันพูดเสร็จ มันก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม

“แล้วนั่งทำซากไรอยู่ล่ะ ก็เอาขึ้นมาทำดิ” เสียงไอ้ซังมันแข็งขึ้น ได้ผลคับ คิวมันก็ทำหน้าบูด แต่ก็ยอมลงมานั่งที่เก้าอี้ แล้วก็เริ่มเอางานขึ้นมาลอก ปากมันก็บ่นไปเรื่อย อาไรของมันก็ม่ะรู้

“เออ ซัง แล้ว ซังกะไอ้คิวเนี่ย ใครเป็นยังไงเหรอ” ผมกระซิบถามไม่ให้คิวมันได้ยิน

“เป็นยังไง นี่คืออะไร” ซังมันก้มหน้ามาแล้วก็ขมวดคิ้ว

“ก็ใครเป็น … เออ เค้าเรียกว่าไรนะ รับ รุก เหรอ ?! ”

เท่านั้นล่ะคับ ไอ้ซังก็หัวเราะร่วนเลย

“หัวเราะอาไรของเมิงวะ เสียงดัง กรูไม่มีสมาธิลอก” ไอ้คิวมันเกาหัวแกร่กๆ แล้วก็บ่นต่อ โดยไม่รู้ว่าเราสองคนนินทามันแบบเผาขน

“ให้ทาย …” ซังมันยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ๆ

มันก็เงยหน้าไปมองไอ้คิวทีนึง แล้วก็หันมามองซังทีนึง ในใจก็คิดว่า ซังมันต้องเป็นเมียไอ้คิวแหง่ๆ ไอ้คิวก็ไซร้ซะสุดยอดแบบนั้น

“เออ…. - - -” ผมยังไม่ทันตอบอะไร ซังมันก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์คับ โดยมันยื่นนิ้วกลาง แล้วก็ชี้มาที่มัน แล้วมันก็ทำมือเป็นวงกลมๆ แล้วก็ชี้ไปที่ไอ้คิว

O_o

“555555555” แล้วมานก็หัวเราะเสียงดังเลย จนเพื่อนโต๊ะอื่นมันหันมามอง

“555555 เจงดิ โอ๊ย กูม่ะอยากเชื่อเรยยยย” ผมก็สมทบหัวเราะไปกะมันด้วย ไอ้คิวมานก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงกะสัยว่า ไอ้สองตัวนี่มันหัวเราะห่าเหวอะไรของมันอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ถามเพราะว่ามันต้องปั่นงานของตัวเองให้เสร็จก่อนอาจารย์จะเข้ามา หุหุ

สรุปแล้ว ผมก็แอบสืบรู้มาจนได้ล่ะ (แท้จริงแล้วก็ถามไอ้ซังอะนะ) ว่าม่ะก่อนเนี้ย ไอ้คิวมันก็เป็นกระทำซังมันอย่างที่คิดจริงๆล่ะคับ แต่แค่ทีสองที ซังมันอยากจะเป็นฝ่ายกระทำไอ้คิวบ้าง แต่คิวมันก็ยืนกรานไม่ยอมอย่างเดียว มีอยู่วันนึง มันไปเลี้ยงวันเกิดเพื่อน แล้วก็แดกเหล้ากัน ก็ได้ที่ไอ้ซังมันก็มอมไอ้คิวคับ (ร้ายจริงๆ)

คืนนั้น ไอ้คิวก็กลายเป็นเมียซังไปแบบสมยอม หุหุ ที่บอกว่าสมยอมเนี่ย เพราะว่า มันมอมแบบว่ากึ่มๆ คิวมันก็พอให้รู้สึกตัวล่ะ แต่พออารมณ์หื่นมันบังเกิด รุกก็รุกเหอะคับ มันก็กลายเป็นรับได้เหมือนกัน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้คิวมันติดจายอ่ะป่าว เวลาซังมันขอเอามัน มันก็ยอมซะงั้น จนหลังๆ ซังมันก็ได้ใจ ไม่ยอมให้ไอ้คิวมันรุกอีกเลย

เป็นซะงั้นไป = =;;

จริงๆผมก็อยากรู้เรื่องของมันสองคนมากกว่านี้ล่ะ แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากละลาบละล้วงอะไรมันมากไป มันเปิดใจกับผมแค่นี้มันก็ถือว่ามากแล้วล่ะ


* * * * * * * * * * * *

ชีวิตที่ดูเหมือนจะสับสนกับตัวเองของผม ในตอนนั้น ก็ไม่ได้รับการคลี่คลาย หรือว่าเข้าใจอะไรมากขึ้นหรอกคับ โอ้ตก็เหมือนกัน หลังจากคืนวันที่มันพูดหยอกผมที่ รพ วันนั้น มันก็ไม่มีทีท่าจะมาอะไรกับผมไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ผมก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับความสับสนในตัวเองได้อย่างสุขสบายใจ เพราะว่าตอนนี้มีเรื่องทุกข์ใจเรื่องใหม่มาให้เครียดแทน

คืองี้คับ ช่วงกลางเดือนสิงหาคม จะเป็นช่วงที่ทางโรงเรียนผมจัดกีฬาสีกันขึ้น อย่างที่เคยบอกกันไว้แล้วว่า ห้องโอ้ตกะห้องผมเนี่ย อยู่สีเดียวกัน ม หกจะรับผิดชอบเกี่ยวกะสีทั้งหมด ส่วน ม ห้า จะรับผิดชอบขบวนพาเหรด ซึ่งมันก็น่าจะมีแค่นั้น

“ปริ้นอยากเป็นลีดป่าว ” ไอ้พี่ท็อปอยู่ๆเดินเข้ามาถามผม ระหว่างที่สีเรากำลังประชุมกันอยู่ (เวลาเค้าให้ประชุมก็จะประชุมกันหมดเลย ตั้งแต่ม 1 ยัน ม 6 )

“ไม่เคยคิดอ่ะ” ผมทำหน้าแปลกใจที่ทำไมพี่เค้ามาถามผมวะ

“แต่พวกพี่ๆ เค้าอยากให้เราเป็นน่ะ” พี่ท็อปบอก แล้วก็ลากผมให้เข้าไปคุยในกลุ่มพวกเด็ก ม.6 แว๊ก ไม่เป็นนะ ไม่อ้าวววววว ผมก็หันรีหันขวางหวังหาไอ้โอ้ตให้มาช่วยคับ แต่โอ้ตมันก็ใช้โทรโข่งคุยกะน้องม 1 ที่ต้องขึ้นสแตนด์เชียร์อยู่

“สีเราไม่มีลีดผู้ชายเลยนะน้อง” พี่ผู้หญิงที่ผมไม่เคยรู้จักบอกให้ฟัง

“เออ แต่ผม - - -”

“เนี่ย แล้วถ้าไม่มีลีดผู้ชาย มันก็จะลำบากเวลาเล่นท่า” พี่อีกคนเข้ามาเสริม

“แต่ผมเต้นไม่ - - -”

“น้องเต้นไม่เป็นไม่เป็นไรคะ เพราะยังไงก็มีพี่เค้ามาสอนให้อยู่แล้ว” อีกคนก็เข้ามาอีก โอ้ย อาไรกัน

“ตกลงเป็นนะปริ้น” เสียงพี่ท็อปพูดสรุปเอง

“แว๊ก ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” ผมโอดใส่

“ช่วยสีแค่นี้ไม่ได้เหรอน้อง” เสียงโคตรโหดของผู้หญิงคนนึงดังขึ้นมาคับ ก็คงจะเห็นผมพยายามปฏิเสธอยู่นานแล้วอ่ะ

“ถ้าน้องเค้าไม่เต็มใจ พวกมึงจะไปอ้อนวอนเค้าทำไม” ผมก็หันไปมองต้นเสียง เท่านั้นล่ะ เพื่อนๆอาจจะเคยกันบ้างนะคับ เวลาเราเจอคนที่ไม่ถูกชะตาเนี่ย ไม่ต้องทำอะไรหรอก ก็เหม็นขี้หน้าแระ แล้วยิ่งอีพี่คนนี้พูดประชดแบบนี้อีก กูยิ่งเกลียดไปกันใหญ่

“เฮ้ย ขวัญมึงเงียบๆไปเหอะ” พี่ท็อปเดินเข้ามาพูดน้ำเสียงไม่พอใจ อ่า ….

“ป่าว ก็เห็นว่าน้องเค้าไม่อยากเป็น แล้วจะไปตอแยอะไรเค้า” พี่ขวัญทำหน้าแบบกวนตีนๆ ใส่พี่ท็อป

“เรื่องนี้กูคุยกะน้องเค้าเอง มึงอยู่ส่วนสวัสดิการ อยู่ส่วนกีฬา มึงก็ไปจัดการเหอะ” พี่ท็อปพูดตอกกลับ

“อ้าว พูดงี้ว่ากูเสือกเหรอท้อป” เสียงอีพี่ขวัญไม่พอใจ เดินเข้ามาหา “กูก็เป็นรองประธานสีคนนึงนะ”

“เฮ้ย พวกมึงงงงงงงง” เสียงพระเอกมายอีกแล้วคับ โอ้ตมันก็เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาเชียว

“อยู่สีเดียวกัน จะทะเลาะกันทำไมเนี่ย ”

“ถามมันดูเด๊ะ พี่ขวัญชี้ไปที่พี่ท็อป” แล้วก็เดินกลับไปหาพวกห้องเค้าแบบมีน้ำโห ท่ามกลางความงุนงงของน้องๆ

โอ้ตมันก็หันมาทางพี่ท็อป

“ท็อปกูบอกแล้วใช่ม่ะ ว่า อย่าไปมีเรื่องกับเค้า”

“ก็กูไปหาเรื่องเค้าก่อนที่ไหนล่ะ กูแค่มาถามปริ้นว่าจะเป็นลีดมั้ย มันก็เข้ามาเสือก” พี่ท็อปตอบโกรธๆ

“มึงจะให้ใครเป็นลีดนะ” โอ้ตมันร้องเสียงหลง

“น้องปริ้น” พี่ผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์บอกแทน เพราะดูว่าพี่ท็อปไม่สบอารมณ์ที่จะพูด

“ไม่ให้เป็น …” โอ้ตมันพูดเสียงหนัก จนพี่ท็อปหันไปมองหน้าโอ้ตเลย

“มึงให้กูรับผิดชอบเรื่องลีดไม่ใช่เหรอไง”

“ก็ใช่ไง แล้วกูก็อยากให้มึงหาคนที่เค้ามีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่มาควานหาคนใกล้ตัวแบบนี้” ทั้งโอ้ตทั้งพี่ท็อปเถียงกันแบบไม่ลดราวาศอก พี่ในห้องเค้าไม่มีใครกล้าไปขัดหรือว่าไปห้ามสองคนนี่เลยอ่ะ

“ถ้ามึงคิดว่ากูทำงานไม่ได้ กูก็ขอไม่ยุ่งเหี้ยไรแล้วกัน” พี่ท็อปพูดแบบโกรธจัดจนเสียงสั่น แล้วก็เดินออกไปจากที่ประชุมเลย ผมเห็นโอ้ตสั่นหัว แล้วก็กลับไปคุยกะพวกน้องๆต่อ พี่คนอื่นก็ไม่มีใครมีท่าทีจะไปตามพี่ท็อปเลย

- งั้นกูไปเองก็ได้วะ - ผมคิดได้ดังนั้น ก็เลยเดินเนียนออกมา แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าพี่ท็อปไปไหน เฮ้อ … ทำไมขี้น้อยใจกันจังวะ

“แป่ม เห็นพี่ท็อปป่ะ” ผมถามเพื่อนคนนึง

“เมื่อกี้เดินสวนกันตรงตึก 2 นะ ”แป่มบอก ก็คิดออกแล้วคับว่าไปไหน พวกเด็ก 6 ห้อง 1 นี่มีที่สถิตอยู่ที่เดียว ห้องพยาบาล (แล้วรุ่นต่อๆมา ก็เอาไว้เป็นที่สถิตกันสืบมาเนืองๆ)

ผมเดินเข้าไป เห็นพี่ท็อปกำลังเปิดตู้เย็นอยู่

“พี่ท็อปคับ” พูดซะเพราะเลยกู สงสัยกลัว

“ว่าไง ปริ้น” พี่ท็อปหันมา ตาดูแดงๆ

“เออ ขอโทดนะพี่ ที่ผมเป็น - - - ”

“เฮ้ย ไม่เกี่ยวกับปริ้นหรอก คนมันจะหาเรื่อง ” พี่ท็อปว่า แต่ผมไม่รู้ว่าเค้าหมายถึงใครระหว่างไอ้โอ้ต กะ พี่ขวัญ

“พี่ว่า ผมจะเป็นลีดได้เหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม

พี่ท็อปก็เงยหน้าขึ้นมา “ได้ดิ ไม่งั้นไม่ถามหรอก”

“แต่ถ้าปริ้นไม่อยากเป็น พี่ก็คงบังคับไม่ได้หรอก” น่าน เหมือนพูดประชดกูนิดๆ

“งั้นผมขอลองดูก่อนได้ป่าวพี่” ผมว่าแบบลองเชิง

คราวนี้พี่ท็อปยิ้มเฉ่งเลยคับ แล้วก็เดินเข้ามากอดคอ “เจงป่าววววว ขอบใจมากน้องรัก” แล้วมานก็มาจูบหัวผมแบบทีเล่นทีจริงอ่ะ

“ผมบอกว่าลองดูนะ ไม่ได้จะเป็นจริงๆ” ผมเขินเลยคับ เล่นเหี้ยไรเนี่ย

“แล้วพี่จะให้ผมเป็นคนเดียวเนี่ยนะ นอกนั้นผู้หญิงหมด ”

“ถ้ามันหาไม่ได้จริงๆ เด๋วพี่เป็นเองก็ได้วะ” พี่ท็อปพูดแบบมั่นใจ คือมึงล่ำมากนะไอ้พี่ท็อป ถึงจะขาวก็เหอะ

“เออ เอางั้นเลยนะ ว่าแต่พี่เป็นผมก็ดับเด๊ะ”

“ดับอะไรกันวะ มาม่ะ ไปลงชื่อเร็ว กูอยากเห็นหน้าไอ้โอ้ตเวลาเห็นลีดเจงๆ” พี่ท็อปพูดแล้วก็ลากผมกลับไปที่ประชุมทันที

แม่มมมม ให้มันได้อย่างนี้เซ่ะวะ

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #12 เมื่อ22-10-2006 22:39:02 »

แล้วทำไมต้องทำหน้าเป็นตูดแบบนั้นด้วยวะ” ผมถามแบบฉุนๆ เมื่อเห็นหน้าโอ้ต
ระหว่างทางกลับบ้าน จริงๆแล้วเนี่ยมันตูดมาตั้งแต่ตอนที่พี่ท็อปพาไปลงชื่อแล้วล่ะคับ

พอมันขึ้นรถมันก็เดินไปนั่งไม่ยอมพูดยอมจา …….. เบื่อคนขี้งอนเจงๆ

“โอ้ต - - -” ผมชะงักเมื่อเห็นมันหันมามองตาขวาง

“อยู่ๆคิดยังไงถึงอยากเป็นขึ้นมาล่ะ ”

“อ้าว ก็พี่ท็อปเค้าขอให้ช่วยหนิ” ผมพูดเสียงเบา เหมือนทำอะไรผิดเลยกู

“แล้วรู้หรอป่าว จะเป็นลีดเนี่ย มันต้องรับผิดชอบอะไรเยอะแยะ ตัวเองจะทำได้เหรอป่าวก็ไม่รู้”
มันก็บ่นของมันเรื่อยไป ผมก็พยายามทนฟังอ่ะนะ ขี้เกียจเถียง อีกอย่างรำคาญด้วย จามายุ่งอาไร
กะชีวิตกูมากมาย

“โอ้ตรับผิดชอบเรื่องเชียร์ม่ะใช่เหรอ ใครจะทำอะไรมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับโอ้ตเลย” ผมว่า

“เออ เสือกเองล่ะ” มันพูดเบาๆ แต่ผมได้ยิน แล้วมานก็หันหน้าไปทางหน้าต่างคับ ทำเสียงฟึดฟัด

“โอ้ต …” ผมเรียก

“โอ้ต …. คิดว่าปริ้นเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบเลยเหรอ ? ” ผมเลยแสดงอาการน้อยใจทาง
คำพูดแล้วล่ะ แม่ง ทำมายวะ กลัวกูทำสีพังเหรอไง

มันก็เงียบ

ผมก็เงียบ …. ไม่คุยกะมันแล้วคับ หันหน้าออกมาอีกข้างเหมือนกัน

เชอะ !!!!!

รู้สึกเบื่อกันมั้ยคับ แมร่ง งอลกันไปมาอยู่ได้ เหอๆ ผมเองยังเบื่อเลย


* * * * * * * * * * * *

วันต่อมาก็ดีขึ้นมาหน่อยคับ โอ้ตมันก็ทำตัวตามปกติ แบบเหมือนมันพยายามจะไม่พูดถึงเรื่องผม
เป็นลีด หรือประเด็นอะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกะเรื่องนี้ แต่พอมีคนพูดถึงปั๊บ มันก็จะออกอาการหงุดหงิด
ทันที

“แค่เราจะเป็นลีดแค่เนี้ย ปัญญาอ่อนหว่ะ ” ผมบ่นให้ซังฟัง ขณะเรียนวิชาพุทธศาสนา ซึ่งเป็นอะไร
ที่สามารถคุยกันได้อย่างเพลิดเพลิน

“พี่โอ้ตก็คงห่วงปริ้นอ่ะแหละ ”

“ไม่รู้เด๊ะ แต่แมร่งช่วงนี้ชอบมายุ่งกะชีวิตเราอ่ะ เซง” ผมพูดพลางโยกเก้าอี้ไปมา

ซังมันก็มองหน้าผม

“แล้วปริ้นชอบป่าวล่ะ ”

“เฮ้ย - - - ชะ ชอบอะไร ” ผมเกือบล้มไปพร้อมเก้าอี้ ม่ะชอบบบบบบเฟ้ย

“อืมมม ซังว่า ปริ้นเป็นก็ดีอ่ะ เกิดแน่ๆ หึหึ” ซังมันบอก

“แล้วซังไม่อยากเป็นบ้างเหรอ” ผมก็เกิดไอเดียอยากชวนเพื่อนไปตาย มันก็สั่นหน้าทันที

“ไม่อ่ะ ไม่แนว .. ”

“เมิงจะแนวเหี้ยราย ไม่เป็นเพื่อนกูเร้ย”

เย็นวันเดียวกัน ไอ้พี่ท็อปก็เรียกคนที่สมัครไว้มาประชุมคับ เหอๆ ทำไมมันฟิตจังวะ (ตูดก็ฟิต) ไปถึง
ก็เห็นพวกพี่ๆ แล้วก็คนที่อยู่ ม.5 เหมือนกับผมอีกรวมเป็น 6 คนอ่ะ (จริงๆต้องมี 7 คน)

“มีแค่เนี้ย !! ” ผมร้อง

“อีกคนก็หาอยู่ แต่คิดว่าน้องเค้าน่าจะตกลงนะ” พี่ผู้หญิงที่ผมมารู้จักทีหลังว่าชื่อ ต่าย บอก

พี่ท็อปมานก็แนะนำสต๊าฟของลีดคับ ว่ามีใครบ้าง ส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้หญิงล่ะ ส่วนลีดไม่ต้องพูดถึงครับ
มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเลยตอนนี้ มีผมเป็นตัวผู้คนเดียวนั่งโด่อยู่

“พี่ๆ พี่ชื่อไรนะ” ผมถาม

“ชื่อต่ายคะ”

“อืม พี่ต่ายแล้วใครเป็นคนสอนท่าอ่ะ ผมเต้นไม่เป็นนะ ม้วนตัวก็ไม่ได้ ตีลังกายิ่งไม่ดีเลยพี่”
ผมพยายามโปรโมตสรรพคุณตัวเองสุดริด

“น้องไม่ต้องห่วง เพราะว่าเดี๋ยวจะมีพี่ที่เป็นรุ่นพี่เรามาสอน” พี่ต่ายว่า ซึ่งพี่ที่มาสอนก็เป็นแบบว่า
พี่กาเทยอ่ะคับ แต่มีประสบการณ์สูง แล้วก็เรียนที่ ราชภัฏในเพชรฯนั่นล่ะ สีอื่นๆเค้าก็แนวเดียวกัน
ครับ เอารุ่นพี่จากที่อื่นมาสอนทั้งนั้น ตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าความเก๋าของใครจะมีมากกว่ากัน

แต่ว่าวันนี้พี่ที่สอนเค้ายังไม่มาหรอกครับ พี่ท็อปแค่เรียกว่าคุยก่อนว่าต้องทำอะไรกันบ้าง แล้ว
พี่ท็อปก็ให้พี่ต่ายคอยดูแลผมอ่ะ แบบว่าลีดสองคนจะมีสต๊าฟคอยดูแล เหมือนนักมวยม่ะนั่น = =’

“พี่ต่ายๆ แล้วอีกคนนึงเค้าจะเป็นมั้ยครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้มีผมเป็นไข่แดงอยู่คนเดียว
ไม่งั้นกูไม่เป็นนะ

“มาซิ ก็ไอ้ - - เอ้ย พี่ท็อปเค้าไปบังคับ แกมขู่ขนาดนั้น” พี่ต่ายบอก แล้วก็แจกแผ่นเพลงเชียร์มา
ให้ผมอ่าน ซึ่งมันมีอยู่เป็นสิบๆเพลงเลยอ่ะที่ต้องจำให้ได้ เพลงบางเพลงมันก็เคยร้องบ้างแล้ว
แต่บางเพลงมันเอามาดัดแปลงใหม่นี่ดิ

“นี่ผมต้องร้องได้หมดทุกเพลงเลยเหรอ !! ” ผมโพล่งถามเสียงดัง

“ใช่แล้วน้อง ถ้าจำเพลงไม่ได้ก็เต้นไม่ได้นะซิ ”

- ง่า ……. ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยตู น่าจะเชื่อไอ้โอ้ตนะนี่ - - - - - พอคิดได้แค่นั้น ก็รีบสะบัด
หัวไปมา

- ไม่ได้ๆๆๆๆ จาให้ไอ้โอ้ตมันมาดูถูกดูแคลนตูไม่ได้ เราต้องทำให้ด้ายยยย ต้องทำให้มานเห็น -

ผมก็เลยคว้าเอามานั่งท่องนั่งอ่าน คนอื่นๆก็คุยกันโขมงโฉงเฉง ซักพัก ก็ปล่อยให้แยกย้ายกัน
กลับบ้านครับ

“ปริ้นเอาไปอ่านที่บ้านดิ แล้วพอสัปดาห์หน้าเริ่มซ้อมแล้วต้องร้องได้ทุกเพลงนะเว้ย ” พี่ท็อปมัน
เดินมาขู่คับ

“โหย .. ”

“โหยอาไร ”

“ง่า - - -” ผมยังไม่ทันจะบ่นอาไร พี่ท็อปก็ชำเลืองไปเห็นเด็กที่มันจะต้องเต้นเป็นคนสุดท้าย
วิ่งกระหืดกระหอบมาพอดี

“เฮ้ย !!! โค้ก อยู่นี่ๆๆ” แมร่ง ตะโกนเบาๆก็ด้าย อยู่กันแค่นี้ (มาคิดทีหลังว่า ตะโกนแล้วมัน
จะเสียงเบาได้ไง เหอๆ แอบโง่คับ)

ผมก็หันไปมองไอ้คนมาสายคับ

เท่านั้นแหละ ทำให้เลือดเกย์ผมตื่นขึ้นมาเลย !! น่าร๊ากมากกกกกก 555

มันเป็นเด็ก ม.4 ครับ แต่ตัวเสือกสูงแบบ 180 เลย สูงกว่าผมตั้ง 5 – 6 เซนฯ (คนที่เรียน รร เดียวกัน
รุ่นผมมีไม่กี่คน คงพอนึกออก เหอๆ) ตัวไม่ขาวมาก ออกแทนๆครับ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่า สายตา
มันคับ ตาแป๋วมากมาย เห็นแล้วจาละลาย ตอนที่ไอ้พี่ท็อปมันแนะนำให้น้องเค้ารู้จักกะผม มันก็จา
แบบสบตากันนิโหน่ยยยย

สายตามันเหมือนแบบมองทะลุทะลวงไปถึงไส้ติ่งได้เลยครับ แล้วมันเป็นคนที่ยิ้มค่อนข้างยากนะ
แต่พอมันยิ้มเนี่ย โอ่ เห็นสวรรค์รำไร จึ๊กๆๆๆ (เป็นรายของกูเนี่ย)

ร่ายความดีของมันมา 5 บรรทัด ให้เปลืองเนื้อที่เล่นๆ หุหุ สรุปก็คือมันน่ารักครับ แต่ไม่หล่อหรอก
ผมว่าคนน่ารักอ่ะ ดีกว่าคนหล่อเยอะครับ แต่ข้อเสียของมันคือ ค่อนข้างโง่มากๆ แบบว่า ตอน ม ต้นเนี่ย
กว่าจะผ่านก็ติด 0 กันหลายตัวทีเดียว

“ปริ้น นี่น้องโค้ก เป็นลีดคู่กับเรา” พี่ท็อปบอกผม แล้วก็บลาๆๆๆ แต่ผมไม่ได้สนใจฟังครับ เหอๆ
มองน้องเค้าอย่างเดียว แต่ก็แอบๆมองนะ

“ดีคับพี่ - - ปริ้น” มันพูดเสียงแบบแปล่งๆ

“ชื่อแปลกดีนะ”

อุ๊ก มาหาว่าชื่อกูแปลก เด๋วปั๊ด !

“อ่ะ น้องโค้กเนื้อเพลง อย่าลืมไปท่องมานะ” พี่ต่ายยื่นกระดาษส่งให้มัน มันก็รับ คับๆ แล้วมันก็
บอกว่าจะกลับไปเล่นบาสต่อ

“ปริ้น แล้วไงก็อย่าลืมทำการบ้านมาให้ดีๆอ่ะ เวลาเต้นจะได้ไม่เหนื่อยมาก” พี่ท็อปบอก แล้วก็ไล่ให้
ผมกลับบ้านได้แล้ว เพราะมันก็เย็นมากแล้วล่ะ

“ค๊าบพี่” ผมตอบด้วยเสียงที่บ่งบอกว่า อารมณ์ดี เหอๆ ไม่ต้องสงสัยนะว่าเรื่องอาไร ตอนนั้นผมลืม
ไปเลย ว่าเคยกังวลเรื่องความเป็นเกย์ของตัวเอง รู้แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอาไรมากไปกว่า จะได้ร่วม
ทีมกะไอ้น้องโค้กแล้วรู้สึกตื่นเต้น รู้สึกดีอ่าไรเงี้ย

ผมก็เดินกลับกะลังจะออกจากประตู รร อยู่แล้วล่ะ ก็รู้สึกว่ามีมวลอากาศมาคุอยู่ด้านหลัง

อ่า โอ้ตครับ เดินตามมาในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก ….. ผมลืมไปเลยว่าต้องกลับพร้อมมัน
มัวแต่เดินใจลอยอยู่ หน้าตามันไม่ต้องพูดถึงคับ พักนี้ หน้ามันบูดได้ทุกวัน สงสัยมันคงเครียดเรื่องกีฬาสี

“อ้าว ขอโทดโอ้ต ลืมคอย แฮะๆ” ผมตอบเสียงเจือนๆ แต่หน้ายังยิ้มแย้มอยู่

“ทีหลังถึงบ้านแล้วค่อยนึกออกก็ได้” มันบอก แล้วก็เดินมาชนไหล่ผมแบบจงใจกระแทกสุดๆ

- อารายของมานเนี่ย …- ผมเกาหัวแกร๊กๆ


* * * * * * * * * * * *

ผมกลับถึงบ้านด้วยอาการมึนๆนิดหน่อย เพราะว่าตลอดทางเนี่ย โอ้ตมันก็บ่นเรื่องปัญหาโน่น ปัญหานี่
ตลอดทาง ทะเลาะกะคนโน้น ต้องเครียกะคนนี้ ดูมันเครียดกว่าแต่ก่อนเยอะเลย

ตกลงว่า เค้าจัดกีฬาสีขึ้นมา เพื่อให้เด็กมาสนุกสนาน เชื่อมความสามัคคี หรือว่า ทำให้เด็กต้องมาแข่งขัน
มาเครียด มาทะเลาะกันหว่า ?

พอกินข้าวที่บ้านยายเสร็จ ผมก็รีบกลับมากะว่าจะรีบท่องเนื้อเพลงให้จำได้โดยเร็ว (ทีการบ้านไม่ค่อยแตะ)
น้ำท่า เสื้อผ้านักเรียนก็ยังไม่ได้ถอด

“รีบนอนนะปริ้น พรุ่งนี้ต้องรีบไปแต่เช้า” โอ้ตมันตะโกนข้ามมาบอกผม

“เออออออ ผมก็รับคำไปงั้นแหละ ”

2 ชั่วโมงผ่านไป เกือบ 5 ทุ่มแล้ว ไฟห้องผมก็ยังเปิดสว่างไสวอยู่ ง่วงก็ง่วงครับ แต่ก็จำเนื้อยังไม่ค่อย
ได้เลยตู

ติ๊ดดๆๆๆๆๆๆๆ เสียงมือถือดังขึ้นมา

“ว่าไงโอ้ต เสียงออกงัวเงียๆ

“บอกให้รีบหลับไง ทำไมยังไม่นอนอีก” เสียงมันออกฉุนๆ เพราะว่ามันคงเห็นแสงไฟออกมาจาก
บ้านผมแหละ

“อือๆ เด๋วจะนอนแระเนี่ย อีกแป๊บนึง”

“รีบๆนอนนะ” มันบอกแล้วก็วางหู โหย คุณจานอนก็นอนดิคับคุณพี่โอ้ต

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงครับ ไม่ไหวแระว้อยยย พรุ่งนี้ค่อยต่อแระกัน ผมคิดแล้วก็เอากระดาษมา
ปิดหน้าปิดตา แบบพักสายตาก่อน

“ดีคับพี่ - - ปริ้น”

“ชื่อแปลกดีนะ”

อยู่ๆผมก็คิดถึงหน้าน้องโค้กขึ้นมาครับ พร้อมกับเสียงที่มันคุยกับผมแค่ไม่กี่ประโยค

“ฮืออออ” ผมครางขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกว่า เจี้ยวผมมันเริ่มแข็งตัวขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้
(ใช้คำว่าเจี้ยวนี่เด็กไปป่าวฟร่ะ 555 )

“พี่ปริ้นครับ” ผมเริ่มจินตนาการไปไหนต่อไหนเลยเถิด

“พี่ปริ้นน่ารักจัง” โค้กในจินตนาการบอกพร้อมกับดึงใบหน้าแล้วก็เอาปากนุ่มๆ
มาประกบกับปากผม ผมไม่รู้หรอกว่าเค้าดูดปาก กระชากลิ้นกันยังไง แต่เท่าที่ดูในหนังโป๊
มันก็พอจะนึกออกล่ะนะ

โค้กกับผมยังคงประกบปากกันอย่างเร่าร้อน ผมรู้สึกได้ว่าลิ้นของเจ้าโค้กมันพยายามเข้ามา
ชอนไชในปากของผม จนแทบหายใจไม่ออก

“โค้ก …” ผมครางขึ้นมาเบาๆ แล้วกับเลื่อนมือไปกุมที่เจ้าน้องชายที่แข็งปั๋งอยู่ภายในกางเกง
สีกากี แล้วก็รูดขึ้น รูดลงเบาๆ

ไอ้โค้กในจินตนาการมันทำเอาตัวผมล่องลอยแล้วก็เตลิดไปถึงไหนต่อไหน ทั้งๆที่ผมเวลาว่าว
เนี่ย ก็ไม่เคยจินตนาการว่ามีกับผู้ชายเลย

“….. เสียวมั้ยคับพี่ปริ้น” โค้กถอนปากออกมา แล้วก็เอาสายตาหวานมาจ้องมอง
สายตาที่ยากที่จะลืมเลือน มันน่ามองมากๆๆ

“โค้ก พี่เสียวคับ …” ผมครางกับตัวเองอีกรอบ แล้วก็ค่อยๆ ปลดเข็มขัดนร ออก แล้วก็รูดซิบ
ลงมา เพื่อปลดปล่อยพันธนาการ มืออีกข้างผมก็ปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก แล้วก็ล้วงไปสัมผัส
กับหัวนมที่ตอนนี้มันแข็งเป็นไตแล้ว

“นมพี่น่าดูดจังคับ” เจ้าโค้กมันก็เลื่อนหน้าลงไปไซร้ที่ซอกคอผมนึงทีเป็นการกระตุ้น
ต่อมหงี่ให้บังเกิด แล้วก็บรรจงครอบปากที่หน้าอกผม แล้วก็ดูดเบาๆ ความเสียวซ่านแม้ใน
จินตนาการก็เหอะ ทำให้เท้าผมถึงกับต้องเกร็ง

มือด้านที่ทำหน้าที่รูดซิบออกเรียบร้อย ก็พยายามที่จะปลดปราการด่านสุดท้ายเพื่อให้หนอน
ชาเขียวของผมที่บัดนี้กลายร่างเป็นปลาช่อนตัวเขื่องให้ออกมาสูดอากาศข้างนอกซะที

“อ่า … โค๊ก เสียวจังคับ” ผมยังคงเพ้อกะตัวเองไปเรื่อย ราวกับมีน้องโค้กตัวเป็นๆมานอนดูด
ไซร้ให้งั้นแหละ

ผมเหวี่ยงขาตัวเองเพื่อให้กางเกงมันหลุดออก แล้วก็นอนเปลือยท่อนล่างล่อนจ้อน มือด้านนึง
ก็ลูบไล้หน้าอกตัวเอง อีกด้านก็กำไอ้ช่อนตัวเขื่องไว้แน่น แล้วก็ค่อยๆสาวเป็นจังหว่ะ

“ฮืออ อ่า ….”

โค้กมันดูดจนพอใจ ผมก็ดึงตัวมันขึ้นมาแล้วก็เอาปากไปประกบกับปากของน้องโค้กอีกรอบ
แล้วก็ฉกลิ้นเข้าไปจนโค้กมันผงะเหมือนกันเมื่อเจอผมรุกไปขนาดนี้ แต่ท้ายสุดก็เต็มใจ
แลกลิ้นกับผม อย่างดูดดื่ม เสียงดูดปาก ดัง จ้ววบจ๊าบ แมร่ง ยิ่งเพิ่มความอารมณ์กำหนัด
ให้กับตัวเองมากมาย ลิ้นน้องโค้ก นุ่มมากกกก (จิ้นเอาเอง)

“ ซี้ดดด พี่ครับ ดูดเบา ๆ ”

“โค้ก ดูดให้พี่หน่อยดิ” ผมว่า พลางเลื่อนหน้าน้องโค้กลงไปที่แท่งทวน

“ผม .. ไม่เคย” มันว่าแบบนั้น แต่ก็ค่อยๆครอบปากลงไปแบบนุ่มนวล

“ซี้ดดดด โค๊ก …” ผมแอ่นตัวไปแบบลืมตัวคับ เสียงสาวว่าวดัง แชะๆๆเลย (ม่ะใช่เสียง
ไฟแช็คนะเมิง) เสียงเตียงลั่นเอี้ยดอ๊าด ใกล้แล้ว ผมรู้สึกได้แบบนั้น พร้อมๆกับหน้าน้องโค้ก
ที่ปากก็ยังอมเคผมอยู่ เงยหน้ามามองประสานกัน

มือขวาก็จับเคผมเอาไว้แถมยังรูดซะเสียจนสุดโคน ปากก็รูดหัวเคผม ขึ้นลง แบบโม้ค เลย

“อ่า พี่โคตรเสียวเลยคับ โค้ก อ่า … ม่ะ ม่ายไหวแล้ว เพ่จะ จะ ……” ผมรู้สึกว่า
อีกไม่กี่วินาที มันจะระเบิดออกมาแล้ว

แกร็ก แกร็กกกก

“เฮ้ย บอกว่าให้นอนได้แล้ว ทำอะไรอยู่ - - -” ไอ้โอ้ตมันเสือกเปิดประตูเข้ามาคับ
ปกติมานจะเคาะประตูก่อนนี่หว่า !!

แค่ผมได้ยินเสียงมัน ไม่ต้องเห็นหน้าหรอก เพราะว่าตอนทำ ผมเอากระดาษเนื้อเพลงปิดหน้า
ไว้อยู่ไง ก็แบบกระเด้งตัวขึ้นมาเลยอ่ะ แต่ก็หาไรปิดส่วนล่างไม่ได้คับ เพราะว่า ผมดีดกางเกง
ไปทิศไหนแล้วม่ะรู้ มีแต่เสื้อ นร อ่ะที่ใส่อยู่ แต่มันก็ไม่ยาวพอที่จะปิดอะไรๆได้หรอก

หน้าไอ้โอ้ตมันอึ้งอ่ะคับ ผมก็อึ้งอ่ะ อายโคตรรรรพ่อ อยากเอาหน้าไปซุกหว่างขาไอ้โค้ก
เฮ้ย ซุกแผ่นดินหนีหมดกาน โอ้ตมันเห็นผมกะลังชักว่าวแบบว่า …. แบบว่าเต็มๆตาคับ
ตอนเด้งตัวขึ้นมา มือยังจับเคตัวเองอยู่เลย แฮะๆ แต่พอรู้ตัวอีกที ก็รีบปล่อยคับ ควานไป
หยิบกกนมาปิด (ซึ่งก็แน่นอน ปิดม่ายมิด แต่กูขอปิดไว้ก่อน)

“ทะ ทำไม... ยังไม่นอนอีก” มันพูดไป แต่หน้ามันแดงมาก โถ่ว้อย ยังมาถามกูอีก เห็นขนาดนี้

“ทำไมเปิดประตูห้องคนอื่นแล้วม่ะเคาะประตูก่อนว้า” ผมพูดขึ้นมา แล้วก็ลุกขึ้นไปเพื่อหนี
เข้าห้องน้ำคับ ไม่รู้ว่าร้อนเพราะว่าโกรธ หรือเพราะว่าอายชิบหายกันแน่

ผมกะว่า วิ่งร้อยเมตรภายในสองวินาทีถึงห้องน้ำ แต่ไอ้โอ้ตมันดันเอามือมาคว้าตัวผมไว้ได้ก่อน

“เฮ้ย โอ้ต อายว้อยยย ไม่เล่น จาไปเข้าห้องน้ำ” ผมอับอายแบบบอกไม่ถูก ยังจะมาแกล้งไรกูอีกว้า

“… ก็ ปริ้นยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ ….. ก็ทำต่อให้เสร็จซิ” โอ้ตมันเข้ามากระซิบที่ข้างหูผม
ทำเอาตัวผมเลิกดิ้นเลย ตกใจนะว้อย ไม่ใช่เงี่ยน

“พะ พูดบ้า บ้ - - - ”ไม่ทันพูดจบ ไอ้โอ้ตมันก็เอามือเอื้อมไปดับไฟตรงผนังห้องคับ

“เฮ้ย ….. !!!! ”



ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #13 เมื่อ22-10-2006 22:39:28 »

แสงไฟดับลงพร้อมกับไอ้โอ้ตมันดึงตัวผมให้เข้าไปประชิดตัวมัน รู้สึกว่ามือมันเย็นเจี้ยบเลยคับ แต่พอด้านหลังไปแน่บกับตัวมันเนี่ย ร้อนผ่าวเลย

“อะ โอ้ต ระ ระ ระ เรา เป็นพี่น้องกันนะ !!!! ” ผมก็พูดแต่ร่างกายมันยังยืนแข็งทื่ออยู่แบบนั้นล่ะ ตกใจก็ตกใจ ที่โอ้ตมันก็รู้สึกแบบนี้กับเราเหรอวะ …..

ผมไม่รู้เลยว่าโอ้ตมันทำหน้ายังไง เพราะว่ามันยืนกอดอยู่ด้านหลัง พอผมพูดไปมันก็เงียบ แต่แทนที่มันจะคลายวงแขน ดันกลับกอดกระชับแน่นเข้าหาตัวอีก แล้วผมก็รู้สึกว่า โอ้ตมันเอาหน้ามาแตะที่หลังคอ แล้วก็ค่อยๆใช้จมูกเลื่อนไล้ไปที่ซอกคอ

“แต่โอ้ต ไม่ได้อยากเป็นแค่พี่ของปริ้นนะ …” โอ้ตกระซิบที่ข้างหู แล้วก็เลื่อนปากมาขบเบาๆ จ๊ากกกก จุดอ่อนกูเลย เสียงหายใจผมขาดๆหายๆ ติดๆขัดๆยังไงบอกไม่ถูก มันไม่เหมือนตอนที่ผมโดนไอ้คิวปล้ำแบบคืนนั้น มันไม่มีความรู้สึกอยากขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ไอ้ตอปิโดของผมด้านล่างมันก็เริ่มคึกขึ้นมาอีกรอบด้วยดิเนี่ย เวน

“โอ้ต .. มันเสียว” ผมไม่ได้ตอแหลครางออกมานะ แต่มันก็เหมือนเป็นสัญญาณให้โอ้ตมันเข้ารุกมากขึ้น แล้วก็ต้องตกใจคับ เพราะผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างมันดันสะโพกผม ความแข็งอ่ะมันมีอยู่แล้ว แต่ความใหญ่นี่ดิ แม้ว่ามันจะอยู่ภายใต้กางเกงก็เหอะ แมร่ง ไม่ธรรมดาโว้ยยย

“ตกลงว่า … ให้โอ้ตช่วยนะ ” มันพูดเสร็จก็เลื่อนมาหอมแก้มผมทีนึง อะโห่ เป็นครั้งแรกครับที่โดนคนหอมแล้วมันจิตฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้ เขิลลลลลหว่ะ ถ้าสว่างอยู่กูคงแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้วอ่ะ แล้วผมก็รู้สึกว่ามือไอ้โอ้ตมันเลื่อนลงมาจับมือที่ปิดป้องของสงวนออก ผมขัดขืนนิดหน่อยตามสัญชาติญาณคับ เพราะว่าเกิดมาไม่เคยมีใครมาชักว่าวให้นี่หว่า

หมับ …

แค่มันจับก็เสียวแล้วอ่า รู้สึกได้ว่าท่อนลำของผมเนี่ยมันแข็งสู้มือไอ้โอ้ตจังวะ

“จะ .. ทำจริงเหรอ” ผมถามเสียงกระเส่า ตอนนี้โอ้ตมันค่อยๆรูดมือไปช้าๆเนิบๆแล้ว มือนุ่มมากกกก

“ปริ้นไม่อยากให้ทำ โอ้ตก็จะไม่ทำ” มันพูดอยู่ตรงซอกคอผม พร้อมกับเอามือมาบี้ตัวหัวเคอ่ะ แม่มมมมม ผมร้องอ่ะ เบาๆ

“ถ้าไม่ตอบ .. งั้น” มันพูดแบบสงวนท่าที แล้วก็ดันตัวผมไปที่เตียง โอ้ตค่อยๆเอามือลูบไล้ไปบนใบหน้าผมเบาๆ จากนั้นก้มลงดอมดมข้างแก้ม ริมฝีปากบางๆของโอ้ต ทำให้ตัวผมสั่นมากมาย อยากก็อยาก แต่กลัวก็กลัว ตอนนั้นผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมต้องกลัวด้วย … คงกลัวที่จะยอมรับตัวเองอย่างที่ไอ้ซังมันบอกไว้มั้ง

โอ้ตมันดันให้ผมนอนลง แล้วก็แกะกระดุมเสื้อที่เหลือของผมออก

“ไหนว่าแค่ชัก - - -” ผมเงยหน้าขึ้นมาจะบอก

“เฉยเหอะน่า” เสียงไอ้โอ้ตพูดหื่นๆครับ แล้วมันก็ก้มลงสูดดมหัวนมเบาๆใช้ปลายลิ้นเลีบสะกิดเล่น จนมันตั้งชูชันเป็นไตแข็งขึ้นมา

“อ่ะ” ผมสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับจับหัวผลักออกไป แต่มันก็ขืนไว้ อะ เสียวววว โอ้ต พอก่อน ผมร้องออกมา แล้วก็เริ่มดิ้นพล่าน ไอ้โอ้ตก็แกล้งผมซะไม่ยอมหยุดเลีย ซ้ำยังเอาลิ้นดันแล้วก็มีขบเบาๆด้วย ไอ้เหี้ยยยยยย …

ตอนนี้ผมเริ่มจะชินกับความมืดแล้ว ทำให้มองเห็นอะไรต่ออะไรได้ชัดเจนขึ้น โอ้ตมันเหมือนรู้ว่าผมมองมันอยู่ มันก็หยุดกิจกาม แล้วก็เงยหน้ามามอง ผมเห็นมันยิ้มทำให้ต้องหลบสายตา มันจัดการถอดเสื้อตัวเอง แล้วก็เลื่อนตัวขึ้นมาทับตัวผม

“อ๋อยยย โอ้ต หนักวะ” ผมบ่น ตัวโอ้ตกับตัวผมตอนนี้ไม่มีเสื้อมาปิดกั้น ทำให้เข้าใจคำว่า หนาวเนื้อห่มเนื้อเลยคับ ตัวอุ่นๆ ของมันสัมผัสแนบชิดอยู่บนตัวผม สายตามันประสานกันเข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ปริ้นนี่คุณหนูเนอะ …. ตัวนิ่มจัง” มันพูดแล้วก็ก้มมาหอมแก้มผมนึงที จาหลบก็หลบไม่ได้คับ ได้แต่หลบสายตา เหอๆ

“โกรธป่าว ที่ทำแบบนี้” มันถาม เสียงเปลี่ยนเป็นความกังวล

ผมไม่ตอบครับ ไม่รู้จะพูดอะไร บอกถึงอารมณ์ไม่ถูกครับ แต่ไม่โกรธแน่ๆอ่ะ (จะโกรธถ้าเมิงเลิก 55)

มันเห็นว่าผมไม่ตอบ ก็เลยเลื่อนหน้าใกล้เข้ามา

“จะทำอะไรง่ะ” ผมถามเสียงตื่นๆ

“ตอบดิ ไม่งั้นปากเสียความบริสุทธิ์นะ” ปากมันเข้ามาใกล้มากพูดที ผมได้กลิ่นยาสีฟันคอตเกตไวเทนนิ่งเลย แต่มันหารู้ไม่ว่า จูบแรกผมตกไปให้กะไอ้คิวแล้ว เหอๆ

“ตกลงว่าโกรธ เหรอไม่โกรธล่ะ” มันถามกวนผม แหม มาขนาดนี้แล้ว ถ้าโกรธก็ต่อยฟร่ำไปแระ

“คงไม่อ่ะ” ผมพูด พลางใช้มือขวายันหน้ามันไม่ให้ใกล้กว่านี้คับ ยังตื่นเต้นอยู่

“ทำไมต้องมีคง .. ” มันถาม แล้วก็จับมือผมออกจากหน้ามัน เลื่อนหน้าเข้ามาแทบประชิด

“โกรธป่าว …” มันถามแค่นั้น ผมก็ตอบอะไรไม่ออกแล้วคับ เพราะสิ้นเสียง ก็โดนประกบปากซะ มือมันก็ล้วงลงไปจนถึงส่วนล่างของผม แท่งเนื้อซึ่งมันก็ได้ขยายตัวเกือบเต็มที่แล้ว แล้วโอ้ตก็ค่อย ๆ จับแท่งเนื้อ รูดขึ้น รูดลงอย่างช้า ๆ แล้วก็เร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนผมครางในปากไอ้โอ้ต

“ชักเอง กับคนอื่นชักให้เสียวต่างกันป่าว” มันถอนปากขึ้นมาแซว ตาเยิ้มเชียว

“อือ …” ผมยิ้มตอบ แปลกแฮะ ผมรู้สึกอยากจะ ………

“เอ้ยย !! ” เสียงโอ้ตมันร้องแปลกใจ เมื่อผมใช้แรงดันพลิกตัวในจังหว่ะที่มันมัวรูดน้องผมเพลินอยู่ ตอนนี้ผมกลายเป็นฝ่ายอยู่ด้านบนมันมั่ง อะไรซักอย่างในตัวผมมันพลุ่งพล่าน อยากจะจัดการโอ้ตมันเต็มแก่ ผมก็เริ่มขึ้นไปนั่งคร่อมบบหน้าท้องมันแล้วเริ่มไซร้หู ลงมา ซอกคอมัน

“ซี้ดดดด …” โอ้ตมันครางเบาๆ ทำให้ผมได้ใจมากขึ้น (ว่าอย่างน้อยกูก็พอเป็นมั่งวะ) ผมเริ่มเลื่อนมาถึงหน้าอกคับ ผมลองเอามือมาสัมผัสที่นมโอ้ตก่อน มันแข็งเป็นไตเลยอ่ะ ผมก็ไม่รีรอก้มลงไปดูดเลีย เหมือนจะเอามันคืนคับ ได้ผล ไอ้โอ้ตมันเริ่มดิ้นแล้วก็บิดตัวไปมาคับ เพราะว่าผมกัดด้วยอ่ะ 555 ซาดิสซะงั้นกู

“โอ้ยย กัดเหรอปริ้น” เสียงโอ้ตมันบอก แต่มันก็ไม่ได้ผลักไสอะไร สงสัยชอบด้วยม๊าง เพราะว่ามันเอามือมาลูบหัวผมไปมาเหมือนจะเพลิน ซักพักเริ่มเมื่อยแล้วคับ ด้วยประสามือใหม่หัดกาม ก็เลยลุกขึ้นมา ตอนนี้ท่าผมก็แบบว่านั่งอยู่บนตัวมันอ่ะ ปาดเหงื่อ

“ปริ้นจะนั่งเทียนให้โอ้ตเหรอ” มันถามหน้าทะเล้น พร้อมกับเด้าเอวขึ้นลงๆ แบบแกล้งๆ แต่ผมก็รู้คับว่ามันอยากจริงๆล่ะ เพราะว่าไอ้น้องของโอ้ตมันแข็งซะแทบทะลุกางเกงมาชนตูด

“ไอ้บ้าโอ้ต” ผมเขิล แล้วก็กำกำปั่นต่อยที่เจี้ยวมันเบาๆ มันร้องโอ้ยเลยคับ เหอๆ

“เจ็บ ………”

“ก็ทำให้เจ็บเด๊ะ จะได้เลิกแข็งข้อ”

“เดี้ยยยยะเหอะ” มันพูดแล้วก็ผุดลุกขึ้นมาทำให้ผมเสียหลักล้มลงไปอีกด้านของเตียงอ่ะ โอ้ตมานก็ไม่รีรอคับ ขึ้นมาประกบผมอีกจนได้ เอากะมันดิ

“แกล้งดีนัก เดี๋ยวจับทำ ………… พันระยาเลย” มันไม่กล้าพูดคำว่าเมียกะผมคับ เหอๆ แล้วผมก็ตกใจคับ เพราะว่าไอ้โอ้ตมันก็เลื่อนหน้าก้มลงไปด้านล่าง

“เฮ้ย โอ้ต ไม่ต้อง …” แต่ไม่ทันแล้วคับ ผมเปลือยอยู่หนิ

โอ้ตถอยตัวลงมานั่งที่ต้นขาแล้วก้มลงไปงับเคผมที่มันตั้งชัน รู้สึกถึงความอุ่นของปากและลิ้น ครอบลงบน เค แค่นี้ผมก็จะแตกซะให้ได้แล้วครับ

“เฮืออกกกกกก” ผมสะดุ้งสุดตัวคับ มือผมก็พยายามจับหัวไอ้โอ้ตไม่ให้ดูดอ่ะ แต่แรงมานเยอะกว่า แถมมันไม่ได้ใช้แค่ปากคับ มือมันก็มาคลึงไข่ผมไปด้วย หว่า โคตรเสียวอ่า

โอ้ตมันใช้ลิ้นเก่งมากคับ(ไม่รู้เคยทำกับใครรู้ป่าววะ) เลียบริเวณหัวเค ที่พ้นหนังหุ้มออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะของผมไม่ได้ขลิบ ก่อนที่จะใช้ปากค่อยๆครอบ ดันลงมาจนส่วนหวัเคผมเปิดหมด เจ็บแน่นๆ นิดหน่อย แต่เสียวมากกว่า แล้วเริ่มโยกหัวเบาๆ จนผมครางออกมาจนไม่รู้จะครางยังไงแล้วอ่ะ ได้แต่นอนบิดไปมา

“เสียวมั๊ย ” ตาจ้องหน้าผมแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ๆ ผมก็มองหน้าไอ้โอ้ต ถึงแม้ไม่เห็นถนัดก็เหอะ เหี้ย โคตะระเซ็กเลยคับ ปากโอ้ตมันก็จะมันๆ แบบว่าน้ำที่มันเยิ้มออกมาของผมมันก็เลอะที่หน้ามันหมดอ่ะ มันพูดเสร็จ มันก็ก้มลงไปต่อ

“โอ้วววววว …ซี๊ด..”

มันได้ยินผมร้อง มันก็ยิ่งทำแรงขึ้นคับ ได้ยินเสียงจ๊วบๆ เตียงสั่น กึ๊กๆๆๆเลย ผมเห็นเคตัวเองผลุบเข้าออกในปากโอ้ตแล้ว มันสุดจะทนทานคับ ซักพักดูท่ามันจะเมื่อย ก็เลยเปลี่ยนมาเลียที่เฉพาะส่วนหัวแทน มือมันก็กระทอกเร็วขึ้น

“อ่า โอ้ต สะ เสียว จะ จะ ไม่ไหวแล้วววววววว” ผมจับหัวมันจะให้ออกไป แต่มันก็ขืนไว้

“น้ำจะ ตะ แตกแล้วโอ้ต” ผมเสียวจัดลืมตัว จากมือที่ดันออก กลับจับหัวโอ้ตให้อยู่เฉยๆ แล้วก็เด้งเอวสวนแทน ไอ้โอ้ตมันเหวอเลยคับ เหมือนจะสำลัก แต่ผมม่ะสนแล้วอ่ะ เสียวววโว้ยยยยยย

แล้วผมก็เสียวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แปร๊บบบเลยคับ แล้วก็รู้สึกว่าน้ำมันพุ่งออกมาแรงมากอ่ะ แต่มันไม่ได้พุ่งลงพื้นคับ มันพุ่งลงคอไอ้โอ้ตแทน

ไอ้น้องผมมันกระตุกถี่ประมาณ แปดเก้าครั้งแล้วก็เริ่มจะสงบลง แต่โอ้ตมันก็ยังครอบปากไว้อยู่อะ แล้วก็เม้มที่หัวเป็นการปิดท้าย ก่อนจะถอนปากออกมา แต่มันก็เสือกแกล้งเอามือสาวว่าวผมไม่ยอมเลิก ใครที่น้ำแตกคงพอรู้นะคับว่า ถ้าแตกแล้วยังสาวอีกนะ มันจะโคตรเสียวกว่าตอนแตกอีก

ผมก็ดิ้นหนีอ่ะ เหี้ย พอแล้ววววววว ไม่ไหว โอ้ตมันก็หัวเราะคับ แล้วก็เลื่อนตัวขึ้นมานอนข้างๆ

“เสียวขนาดไหนฟร่ะ ไม่ยอมให้หายใจหายคอเลย” มันพูด กลิ่นน้ำว่าวผมมันติดมากะปากมันอ่ะคับ แต่ไม่เหม็นนะ ออกคาวๆนิดหน่อย555

“กินไปหมดเลยเหรอ” ผมถามแบบเป็นห่วง เพราะว่าตอนนั้นรู้สึกว่าน้ำว่าวมันโคตรคาวเลย แดร่กไปได้ไง ไม่บ้วนทิ้ง

“อือ ก็อร่อยดี” มันพูดแล้วก็ทำท่าเลียปาก

“แล้วโอ้ตอ่ะ” ผมถามแบบไม่อยากให้มันค้าง เผื่อจาช่วยไรมานได้บ้าง 55

“ปริ้นอยากช่วยโอ้ตเหรอ” มันถามยิ้มๆคับ เหอๆ

ผมก็ทำหน้าเขินๆ ไม่กล้าสบตามัน แต่ก็เลื่อนมือไปที่เป้ามันอ่ะคับ มันยังไม่ได้ถอดกางเกง แต่Kมานอ่ะเด่ออกมาเป็นลำคับ ผมลองจับๆคลำๆดู ว่ามันต่างจากกูมากแค่ไหนวะ

“โห เยิ้มเชียว” ผมพูด แล้วก็เริ่มเอามือรูดในกางเกง โอ้ตมันตัวเกร็งเลยคับ ผมก็พยายามแบบสุดๆอ่ะ เคยว่าวแล้วตัวเองเสียวไง ก็เอามาประเคนให้ไอ้โอ้ตสุดฝีมือ แต่ยังไม่กล้าใช้ปากอ่ะ มันไงม่ะรู้

“ถอดกางเกงดิ เด๋วเลอะ” ผมว่า มันก็ดันเอวขึ้น ให้ผมรูดกางเกงมันลง เท่านั้นแหละ มังกรยักษ์อนาคอนด้า ก็โผล่พลวดขึ้นมาตั้งตระหง่าน ผมก็ชักให้มานไป โอ้ตมานก็ครางฮือ อ่า เสียงเซ็กโคตร พี่กู

“จูบปากหน่อยดิ” โอ้ตพูดเสียงกระเส่า พร้อมกับเลื่อนมามาเกาะกุมที่มือผมเหมือนเป็นการเร่งเครื่อง ผมก็สนองคับ ผมชักชอบการจูบแล้วดิ มันส์ดี กั๊กๆ

“อืออออออ” เสียงโอ้ตมันครางในลำคอ เพราะว่าปากมันโดนผมประกบแล้ว ลิ้นเราเหมือนงูพันกันอ่ะคับ เสียงจูบจ๊วบๆ เสียงกระทอกเค ก็ดังเพราะว่าน้ำหล่อลื่นไอ้โอ้ตนี่ยอมรับว่า มันไหลออกมาเยอะเหลือเกิน ไอ้ขี้เงี่ยนเอ้ย

จนในที่สุด …. เหมือนโอ้ตมันจะเสียวจัด เอาปากออกแล้วก็มากัดที่คอผมแทน ประหนึ่งหาที่ยึดเหนี่ยว

“โอ้ยยย … ไอ้โอ้ตตต เจ็บ”

“อ่า …… ปริ้นนนน สะ เสียวววว” ตัวมันกระตุกถี่พอกับผม แล้วก็ค่อยสงบนิ่งลง ผลปรากฏว่า เตียงผมคับ เตียงโผมมมมม เลอะน้ำไอ้โอ้ตหมดเลย

“ขะขอโทด เด๋วโอ้ตไปซักให้” มันว่า พลางรีบลุกขึ้น

“ไม่เป็นไร ”ผมบอกแล้วก็รีบบอกให้โอ้ตแต่งตัว เพราะว่ามันดูเหมือนจะมานานแล้วอ่ะ เด๋วป้าเล็กสงสัย

“อือ แล้ว พรุ่งนี้เจอกัน …” มันบอกเสียงเพลียๆ

“เหอๆ จะตื่นไหวป่าวก็ไม่รู้” ผมแซวคับ เพราะว่าน้ำมันออกเยอะเจงๆ

“ตื่นดิ ไม่ตื่นเดี๋ยวโอ้ตจะมาปลุกเอง” มันพูดแล้วก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์

“อาราย ”

“ปริ้น …” มันเรียกชื่อผม แล้วก็เดินเข้ามากอด

“ฮื้อออ” ผมขานแล้วก็เอาหน้าซุกไว้ที่หน้าอกมัน ตัวโอ้ตห้อมหอม ทำไมผมก็อยุ่ใกล้ชิดมันก็มากนะ แต่คืนนี้ มันหอมกว่าทุกวันคับ

“คบกับโอ้ตนะ” มันพูดพอที่ผมจะได้ยิน วงแขนมันกระหวัดรัดแน่นอยู่ที่กลางหลัง

ผมไม่พูดอะไร แต่ก็เอามือโอบกอดมันกลับ เอาหน้าซุกแน่นเข้ากับอกโอ้ต รู้สึกว่าเหมือนน้ำตามันจะไหล เสียงสะอื้นเบาๆ ทำให้โอ้ตเอามือมาลูบหัวผม

“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นหรอกน่า” เสียงไอ้โอ้ตแซวแทงใจดำคับ ไอ้หอก

“ไอ้บ้า ใครดีใจ ไม่มีอ่ะ” ผมรีบพูดแล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้คับ แล้วก็ต่อยแขนมันทีนึง

“เจอกันตอนเช้านะคับ ที่รักของโอ้ต” มันพูดแล้วเลื่อนหน้ามาจูบหน้าผาก ก่อนปิดประตูเดินกลับบ้าน

มะ มันจะรู้มั้ย ว่าที่มันพูดเนี่ย ทำเอาผมนอนเกือบไม่หลับเลยนะวะคับ …. ไอ้ที่รักของปริ้น

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #14 เมื่อ22-10-2006 22:40:04 »

“เมื่อคืนหลับสบายมั้ย” ไอ้โอ้ตเดินหน้าชื่นมื่นผิดปกติกว่าทุกวันเข้ามาทัก

“อะ อือ ก็ดี” ผมอ้อมแอ้มตอบ เหตุการณ์ม่ะคืนทำให้ผมรู้สึกโล่งใจที่ได้รู้จักตัวเองขึ้นมาขั้นนึง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกกลัว

แล้วผมก็นึกถึงคำพูดของซังที่คุยกันวันก่อน

“สำคัญอยู่ที่ พอถึงเวลาเรารู้จักตัวเองแล้ว .. เราจะยอมรับตัวเองได้เหรอป่าว ……”

“เป็นอะไร มีอะไรไม่สบายใจเหรอ” โอ้ตถามผมด้วยความเป็นห่วงในระหว่างที่นั่งรถไป รร เพราะว่าผมเอาแต่คิดนั่นคิดนี่ คิดไม่ตก ไม่สบายใจอะไรก็ไม่รู้ คิดไปถึงว่า ถ้าโตขึ้นไปแล้วผมเป็นแบบนี้ รู้สึกชอบผู้ชายแบบนี้ อนาคตผมจะเป็นยังไงวะ (คิดแบบเด็กๆในตอนนั้นอะคับ)

“………..”

“ปริ้นไม่สบายใจเรื่องเมื่อคืนเหรอ” โอ้ตมันถามเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล

“โอ้ตขะ ขอโทษ โอ้ตนึกว่าปริ้ - - -” โอ้ตมันพูดยังไม่ทันจบ ผมก็ทำมือแบบให้มันหยุดพูดก่อน

ผมไม่ตอบอะไร ยิ่งโอ้ตมันคาดคั้นผมมากขึ้น มันก็ยิ่งทำให้ผมลำบากใจ ผมไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้นอ่ะ

“ป่าว …ไม่มีอะไรหรอก” ผมพยายามจะตอบคำพูดที่ทำให้โอ้ตมันรู้สึกสบายใจกว่านี้นะ แต่มันพูดออกมาได้แค่นั้นเอง

โอ้ตมันก็แบบทำหน้าเหมือนจะร้องไห้คับ แล้วก็หันกลับไปนั่งตามปกติ

- โอ้ต มันไม่ใช่เพราะโอ้ตนะ - ผมอยากจะบอกคำๆนี้ให้มันได้ยินเหลือเกิน แต่ผมก็ได้เพียงคิดในใจเท่านั้น

บางที คนเราก็หาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันครับ ทั้งๆที่ใจอยากทำอย่างนึง แต่ทำไมการกระทำถึงต้องลงไปอีกแบบนึงก็ไม่รู้


* * * * * * * * * * * *

พอมาถึง รร ผมค่อยดีขึ้นหน่อยครับ เพราะว่าได้เจอเพื่อนๆ ได้คุยเรื่องอื่น ได้เรียนโน่นนี่ ทำให้ไม่ต้องมานั่งคิดถึงเรื่องเมื่อคืนมากนัก ผมยังยอมรับที่จะคบกับโอ้ตแบบแฟนไม่ได้หรอก

เรามันเป็นแค่พี่น้องกัน … เรื่องม่ะคืนอ่ะ มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ

ผมท่องไว้ในใจ

“พี่ท็อป หวัดดี” ผมหันไปเจอพี่ท็อปที่เอามือมาตบบ่า ทำเอาสะดุ้งเรย

“เย็นนี้เริ่มซ้อมแล้วนะ ไปเจอกันที่บ้านพี่ต่าย สี่โมงครึ่ง …”

“อ้าวพี่ แล้วทำไมไม่ซ้อมที่ รร ง่ะ” ผมขี้เกียจไปคับ ยิ่งมีเรื่องให้คิดอยู่แบบนี้อีก

“ซ้อมที่ รร ก็มีหวังโดนแอบซุ่มดูอ่ะดิ เด๋วมันลอก” พี่ท็อปว่า ถ้าไปไม่ถูก ก็มารอที่หน้าห้องพยาบาลล่ะกัน เดี๋ยวมีพี่เค้าพาไป

“ก็ได้คับ” ผมตอบเสียงอ่อยๆ แล้วก็เดินไปเรียนวิชาอื่นต่อ

ในระหว่างวิชาเรียน ซังมันก็มากระซิบผม

“ปริ้น เย็นนี้ว่างป่ะ”

“วันนี้พี่ท็อปนัดซ้อมลีดบ้านพี่ต่ายอ่ะ ไม่รู้เลิกกี่โมง” ผมตอบ

“งั้นคงเย็นแน่เลย …. ไม่เป็นไร” มันทำเสียงผิดหวังนิดๆ แล้วก็หันไปจดงานบนกระดานต่อ

“ทำไมเหรอ ? ”

“พอดีจะให้ไปช่วยเลือกซื้อของ”

“ของไร ? ”

ไอ้ซังมันก็ทำหน้าแปลกใจ “วันศุกร์วันเกิดพี่โอ้ตหนิ”

“เฮ้ย เจงอ่ะ” ไม่เห็นบอกกันเลย ผมกระซิบตอบ “เฮ้ยๆๆๆ วันศุกร์ งั้นก็พรุ่งนี้แล้วดิ” ผมว่า พลางนึกโกรธในใจ แมร่งม่ะบอกกูเลยนะ เด๋วก็มางอนกรุอีกว่าไม่รู้วันเกิด

“ปริ้นไม่รู้ …เหรอ” ซังทวนคำถาม

“เออดิ ไม่รู้” ผมย้ำเสียงเคืองๆ แล้วก็พึมพำอีกนิดหน่อยพอเป็นกระสัย เหอๆ

“เนี่ย ก็ว่าจะถามปริ้นว่า พี่โอ้ตเค้าชอบอะไร จะได้ซื้อให้ แบบว่าปีก่อนโน่นก็ซื้อ บลาๆๆๆๆๆๆๆ”

“แล้วจะรู้มั้ยล่ะว่าโอ้ตมันชอบอะไร” ผมตอบ

“อ่า ก็เห็นอยู่ด้วยกัน”

“ก็อยู่ด้วยกัน ก็………..” ผมตั้งท่าจะเถียง แต่เถียงไม่ออกครับ จริงดิ ผมรู้จักกับโอ้ต อยู่บ้านเดียวกับโอ้ต(แม้ว่าจะอยู่คนละหลังก็เหอะ) แต่ผมแทบจะไม่ค่อยรู้ว่ามันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เลย เพราะทุกวัน โอ้ตมันจะมาทำโน่นทำนี่ให้ ผมรู้เพียงแต่ว่า ถ้าผมทำอะไรไม่ดี มันก็จะทำให้โอ้ตหงุดหงิด ก็เท่านั้นเอง

ผมรู้อะไรเกี่ยวกับโอ้ตบ้าง ……… ขนาดวันเกิดมันแท้ๆ ยังไม่รู้เลย

ซังมันเห็นผมคิดหนัก เลยเอามือมาเขย่าตัวอย่างแรง

“เป็นไร เฮ้ย ปริ้น ”

“ปะ เปล่าๆ เออ ซื้ออะไรก็ได้มั้ง เราว่าโอ้ตมันก็ดีใจหมดล่ะ ” ผมตอบตัดปัญหาไป ดูไอ้ซังมันก็ทำหน้ามุ่ยแบบว่า ไม่ได้ช่วยอาไรกูเลย ประมาณนั้น เหอๆ ก็กรุไม่รู้เจงๆนี่หว่า

พอหมดคาบปั๊บ ผมก็กะว่าจะไปหาโอ้ตคับ เพราะนึกได้ว่าม่ะเช้าเนี่ย ผมทำกริยาบางอย่างให้โอ้ตมันเสียใจ … แต่จริงๆก็คือจาไปต่อว่ามันนี่แหละ ว่าทำไมวันเกิดแล้วไม่บอกมั่งเลย หุหุ (สรุปเมิงจาไปง้อ หรือว่าไปทะเลาะกะเค้ากันแน่วะ)

แต่ก็หาไม่เจอคับ ไอ้โอ้ตตามหาตัวยากมาก เพราะกิจกรรมมันเยอะ แล้วผมก็ไม่ได้มีตารางสอนห้องโอ้ตด้วย

- ไว้ตอนเย็นก็ได้วะ - ผมคิดในใจ แล้วก็รีบวิ่งไปเรียนคาบสุดท้าย เนื่องจากเลยเวลามาแยะ

พอตกเย็นปั๊บ ผมก็ว่าจะไปรอโอ้ตที่หน้าห้องปกครอง ก็ดันเจอพี่ท็อปที่หน้าห้องพยาบาล

“เฮ้ย ปริ้น ไปซ้อมลีดด้วยวันนี้” พี่ท็อปทัก

เออ ผมลืมไปเลยว่าต้องไปซ้อมลีด โอ้ยยยยย กรูจาบ้า

“คับพี่ เด๋วผมตามไปนะ”

“อ้าว แล้วรู้จักบ้านต่ายเหรอ” พี่ท็อปขมวดคิ้ว

“เออ …”

“งั้นเด๋วก็ไปพร้อมกันนี่ล่ะ จะได้ไม่ต้องหากันอีก ไอ้พี่ท็อปสั่ง” เอาแล้วดิ ผมก็นะ ตัวเองมีมือถือก็จริงอยู่ โอ้ตมันก็มีนะครับ แต่ว่ามันไม่ค่อยเอามาโรงเรียนอ่ะ มันให้เหตุผลว่า ถ้าประธานนร เอามาเป็นตัวอย่าง คนอื่นมันก็เอามาได้ดิ มันว่าแบบนี้ เด็กนร ส่วนมากมีแต่เพจอ่ะ เพราะว่ามันแอบเข้ามาได้ อีกอย่างคือ ช่วงนั้นมือถือมานแพงโคตร เพจจาได้รับฟามนิยมมากกว่า

“แล้วนี่รอใครอีกล่ะ” ผมพูดเสียงหงุดหงิด

“รอไอ้โค้กอยู่” พี่ท็อปบอก นั่นไง เห็นหัวมันแล้ว

พี่ท็อปมันก็รีบกวักมือเรียก แล้วก็บอกให้ผมถือกระเป๋าตามไป

“หวัดดีคับ พี่ท็อป พี่ปริ้น” โค้กเห็นเราสองคนก็ยกมือไหว้ หน้าใสมาเชีย น่ารักชิหายไม่เสื่อมคลาย

“เออ แล้วเอามอไซต์มาใช่ป่าว ขี่ตามมาล่ะกัน” พี่ท็อปว่า แล้วก็เดินนำไปที่รถมอไซต์พี่แก

“พี่ท็อป เด๋วผมไปปกครองบอกโอ้ - - - เอ้ย พี๋โอ้ตแป็บนะ ว่าจะกลับเอง” ผมพูดแล้วก็วิ่งไปอย่างเร็ว เพราะกลัวมันด่าอีก

ถึงหน้าปกครองปุ้บ ก็หามีไอ้โอ้ตไม่ มันไปไหนของมันวะ ผมก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกา ปกติมันก็จะเสร็จกิจกรรมเวลาประมาณนี้นี่หว่า ผมก็หันรีหันขวาง พอดีไอ้คิวก็เดินมากะซัง

“ซังๆๆๆ” ผมรีบเรียกมัน

“เห็นโอ้ตป่ะ” ผมถาม พลางเหลือบไปเห็นหน้าไอ้คิวผิวปาก (ทำป๊ะเมิงเหรอ)

“ผิวปากเหี้ยไร” ผมตอบแบบไม่สบอารมณ์

“ป้าวววว” ไอ้คิวมันตอบเสียงกวนตรีนสาดดดดด

“ไม่เห็นอ่ะปริ้น ” ซังมันบอก

“เด๋วรอโอ้ตอยู่แป็บได้ป่ะ ฝากบอกด้วยว่าเราต้องไปซ้อมลีดอ่ะ เด๋วกลับเอง” ผมบอกซัง

“อ่อ ก็ได้ ถ้าเจอนะ ”

“ขอบใจๆ” ผมพูดเสร็จ พี่ท็อปก็เดินจูงรถผ่านมาถึงพอดี พร้อมกับน้องโค้ก

“หวัดดีคับพี่ท็อป …..” ซังทัก แล้วก็เหล่ไปมองไอ้โค้ก สายตากรุ้มกริ่ม

“ลีดสีเราเหรอครับ”

“ถูกแล้วน้องเอ๋ย” พี่ท็อปบอก แล้วก็หันไปคุยกะไอ้คิวเรื่องลงกีฬาคับ ไอ้คิวมันก็ดูไม่ค่อยอยากลงหรอก แต่แบบว่ามันคงเกรงใจพี่ท็อปด้วยหล่ะ เลยรับปากไปก่อน

“งั้นไปก่อนนะ” พี่ท็อปบอกลา

“ฝากด้วยนะซัง หวัดดี” ผมไม่ลืมเตือนซัง

“ไปแล้วนะไอ้สัด” แล้วผมก็ไม่ลืมที่จะด่าไอ้คิวอีกเช่นกัน


* * * * * * * * * * * *

“เด๋วพี่ แล้วจะซ้อน 3 กันไปเหรอ” ผมถามเมื่อเห็นโค้กมันให้เพื่อนอีกคนขี่รถออกไปแล้ว

“ครือ เพื่อนผมเค้าขอยืมรถไปซื้อของทำรายงานอ่ะคับ” โค้กมันรีบอธิบาย “พี่ท็อปก็บอกว่าเด๋วไปกัน 3 คนก็ได้ ก็เลย - - -”

“เออๆๆ ไม่ต้องสาธยายอยู่หรอก” พี่ท็อปพูดแบบขอไปที แล้วก็ขึ้นไปขี่

“เอ้า ไอ้ปริ้นขึ้นมาดิ ”

“พี่ มันผิดกฎหมายนา ซ้อน 3 อ่ะ” ผมรีบเตือน แต่ก็ต้องรีบขึ้นตามไป

“แค่นี้ตำรวจไม่อะไรมากหรอกพี่ปริ้น” เสียงไอ้โค้กดังอยู่ข้างหลังผม หลังจากซ้อนเรียบร้อย พี่ท็อปก็เบิ้ลเครื่องเลยอ่ะ กรูยังไม่ทันตั้งตัว เตรียมใจเลยนะวะคับ

ใครจาว่าไงก็เหอะ แต่แมร่งพี่ท็อปมันขี่เฟี้ยวฟ้าวมากมาย ขนาดนั่งมา 3 นะครับ แต่ดูเหมือนไอ้โค้กมันไม่กลัวเท่าไร มีแต่ผมนี่แหละ ขนาดนั่งกลางนะ แทบขาสั่น กลัวตกง่ะครับ นั่งไปได้ซักพัก พี่ท็อปมันก็ขี่มาเส้นทางที่เลียบคลองชลฯ ซึ่งรถใหญ่น้อยมากครับ ก็ยิ่งเร่งเครื่องเข้าไปใหญ่ คราวนี้โค้กมันก็เลื่อนตัวมาชิดกับผมอีก แล้วก็เอามือพาดมาเกาะเอว

ชิหาย ….. ใจผมเต้นโครมครามเลยครับ เพราะหน้าอกไอ้โค้กมันมาแนบติดกับแผ่นหลังของผม จนรู้สึกได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจมันเลย

“พี่ปริ้น เกาะดีๆนะ เด๋วผมร่วง” มันพูดใกล้ๆหูผมเพราะว่าเสียงลมตีแรงมาก

“เออๆ” ผมตอบ แล้วก็คิดว่า ผมหน้าแดงหว่ะ 555

ซักประมาณ 10 นาที ก็ถึงบ้านพี่ต่ายครับ เห็นแล้วก็ทำให้รู้ว่าทำไมถึงเลือกที่นี่ เพราะว่าบ้านพี่แกมีลานเป็นสนามหญ้ากว้างเลยอ่ะ เวลาม้วนตัว หรือว่าตกลงมา มันจะได้ช่วยเซฟ (แต่หัวลงก็คงเซฟไม่ได้น้อ) คนอื่นๆก็มากันครบแล้ว สรุปก็คือ มีลีด 7 คนครับ มีผมกะไอ้โค้กเป็นผู้ชาย อยู่ 2 คน นอกนั้นก็ หญิงหมด ….. แปลกดีหว่ะ

ส่วนพี่ที่มาซ้อมให้ก็เป็นพี่ที่รู้จักกันครับ เรียนมหาลัยแล้วล่ะ เริ่มแรก ก็สอนแบบท่าตีวงก่อน ประมาณ 500 ทีครับ โหยยยยยย แต่จริงๆคือมากกว่านั้น เพราะว่า ต้องทำให้พร้อมกัน ได้มุมที่เหมือนกัน จะอยู่คนล่ะระนาบไม่ได้

วันแรกก็แบบว่า โคตรเหนื่อยเลยครับ ขนาดแค่ตีวงนะเนี่ย …… แล้วพี่แกก็ให้กลับไปซ้อมแบบนี้นะแหละ เป็นแค่พื้นฐาน พร้อมกับสอนเพลง 1 เพลงครับ เป็นยางไงเหรอครับ ไอ้ปริ้นก็มั่วแหลกดิครับ เหอๆ ห่วยสุดในบรรดา 6 คน

ซ้อมกันจนเพลิน จนเวลาผ่านไปเกือบ ทุ่มแล้ว

“พี่ซายคับ (คนสอนลีด) คือผมต้องรีบกลับไปเฝ้าร้านอ่ะครับ” เสียงโค้กมันพูดขึ้นมา เพราะเห็นว่าพี่แกยังบ้าพลังให้ซ้อมอยู่ซะงั้น

“เอ้าเหรอ ….” พี่แกพูดแบบตกใจ “ต๊าย จะทุ่มนึงแล้ว ยังไม่ได้ถึงไหนเลย”

เค้าก็หันไปทางพี่ท็อปขอความเห็น ผมก็หันไปมองบ้าง เพราะว่า กรูอยากกลับบ้านแย้ววว

“งั้นเดี๋ยวโค้กไปก่อนก็ได้ แล้วไงก็อย่าลืมท่าที่ซ้อมล่ะ ” พี่ซายบอก “ที่เหลือยังอยู่ซ้อมได้ใช่มั้ย ….”

- ม่ายด้ายยยยย - ผมคิดในใจ แต่ไม่กล้าพูด

“ปริ้น เดี๋ยวกลับกับโค้กมันเลยล่ะกัน บ้านไกลไอ้โอ้ตจะมาด่าพี่อีก” พี่ท็อปบอก โอ้วว สวรรค์

“ค๊าบบบ” ผมพูดเสียงใส แล้วก็รีบไปหยิบกระเป๋า เดินไปหาโค้ก

“แล้วจะกลับยังไงอ่ะโค้ก”

“เพื่อนผมเอารถมาคืนแล้วพี่” มันว่าพลางชี้ไปที่ ฮอนด้า แดช ของมัน

“รถแต่งสวยดี” ผมชม (ผมม่ะได้ตอแหลชมนะ อย่าคิดอกุศลแบบน้านน)

“เจงเหรอพี่ เจ๋งป่ะ” มันก็ดูบ้ายอใช่ย่อย แต่บ้าไงก็น่ารักฮะ หุหุ

“ป่ะเหอะพี่ มืดแล้ว” มันบอกแล้วก็ขึ้นคล่อม (มอไซต์)

“ขับดีๆนะ” เสียงพี่ท็อปบอก “แล้วระวังอย่าให้คุณหนูหล่นกลางทางอ่ะ”

“ง่ะ … ” ผมทำหน้าเขียวปั๊ดใส่ไอ้พี่ท็อปทันที มาแซวหอกอาไรแบบนี้

“ค๊าบพี่ จะส่งให้ปลอดภัยไม่มีตำหนิเลย” มันว่า แล้วก็ส่งสายตาที่อ่านไม่ออกมา

“เฮ้ย ไอ้บ้า ไปเหอะ” ผมว่าพลางรีบขึ้นซ้อนอย่างรวดเร็ว

ถ้าว่าพี่ท้อปขี่เร็วแล้ว ไอ้โค้กมันเร็วกว่าอีกง่ะ เลี้ยวผ่านรถคันโน้น คันนี้ที แบบว่า หัวจายจะวาย มือผมต้องกอดเอวมันอย่างช่วยไม่ได้เลยครับ

“เฮ้ย ขับช้าๆหน่อย เด๋วตก” ผมตะโกนบอกมัน เพราะว่าถ้าใครเคยขี่แดช มันจะเป็นแบบท้ายยกขึ้นอ่ะครับ นั่งยาก ยิ่งพอเวลามันเบรกทีเนี่ย ตัวผมก็เลื่อนไปติดกับหลังมันเลย (ไม่ใช่อาไรหรอก น้องผมมันไปชนกะก้นมันเข้าอะดิ)

แล้วผมก็นึกขึ้นได้

“โค้กๆ .. ”

“คับ”

“พาพี่ไปร้าน xxx หน่อยดิ ไม่รู้ปิดยัง”

“อ่อ น่าจะยังไม่ปิดครับ” มันบอก แล้วก็หักเลี้ยวแบบฉับพลัน ทะลุเข้าซอยโน่นนี่ อย่างคล่องแคล่ว


* * * * * * * * * * * *

ผมออกจากบ้านพี่ต่าย หนึ่งทุ่ม ไปธุระกับโค้กกว่าจะเสร็จขึ้นรถก็สองทุ่ม กว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่มครึ่งแล้วครับ อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่า ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา ปรากฏข้อความ miss call กว่า 50 ที ทุกเบอร์ล้วนแต่เป็นเบอร์ ไอ้โอ้ต

มันโทรสับมาได้แสดงว่ามันกลับถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

“ไปไหนมา” เสียงไอ้โอ้ตกร้าวมาก เดินพลวดๆเข้ามาหาผม ซึ่งพึ่งปิดประตูบ้านหมาดๆ

“ก็ไปซ้อมลีดมาไง” ผมรีบแก้ตัว

“ไอ้ท็อปบอกว่า ให้ออกมาตั้งแต่ ทุ่มนึงแล้ว ไปไหนมา !!! ”

“เออ โอ้ตอย่าพึ่งตะโกนดิ ฟังก่อน” ผมว่า แล้วก็เดินไปหาโอ้ต

โอ้ตมันถอยหลังหนี สายตามันแบบว่า ผิดหวังกะตัวผมสุดๆ

“โอ้ตมันก็แค่เด็กในบ้านหนิ …” มันเริ่มพูดขึ้นมา

“โอ้ตตตต !! ” ผมตกใจที่มันพูดแบบนั้นนะ

“ปริ้น … โอ้ต โอ้ต …… โอ้ตรักปริ้นนะ” มันพูด แล้วน้ำตาของโอ้ตก็เริ่มไหลออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาของผู้ชายคนนี้ ถึงกับทำอะไรไม่ถูก โอ้ตมันปาดน้ำตา แล้วก็ค่อยๆนั่งลงไปกับพื้น

“ปริ้นเข้าบ้านเหอะ” มันว่า

“โอ้ต ลุกขึ้นมาเถอะ” ผมรีบเดินไปลากมันให้ลุกขึ้น

“โอ้ตแต่อยากรู้ … ว่าปริ้นคิดยังไงกับโอ้ต” มันพูดแล้วก็จ้องมาที่ตาของผม ดวงตาของโอ้ตเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่มันก็ยังดูเข้มแข็งเหมือนเดิม แม้จะเป็นเวลาที่มันแสดงความอ่อนแอก็เหอะ

“พอถึงเวลาเรารู้จักตัวเองแล้ว .. เราจะยอมรับตัวเองได้เหรอป่าว ……”

ผมค่อยๆโน้มหัวโอ้ตมาใกล้ๆ แล้วก็บรรจงประทับความรู้สึกที่มีทั้งหมด ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ปัจจุบันคือสิ่งที่ผมเลือก แม้ว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

ผมประกบปากกับโอ้ตอยู่นานพอสมควร แล้วก็ค่อยๆผละออกจากกัน

“ปริ้นก็รักโอ้ต” ผมบอกมัน โอ้ตมันพยายามอ่านสีหน้าผมให้ชัดเจนขึ้น มันไม่เชื่อผมเหรอไงหนิ

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ”

เสียงหัวเราะของโอ้ต พร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าผม มันดูซื่อใส สดใส แล้วก็จริงใจที่สุดที่ผมเคยเห็น แล้วโอ้ตก็โผเข้ามากอด ตัวสั่นๆ

“ปริ้น … ปริ้นอย่าทิ้งโอ้ตไปไหนนะ” ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไรนัก

- มีคนเคยทิ้งโอ้ตมาแล้วเหรอ –

“ค๊าบโอ้ต โอ้ตก็ห้ามทิ้งปริ้นเหมือนกันนะ” ผมก็กอดมันตอบ

ก่อนที่จะขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพื่อกินข้าว ผมก็หยิบกล่องๆนึงส่งให้โอ้ต

“อะไรนะ” มันถามเสียงแปลกใจ

“เปิดดูดิ ”

โอ้ตมันก็เปิดขึ้นมา แล้วก็ทำหน้าแปลกใจกว่าเก่า เพราะว่า มันเป็นเพจเจอร์เครื่องจิ๋วเครื่องนึง

“อะไรเนี่ย”

“ไม่รู้จักเพจเหรอไง วู้ บ้านนอกเจง”

“ไม่ใช่ หมายถึง … ปริ้นซื้อมาให้โอ้ตเหรอ” มันหันมาถาม

“ก็ของขวัญวันเกิดไงคับที่รัก” ผมพูดไปเขิลไป เหอๆ

มันได้ยินคำๆนั้น มันก็คงเขินเหมือนกัน เพราะว่าเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดอะไร

“มือถือก็มี ไม่ยอมเอาไป ก็เอาเพจไปใช้ล่ะกัน” ผมว่า

“ห้ามเอาเบอร์ไปแจกใครนะเฟ้ย ไม่งั้น …”

“ไม่งั้นอะไรครับ” มันถามเย้ย

“เออ ไม่บอก ….”

“แล้วแพงมากมั้ยเนี่ย” มันหยิบเพจขึ้นมาพิศ

“ไม่เป็นไรหรอก เด๋ววันเกิดปริ้น จาบอกว่าอยากได้อาไร ”

ไอ้โอ้ตทำหน้าปั้นยากทีนึง แล้วก็แอบอมยิ้มทะแม่งๆ แล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมอีกแล้ว

“เฮ้ย เด๋วผมเสียทรงงงง”

“ผมมีแค่นี้ จะเสียไรวะ 55” มันพูดแล้วก็เตะตูดผมทีนึง



ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #15 เมื่อ22-10-2006 22:40:57 »

กินอะไรมาหรือยังปริ้น” ยายผมทักเมื่อเห็นกำลังเดินขึ้นบ้าน

“ยังเลยอ่า ม่ะงั้นจะขึ้นมาเหรอ” ผมย้อนกลับ เหอๆ ยายทำหน้าค้อนผมทีนึง

“นั่นสิ ถ้าไม่มากิน ก็คงไม่มาบนเรือนให้ยายเห็นหน้าหรอก” ง่า ยายผมมีแอบ
งอนคับ แล้วก็บอกว่าเตรียมข้าวไว้แล้ว ให้ไปอุ่นเอา

“มาเดี๋ยวทำให้ โอ้ตเดินตามหลังมา แล้วก็จัดการเดินเข้าไปในครัว” ผมก็เลยเดิน
ไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว ซักพักโอ้ตมันก็ยกของกินมาให้คับ หุหุ สบายจังกรู

“ขอบคุณค๊าบ” ผมว่า แล้วก็เริ่มต้นแดร่กด่วน เพราะว่าหิวสาดดดดด โอ้ตมานก็นั่ง
มองผมกินข้าวคับ ซึ่งปกติก็แบบว่าต่างคนต่างกินอ่ะ

“มองไร” ผมถามแต่ก็ไม่มองตามันหรอกนะ กลัวกินข้าวม่ะลง ด้วยฟามเขิลล

“ทำไมเหรอ มองไม่ได้ ? ”

“ก็ด้ายยย แต่กำลังกินข้าวอยู่ไง” ผมอ้อมแอ้มตอบ เขิลลลว้อย

“อือ งั้นก็กินไปเหอะ” มันว่า แล้วก็นั่งมองผมตาแป๋วอยู่แบบนั้นล่ะ

ง่ะ กินม่ะลงเลยผม ก็เลยหาเรื่องคุยเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“วันนี้ซ้อมลีดโคตรเหนื่อยเลย” ผมบ่นให้มันฟัง มันก็ทำทีท่าสมน้ำหน้า “ก็บอกแล้วไม่เชื่อ”

“โห แทนที่จะเห็นใจ … แล้วทางโอ้ตเป็นไงมั่งอ่ะ” ผมถามพลางซดน้ำแกงดังโฮก

“ก็เรียบร้อยไปหลายอย่างแล้วล่ะ ซ้อมน้องก็มีคนดูแลแล้ว กีฬาก็ให้ห้องขวัญเค้าแบ่ง
ทีมหากัน”

“พี่ขวัญเค้าดูดุๆจังวะ”

“นิสัยเค้าก็แบบนั้นล่ะ แต่ยังไงก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องทำให้มันเสร็จไปได้ล่ะ”
โอ้ตมันว่า ความคิดเป็นพ่อพระเจงๆ แฟนกรู ไม่เหมือนพี่ท็อปเร้ยยย

“… ว่าแต่ตัวเองเถอะ อยากจะเป็นก็ต้องตั้งใจ รู้ป่าว” โอ้ตมันบอกพลางตบหัวผมเบาๆ
ทีนึง

“เออ ”

“พูดไม่เพราะ พูดใหม่” มันดุ

“ค๊าบบบ คุณโอ้ต ผมจาตั้งใจสุดชีวิตเลยคับ” ผมพูดพลางตะเบ๊ะทีนึง เป็นการประชด
แต่ไอ้โอ้ตมันทำหน้าพอใจ ชิส์

ผมก็กินไปคุยกะไอ้โอ้ตไปคับ เป็นมื้ออาหารที่แสนธรรมดา แต่ว่า พอมีคนที่รู้ใจอยู่เคียงข้าง
อะไรๆ ก็ดูดีไปหมดล่ะ

“งั้นเด๋วเจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมบอกพลางหาวหวอด

“อือ ฝันดีนะ ” แล้วมันก็ก้มมาหอมแก้มทีนึง

“เฮ้ยยยย เด๋วมีคนมาเห็นเข้า” ผมรีบผลักมันออกโดยเร็ว มันก็ทำท่าทางน้อยใจนิดๆ

“จะมีคนเห็นได้ไง ก็อยู่ในบ้านตัวเอง”

“อ้าว ทั้งยาย ทั้งป้าเล็ก นี่เป็นเพื่อนข้างบ้านเหรอ ? ….. ไปแล้วว บะบาย” ผมพูด
แล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน ทั้งๆที่อยู่มา 3 – 4 เดือน ไม่เคยมาบะบายอะไรแบบนี้มาก่อน
ทำไปได้ฟร่ะตู

พอเข้าห้องก็จัดการล้างหน้าแปรงฟัน รอเวลาให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ แปลกจริงคับ ทั้งที่พึ่งห่างกันม่ะ
ตะกี้นี้เอง ผมก็รอเวลาที่จะเจอกับโอ้ตอีกแล้ว นี่กรูเป็นไรว้า นอนไม่หลับว้อยยยยยยย

“เอ๊ะ …”

ผมฉุกใจนึกอะไรบางอย่างออกครับ ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่บ้านเล็กหลังนี้ ผมยังไม่ได้กลับเข้าไป
ดูห้องใต้ดินอีกเลย ว่าจะเข้าๆก็มีเหตุการณ์ทำให้ลืมทุกที แต่มันมีผีคุณตาอยู่นี่หว่า …..

“เอื้อกกกก” ผมกลืนน้ำลายทีนึง แล้วก็เดินไปฉวยไฟฉายมา

งืมมมมมมม เอาวะ อย่างน้อยเผื่อจาเจอหนังสือโป๊รุ่นลายครามซ่อนไว้อยู่ก็ได้วะ ผมนึกข้อดี
ข้อนี้ในใจ พลางค่อยๆยกพื้นส่วนที่เป็นประตูขึ้นมา มันยกได้ง่ายดายเหมือนเดิมครับ ทั้งๆที่ผม
ไม่เคยเปิดลงไปดูเลยนะนั่น เป็นไปได้ไง ?

เท้าผมค่อยสัมผัสในส่วนของบันได ตัวผมค่อยๆเดินลงไปท่ามกลางความมืดสนิท ไฟฉายใน
มือผมเปิดส่องสว่างขึ้นมาส่องหาสวิตท์ไฟ (ที่คิดไปก่อนว่าน่าจะมี) ผมเดินลงไปเรื่อยๆ
จนรู้สึกว่าเท้แตะในส่วนของพื้นล่าง แล้วก็จึงกราดแสงไฟไปตามกำแพง ก็พบสิ่งที่หาอยู่

อ่า นี่เอง ผมคิดแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดสวิตท์ไฟ

ฉับพลันที่แสงไฟสาดส่องไปทั่วห้อง ผมถึงกะอึ้งๆๆๆๆๆ

"คุณตาคุณเห็นว่าไม่ได้ใช้ทำอะไร ก็เลยทำมาเป็นห้องเก็บของหน่ะ แต่อย่าเข้าไปเลยครับ
ฝุ่นเยอะ …

ตัวอะไรต่ออะไรมีมั่งก็ไม่รู้ ลุงก็ไม่ได้ไปทำความสะอาดข้างในเป็นปีแล้ว"

ลุงสนบอกกับผมตอนที่มาใหม่ๆ แต่สภาพของห้องมันไม่เหมือนห้องเก็บของเลยครับ
ในห้องมีเตียงอยู่เตียงนึง วางอยู่ริมห้อง ข้างๆเตียงมีตู้หลังใหญ่ พร้อมกับกล่องอะไรต่อ
อะไรวางอยู่ข้างบน สภาพโดยรวมแล้วเหมือนมีคนมาคอยทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ
- - - หรือเหมือนมีคนเข้ามาใช้ห้องนี้อยู่ประจำ

ผมเดินสำรวจไปทั่วห้อง พร้อมกับหาเศษสิ่งของที่ผมเคยเตะโดนครั้งก่อน ก็ไม่พบร่องรอย
ดังกล่าว

อ่า …. ใครมาอยู่ที่นี่วะ - - - ผมยังคิดไม่ทันเสร็จ ก็เหลือบไปเห็นกล่องๆนึงตั้งอยู่
ด้านบนหัวเตียง เลยทีวิสาสะลองแกะดู (ก็บ้านกรูนี่หว่า)

อึบบ อึบ อึบบบบบ

ผมพยายามจะเปิดกล่องมันออกมา แต่ดูคนที่ปิดจะไม่ประสงค์จะให้คนนอกเปิด เพราะจะเปิด
ยังไงก็เปิดไม่ขึ้นครับ ก็เลยมองสำรวจที่กล่อง ก็ปรากฏเห็นเป็นรอยที่เอาไว้เลื่อนอยู่นิดหน่อย
ตกลงว่าถ้าจะเปิดมันก็ต้องเลื่อนฝามันขึ้น ม่ะได้ยกเปิดฝาออกคับ เหอๆ โง่จังกรู

แกร่กกก

แค่กๆๆๆๆๆ

ในกล่องนี่มีฝุ่นจับอยู่เต็มเลย แสดงว่าคนที่ปิดไว้ ไม่เคยเปิดออกมาเป็นปีๆ ต่างจากสภาพห้อง
ที่คอยมาดูแลสม่ำเสมอ ในกล่องผมเห็นสมุดเล่มนึงนอนอย่างสงบอยู่ก้นกล่อง พลิกเปิดไปเปิดมา
ดูเหมือนจะเป็นไดอารี่ครับ
ผมพลิกไปเรื่อยๆ จนถึงเกือบหน้าสุดท้าย ทำให้รู้ถึงเจ้าของไดฯเล่มนี้

โอ้ตเขียนไดอารี่ด้วยเหรอเนี่ย ผมออกจะแปลกใจหน่อยๆครับ เพราะว่าตั้งแต่รู้จักกันมา
ก็ไม่เห็นท่าทีมันจะเป็นคนชอบเขียนอะไรนี่หว่า ผมค่อยๆพลิกกลับไปกลับมา ก็พบว่าวันสุดท้าย
ที่เขียนมันเป็นช่วงกลางเดือนเมษายนของเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน

ไดอารี่นี่โอ้ตเขียนตั้งแต่ตอนอยู่ม.4 แล้วหลังจากปิดเทอม ม. 4 โอ้ตก็ไม่ได้เขียนมันอีกเลย

ผมพลิกกลับไปที่หน้าสุดท้ายอีกทีนึง ก็ต้องสะอึกนิดหน่อย โอ้ตเขียนคำว่า “รักตลอดไป”
แล้วก็ลงชื่อ “โอ้ต”

โอ้ตมันเขียนถึงใครวะ หรือว่าเป็นแฟนเก่าของมันเนี่ยยยยย อารมณ์ผมตอนนั้นไม่ได้หึงอะไรหรอกคับ
เพราะว่ามันนานมากแล้วล่ะ แล้วถ้าโอ้ตคบกับใครตอนนี้จริงๆ ผมก็ไม่เห็นว่าเป็นไปได้ วันๆมันเอา
แต่เรียน กลับมา ก็เข้าบ้านเลย เสาร์อาทิตย์ ก็พาผมไปโน่นไปนี่

อย่างน้อยที่สุด ถ้าคำว่า รักตลอดไป นี่เขียนถึงแฟนโอ้ตเจงๆ ป่านนี้ก็คงเลิกกันไปแล้วชัวว์

ผมชักนึกอยากรู้ว่าโอ้ตมันเป็นคนแบบไหน ยังไงขึ้นมาตะหงิดๆ เอาเป็นว่าตอนนี้รู้แล้วล่ะ
ว่าห้องใต้ดินอันนี้ โอ้ตมันเคยเข้ามานอน หรือเข้ามาทำอะไรก็แล้วแต่ แล้วโอ้ตมันก็คงเข้ามา
ทำความสะอาดอยู่เสมอ …

อ่ะ

ผมใคร่ครวญนึกถึงวันที่ผมไม่สบายมากๆ จำได้ว่ามีคนมาเช็ดตัวให้ - - - ผมไม่ได้ฝันไป
อะดิ โอ้ตมันเข้ามาเช็ดตัวให้ผมแน่ๆ แล้วพอผมตื่น มันก็หลบเข้าไปในห้อง แล้วก็โทรสับมาปลุกผม
….. พอผมออกจากบ้าน มันก็ค่อยออกตามผมมา ไม่ให้รู้ตัว

ถ้าลำดับเหตุการณ์ที่ผมคิดเป็นจริง ทำไม … ทำไมโอ้ตต้องปกปิดด้วยล่ะ ว่าโอ้ตอยู่ในนี้ … หรือว่า
โอ้ตมันไม่อยากให้ผมรู้ ว่ามีอะไรอยู่ในห้องนี้วะ คิดแล้วกรูงง

เมื่อผมคิดไตร่ตรองอยู่นานแสนนาน (รอบเดียว) ก็เลยตัดสินใจ อยากรู้ว่าโอ้ตมันเขียนอะไร
ไว้ในไดฯเล่มนี่มั่ง เผื่อผมจะได้รู้จักมันมากขึ้น

แกรกก

มีแผ่นอะไรซักอย่างร่วงหล่นลงมา ผมหยิบมาดูก็พบว่าเป็นรูปโอ้ตเมื่อ 2 ปีก่อนนี่เอง ยังเอ๊าะๆอยู่เรย
หุหุ ยืนกอดคออยู่กับเด็กหนุ่มอีกคนนึง ยิ้มกันหวานชื่นเชีย ….

มานเป็นใครกันว้า ผมล่ะอยากรู้เจงๆ


* * * * * * * * * * * *

ตื่นเช้ามา ผมก็ลืมเรื่องเมื่อคืนไปเกือบหมดแล้วล่ะ จนมาเห็นไดอารี่ที่ผมหยิบขึ้นออกมาด้วย
ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าจะถามโอ้ตเรื่องคนในภาพ แต่… ถ้าถามมันก็ต้องรู้ดิ ว่าผมแอบหยิบของๆ
มันออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาต มันคงโกดตายหองแน่

“งืมมมมม”

“เป็นไรปริ้น เสียงไอ้โอ้ตดังขึ้นมาข้างๆ ระหว่างผมใช้ความคิดอยู่ระหว่างยืนรอรถหน้าบ้าน

“ก็คิดว่าจะถามว่าไง - - - เฮ้ยยยยยย มาเมื่อไรเนี่ย ” ผมใช้ความคิดเพลินๆอยู่ ก็ต้อง
สะดุ้งเมื่อโอ้ตมันก็โผล่พลวดพลาดมาจากไหนก็ไม่รู้

“ถามอะไร เกี่ยวอะไรกะโอ้ตป่าว” มันทำท่าทางสงสัย

“ม่ะ - - - อ่อว่าจะถามเรื่องการบ้านอ่ะ ทำไม่ได้”

“วิชาไรล่ะ เลขอะซิ” มันบอกพลางหัวเราะในความโง่ของผม

“เออ”

“พูดไม่เพราะอีกแล้ว” มันว่าพลางจะเขกหัวผม

“ค๊าบๆๆๆ” ผมรีบเอามือป้องกันตามสัญชาติญาณ แหม ไอ้นี่เนี่ยะ

ผมเห็นท่าทีโอ้ตมันอารมณ์ดีๆอยู่ก็เลยตัดสินใจถาม

“เอ่อ โอ้ต ถามไรหน่อยดิ

“รอให้ถึง รร ก่อนก็ได้

“ม่ายช่าย .. เรื่องอื่น - - - อ่ะ แต่สัญญาก่อนนะว่าห้ามโกรธ ผมไม่ลืมพูดดักคอมัน
ไว้ก่อน

“อะ อะ ไม่โกรธครับ” มันพูดแบบว่าง่าย ผมเห็นดังนั้นก็เลยล้วงเข้าไปในกระเป๋า แล้วก็หยิบ
รูปใบนั้นขึ้นมาส่งให้โอ้ต

โอ้ตมันทำหน้างงๆ แล้วก็รับไปดู เท่านั้นล่ะครับ ….

“………..”

“รูปนี้ของโอ้ตป่าว ”

“…………”

“คะ ครือ เห็นมันตกอยู่ในห้องอ่ะ” ผมรีบพูดปดคับ เมื่อเห็นโอ้ตมันยืนเหม่อมองดูรูปนั้น อย่างกับ
ว่าไม่ได้เห็นคนๆนั้นมานานแสนนาน

“โอ้ต .. ”

ผมเอื้อมมือไปสะกิดพี่ชาย ไอ้โอ้ตสะดุ้ง แล้วก็หันมาถามผมเสียงสั่น

“ปริ้น … ไปเอารูปนี้มาได้ไง”

“อ้าว ก็บอกแล้วว่าเจอมันตกอยู่ในห้องเรา” ผมตอบเสียงเบา เพราะว่าโกหกมันนั่นล่ะ

“คะ คนข้างๆโอ้ตนี่เพื่อนเหรอ ? ” ผมลองแย็บถาม

“อือ .. ”

“ทำไมไม่เคยเห็นหน้าเลยอ่ะ เรียน รร เราม่ะใช่เหรอ” ผมถามโดยสังเกตดูจากชุดนักเรียนนั่นแหละ

“เค้าไม่อยู่ที่นี่แล้วล่ะ” โอ้ตตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนที่จะพูดคุยอะไรมากกว่านี้ รถก็มาพอดีคับ
ตลอดทางโอ้ตนั่งเงียบ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอคาดเดาได้ว่า เป็นเพราะรูปใบนี้แน่ๆ

คนในรูปนี้ เป็นใครกัน … สายตาของโอ้ตที่มองดูคนๆนี้ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนแค่นั้นหรอก

ไม่ใช่…ไม่ใช่แค่เพื่อน เสียงบางอย่างร้องก้องอยู่ในหัวใจของผม อาการลมเพชรหึงมันผุดออกมาในใจ
ดวงน้อยตั้งแต่ม่ะไรก็ไม่รู้



ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #16 เมื่อ22-10-2006 22:43:25 »

อิอิ พอก่อนหมดแรง ใครยังไม่อ่านรีบตามให้ทันนะครับ ปัจจุบันกำลังมันถึงพริกถึงขิง
 :yeb:

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
[story] บ้านพักอลเวง2 diary is โดย staying power
«ตอบ #17 เมื่อ23-10-2006 05:03:53 »

บ้านพักอลเวง2 diary is  โดย staying power
ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง

เสียงออดคาบสุดท้ายดังขึ้นมาพร้อมกับนักเรียนในทุกระดับชั้น ค่อยทยอยเดินออกมา
สีหน้าที่แช่มชื่นของแต่ละคนแสดงให้เห็นภาระที่ต้องแบกในแต่ละวันได้หมดลง บางกลุ่ม
รีบวิ่งลงไปจองสนามเตะบอล บางคนก็เร่งรีบที่จะกลับบ้าน

ต่อก ต่อก ต่อก ต่อก

เสียงฝีเท้าของผมเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยลงบันไดของอาคาร 1 ที่อยู่ด้านหลังสุดของโรงเรียน
เดินย่ำต้อกอย่างเชื่องช้า จนมาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าพระพุทธรูปที่อยู่ด้านข้างหอประชุม
เท้าผมเดินตรงเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้ หยุดมองได้ซักพัก จึงค่อยทอดตัวลงนั่ง สองมือผม
ประนมพร้อมกับกราบลงกับพื้น

ตลอด 6 ปีที่ผมได้พักพิงในโรงเรียนนี้มา มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องคิดมาก มีความทุกข์
และทุกครั้ง เมื่อมาถึงที่สุดแล้ว ผมก็มักพาตัวเองเข้ามานั่งพักอาศัยอยู่บริเวณนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้
ช่วยให้ปัญหามันคลี่คลายลง แต่มันก็ช่วยทำให้จิตใจค่อยผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

ผมค่อยยกศีรษะที่ก้มลงไปกราบท่านขึ้นมา นักเรียนหลายคนเดินผ่านด้านข้างผมไป
บางคนหันมามองแล้วก็เดินผ่าน ผมดันตัวเองไปนั่งพิงกับเสาด้านข้าง พลางถอนหายใจ
ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ปวดมวนท้อง มันเริ่มแผ่ครอบคลุมความรู้สึกมาตั้งแต่เช้า
สิ่งที่ผมเคยฝังมันเอาไว้ บัดนี้มีใครบางคนขุดมันขึ้นมา ใครคนนั้นที่ผมคิดว่าทำให้ผม
ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว

อาจเป็นเพราะหน้าฝน ทำให้บรรยากาศเริ่มมืดเร็วกว่าปกติ ความอึมครึมในใจมันช่าง
มากมายเหมือนกับพายุที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ หยดน้ำหยดนึงร่วงลงมาโดนที่ข้างแก้ม
มันไม่ใช่น้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

ผมกำลังร้องไห้ ?

กะ… กำลังร้องไห้ให้กับคนในอดีตบางคน คนที่เป็นรักแรก ของผม ?

“โอ้ต …. - - - ไอ้โอ้ตตตตตตต”

ผมหันหน้าไปทางต้นเสียง ไม่รีบที่จะปาดเครื่องหมายที่แสดงความอ่อนแอออกไป
เห็นไอ้ท็อปยืนเรียกอยู่อีกฟากของหอประชุม

“ว่าไง”

“วันนี้จะไปดูซ้อมลีดด้วยกันป่าว ถ้าไปก็ไปกะกู” ไอ้ท็อปบอกพลางกวักมือเร่ง
เห็นน้องโค้ก แล้วก็ปริ้นเดินมาด้วยกัน..

ผมรู้สึกขัดหูขัดตาโดยไม่ทราบสาเหตุ

“เดี๋ยวค่อยไปวันอื่นแล้วกัน วันนี้กูยังทำธุระไม่เสร็จ” ผมอ้างไปแบบนั้น
เพราะต้องการที่จะจัดการกับความรู้สึกแย่แบบนี้ให้หมดไปก่อน มันไม่ดีเลย ที่เราจะพกพา
อารมณ์ที่ไม่ปกติของเราเอง ไปทำงานอะไรก็แล้วแต่ที่มีคนอื่นร่วมรับผิดชอบด้วย

ผมเห็นปริ้นเอาของฝากโค้กไว้ แล้วก็เดินถือสมุดที่คุ้นตาเดินมาหา

“ว่าไง …” ผมยิ้มให้สุดที่รักแล้วก็เอามือยีหัวตามแบบฉบับที่ผมชอบทำกับปริ้น

“ง่ะ ทำไมชอบเล่นหัวอยู่เรื่อยเลยหนิ ” ปริ้นมันต่อว่า แต่ความรู้สึกลึกในใจบอก
กับผมว่า ปริ้นมันไม่โกรธผมหรอกที่ทำแบบนี้

“ขยันซ้อมล่ะ เดี๋ยววันหลังจะตามไปดู ทำไม่ดีโดนแน่” ผมทำเป็นขู่ ปริ้นมัน
ก็ทำหน้ากวนๆตามประสา แล้วก็กลับทำหน้าจริงจังขึ้นมาในทันที

“คะ คือ รูปที่ให้โอ้ตดูเมื่อเช้าอ่ะ เราเจอมันอยู่ในสมุดเล่มนี้” ปริ้นมันทำหน้า
เศร้าสารภาพออกมา

ผมรู้สึกมึนตึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าสมุดนั่นเป็นไดอารี่ที่เขียนไว้เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน
แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ ปริ้นก็อาศัยจังหวะบอกทำให้ผมใจชื้นขึ้นเล็กน้อย

“- - - แต่ปริ้นยังไม่ได้อ่านอะไรหรอกนะ จริงๆ” มันทำหน้ากระเง้ากระงอด
ผมมองเข้าไปในตาของปริ้น ก็รู้สึกได้ว่า มันไม่ใช่สายตาของการโกหก ก็เลยได้แต่แสร้งยิ้ม

“อือ ถ้าจะอ่านก็อ่านได้ มันไม่ได้มีอะไรหรอก ” ผมปดออกไป ปริ้นสายตาเปลี่ยนไป
เล็กน้อยเหมือนจะไม่เชื่อ แต่สายตานั่นก็แสดงแค่แว่บเดียว ก่อนที่จะขอตัวตามไอ้ท็อปกับ
โค้กซึ่งเดินจูงมอไซต์ไปล่วงหน้าแล้ว

เมื่อเห็นปริ้นเดินลับตาไป จึงค่อยหย่อนตัวลงกับพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบอีกครั้ง มือผมลูบที่
หน้าอกแล้วค่อยๆหยิบรูปถ่ายที่ปริ้นให้เมื่อตอนเช้าออกมาด้วยความทนุถนอม

ทนุถนอม ?!

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ

มีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปากเล็กๆ ทำไมผมต้องทนุถนอมอดีตถึงเพียงนี้นะ ผมคิดในใจ
พร้อมกับเปิดสมุดเพื่อที่จะเอามันเก็บไว้ที่เดิม

สายลมอ่อนๆ พัดมา แรงพอที่จะทำให้หน้ากระดาษเปิดพลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย จนผมได้
เห็นสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นไว้เมื่อ 2 ปีก่อน

“รักตลอดไป ..”

คำๆนี้ ทำให้จิตใจผมเริ่มล่องลอยหวนให้นึกถึงวันวานที่มีทั้งความสุข ความสนุกสนาน
ความเศร้า แล้วก็ความผิดหวัง

“ปิง … ทำไมกูถึงลืมมึงไม่ได้ซะที ”

ความว้าวุ่นในใจเริ่มก่อตัวเสมือนมรุสุมขนาดเขื่อง พร้อมที่จะพัดพาเอาอดีตให้ฟื้นขึ้นมา

* * * * * * * * * * * *

ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด 

ปั้งงงง !? แคร๊ก

“…………………….”

หวา !! แย่แล้ว ... ผมคิดถึงในใจ หลังจากได้สติว่าเผลอเขวี้ยงนาฬิกาปลุกเข้าให้
กับฝาบ้าน พร้อมกับดันตัวเองขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างขี้เกียจ

เช้าวันแรกของการเปิดเทอม โรคสุดฮิตของนักเรียนทุกคนของเช้าวันแรก ดูเหมือนไข้ขึ้น
นิดหน่อย ปวดเมื่อยตัว ตาลืมไม่ค่อยขึ้นถึงขั้นปิดทุกๆนาที และล้มตัวลงนอนอีก 5 นาที ...
ขออีก 10 นาทีน่า อีก .....

เฮ้ย สายแล้ว !!!

ผมยันตัวขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง หันไปหานาฬิกา ดูเหมือนมันแตกเป็นเสี่ยงจากแรงกระแทก
หันไปหยิบนาฬิกาข้อมือ

7.30 !?

ผมรีบกระวีกระวาดแต่งองค์ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้า จะถูกรีดไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ก็แทบไม่
ช่วยให้ผมรอดพ้นจากการต้องเข้าโรงเรียนสายเลย สุดท้ายผมก็เหมือนทุกคน ที่เมื่อเข้าสาย
ก็ต้องมานั่งแตกแดดหัวแดง อีกฝั่งนึงจากเสาธง จนเมื่ออาจารย์พูดเสร็จนั่นแหละ ถึงจะได้หมด
เวณหมดกรรม และก็รู้ๆกันอยู่ เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ทุกคนที่มีตำแหน่งในโรงเรียน
ไล่มาตั้งแต่ ผอ. ผู้ช่วยผ่ายบริหาร ธุรการ วิชาการ ปกครอง อ.หมวดโน้น หมวดนี้

“แม่ - ง พูดกันอยู่นั่นแหละ” ผมสบถ เสื้อที่พึ่งรีดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อ้าว มาสายด้วยเหรอเรา” อาจารย์ที่ผมสนิทคนนึงเข้ามาทักผม

“ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ “เมื่อคืนดูเออ .. หนังสือดึกไปหน่อยน่ะครับ”

พูดไปก็เหมือนดูถูกตัวเองแหะ ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมต้องมานั่งอาบเหงื่อต่างน้ำแบบนี้
จริงแล้วใครๆก็เห็นว่าผมเป็นเด็กเรียนด้วยกันทั้งนั้น แต่ผมได้เกรดดีต่างจากคนอื่นนิด
หน่อยเอง ผมไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกว่าเป็นเด็กเรียนหรอก อึดอัดจะตายหอง แต่ข้อดี
ของการที่ใครๆก็มองผมว่าเป็นเด็กเรียน เวลาโดนลงโทษ ผมจึงเหมือนมีอภิสิทธิ์อยู่หน่อยๆ
ไม่เหมือนพวกที่ถูกขนานนามว่า เด็กเก(เร)

“เออ เป็นไงว่ะ วันนี้มาสายได้ โอ้ต” “ เพื่อนผมถามเมื่อแยกแถว

“ดูบอลดึก” ผมพูดพลางหาวหวอด

“แหม กูก็ดู ไม่เห็นสายเหมือนมึงนี่”

“.. บ้านมึงมีทั้งพ่อ แม่ ป้า น้า อา อะไรมึงอยู่หมด นี่ นี่ บ้านกูอะ 3 คนนะมึง”
ผมบ่นให้ฟัง

“อ้าวแล้วแม่มึงไม่ปลุกล่ะ”

“เออ เมื่อก่อนก็ปลุกเว้ย แต่พักหลัง แกขี้เกียจมั้ง เนี่ย กูบอกให้เค้าปลุกกูหน่อยเดียว
ว่าไงรู้ป่ะ ... เค้าบอกว่ากูโตจนอยู่ม ปลาย เป็นควาย ลุกเองได้แล้ว”

“เออ จริง ... ” ว่าแล้วเพื่อนผมก็ทำท่ามาปัดไหล่ผม

“ทำไรของมึง” ผมถาม

“อ้าว ก็ปัดนกเอี้ยงให้อยู่นี่ไง” มันว่าพลางวิ่งหลบผม ซึ่งตามเตะมันอย่างสุดแค้น

“หลอกด่ากูเหรอ”

ไม่รู้เป็นอะไร วันแรกผมก็ต้องมีงานทำซะแยะเยอะ วันนี้ผมต้องเป็นเวรเซ็นสมุดรายชื่อ
ที่ห้องปกครองตอนเย็นซะด้วย ถึงผมจะไม่ได้มีอะไรกับห้องปกครองเหมือนอย่างพวกเด็กเก
ก็เหอะ แต่บรรยากาศมาคุแบบนั้น มีใครอยากจะไปอยู่มั่งละท่าน

เฟี้ยววววว เปี้ยยยยยยยยยะ

ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียวหวดไม้เรียวลงบนเนื้อแน่นๆ ของใครคนนึงอยู่

- โอ้ ถ้าก้นผมโดนไม้นั่นเข้า คงถ่ายไม่ออกไปหลายวัน - ผมคิด

“วันหลังอย่าคิดโดนเรียน (กำแพง) อีก ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน” อ.ปกครองที่เป็น
คนหวดบอกตามหลัง ไอ้คนนั้นมันก็เดินผ่านผมไป

- อ้อ ไอ้เหี้ยนี่เอง - ผมนึก มันก็อยู่ชั้นเดียวกับผม แต่อยู่ห้องท้ายๆเลยตอนอยู่
ม. ต้น ผมไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับมันซักเท่าไร เพราะมันต่างขั้วกันอยู่แล้ว หึหึ
(หัวเราะอะไร ??)

รู้สึกว่าผมจะจ้องมันนานเกินไปหน่อย จนรู้สึกตัว

“มึงมองอะไรวะ”

“ขอโทษที” ผมบอกแล้วจึงไปที่โต๊ะเขียนรายชื่อ

ผมก้มหน้าลงไปเขียน แต่ความรู้สึกก็สัมผัสได้ถึงสายตาใครบางคนที่มองมาจากหน้าประตู
ห้องปกครอง

ไอ้เจ้านั่น มันยังยืนมองผมอยู่... จนนานเข้าผมทนไม่ได้จึงเดินไปเปิดประตูคุยกับมันว่า
จะเอายังไง

“มีอะไรเหรอเปล่าครับ” ผมถามแบบสุภาพโคตรๆ ทั้งที่ในใจอยากจะบอกว่า หน้ากูเหมือน
พ่อมึงเหรอ ?

“เมื่อกี้มึงมองกูอะ มึงอยากมีเรื่องใช่ม่ะ” ซวยแล้วผม ไอ้นี่มันจะหาเรื่องเรอะ นี่หน้า
ห้องปกครองนะ....

“มึงสมน้ำหน้ากูใช่ป่ะ” มันยังโบ่ยผมไม่เลิก

“ทำไมมึงไม่ตอบวะ มีปากป่าว” มันขู่ผมอีกระลอก

“เราไม่ได้คิดแบบนั้น” ผมตอบแบบขอไปที

“ขอร้องไม่ต้องมาสุภาพกะกูเลย !! v อ้าว กูสุภาพก็ผิดอีก

“มึงชื่ออะไร” มันถามผม

“……………..”

“กูถามว่ามึงชื่ออะไร” ผมรีบเดินถอยตัวออกห่างแต่มันเร็วกว่าดึงคอเสื้อผม

“กูถามก็ตอบดิ จะไปไหนวะ”

“โอ้ต” ผมตอบ

มันกระหยิ่มนิดหน่อย

“ชื่อแม่งโหลวะ”

คำๆนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนยังไงชอบกล แต่ก็ยังทำเฉยไว้ คิดในใจว่า ไงก็ไม่โง่
เหมือนมึงหรอก

“ไปได้ยัง” ผมถามมัน

“อะไรนะ มึงกล้าไล่กูเหรอ !! ” มันทำท่าจะชกผม

“ไม่ใช่ๆ เราหมายถึงว่า เราอะ ไปได้เหรอยัง” โอ้ ทำไมผมถึงพูดแบบนี้นะ

มันทำท่าเหมือนจะขำ ทำให้ผมชักฉุนกับความหงอของตัวเอง...

“เออ ไปได้แล้ว” มันว่า

ผมพยักหน้า แล้วรีบเดินจะไป มันก็มากระชากเสื้อข้างหลังผมอีก

“กูชื่อ เต้ย จำชื่อกูให้ดีๆ แล้วทีหลังอย่ามองกูแบบนั้นอีกนะ กูไม่ชอบ” มันส่งผมก่อน
จะเดินผิวปากเดินจากไป

“ไอ้เต้ย ตั้งแต่วันนี้ไปมึงกะกูเป็นศัตรูกัน” ผมตั้งปณิธานไว้เงียบๆในใจ


* * * * * * * * * * * *

หลังจากเปิดเทอมมาได้หลายอาทิตย์ ผมก็ไม่ได้เจอหน้าไอ้เต้นอะไรนั่นอีกเลย และถึงเจอก็
ไม่ได้เฉียดมาใกล้กัน จนผมเกือบลืมมันไปแล้ว 

“ เรื่องนี้กูคงช่วยอะไรมึงไม่ได้หรอกไอ้ปิง” ผมกล่าวปฏิเสธเสียงแข็งกับคนๆนึง

“ ทำไมวะ แค่ลงเล่นให้กูหน่อยเดียวเอง ครั้งนี้ครั้งเดียวละเพื่อน” ไอ้ปิงอ้อนวอนผม

จริงๆแล้วผมอยากจะช่วยมันใจแทบขาด แต่ไอ้กีฬง กีฬาอะไรเทือกนี้ ผมไม่ค่อยถนัดเอา
ซะเลย ผมเป็นพวกใช้สมองซะด้วย แถมวันนี้ มันยังดึงดันให้ผมช่วยลงแข่งบาสให้ทีมมัน
อีกตะหาก เพราะเพื่อนในทีมมันเจ็บ

“ กูเล่นไม่เก่งจริงๆ มึงก็รู้นี่หว่า” ผมพยายามหาเหตุผล ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงแหละ

“ กูรู้ แต่มันไม่มีใครแล้วจริงๆนะเว้ย ไม่งั้นกูจะมาขอมึงเหรอไง” มันบอก

อ้าว ตกลงกูจะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย แต่ผมก็ยังยืนกรานคำตอบเดิม

“ กูไม่เอาหรอก”

“ คือมึงเข้าใจป่ะ กูแค่อยากให้ตัวเล่นมันครบแค่นั้นเอง มึงลงสนามไป ไม่ต้องทำอะไรเลย
มึงวิ่งหลบได้ตามใจชอบเลย โอเคป่ะ” ไอ้ปิงยื่นข้อเสนอให้ผม แต่เมื่อเห็นไม่ค่อยถูกใจเท่าไร
ข้อเสนอต่อมาคือ...

“ แค่มึงลงให้กู เย็นนี้กูเลี้ยงหมูกระทะมึง” มันยืนมาอีกข้อเสนอ พร้อมยืนมือมาเตรียมทำ
สัญญา

ผมคิดอยู่แว่บนึง ก่อนจะจับมือมันตอบ

“ โอเค เพื่อน” ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยผม

“ไม่มีเสื้อที่ตัวใหญ่กว่านี้เหรอวะ” ผมบ่น เพราะเสื้อที่ได้มา มันไซ้เล็กกว่าผมพอสมควรเลย

“ เออ โทษทีหว่ะ กูลืมไปว่าไอ้วินมันตัวเล็กอะ ใส่ของกูละกัน” มันยื่นเสื้อให้ผม

“ ซักมั่งป่าววะ โคตรเหม็นตืดเลย”

“เด๋วปั้ด” มันทำมือจะมาซัดผม

“ กูพูดเล่น” ว่าแล้วก็จัดการสวมเสื้อ ใส่กางเกงเสร็จสรรพ เตรียมลงสนาม วันนี้นักเรียน
มาดูกันเยอะจัง ทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ผมชักเริ่มปอดแล้วดิ รู้สึกได้ว่าขาสั่นพับๆ

“ กูไม่เคยเล่นแล้วคนดูมากขนาดนี้หว่ะ ไอ้ปิง” ผมกระซิบให้เพื่อนฟัง

“ เอาเหอะน่า มึงก็คิดว่าเป็นนก เป็นกาไปเหอะ เด๋วก็ชิน” ไอ้ปิงว่า

“ เออ แล้วมึงไม่ต้องมากะจะโชว์สาวเลยนะ กูจะพยายามบอกพวกไอ้ท็อป ไอ้วินว่าไม่
ต้องส่งมาให้มึง หรือว่า ถ้ามึงได้ลูกแล้วเนี่ย มึงก็รีบโยนต่อให้คนอื่นเลย เข้าใจป่าว”

มันบอกแผนการ

“ มึงเก่งแต่ทฤษฎี แต่วันนี้มึงต้องปฏิบัติแล้วนะไอ้โอ้ต” เพื่อนรักบอกผม

“ กูจะพยายามหว่ะ” ผมตอบ ก่อนจะได้ยินสัญญาณให้ลงสนาม

- เป็นไงเป็นกันว่ะ - ผมภาวนาในใจ ขณะที่ยืนเรียงแถวหันหน้าประสานกัน พวกมันก็
ตัวไม่ได้ใหญ่อะไรไปกว่าผมมากนัก เพียงแต่ว่าความบึกผมสู้ไม่ได้เท่านั้น สายตาผมก็มองข้าม
ไปด้านหลัง เห็นต่ายกับเพื่อนสาวๆนั่งเชียร์อยู่ข้างสนาม ผมกวาดสายตาไปรอบเพื่อหาทางหนี
ทีไล่ไว้ก่อนล่วงหน้า

อี๊ ... ผมรู้สึกจุกเล็กๆ เมื่อเห็นไอ้เต้ยนั่งอยู่ในเต้นพักนักกีฬา

มันอยู่ทีมนี้ด้วยเหรอไงวะ ดูท่าทางมันยังไม่เห็นผม แต่ตอนนี้ไม่เห็น แต่อีกไม่กี่วินาที มันคง
เห็นผมแน่ ..... แต่

- ถึงมันจะเห็นผมแล้วจะเป็นอะไรละ- ผมคิดพลางเรียกสมาธิให้กลับคืนมา

-ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันซะหน่อยนี่หว่า- คิดได้ดังนั้น ก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นติ๊ดนึง

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เฮ เฮ ............

ซวบ

เฮ

การแข่งขันเริ่มไปได้อย่างราบรื่น ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้แต่แรก ผมก็ทำตามแผนที่วางไว้
ซึ่งก็ทำให้พวกมันไม่ได้สนใจอะไรผมมากเท่าไร เพราะได้ลูก ก็โยนอย่างเดียว วิ่งทางโน้นที
ทางนี้ที เรื่องวิ่งผมถนัด หึหึหึ

จนพวกมันคงคิดว่า ประกบไอ้เหี้ยนี่ไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นมา ก็นับได้ว่า แผนที่ไอ้ปิงบอกไว้
ก็ใช้ได้ด้วยดี จนจบควอเตอร์แรก ทีมพวกผมนำอยู่ 5-6 แต้ม

“ ดีโอ้ต” เพื่อนในทีมชมผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะชมไปทำบ้าอะไร ยังชู๊ตไม่ได้ซักลูก

“ แต่กูรู้สึกว่าพวกมันจะจับทางได้แล้วหวะ ว่าเราเล่นแบบไหนอะ” หนึ่งในสมาชิกบอก

“แล้วแม่-งมันตามประกบกูตลอดเลยอะ โคตรเหนื่อยเลย” ไอ้ท็อปว่า แต่ผมดูมันแล้ว
มันจะเหนื่อยน้อยกว่านี้ ท่ามันไม่ทำโชว์ออฟอยู่ แต่ก็ได้ผล สาวๆกรี๊ดอย่างใจนึก
(ไม่รู้เพราะว่าเบื่อมันหรือว่าชื่นชมจริง)

“ เออ กูก็ว่างั้นแหละ” ไอ้ปิงบอก “งั้นต้องเปลี่ยนแผน” ว่าแล้วมันก็จ้องมาที่ผมกัน

“ หมายความว่าไง” ผมถาม

“ โอ้ต มึงต้องทำอะไรมากกว่าโยนลูกแล้ว” ว่าพลางตบบ่าผม

“เฮ้ย อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ” มันบอกเมื่อเห็นผมหน้าจ๋อยขึ้นมา

“ มึงอยู่ใกล้ๆไอ้วินไว้ ใต้แป้นอะ ถ้ามันส่งมาแล้วเห็นโอกาสดี มึงก็จัดการเลย กูรู้ว่า มึงอะทำได้ ”

“ มึงรู้ได้ไง”

“เอาเหอะ กูเชื่อใจ” มันพูดทำตาเป็นประกาย ผมรู้จักมันมาตั้งแต่ตอนอยู่ ม.1 แล้วล่ะ
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ถือว่าสนิทกันมากพอควร ตอนที่ได้รู้ว่าได้มาอยู่ห้องเดียว
กันในระดับ ม. ปลาย ผมก็แอบดีใจเล็กน้อยถึงปานกลาง

“ เอาตามนี้ละกัน” ไอ้ปิงสรุป

และแล้วการแข่งควอเตอร์ 2 ก็เริ่มขึ้น

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เฮ เฮ ............ เฮ

ดูเหมือนว่าแผนที่เตรียมไว้จะได้ผลนิดหน่อย เพราะผมได้โอกาสรับลูกจากไอ้วิน ทันทีที่จับ
ลูกได้ผมก็รีบเล็งไปที่ห่วงทันที และก็ ...

ซวบบบ .....

2 แต้มแรกของผมครับ 2 แต้มที่ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น รู้สึกสนุกกับเกมส์มากขึ้น

นั่นสิ เมื่อเราได้ทำประโยชน์กับทีมได้อย่างแท้จริง ได้เห็นว่า เราก็มีความสามารถเหมือนกัน
เลือดในตัวผมก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

เกมส์ตอนนี้ผลัดกันรุกกันรับ (แข่งบาสนะครับ อย่าคิดเรื่องอื่น ขอที) แต่ทีมเราก็ยังนำอยู่
1 แต้ม ถ้าเราเสียลูกนี้ไป ก็แปลว่า เราก็ต้องเป็นฝ่ายตามแทน และแล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิด

ไอ้ทีมโน้นมันเปลี่ยนตัวครับ มันก็ไม่ค่อยเท่าไร เพราะก็เปลี่ยนมาหลายคนแล้ว แต่ไอ้คนนี้นี่แหละ
เป็นคนที่ผมตั้งปณิธานไว้ในห้องปกครอง ไอ้เต้ย !! นี่แหละ มันลงมาแล้ว

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองเหรอเปล่า ว่าเห็นมันยิ้มที่มุมปากนิดหน่อย เหมือนกะว่า เวลาของกูมาถึงแล้ว

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ผมกำลังรับลูกเตรียมชู้ต ...

พลั๊ก .........

“อั๊กก ”

ผมรู้สึกเจ็บที่ชายโครงสุดๆ เพราะ ไอ้เต้ยนี่ล่ะ มันเข้ามากระแทกผมเต็มแรง เหมือนจะจงใจซะงั้น
จนผมนอนลงไปจุกอยู่กับพื้น ถึงแม้ว่าจะฟาวส์ แต่ผมก็ชู้ตลูกไม่ลง เพราะมันเจ็บชายโครงมากๆ

ผมมองหน้ามัน มันก็ทำเป็นไม่สนใจ

และแล้ว เมื่อเริ่มเกมส์อีกครั้ง ไม่ทันถึง 2 นาที ผมก็โดนอีก คราวนี้มันเอาตัวมากระแทกกับ
ตัวผมจังๆ ทั้งที่ตัวมันก็พอๆกับผม แต่อย่างที่บอก ความบึ๊กมันปานหมีควาย ผมจะไปมีแรงต้าน
ไหวได้ไง ก็ถึงกับล้มลุกคลุกคลาน คราวนี้มันมองหน้าผมแบบว่าหาเรื่องเลยอะ ผมก็ …. ไอ้สัด
แต่อีกใจนึงก็เตือนไว้

- มึงสู้มันไม่ได้แน่ อย่านะมึง - คิดได้ผมก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ

- มึงชนได้ชนไป - จนมันทำแบบนี้กับผมไปเกือบ 10 ที ฟาวส์ไม่รู้กี่รอบ ตัวผมก็ชักช้ำใน
แล้วซิ แต่ก็ดีกำไรทีมผม ได้ชู้ตเอาคะแนนฟรีๆ ผมรู้สึกได้แล้วว่ามันเหมือนกับลงมาหาเรื่องผมเลย
นะเนี่ย เพื่อนๆในทีมมันก็ชักไม่พอใจกับตัวไอ้เต้ยแล้ว แต่ทำไมไม่ยักเปลี่ยนออกก็ไม่รู้เว้ย

จนมาครั้งสุดท้ายนี้ ......

ระหว่างที่มันพยายามแย่งลูกไปจากผม แม้จะรู้ว่าไม่ดี แต่ก็เป็นโอกาสของผม

พลั๊ก .................

“ อ๊อกกกกก ” ผมกระแทกศอกไปใต้ลิ้นปี่ไอ้เต้ยนั่นเต็มแรง

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

“ มันอะไรกันนักหนาวะไอ้คู่นี้ ” กรรมการบ่นเสียงดัง

ผมทำหน้าสะใจ ที่ได้แก้แค้นคืน ไม่รู้หรอกว่ามันทำหน้ายังไง แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็หมดเวลา
สรุปทีมผมชนะไปฉิวเฉียด 51 – 48 สบายใจชะมัดยาด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2006 05:05:51 โดย ปลายยอดไผ่ »

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #18 เมื่อ23-10-2006 05:06:20 »

“ เบาๆ ปิง กูเจ็บ ” ผมบอกไอ้เพื่อนตัวการที่นั่งนวดให้ผมอยู่ อาการช้ำในที่เกิดจากการเล่นบาส
คงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมันบีบไปตรงไหน ก็ปวดตรงนั้น 

“ โอ้ยยยยยย !? ” ผมร้องเสียงหลง เมื่อมันมานวดตรงที่ศอกไอ้เต้ยมันกระแทกพอดี

“ พอแล้ว มึงไม่ต้องมานวดกูแล้ว ” พร้อมกับผลักไสมันออกไปห่างๆ มองไปเห็นไอ้ปิงทำหน้าปั้นยาก

“ ไอ้โอ้ต มึงนี่เรื่องมากเจงๆเลย นวดยามันก็ปวดหน่อยดิวะ ไม่ทนแบบนี้มันจะหายมั้ยเนี่ย ”
ว่าแล้วมันก็ทำท่าจะเข้ามาทำผมอีก

“ นี่ มึงไม่ต้องเข้ามาเลยนะ ” ผมถอยตัวหนีมัน ...

“ มึงจะหนีกูทำไมวะ กูไม่ได้จับมึงปล้ำนะว้อย ” มันพูดทีเล่นทีจริง

“ สัดนี่ กูก็ไม่ได้คิดแบบนั้น ” ผมบอก

“ อ้อ กูรู้แล้ว มึงจะเก็บรอยช้ำในไปให้เมียมึงนวดใช่ป่ะ หึหึ แล้วก็ไม่บอกกู ” ไอ้ปิงแซว

“ เมียป๊ะ มึงดิ เดี๋ยวกูต่อยลืมเตี้ยเลย ” ผมขู่ไปแบบนั้นแหละ ถ้าต่อยจริงๆผมคงแพ้ เพราะถึงปิงมันเตี้ย
กว่าผมก็ไม่มาก

“ กูบอกว่ากูไม่ได้ชอบมัน มึงก็ไม่เชื่อกู ”

ไอ้ปิงเข้ามานั่งกอดคอผม

“ อ้าว ก็ไม่เห็นมึงจะปฏิเสธเค้านี่หว่า ”

“ มึงก็รู้ว่ากูปฏิเสธคนไม่เป็น จะให้กูทำไงล่ะ ” พูดเสร็จผมก็นั่งเงียบ เค้าที่ผมกับปิงพูดถึงอยู่นี่
คือเพื่อนที่อยู่อีกห้องนึง แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน พึ่งมาบอกชอบผมทำเอาโดนแซวไปทั้งวัน จากวันนั้น
ผู้หญิงที่ชื่อ เมย์ ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งที่ผมออกจะรำคาญด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังทำตัวเฉยๆ
เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยหวังว่า ท่าทีที่เฉยเมยจะทำให้คุณเธอเลิกตามซะที

“ โอ้ต มึงทำไม่เป็น มึงก็ต้องหัดทำ เรื่องแบบนี้ ถ้าปล่อยไว้มันจะเข้าใจผิดไปเรื่อยๆนะ
ว่ามึงก็ชอบมันจริงๆ ”

“ กูรู้ แต่ ..... ” ผมพูดอะไรไม่ออก ไอ้ปิงดูเหมือนจะรู้ว่าผมคิดยังไง รู้ว่าผมไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ
ความรู้สึกดีๆ ของคนๆนึงไป

เสียงปิงถอนหายใจ

“ ถ้างั้นมึงก็คิดซะว่า รักคนที่เค้ารักเรา อะดีที่สุด ” ไอ้ปิงว่า

“ถ้าเค้ารักมึงจริง ไม่นานเวลาจะทำให้มึงรักเค้าเองล่ะ ” ไอ้ปิงบอก ผมแปลกใจจริงๆที่วันนี้มัน
พูดซะเน่าแบบนี้

“ปิง มึงคิดว่าเวลา ทำให้ความรู้สึกคนเปลี่ยนได้เหรอ ?”

“กูก็ไม่รู้ … ”

“ รักเค้าข้างเดียว มันเจ็บปวดนะเว้ย ” มันพูดแล้วยิ้มให้ผม “ เพราะฉะนั้น มึงพยายามอย่า
ให้ใครรักมึงข้างเดียวมากไปกว่านี้ เข้าใจป่ะ ”

ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่มันพูดมากนัก แต่ก็รับคำมันไว้

“ เออ มึงพูดให้กูฟังอีกทีได้ป่าว แบบแปลไทยเป็นไทยอะมึง กูยังไม่ค่อยเข้าใจ ” ผมถาม

“ กูไม่พูดแล้ว ของดีมีหนเดียวเว้ย ” มันพูดแบบฉุนๆใส่ แล้วก็ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ เออ ขอบใจหว่ะ ที่แนะนำกู เวลากูมีปัญหาก็มีแต่มึง ที่อยู่ข้างๆกู ” ผมพูดแบบซาบซึ้งสุดๆ

“ มึงพูดอะไรนะ เมื่อกี้กูใส่เสื้ออยู่ฟังไม่ถนัด ” มันถาม

“ ของดีมีหนเดียวเหมือนกันโว้ย ” ผมแกล้งมันคืน

“ ปากดีนะมึงเนี่ย เดี๋ยวกู .... ” มันเอาข้อมือปิดปากไว้ทัน เลยไม่ได้ยินที่มันพูดเมื่อกี้

“ อะไร ปากกูดีแล้วจะทำไรกู ”

“ จะต่อยปากมึงไง ไอ้เชี่ย ” ว่าแล้วมันก็วิ่งไล่จะต่อยผม ผมก็วิ่งหนีซิครับ ใครจะยืนอยู่ให้ต่อยล่ะ ...

* * * * * * * * * * * *

รุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้าด้วยอาการเพลียสุดขีด พร้อมกับรอยฟกช้ำ มันปวดไปหมดทั้งตัวเลย 

โอ้ยย !? ผมพยายามก้าวขาออกจากเตียง ชาตินี้จะไม่เล่นบาสแบบซาดิสแล้ว

วันนี้กว่าผมจะอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ เรียกได้ว่าระบมไปทั้งตัว ช่างเป็นเช้าที่รันทดอย่างแรง
แน่นอนสภาพร่างกาย ความเพลีย ทำให้ผมนั่งรถเกือบเลยโรงเรียนซะงั้นล่ะ

“มาสายอีกแล้วเหรอเรา ”อาจารย์เวรทักผม

ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนเดินไปเซ็นชื่อมาสาย และไหนๆก็เข้าคาบ 1 ไม่ทันแล้ว ผมก็เลยถือโอกาส
โดดซะเลย โดยไปนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุด สวรรค์น้อยๆของผม ไม่มีที่ไหนในโรงเรียนที่ผม
จะชอบเท่าห้องนี้ ไม่ใช่เพราะมีหนังสือเยอะอย่างเดียวหรอก มันมีแอร์ และที่สำคัญมันเงียบ
ด้วย ผมชอบที่เงียบๆครับ เพราะมันช่วยทำให้ผมคิดอะไรอะไรได้หลายอย่าง ได้กลับมามอง
ตัวเอง แต่ที่สำคัญวันนี้ผมมาเพื่องีบหลับโดยเฉพาะฮะ ^^; เพลียมาก

แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยรีบเดินไปตามล็อกเก็บหนังสือ

ผมมองหาหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านอยู่บ่อยๆ ผมวางไว้ชั้นในสุด เพื่อที่คนอื่นจะได้หา
ไม่เจอ ฮ่ะ ฮ่ะ

“ อยู่นี่เอง ” ผมเอามือปัดฝุ่นที่หนังสือ เนื่องอ่านตั้งแต่ม. 3 ผ่านตั้งเทอมนึง แต่ก็ยังอ่านไม่จบซะที...

ว่าแล้วผมก็ไปนั่งที่โต๊ะว่าง พร้อมกับเปิดหนังสืออ่าน ไม่ทันไร ด้วยความเพลียหรืออะไรก็ตาม
ตาผมชักหรี่ลง หรี่ลง แล้วก็ปิดในที่สุด

………..ZzzzzzzzzzzzzzzzzzzzZzzzzzzzzzzzzzzzzz

………………………Zzzzzzzzzzzzzzzz

พลั๊กก ... !??

อุ๊ก !!

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองไปนอนกองอยู่บนพื้นห้อง

“ อะไรวะเนี่ย ” ความสะลึมสลือ ทำให้มองไม่เห็นไอ้ตัวการที่มันดันผมให้ตกจากเก้าอี้

“ 5 5 5 มึงหาใครอยู่เหรอ ” ไอ้เชี่ยเต้ยนี่เอง

“ ทำอะไรของนายวะ ” ผมพูดด้วยความโกรธ ปนง่วง

“ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เข้ามาก็เห็นมึงกองอยู่บนพื้นแล้วนะ อย่าโทษกันเด๊ะ
มันไม่มีหลักฐานว่ากูทำมึงนะ ” ไอ้เต้ยตอบทำหน้ากวนตีน

ในเมื่อมาไม้นี้ ผมก็เถียงมันไม่ออก แต่ทำเสียงฮึดฮัดเดินออกจากห้องสมุดไป
โดยผมเห็นไอ้เต้ยมันก็เดินตามออกมาด้วย

“ ตามมาทำไม ”ผมถาม

“ ใครตามวะ จะไปโรงอาหารต่างหาก ถอยๆ ” ว่าแล้วมันก็เดินมาผลักอกผมให้หลีกทาง
กวนตีนจริงๆ แม่งเอ้ย ซักวัน ซักวัน !!!

ปิ้ง ป่อง ปอง ป่อง ป่อง ปอง ป้อง ป่อง

อ่า เสียงออดเข้าคาบ 2 ซะที ผมรีบเดินหิ้วกระเป๋าเข้าห้องเรียนด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด

“ ไง โดดไปไหนวะ แต่เช้า ” ไอ้ปิงเข้ามาทักผม

“ ไปหาที่งีบมาหว่ะ แต่ดวงซวยเจอหมาเข้า ” ผมบอกเพื่อนเกลอ

“ ใครวะ ”

“ มึงรู้จักไอ้เต้ยที่อยู่ห้อง 9 ป่าวล่ะ วันก่อนกูไปมองหน้ามันเท่านั้นแหละ
จากนั้นมันก็ตามมารังควานกูตลอดเลย ซวย ”

ปิงหัวเราะ “ เออ เพื่อนกูเองแหละ ”

ได้ยินดังนั้นผมก็ทำหน้าเหวอ

“ อ้อ มึงคบคนแบบนี้เหรอ จะได้รู้ไว้ ” ผมกัด

“ เฮ้ย มันก็ไม่มีอะไรหรอก วันๆก็กวนตีนเค้าไปเรื่อยเปื่อยอะ แต่เนื้อแท้มันเป็นคนดีนะ
เออ กูหมายถึงว่า อย่างน้อยที่สุดอะ น้อยยยย น้อยมั๊กมากกก” ไอ้ปิงเหมือนจะปกป้องเพื่อน

“ เออ ช่างมึงเหอะ แต่กูดูจากการกระทำของมันที่ทำกะกู มากกว่าฟังจากคนอื่นหว่ะ
ว่ามันเป็นคนยังไง ” ผมบอก

“ อ้าว แล้วมึงเห็นกูเป็นคนอื่นเหรอไง ”ไอ้ปิงถามผมอย่างฉุนๆ

“ แหม มึงก็รู้ว่า กูไม่ได้หมายความว่ายังงั้นซะหน่อย มึงอะ เพื่อน LOVE กูเลยนะ ”
ผมค่อนขอด

“ พอเหอะ กูรู้ว่ากูอะ ไม่สำคัญเท่าน้องเมย์ อะไรนั่นของมึงหรอก ไม่ต้องมาชื่นชมให้เปลืองน้ำลาย ”

“ไอ้นี่ พูดเรื่องนี้อีกแล้ว ” ผมว่ามัน แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของชื่อก็เดินเข้ามาหาเราทั้งสอง

ไอ้ปิงกระซิบกับผม “ แม่-ง ... ตายยาก แค่พูดชื่อก็มาเลย ไม่ต้องจุดธูปเชิญ ”

“ ไอ้ปิง แกนินทาไรชั้นยะ ” เมย์เดินเข้ามาพูดกับเพื่อนผม

ผมยิ้ม แล้วกำลังจะบอก แต่ไอ้ปิงเอามือมาอุดปากผมไว้ “ ป่าว ไม่ได้นินทาไร
เลยนะเจ๊ ”

“ อ้าว นายก็ไปดิ ช้านมีเรื่องคุยกับโอ้ต ” ว่าแล้วเธอก็ทำท่ากระมิดกระเมี้ยน ซึ่งผมไม่รู้เป็นอะไร
เวลาที่เมย์ชอบพูดยานคาง มันทำให้รู้สึก รู้สึก …..

“ มีอะไรจะคุยกะเราเหรอ ” ผมถาม

“ โอ้ตจะไป English Camp ด้วยกันป่าว เมย์อยากให้โอ้ตไปนะ จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน ”

“ อืม ” ผมทำท่าเกาหัว “ ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้คิดอะไรเลยเนี่ย แต่ก็คง ... ”

ผมกำลังจะบอกว่าคงไม่ไป แต่น้องเมย์เค้าส่งสายตารัญจวนใส่ซะก่อน จึงพูดอะไรไม่ออก

“ ก็ ... คงคิดอีกทีนะ ” ผมกระออมกระแอมตอบ

“ ฮู้ย ไปนะโอ้ต เมย์อยากให้โอ้ตไปด้วยจริงๆอะ” เมย์ยังคงอ้อนวอนผม

“ เราว่า ค่อยคุยกันอีกทีดีป่าว เดี๋ยวเราเข้าเรียนไม่ทันนะ วิชาลีลาศด้วย ” ผมบอก
เพราะวันนี้ดูเหมือนจะท่ายาก

“ ก็ได้ๆ แต่สัญญานะว่าจะไป” เมย์รวบรัด (ฆ่า) ตัดตอน

“ อืมๆ” ผมตอบแบบขอไปที พลางเดินจะเข้าห้อง

“ไอ้โอ้ต เร็วๆ จารย์ มาแล้ว” ปิงวิ่งมาบอกผม เมย์ก็เดินมาคล้องแขนผม ตอนนั้นไม่รู้ทำไม
ใจผมก็ไม่อยากให้ปิงมาเห็นภาพผมกะเมย์ควงกันอยู่เลย ผมเลยดันมือเค้าออกไป จนเมย์
ทำหน้าไม่พอใจ

แล้วนี่คาบว่างเหรอ ผมถาม

ก็ป่าว แต่เมย์อยากเห็นโอ้ตเต้นลีลาศ เธอพูดพลางยิ้มเฉ่ง

-ไม่นะ- ผมคิดในใจ

เราว่าไปเรียนเหอะ เราไม่ชอบคนชอบโดดเรียน ผมว่า ไม่ได้นึกถึงตัวเองว่าตอนเช้ากูก็พึ่งกระทำการณ์นั้นมาหยกๆ

เมย์ทำหน้างอยิ่งกว่าเดิม แล้วก็เดินบิดจากผมไป

“ อ้าวทำไมพูดกับเค้าแบบนั้นละ ” ไอ้ปิงถามผม “เด๋วเค้าเสียใจนะ”

“ กู ไม่ชอบ ” ผมหันไปบอกไอ้ปิงด้วยน้ำเสียงโกรธๆ เหมือนกะว่า มึงนี่ไม่เข้าใจความรู้สึกกูเลยนะ

“ เอ้าๆๆๆๆ เข้าแถว จัดแถวเป็นวงกลมนะ ผู้ชายอยู่วงนอก ผู้หญิงอยู่วงใน” เสียงอาจารย์ตะโกนด้วยเสียง
แปดหลอด และด้วยความที่มีผู้ชายมากเกินไป ทำให้ไอ้ปิงต้องไปอยู่วงใน

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ

หัวเราะเหี้ยไร

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ ทำไมกูต้องอยู่ข้างในด้วยวะ โอ้ตเปลี่ยนที่กะกูที ”

“ ไม่เอา กูเต้นแบบผู้หญิงไม่เป็นนี่หว่า” ผมว่า “เอาน่า หมดคาบนี้ไป ก็รอดแล้ว” ผมล้อมัน

“ จำไว้นะมึง ” ไอ้ปิงบ่นกระปอดกระแปด แล้วยืนก้มหน้ารับกรรม ...ที่มันล้อผมไว้ตะกี้

“เอ้า ตรงนั้นนะ เข้าที่” จารย์บอก พลางตบมือให้จังหวะเปิดเพลง

(ถ้าอยากฟังเพลงโปรดก๊อปไป url ดังกล่าวไปวางหน้าต่างใหม่นะครับ www.swn.ac.th/ost.swf )

ปิงมันค่อยๆเลื่อนมือมาแตะไว้ที่บ่า ส่วนผมก็เอามือไปวางไว้ที่เอวมัน ฮ่ะ ฮ่ะ ตลกดี

ก่อนที่เราสองคนเอามือที่ว่างอยู่จับเข้าหากัน สายตาของผมกับปิงก็มาชนกันอย่างช่วยไม่ได้

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #19 เมื่อ23-10-2006 05:08:52 »

“ เฮ้ย !! อย่าเกาะกูแบบนั้นปิง” ผมบอกมันพร้อมทำท่าจักกระเดี๋ยม  

“ คิดว่าอยากเกาะมึงเหรอไง ” มันว่า พลางพาหมุนตัวนึงรอบ

“ เป็นไง กูเต้นใช้ได้ม่ะ ” มันชมตัวเอง

“ โห มึงเต้นเป็นหญิงได้เก่งมากเลย ” ผมกระซิบใกล้ๆหูมันในระหว่างเต้น

“เด๋วจะโดนใช่น้อย ไอ้โอ้ต” มันว่า ทำหน้าแดง พอดีกับเสียงเพลงหยุดลงพอดี

“ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน อาทิตย์หน้าจับคู่กันมาเลยนะ จะสอบแล้ว ” อาจารย์บอก
พวกเราก่อนจะปล่อยหมดคาบ

“ วันนี้ซวยชิบเป๋ง ” ปิงมันบ่นงึมงำ

“ กูนึกว่ามึงจะชอบซะอีก ” ผมแซวมันอารมณ์ครื้นเครง

“ เหม่ มึงทำพูดดี …. เออ ว่าแต่ มึงจะไปแคมป์ป่ะ ”

“ ยังไม่รู้ มันอีกนาน ตั้งเทอมหน้าโน่น ” ผมบอก

* * * * * * * * * * * *

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นวิกฤติการณ์ทางการสอบของเทอม 1 ผ่านไปได้อย่าง
หวุดหวิด โดยมีไอ้ปิงได้คะแนนเกือบรั้งท้ายเพื่อน ผมก็ถือโอกาสเตือนมันเป็นครั้งที่
100 กว่าๆ  

“ มึงควรจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้นะเว้ย ” ผมเฝ้าเตือนมันตั้งแต่ก่อนสอบ จนเปิด
เทอมใหม่แล้ว ก็ยังพูดอยู่คำเดิม

“ กูจะพยายาม ” แล้วมันก็พูดประโยคเดิมเหมือนเมื่อเทอมที่แล้วเด๊ะ

สิ่งที่แปลกไปของเทอมนี้ นอกจากอากาศที่หนาวเย็นเร็วกว่าปกติแล้ว ยังมีอาจารย์ปกครอง
คนใหม่เข้ามาคนหนึ่ง ซึ่งจากนี้ไป อาจารย์สุดโหดคนนี้จะทำให้ชีวิตของนักเรียนที่แสนสงบสุข ….
เปลี่ยนไป

“ กูไม่ชอบรองฯปกครองคนใหม่เลยฟระ โอ้ต - -”

“เค้าทำอะไรมึงเหรอ ? ”

“ตั้งแต่เข้ามาก็ออกกฎบ้าบออะไรเยอะแยะ ชอบสั่งโน่นสั่งนี่”

“เค้ามาใช้มึงเหรอไง ? ”

“อะไรวะ โอ้ต … มึงไม่เข้าข้างเลยนี่หว่า” เสียงมันชักฉุน ผมพอจะรู้สาเหตุที่ปิงมันไม่ค่อย
ชอบรองฯคนใหม่ เพราะว่าเค้าจะทำโทษคนมาสายด้วยการให้ใส่เหมือนเสื้อวินมอไซต์ แล้วก็ติด
ป้าย “ผมมาสาย” บำเพ็ญประโยชน์ทั่วโรงเรียนในคาบแรก แล้วไอ้ปิงก็เป็นพวกเจ้าชายสาย
เสมอน่ะซิ …

“มึงก็หัดมาให้เร็วๆซิ จะได้ไม่ต้องใส่เสื้อวิน” ผมพูดขำๆ

“เออ ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอก” มันพูดแก้ตัว เพื่อนๆกูนะ ก็บ่นไม่ชอบยายนี่ทุกคนล่ะ

อ๋อ สงสัยเพื่อนแสนดีทีทำแหกกฎโรงเรียนทุกข้ออะไรพวกนี้ป่าว ผมพูดประชดแรงไปนิด
จนดูปิงมันหน้าเจือนไปเล็กน้อย

“ แล้วมันคือเพื่อนพวกไหนหว่า ? ” ผมก็ถึงบางอ้อว่า ตอนที่ผมกำลังว่าเมื่อกี้นี้ พวกไอ้เต้ย
มันเดินมาด้านหลังพอดี แล้วก็คงได้ยินที่ผมพูดนั่นล่ะ แล้วดูท่าทางมันจะรู้ว่าผมกำลังจะว่ามัน

“ ก็พวกมึ - - โอ้ย ” ผมร้อง เพราะไอ้ปิงเอาฝ่าเท้ามาเหยียบเต็มแรง

“ พวกโน้น ” ไอ้ปิงมันทำท่าชี้นกชี้ไม้

“ก็ … แล้วไป ” ไอ้เต้ยบอก แต่สายตามันยังคงแสดงความเคืองอยู่ ผมก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ
มันนิดหน่อย ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกไป แต่ปิงกะไอ้เต้ย มันก็ยังคุยอะไรกันอยู่

“ เฮ้ย ปิง เข้าคาบมานานแล้วนะมึง รีบไปเหอะ เดี๋ยวโดน ” ผมเร่ง

“ เออๆ รอแป้บ กูคุยกับมันก่อน ” แล้วมันก็เดินไป ซุบซิบกันไป ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า
มันคุยไรกัน แต่ไว้ค่อยถามไอ้ปิงทีหลัง แต่ …

“ เธอ 3 คนตรงนั้นน่ะ ทำไมไม่เข้าห้องเรียน มานี่ซิ ” เสียงอาจารย์ที่ผมไม่ค่อยคุ้นหูนัก
(เพราะไม่ค่อยมีเรื่องอะไรกะแก) แต่เหมือนว่าไอ้เต้ยกับปิงจะรู้จักดี พวกเราหันกลับมาต้นเสียง
เจออาจารย์หญิงคนนึง เจ๊อาจารย์คนใหม่นั่นเอง ซวยแล้วผม

“ พวกเธอรู้มั้ย นี่มันคาบอะไรแล้ว และที่สำคัญที่โรงเรียนนี้ ไม่อนุญาตให้เด็กทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย
ออกมาเดินเรี่ยราด โดยเฉพาะตอนเข้าคาบเรียนแล้ว ” เธอพูดต่อไปด้วยเสียงอันแหลมปี้ด จนผมชัก
รู้สึกรำคาญ

ดูเหมือนไอ้เต้ยจะไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไรกับคำพูดของเจ๊แก ผิดกับผมกะไอ้ปิงที่ยืนก้มหน้านิ่งฟัง
คำเทศนา จนเหมือนว่าจะสะใจแล้ว

“ ถ้าชั้นยังเห็นว่าพวกเธอยังยืนยืนด้อมๆมองๆอะไรในขณะที่คนอื่นเค้าเรียนหนังสือกันอยู่นะ ได้เจอ
กันแน่เสียเวลามากพอแล้ว ไป - - ”

“ ก็ที่เสียเวลาเพราะต้องฟังใครบ่นล่ะ ” เต้ยพูดแทรกขึ้นมาในประโยคสุดท้าย จนผมรู้สึกว่ามันเป็น
การราดน้ำมันบนกองไฟชัดๆ

อาจารย์คนใหม่อี้งไปพักนึง รวมทั้งผมกับปิงด้วย เพราะว่านอกจากเถียงเค้าไปแล้ว ไอ้เต้ยมันยังจ้องหน้า
อาจารย์เค้าแบบท้าทายอีกต่างหาก

แบบนี้มันโยนระเบิดแถมขี้เข้าไปด้วยนี่หว่า ?

“ ไอ้ – ตู๊ดๆ - เมื่อวานสิ่งที่สั่งสอนไปที่ห้องปกครอง คงจะไม่ได้แทรกซึมลงสมองเลยซิ ” อาจารย์
ตะโกนด้วยความโกรธลั่นถนน พลางหันมาทางผมสองคน

“ เธอสองคนไปได้แล้ว - - - ส่วนเธอ ตามไปห้องปกครอง เดี๋ยวนี้ .. ”
พูดเสร็จก็เดินหันหลังเข้าห้องไป

“ มึงไม่น่าพูดแบบนั้นกับเค้า ” ปิงบอกเต้ยที่ยังทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ โดนแบบนี้ยังทำหน้าแบบนั้นอีกนะ ” ผมพูดลอยๆ แต่ดูท่าทางมันจะสนใจ

“ ทำไมล่ะ กูพูดเรื่องจริงมั้ยล่ะ ถ้าเค้าไม่มัวบ่นยืดอยู่แบบนี้ ก็ได้เข้าเรียนกันแล้ว ”
มันพูดกับไอ้ปิงเสร็จ แล้วก็หันมาทางผม

“ ที่พูดแบบนั้น เป็นห่วงเหรอ ” มันทำหน้าแบบกวนตีนใส่ผมอีก พลางเดินกะหย่อง
กระแหย่งไปที่ตึกเรียน

“ อ้าว ไอ้เต้ย ห้องปกครองอยู่ทางนี้ ” ปิงเตือน

ไอ้เต้ยหันมาทางผมสองคน แล้วเอามือแตะปาก เชิงให้พวกผมเงียบไว้ แล้วจะดีเอง

วันรุ่งขึ้นไม่แปลกที่ผมจะได้ยินเสียงเรียกไอ้เต้ยตามระเบียบ ระหว่างทำกิจกรรมเคารพธงชาติ
และก็เห็นไอ้แสบเดินเข้าไปที่ห้องปกครอง โดยมี อาจารย์ใหม่ เดินยิ้มอย่างมีชัยตามหลังไป

“ กูไม่ชอบขี้หน้าวะ ” ไอ้ปิงบอกกับผม ขณะที่เรากำลังเดินเข้าเรียน

รู้มั้ย ยายป้านั่นเค้าจะยุบชมรมยูโดแล้วด้วย ” ไอ้ปิงทำหน้านิ่ว

“ เอ๋ .. !? ทำไม ”

“ เพราะเค้ารู้ว่าไอ้เต้ย มันเป็นรองฯชมรมอะดิ - - หยุดทำหน้าประหลาดใจแบบนั้นซะ
ทีเถอะ ขอที” ไอ้ปิงบอกผม

“ ไอ้เต้ยเนี่ยนะ” ผมถาม

“ อืมดิ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับว่า มีสติปัญญาอย่างเดียวนี่หว่า เค้าดูที่ความสามารถ”
ไอ้ปิงบ่นใส่ผม

“ เหรอ ” ผมว่าอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร “ ยุบก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ”

ไอ้ปิงหันมาหาผมด้วยสีหน้าโกรธๆ “ มึงจำไม่ได้ใช่ม่ะ … กูก็อยู่ชมรมนี้ด้วย (โว้ย) ”

แล้ววันนั้นทั้งวัน มันไม่เข้ามาคุยกับผมอีกเลย …

* * * * * * * * * * * *

“ โอ้ต เนี่ยเค้าให้ไปลงชื่อคนที่จะไปแคมป์กันแล้วนะ ” เมย์เดินมาบอกผม ตั้งแต่ปล่อยแถว
วันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้ลงชื่อไปแคมป์ที่ประจวบฯ

ผมทำสีหน้าอ้ำอึ้งเล็กน้อย แล้วหันไปมองเพื่อนรัก ที่ทำหน้าตาว่า ไปเหอะ

“ ขอเราคิดดูอีกหน่อยได้มั้ย ” ผมว่า สีหน้าแสดงถึงความไม่อยากไปที่สุด

“ ไม่ได้แล้วโอ้ต” เธอแห้วใส่ผม รอนานกว่านี้ เดี๋ยวคนก็เต็มกันพอดี

“ โอ้ตสัญญากับเราไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไปด้วย” เธอทำเสียงอ่อน จนผมเห็นว่าไม่มี
ทางเลี่ยง

“ไปก็ไป ” ผมพูดแบบสั่วๆ “ แต่มึงต้องไปกะกูด้วยนะไอ้ปิง” ผมรีบหันไปลากมันมา

ไอ้ปิงทำหน้าตาเหลอหลาชี้มือไปที่หน้ามัน

“ เกี่ยวไรกะกูอะ กูไม่ได้อยาก - - ” ผมรีบเอามือไปอุดปาก พลางบอกเมย์

“ งั้นเมย์ไปใส่ชื่อเรา กะปิงได้เลยนะ ” ผมบอกพร้อมกับกดล็อกคอไอ้ปิง ไม่ให้พูดอะไรไปพลาง

เมย์ดูท่าทางหน้างอนิดหน่อย เพราะเธอคงไม่อยากให้เพื่อนผมไปด้วยเท่าไร แต่ก็ทำตามที่บอก
เมื่อผมยืนยันว่า จะไม่ไปไหนถ้าไอ้ปิงไม่ไปกับผมด้วย

“ มึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยมีตังค์ ” ไอ้ปิงแห้วใส่ผม “แล้วกูต้องอ่านหนังสืออีกนะ ”

“ มึงตอแหลมาก คิดเหรอว่าจะมีใครเชื่อว่ามึงจะอ่านหนังสือ” ผมบ่นกับมัน “ ถ้ากูไปกูก็ต้อง
ไปนอนกะไอ้คนไม่สนิทดิ กูไม่ชอบ”

“ มึงก็นอนคนเดียวดิ เดี๋ยวเมย์มันมุดเข้าเต้นมึง กูขี้เกียจออกไปนอนที่อื่น”

“ มุดป้ามึงดิ ” ผมชักเคืองที่มันล้อผมกับเมย์บ่อยไปแล้ว

“ ไปคราวนี้ กูจะบอกเมย์ว่ากูไม่ได้ชอบเค้า ” ผมบอกด้วยความมาดมั่น

ไอ้ปิงผิวปากเบาๆ แล้วพูดเหมือนกับคำว่า แล้วกูจะคอยดู

เหมือนกับว่าวันเวลาที่ไม่อยากให้มันถึง มันมักถึงก่อนที่เราจะรู้ตัวเสมอ วันก่อนออกเดินทางไป
แคมป์ ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็ก เพราะยังไม่ได้เตรียมข้าวของอะไรเลย ไอ้ปิงซะอีกที่ดูเหมือนจะ
เตรียมพร้อมกว่าผม จนเมื่อผมพูดว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย พร้อมกับถามมันว่าจะเอาอะไรไปดี
มันก็ทำหน้าปั้นยาก พร้อมกับจดอะไร
ขยุกขยุกใส่มือผม ผมตั้งหน้าอ่าน

“ มึงจะให้กูเอาถุงยางไปทำไมวะ ” ผมบอกอย่างเคืองๆ

“ เอากันไปไว้ก่อนไงมึง เผื่อว่ามันจะมีอะไร - - ”

“ มันไม่มีอะไรทั้งนั้นละ ” ผมพูดตัดบท

“ มึงไม่เอาไป แต่กูเอาไปนะ เผื่อฟลุค แล้วไงเจอกันพรุ่งนี้ ”

“ เออ …” ผมว่า

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนด้วยความเพลียจัด อาจเป็นเพราะผมเกือบไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน
เพราะมัวแต่กังวลอะไรบ้าบอ ซึ่งเป็นนิสัยผมก่อนจะเดินทางไปไหนเสมอๆ

“แม่ผมไปนะครับ” ผมพูดพลางยกมือไหว้

“ไปไหว้คุณท่านบนเรือนก่อนไปนะโอ้ต ”

“ครับ” ผมรับคำ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเรือนใหญ่ กว่าจะได้รับการประสาตพรเสร็จก็นานโข

พอมาถึงโรงเรียนปั๊บ ก็ต้องขึ้นเรียนก่อนครับ เพราะว่ารถไฟจะออกตอนเที่ยง ตอนเช้าว่าง ก็เลย
ต้องให้ขึ้นเรียน ทั้งหมดทั้งมวลเป็นคำสั่งการของเจ๊รองฯปกครองนั่นแหละ

ถึงเวลาเที่ยง ก็มีประกาศให้นักเรียนที่จะไปเข้าค่ายลงมาเข้าแถว เพื่อเตรียมตัว เดิน ไปที่สถานีรถไฟ
พูดไม่ผิดหรอกครับ เดินไปจริงๆ หนนี้เราเดินทางโดยรถไฟ เพราะว่ามันสะดวกกว่า แล้วก็ได้
อรรรสด้วยครับ ส่วนสถานีรถไฟกับโรงเรียน ก็ไม่ห่างกันมากมาย ประมาณ กิโล สองกิโล ส่วน
ไอ้ปิงมันโดดคาบเช้า พึ่งเดินหอบของเข้ามาในโรงเรียนกับไอ้เต้ย เพื่อมาเช็คชื่อก่อน

“ นี่ไปแค่ 2 คืนนะ มึงจะย้ายบ้านเหรอ ” ไอ้ปิงแซวผมเมื่อเห็นผมหิ้วของเยอะกว่ามัน
นิดหน่อยเอง

“ ถ้ามึงหนาว ไม่ต้องมาขอผ้าห่มกูเลยนะ ” ผมชักสีหน้า

ตุ๊บบบบบ

มีใครมาตบหลังผมอย่างแรง จนต้องงหันกลับไปกำลังจะซักหมัด

“ดี จะย้ายบ้านไปอยู่ประจวบฯเหรอไง ” ไอ้ – เต้ย – เข้ามาทักผม โอ้ว นี่ผมอุตสาห์มาเที่ยว
ต่างจังหวัดแล้ว
มันยังตามมาราวีไปด้วยเหรอเนี่ย !?

หึหึ มันหัวเราะพอใจในท่าที

รองฯ ก็ไปด้วยนะเฟ้ย มันว่าพลางชี้นิ้วไปที่เด็กนักเรียนที่กำลังแบกสัมภาระมากมายของรองฯ
ปกครองขึ้นรถ (รองฯมีรถของโรงเรียนไปส่งที่สถานี) ก่อนท่านจะก้าวขึ้นบนรถ ก็กล่าวโอวาท
ซักเล็กน้อย

“ หวังว่า พวกเจ้าปัญหาทั้งหลาย คงไม่ก่อเรื่องอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอีกล่ะ ไม่อย่างนั้น …. ”
เธอเว้นช่วงทีนึง

“ จะโทษว่าโหดร้ายไม่ได้นะ ” พูดเสร็จก็หันหลังกลับไป ไอ้เต้ยทำท่าเหมือนจะแกล้งถีบหลัง แต่เมื่อ
ท่านรู้สึกผิดปกติ หันกลับมา ไอ้เต้ยก็กลับไปในท่าเตรียมพร้อมเหมือนเดิมเรียบร้อย

เราใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการเดินไปที่สถานี รวมถึงจัดแถวเพื่อเตรียมรอขบวนรถไฟที่กำลังจะมาถึง
เมื่อเด็กนักเรียนขึ้นรถไฟด้วยความรีบร้อนเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินทาง จากอำเภอเมือง ผ่านอำเภอ
ต่างๆของจังหวัด ผ่านชะอำบ้านผม แล้วก็เรื่อยมาจนถึงสถานีหัวหิน … สถานีนี้เอง พวกผมเกือบตกรถไฟ
เพราะรีบสั่งผัดไท แล้วยื่นตัวออกนอกรถขณะเริ่มแล่น

“ เกือบตายแล้วมั้ยกู เพราะความอยากกินแท้ๆ - - ไอ้เต้ย มึงไม่ต้องมาแย่งกูเลย ” ปิงว่าพลาง
ถองไอ้เต้ยไปไกลๆ ผัดไท

สนิทกันจังนะพวกมึงเนี่ย ผมคิดในใจ หูก็ฟังซาวอเบ้าส์ที่เอาด้วย สายตาก็ทำทีมองออกไปทาง
หน้าต่างรถ พอเห็นพวกมันคุยเล่นหัวอะไรกันเฮฮา ก็อดอยากจะร่วมแจมไม่ได้ ถ้าไม่มีไอ้เต้ยล่ะ
ก็ ……

พอมาถึงสถานีนึง ก็มียายคนนึงเดินเข้ามาในตู้ของพวกผม

“ ยายๆ จะไปไหนเหรอครับ ” ผมถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นแกเริ่มกระวนกระวาย

จนเมื่อรู้ว่ายายผู้น่าสงสารขึ้นรถขบวนผิด โชคยังดีที่รถยังไม่ออก เพียงแต่ยังหาตู้ที่จะต้องขึ้น
นั้นไม่เจอ

“ ยาย เดี๋ยวไปกับผมดีกว่า ” เต้ยว่า พลางลุกขึ้นจูงเหมือนหิ้วยายลงจากขบวน

“ เฮ้ย ไอ้เต้ย รถไฟจะออกแล้วนะเว้ย ” ไอ้ปิงเตือน พลางทำหน้าไม่สบายใจ

“ เออ กูไปแป็บเดียว เด๋วมา มึงบอกอาจารย์ด้วยล่ะกัน ” ว่าแล้วก็เดินหายไปเลย

* * * * * * * * * * * *


ปู้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน .......  

เสียงหวูดรถไฟร้องออกมา พร้อมกับใจที่กระวนกระวายของผมสองคน (จริงๆก็คือไอ้ปิงคนเดียว)
ถ้ามันกลับมาไม่ทันจะทำยังไง ถ้าอาจารย์รู้เข้า ทั้งๆที่มีกฎไม่ให้นักเรียนลงจากรถไฟ อะไรจะเกิดขึ้น

“ โอ้ต กูว่ากูลงไปตามมันดีกว่า” ปิงมันทนไม่ได้พูดขึ้นมา พร้อมทำท่าจะลง

“ เฮ้ย อย่านะเว้ย “ ผมรีบห้าม “ ถ้าไปอีกคนแล้ว เกิดสวนกันจะว่าไงวะ รออยู่นี่แหละ ”

“ แต่ระ รถ ไฟมันจะออกแล้วนะ “ ปิงบอก “ อย่างน้อย กูว่าไปบอกอาจารย์ก่อนดีป่ะ เผื่อว่า - - ”

“ รู้สึกว่านักเรียนกลุ่มนี้จะก่อเรื่องอีกแล้วซินะ ” เสียงแหลมปี้ดดังขึ้นด้านหลังผม เป็นใครไปไม่ได้
นอกจาก เจ๊รองฯสุดโหด ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเค้าชอบมายุ่งกับพวกไอ้เต้ยนัก

“ ไหนว่ามาซิ ใครก่อเรื่องอะไร - - ”

“ ไม่มีใครก่อเรื่องอะไรเลยครับ ” ไอ้ปิงชิงพูดขึ้นก่อน คนอื่นๆที่อยู่ในตู้ก็พยักหน้าเป็นเชิงรู้กัน

สายตาอาจารย์หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด ว่าไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนผม พลางกวาดสายตาไปรอบตู้โดยสาร

“ นาย - ติ๊ด - ไม่อยู่ ” เธอพูดเสียงดัง เหมือนจะจ้องจับผิดไอ้เต้ยอยู่ก่อนแล้ว

“ มันไปไหน !? ” อาจารย์ถามย้ำ

พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ภายในตู้เกิดความตึงเครียดขึ้นทันที

“ เออ มันไปหาเพื่อนตู้อื่นครับ ” ผมบอก

“ไม่ได้แจ้งเหรอว่า ในระหว่างเดินทาง ไม่ให้ใครก็ตามย้ายก้นออกจากตู้ของตัวเอง ” ว่าพลาง
หันมามองผม ซึ่งกำลังจะอ้าปากเถียง “ หรือว่าเธอมีอะไรจะบอก “

“ เออ ... ไม่มีอะไรครับ ” ผมตอบ แต่สายตาผมยังคงจ้องมองเธอด้วยความโกรธ ผม
เชื่อว่าถ้าผมบอกความจริงว่าไอ้เต้ยพาคนแก่ที่พลัดหลงมาขึ้นตู้เราไปส่ง คงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่
จะไม่ให้อาจารย์ไร้เหตุผลคนนี้ลงโทษมัน

“ แล้วมันไปไหน ” อาจารย์หน้าคางคกยังคงถามย้ำ

“ ก็บอกว่าเค้าไปหาเพื่อนตู้อื่นไง - -” ผมตอบเสียงขุ่น “ - - ครับ”

อาจารย์มองหน้าผมที่ทำเสียงแบบนั้นใส่

“ เธอรู้มั้ยว่าการโกหก เพื่อปกป้องเพื่อนเนี่ย โทษที่ได้รับมันก็มากพอๆกันนะ ” เธอขู่

“ แต่ถ้าไม่ได้ทำ ทำไมผมต้องใส่ใจด้วยล่ะครับ ” ผมตอบ พลางรู้สึกไม่ค่อยเชื่อตัวเองที่กล้า
เถียงอาจารย์ไร้สาระคนนี้

“ ถูกต้องแล้วเพื่อนเอ๋ยยย .. ” เสียงไอ้เต้ยดังขึ้นมา พร้อมกับตัวมันกำลังเดินมาจากตู้ด้านหน้า

“ เห็นไหมครับ อาจารย์ บอกแล้วว่ามันไปตู้อื่นมา ” ไอ้ปิงพูดขึ้นสำทับ

“ ใครให้เธอเดินไปตู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ” เธอถามด้วยอารมณ์ออกจะโกรธๆ เมื่อรู้สึกว่า
ตนเองจนมุม

“ ก็จะขออนุญาตใครละครับ ก็ในตู้ก็มีแต่นักเรียน ไม่มีอาจารย์คุมซะหน่อย ” ไอ้เต้ยบอกเสียงใส

ริมฝีปากอาจารย์กลายเป็นเส้นบางๆ พร้อมกับถามคำถามสุดท้าย

“ แล้วเธอมีธุระจำเป็นอะไรถึงต้อง ฝ่าฝืนคำสั่ง !! ” เธอถามเสียงแหลมปี้ด เหมือนกับต้องการ
เอาความผิดให้ได้

“ ของส่วนตัวครับ ” ไอ้เต้ยตอบหน้ากวนตีน “ ผมคิดว่า อาจารย์คงเข้าใจคำว่า – ส่วนตัว-
นะครับ ”

ริมฝีปากอาจารย์บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ พร้อมกับความรู้สึกสะใจของนักเรียนที่ได้ยิน

“ แล้วเก็บคำตอบของแก ไปพูดให้หัวหน้าระดับฟังแล้วกัน ” ว่าพลางเดินลงส้น
กลับไป เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่ถึงขั้นเรียกนักเรียนว่า –แก- แต่ความ
รู้สึกสะใจในชัยชนะของพวกเราทำให้ไม่ได้แคร์หยาบคายคำนั้นเท่าไร

“ ยายเป็นไงมั่งไอ้เต้ย ” ปิงถาม

“ ส.บ.ม.ย.ห. กูระดับไหนแล้ว ” ไอ้เต้ยคุยโว

“ แล้วก็ทำให้คนอื่นเกือบเดือดร้อนด้วยนะ ” ผมบอก พลางเดินไปนั่ง

ไอ้เต้ยทำเป็นไม่ได้ยินที่ผมพูด พลางเดินไปคุยกับไอ้ปิง พร้อมกับหันมามองผมเป็นระยะๆ
เป็นอันแน่นอนแล้วว่า สิ่งที่ผมเถียงกับอาจารย์ไปเมื่อครู่นี้ ไอ้เต้ยมันได้ยินมาตลอด

ผมกลับมาคิดว่า กูไม่น่าไปปกป้องกันคนห่าแบบนี้เลย ให้ตายซิ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
« ตอบ #19 เมื่อ: 23-10-2006 05:08:52 »





ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #20 เมื่อ23-10-2006 05:09:21 »

**************************************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ ของสุเมธ  & เดอะปั๋ง
[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]
**************************************************************************************************

บรรยากาศกลับสู่ความสงบอีกครั้ง พร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ ที่เริ่มเคลื่อนที่ พาเราไปสู่จุดหมาย ...

“มึงสองคนอะ เคยฟันหญิงมามั่งป่ะ” อยู่ๆไอ้เต้ยก็พ่นคำถามไร้สาระออกมาให้ผมกับไอ้ปิงตอบ
ระหว่างที่เราสามคนกำลังนั่งรถไฟผ่านสถานีหัวหิน

“เหอะ มึงคิดไงถามแบบนี้วะ”

“ไม่มีอะไรจะคุยแล้วเหรอไง - - ” ผมกำลังจะแขวะมัน แต่ไอ้ปิงมันดันสะกิดผมไว้ก่อน

“กูยังไม่เคย” ไอ้ปิงบอก ส่วนผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“โห พวกมึงอะ อ่อนหว่ะ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน เหมือนจะโชว์พาวฯ “ม.ปลาย แล้วนะพวกมึงอะ
ยังจะเก็บความบริสุทธิ์กันไว้อีกเหรอวะ” ได้ทีมันรีบข่มใหญ่

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่ามึงลองมาแล้วอะดิ” ไอ้ปิงถามแบบอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

ไอ้เต้ยทำหน้าตากวนตีนแทนคำตอบ พลางยกนิ้วโป้งขึ้นมา “ครั้งแรกอะ หยั่งงี้เลยมึงเอ้ย .... ”

“มันยังไงวะ ไอ้หยั่งงี้ของมึงเนี่ย ”

“ไอ้เชี่ยปิง จะให้กูพูดได้ไง มึงต้องลองเองเว้ย มันถึงจะเข้าใจ”

“กูได้ยินมาว่า ครั้งแรกของผู้ชาย มันก็เจ็บเหมือนกัน แล้วมันจริงป่าววะ” ไอ้ปิงยังคงใคร่รู้ต่อ

“เฮ้ย จ่ง เจ็บห่าไร ไม่เห็นมันเจ็บไรเลย” ไอ้เต้ยตอบแบบอวดรู้ “กูอะ เสียวอย่างเดียวโว้ย”

“อ้าว เหรอวะ”

“เออ แต่กูเคยลองเสียวอีกแบบนะเว้ย มันส์กว่าอีกว่ะ” ไอ้เต้ยพูดพลางลูบมือไปมา จ้องหน้า
ไอ้ปิง

“อะไรวะที่มึงว่าเสียวกว่าเอาเมียมึงเนี่ย”

“ปิง มึงจะเอาคำพูดเพ้อเจ้อไปใส่หัวมึงทำไมวะ กูว่ามันตอแหลชัวว์” ผมด่ามัน

“อะไรนะ !! มึงว่ากูตอแหลเหรอเนี่ย” ไอ้เต้ยทำท่าจะเอาเรื่องผม

“มึงอิจฉากูใช่ม้า ... มึงไม่เคยเรื่องแบบนี้ เลยชอบจับผิดกูเนี่ย”

“กูไม่เคยคิดจะยุ่งเรื่องของมึงเลยนะ” คราวนี้ผมลุกไปยืนประจันหน้ากับมันบ้าง
(เอาซิมึง กูก็สู้คนนะ)

“เฮ้ย พวกมึงสองคนอะ จะทะเลาะกันทำซากไรวะ เพื่อนกันทั้งนั้น” ไอ้ปิงเป็นกรรมการ
แยกเราสองคนให้ออกห่างกัน

“ถ้ามึงขืนต่อยกันตรงนี้นะ เด๋วแม่มึงก็ได้มาเฉ่งเอาหรอก เรื่องเมื่อกี้ยังไม่ทันไรเลยมึง...ไอ้เต้ย”
ว่าแล้วมันก็หันไปว่าอริผม ผมก็ยิ้มเย้ยไอ้เต้ยซะเลย

“มึงด้วยโอ้ต ” มันหันมาด่าผมอีกคน

“นี่มึงจะว่ากูด้วยเหรอ” ผมถาม

“มึงอะ ชอบไปยั่ว กวนประสาทมัน กูขอเหอะ เลิกซะทีได้ป่ะ” มันว่าแกมขอร้องผม

“เฮ้ย พวกมึงเสียงดังกันจัง เตรียมเก็บของกันได้แล้วโว้ย จะถึงสถานีหน้าแล้ว” ไอ้ท็อปที่อยู่อีก
ตู้นึง วิ่งมาบอกพวกเรา และในเมื่อรถไฟหยุดสนิทที่สถานี ผมก็รีบกุลีกุจอก้มลงหยิบกระเป๋าลง
จากรถ ไอ้เต้ยคงเห็นผมงุ่มง่ามอยู่ จึงได้เข้ามาชนข้างหลังผม

“ไอ้นี่ หาเรื่องกูอีกแล้วนะ” ผมสบถออกไป พร้อมกับพยายามทรงตัวยืนขึ้น

“เฮ้ย พวกมึงอะ รีบๆเดินลงดิวะ อย่าขวางทางอยู่” ไอ้พวกที่ยังไม่ได้ลงรถไฟบ่นใส่ผมสองคน
ที่ทำท่าจะออกศึกกันอีกแล้ว

“เออ ลงแล้ว” ผมก็ต่อแถวพวกเดินลงมา ไอ้เต้ยก็เข้ามาต่อข้างหลังผม ไม่มาต่อเปล่า ดันเบียด
เข้ามาอีก

“มึงจะดันมาทำไมวะ” ผมเริ่มไม่พอใจมัน เพราะมันไม่ยอมเลิกซะที และมันก็ยังดันๆเข้ามาจน
ผมไปติดกับไอ้คนข้างหน้า

“มึง - - จะ - - ดัน - - มา - - ทำ - - ห่า - - อะ - - เฮ้ยยย”

มันดันมาจนผมก้าวพลาดตกจากบันไดรถไฟมากองอยู่กับพื้นสถานี

“อุ๊กก ... ” เสียงผมร้อง และ

“แอ๊กกกก ... ” แล้วก็ต้องร้องอีกครั้ง เมื่อร่างไอ้เต้ยหล่นลงมาทับผม

“ไอ้รัญ ตัวมึงโคตรนิ่มเลยหว่ะ กูหล่นลงมาเลยไม่เจ็บอะ ”ไอ้เชี่ย มันพูดจีบปากจีบคอเฉยเลย
ทั้งๆที่ตัวมันทับผมอยู่ มันแกล้งผมอีกแล้ว ไอ้สัด

ผมพยายามจะลุกขึ้น เพราะความอายเริ่มถาโถมเข้ามาในจิตใจแล้ว แต่ด้วยแรงกดทับของไอ้เต้ย
ทำให้ยกตัวขึ้นได้นิดเดียว และไม่ทันคาดคิด !! ในขณะที่มันยังไม่ได้ลุกจากที่ทับผมอยู่
แว่บเดียวก็ขยับปากมันมาขบที่ต้นคอจนผมสะดุ้ง แล้วมันก็ฝากคำพูดเอาไว้

“ชอบยั่วกูดีนัก อย่าให้กูจับได้นะมึง ไม่รอดแน่ !! ” แล้วมันก็ลุกออกจากตัวผม

“อ้าว มึงลงไปกองทำไมอยู่ตรงนั้นอะ” ไอ้ปิงเดินเข้ามาหา พร้อมกับส่งมือให้ผมจับ
พยุงตัวขึ้นมา ผมลูบที่คอเบาๆ ไอ้เต้ยหลังจากที่ลุกขึ้นแล้วก็เดินไปสมทบกับที่ห้องของมัน

“ทะเลาะกันอีกเด๊ะเนี่ย” ไอ้ปิงว่า

“ทะเลาะกันเหมือนผัวเมียกันเลยนะมึงสองคนเนี่ย”

“มึงเก็บปากไว้แตกหน้าหนาวดีกว่า ... ไอ้ปิง มึงเข้าข้างแต่เพือนมึง ไม่เคยเข้าข้างกูเลย ”
ผมด่า มันพลางกับทำท่าไม่พอใจอย่างแรง เดินไปขึ้นรถสองแถวเพื่อเดินทางต่อ

* * * * * * * * * * * *

มีเพลงเปิดประกอบฮะ สนใจก็ก๊อป url นี้ปายเปิดอีกหน้าต่างโลด โหลดนานนินึงนะคับประมาณ
600 กว่า k www.swn.ac.th/be.swf


กว่าจะถึงแคมป์ ชาวคณะยังต้องเดินเลาะเขาไปอีกนึงลูก ก่อนจะถึงบริเวณที่พัก (ไอ้ปิงปลอบว่า
ให้นึกว่า นี่กำลังซ้อมย่อย ตอนไปเข้าค่ายร.ด.) ตอนเราไปเป็นช่วงกลางเดือนธันวาพอดี
ประกอบกับแดดที่ไม่ร้อนมาก ทำให้การเดินทางเป็นไปได้โดยไม่มีใครเป็นลม (จะมีก็แต่อาจารย์
เน่าๆ บางคนที่บ่นตลอดการเดินทางและสาบานว่า ครั้งหน้าหรือครั้งไหนก็จะไม่มาอีกแล้ว
ทำให้เด็กๆยินดีปรีดาอย่างยิ่ง) 

“เฮ้ย ทะเลสวยจังหว่ะ ดูเด๊ะ ” ปิงชี้ไปที่อาณาเขตที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สีเทาของท้องฟ้าใน
ฤดูหนาว ตัดกับสีน้ำทะเล พร้อมกับเกลียวคลื่นกำลังม้วนเข้ามาหาฝั่ง

“กูเห็นแล้ว” ผมตอบกลับ พลางสูดอากาศเข้าเต็มปอด ในเมืองไม่มีทางที่จะได้รับความรู้สึก
แบบนี้แน่นอน

“ข้างหน้ามีทะเล ข้างหลังมีภูเขา สุดยอดเลยอะ” ถ้าใครเคยไปหาดประจวบ มีอยู่สถานที่นึง
ที่เป็นแบบนี้ ถูกกกก ผมหมายถึงถ้ำพญานครนั่นเอง

“มึงพูดเหมือนกับว่า มึงไม่เคยมาทะเลงั้นแหละ ปิง” ผมค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นทราย

“มึงก็เว่อร์ไป กูแค่ชอบทะเลเป็นพิเศษก็เท่านั่นแหละ” ว่าแล้ว มันก็วิ่งไป หัวเราะไปที่ริม
ชายหาด แล้วก็ก้มลงไปเก็บอะไรซักอย่างขึ้นมาดู แล้วก็เอามาแนบหู พร้อมกุลีกุจอเข้ามาหาผม

“อะนี่” มันยืนเปลือกหอยอันใหญ่ให้ผม

“หอย ?? ” ผมกำลังสงสัยว่ามันเอามาให้ทำไม

“มึงลองเอาแนบหูดิวะ - - ไม่ใช่แนบแบบนั้น มานี่ กูถือให้” ว่าแล้วมันก็เอา (เปลือก)
หอยมาแนบที่หูผม

“คราวนี้มึงก็ลองหลับตาดู”

“หลับตาแล้วจะดูได้ไง ไอ้บ้า”

“เด๋วกูต่อยสลบ เออ มึงหลับตาเร็วเด๊ะ” อะ ผมก็ลองหลับตา

“มึงได้ยินเสียงอะไรม่ะ ... ” มันถามผม

“ กำลังฟังอยู่” ผมบอกมัน พลางจับมือมันให้แนบ(เปลือก)หอยให้ชิด จนมืออุ่นๆ ของ
มันมาจับแก้มผม

“เสียงอะไรกูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันหว่ะ แต่กูรู้สึก .... อืมม” ผมพยายามอธิบายเสียง
ที่ได้ยิน

ผมยืนหลับตาซักพักโดยมีไอ้ปิงซึ่งกำลังถือเปลือกหอยแนบหูผมอยู่ข้างๆ …เวลาในขณะนั้นเหมือน
กับหยุดลงชั่วขณะ เหลือเพียงเสียงคลื่นที่เข้ามากระทบฝั่ง เสียงลมหายใจของผม และเสียงลมหายใจ
ของไอ้ปิง อะไรบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ในส่วนลึกของผมกำลังกระซิบบอกบางสิ่ง ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมา
เมื่อปิงชักมือกลับ แล้วบอกกับผม

“แม่กูบอกว่า มันเป็นเสียงของทะเล มึงฟังซิ เหมือนมึงได้ยินเสียงคลื่นป่าว ”

มันยิ้มเมื่อผมทำหน้างงกับคำว่า เสียงของทะเล

“มึงไม่ต้องทำหน้างั้นหรอก กูก็บอกไม่ถูกว่า มันแปลว่าอะไรอะนะ แต่ถ้าลองเอาเปลือกหอยมา
ฟังแบบนี้.. ”แล้วมันก็ทำท่าฟัง แล้วหลับตา

“กูก็จะได้ยินเสียงของทะเล” มันยิ้มแบบเขินๆ เมื่อผมจ้องมัน

“โห โรแมนติก”

“กูก็เป็นของกูแบบนี้มานานแล้ว มึงไม่รู้เหรอไง” มันบอกผมเหมือนกับว่ามันกำลัง - -

“แล้วก็ขี้น้อยใจด้วยนะมึงอะ ทำไมกูจะไม่รู้” ผมยิ้มแซวมัน

“คา-รวย มึงอะ ก็รู้แต่ข้อเสียของกูทั้งนั้นแหละ ไอ้โอ้ต”

“ก็มึงน่าจะดีใจนะ ที่กูรู้ข้อเสียของมึงแล้วคบกะมึง ไม่ใช่เพราะว่าเห็นแต่ข้อดีจึงคบมึงอะ ”

ผมบอกพลางคว้าสัมภาระ วิ่งไปที่แคมป์ หลังจากได้ยินเสียงอาจารย์เรียกรวมพล เพื่อทำกิจกรรมกัน
ในคืนนี้

กิจกรรมภายในแคมป์คืนแรก หลังจากที่แบ่งที่พักให้พวกผู้ชาย นอนในเต้น และผู้หญิงได้นอนใน
บ้านพักแล้ว (ลำเอียงโคดๆ) ก็ตามมาด้วยการกินข้าวเย็น และมาลงท้ายที่กลางสนาม พร้อมกับ
อากาศที่พอเริ่มดึก ก็ยิ่งหนาว

“โอ้ต มีเรื่องคุยด้วยหน่อย” ปิงวิ่งมากระซิบกับผม (ผมกะมันไม่ได้อยู่กลุ่มซึ่งแบ่งเป็นประเทศๆ
เดียวกัน)

“นี่ มึงพูดภาษาอังกฤษซิ เดี๋ยวอาจารย์เค้ามาหักคะแนนกลุ่มกูหรอก” ผมบอกอย่างเคืองๆ

“ภาษาไทยนี่แหละมึง” ไอ้ปิงพูดไปหอบไป

“มึงจะทำอะไรก็ทำไปเลยละกัน ตอนนี้กูกำลังยุ่งกับกลุ่มกูไม่เห็นเหรอไง” ว่าพลางชี้ไปในกลุ่มซึ่ง
มีคนอยู่ประมาณ 9-10 คน กำลังขะมักเขม้นเตรียมคนขึ้นไปประกวดบนเวที

“เออ ตามใจมึงแล้วกัน อย่ามาว่ากูทีหลังละกันมึง” แล้วมันก็วิ่งกลับกลุ่มตัวเอง

กิจกรรมในคืนนั้นเป็นไปด้วยความสนุกสนาน นอกจากการประกวดมิสเตอร์หรือว่ามิสซิสประจำ
ประเทศนั้นแล้ว ยังได้มีโอกาสเห็นความสามารถแปลกๆของเพื่อนร่วมก๊วนอีกหลายคน เกมส์การ
แทนตัวเองโดยให้ผู้ชายมีค่าเท่ากับ 1 บาท และหญิงเท่ากับ 50 สตางค์ ถึงแม้จะเป็นเกมส์รุ่นป้า
ซึ่งมีทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ทำให้กิจกรรมในคืนนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“ไง มีแต่หญิงรุมแย่งตัวนะมึง” ปิงวิ่งมาหาผมในช่วงที่ปล่อยให้นักเรียนเข้านอน “ได้ข่าวว่าเมย์
ไม่ปล่อยมึงเลยนี่หว่า” มันกระเซ้าผม

“เออ แค่เกมส์มึงอย่าคิดมาก ยังไงกูก็จะบอกเลิกกับเค้าอยู่แล้วแหละ” ผมบอกด้วยเสียงไม่ค่อย
แน่ใจ

“แน่ใจเหรอ ว่ามึงจะกล้าบอกจริงๆ” ไอ้ปิงมองตาผมเหมือนจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่

“แน่ดิวะ”

“มึงก็เล่นตัวจังเลยนะ มีคนมาชอบก็รับๆเค้าไปเหอะ เด๋วก็จะแห้วเหมือนกูนี่หรอก - -
อีกอย่างตอนนี้มึงก็ยังไม่มีคนที่ชอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้ปิงถามผม

“……. ” ผมอึ้งไปซักพักนึง ก่อนจะตอบไปเล่นๆ

“มึงรู้ได้ไงว่ากูยังไม่มีคนที่ชอบฮ่ะ”

ไม่รู้ทำไมพอผมพูดประโยคนั้นออกไป ไอ้ปิงทำเหมือนท่าทางจะน้อยใจผมอีกแล้ว

“ทำไมมึงทำท่าจะงอนกูอีกแล้วละนั่นอะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ “อ๋อ มึงงอนที่กู
ไปชอบใครแล้ว ไม่บอกมึงใช่ป่ะ โหเรื่องแค่นี้เองอะ” ผมยังสนุกที่ได้อำมันต่อว่ามีคนที่
ชอบอยู่แล้ว

“ป่าวทำไมกูต้องงอนมึงด้วยอะ มึงจะไปมีใครที่ไหนคนใหม่ก็เรื่องของมึงดิ กูเกี่ยวไรกะมึงอะ”
น่านมาเป็นชุดเลยครับมันพูดมาเป็นชุดเลย

“เฮ้ย กูไม่ได้หมา - -” ผมกำลังจะพูดว่าไม่ได้หมายความว่างั้น มึงเข้าใจผิด มันก็ได้
หลบผมกลับไปที่เต้นท์นอนซะแล้ว และก่อนที่มันจะเข้าใจผิดไปใหญ่ ผมก็ตัดสินใจรีบ
สารภาพว่าผมอำมันจะดีกว่า

“เฮ้ย มึงเข้ามาในเต้นท์กูได้ไงอะ ” ผมตกใจที่อยู่ๆก็เห็นไอ้เต้ยมานั่งหน้าใสอยู่ในเต้นท์
ผมกะไอ้เต้ย (ซึ่งมันนอนคุมโปงไม่รับรู้อะไรไปแล้ว)

“อ้าว ปิงมันไม่ได้บอกเหรอไง ว่าเต้ยจะนอนที่นี่อะ” มันพูดพลางหาวหวอด คำพูดแทน
ตัวเองว่าเต้ยพอมันพูดออกมาแล้วเสนียดจะขึ้นหูผมพิลึก มันลืมกินยาเขย่าขวดป่าววะเนี่ย

“กูไม่ให้มึงนอนในนี้นะ” ผมรีบไปกระชากผ้าห่มหลังจากที่มันเตรียมลงนอน

“ทำไมใจร้ายกะเค้าจังอะ ตะเอง” เวรกรรม ผมได้ยินคำแสลงรูหูนั่นอีกแล้ว

“มึงอย่ามากวนตีนกูนะไอ้เต้ย กูบอกว่าให้มึงไปนอนที่อื่น” ผมยืนกรานคำเดิม แล้ว
เสียงไอ้ปิงก็ดังขึ้น…

“มึงนอนที่นี่แหละเต้ย” ผมได้ยินเสียงปิงบอก

“ทำไมมึงทำแบบนี้อะ” ผมชักเคืองเพื่อนรักของผมซะแล้ว

“ก็กูไปบอกมึงแล้ว มึงก็บอกว่าตามใจกูไม่ใช่เหรอไง” มันพูดโดยไม่มองหน้าผม

“มึงนอนที่นี่แหละไอ้เต้ย ใครไม่อยากนอนก็ไปนอนที่อื่นละกัน”

โอ้ยย … เชื่อป่ะ ไอ้ปิงพูดคำนี้ออกมา ความโกรธผมขึ้นไปจุกที่คอ อารมณ์ผมตอนนี้
มันเต็มที่พร้อมที่จะปล่อยออกมาแล้วมันก็ ตูม…….ในหัวกลายเป็นความมึนชาความ
รู้สึกน้อยใจเหมือนกับเด็กที่ไม่มีใครเข้าข้างกลับเกิดขึ้นกับผมโดยไม่รู้ตัว แล้วสิ่งที่ตาม
มาที่เรียกว่า – อาการประชด- ก็เกิดขึ้นกับผม

“เออมึงนอนกันให้มีความสุขละกัน กูไปนอนที่อื่นก็ได้ คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากโว้ย
ไอ้เหี้ยเอ้ย” ผมด่าในสิ่งที่ไม่สมควรจะด่าออกมา แต่อารมณ์ตอนนั้นมันยากที่จะเก็บอยู่
ไม่พูดปล่าวผมรีบเข้าไปคว้าเป้แล้วเดินออกมาทันที เพราะรู้สึกว่าตาผมเริ่มแดงเพราะ
ไอ้น้ำตาบ้าๆมันชักปริ่มขอบตาแล้ว ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครเห็นว่าอ่อนแอเพราะเรื่อง
ขี้ปะติ๋วพรรณนี้หรอก

ผมเดินออกจากเต้นท์ได้พักนึง มือไอ้ปิงก็โผล่มาล็อกคอผมไว้แล้วพยายามลากกลับไปที่เก่า

“มึงทำเหี้ยอะไรวะ กูไม่อยากนอนเต้นท์เดียวกะมึงเข้าใจมั้ย” ผมกัดฟันพูดพอให้มันได้ยิน
และก็ไม่เข้าใจว่าที่พูดไปมันมาจากใจเหรอเปล่า แต่มันก็ไม่สนใจหรือพูดอะไร ตั้งหน้าตั้งตา
ลากผมกลับอย่างเดียว

“บอกให้ปล่อยกูไอ้ปิง” ผมพูดอีกครั้งค่อนข้างดังพร้อมกับพยายามดันตัวให้หลุดจากล็อก
แต่ยิ่งดันมันก็ยิ่งเพิ่มแรงรัดมากขึ้นจนผมชักหายใจไม่ออก แล้วมันก็ตัดสินใจปล่อยผม
เมื่อมาถึงหน้าเต้นท์

“มึงเกลียดกูเหรอ” มันถามผมเบาๆ

“…………”

“มึงเกลียดกู โกรธกูเพราะเรื่องเท่านี้เองเหรอ”

“…………”

“ตอนที่กูจะบอกมึงมึงก็ไม่สนใจกู ให้กูคิดเอง แล้วมาตอนนี้ - -” เสียงมันตอนนี้
กลายเป็นเสียงสะอื้นชัดเจน

“มึงยังจะมาโกรธกูอีกเหรอไง มะ มันจะมากไปแล้วนะมึง แล้วมึงยังจะมาประชดกูแบบ
นี้อีก กูก็มีความรู้สึกนะไอ้โอ้ต”

ก้อนสะอึกกลับขึ้นมาที่คอผมอีกครั้ง ใช่ผมกำลังใส่อารมณ์กับเพื่อนของผม กำลังทำในสิ่งที่
ไร้สาระ ประชดบ้าๆบอๆ แล้วตอนนี้ยังจะทำให้เพื่อนรักของผมเสียใจในการกระทำของผมอีก

“กะ กู” ผมเอ่ยคำด้วยความลำบากยากเย็นคำว่า ทิฐิ ยังคงค้ำคอผมอยู่ แต่แล้ว...

“กูขอโทษปิง” พร้อมกับเข้าไปกอดมันไว้ (แบบมิตรภาพ) มันก็กอดผมกลับ
(แบบมิตรภาพ) กูขอโทษนะที่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้อะ”

ปิงผละจากผมแล้วพูดขึ้นมา

“กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น กูถึงออกมาง้อมึงนี่ไง”

“นี่มึงมา ง้อ กูงั้นเหรอไง กูไม่ใช่ - -”

“เพื่อนกันก็ง้อกันได้มึง อย่าคิดมากเด๊ะ” ไอ้ปิงรีบพูดแก้ตัว ตอนนี้ความหวั่นไหวชัก
เกิดขึ้นในใจผมยังไงบอกไม่ถูก แค่ความห่วงใยความรู้สึกเพื่อนรักของผมคนนี้ มันดู
มากมายจนพิเศษไปกว่าคนอื่นจนรู้สึกได้

“สรุปว่ามึงนอนได้ใช่ป่ะ”

“ก็คงได้” ผมตอบ

ผมก้าวเข้ามาในเต้นท์อีกครั้ง ก็เห็นไอ้เต้ยนั่งหน้าสล่อนอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน

“ปิงมึงนอนริมด้านโน้นนะ กูนอนริมขวาเอง” แน่ะมันเป็นใครมาจัดแจงที่นอนคนอื่นเค้าวะ

“แล้วทำไมกูต้องนอนกลางด้วย” ผมตอบฉุนๆแต่เพราะรับปากกะไอ้ปิงแล้วว่าจะไม่มีเรื่อง ..

ผมลงนอนได้ซักพัก แสงไฟกลางสนามปิดลง ความมืดก็เข้ามาทุกพื้นที่เช่นเดียวกับความ
หนาวยะเยือกของเดือนธันวาคม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2006 22:46:39 โดย b|ue B[o]Y hUb »

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #21 เมื่อ23-10-2006 05:10:04 »

ผมลงนอนได้ซักพัก แสงไฟกลางสนามปิดลง ความมืดก็เข้ามาทุกพื้นที่เช่นเดียว
กับความหนาวยะเยือกของเดือนธันวาคม โชคดีที่แม่เตือนให้เอาผ้าห่มมาด้วย
ถึงแม้ว่าตอนเดินทางจะลำบากซักหน่อย แต่ตอนนอนก็จะอุ่นสบายกว่าชาวบ้านเค้า 

“ปิง จะเอาผ้าห่มป่าว ” ผมกระซิบ

“ไม่เป็นไรอะ มึงห่มไปเหอะ” มันบอกผม “กูมีมาเหมือนกันแต่ผืนเล็กหน่อย” มันว่า
ผมก็ตามใจมัน นอนกันไปได้พักใหญ่ จนเกือบจะเคลิ้มๆอยู่แล้ว เท้าเต้ยมันก็มาชนกับ
เท้าผมโดยที่คิดว่ามันคงไม่ได้ตั้งใจ

- เท้าเย็นชิบ –

ผมหันไปทางมัน ด้วยความที่สายตาชินกับความมืดแล้ว เห็นมันขดตัวงอหลับอยู่ได้ยินเสียง
กรนเบาๆ พร้อมกับตัวที่สั่นน้อยๆ ผมตัดสินใจเขย่าตัวเรียกให้มันเข้ามาห่มผ้ากับผมก็ได้ มัน
สลึมสลือหัน มา

“อืมมม … ขอบใจ” แล้วก็เขยิบตัวเข้ามาซุกในผ้าห่ม

“เฮ้ย อย่ามากอดแบบนี้”

แต่มันไม่ได้ยินเสียงเพราะได้ยินแค่เสียงงึมงำ ฟังไม่รู้ภาษาของมัน จนทำให้ต้องปล่อยเลยตามเลย
รุ่งเช้าตื่นมาค่อยถีบมันออกจากผ้าห่มก็ยังทัน ผมคิดในใจแล้วก็หลับไปในที่สุด …

* * * * * * * * * * * *


ประโยคที่ว่าหนาวจนจับขั้วหัวใจ ผมเคยได้ยินคำนี้มาหลายหนแล้ว แต่เพิ่งมาประสบเอง
ก็เช้ามืดของอีกวันหนึ่ง ขนาดว่าห่มผ้าแล้วยังหนาวขนาดนี้ หลังคาเต้นท์มีน้ำค้างเกาะอยู่
เต็มไปหมดเหมือนกับพึ่งผ่านฝนตกหนักมา ว่าแต่ว่าปิงมันหายไปไหนนะ 

ผมยกข้อมือดูนาฬิกาบอกเวลาตี 4 ครึ่ง

ไอ้เต้ยยังนอนหันหน้ามาทางผมอยู่ สงสัยจริงๆว่ามันไม่เปลี่ยนท่านอนเลยเหรอไง คิดอะไร
ไปเรื่อยเปื่อยผมก็พลิกตัวตะแคงข้างให้ เห็นหน้ามันแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย มันเป็นต้นเหตุ
ให้ผมกะปิงทะเลาะกันแท้ๆ ทำไมมันต้องมายุ่งย่ามกับผมด้วยนะ ไม่เข้าใจ …

“ฮือออ อืมม” เสียงครางเบาๆของมันยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดซ้ำซ้อน พร้อมกับเสียงขยับของคน
ที่อยู่ด้านหลัง

“อะ..!! ” ตัวผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าไอ้เต้ยมันขยับตัวเข้ามาแนบชิดด้านหลังจนสัมผัส
ได้ถึงเสียงลมหายใจที่กำลังรดต้นคอ

ผมกำลังตัดสินใจว่าจะทำเงียบต่อไปหรือว่าจะหันไปผลักมันให้ออกไปดี เพราะคิดว่ามันคง
ละเมอหันมา แต่ไม่ใช่หยั่งงั้นนะซิ เมื่อรู้สึกว่ามันเอามือมาเขย่าไหล่ผมเบาๆ

“จะทำไรของมันฟะ” ผมคิดในใจ เมื่อเห็นว่าผมไม่ขยับเขยื้อน มือมันก็เริ่มแทรกเข้ามาทางแขน
ผมทั้งสองข้าง จนตอนนี้มันเหมือนกะว่ามันกอดผมเข้าไปเต็มๆ

ประสาทของผมตอนนี้เริ่มมึนชานิดหน่อย รู้สึกร่างกายชักร้อนผะผ่าวขึ้น ผมไม่เข้าใจตัวเอง
ว่าทำไมยังปล่อยให้ศัตรูอย่างมันนอนกอดอยู่ได้

“อือออ” ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจ พร้อมกับขยับตัวเข้ามาแนบด้านหลังจนชิดตัวผม
แขนมันชักกอดผมแน่นขึ้น แน่นขึ้น และมะ…มัน มัน (เสียงสั่นเพราะตื่นเติ้น) มันกำลัง
เลิ้กเสื้อผมขึ้นมา พร้อมกับบรรจงลูบหน้าท้องผมเบาๆ แล้วค่อยๆไล้ขึ้นมาเรื่อยจนมันเกือบ
จะถึงหน้าอกอยู่แล้ว

“จะ จะ จะ จะ จะ ทำอะไรเนี่ย” ผมเหมือนจะพูดออกไปแต่ไม่ได้พูด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หรอกนะ
ว่าไอ้ที่กำลังโดนทำเนี่ยมันคืออะไร แต่ความรู้สึกตอนนั้น มันเหมือนกะอยากรู้อยากลองมากกว่า

ผมกำลังจะโดนไอ้เต้ยลักหลับ … (เหรอเนี่ย)

ไอ้เต้ยยังคงไม่หยุดลุกล้ำอาณาเขตส่วนตัวของผม และที่แน่ๆตอนนี้อาการอารมณ์กระเจิง
ก็เกิดขึ้นกับผมเช่นกัน ผมยังคงนอนนิ่ง แต่ที่ควบคุมไม่ได้คือลมหายใจของผมที่มันชัก
เริ่มแรงขึ้น แรงขึ้น พร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นตามลำดับการลูบของมัน

“อ่าาา …” เสียงมันมาครางอยู่ข้างหู เมื่อมันขยับตัวแนบกับตัวผมอีกครั้ง จนคราวนี้ผมรู้สึกถึง
อะไรบางอย่างที่แข็งเป็นท่อนมาทิ่มที่ก้นผม

“อ่า โอ้ต ” คราวนี้มันครางพร้อมกับเรียกชื่อผม

“อะ อือ” เสียงครางมันชักรุนแรงกว่าเดิม พร้อมกับเอาไอ้น้องชายมันถูอยู่ข้างหลังผม แรงกอด
มันตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นแรงรัดซะมากกว่า จนชักอึดอัด.. มันยังคงบดเบียดไอ้นั่นของมันแบบ
ค่อยเป็นค่อยไป ผมละจะทำไงได้นอกจากนอนนิ่งรับชะตากรรมอย่างเดียว

–ขึ้นหลังเสือแล้วลงมาไม่ได้-

ผมคิด จนในที่สุด …

“อือออ โอ้ต กูโคดเสียวเลยอะ กูรู้ว่า มึงตื่นแล้วใช่ป่ะ” เสียงไอ้เต้ยพูดประมาณว่ามันจับได้
เอาละซิคับ คราวนี้ผมทั้งอึ้งทั้งอาย ผมเริ่มดิ้นไม่ยอมมันแล้ว

“มึงดิ้นทำไมอะ” ไอ้เต้ยพูดพลางกอดฟัดผมไปพลาง

“ปะ ปล่อยกูนะเต้ย” ผมร้องไปดิ้นไป

“เมื่อกี้มึงยังนอนให้กูสำรวจเลย แล้วนะ นี่ - - เฮ้ย มึงอย่าดิ้นดิ”

มันไม่ยอมปล่อย

“กูไม่ใช่ .. ไม่เอาแล้ว บอกให้ปล่อยไง”

แซก .. แซก ..

“เฮ้ย ไอ้เชี่ยมีคนมา” ผมบอกมันเมื่อได้ยินเสียงเดิน ได้ผลไอ้เต้ยรีบปล่อยผมทันที
พอดีกับที่ไอ้ปิงโผล่หน้าเข้ามาในเต้นท์นอน

“อ้าว มึงตื่นกันแล้วเหรอ” มันว่า

“มึงไปไหนมา” ผมถามเสียงตะกุกตะกัก ทำหน้าให้ปกติที่สุด

“ไปดูของดีมาอะ” มันตอบ เอ๊ะ มึงนี่อย่ามาตอบสองแง่สองง่าม

“กูไปดูด้วย” ว่าแล้วก่อนที่ไอ้เต้ยมันจะพูดอะไรผมก็รีบดันให้ไอ้ปิงพาผมไปดูของดี
ของมันข้างนอก

* * * * * * * * * * * *


“เฮ้ย ปิง ของดีที่มึงว่านี่อะไรวะ” ผมถามหลังจากที่เดินมาจนเกือบถึงชายทะเลอยู่แล้ว
ที่สำคัญมันมืดมากๆเลย

“เออ ตามมาเหอะน่า - - ระวังสะดุด เดินระวังหน่อยดิวะ โอ้ต” ปิงเตือนผม

“กูมองไม่ค่อยเห็นนี่หว่า ใครจะตาดีเหมือนมึงล่ะ” ผมว่า พร้อมกับเดินช้าลง

“เดินช้าแบบนี้เด๋วก็หายไปหมด” ว่าแล้วมันก็เปลี่ยนมาจูงมือผม ลากให้เดินเร็วขึ้น

“ชะ ช้าๆก็ได้ กูยังไม่หายตื่นเต้นเลย” ผมลืมตัวโพล่งออกไป

“ตื่นเต้นไร” ไอ้ปิงหันมาถามผม มือมันยังกำมือผมแน่น

“ป่าว ไม่มีไร กูแค่เหนื่อย”

ปิงพาผมเดินเข้ามาใกล้ชายทะเลเดินมาถึงโขดหินก้อนนึง

“มึงก้มไปดูตรงแอ่งตรงนั้นเด๊ะ”

ผมมองไปตรงที่มันว่า พลันก็เห็นแสงสีน้ำเงินเป็นประกาย อยู่ตรงพื้นทรายที่มีน้ำทะเลขังอยู่

“เฮ้ย อะไรวะ ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น แล้วยื่นมือไปสัมผัส แต่เมื่อโดนพวกมันก็แตกกระจาย
กันไป

“ไม่รู้เหมือนกัน” ไอ้ปิงว่า พลางกอบทรายให้พอมีพื้นที่ให้ไอ้กลุ่มแสงประหลาดถูกยกขึ้นมา
ส่องใกล้ๆได้

“เออ แปลกอะ มีแสงด้วย” ผมเพ่งมองด้วยความฉงน

“แล้วมึงคิดว่ามันคือไรวะ มึงอย่าบอกนะว่ามีใครมาปล่อยอสุจิเรืองแสงแถวนี้อะ”

“มึงนี่ชักบ้ากามขึ้นทุกวันนะไอ้โอ้ต คิดได้ไงวะ กูว่ากูปล่อยให้มึงอยู่กับไอ้เต้ยมาก
ไปป่าว” มันทำหน้าหยะแหยง

“กูพูดเล่น”

“โอ้ยยยยย โคดเมื่อยเลยหว่ะ” ผมพูดพลางเอนตัวลงนอนกับโขดหิน สายตาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่มืดมิด

“ปิง ปิง มึงมองบนฟ้าซิ” ผมเรียกมันซึ่งกะลังพะวนอยู่กับสัตว์เรื่องแสงอะไรของมัน

“โห ..... ” มันอุทาน

สิ่งที่ผมเห็นคือความคุ้มค่าที่ได้ตื่นขึ้นมายามฟ้าไม่สางแบบนี้ หมู่ดาวกระจัดกระจายอยู่
เต็มท้องฟ้า ทั้งน้อยใหญ่ กลุ่มดาวส่องสว่างในคืนเดือนมืดช่างสวยงามอย่างบอกไม่ถูกเลย

“เขยิบไปหน่อย ให้กูนั่งมั่ง” ว่าแล้วมันก็ปีนขึ้นมานั่งบนหัวผมซึ่งนอนดูดาวอยู่อย่างประทับใจ
อากาศตอนเช้ามันก็ยังหนาวอยู่ เพียงแต่ผมลืมไปชั่วขณะ เมื่อลมทะเลพัดเข้ามาอีกระลอก
ผมก็ชักสั่น

“หนาวเหรอ” ปิงถามผมในขณะที่สายตามันก็นั่งมองขึ้นไปข้างบนฟ้า แล้วผมก็รู้สึกได้ว่ามันเอามือ
มากุมมือผมไว้อีกครั้ง ผมทำท่าชักกลับ แต่มันก็ไม่ยอม ก็เลยปล่อยไป... มันเป็นครั้งที่อบอุ่นกว่าครั้งไหน
ลองคิดดูซิคับ

อากาศหนาว ริมทะเล ดาวเต็มท้องฟ้า มืออุ่นๆกำลัง 2 เมื่อโมเลกุลความโรแมนติก
ครบสมบูรณ์แบบนี้ มีเหรอที่จะไม่ทำให้เคลิ้ม แต่แล้ว...

“โอ้ต กูมีอะไรจะบอก” อยู่ๆ ปิงมันก็พูดขึ้นมา

ตึก ตึก ตึก .... ผมเงียบรอฟัง แต่หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหว่ะ

ไอ้ปิงชี้ไปที่ดาวกลุ่มใหญ่กลุ่มนึง พลางว่า

“มึงรู้ป่ะ ว่าดาวนั่นมันชื่อว่าไร”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะถ้าพูดออกไปคงเสียงสั่นแน่เลย (ตอนนั้นเรื่องความรักยังเบบี้)

“อืม ... ” มันเงียบ เหมือนกำลังใช้ความพยายามจะพูดออกมา แต่มันไม่ออกซะที

”แล้วมันชื่อว่าไรล่ะ” ผมถามเมื่อมันไม่ยอมพูดไรซะที

“เออ ... กูก็ไม่รู้เหมือนกันหว่ะ ไม่งั้นจะถามมึงเหรอ” -_- ! มันตอบ

โพล๊ะ ....

“แล้วมึงจาถามทำแป๊ะอะไรวะ” ผมชักเคือง เมื่อมันไม่ได้พูดเรื่องที่ผมคิดเอาไว้ แต่ดันเล่นมุขควาย
ออกมาแทน

“เออ แต่กูว่านะ ไอ้ดาวกลุ่มเนี้ย มันไม่ค่อยเห็นกันหรอกนะเว้ย” มันเห็นผมฉุนก็เลยกลับเข้าเรื่องใหม่
ด้วยท่าทีขึงขัง

” อะไร ทำไมอีกละ” ผมดีใจที่มันจะเข้าเรื่องอีกที

“อืม ... เออ - - เพราะว่าที่เห็นได้เนี่ย มึงนอนทำมุมอาซิมุสพอดีอะดิ เลยเห็นพอดีเลยอะ ” O_o

โห คราวนี้มันมาแนววิทยาศาสตร์นะ ไอ้หอก !!

“ เออ ทีหลังมึงอยากเห็นอีก คราวหน้ามึงอย่าลืมเอาแผนที่ดาว มาหามุมอาซิมุสเชี่ยของมึงด้วยนะ
ไอ้บ้า - - กูว่ากูกลับดีกว่า ปวดหัวหว่ะ” ผมนี่งี่เง่าจริงๆ คิดว่ามันจะพูดอะไรออกมาซะที ไร้สาระ

“เด๋วเด๊ะ ดูเป็นเพื่อนอีกแป็บนะ หาดูไม่ได้ง่ายๆนะ ... ”

เรานั่งๆนอนๆดูดาวซักพัก จนพระอาทิตย์ของวันใหม่เริ่มเห็นขอบลางๆ จึงตัดสินใจเดิน
กลับบริเวณที่พัก ตอนนี้นักเรียนเริ่มทยอยกันออกมาล้างหน้าแปรงฟันกันแล้ว

“อะ” ผมพึ่งรู้สึกตัวว่า มือผมยังจับมือไอ้ปิงอยู่ จึงรีบชักกลับ หางตาผมเห็นมันยิ้มที่มุมปาก

“แหม แค่จับมือแค่นี่ ทำเป็นเล่นตัว ” มันแซวผม

“อ้าว มึงไม่กลัวเค้าหาว่าเป็นคู่เกย์กันเหรอไง” ผมอธิบาย

ไอ้ปิงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดินกลับเข้าเต้นท์ไปเอาอุปกรณ์ล้างหน้า

“อ้าว ทำไมไม่เข้าไปเอาแปรงอะ จะหมักเชื้อโรคเหรอไง ”

“เออ เข้าซิ กำลังจะเข้า ” ผมละล่ำละลักตอบ ค่อยๆแหวกผ้าเข้าไป แล้วก็เจอไอ้เต้ย
ยังนอนห่มผ้าห่มผมอยู่ ปิงเดินไปห้องน้ำไม่คอยผมเลย

ผมค่อยๆหยิบของอย่างเงียบที่สุดไม่อยากให้ไอ้เต้ยมันตื่น แต่เหมือนกับว่ามันคอยผมอยู่งั้นล่ะ

“เฮ้ย มึงอะ ปล่อยให้กูอารมณ์ค้างแบบนี้ได้ไงวะ” มันบอกผมแบบไม่ค่อยพอใจ

“แม่ง ถ้ามึงเงี่ยนนักก็ไปชักว่าวเองซิวะ มือมึงก็มี” ผมบอกแบบอารมณ์เสีย

“กูอยากให้ช่วยกูหนิ” มันพูดเสียงอ้อน

ผมรีบส่ายหัว ปฏิเสธพัลวัน “มึงจะบ้าเหรอไอ้เต้ย มึงเห็นกูเป็นไรวะ”

“กูก็เห็นมึงเป็นคนน่ารักอะดิ ”

โหย มันพูดแค่นั้น ผมรู้สึกหน้าร้อนว่าบบบ มันชมผมทำไมต้องเขินด้วยเนี่ย
อารามตกใจผมเลยถามมันไป

“มะ มึงเป็นเกย์เหรอวะ ”

“ปกติกูชอบผู้หญิงหว่ะ แต่ก็มีบางที กูก็ เอ่อ ... มีอะไรกะผู้ชายก็ได้ ” มันพูดพลางส่งสายตาหื่นกาม
มาทางผม

“เฮ้ย มึงอย่ามาบ้านะ กูไม่เล่นด้วยหรอก” ผมว่าพลางลนลานรีบพุ่งออกมาจากเต้นท์ทันที

* * * * * * * * * * * *


“มึงเป็นไร โอ้ต”

“เฮือก ...!? ” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือใครมากระชากหัวผมขึ้นมาในขณะล้างหน้าอยู่

“เป็นอะไรไป” ปิงมันดึงขึ้นมานั่นเอง สงสัยผมคงจะแช่ล้างหน้านานไปหน่อย
จนมันคิดว่าผมจะฆ่าตัวตายในห้องอาบน้ำ

“ฮึ .. ป่าว ไม่ได้เป็นไร” ผมสั่นหัวไล่คำพูดที่พึ่งได้ยินมาจากปากเต้ย

“รีบไปเหอะ เค้าออกไปกันหมดแล้ว

“ป่าวแล้วทำไมหน้าซีดอะ” ปิงมันเริ่มสังเกตอาการที่ผิดไปของผม พลางยื่นมือมาจับหัวผม
ไปทาบที่หน้าผากมัน

“เอ ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า” มันพูดจนผมได้กลิ่นลมหายใจหอมที่พึ่งแปรงฟันมาหยกๆ

“เฮ้ย ทำไม ปล่อย” ผมตกใจพยายามดันหัวตัวเองให้หลุดจากมือ

“วิธีวัดไข้แบบได้ผลเว้ย - - อยู่นิ่งๆ ดิ เห็นมั้ยอะ ตัวแม่งร้อนแล้ว ไม่สบายแน่มึง”

มันพยายามกดหน้าผมให้ชิดที่สุด ไม่อยากจะบอกว่าที่มันร้อนอะ เพราะแกอะแหละ...
แล้วมันก็ปล่อยหัวผมไป

“ที่เต้นท์มียาแก้ปวดหัวอะ กินเม็ดนึงนะ” มันบอกผม

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้เป็นอะไร” ผมท้วงมัน เพราะไม่ได้ปวดหัวจริงๆ

“มึงนี่ดื้อจัง ทำตัวงอแงอยู่ได้”

“งอแงอะไรอะ ก็กูไม่ได้ปว.. - -”

“ก็ – บอก – ให้ – กิน – ไง” มันพูดใส่ผมเสียงดัง ทำไมต้องตะคอกด้วยวะแค่นี้เองงะ
ผมทำหน้าบูดใส่มัน แล้วเดินออกจากห้องน้ำมาที่เต้นท์ ก็ปรากฏว่าเต้ยมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

ผมมุดเข้ามาในเต้นท์ก็ได้ยินเสียงนกหวีดเตือนให้เข้าแถวที่สนามแล้ว ปิงมันก็เข้าตามมาแล้วก็งุดๆ
หยิบยาให้ผมกินเม็ดนึง

“ไม่สบายขึ้นมาจะมาโทษ หาว่ากูชวนออกไปเดินกินน้ำค้างแต่เช้า” มันพูดอ้อมแอ้มยกเหตุผล
ซะโน่นเลย

ผมหยิบมากินแล้วก็รีบวิ่งมาที่กองของตัวเอง พอดีกับครูควบคุมแถวก็กำลังจะประกาศกำหนดการ
ที่เราจะต้องทำกันในวันนี้

“วันนี้ 8 โมงจะปล่อยให้ไปทานข้าวกันนะ .. ”

จากนั้นกลับมารวมกันตรงนี้ตอน 9 โมง เตรียมเข้าฐานแต่ละฐาน ... ต่อจากนั้นอาจารย์ก็
พล่ามแล้วอธิบายเวลาที่ต้องใช้ทำกิจกรรมแต่ละฐาน เรื่อยไปจนกว่าจะเสร็จก็ บ่าย 2 พอดี

“หลังจากเข้าฐานเสร็จ จะปล่อยอิสระให้ซ้อมการแสดงรอบกองไฟคืนนี้ นะ ตอนนี้
ข้าวเช้าพร้อมแล้ว เข้าแถวให้เรียบร้อย ....” อาจารย์พูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยให้
พวกเราไปอิ่มกับมื้อเช้า

“หนาวเนอะโอ้ต” เมย์ซึ่งผมพึ่งจะได้คุยกับเธอก็เช้านี้เอง โชคดีที่เราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน
เธอเลยไม่ได้มาวอแวผมเท่าไร

“อืม หนาว” ผมพูดเสียงแข็ง อย่างที่บอกเหตุผลที่มาเข้าค่ายครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะบอกไม่ให้เธอ
มาคิดกับผมเป็นแฟนอีก

“เนี่ย ใส่เสื้อกันหนาวกันทุกคนเลย บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยเนอะ ... ” เธอบอก
พร้อมกับนั่งลงตรงเก้าอี้ยาวด้านหน้าผม ส่วนเพื่อนเธอ 2 -3 คน นั่งอยู่ถัดออกไปหน่อยนึง

“โห จินตนาการล้ำเลยนะแม่คุณ” ปิงซึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆพอดี พูดขึ้น

“ต่างประเทศนี่ เขมร หรือ พม่า อะ” ผมเกือบสำลักกับข้าว

ปิงมันทำหน้ากวนส้นใส่เมย์

“อ๋อ แต่เราว่าอะ อย่างคุณเมย์อะ ลา - - ”

มันยังพูดไม่ทันจบก็ต้องรีบลุกออกไป เพราะเห็นหมัดของเมย์ลอยมาแต่ไกล โหดเหลือหลาย

“ มันก็พูดเล่นไปงั้นแหละ” ผมแก้ต่างให้เพื่อน

“โอ้ตไม่ต้องเข้าข้างเพื่อนตัวเองเลยนะ” เมย์ทำท่าทางไม่พอใจผม ซึ่งก็พอเข้าใจ

“เราไม่ค่อยชอบปิงเลยนะ จะบอกให้” เธอพูดเสียงเริ่มมีอารมณ์

“ทำไมโอ้ตถึงไปคบกับคนพวกนี้ได้นะ” เมย์ถอนหายใจ

“คนพวกนี้ หมายถึงอะไรเมย์” ผมชักเริ่มไม่พอใจบ้าง

“ก็อย่างไอ้ปิง แล้วยังมีไอ้เต้ยอีกคนนะซิ โอ้ตไปคบกับคนพวกนี้มันจะดีเหรอ”

เธอพูดเหมือนจะสอน

“เมย์รู้จักปิงมันดีจริงๆเหรอไง มันเป็นเพื่อนสนิทของโอ้ตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำ - -”

เมย์รีบพูดขัดขึ้นมา

“ไม่ใช่ว่าที่เค้ามาคบกับโอ้ตเพราะว่า เค้าจะได้มีที่พึ่งเวลาทำงานหรอกเหรอ ”

“ทำไมเมย์ดูถูกเพื่อนเราแบบนี้ล่ะ” ผมขึ้นเสียงใส่

“อย่างน้อยโอ้ตก็คิดเหมือนกันว่า เมย์ ดูถูกไม่ได้ดูผิดไปเท่าไรใช่มั้ยล่ะ”
เมย์เถียงใส่ผมอย่างไม่ลดลาวาศอก

“เมย์” เสียงผมชักเหลืออดกับคำพูดของเธอ จนข้างๆเริ่มสนใจกับบทสนทนาของเรา

“เราจะคบกับใครมันเรื่องอะไรของเมย์ด้วยล่ะ พูดแบบนี้มันดูถูกเรามากเลยนะ
ถ้าเมย์คิดว่าพวกมันไม่ดี เราก็ต้องไม่ดีเหมือนมันนะแหละ ใช่มั้ยล่ะ ”

“เมย์ถึงได้เป็นห่วงโอ้ตนี่ไง” เธอก็เริ่มเอาสีข้างเข้าถู

“ถ้าโอ้ตยังขืนคบกับพวกนี้อยู่คิดว่าจะมีอนาคตเหรอเปล่าละ”

ผมไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่า เมย์จะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายได้ถึงขนาดนี้ การที่คนเราแสดง
อะไรออกมาภายนอกนั้น มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป ผมเชื่อแบบนั้น และตอนนี้
ผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมเชื่อนั้นมันถูกต้อง

“หยุด – พูด เลิกพูดเหอะ” ผมตะคอกใส่เธอเต็มเสียง

และดูเหมือนว่าเธอจะทนไม่ไหวเหมือนกัน ลุกขึ้นยืน พร้อมกับกล่าวเสียงดัง

“เมย์ไม่เข้าใจว่าทำไมโอ้ตถึงเห็นเพื่อนแบบนั้นสำคัญกว่าแฟนตัวเองนะ”

ได้ยินคำนี้ ความอดทนที่มีอยู่ของผมก็ทลายลง ผมลุกพลวดขึ้นมาประจันหน้า

“แล้วเราเป็นแฟนเมย์ตั้งแต่เมื่อไรกัน มีแต่เมย์นั่นแหละ ที่ตามเราตลอดไม่ใช่เหรอไง”
ผมโพล่งออกไปแบบไม่เกรงใจใครแล้วตอนนี้

เงียบชั่วครู่กันทั้งโรงอาหาร อายคับ ผมว่าเธออายมาก ผมเห็นตัวเธอสั่น ความรู้สึกผม
เหมือนกับถูกปลดปล่อยออกมา

เพี้ยยยยะ ........

เธอใช้ฝ่ามือพิฆาตลงบนแก้มผมแบบเน้นๆ เสียงแบบดังกังวานเลยล่ะ

……………………. ........

ตอนนี้ความโกรธผมพุ่งขึ้นมาอีกแล้ว แถมมากกว่าเดิม ผมยกแขนตัวเองขึ้นเต็มเหนี่ยว
พร้อมจะพุ่งไปที่หน้าเธอเป็นการตอบแทน

“เฮ้ย อย่าโอ้ต” ปิงมันวื่งเข้ามาจับตัวผมไว้ได้ก่อนที่ผมจะตบเธอคืน

“ปล่อยกูไอ้ปิง” ผมยังพยายามยื้อกับปิงเพื่อจะแก้แค้นให้ได้ ปิงพยายามลากผมออกมา
ให้ห่างจากที่เกิดเหตุ แต่เพื่อนเธอสองสามคนซึ่งเห็นว่าผมกำลังจะทำร้ายเธอกับเดิน
เข้ามาหวังจะตบผมซ้ำ (ทำไมเวลาทีเพื่อนตัวเองทำคนอื่นถึงไม่ยอมห้ามก็ไม่รู้มัน)

ผมยังไม่ทันตั้งตัวที่เพื่อนเมย์สองคนที่เดินเข้ามา ไอ้เต้ยมันโผล่เข้ามาขวางข้างหน้าเอาไว้

“พวกมึงเข้ามาอีกก้าว กูกระทืบจมดิน แน่จริงเข้ามา ”

ได้ผลพวกเจ้าหล่อนถึงกับชะงัก ก็ตัวไอ้เต้ยอย่างกับควาย นักบาสโรงเรียนนี่นะ

“ไอ้เต้ยพอ อาจารย์เดินมาโน่นแล้ว” ปิงตะโกนบอกก่อนที่เต้ยมันจะทำอะไรไปมากกว่านี้
และแล้วเหตุการณ์ก็สิ้นสุดลงด้วยเวลาอันรวดเร็ว พวกครูต้องเรียกพวกผมและพวกเมย์ไป
คุยกันอยู่นาน จนได้ข้อยุติว่าจะไม่เอาเรื่องกัน ถึงแม้จะดูไม่ค่อยแฟร์ก็เหอะ แต่ก็ถือว่าการ
เลิกของผมกับเธอจบลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ไม่ซิ ผมไม่เคยคิดอะไรกับเค้าตั้งแต่แรก ไม่เรียก
ว่าเลิกกันซิ

“โห แดงเลยหว่ะ” ปิงบอกผมในขณะที่เอาผ้าชุบน้ำประคบให้

“อะ โอ้ย โอ้ย เจ็บ ไอ้ปิง ไอ้แรงควาย แข่งบาสครั้งก่อนก็ทีแล้วนะ บอกให้เบาๆ” ผมโอดครวญ

“จริงด้วยอะ เป็นปื้นเลย ไอ้โอ้ต” คราวนี้เต้ยส่งเสียงสำทับ

“โดนผุ้หญิงตบแบบนี้ถือว่าผ่านได้ใบรับรองเกียรติคุณเลยนะโว้ย” มันว่า

“หยุดๆ อย่ามาชื่นชมแบบนี้ กูขอ” ผมว่า พลางปัดมือไอ้ปิงออก เพราะมันไม่ยอมเอาออก
จากหน้าผมซะที

“อยู่เฉยๆ ดิวะ” ปิงดุผม แล้วค่อยประคบอีกรอบนึง ผมไม่รู้ตาฝาดเหรอเปล่า เมื่อเห็นสายตา
ไอ้เต้ยมันมองผมสองคนแบบแปลกๆไงก็ไม่รู้

“งั้นเด๋วกูกลับเข้ากลุ่มก่อนละกัน พวกมึงก็รีบเข้าละ อย่ามาอ้อยอิ่งอยู่” มันพูดเสียงหงอยๆ
แล้ววิ่งไปที่ฐาน

“มึงเห็นแล้วใช่ป่ะ ว่าไอ้เต้ยมันก็ไม่ได้เป็นคนเลวอะไรอะ” ปิงบอกผม
ซึ่งผมก็คิดยังงั้นแล้วละตอนนี้

“แต่มันมีข้อเสียอยู่อย่างนึง” ผมบอก

“อะไรวะ”

“ข้อเสียของมันก็คือ มันไม่ใช่คนดีไง”


ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #22 เมื่อ23-10-2006 05:10:28 »

หลังจากที่พวกเราจบภารกิจตะลุยฐานภาคบ่ายเสร็จสิ้น ผมเดินมาเจอกับมันตรงบริเวณชายหาด
ห่างจากโขดหินที่เห็นพลายเรืองแสงเมื่อเช้าไม่มาก พวกเด็กนักเรียนส่วนใหญ่เลือกจะเดินเล่น
บริเวณชายหาดมากกว่าจะลงเล่นน้ำทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้

“ขอโทษนะ ที่ต้องเป็นต้นเหตุให้ต้องเลิกกับเมย์” ปิงบอกกับผม

“จะขอโทษเรื่องอะไร มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับมึงซะหน่อย” ผมทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทรายขาวสะอาด
แล้วก็เริ่มโกยทรายมาก่อเป็นปราสาท

“ทะเลาะกันเรื่องที่มึงมาคบกูไม่ใช่เหรอไง กูรู้” มันบอกเสียงเบา สายตายังคงจับจ้องไปที่
เส้นสุดขอบฟ้า

ผมมองมันแล้วถอนหายใจ

“แล้วมึงเป็นแบบที่เค้าว่าจริงเหรอเปล่าล่ะ - - ที่เค้าบอกว่ามึงคบกูเพราะอยากให้กูฉุดมึง
เรื่องเรียนน่ะ”

มันหันมาแล้วจ้องผม สายตามันมีแววน้อยใจที่ผมยังถามย้ำเรื่องนี้อยู่

“กูไม่รู้ว่ามึงคิดยังไง ไม่ได้อยากให้มึงเชื่อในคำพูดของกู” มันเว้นช่วงพูด

“แต่การกระทำที่ผ่านมา มันจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง” มันว่าพลางสูดหายใจลึก

“- - ว่ากูรักมึงแค่ไหน...”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดของปิง สมองผมเริ่มประมวลผลออกมาว่า รัก ที่มันหมายถึง
คือความรักแบบไหน แต่ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม คำตอบก็ปรากฏออกมา เมื่อมันค่อยโน้มตัว
เอามือมาลูบที่หน้าผม รอยมือจางๆยังคงประทับอยู่ที่แก้ม แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเจ็บแล้ว

“ปิง -” ผมกำลังจะกล่าวอะไรออกไป แต่ก็ต้องเงียบเมื่อดวงตากลมสีน้ำตาลเข้ามาใกล้
สายตาผมมากขึ้น แล้วก็รู้สึกร้อนผ่าว เมื่อเพื่อนรักของผมประทับจูบที่แก้มอย่างนุ่มนวล
ขนของผมลุกซู่เมื่อสัมผัสถึงความสากของลิ้นไอ้ปิงที่อยู่ที่ข้างแก้ม แล้วค่อยๆเลียเรื่อยมา
จนถึงริมฝีปากผม แล้วจู่ๆมันก็ผละออกไปนั่งก้มหน้าก้มตา เหมือนพึ่งทำอะไรผิดมหันต์ลงไป

“ปิง” ผมเรียกชื่อเสียงเบา มันเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาหวาดวิตก

“โอ้ต กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ - - เอ้ย คือ กูตั้งใจที่จะทำ เฮ้ย ไม่ใช่ ไม่ใช่” มันโบกมือวุ่นไปหมด
เหมือนกำลังสับสนและหาทางอธิบายไม่ถูก

ผมยังคงนั่งนิ่งเงียบเหมือนเดิม รู้สึกสับสนเหมือนกัน ที่อยู่ๆ เพื่อนรักรู้สึกแบบเดียวกับที่ผม
รู้สึกกับมัน ตั้งตัวไม่ติดงั้นเหรอไง ... ??

ไม่ใช่ ใจจริง ผมรู้สึกเสียใจมากกว่า ผมไม่ได้อยากให้มันมาเป็นแบบผม รู้สึกแบบเดียวกันเลย
ความรู้สึกที่ผมต้องเก็บกดมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับไอ้ปิง ผมไม่อยากคิดว่า มันก็ต้องเก็บความ
รู้สึกแบบเดียวกัน ความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่า ถ้าบอกให้อีกฝ่ายรู้แล้ว ผลจะออกมาเป็นยังไง ...

แต่ตอนนี้ มันแสดงชัดเจนแล้ว .... ว่ามันรู้สึกยังไงกับผม แล้วผมล่ะ รู้สึกยังไงกับมันกันแน่

“กูขอโทษที่ทำให้มึงต้องลำบากใจ” ไอ้ปิงเอ่ยคำขอโทษมาเป็นครั้งที่ 3

“ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมกูถึงรักมึงแบบนี้ได้” มันก้มหน้างุดบอกผมเสียงสั่น

“กูอยากบอกกับมึงมาตลอด กูอึดอัด อึดอัดที่อยู่ใกล้ อึดอัดที่กูเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น”

เสียงมันสั่นมากขึ้นทุกที ผมเห็นตามันแดงๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากผมเท่าไร

“ไอ้ปิง คือ กู - -” ผมกำลังจะบอกมัน แต่มันก็ผลุนผลันวิ่งหนีผมไปก่อน

“โอ้ต ลืมเรื่องที่กูพูดให้หมด กูขอร้อง ไม่ต้องบอกอะไรกูทั้งนั้น” มันตะโกนบอกผม

“มะ มันพูดง่ายนี่ มึงมาสารภาพรักกะกู แล้วจูบกู แล้วจะให้กูลืมเนี่ยนะ ง่ายตายห่าเลย ”

ผมมองดูรอบตัวแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครเห็นผมกับไอ้ปิงสารภาพรักกันแน่นอนแล้ว
ก็รีบจ้ำกลับทันที แต่ผมก็เห็นไอ้เต้ยวิ่งนำไอ้ปิงกับพวกอีก 2-3 คนลงเล่นน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่ง
ปกติปิงมันไม่ได้เป็นคนชอบโหวกเหวกโวยวายเท่าไร แต่ในช่วงที่มันเล่นน้ำเนี่ย ดูท่ามันเอา
เรื่องเหมือนกัน เหมือนกับว่าต้องการทำอะไรบ้าๆกลบเกลื่อนเรื่องน่าอายเมื่อกี้ก็เป็นได้


* * * * * * * * * * * *


]หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่ละกลุ่มก็เตรียมตัวการแสดงในคืนนี้ สมาธิผมไม่อยู่
กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าปิงมันจะเหมือนกับผมเหรอเปล่า

จนกระทั่งถึงตากลุ่มมันแสดง ดูท่าทางมันจะได้เป็นตัวเอกของเรื่องซะด้วย

“Sinderla And the Miracle worker”

“เอ๋ ซินเดอเรล่า กับ รุกขเทวดา เหรอวะ” คนคิดแม่งครีเอตสุด

การเดินเรื่องก็สไตย์เดิมๆ แต่พอถึงตอนเจ้าชายออกตามหารองเท้าแก้วที่นางซินฯสะดุดตอไม้แล้ว
เกือกดันกระเด็นตกน้ำไปเนี่ยซิ

ไอ้ปิงก็ออกมาในบทของรุกขเทวดาประจำบ่อน้ำ ตอนแรกมันหยิบรองเท้าคัทชูออกมาให้เลือกดู
ว่าใช่ข้างที่ตกลงไปเหรอไม่ ต่อมาก็เป็นรองเท้าบูท รองเท้าฟองน้ำ และรองเท้าแก้วตามลำดับ

แต่เรื่องจบลงแบบสุดกร่อย เมื่อเจ้าชายดันไปเลือกรองเท้าฟองน้ำให้นางซินฯ ด้วยเหตุผลที่ว่า
ใส่ง่ายดีและตกก็ไม่แตกด้วย

นางซินฯตบหน้าเจ้าชายหนึ่งที แล้วก็โดดลงบ่อน้ำ ไปเป็นเมียของรุกขเทวดาแทน
เป็นอันจบเรื่อง แต่ตอนจบนี่ซิ มีฉากที่เจ้ารุกขเทวดาต้องหอมแก้มนางซินฯทีนึง ซึ่ง
ไอ้คนที่แสดงเป็นนางซินฯเนี่ย เป็นเกือบถึงดาวเด่นของโรงเรียนเลยล่ะ

หอมลงฟอดนึง เสียงกรี๊ดก็ดังทีนึง

“แสดงกันถึงกึ๋นน่าดูเลยซินั่นนะ” ผมพึมพำด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก

พอหอมกันเสร็จ สายตาไอ้ปิงเหลือบมาทางผมทันที เหมือนจะดูว่าผมมองมันอยู่เหรอเปล่า
ดังนั้นผมจึงรีบหลบตาไปในบัดดล

จากนั้นก็เป็นตาของกลุ่มไอ้เต้ย และกลุ่มผมปิดท้าย การแสดงรอบกองไฟในคืนนี้จบลง
ด้วยการเต้นกันสะบัดจนถึงเกือบเที่ยงคืน จึงแยกย้ายกันเต้นท์ใครเต้นท์ คืนนี้ไอ้เต้ยก็ยัง
ไม่วายมานอนเต้นท์ผม

“กูไม่ทำอะไรมึงหรอก วางใจเหอะคืนนี้ ง่วง ปวดหัว” เต้ยบอกผม

“มึงลองมาโดนตัวกูดิ กูถีบกระเด็นแน่” ผมขู่มัน

“พ่อเนื้อทอง โดนนิดโดนหน่อยไม่ได้ แล้วอย่าทำเป็นแกล้งหลับอีกก็แล้วกันนะ” มันแซวผม
พลางวิ่งจู้ดไปแปรงฟันก่อนนอนที่ห้องน้ำ เป็นจังหว่ะที่ปิงมันเปิดเต้นท์เข้ามาพอดี เราสองคน
สบตากันแว่บนึง แล้วก็ต่างคนต่างเงียบ จัดแจงที่นอนตนไป ผมรู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดเหลือเกิน
จนผมต้องพูดอะไรแล้ว

“ปิง” “โอ้ต”

อ้าว ดันเผอิญเรียกพร้อมกันอีกตะหาก (เน่าจิงจิ้งงง)

“มึงพูดก่อน” ผมบอก พลางหันหน้าไปทางอื่น

“อ้าว มึงแหละ จะพูดไรก็พูด” มันย้อนผม แล้วก็หันหน้าไปอีกทาง เป็นว่าตอนนี้เราหันหลัง
ให้กันทำไมก็ไม่รู้

“คะ คือ อืมมม .... ” ผมพยายามอ้าปากพ่นคำพูดออกมา แต่ละคำมันช่างยากเย็นเหลือหลาย

“ระ เรื่องเมื่อเย็น ”

“ระ เรื่องเมื่อเย็น” ไอ้ปิงทวนคำพูด

“วะ วะ ว่าไง” สีหน้ามันดูซีดๆไงก็ไม่รู้

“อืม .... ” ผมเงียบกริบ

“กะ ก็บอกแล้วไง ว่า หะ ให้ลืมให้หมด” มันบอกเสียงสั่น

ผมหันไปหามันด้วยความเคือง

“มึงจะให้กูลืมได้ไงอะ มึงมาจูบกู ”

ผมเห็นมันทำท่าจุ๊ปากให้พูดเบาๆ

“แล้วมึงมาบอกรักกู ”

มันทำท่าจะปิดปากผม

“แล้วจะให้ลืมง่ายๆกันแบบนี้เหรอไง”

“กะ กูไม่อยากให้มึงคิดมากอะ” มันพูดเสียงแหบ “ไม่อยากให้มึงรู้สึกไม่ดีกับกู”

ผมมองดูแววตาสีน้ำตาลของมันที่ออกแนวซีดลงไปบ้าง แล้วก็ทำเป็นมองไปทางอื่น

“กูก็ ..... อึ๊ก”

“ก็....” ผมก้มหน้า

“ไม่ได้โกรธอะไรซะหน่อย” ผมพยายามพูดเสียงเบาที่สุด แต่ไอ้ปิงก็ได้ยิน

“มึงไม่โกรธกูจริงๆเหรอ”

ปิงรีบดึงตัวผมเข้าไปกอดแบบลืมตัว ผมตกใจนะเนี่ย

“ตกลงเป็นแฟนกับเราแล้วใช่ป่าว” มันเปลี่ยนสรรพนามเรียกผมซะแล้ว ไอ้นี่

“ไอ้ห่า กูไม่ได้หมายความว่างั้นซะหน่อย อย่าคิดไปไกลขนาดนั้น” ผมเตือนมันอายๆ

“อ้าว ถ้ามึงไม่โกรธกู ก็แสดงว่า มึงก็ต้องมีใจให้กูบ้างซิ ไม่งั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ
ถ้าเค้าไม่เล่นด้วยง่ะ” มันบอกเหตุผล

“ขอเวลาซักพักก่อนได้มั้ยเล่า” ผมบอกเสียงเครียด

“แล้วก็ปล่อยกูได้แล้ว เด๋วไอ้เต้ยมาเห็นเข้าจะเป็น - - เฮ้ยเดี๋ยว ตัวมึงร้อนนี่หว่า”

ผมก็ว่ามันรู้สึกร้อนอะไร

“เออ จริงด้วย” มันบอกพลางพ่นลมหายใจร้อนๆออกจากตัว

ผมไปจับหน้าผากมัน ก็รู้แล้วว่า ไข้ขึ้นสูงแน่คืนนี้ ยิ่งอากาศหนาวๆอยู่ด้วย

“แล้วเสือกไปเล่นน้ำทะเลนะมึง” ผมว่าพลางหยิบกระปุกยาให้มันกิน

“แค่มึงไม่โกรธกู แค่ไข้แค่นี้อะ สบายมาก” แหม ปากหวานเชียวนะไอ้ตูด

“เอาเหอะ กูไม่โกรธหรอก มึงรีบนอนหลับดีกว่า จะได้ดีขึ้น เดี๋ยวกูรอไอ้เต้ยกลับเข้ามาเอง
อะ มึงเอาผ้าห่มกูไปห่ม” ผมว่าพลางยกผ้าให้มัน

“ห่มด้วยกันไม่ได้เหรอ” มันอ้อนผม นี่ๆ ยังไม่ทันไรเลยนะมึง อย่ามาด่วนจะได้กู

“ไม่อะ กูไม่อยากติดไข้มึง - - รีบๆนอนเร็ว” ผมว่าพลางกดตัวมันลงไปกับที่นอน
แล้วก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้มัน

“ปิดที่คอไว้ จะได้อุ่น” ผมบอก แล้วรีบๆหลับนะ

“เค้าบอกว่า ถ้าจะให้หายเร็วๆอะ ต้องหอมแก้มคนป่วยก่อนนอน- -” มันบอกผม

“อืม นะ มึงอยากจูบหมัดกูมั้ยละ หายแน่ ..... ” ผมว่ามัน ได้ผลดูเหมือนว่า
มันนอนหลับตาปี๋เลย ซักพักผมก็ได้ยินเสียงกรน ผมมองหน้ามัน

“น่ารักขนาดนี้เลยเหรอว่ะ ไอ้ปิง มึงเนี่ย” ผมพึมพำ แล้วก้มลงไปหอมแก้มมันทีนึง

“หอมแล้วก็หายเร็วๆนะมึง”

ผมกำลังจัดหมอนเตรียมตัวจะนอน ก็เอะใจว่าทำไมไอ้เต้ยมันไม่ยอมเข้ามาซะที ก็เลย
เปิดเต้นท์โผล่หน้าออกมาดู

“เฮ้ย มานอนอะไรข้างนอกวะ” ผมตกใจที่เห็นมันมานั่งคุดคู้อยู่นอกเต้นท์ นี่ไม่รู้มานั่งนาน
แค่ไหนแล้ว ผมก็ไม่ได้คิด แล้วก็รีบลากมันเข้ามา

“เต้ยๆ ตื่น ” ผมพูดพลางตบหน้ามันเบาๆ

“หือ ... ว่าไง” มันพยายามลืมตา “กูปวดหัวหว่ะ โอ้ต ”

“กินยาเหรอยัง”

มันบอกว่าเมื่อกี้วิ่งไปขอยาที่อาจารย์มาแล้ว พอเดินมาถึงหน้าเต้นท์ก็หมดแรง ล้มไปกองเลย

“เฮ้ย เป็นไข้อีกคนแล้วไง” ผมว่าพลางจับตัวมันอีกคน คราวนี้มันร้อนกว่าไอ้ปิงอีก

“มึงนอนนี่เลย แล้วห่มผ้าซะ”

“อีกคนเหรอ” มันทวนคำถาม

“เออ ไอ้ปิงก็ไข้ขึ้นเหมือนมึงอะ ดีสม เสือกเล่นน้ำจนได้เรื่องเลยเป็นไง” ผมว่ามัน
พลางจะเดินออกไปข้างนอก

“จะไปไหน”

“เรื่องของกูอะ มึงนอนเหอะ เด๋วจะตายซะก่อน” ผมว่า พลางมุดออกไป เจตนาผมจะไป
ขอกระป๋องใส่น้ำ กับผ้าขนหนูจากอาจารย์มาเช็ดตัวให้พวกมันนะแหละ ขืนเป็นแบบนี้ไม่ไหว
แน่ โดยเฉพาะไอ้เต้ย เป็นมากโขเลย หาเรื่องให้กูไม่ได้นอนอีกละ พวกมึงเนี่ย....

ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน หลายครั้งที่ผมสงสัย บางสิ่งซึ่งมันต้องสมควรเป็นไปตามนั่น
กลับตรงกันข้าม การที่ปิงมาบอกชอบผม ทั้งที่คนอย่างมันสามารถหาผู้หญิงดีๆซักคนนึงมาเป็น
คู่ชีวิตได้ แต่มันกลับเลือกผม ... มันเป็นเพราะอะไร ??

อย่าว่าแต่ความคิดของคนอื่นเลย แม้แต่ความความรู้สึกของผมในตอนนี้ ก็ยังเดาไม่ออก ผมกำลัง
ดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความสับสน ในห้วงความคิดนั้น ผมเห็นตัวเองกำลังปลดโซ่ตรวน โซ่ซึ่งพันธนาการ
ความรู้สึกที่แท้จริงอย่างช้าๆ แล้วผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเข้าแคมป์ที่ค่อนข้างทุลักทุเลที่สุดครั้งนึง จะอะไรซะอีก ก็ไอ้เพื่อนร่วม
เต้นท์ของผมสองตัวดันมาไม่สบายพร้อมกันทีเดียว หน้าที่พยาบาลจึงตกเป็นของผมอย่างช่วยไม่ได้

ผมยันตัวขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย เสียงกรนเบาจากไอ้คนป่วย 2 คนที่ผมดูแลเมื่อคืน อาการคงดีขึ้น
แต่สิ่งที่ดูขัดใจมากที่สุดตอนนี้ จนรู้สึกอยากจะชกไอ้คนนอนก็ภาพที่ ไอ้เชี่ยเต้ยมันนอนกอดไอ้ปิง
ของผม (ตั้งแต่เมื่อไร) อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทันไรอาการหึงผมก็เกิดอีกแล้วเหรอเนี่ย ไม่นับเรื่อง
เมื่อคืนที่มันไปหอมแก้มดาว รร.อีก

ติ๊ก ... ติ๊ก ... ติ๊ก

ผมนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงนาฬิกาที่กำลังเดิน

ความรู้สึก กำลังตีกันพัลวันในหัว

ผมหันไปมองหน้าปิง มันยังคงนอนหลับสบาย เนิ่นนานเท่าไรไม่ทราบ แต่ตอนนี้
ผมรวบรวมความกล้า และได้ตัดสินใจยอมรับความรู้สึกของเพื่อนรักของผม ... ซะที

* * * * * * * * * * * *

“เป็นไง ดีขึ้นมั่งป่าว” ผมถามปิงในระหว่างที่ออกกำลังตอนเช้า

“อือ ไม่ดีขึ้นได้ไง ก็มีพยาบาลดีขนาดนี้อะ” มันว่า

“แถมใครก็ไม่รู้ .. มาแอบหอมแก้มอีก งี้ไม่หายได้งไง”

“งั้นมึงก็ละเมอแล้วล่ะ ใครจะมาหอมมึง” ผมแกล้งหันหน้าไปทางอื่น รู้สึกเหมือนโดน
จับได้ยังไงก็ไม่รู้

“เหรอ .. เราจะเชื่อหว่ะ” มันพูดแล้วยิ้มที่มันคิดว่าหล่อสุดแล้วของมันมาทางผม

“มึงอย่ามายิ้มแบบนี้กะกูได้ม่ะ ขนลุก” ผมแสดงท่าทางหยะแหยงใส่มัน

“แล้วทำไมต้องมาพูดเราๆ นายๆ กะกูด้วยวะ พูดแบบเดิมเหอะ เป็นไรของมึงเนี่ย
ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ” ผมบอกมันเพราะรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งที่มันพูดกับผม แต่กับ
คนอื่นก็เห็นมันพูดเหมือนเดิม

หลังจากเลิกกิจกรรมตอนเช้า ก็เหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะถึงเวลาอาหารเช้า ไอ้ปิง
ก็ชวนผมเดินเล่นแถวชายหาดเป็นการส่งท้ายก่อนกลับ

“ก็ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันเหมือนกันที่ไหนเล่า” ไอ้ปิงเดินไปบอกไป

“แล้วมันไม่เหมือนกันยังไงฟะ”

“กะ ก็ ... ”

มันมองหน้าผมแดง แล้วทำสายตาเรียกร้องอะไรบางอย่าง

“ก็ตอนนี้ เอ่อ เอ่อ ปิงบอกความรู้สึกของปิงให้ เอ่อ โอ้ตรู้แล้วนิ ว่ารู้สึกไง”

ดูท่าทางมันก็ยังไม่ค่อยชินกับการพูดดีๆอย่างนี้เท่าไรเหมือนกัน

“เอ่อ ก็รู้แล้ว” ผมอ้อมแอ้มตอบ

“ละ แล้วไง” สายตามันดูคาดคั้นคำตอบผมยิ่งกว่าเดิม

“ไม่รู้ .. ” ผมตอบอย่างเฉยเมย

“งี้ได้งายยยอะ .... ” ดูมันท่าทางจะผิดหวังกับคำตอบ

“ก็จะงี้ล่ะ”

“ไม่ - ได้” แน่ะมันชักขึ้นเสียงกะผม ไอ้ผมก็โรคจิตชอบแกล้งคนอยู่แล้ว

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ มันสิทธิของกูไม่ใช่เหรอไง ที่จะชอบใครหรือไม่ชอบใครก็ได้”
ผมยังคงแกล้งปากแข็ง

“อ้าว พูดงี้ก็สวยเด๊ะ ขี้โกงนี่หว่า ... ” ไอ้ปิงชักมีอารมณ์

กลับกลายเป็นว่าเถียงกันไปเถียงกัน เมื่อเห็นว่ามันชักเริ่มโกรธแล้ว ผมได้ทีเลยเอา
มือโกยทรายเต็มฝ่ามือ ปาไปที่ตัวไอ้ปิง แต่พลาดไปหน่อย

ฝุบบ อ่า เต็มหน้ามันเลย

“โห เถียงไม่ขึ้นแล้วเล่นแบบนี้เหรอ ด้ายยยยย” มันตบะแตก แล้วสงครามย่อยๆก็เกิดขึ้น
ที่ริมหาดนั่นเอง

“แฮ่ก แฮ่ก ”

“มึงอะ ปามาได้ งี้ต้องไปอาบน้ำใหม่อีกแล้วอะ แม่งยิ่งหนาวๆอยู่” ผมต่อว่ามัน

“อ้าว แล้วใครเริ่มก่อนล่ะโว้ย” มันชี้หน้าทั้งๆที่รู้ว่า ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาชี้หน้า
ผมเลยปัดออก แต่มันได้ทีคว้ามือผมไว้แทน

“เฮ้ย ปล่อย” ผมพยายามดึงมือออก

“เด๋วก่อนดิ” มันบอกผมพลางส่งสายตาขี้อ้อนเป็นประกายมาทางผมอีกแล้ว ผลให้สายตา
ผมหลบไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ

“แน่ะ คนเราถ้าไม่รู้สึกอะไรกัน เค้าไม่หลบตากันหรอก”

ผมไม่พูดไม่จา พยายามดึงมือกลับอย่างเดียว

“ฟังปิงนะ ... ” ปิงพูดพลางสูดลมหายใจลึก

“เราจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว .. แล้วปิงจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ไม่คอยถามอีก”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันอีกรอบ พลางนึกในใจว่าอย่ามาเล่นมุข
มุมอาซิมุสอีกนะมึง

ปิงมองหน้าผมซักพัก มองตาผม และเหมือนจะมองทะลุเข้ามาในจิตใจ

“ปิง ระ .. รักโอ้ตนะ ไม่ใช่แค่ชอบเฉยๆ ... ”

คราวนี้จังๆต่อหน้าต่อตา ผมรู้สึกหูตัวเองแดงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แม้วันมามาก (เฮ้ย ไม่ใช่)

“.. ไม่ว่าโอ้ตจะรู้สึกยังไงก็แล้วแต่ คิดให้ดีก่อนจะบอกเรานะ...”

“ ไม่ต้องสงสาร...”

“ไม่ต้องเห็นใจ...” ปิงจับมือผมแน่นมากกว่าที่เคยจับครั้งไหนๆ

“เพราะปิงไม่อยากได้ความรู้สึกพวกนั้นจากโอ้ต ... ”

ปิงพูดไปมือสั่นไปเบาๆ เค้าพยายามควบคุมเต็มที่แล้ว ผมรู้สึกได้

“ปิงทำได้แค่เดินมามอบความรักให้โอ้ต แล้วจะยืนอยู่เฉยๆ เพื่อรอรับมันจากโอ้ต ...
ปิงบอกทุกอย่างที่อยากจะบอกแล้ว ที่เหลือก็ ... ”

“ที่เหลือ ก็แล้วแต่โอ้ต …”

ผมยกมือขึ้นไปปิดปากไอ้ปิง พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อท้น

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ปิง ที่จริง กูตัดสินใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมบอกเสียงสั่นเครือ
เหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้า

“หมายความว่า ... ” ไอ้ปิงทำหน้าสลด

ผมเห็นหน้าจ๋อยของมันแล้ว ก็ยิ้มกลับไปให้ มันเป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดที่จะให้คนๆนึงได้

“การถูกคนๆนึงรัก มันมีความสุขนะ ... แต่การให้ความรักนั้นกลับคืนไป มันมีความสุข
กว่ามากเลย ว่ามั้ย ... ไอ้ปิง” ผมกล่าวสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป

ต่อจากนี้ สิ่งที่ผมได้ทำลงไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ....ผมจะไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป
แต่ในความเป็นจริง ในอีกมุมนึง ในห้วงรัก การถูกรักมันสุขใจ การมอบความรักมันอิ่มเอม
และคนที่ได้รับการปฏิเสธ มันทรมาน

บนรถไฟ ตลอดการเดินทางกลับกรุงเทพฯ แม้ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจะยังฝังลึกอยู่ในตัว
แต่เมื่อผมเห็นไอ้เต้ย ซึ่งนั่งคุยกับปิงอยู่ข้างๆ พร้อมกับพวกเพื่อนอีกหลายคน ผมอดไม่ได้
ที่จะคิดถึงคำพูดของมันในคืนนั้น ท่าทีของมันเหมือนจะชอบผม แต่ถ้าคิดอีกแบบ มันก็ไม่ใช่
ไอ้เต้ยต้องการทดสอบอะไรผมบางอย่างเหรอเปล่า และถ้ามันชอบผมขึ้นมาจริงๆ ถ้ามันเล่าเรื่อง
ที่มันทำเมื่อคืนก่อนให้ปิงฟัง อะไรจะเกิดขึ้น

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #23 เมื่อ23-10-2006 05:11:09 »

“ปิง ตั้งแต่มึงกลับมาจากประจวบฯนี่ มีความสุขอะไรนักหนาวะ”

ไอ้ท็อปบอกขึ้นมา ในระหว่างกินข้าวในโรงอาหารวันจันทร์

“เอ่อ กูว่างั้นแหละ วันๆเอาแต่นั่งยิ้มแป้นแล้น” เพื่อนอีกคนนึงสำทับ พลางหันมาถามความเห็นผม

“มึงรู้ป่ะ ว่ามันเป็นไรวะ โอ้ต ”

“เฮ้ย กูไม่รู้ อย่ามาถาม” ผมรู้สึกตื่นตูมเป็นพิเศษยังไงไม่ทราบ นี่ถ้าพวกมันรู้ว่าผมกับไอ้ปิงคบกัน
ฉันแฟนแล้ว ไม่อยากจะคิด ...

“มันก็บ้างี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอไง” พวกเราหันกลับไปที่ต้นเสียง เห็นไอ้เต้ยเดินถือข้าวมันไก่
เดินมานั่งที่โต๊ะของพวกเรา

“ไอ้เต้ยไอ้เหี้ย ถึงกูจะบ้า ก็บ้ารักเว้ยยยย” ไอ้ปิงตอบเสียงดังกังวาน

วี้ดดดดวิ้วววว

กูจะอ๊วก

เสียงผิวปากและเสียงด่าส่งของพวกที่โต๊ะดังขึ้นทันที เมื่อมันพ่นเอาสิ่งเลี่ยนๆออกมาจากปาก
และท่ามกลางเสียงผิวปากของพวกนั้น มีเสียง “ไอ้เหี้ย” ของผมผสมอยู่ด้วย เพียงแต่มันเบา
พวกเลยไม่ได้ยิน

“แหม ไอ้ปิง ปากดีนะมึง” เต้ยยิ้มหันไปหามัน เหมือนจะคาดคั้นว่า ไอ้คำว่าบ้ารักของมันหมายความ
ว่าไง

“ไหนบอกกูมาเด๊ะ ว่ามึงไปเจออะไรดีๆในค่ายวะ หน้าถึงบานเป็นจานดาวเทียมแบบเนี้ย”

“มึงอยากรู้ไปทำไมวะ ”

“เพื่อนสุข พวกกูก็อยากรู้มั่งอะดิ” มันว่าไปโน่นเลย ผมพยายามมองตาไอ้ปิงประมาณว่า
ถ้าพูดมึงตายด้วยมือกูแน่

“เออ จะว่าไป ไปค่ายกลับมากูก็ได้เจออะไรดีๆ เหมือนกันหว่ะ” ไอ้เต้ยบอกปิง แล้วหันมาทางผม
แสยะยิ้มเป็นนัยๆ

- อุ๊ก ... ซวยแล้วกู - ผมคิดในใจ

“เออๆ กูบอกก็ได้ .... คือกูไปค่ายครั้งนี้ กูได้แฟนกลับมาด้วยเว้ยยยยย” ปิงมันพูดแบบอวดๆ
แค่นี้ก็ทำให้ผมสำลักน้ำไปเรียบร้อยแล้ว

วี้ดดดดวิ้วววว เสียงผิวปากของพวกดังขึ้นอีกระลอก จนไอ้โต๊ะข้างๆ มันเริ่มส่งเสียงประนาม
แล้วสารพัดคำถามก็ถาโถมใส่ไอ้ปิงทันที และเป็นโชคดีของผม เพราะว่ามันไม่หลุดปากว่าแฟน
ที่ได้กลับมาของมันคือใคร

เฮ้ย พรุ่งนี้มีรายงานชีวะนะมึง เตรียมรายงานกันยังวะ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

………………….

ก็มึงทำไงโอ้ต

สัด บ้านกูก็อยู่ไกล ไม่ใกล้เหมือนพวกมึงนะ

เด๋วพรุ่งนี้ปิงมาช่วย ไอ้ปิงบอกผม พวกไอ้ท็อปออกจะงงๆนิดหน่อยว่าทำไมอยุ่ๆไอ้ปิง
ก็มาพูดดีกับผม เพราะแต่ก่อน ก็พูดกูๆมึงๆกันประจำ

ผมเหลือบไปสังเกตไอ้เต้ย พอปิงบอกไปว่าได้แฟนกลับมา จากนั้นจนกินเสร็จ ไอ้เต้ยไม่พูดกับใคร
แม้แต่คนเดียว และคิดว่ามันพอจะรู้แล้ว ว่าแฟนของปิงที่พูดถึง หมายถึงผมนั่นเอง

“กูอิ่มแระ ไปก่อนนะ” พูดเสร็จมันก็กระแทกจานลงบนโต๊ะ

“ใครมีน้ำใจเก็บให้กูหน่อย” พูดเสร็จมันก็เดินพลวดๆ ออกจากโรงอาหารไปเลย

ผมมองหน้าปิง เห็นมันสบตากับผมเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง และหลังจากที่จบการเรียนในวันจันทร์
เราต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยผมไม่ได้เห็นไอ้เต้ยอีกตลอดทั้งวัน คืนนั้นปิงโทรมาหาผม

“โทรมาทำไมวะ พึ่งเจอกันทั้งวัน” ผมบอก

“อ้าว ก็โทรมาหาแฟนมันผิดตรงไหนอะ” ไอ้ปิงหยอดคำหวานเน่าๆออกมา

“นี่ๆ เวลามึงมีแฟนนี่ มึงเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังตีนแบบนี้ทุกคนเปล่าวะ” ผมแกล้งถาม

“เปล่าซะหน่อย เคยมีแฟนซะที่ไหนกันเล่า ... ” มันแก้ตัว

“ก็มีโอ้ตคนแรกนี่แหละ”

“แหวะ แหวะ” ผมทำเสียงล้อมัน

“แหวะราย แพ้ท้องเหรอไง ยังไม่ทันมีไรกันเลย แค่มองตา ก็ ... ”

“หยุดๆ พอเลยมึง คิดอกุศล เออ กูมีเรื่องถาม” ผมรีบวกเข้าเรื่อง

“นี่ ขอไรอย่างนึงได้ป่ะ เป็นแฟนกันแล้วอะ พูดกันให้สมกับเป็นแฟนกันหน่อย
เด๊ะ อย่าพูด กู – มึง ... ”

“กูจะพูดแบบนี้ จะทำไม จะเลิกก็ได้นะ” ผมบอกอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า

“ขี้โกงอะ ... ”

“ไอ้ปิง กูมีเรื่องจะถาม มึงตอบมาตรงๆนะ” ผมรีบบอกก่อนจะเสียเวลามากกว่านี้

“อือ มีเรื่องไร”

“คือ เรื่อง เรื่อง ไอ้เต้ยน่ะ คือ ... ”

“อ่อ เมื่อกลางวันใช่ป่ะ อืม ... อย่าคิดมากนะ เด๋วเราจัดการเอง”

“จะจัดการอะไร” ผมละล่ำละลักถาม เพราะไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องเดียวกะที่ผมรู้เหรอปล่าว

“เอาเหอะ ไม่ต้องห่วงอะ เด๋วปิงจัดการเอง ไอ้เต้ยมันก็เพื่อนปิง อืม แล้วมันก็เป็นเพื่อนโอ้ตด้วย
ไม่มีปัญหาหรอก”

“เดี๋ยวซิ จะจัดการอะไร” ผมชักเป็นห่วง

“น่า ไปนอนได้แล้ว ดึกแล้ว แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกันที่โรงเรียน”

ผมยังไม่ทันได้รู้ว่ามันจะจัดการอะไร ก็วางหูไปซะแล้ว แน่นอน คืนนั้นผมนอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าเรื่องที่จะจัดการของมันเนี่ย มันเรื่องเดียวกะที่ผมจะบอกเหรอเปล่า ไอ้เต้ยมันจะพูด
อะไรเหรอเปล่า .... ใจจริง ผมไม่อยากให้ไอ้เต้ยเสียใจเลย ผมไม่น่าไปให้ความหวังอะไรเล็กๆ
น้อยๆเมื่อคืนนั้น มันจะคิดว่าผมมีใจให้มันเหรอเปล่าหนอ

* * * * * * * * * * * *


เช้าวันต่อมา ผมรีบตื่นแต่เช้า เพราะว่าต้องรีบไปจัดห้องเตรียมนำเสนองาน

“เฮ่อ ไอ้ปิงเอ้ย กูนัดกูโมง แม่งไม่เคยมาตามนัด ให้กูทำคนเดียว ผมบ่นไปเตรียมงานไปคนเดียว”

“เฮ้ย .... ”

ผมตกใจสุดขีดเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาอยู่ข้างหลัง

ผมกำลังจะหันไป แต่ไม่ทันเมื่อไอ้คนที่ว่ามันจับผมเข้าที่ด้านหลัง ผมพยายามดิ้น แต่ก็ไม่หลุด
ซักพัก ผมได้กลิ่นลมหายใจที่คุ้นเคยเข้า คล้ายๆกับตอนไปเข้าค่าย

“ไอ้เต้ย ปล่อย” ผมบอก

“รู้ด้วยเหรอ ว่าเป็นกู” มันพูดใกล้ๆหูผม

“ปล่อย เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า” ผมพยายามพูดกับมันดีๆ เพราะถ้ามีคนเข้ามาเห็นเข้า เป็นเรื่องแน่

“ทำไมเหรอ กลัวไอ้ปิงมันมาเห็นเข้าเหรอไง” มันพูดแทงใจผม

“เห็นว่าเป็นแฟนกันแล้วนี่นา”

“ไม่ใช่ซะหน่อย เข้าใจผิด” ผมโกหกคำโตออกไป แล้วมันก็เป็นคำพูดที่ไม่ควรเอ่ยให้ไอ้เต้ย
ได้ยินซะด้วย

ไอ้เต้ยได้ยินเท่านั้น มันก็ไม่พูดอะไร แต่ค่อยๆมาไซร้ต้นคอ ผมขนลุกซู่ มันจะล่อกันตอนเช้า
แบบนี้เลยเหรอไง ผมพยายามดิ้น แต่เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผล จึงอยู่เฉยๆ รอให้มันเบื่อไปเอง ใจจริง
ตอนนี้ผมไม่ได้มีอารมณ์แบบนั้นกับไอ้เต้ยเลย เพียงแต่รู้สึกผิดกับมันเท่านั้นเอง

เมื่อเห็นว่าผมไม่ขัดขืนอะไร มันก็พลิกตัวผมให้หันไปหามัน

“ทำไมไม่ขัดขืนวะ” มันพูดเสียงแข็งกับผม จนเริ่มงงกับคำพูดของมัน

“มึงรู้สึกยังไงกันแน่ ไอ้โอ้ต” มันด่าผมแล้วก็ผลักอย่างแรงจนผมไปกองกับพื้น

“มึงพูดอะไรไอ้เต้ย กูไม่เข้าใจ”

“มึงไม่เข้าใจเหรอ” มันหลิวตาดูถูกผม

“มึงรู้สึกยังไงกับไอ้ปิงกันแน่ บอกกูมา”

เมื่อมันเล่นถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ผมก็ชักเคือง

“กูจะรู้สึกยังไงกับใคร แล้วมันเรื่องอะไรของมึง ไอ้เต้ย โอ้ย !! - - ” ผมพยายามจะลุกขึ้นมา
แต่ก็โดนมันผลักลงไปกองอีก

สายตามันมองผมอย่างโกรธเคือง

“มึงคบกับไอ้ปิงเป็นแฟนแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“เออ กูเป็นแล้วยังไง” ผมโพล่งออกไปด้วยความโกรธเช่นกัน

ผมเห็นเต้ยยืนนิ่ง มือกำแน่น ตอนนี้ผมกลัวมันจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไร แต่ความรู้สึกประหม่า
และหวั่นเกรงเกิดขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว

แล้วหน้าผมก็สัมผัสถึงของเหลวใส หยดลงมา

1 หยด …

2 หยด ...

ไอ้เต้ยกำลังร้องไห้ จากเสียงสะอื้นเบาๆ แต่ผมรู้สึกได้ถึงความเสียใจอย่างรุนแรง ทำเอาผมใจเสีย
แม้มันจะรู้อยู่แล้ว ว่าผมคบกับปิง แต่เมื่อได้รับการยืนยันแบบนี้ เป็นใครก็ต้องเสียใจ

“ไอ้ ... เต้ย ” ผมค่อยๆเรียกมัน ทั้งที่ยืนค้ำหัวอยู่

“ตอบกูมา โอ้ต มึงรู้สึกยังไงกับปิงมันกันแน่ ” มันถามผมเสียงเบา แต่หนักแน่น

“กะ กู .... ”

“อย่ามาอ้ำอึ้งกับกูนะ” มันตะคอกใส่

ผมไม่ยอมตอบอะไรมันทั้งนั้น น้ำตาไอ้เต้ยหยดลงมาโดนผมอีกครั้ง

“มึงคบกะไอ้ปิง ..แล้วมึงยังปล่อยให้กูทำอะไร ....- - ทำกับมึง ” ไอ้เต้ยยังพูดไม่จบ
แต่ผมรู้ว่าจะพูดอะไร

“กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับมึงนะ ไอ้เต้ย กูแค่ .... ”

“มึงไม่ต้องแก้ตัว .. กูไม่อยากฟัง แค่นี้ก็พอรู้อะไรบางอย่างแล้ว ว่ามึงน่ะยังรักไอ้ปิงได้ไม่เท่ากับ
ที่มันรักมึงหรอก”

ผมนิ่งอึ้ง สิ่งที่ผมสงสัยมันค่อยๆชัดเจนมากขึ้น

“จำไว้นะ ถ้ามึงยังทำตัวแบบนี้ต่อไป ... ” มันก้มลงมาต่ำ

“กูก็ยังมีสิทธิ จำไว้ ... ” เต้ยมันพูดพร้อมกับกัดลงบนบ่าผมจนเจ็บ

“ไอ้เต้ย มึงทำอะไรโอ้ต” ผมได้ยินเสียงปิงดังขึ้นมาจากหน้าประตู

เต้ยหันหน้าไปหาต้นเสียง พร้อมกับโดนหมัดไอ้ปิงสวนเข้ามาเต็มๆ จนผมได้ยินเสียง พลั๊ก

“ปิง อย่า ... พอได้แล้ว” ผมรีบห้ามไอ้ปิงเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะต่อยไอ้เต้ยเป็นหมัดที่ 2 แล้ว
มันก็ยังยอมโดนต่อยอยู่ได้

“จำที่กูพูดไว้นะ ไอ้โอ้ต” เต้ยบอกผมก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป ข้าวของในห้องตอนนี้
กระจัดกระจายจนผมกับปิงต้องมานั่งเก็บใหม่

“ไอ้เหี้ยนั่นมันทำอะไรโอ้ต” ปิงถามผมด้วยความเป็นห่วง

ผมสั่นหน้า แล้วมองปิงด้วยความรู้สึกน้อยใจ ปนลำบากใจ

“ปิง ... มึงน่าจะบอกกูนะ” ผมพูดออกมาด้วยความยากเย็น ปิงไม่มองผมเหมือนจะหลบสายตา

“มึง ... รู้ใช่มั้ย ....................”

ปิงนั่งนิ่งเงียบ มือแทบไม่กระดิก

“…. ว่าไอ้เต้ยมันชอบมึง” ผมถามปิงทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

บางครั้งความรักก็เข้ามาหาเราเพื่อให้เราได้เรียนรู้ มิใช้ให้เราครอบครอง ...ไม่ผิดหากจะ
รักคนมีเจ้าของ แต่จะผิดหากเข้าไปทำหน้าที่ซ้อนคนอีกคน ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้กำลังทำ
หน้าที่ซ้อนกับใคร แต่สิ่งนึงที่ผมรู้สึกได้และทำให้เจ็บปวด ผมคงไม่ได้แย่งปิงมาจากไอ้เต้ยใช่มั้ย ....

* * * * * * * * * * * *

เมื่อก่อนผมมักคิดว่าตัวเองต้องเป็นคนมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่นอน ทำไมผมถึงไม่เคยคิด
เรื่องจะมีคนรัก มีแฟนอะไรทำนองนี้กับเค้าเลย สมัยม.ต้น ผมต้องพยายามปรับตัวเข้ากับเพื่อน
ใหม่ สังคมใหม่ที่กว้างขึ้นกว่าเมื่อประถม ผมสนุกสนานกับการได้นั่งเล่นเกมส์เพลสเตชั่น
ได้เล่นบอลกับเพื่อน(ในบางครั้ง) มา ม.ปลาย ความที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การที่จะมานั่ง
เล่นเกมส์เหมือนก่อนคงจะไม่ดี ผมจึงต้องตั้งหน้าตั้งตา และตั้งใจเรียน พร้อมกับปรับตัวอีกครั้ง
เพื่อให้เข้ากับสังคมที่โตขึ้น

แต่สิ่งที่ผมยังคงอยู่ คือการได้อยู่กับพวกเพื่อนฝูง ได้เฮฮา สนุกสนาน และได้เที่ยวมากขึ้น
แน่นอนผมก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกของการมีความรัก ต่างจากเพื่อนๆหลายคน
ที่จะเข้ามาจ้อเรื่องเด็กใหม่ที่อยากจีบ เข้ามาอวดเมื่อได้เป็นแฟน และเข้ามา ฟูมฟายเมื่อต้องเลิกกัน
หลายต่อหลายคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ... ผมยังเคยคิด ในวัยมัธยมนี้คงไม่มีโอกาสได้รู้จักคำว่ารักหรอก
ว่ามันเป็นแบบไหน

แต่แล้ววันนึง ผมก็ได้รับความรักโดยไม่ทันตั้งตัว และที่ไม่คาดคิด คนๆนั้นเค้าอยู่ข้างกายผมตลอด 4 ปี
ที่ได้รู้จักมันมา ถึงแม้ว่าจะพึ่งได้มาอยู่ใกล้ชิดกันก็ตาม ผมน่าที่จะสดชื่น รับความรู้สึกนั้น
มาด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม แต่ตอนนี้ ... ผมกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าการที่ผมตอบรับ
ความรักนั้นมา จะทำให้คนอีกคนนึงเจ็บปวด ...

ตั้งแต่เมื่อเช้า วันนี้ผมเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย หรือถ้าพูดให้ถูก มันไม่มีสมาธิจะเรียนมากกว่า
ในตอนกลางวัน ผมไม่ได้ลงมากินข้าวที่โรงอาหาร ด้วยเหตุผลว่า ผมไม่อยากเจอหน้าไอ้เต้ยอีก
จนโรงเรียนเลิก ผมก็รีบเดินจ้ำออกจากโรงเรียน โดยมีปิงเดินกึ่งวิ่งตามมาแต่ไกล

“โอ้ต .. ” ผมได้ยินเสียงปิงเรียก แต่เสียงนั้นฟังเหมือนจะห่างไกลเหลือเกิน

“เป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” ปิงถามด้วยความเป็นห่วง คงจะเห็นว่าตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาเมื่อตอนเช้า
ผมกลับกลายเป็นโอ้ตเหมือนเมื่อสมัยตอนที่เข้ามาโรงเรียนนี้ใหม่ๆ ที่เอาแต่นั่งซื่อเซ่อ ไม่พูดไม่จากับ
เพื่อน เงียบขรึม

“ไม่ได้เป็นอะไร” ผมตอบเสียงเรียบ ในใจซ่อนความครุกรุ่นอะไรบางอย่างเอาไว้

“ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ปิงยังคงเซ้าซี้ผม พร้อมกับเข้ามายืนชิดตัวผมมากขึ้น
แต่ยิ่งเข้ามา ผมก็ยิ่งเอาตัวออกห่าง จนมันรำคาญเลยคว้าคอผมกอดไว้

“ทำอะไรวะ ปล่อย” ผมพูดพอให้ปิงได้ยิน ไม่อยากให้เสียงดังจนคนอื่นที่รอรถโดยสารกลับอยู่ได้ยิน

“แค่กอดคอเฉยๆ ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า” ปิงหันมาบอกผม

“ทำไมต้องทำท่าทางไม่พอใจแบบนี้ด้วยล่ะ ”

ผมไม่ยอมพูดอะไรออกมา เอาแต่ชะเง้อมองดูรถกลับบ้านอย่างเดียว

“หึง – ล่ะ - ซิ” ปิงพูดขึ้นมา 3 พยางค์ แทงใจผมนักเชียว

“นั่นแน่ แล้วมาปากแข็ง ไม่ยอมพูดยอมจากับเค้า ที่แท้ก็ หึง นี่เอง” ปิงว่าพลางหัวเราะคิกคัก
แล้วก็ต้องหยุดไปเมื่อผมหันหน้าไปมองมัน

“พูดบ้าอะไรอยู่ได้วะ ”

ผมว่าพลางดึงมือมันที่กอดคอออก เพราะเห็นรถปอ 2 สีส้มวิ่งมาแต่ไกล

ปิงเห็นดังนั้นจึงคว้าแขน ดึงผมไว้ไม่ยอมให้ไป

“อะไรอีก เดี๋ยวกูขึ้นรถไม่ทันคนอื่นเค้า ”

“ไปหาอะไรกินกับเราหน่อยดิ แป็บเดียวเท่านั้นแหละ” ปิงส่งสายตาอ้อนวอนผม
อีกนึงระลอก ทำให้ผมจำเป็นต้องเดินตามมันไปแบบเงียบๆ

ปิงมันพามาที่ร้านขนมปัง เนยสด หน้าโรงเรียน

ปิงเดินนำหน้าไปหาที่นั่งในร้าน ซึ่งปกติแล้ว ถ้าเป็นตอนเย็นๆแบบนี้ ไม่ค่อยจะมีที่นั่ง
เท่าไรหรอก แต่วันนี้โชคดี หลังจากที่สั่งขนมปังเนยนม กับ นมสด เรียบร้อยแล้ว ปิงมัน
ก็เริ่มชวนผมคุย ผมก็เอ่อๆ อ่าๆ ไปตามนั้น ก็คนมันไม่มีกระจิตกระใจจะคุยอะไรนี่หว่า

“นี่ เมื่อไรจะเลิกโมโหหึงปิงซะที” มันพูดขึ้นมาหลังจากที่เห็นผมนั่งกินอยู่อย่างเดียว
ไม่พูดไม่จา

“ใครโมโหหึงฟ่ะ” ผมพูดเคืองๆ

“งั้นทำไม .... ” ปิงพูดพลางใช้สมองคิด

“งั้นเหรอว่า ... โอ้ตก็ชอบไอ้เต้ยมัน ถึงทำหน้าหงิกแบบนี้อยู่ทั้งวันแบบนี้ ”

ปิงคาดคั้นผม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันใด

“ป่าววววว” ผมร้องเสียงหลง จนโต๊ะข้างๆหันมามอง

ไอ้ปิงทำหน้าโล่งอก กลับมายิ้มได้แบบเก่า

“แล้วทำไมโอ้ตต้องมานั่งกลุ้มใจด้วยอะ ไอ้คนที่ต้องกลุ้มอะ นั่งอยู่ตรงนี้
เนี้ยะ” ปิงพูดพลางพยักหน้าไปมา

“คนรูปหล่อเนื้อหอมก็เงี้ย มีแต่คนรัก”

“ไอ้บ้า พูดได้ไม่อายปากเลยนะมึง” ผมพูดไป ขำไป

“555 ยิ้มได้ซะทีนะแฟนเรา มัวแต่นั่งหน้างอ ไม่หน้ารักเลยน้า” ปิงยิ้ม
แล้วยื่นมือมาหยิกแก้มผมอย่างรวดเร็ว

“ทำไรวะ เดี๋ยวคนอื่นเห็น” ผมพูดอย่างตกใจ เพราะคนในร้านก็ไม่ใช่น้อยๆ

“หยิบเศษอะไรที่ติดหน้าออกให้ตะหาก” มันแก้ตัว

“อย่ามาแก้ตัว จะมีอะไรมาติดหน้าได้ไง” ผมบอก

“ก็เสี้ยวหัวใจของปิงอะ มันกระเด็นไปติดที่หน้าไง” มันพูดพลางหัวเราะ ที่พูดประโยค
ชวนหดหู่ออกมาได้

“แหวะ กูจะอ๊วก แสดงว่าที่บอกว่ารักหมดกูหมดหัวใจเนี่ย ก็ไม่จริงเด๊ะ เห็นมีแค่เสี้ยวเดียวเนี่ย”
ผมบอก

“โอ๊ ม่ายใช่ ม่ายใช่ หัวใจปิง ให้โอ้ตหมดแล้วรู้ป่าว” มันพูดพลางหั่นขนมปังจนป่นคาจานไป
หน้าก็แดงไป

“แต่หัวใจมันมีหลายห้องไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดประชดขึ้นมา

“ห้องไหนมีไอ้เต้ยซ่อนอยู่ล่ะ”

“อะไรเนี่ย ทำไมต้องพูดถึงคนอื่นด้วยล่ะเนี่ย” ปิงมองผมด้วยสายตาขุ่นเคือง

“คนที่เค้าชอบเนี่ยนะ เรียกว่าคนอื่น”

“อ๋อ รู้แล้ว ที่ทำหน้าซังกะตายอยู่ทั้งวันนี่ เพราะหวงว่าปิงจะไปชอบไอ้เต้ยอีกคนล่ะซิ”
ปิงบอกเหมือนรู้ทันผม

ผมนั่งเงียบ พลางหันหน้าไปดูทางอื่น

“ฟังนะ ถ้าปิงชอบไอ้เต้ยอะ ป่านนี้ปิงเป็นแฟนมันไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้ใครบางคนมาพูด
กระทบกระแทก ประชดประชันอยู่แบบนี้หรอกนะ - - แล้วเวลาคนพูดด้วยอะ หันมามองเด้”

ผมยอมหันไปหามัน

“กู - - -”

“ถ้าไม่พูดดีๆกับเราอะ จับจูบกลางร้านแน่” ไอ้ปิงสวนกลับมาก่อนที่ผมจะด่ามัน

“เอ่อ ก็ได้ ... แล้วนายไม่สงสารมันเหรอไง”

ปิงยกแก้วนมขึ้นมาดื่ม แล้วถอนหายใจ

“ความสงสาร มันก็เปลี่ยนเป็นความรักไม่ได้หรอก” ปิงบอกผม สีหน้าขมขื่น

“โอ้ตรู้มั้ย วันที่เต้ยมันบอกชอบปิงน่ะ ปิงเสียใจแค่ไหน”

ปิงทำหน้าเศร้าขึ้นมาจริงๆ ผมเลยเอื้อมไปจับมือเอาไว้

“ขอโทษนะ เราขอโทษ” ผมไม่สามารถสรรหาคำอื่นใดมาพูดได้อีกต่อไป

ปิงมองหน้าผม แล้วยิ้ม “โอ้ตเป็นผู้ชายคนแรกที่เรารักนะ ... .. แล้ว- - -”

“แล้ว ... อะไร” ผมมองหน้ามันเขินๆ

“แล้ว ... นายจะเป็นคนสุดท้ายที่เรามอบความรักให้ ”

“ปิง อนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอนหรอก ซักวันเราจะต้องแยกย้ายกัน ไม่ใช่เหรอไง”

ปิงทำคิดอยู่แว่บนึง ก่อนจะบอกผม

“ต่อไปข้างหน้า มันจะเป็นยังไงก็ช่างเหอะ ขอแค่วันนี้ ... เราแค่เชื่อใจซึ่งกันและกันก็พอ ”

ปิงบอกผมพลางเอามืออีกข้างกุมมือผมไว้อย่างแนบแน่น เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มได้
ผมยิ้มด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ความรู้สึกที่ไม่ต้องปิดบังหัวใจตัวเองอีกต่อไป หัวใจที่มี
คนช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ...

* * * * * * * * * * * *


“เฮ้ออออ จบม.4 ซ้าที” ปิงเดินเข้ามาทักผมในวันสุดท้ายของการเรียนการสอน 

“อือ แล้วไงอะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“วันพวกไอ้ท็อปบอกว่า จะไปกินหมูกระทะกัน ไปป่ะ” ผมมองปิง แล้วก็ตอบตกลง

“สัญญาแล้วนะ”

“เออ รู้แล้ว งั้นเดี๋ยวเอาสมุดเซ็นไปเก็บห้องปกครองล่ะกัน ” ว่าแล้วผมก็วิ่งไปผ่านหอประชุม
ก็เจอใครบางคนที่เหมือนจะดักรอผมอยู่นานแล้ว

“ว่าไง” ไอ้เต้ยเป็นคนทักผมก่อน

ผมตกใจพอควรกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของมัน แต่ก็พยักหน้ากลับไป

“ทำธุระเสร็จแล้ว มาหาที่หลังหอประชุมหน่อย มีเรื่องคุยด้วย” มันบอกผม พอดีกับที่ปิงวิ่งตาม
เข้ามาพอดี ไอ้เต้ยก็เดินเลี่ยงออกไป

“มันมาหาเรื่องอะไรกับโอ้ตอีกเหรอเปล่า” ปิงถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก” ผมบอกปิงพลางตบไหล่เบาๆ จากนั้นก็เอาสมุดเซ็นไปเก็บ แล้วก็
เซ็นอะไรอีกนิดหน่อย

“ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆกันป่ะ” ปิงเดินเข้ามาทำท่าจะจูงผม

“เฮ้ย ไม่ต้อง .. เออ คือ เดี๋ยวเราไปหาอาจารย์ก่อนแป็บนึง เดี๋ยวตามไป ปิงไปก่อนเหอะ” ผมบอกมัน

“อาจารย์คนไหนอะ เดี๋ยวปิงไปด้วย” ปิงทำท่าจะตามผมไปให้ได้ จนผมต้องงัดกลยุทธพูดจาหว่าน
ล้อมสารพัด จนมันให้เวลาผม 20 นาที ผมรับคำ แล้วก็รีบไปที่นัดหมายทันที

“ทำไมนานจังวะ” เต้ยหันมาว่าผมพลางชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือ

“ไม่ต้องมาว่า มีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดมา กูมีเวลาน้อย” ผมบอกอารมณ์เสียๆ

“เออเนอะ คนเรามันมีแฟนแล้ว ก็ต้องเอาเวลาให้แฟนหมดล่ะ” ไอ้เต้ยเริ่มกวนประสาทผม

“ถ้าจะเรียกมาจะพูดแดกดันกันแบบนี้ กูไปล่ะนะ” ผมว่าพลางหันหลังกลับ ไอ้เต้ยมันก็รีบ
ดึงเสื้อผมไว้

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ แหม พูดแค่นี้ทำเป็น .... - - เออ จะพูดล่ะ” มันว่าพลางทำท่าทางเหมือนจะกล่าว
สุนทรพจน์ บรรยากาศมาคุในตอนแรกเริ่มจางหายไป แต่ผมก็ยังไม่วางใจ เมื่อมันหันมาทำ
สีหน้าจริงจัง

“สองสามวันที่ผ่านมา กูพยายามโทรฯไปหาไอ้ปิง - - ”

“อือ”

“แต่มันก็ไม่เสือกรับโทรฯกูเลย - - ”

“เออ”

“กูพยายามโทรหามันจนมันรับสาย กูถามว่า ทำไมมันถึงไม่ยอมรับโทรฯกู - - ”

“อืม”

“รู้ม่ะ มันว่ากูว่าไง - -”

ผมสั่นหน้า ก็ใครมันจะรู้ฟ่ะ ถามแปลกๆ ไอ้นี่

“มันบอกว่า มันคิดว่ากูเป็นคนมีเหตุผลพอ มันไม่นึกว่ากูจะมาหาเรื่องมึง ไม่นึกว่า
กูจะใช้กำลังกับเพื่อนได้ - - โดยเฉพาะกะมึง” มันชี้มาที่ตัวผม

เต้ยหยุดพูด พลางทำหน้าเศร้าๆ

“เชื่อม่ะ มันพูดแค่นั้น กูก็นั่งร้องไห้กับมัน - - คนหยั่งกูเนี่ย” เต้ยเริ่มพูดเสียงสั่น
แต่พยายามควบคุมอารมณ์ไว้

“กูไม่รู้หรอกนะ ว่ามันกลัวว่ากูคิดจะทำอะไรโง่ๆเหรอเปล่า มันถึงได้รีบขี่มอไซต์มาหาที่บ้าน
ก็กูเสือกร้องไห้ซะขนาดนั้น - -”

“- - พอกูเจอหน้ามัน ก็ด่ามันว่ามันอะ ไม่รักเพื่อน เห็นแก่ตัว แถมทำท่าจะชกมันอีกนะ ...
เลวจริงๆ กู ”เต้ยว่าพลางจับหัวตัวเอง เหมือนรู้สึกผิด

“แล้วไอ้ปิง ก็เดินเข้ามากอดกู ทั้งที่กูทั้งด่า ทั้งจะชกมัน ทั้งเกือบจะทำร้ายแฟนของมัน”
พอพูดถึงตรงนี้ ไอ้เต้ยหันมามองผม

“แต่มันก็เข้ามาปลอบคนอย่างกู” เต้ยตบหน้าอกตัวเองแรงๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

“มันบอกว่า มันไม่เคยนึกเกลียดกูเลย ถึงแม้ว่ากูจะทำอะไร - - เพราะว่ากูเป็นเพื่อนที่มันรักที่สุด”
ผมมองผ่านสายตาของไอ้เต้ยที่มีน้ำใสๆเอ่อท้นมาอีกครั้ง

“แล้วทุกสิ่งที่ทำลงไป มันทำให้รู้ว่า กูต่างหากที่เป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด” เต้ยมองผม

“กูควรจะดีใจ ที่เห็นคนที่กูรักมีความสุขใช่มั้ย”

ผมไม่รู้จะตอบเต้ยว่ายังไง แต่รู้ว่าเค้าพยายามจะขอโทษผม ทั้งๆที่ผมไม่สมควรที่จะได้รับ
คำขอโทษนี้เลยจริงๆ

“กูก็ต้องขอโทษมึงนะ เต้ย กูไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย” ผมบอกไปด้วยใจบริสุทธิ์ที่สุด

“แต่กูเชื่อนะ ว่าวันนึงมึงต้องเจอคนที่ดีๆไม่แพ้ ไอ้ปิงหรอก”

เต้ยยิ้มเล็กๆให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้ว

“กูรู้ ว่าทำไมไอ้ปิงถึงชอบมึง .. โอ้ต ขอให้มึงสองคนโชคดีนะ” พูดเสร็จเต้ยมันก็เดินเข้ามากอดผม
ผมรับกอดมันไว้ และค่อนข้างแน่ใจว่า เต้ยมันต้องการส่งผ่านอ้อมกอดที่อบอุ่นครั้งนี้ฝากถึงปิงแน่

“ขอบใจนะ เต้ย แล้วจะไม่เจอปิงมันก่อนเหรอ อย่างน้อยจะ - -”

เต้ยสั่นหน้า

“กูว่า ไม่เจอมันอะดีที่สุดแล้ว .... จริงๆ กูมีเรื่องจะบอกมึงอีกเรื่องนึง”

เรื่องอะไร

กูโดนปกครองให้ออกวะ เหอๆ มันพูดหน้าเป็น แต่ทำเอาผมตกใจสุดๆ

เฮ้ย ทำไม - - -

ก็กูเก ซะขนาดนี้ เค้าให้อยู่จนจบ ม.4 ก็ดีถมไปแล้ว มันว่า แล้วก็เอามือมาแตะบ่าผมอีกครั้ง

กูฝากปิงด้วยนะ

มึงจะไม่บอกปิงมันหน่อยเหรอ

ไม่ล่ะ กูไม่รู้จะบอกมันยังไง มันต้องด่ากูแน่ๆเลย

“ตามใจ โชคดีละกัน เต้ย”

“มึงก็เหมือนกันโอ้ต .... ” เต้ยเดินผละจากผมมา พร้อมกับบอกคำพูดสุดท้าย

“ฝากไอ้ปิงด้วยนะ”

“อือ” ผมรับคำ ยิ้มให้มันก่อนที่เราทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #24 เมื่อ23-10-2006 05:13:28 »

มีคนบอกว่าหลังฝนตก ฟ้ามักจะสดใสเสมอ แต่คำนิยามนี้ คงใช้กับผมไม่ได้ คืนนี้สายฝน
เริ่มตกมาปรอยๆ และหนักขึ้นทุกทีเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งที่พึ่งหยุดเทอมเข้าหน้าร้อนได้ไม่ทันไร
ผมนั่งมองฝนตกอยู่ภายในบ้านด้วยความเบื่อหน่าย และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  

“ สวัสดีครับ” ผมรับโทรศัพท์เสียงหง่อย

“ทำอะไรอยู่ ว่างเหรอเปล่า” เสียงปิงดังผ่านเข้ามา

“ว่าง นั่งดูฝนตกอยู่ ”

“นั่งทำมิวสิควีดีโออยู่ ? ”

“ไอ้บ้า มิวสิคบ้าไร คนยิ่งเซ็งๆอยู่ ”

“แล้วจัดของเสร็จเรียบร้อยยังงง” ปิงมันทำเสียงอ้อนแบบเด็กๆลอดผ่านสายโทรศัพท์

“ยังเลย ของโคตรเยอะเลยหว่ะ สงสัยพรุ่งนี้ไม่ได้ไปแน่เลย” ผมลองแหย่มันดู ทั้งๆที่ก็จัด
ของทุกอย่างเรียบร้อย

“โห จัดของอะไรมากมาย ไม่ได้จะย้ายบ้านซะหน่อย แค่ไปเชียงใหม่แค่ 3-4 วันเองนะ”
ปิงแขวะ

“อีกอย่างขืนแบกของไปเยอะ กว่าจะไปขึ้นรถที่กรุงเทพ กว่าจะต่อรถไปเชียงใหม่อีก เหนื่อยตาย ”
มันบรรยาย

“ไรเล่า ก็ช่วยแบกดิ บ่นไปได้ ”ผมบอก

“แต่ฝนยังตกหนักแบบนี้อีกตะหาก อดไปแน่ ”

“โห นั่งรถไฟไปกลัวอะไร ที่โน่นฝนอาจไม่ตกเหมือนเพชรฯก็ได้นิ แล้วอีกอย่าง ไม่เคยได้ยิน
เหรอไง ว่าหลังฝนตก ฟ้าจะสดใส เด๋วก็หายตกแล้วคืนนี้” ปิงบอกผมท่าทางเชื่อมั่น

“เอ ... แล้วทำไมต้องมี จะด้วยล่ะ มันจะสดใสเลยไม่ได้เหรอไง” ผมถาม

“จะรู้มั้ยล่ะ เอาเป็นว่า เผื่อมันไม่สดใสขึ้นมา จะได้ไม่มาว่าปิงไง แฮะ แฮะ” มันตอบแก้ขวย

“แต่ที่แน่ๆอะ ถึงฟ้าไม่สดใส แต่จะมีใครบางคนฟ้าเหลืองแน่” มันพูดพลางหัวเราะ

“ไอ้ลามก เก็บไว้เหลืองคนเดียวเหอะมึง ... ไม่มีไรแล้วใช่ป่ะ จะนอนแล้ว” ผมบอกพลาง
หาวหวอด

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ รีบขึ้นรถมาอย่าตกขบวนล่ะ” ปิงย้ำกับผม

“อือ... ”ผมรับคำ

“โอเค แล้วจะไม่บอกที่บ้านก่อนจะดีเหรอ ว่าจะไปเที่ยวอะ” ปิงถามด้วยความกังวลเล็กๆ

“บอกไปแม่กูเอาตายแน่ ไปเชียงใหม่นะ ”

“อืม เจอกันพรุ่งนี้ที่รัก .. หุหุ ” แม่งไม่วายหยอดปิดท้าย

หยุดเทอมหน้าร้อน ม.4 ของเราสองคน ปิงมันอยากจะไปเที่ยวที่ไหนซักที่นึง แล้วมันก็เสนอ
อยากจะไปเชียงใหม่ขึ้นมา ผมได้ยินตอนแรกก็รีบปฏิเสธมันทันทีเลย เชียงใหม่ เป็นอะไรที่ไกล
ในความรู้สึกผมมากแต่จนแล้วจนรอด มันก็คะยั้นคะยอให้ผมไปจนได้ .. ผมก็ไม่กล้าขัดใจ
มันหรอก เพราะใจจริงก็อยากไป
เที่ยวอยู่เหมือนกัน ฮ่ะฮ่ะ

วันต่อมา มันก็รีบไปจองรถไฟทันที แต่นับว่าลำบากนิดนึง เนื่องจากว่าพวกเราต้องนั่งรถไฟ
ไปหัวลำโพง
ก่อนที่จะสับขบวนไปขึ้นรถไฟที่จะไปเชียงใหม่

“ปิงเคยไปมาก่อน ไม่ต้องห่วงหรอก”

“เจงซิ ไปรถไฟอ่ะนะ”

“ปล่าว ไปรถยนต์ พ่อขับ”

“อ้าว ไอ้เวร”

มันว่าแบบนี้ … สงสัยมีหลงชัวว์

* * * * * * * * * * * *


เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมยกสัมภาระขนขึ้นรถไฟจากสถานีชะอำ โดยที่ปิงมันจะขึ้นที่สถานีเพชรบุรี  

“ไปกรุงเทพแค่นี้ ทำไมหอบของไปเยอะแยะแบบนี้” เสียงแม่บ่นพึมพำ ผมบอกที่บ้านว่า
มาค้างบ้านเพื่อนที่กรุงเทพ เพื่อนที่ว่าก็ไอ้ปิงน่ะละ

“โห ก็เหลือดีกว่าขาดน่าครับแม่” ผมแก้ตัว

ไม่นานเกินรอ ขบวนรถไฟก็ค่อยๆมาจอดเทียบชานชรา

“ถ้ามีอะไร แม่ก็โทรมาที่เบอร์มือถือเพื่อนโอ้ตนะ” ผมว่า พลางโบกมือบ้ายบายหยอยๆ

รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน พร้อมกับผู้โดยสารค่อนข้างบางตา ผมเดินเลือกหาที่นั่งอย่างสบายใจ
ความจริงอีกใจนึงผมก็อดกังวลไม่ได้ที่เดินทางไกลแบบนี้เป็นครั้งแรก หน่ำซ้ำยังไปกันแค่
เด็กๆ 2 คนอีกต่างหาก

ไม่นานนัก ขบวนรถไฟก็เคลื่อนมาจอดถึงสถานีเพชรบุรี สายตาผมก็กวาดไปรอบๆหาตัวไอ้ปิง
ให้เจอ เพราะถ้ามันเกิดพลาดขบวนนี้ไป ผมก็คงต้องไปกรุงเทพคนเดียวละซิ ตายแน่ครับ

“มองใครอยู่จ๊ะ …สุดหล่อ”ไอ้ปิงเดินเข้ามาอีกด้านนึงที่ไม่ได้อยูในระยะสายตาของผม

“ควายเอ้ย นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว” ผมด่ามันทีทำเอาใจหายใจคว่ำ

“โห ดูพูดกับแฟนดิ” มันพูดพลางโน้มตัวมาในระยะสายตา

“เด๋วปั๊ด .. บอกแล้วไงว่า พูดไม่เพราะเด๋วมีจูบ” มันพูดพร้อมกับเลื่อนปากมาประทับที่
ปากผมด้วยความไวแสง

“ไอ้ ….” ผมยังไม่ทันถีบมันก็เผ่นไปเอาสัมภาระวางไว้ด้านบน แล้วก็วิ่งมานั่งด้านข้างผม

“กว่าถึงเชียงใหม่นานป่ะ” ผมถามแบบไม่รู้จริงๆ เพราะไม่เคยไปเลยในชีวิต

“2 วันถึง ”ปิงตอบหน้าเรียบ

“2 วันนนน ”

“5555 พูดเล่น แต่ว่าจาไม่ไปเชียงใหม่เลยนะ”

“อ้าว ไมล่ะ”

ไอ้ปิงยิ้มน้อยๆ ให้ผม แล้วพูดขึ้นมา ว่าจะไปแวะลงพิษณุโลกก่อน แล้วก็ต่อรถไฟไปเชียงใหม่
ผมมองเหล่ๆไปทางมัน

“รู้เส้นทางดีจังนะ”

ไอ้ปิงส่ายหน้า “ดูตามแผนที่เอา ”

ว่าแล้ว มันก็ชูแผนที่อันมหึมาขึ้นมา

“เนี่ย ดูแผนที่ 2 วัน 2 คืน เต็มๆ เกือบไม่ได้นอนเลย เป็นไง” มันพูดไปยิ้มไปเหมือนจะภูมิใจ
ซะงั้น แต่สำหรับผมความคิดในตอนนี้คือ พวกกูหลงชัวว์

ประมาณ เกือบเก้าโมงเช้า ผมก็มาถึงสถานีหัวลำโพงครับ คนไม่ค่อยแน่นเท่าไรครับ อาจเพราะว่า
เลือกมาวันธรรมดาด้วย จากนั้นก็นั่งรถด่วนพิเศษไปพิษณุโลกถึงก็เกือบประมาณ บ่ายสี่โมงเลย
นั่งแบบโคตรเมื่อยตูด พวกผมก็เดินทางเข้าตัวเมืองพิษณุโลก อย่างที่บอกว่า ตอนจองโรงแรม
เราจองเฉพาะที่เชียงใหม่ ส่วนที่นี่ดันไม่เสือกจอง ก็เลยต้องมานั่งรถตระเวณหาโรงแรมกันจนเกือบมืด

“ไปไหว้พระกัน”ปิงชวนผมหลังจากที่ขนสัมภาระเข้ามาเสร็จแล้ว

แล้วมันก็ชวนขึ้นรถไปไหว้พระพุทธชินราชกัน เรามาถึงวัดก็เกือบจะปิดพอดี ทั่วบริเวณก็พอมี
นักท่องเที่ยวอยู่บ้าง หลังจากที่เราไหว้พระกันเสร็จ ก็ได้เวลาหาอะไรใส่ท้องกัน กว่าจะถึงที่พักก็
เกือบเที่ยงคืน

“ง่า ได้นอนซะที” ปิงบอกพลางล้มตัวลงนอนบนฟูกนิ่มๆ

“ไอ้ปิง อย่าซกมกไปอาบน้ำได้แล้ว ไป… ”ผมว่าพลางเดินออกจากห้องน้ำ

“ไม่อะ ไม่มีคนอาบให้นี่นา ” แล้วก็ส่งสายตามาทางผมเป็นนัยๆ

“มีมือ มี … เท้า ก็อาบเอง ”ผมว่า พลางเช็ดหัวพลางไม่สนใจ

“โห ใจร้ายหว่ะ พูดกับแฟนตัวเองแบบนี้ได้งาย” มันก็ลุกขึ้นมานั่งกอดข้างหลังผม

“เฮ้ย เหนียวตัวเว้ย พึ่งอาบน้ำเสร็จ ไปอาบบเลยไป้” ผมเริ่มไล่ไอ้ตัวแสบ

“ไม่อะ ง่วงง”

“ไปอาบเด๋วนี้ ไม่งั้นเจอถีบ” ผมลองขู่มัน

“โห แรงหว่ะ” มันว่าพลางเดินก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องน้ำไป พอออกมาก็ไม่พูดไม่จา
ล้มตัวลงนอนกรนคร๊อกฟี้ … อืม สงสัยมันคงจะนอนดูแผนที่ทั้งคืนจริงๆอะแหละนะ

* * * * * * * * * * * *


“อืออ …. จะทำอะไรอะ อย่านะไอ้ปิง” ผมรู้สึกเสียวแปลกๆ จึงลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือ
ปิงกำลังลูบไล้ตัวผมอยู่ พร้อมกับค่อยๆเลื่อนมือลงไประหว่างขา  

“อย่า … ปะ ปิง เรามาเที่ยวกันนะ” ปิงไม่ได้พูดอะไรกลับมา แต่มันค่อยๆไล้ริมฝีปาก
ไปทั่วหน้าผม จนในที่สุดก็มาหยุดที่ปาก ลิ้นสากๆของมันก็ควานเข้ามาพันจนผมรู้สึกอึดอัด
จะดิ้นก็ไม่มีแรง เมื่อมันเห็นว่าผมไม่ได้ขัดขืนอะไรเท่าไร มือของมันที่อยู่ด้านล่าง ก็ค่อยๆ
ล้วงเข้าไปในกางเกงผม พร้อมกับสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่กำลังแข็งตัวอย่างรวดเร็วของผม

“อะ อ่า ……” ผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมือปิงเข้ามาจับของสงวนของผม
พร้อมค่อยๆรูดขึ้นรูดลงอย่างช้าๆ ปากก็ทำงานด้านบน แล้วค่อยไซร้ลงมาเรื่อย จากซอกคอ
มาจนถึงหน้าอก เรื่อยลงมาจนถึงด้านล่าง

“ปิง .. อย่า ” .ผมกำลังจะห้ามเมื่อเห็นปิงมันกำลังจะครอบริมฝีปากชมพูดอ่อนๆของ
มันลงบนน้องชายของผม ปิงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม ก่อนที่จะก้มลงไปดูดแท่งไอติมของผม

“เฮือก …. อ่าา เสียว” ผมหลับตาปี๋ พร้อมกับครางดังลั่นห้อง ดูท่าทางปิงคงจะชอบรสชาติ
ไอติมแท่งนี้มาก ทั้งดูด ทั้งเลีย จนผมหายใจแทบไม่ทัน แฮ่ก แฮ่ก โอ่วววว ไม่เคยรู้มาก่อนว่า
ให้คนอื่นดูดให้มันจะมันส์ขนาดนี้ ผมคิดพร้อมกับใช้มือจับหัวไอ้ปิงไว้ พร้อมกับโยกไปตามจังหว่ะ

“ปิง ปิง ม่ะ ไม่ไหวแล้ว จะ จะ …… แล้ว” ผมครางออกมาด้วยความเสียว เพราะใกล้จะแตก
เต็มทน แล้วปิงก็ถอนปากออกมา ท่านี้มันดูเซ็กส์มากครับอยากจะบอก พร้อมกับยิ้มให้ผมจน
เห็นเขี้ยวยาวของมัน

เอ๊ะ …. เขี้ยว !?

ยังไม่ทันได้คิดต่อ ปิงก็ก้มลงไปใช้ปากกับน้องชายของผมอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิม
ทั้งกระแทกกระทั้นจนผมรู้สึกเจ็บ (แต่ก็ยังมันส์อยู่)

“อะ อ๋ออยยย อะ โอ้ย จะ เจ็บ เจ็บ ไอ้ปิง เจ็บ” ผมชักรู้สึกไม่ดีซะแล้วเมื่อมันชักรุนแรง
จนต้องพยายามผลักหัวมันออกไปจากแท่งเนื้อ แต่มันก็ยังไม่ยอมหลุดซะที ท้ายที่สุด มันเงยหน้า
มาอีกรอบ ผมแทบช็อค เมื่อเขี้ยวที่เห็นเมื่อกี้ มันงอกยาวจนเหมือนมีดสปาต้าร์ แล้วไม่ทันคาดคิด
มีดยาวก็ฟันฉับที่น้องชายของผม กระเด็นคาปากของมัน

“ไอ้เชี่ยปิง กัด Kกรู ไอ้สาดดดดดด” ผมตะโกนด่ามันพร้อมกับลุกขึ้นจะชก แต่มันไวกว่า
ขึ้นมาคร่อมผม พร้อมกับตบหน้า ซ้ายที ขวาที จนผมคอพับคออ่อน มันก็ยังไม่เลิกตบ ….

“อะ โอ้ย เจ็บ เจ็บ เลิกตบซะทีได้มั้ยยย” ผมจับมือมัน พร้อมกับลืมตาตะโกนใส่มันสุดเสียง
ไอ้ปิงถึงกับหน้าเหวอ

“ขอโทษ ก็เห็นไม่ยอมตื่นนี่ แล้วยังละเมออะไรเสียงดังซะ …” ปิงพยายามอธิบาย เพราะระหว่าง
ที่มันกำลังเข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ ผมก็ละเมอดังลั่น ประมาณว่า อย่า อย่า ….

“นี่ ถามจริงเหอะ เมื่อคืนฝันอะไรอะวะ เช้าขึ้นมาไม่พูดกับปิงซักคำ” ปิงซักผมระหว่างที่เรากำลัง
เดินทางกันต่อ

“ป่าว ไม่ได้ฝัน” ผมยังคงรู้สึกเคืองๆ มันนิดหน่อย คงเป็นอารมณ์ที่ยังค้างติดอยู่กับความฝันเมื่อเช้านี้

“อย่าให้จับได้นะ ว่าฝันอะไรแผลงๆอะ” ปิงยั่วผม จนรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงตะหงิดๆ บ้าชะมัด
ผมฝันบ้าบออะไรเมื่อคืน สงสัยคงไม่ถูกับอาหารพิษณุโลกแหง่มๆ

เราเดินทางกันต่อกันตอนบ่าย มาถึงเชียงใหม่ก็ช่วงค่ำ รถไฟพาหนะแสนหรูก็พามาจอดเทียบ
ชานชราจังหวัดเชียงใหม่ มาถึงมันก็นำผมไปเรียกรถแดงไปส่งที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ผมก็
ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก แต่ก็คิดว่า มันก็พอจะพึ่งพาได้เหมือนกัน มาอาบน้ำกันเสร็จ ไอ้ปิงมันก็
ยังอยากไปเดินไนท์บาซา

จากที่พักจนถึงไนต์บาร์ซาผมก็นั่งหัวสั่นหัวคร่อนไปเป็นระยะๆ ผมสังเกตุดูรู้สึกว่า ทีนี่จะค่อนข้าง
คึกคัก ไม่เหมือนแถวโรงแรมเลยทีเดียว คนโคตรเยอะเลย ของก็โคตรเยอะ อะไรก็เยอะไปหมด
แต่คนน่ารักไม่ค่อยเยอะแฮะ (ซะม่ะไหร่ล่ะ ตรึมครับตรึม ฮ่ะฮ่ะ)

“พรุ่งนี้มีโปรแกรมไปดอยสุเทพกัน” ปิงบอกแผนการ

“แล้วก็ไปน้ำพุร้อนกัน”

“แล้ววันกลับก็ค่อยไป บ่อสร้างกัน” มันว่า ผมก็พยักหน้าเออออ ตาม เพราะไม่รู้อะไรนี่นา
แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า รถสามล้อที่นี่ขับรถเร็วโคตรเลย ระหว่างที่เราตัดสินใจโบกกลับที่พักในคืนนั้น

เช้าวันต่อมา อากาศสดชื่น สดใส ทำให้ผมรู้สึกมึนหัวแปลกๆ ทั้งที่บรรยากาศดีแบบนี้น่าจะรู้สึก
กระตือรือล้นที่จะทำกิจกรรม ไม่เหมือนไอ้ปิงที่ดูจะสดชื่นทุกวินาที

“ไปกันยัง เร็วเหอะ เดี๋ยวคนจะเยอะ” ปิงว่า พลางคะยั้นคะยอ

“ปวดหัวหว่ะ ไม่รู้เป็นไร” ผมนั่งบ่นอยู่บนเตียง

“โห ไรอะ” มันทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แล้วก็เดินเข้ามา นั่งข้างหลังผม

“มาเดี๋ยวปิงนวดให้ รับรองหาย” ว่าแล้วก็ค่อยๆกดมือลงบนไหล่ผมเบาๆ

ลมหายใจของปิงแทรกผ่านลำคอผมแผ่วเบา จนทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ผมค่อยๆ
เอนหลังไปพิงที่ตัวของปิง มือปิงจากที่นวดไหล่ผม เปลี่ยนมาเป็นโอบกอด พร้อมกับซุกหน้าไว้
บนบ่าผม

“ไม่อยากลุกไปไหนเลยหว่ะ” ผมเผลอพูดความรู้สึกออกไปโดยไม่รู้ตัว

ปิงหอมแก้มผมนึงที

“ทำไมวันนี้รู้สึกพูดเอาใจจัง”

“ไม่ได้พูดเอาใจซะหน่อย แต่มันรู้สึกแบบนี้นี่หว่า” ผมบอกไปเขินไป ปิงมองมาซักพัก
ก่อนที่จะโน้มตัวมาด้านหน้า พร้อมกับประกบริมฝีปากด้วยความแผ่วเบาแต่อ่อนโยน
เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ขัดขืน พร้อมกับเอื้อมมือลูบท้ายทอยเบาๆ ปิงถอนปากออก ยิ้มหวาน

ผมเห็นปิงที่อยู่ตรงหน้า ช่างเป็นภาพที่ผมไม่ลืมเลือน รอยยิ้มที่สดใส อบอุ่น มีเสน่ห์ในแบบ
ของเค้า ผมเอื้อมมือไปลูบไล้ที่ใบหน้าของปิง เจ้าตัวไม่ได้ปัดป้องอะไร แต่กลับหลับตา
ปากก็ยังอมยิ้มให้ผมอยู่ ผมพยายามจดจำใบหน้าของคนที่ผมรักไว้ให้มากที่สุด โดยที่ไม่รู้สึก
ตัวเองว่า ทำลงไปทำไม …

“คิก เล่นอะไร เสียวนะเว้ย” ปิงจับมือผมออกจากหน้าของเค้า

“ถ้ารู้ว่าเล่นด้วยแบบนี้ เมื่อคืนไม่ปล่อยให้รอด มาลูบแบบนี้ร๊อกก” มันพูดยั่วผมอีก พลาง
จับมือผมฉุดให้ลุกขึ้น

“ไม่ไปไม่ได้เหรอวันนี้”

“ม่ายด้ายย อุตสาห์มาเชียงใหม่ทั้งที ถ้าไม่ได้ไปดอยสุเทพ ก็เหมือนไม่ได้มาอะดิ ไปเร็ว อย่าดื้อ”
ปิงบอกผม พร้อมกับใช้กำลังบังคับมาขึ้นรถจนได้

* * * * * * * * * * * *


“โอ้ตไหวเหรอป่าว” ปิงถามผมขณะที่ต้องนั่งรถขึ้นมาบนดอยสุเทพ  

“เวียนหัวนิดหน่อย แถมหูมันอื้อๆด้วย” ผมตอบ

“ก็งี้แหละ ทนหน่อยนะ ขึ้นมาบนดอย”

ผมมองหน้ามันแล้วยิ้ม

“ยิ้มอา – ไร” ปิงถามทำหน้าเขิน

“อือ ... เก่งวิทย์นี่นะ คราวก่อนก็มุมอาซิมุส คราวนี้ก็แรงดันอากาศ” ผมแซว

“แต่มีอีกวิชาเก่งกว่านี้อีก” ปิงหันหน้ามาทำเสียงหื่น

“เพศศึกษาไง”

“ไอ้บ้า ..หันหน้าไปเลยป่ะ”

หลังจากที่รถพาเราวนขึ้นไปถึงดอยด้วยความยากลำบาก เพราะนอกจากทางเป็นภูเขาแล้ว
รู้สึกว่าคนที่มาเที่ยวก็มากพอสมควร มาถึงจุดหมายในเวลาบ่ายแก่ๆ

“อธิฐานอะไรล่ะ” ผมถามปิง เพราะเห็นมันนั่งสวดอยู่เป็นนานสองนาน

“ไม่บอก ... ”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่

“เด๋วรู้ .. ”มันตอบกวนตีน

พวกเราใช้เวลาในการเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจขับรถลงเข้าตัวเมือง ซึ่ง
กว่าจะถึงโรงแรม ก็เกือบค่ำแล้ว

“คืนนี้ไปกินข้าวไหนดีอะ”ปิงถามผมเสียงเพลีย

“กินในโรงแรมนี่แหละ ขี้เกียจออกไปข้างนอก” ผมตอบ

“โห ไปเหอะ เดี๋ยวมะรืนก็กลับแล้ว นะ นะ” ปิงอ้อนผม

สรุปว่า ค่ำนี้ หลังจากที่เราปล่อยให้โชเฟอร์รถตุ๊กตุ๊ก แนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ก็ได้มานั่งอยู่ที่
ร้านอาหารร้านหนึ่งแถวคูเมือง

“รู้ป่าว ในบรรดาอาหาร 4 -5 ภาคเนี่ย ปิงชอบอาหารเหนือที่สุดเลย” มันว่าพลางตัก
แกงฮังเลซดเฮือก

“เฉยๆหว่ะ มันไม่ค่อยคุ้นลิ้นด้วยล่ะมั้ง แล้วมันก็โคตรเผ็ดเลย” ผมบ่น

ลมเย็นๆพัดผ่านมาวูบใหญ่ ผมเห็นปิงเงยหน้าสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด ใบหน้าเปื้อนยิ้มของปิง
ดูมันช่างน่าหลงใหล

“รู้มั้ย ทำไมปิงอยากมาเชียงใหม่” ปิงถามผมพลางเอาหลอดวนในแก้วเหมือนเด็กๆ ไม่ทันที่
จะรอให้ผมตอบคำถาม มันก็ชิงตอบก่อน

“ปิงอยากมีความทรงจำดีๆกับคนที่ปิงรัก .. ที่นี่ ”

“อยากพาโอ้ตมาเห็นบ้านเกิดของปิง” เค้าบอกผมพลางเอื้อมมากุมมือผมเบาๆ

“ปิงเกิดที่นี่ ?? ”

ผมถามด้วยความฉงน เพราะปิงไม่เคยบอกผมเลย และก็แน่ใจว่าไม่เคยบอกใครๆในห้องด้วย

“แล้วไม่เอะใจเหรอไงว่า ทำไมเราถึงชื่อ – ปิง-” มันพูดยิ้มๆ

“... อ๋อ ก็เพราะ เพราะ เออ เพราะ ....เชียงใหม่ มีแม่น้ำ ปิง ไหลผ่าน ใช่ป่ะ ” ผมบอก

“แม่เห็นแม่น้ำปิงช่วงที่มาเที่ยวเมืองเชียงใหม่กับพ่อ ตอนกำลังท้องปิงได้เกือบ 8 เดือน ...
คิดดูท้องขนาดนั้นแล้วยังพามาเที่ยวไกลขนาดนี้ ไม่ห่วงลูกตัวเองมั่งเล้ยยย ” มันเล่าไปยิ้มไป

“แต่ก็รอดมาได้ถึงป่านนี้นี่นา” ผมบอก

“ช่าย ... แล้วอีกวันสองวัน แม่ก็คลอดปิงก่อนกำหนดที่นี่ ... ทันทีที่แม่รู้สึกตัว
แม่บอกกับพ่อว่า ขอตั้งชื่อลูกว่า.. ”

“ปิง .. ” ผมตอบแทน พร้อมกับเห็นปิงทำท่าทียืดอกอย่างภาคภูมิใจ จนผมอยากจะ
กัดมันซักดอกสองดอก แต่ก็ได้แต่อดกลั้นไว้

- แม่น้ำแห่งความทรงจำยังงั้นเหรอ แม่น้ำที่ทอดผ่านตัวเมืองที่มีวัฒนธรรมอันยาวนาน
ก่อให้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย รวมถึงเป็นที่มาของชื่อเด็กชายคนนึง ซึ่งตอนนี้เค้านั่งอยู่
ข้างตัวผมเอง ผมชักอยากเห็นแม่น้ำสายนี้จัง -

* * * * * * * * * * * *



ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #25 เมื่อ23-10-2006 05:13:51 »

“มืดแล้ว รีบกลับเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ต้องไปที่อื่นต่อ” ผมคะยั้นคะยอปิงให้กลับโรงแรมได้แล้ว
เพราะยิ่งนานไป ก็ยิ่งหารถยากขึ้นเท่านั้น 

“อือ กลับก็กลับ ตอนนี้แรกว่าจะไปไนต์บาซาอีกคืนนะเนี่ย” ปิงบ่นกระปอดกระแปด

“ป่านนี้แล้วมันจะยังมีรถแดงอีกเหรอไง” ปิงว่า

“เราว่าขึ้นรถตุ๊กตุ๊กเหอะ เร็วดีด้วย”

“จะดีเหรอ” ผมถามด้วยความลังเล

“อือ ”ปิงพยักหน้า พลางโบกรถตุ๊กตุ๊กคันนึงที่เห็นอยู่ไวๆ

ชั่ววินาที ผมรู้สึกถึงลางบอกเหตุบางอย่าง รถกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ

- ทำไม? - ผมนึกในใจพร้อมกับจิตใจที่เริ่มรู้สึกถึงพะว้าพะวนอย่างบอกไม่ถูก
รถเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ทุกที จนในที่สุดก็มาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าเราสองคน

ผมเห็นปิงตรงเข้าไปบอกสถานที่พักของเรากับคนขับรถ ผมพยายามสังเกตท่าทางของคนขับ
พร้อมหันไปทางปิงซึ่งกำลังก้มตัวเข้าไปในรถ ผมอ้าปากตั้งใจจะบอกให้รอคันต่อไปจะดีกว่ามั้ย ....
ทว่าในที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมา ปิงฉุดมือผมขึ้นไปนั่งข้างหลังรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น

คนขับแรงเครื่องยนต์ทะยานออกจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว

“ปิง บอกให้เค้าขับช้ากว่านี้เหอะ” ผมกระซิบบอกปิง แต่ปิงก็ทำหน้าบู้บี้

“ไปเรื่องมากกับเค้า ระวังโดนขวดเหล้าตีหัวหรอก ไม่เห็นข้างหน้ารถเหรอไง” เมื่อเจอไม้นี้
เข้าผมก็เงียบกริบ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“.......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

เฟี้ยววววววววววววววววว

“......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

เอี้ยดดดดดด

“......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

หัวใจผมเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคนขับรถที่บิดเพิ่มความเร็วของรถให้เร็วขึ้น มันไม่ดีเลย
ด้วยความเร็วขนาดนี้ กับสภาพคนขับรถที่ผมเห็นก่อนขึ้น ... ถ้ามีอะไร อ๊ะ ไม่ซิ เราจะคิด
เรื่องแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
ผมภาวนาอยู่ในใจ

ในระหว่างที่กำลังจะถึงเลี้ยวทางแยกไฟแดง คนขับหันมามองดูข้างหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่ ....
ช่วงจังหว่ะนั้น รถมอเตอร์ไซต์คันนึงพุ่งออกมาจากอีกด้านของถนน

“เฮ้ยยย ไอ้เหี้ย” คนขับรถสบถออกมาด้วยท่าทีตกใจสุดขีด

“เฮือก ... ” ผมได้ยินเสียงหายใจตัวเองหยุดลง

ชั่ววินาทีต่อมา รถโดยสารพยายามเบรกตัวเอง ในขณะที่คนขับอยู่ในอาการตื่นตกใจ แต่พยายาม
หักพวงมาลัยให้ไปอีกด้าน รถเสียการทรงตัวทันทีพร้อมกับแรงที่เกิดจากความเร็วมหาศาลก่อนหน้านั้น
รถตุ๊กตุ๊กแฉลบออกผ่านเส้นเลน แล้วปะทะเข้ากับขอบทางกั้นถนน ตัวรถครูดเข้ากับขอบที่กั้น
เกิดเป็นสะเก็ดไฟร่วงลง

“หวา หวา!!!! ”

แรงกระแทกทำให้ตัวรถกระเด็นมาอีกด้านนึงของถนน ตอนนี้รถเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง และถลา
ตรงไปด้านหน้าแล่นตรงเข้าหาเสาไฟฟ้าคอนกรีต

ชั่ววินาที ผมสัมผัสได้ถึงร่างของปิงเข้ามาโอบกอดผมไว้ พร้อมๆกับเสียงโครมใหญ่ และแรงสั่นสะเทือน
มากมายที่เกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ผมรู้สึกว่า ร่างของตัวเองกระเด็นออกมาจากนอกรถ
พร้อมๆกับปิง ซึ่งบัดนี้ถูกแรงกระแทกกระเด็นหลุดจากตัวผมไปอีกด้านนึง

ครืด ครืด ครืด

“อือ อือ ” ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่เจ็บปวดทั่วร่างกาย ก่อนจะค่อยลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ผมเห็นล้อรถ
หมุนคว้างด้วยความมึนงง ดวงตาเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างพล่าเลือน พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง
รู้สึกถึงของเหนียวเหลวๆตรงฝ่ามือ

เลือด !?

“อะ โอ๊ยย” ผมเริ่มร้อง แต่ก็นึกในใจถึงปิง ไม่ได้ยินเสียงปิงเลย ผมพยายามเงยหน้า เลือดเริ่มไหล
ลงมาด้านข้างศีรษะ มาที่แก้ม จนมาหยดลงที่คาง แต่ผมไม่สนใจ...

“ปะ ปิง ... ปิง ”

ผมพึมพำเรียกชื่อคนรักซ้ำไปมา ในขณะที่เริ่มมองไปที่รอบๆ ผมเห็นคนขับรถติดอยู่กับตัวรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น
ปิงไม่ได้อยู่ในรถ !?

“อา ปิง ปิง” ผมเริ่มเพ่งมองไปรอบๆอีกครั้ง ผมเจ็บ ปวด ทรมาน แต่ผมอยากเจอปิง - -
บนพื้นถนนด้านข้างถัดออกไปเล็กน้อย - - แสงไฟฟ้ากระพริบถี่ ติดๆดับๆ ผมเห็นร่างอันชุ่มไปด้วย
เลือดของปิงนอนกลิ้งอยู่

“ปะ ปิง ปิง ปิง” ผมพยายามพยุงตัวด้วยแรงทั้งหมดเข้าไปหาเค้า มันยากลำบากเหลือเกิน ผมคิดในใจ

-ไม่ - ผมได้แต่คิด ไม่มีเสียงอะไรเปล่งออกมาจากตัวผม .... และตัวปิง

ผมพยุงร่างตัวเองมาถึงตัวเค้า จับแขนเขย่าไปมาด้วยความอ่อนแรง ผมไม่มีแรงเหลือแล้ว ...

ไม่มีแล้ว

“ปิง ได้ยินมั้ย ปิง ” ผมเริ่มเขย่าแรงขึ้น เลือดของผมหยดลงบนร่างของปิง รอยด่างดวงที่เกิดจากเลือด
ของปิงเริ่มขยายวงกว้างขึ้นบนพื้นถนน

“ปะ ปิง อย่าเป็นอะ อะ อะ ไร นะ ... ” ผมเริ่มร้องไห้ น้ำตาผมไหลออกมา ผสมกับเลือด
เหนียวข้นของตนเอง .....และทุกสิ่งก็ดับวูบลง

* * * * * * * * * * * *


(ดนตรีประกอบก๊อป url ไปวางหน้าต่างใหม่นะครับ www.swn.ac.th/76.swf )


ในห้องคนไข้อุบัติเหตุนอก ผมรู้สึกตัวขึ้นพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอน ก่อนจะได้กลิ่นฉุนของยา
ในโรงพยาบาล ผมเกลียดกลิ่นนี้ ผมคิดว่า ถ้าได้กลิ่นนี้ มันจะนำความทุกข์มาให้ มันไม่มีอะไรดีเลย
ผมคิดในใจ ในระหว่างที่สติสัมปชัญญะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก 

- ที่นี่ที่ไหน ? -

ผมมานอนทำอะไรที่นี่กัน ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์ แล้วจึงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดรุกล้ำเข้ามาทันที
ผมเห็นพยาบาลที่อยู่ใกล้ตัวเดินเข้ามาหาผม

“อย่าพึ่งขยับเขยื้อนค่ะ น้องตอนนี้น้องได้รับบาดเจ็บอยู่ ยังเคลื่อนไหวไม่ - -”

“แล้วเพื่อนผมล่ะ”ผมโพล่งออกมา ผมนึกออกแล้ว รถโดยสารที่ผมนั่งมา เกิดอุบัติเหตุ รถหักหลบไป
ชนกับเสาไฟฟ้า แล้วจากนั้น .....

“ปิง .. ปิง เพื่อนผมอยู่ไหน” ผมละล่ำละลักถามพยาบาลที่มีท่าทีตกอกตกใจ

“ตอนนี้เพื่อนน้องอยู่ในห้องไอซียูคะ หมอกำลังรักษาอยู่ ใจเย็นๆนะคะ ตอนที่น้องสลบอยู่ทาง
โรงพยาบาลติดต่อกับญาติของน้องได้แล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางมาเชียงใหม่นะคะ”

พยาบาลพยายามอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง แต่ตอนนี้ใจผมยังพะวักพะวนอยู่ที่ห้องไอซียู

- ปิง ... ไม่นะ ... ทำไมตอนนั้น ถ้าเราไม่ยอมขึ้นรถตอนนั้น มันคงไม่ .....-

- ปิง เราขอโทษ ปิง ... ถ้าเรา ...........- ผมเฝ้าโทษแต่ตัวเอง

ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

“พี่คับ พาผมไปห้องฉุกเฉินนะคับ” ผมอ้อนวอนพยาบาลอยู่เป็นเวลานาน ในทีแรก เธอไม่ยอมอยู่ท่าเดียว
จนผมทรุดตัวลง แล้วยกมือไหว้พี่เค้าท่วมหัว

“พี่ครับ ได้โปรด พาผมไป - -” ผมเริ่มสะอึกสะอื้น แล้วในที่สุดพยาบาลสาวก็พาผมไปที่ห้องๆนั้น
ตอนนี้ไฟสีแดงที่ขึ้นว่าฉุกเฉินดับลงแล้ว ผมไม่รู้ว่าเค้ารักษาปิงเสร็จแล้วหรือยัง ย้ายปิงออกไปหรือยัง
แล้วหมอยังอยู่มั้ย เมื่อพยาบาลทำสัญญาณให้ผมเข้าไปได้ ผมจึงค่อยเดินเข้าไป

ตึก ตึก ...

ผมเดินอ้อมผ่านผ้าขาวที่ขึงปิดร่างปิงเอาไว้ มองให้เห็นคนรักผมชัดเจนยิ่งขึ้น ........

ผมคิดอะไรไม่ออก นอกจากเงยหน้าไปมองเครื่องตรวจระดับการเต้นของชีพจรภายในห้อง บัดนี้
เส้นสีเขียวนั้น ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงความมีชีวิตอยู่ของคนที่นอนอยู่

“ปิง” ผมเรียกชื่อเบาๆ ไม่จริง สมองผมเริ่มสั่งการณ์ขัดแย้งกับภาพที่เห็น

- มันเกิดอะไรขึ้น -

ผมเริ่มเบลอ พร้อมกับพึมพำชื่อคนรัก เท้าผมไม่มีแรงแม้กระทั่งเดินไปหาปิงที่เตียง

“ ปิง ยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ยังมีชีวิตอยู่ - - ฮึก .... - - ฮึก - - ฮึก ”

ผมไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป แม้ว่าหยาดน้ำตาที่กำลังหยาดหยดลงบนพื้น หยดแล้วหยดเล่า จะมากแค่ไหน
แต่ผมก็ไม่รู้สึก ทุกอย่างชาและเงียบสงัด

- ปิงยังมีชีวิตอยู่ ............... ใช่มั้ย -

ผมตั้งคำถามในใจ เท้าผมเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า แม้จะอ่อนแรงเต็มที ผมเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน

ชายในชุดขาวของโรงพยาบาลนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง ผมมองไปที่ใบหน้าของปิง มีร่องรอยที่
เกิดจากแรงกระแทกตามตัวของปิง แต่ใบหน้าของปิง ไม่มีร่องรอยบอบช้ำ ดวงตาปิดสนิทเหมือนกำลัง
หลับอยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใบหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ

ผมค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่ใบหน้าของปิง สัมผัสอุ่นๆ ที่เริ่มจะลดระดับลงเรื่อยๆ ความร้อนในร่างของปิง
เริ่มหายไปทีละนิด ทีละนิด ผมสัมผัสไปทั่วไปหน้า หน้าผาก ตา จมูก แก้ม ริมฝีปากบางสีชมพูเริ่มซีดลง

แม้ว่าร่างกายจะอิดโรยซักเพียงไหน แต่จิตใจที่แหลกสลายของผมตอนนี้ มันสร้างความเจ็บปวดและ
ทุกข์ทรมานแสนสาหัสนัก ผมไม่เคยต้องสูญเสียใคร ผมไม่ต้องการ .....แม้ว่าผมจะร้องไห้
จะทุรนทุรายแค่ไหน บัดนี้คนรักของผม จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ...

ร่างของผมทรุดลงไปกับพื้น เสียงร้องไห้ของผมดังขึ้น ดังขึ้น ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ไม่มีอีกแล้วคนที่ผมคอยดูแลผม ไม่มีอีกแล้วคนที่ห่วงหา คนที่เฝ้าบอกรัก เคยมีคนบอกว่า
การที่เราได้เลิกรักกับใครซักคนนึงมันเจ็บปวด แต่มันก็ยังรักษาหายได้ แต่ความทุกข์ทรมาน
ที่ต้องทนอยู่กับความรักที่ยังมีอยู่นั้น มันเจ็บปวดยิ่งกว่า ... ทั้งๆที่ความรักกำลังดำเนินอยู่
มันยังไม่ได้สิ้นสุดลงไป แต่มันจบลงด้วยความตายของอีกฝ่าย

แม่น้ำแห่งความทรงจำของปิง ผมอยากเห็นมันเหลือเกิน แต่บัดนี้ ผมคงจะต้องกลับไปชื่นชมมัน
แต่เพียงผู้เดียว เพียงลำพัง เพราะคนอีกคนนึง ได้จากไปแล้ว....

* * * * * * * * * * * *

รูปที่มีภาพผมถ่ายกับปิงร่วงหลุดมือโดยไม่รู้ตัว น้ำตาผมหยดแหมะลงไปบนหน้าสุดท้ายของบันทึกที่
ผมเขียนเอาไว้หลังจากที่กลับมาที่บ้าน สมุดบันทึกความรักที่ผมตั้งใจเขียนความทรงจำทุกๆอย่างเกี่ยว
กับผมกับมัน ผมตั้งใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะไม่กลับมาเปิดมันอีก เพราะทุกครั้งที่เปิด ทุกครั้งที่ผมเห็นรูป
ไอ้ปิง อดีตที่ฝั่งใจมันย้อนกลับมาหาผม เหมือนเกลียวคลื่นที่พัดเข้าฝั่ง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

ปกติแล้ววันนี้ ผมคงต้องตามเจ้าปริ้นไปดูมันซ้อมลีดด้วย แต่ผมกลับอยากลงไปอุดอู้อยู่ในห้องใต้ดิน
ที่อยู่ใต้ห้องนอนปริ้นมากกว่า

ก่อนหน้าที่ปริ้นจะมาอยู่ที่นี่ ผมแอบเข้ามาปัดฝุ่น จัดตู้เตียงที่ห้องข้างล่างนี้ โดยไม่ให้ใครรู้ พร้อมกับ
วางสมุดบันทึกไว้ ผมอยากให้ปิงหลับอยู่ที่นี่ อยู่ข้างใต้นี้ เวลาที่ผมคิดถึงมันจนทนไม่ได้ ก็มักจะลงมา
ข้างใต้นี้ นอนร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า … ทำไม มัจจุราชต้องพรากคนที่ผมรักไปด้วยวิธีการที่โหดร้ายถึง
เพียงนี้ ?

คืนนี้ ก็เช่นกัน ผมค่อยเดินผ่านความมืด ไขประตูด้วยกุญแจสำรอง พร้อมกับเดินลงไปห้องใต้ดินด้วย
ความคุ้นเคย เวลานี้ ผมน่าจะคิดถึงปริ้นนี่นา ผมต้องคอยดูแลปริ้นนี่นา ทำไมผมถึงต้องมานั่งขลุกอยู่ในนี้

เพราะตลอดเวลา .. ผมยังลืมปิงไม่ได้ใช่มั้ย

ร่างกายผมค่อยๆนอนแผ่ลงบนเตียง ผมกลับมาเป็นคนขี้แย่ อ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
สายตาผมค่อยๆหรี่ลงเรื่อยๆ จิตใจผมมันช่างเปราะบางซะเหลือเกิน


* * * * * * * * * * * *

ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด

ปั้งงงง !? แคร๊ก

“…………………….”

หวา !! แย่แล้ว ... ผมคิดถึงในใจ หลังจากได้สติว่าเผลอเขวี้ยงนาฬิกาปลุกเข้าให้กับฝาบ้าน
พร้อมกับดันตัวเองขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างขี้เกียจ

เช้าวันแรกของการเปิดเทอม โรคสุดฮิตของนักเรียนทุกคนของเช้าวันแรก ดูเหมือนไข้ขึ้นนิดหน่อย
ปวดเมื่อยตัว ตาลืมไม่ค่อยขึ้นถึงขั้นปิดทุกๆนาที และล้มตัวลงนอนอีก

5 นาที ...

ขออีก 10 นาทีน่า อีก .....

เฮ้ย สายแล้ว !!!

ผมยันตัวขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง หันไปหานาฬิกา ดูเหมือนมันแตกเป็นเสี่ยงจากแรงกระแทก
หันไปหยิบนาฬิกาข้อมือ

7.30 !?

ผมรีบกระวีกระวาดแต่งองค์ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้า จะถูกรีดไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ก็แทบไม่ช่วย
ให้ผมรอดพ้นจากการต้องเข้าโรงเรียนสายเลย สุดท้ายผมก็เหมือนทุกคน ที่เมื่อเข้าสาย ก็ต้องมา
นั่งแตกแดดหัวแดง อีกฝั่งนึงจากเสาธง จนเมื่ออาจารย์พูดเสร็จนั่นแหละ ถึงจะได้หมดเวงหมดกรรม
และก็รู้ๆกันอยู่ เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ทุกคนที่มีตำแหน่งในโรงเรียน ไล่มาตั้งแต่ ผอ.
ผู้ช่วยผ่ายบริหาร ธุรการ วิชาการ ปกครอง อ.หมวดโน้น หมวดนี้

“แม่ - ง พูดกันอยู่นั่นแหละ” ผมสบถ เสื้อที่พึ่งรีดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อ้าว มาสายด้วยเหรอเรา” อาจารย์ที่ผมสนิทคนนึงเข้ามาทักผม

“ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ

“เมื่อคืนดูเออ .. หนังสือดึกไปหน่อยน่ะครับ”

นั่นเป็นคำพูดแก้ตัวของผมซึ่งชอบใช้อยู่บ่อยๆ และมันก็ได้ผลซะด้วยซิ ผมยังคงรู้สึกงงๆ กับ
บรรยากาศที่คุ้นตา และพยายามหาอะไรบางอย่าง แล้วเสียงแรกที่ได้ยินก็คือ

เฟี้ยววววว เปี้ยยยยยยยยยะ

ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียวหวดไม้เรียวลงบนเนื้อแน่นๆ ของเด็กเก(เร) คนนึงอยู่ ผมหัน
ไปมองว่าเป็นใคร อ้าว ไอ้เหี้ยเต้ยนี่เอง

“โดนตีอีกแล้วเหรอไงวันนี้” ผมถามด้วยความสมเพชหน่อยๆ

“ที่ถามนี่ เป็นห่วงกูเหรอว่า สมน้ำหน้ากู” ไอ้เต้ยถามผมเสียงเขียว

“ทั้งสองอย่างปนๆกันหว่ะ หนักไปอย่างแรก” ผมตอบหน้าชื่น

“ไอ้เวร เด๋วโดนต่อยเปรี้ยง” มันทำหน้ากำหมัดมาต่อย แล้วก็ตะคอกใส่ผม

“แย่งไอ้ปิงไปไม่พอ ยังทำให้มันตายอีก สาดดด” เต้ยพูด

“มึง โดนกูต่อยซะดีๆ เหอะ กูอยากมานานแล้ว” พูดไม่พูดปล่าว ผมเห็นไอ้เต้ยกำหมัดแน่น
พุ่งมาที่ผมด้วยความเร็ว

พลั๊กก ...

มีแขนของคนๆนึง รับหมัดของเต้ยเอาไว้ ผมหันไปมอง

“ปิงงงง” ผมตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ ระคนแปลกใจ

ปิงยิ้มให้ผม แล้วพูดต่อ

“ไม่เห็นต้องตะโกนขนาดนั้นเลย อยู่ใกล้แค่นี้เอง ปิงได้ยินแล้ว .... ” ปิงว่า

“ม่ะไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่ซะทีห่ะโอ้ต”

“ก็ ... ก็ เราฝันไปอะดิ ฝันว่า นาย .... นาย ตาย” ผมพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก

“นายทิ้งเราไป แถมยังผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย”

ปิงยังคงยิ้มให้ผม พลางพูดขึ้นมา

“ก็ปิงก็ไม่ได้ไปไหนนี่นา ก็ยังอยู่เนี่ย เห็นป่ะ แล้วก็ไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย ”

“แต่มีคนบางคนนี่ดิ ไปแอบมีแฟนเด็กแล้วไม่ใช่เหรอไง” ปิงถามผมเสียงขุ่น

“หมายความว่ายังไง” ผมตอบแบบงงๆ

“ป่าว ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่วันนี้ไปเที่ยวกันเหอะ อยากเที่ยวหว่ะ” ปิงชวนผมพลางดึงมือ

“เฮ้ย เที่ยวได้ไง เรียน เรียน นี่อยู่ในโรงเรียนนะ” ผมแหวใส่

“โดดเหอะ วันนี้ ไม่ต้องเรียนมันหรอก ”

ไม่รู้วันนี้นึกคึกอะไร ผมเลยตัดสินใจโดดเรียนเป็นครั้งแรกไปกับปิงมัน และก็ถือว่าเป็นวันแรก
ที่ผมได้เที่ยวกับมันแบบหัวราน้ำเลยทีเดียว รู้สึกสนุกยังไงบอกไม่ถูก ทั้งเดินบิ๊กซี ดูหนัง หาอะไรกิน
เหมือนกับเวลามันผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว จนเราสองคนเดินกลับเข้ามาในโรงเรียนอีกครั้ง ก็พลบค่ำแล้ว

“หนุกป่ะ วันนี้” ปิงถามผม

“หนุกดีหว่ะ ฮ่ะฮ่ะ ไม่เคยโดดเรียนแล้วสนุกแบบนี้”

“อืมม หนุกก็ดีแล้ว” ปิงว่า พลางมองดูนาฬิกา

“จะมืดแล้ว เราแยกกันตรงนี้ล่ะกัน” ปิงบอกแล้วมองหน้าผม

ผมจับมือปิงไว้ เหมือนกับไม่อยากให้มันหนีไปไหนอีก

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” ผมถามเสียงสั่น

ปิงส่ายหน้า พยายามดึงตัวออกห่างผมไป

ตาผมทั้งสองข้างปริ่มไปด้วยน้ำตา ภาพปิงข้างหน้าเริ่มพล่ามัว แต่มือผมยังคงจับมือเค้าไว้มั่น

“ปิง ... ถ้านายรักเราจริงๆ ทำไมนายต้องจากเราไปด้วย อยู่กับโอ้ตที่นี่เถอะ ... ฮึก ... ”
ผมเริ่มสะอื้นไห้ เพียงหวังว่าคนรักจะเห็นใจและไม่หนีไปไหนอีก

รอยยิ้มที่อบอุ่นเปื้อนหน้าปิงอีกครั้ง แต่ในแววตา ผมเห็นความเศร้าโศกที่ไม่อาจมองทะลุผ่าน

“ปิงสัญญาว่าจะอยู่กับโอ้ตตลอดไป ...... เวลาที่โอ้ตเหงา ปิงจะคอยอยู่ข้างๆ .....
เวลาที่โอ้ตไม่สบาย เราจะคอยดูแล ..... เวลาที่โอ้ตเสียใจ เราจะคอยปลอบโยน .....
แล้วเวลาโอ้ตมีความสุข เราก็จะมีความสุขด้วยกัน เข้าใจใช่มั้ย”

ปิงบอกผม พลางเดินเข้ามากอดตัวผม ที่กำลังสะอื้นไห้ กี่ปีแล้ว ที่ผมไม่ได้ร้องไห้กับใครแบบนี้
กี่ปีที่ผมต้องทนทุกข์กับความทรงจำอันโหดร้าย ความรู้สึกนี้ไม่มีใครที่จะมาทดแทนได้ หลังจาก
ที่ปิงจากไป ผมพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น กลับเป็นคนที่เงียบขรึม ผมไม่อยากที่จะรักใครอีก

ผมรู้สึกเหมือนกับเค้าจะรับรู้ความรู้สึกนี้

“โอ้ต ... ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยต้องสูญเสีย ไม่เคยมีใครสมหวังหมดทุกอย่าง ไม่มีใครมีความสุข
ได้ตลอดเวลา ”ปิงเอามือมาจับใบหน้าผมให้หันไปสบตาเค้า

“ปิงอยากให้โอ้ตใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด ตอนนี้โอ้ตมีคนที่ต้องคอยดูแล มีคนที่ต้องรัก ...
และที่สำคัญที่สุด เพื่อตัวเอง .... ” ปิงพูดทั้งน้ำตา พร้อมกับผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ ต่อไปโอ้ตจะต้องผ่านอะไรอีกมาก ... มากจนเกินกว่าจะคิดถึงแต่อดีต ปิงดีใจนะ
ที่โอ้ตไม่เคยลืมปิง ”

ปิงหยุดพูดพลางปาดน้ำตาตัวเอง

“ปิงจะรออยู่ตรงนี้ ... จะรอโอ้ตอยู่ตรงนี้นะ วันใดวันนึง เมื่อโอ้ตเหนื่อย เมื่อโอ้ตอยากพักผ่อน
เมื่อหมดสิ้นภาระทุกอย่าง .... ”

ปิงยิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย

“เราสองคนจะได้เจอกันอีกแน่นอน ”

ปิงลูบหัวผมเหมือนกับที่เคยทำอยู่บ่อยๆ ความรู้สึกที่ผมสามารถจับต้องได้ ค่อยๆพร่ามัว ไปทีละนิด
ทีละนิด ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

นาทีแล้วนาทีเล่า ผมลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกชื้นแฉะบนเตียงที่กำลังนอนอยู่

ผมดันตัวขึ้นไปหยิบรูปถ่ายใบเดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง ภาพที่บันทึกเรื่องราวต่างๆในอดีตของผม เรื่องราวที่
สนุกสนาน รอยยิ้ม มิตรภาพ และความโศกเศร้า ผมบรรจงวางรูปถ่ายนั้นลงในกล่อง แล้วเปิดตู้ เก็บไว้ใน
ลิ้นชักที่ลึกที่สุด รอวันที่จะหยิบมันขึ้นมาดูอีก และเมื่อถึงวันนั้น ... เมื่อหยิบมันขึ้นมาดู ผมคงจะนั่ง
หัวเราะอย่างมีความสุข พร้อมกับนึกถึงคนรักคนแรก .... คนที่รักผมสุดหัวใจ และมีผมเป็นคนรัก ...

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #26 เมื่อ23-10-2006 05:17:22 »

part3
บ้านพักอลเวง รักหายไป..แต่หัวใจยังอยู่.#1

*เครดิตชื่อตอนมาจากชื่อจากหนังสือของคุณดอกไม้สีขาว สำนักพิมพ์ the book lover ครับ*


“เฮ้ยยย โค้กกก ขี่ช้าๆกว่านี้ก็ได้” ผมพยายามตะโกนให้เสียงมันทะลุเข้าไปในรูหูของไอ้โค้ก

“ว่าไรนะพี่ ไม่ได้ยิน ”

“บอกให้ขี่ช้าๆหน่อย” คราวนี้ผมโน้มตัวเองให้ใกล้หูมันที่สุด จนหน้าอกแนบชิดกะแผ่นหลังของมัน
เลย ทำไมรู้สึกเขิลจังวะกรุ

ไอ้โค้กมันบิดเบาลง แต่ก็ยังขี่ฉะเวิ้บฉะว้าบอยู่ดี

โอ้ตมันจะโกรธผมเหรอป่าววะ ที่เอาของๆมันออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนั้น ?

ผมคิดในใจ แล้วก็เป็นความกังวลใจหนึ่งเดียวที่ตามราวีผมมาตั้งแต่ออกนอกโรงเรียน โอ้ตมันจะเชื่อ
เหรอป่าวนะ ว่าผมยังไม่ได้เปิดอ่านอะไรหนังสือเล่มนั้นเลย ผมเกือบจะหลุดปากถามเพื่อนที่อยู่ใน
รูปที่ถ่ายคู่กันกะโอ้ต แต่พอเห็นสีหน้าของมันตอนเห็นหนังสือเล่มนั้น ผมก็รู้สึกว่า โดนดีดออก
มาเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้

“พี่ปริ้น … พี่ - -”

“ห่ะ ห่ะ ว่าไง” ผมตกใจเสียงเรียกไอ้น้องโค้ก

“ลงรถได้ยังพี่ ถึงแล้ว หนักนะเนี่ย” โค้กมันบ่นไล่ผมลงจากมอไซต์มัน โอ่ว นี่ถึงโดยไม่ทันรู้ตัว

ผมรอให้โค้กมันล็อกคอมอไซต์เสร็จก็เดินเข้าไปในบ้านพี่ต่ายพร้อมกัน พอเข้ามาบริเวณที่พวกลีดซ้อมกัน
อยู่ๆ น้องโค้กมันก็หยุดเดินคับ

“เหี้ยเอ้ย …” มันสบถออกมาเบาๆ ผมได้ยินก็เลยหันไปหา ก็พบว่าสายตามันมองตรงไปที่ใครบางคน
ผมก็เลยหันมองตามไป ก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายหน้าไม่คุ้นกำลังยืนเก๊กท่าซ้อมท่าอยู่กับพี่ๆผู้หญิงที่เป็นลีดกันอีก
4 คน

“หวัดดีพี่ท็อป พี่ต่าย พี่ บลาๆๆๆ” ผมไล่ไหว้พี่แต่ละคนไปจนทั่วก่อนที่จะมาจบลงที่พี่ซาย คนสอนท่าเต้น

“มาช้านะเราสองคน .. ที่หลังรับผิดชอบให้มากกว่านี้ อย่าให้พี่คนอื่นๆเค้าต้องคอย” พร้อมกับเทศนาผมกะ
ไอ้น้องโค้กอีกหลายคำ

“เออ .. ปริ้น โค้ก มานี่” พี่ท็อปมันก็เรียกไปหาพวกลีดที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดวางท่าทางอยู่ ดูเหมือน
ไอ้โค้กมันอิดออดไม่ยอมเดินไปไงม่ะรู้

“นี่ไอ้กั๊ก (?) มาเป็นลีดแทนตาล (พี่ผู้หญิงคนที่ออกไป) ” ผมมองหน้าไอ้กั๊ก คนชื่อแปลก พร้อมที่
พี่ท็อปอธิบายว่ามันเรียนอยู่ ม. 4 ก็ชั้นเดียวกะไอ้โค้กอะล่ะ แล้วก็บอกสาเหตุที่พี่ตาลมาเป็นลีดไม่ได้
ไอ้น้องกั๊ก นี่บอกตรงๆว่ามองแบบผ่านๆแล้วเป็นพวกขี้เก๊กเลยล่ะ ดูแมร่งหยิ่งมากๆ

“หวัดดี ” ผมยิ้มทักมันแบบไม่ค่อยแน่ใจ

“ครับ” มันตอบหน้าตาย ทำให้รู้สึกว่ารอยยิ้มที่ใบหน้าผมหุบลงไปในทันใด ผมเลยเหลือบไปหา
ไอ้โค้ก (ดีกว่า)มันก็ทำหน้าเซ็งๆฮะ ผมว่าไอ้สองคนนี้มันต้องมีอะไรเบื้องลึกกันแน่ๆ หรือว่ามาน
ไม่ถูกกันวะ

ไอ้พี่ท็อปนี่แมร่ง ตอนเรื่องกีฬาก็ไปมีเรื่องกะอีกห้องนึง พอเรื่องลีด ก็ไปพาคนม่ะถูกกันมาอยู่ด้วยกันอีก ..
รู้สึกสงสารไอ้โอ้ตขึ้นมาทันใด เหอๆ

ที่ว่าวันแรกว่าหนักแล้ว วันนี้ยิ่งหนักกว่าเก่าอีกครับ เพราะอีเจ๊พี่ซายมันดันรีบให้ขึ้นเพลงแรกเลย แถม
มีบังคับให้ทำให้ได้ภายในวันนี้ด้วย … กว่าจะพอผ่านมาตรฐานแก ก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่ง

“พอใช้ได้ อย่าลืมไปซ้อมล่ะกันที่บอกไว้ บลาๆๆๆๆๆ” พี่ซายแกก็พ่นอีกราวยี่สิบนาที ก็ปาเข้าไป
เกือบสองทุ่มพอดี หมดกัน … หมายถึงรถป2 ที่นั่งกลับบ้าน มันหมดแล้ว

“พี่ปริ้น รีบกลับป่าว ไปหาไรกินป่ะ ? ” น้องโค้กมันชวนมีเหรอจะพลาด

“เออ ก็ดี กลับตอนนี้ก็ไม่ทันรถแล้ว” ผมว่า

“อ้าวแล้วกลับไงอ่ะ”

“ก็ต้องรอรถสายยาวอ่ะดิ” (หมายถึงรถสายที่จะลงไปใต้ประมาณหัวหิน ประจวบ อะไรเทือกนี้อ่ะคับ)

“กินไรอ่ะพี่” มันว่าพลางขึ้นคล่อมมอไซต์พลางสตาร์ต

“อยากกินผัดไท”

“กินไรบ้านๆอีกแระ - - - อ่ะๆ ขึ้นรถ” มันรีบบอกเมื่อเห็นผมทำท่าจะเบิร์ดกะโหลกมัน

* * * * * * * * * * * *


ไอ้น้องโค้กมันก็พามากินผัดไทตรงสี่แยก *** อ่ะ วันนี้คนน้อยโชคดีไป

“ถามไรหน่อยดิ” ผมอดสงสัยไม่ไหว

“อ้าอะไออั้บ ”

“โห เมิงมารยาททรามอย่างแรง จะแดกหรอจะพูด ก็เอาซักอย่างก่อน” ผมไม่พอใจเล็กๆ หน้าตาก็ดี
แมร่งอย่ามาซกมก

โค้กมันก็รีบกินน้ำอัดๆเข้าไป แล้วก็ทำท่าทางเรียบร้อย แกล้งรอฟังผมถามตาแป๋ว…..

สาดดด น่ารัก

ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนๆ ดูมานเปล่งประกายยังไงก็ไม่รู้ มันทำให้คนที่พบเห็นต้องหัวใจอ่อนยวบยาบ

“เออ ทำไมต้องจ้องขนาดนั้นวะ” ผมบอกเขินๆ ตอนนั้นม่ะได้ใส่ใจหรอกคับ ว่าพูดออกไปแบบนั้น
มันจะรู้ป่าววะว่าทำไมผมต้องเขิน

“เอ้า ไรเนี่ย จะถามไรก็รีบถามพี่ หิว” มันพูดพร้อมกับคีบเส้นผัดไทขึ้นมาเตรียมส่งเข้าปาก

“เรากะไอ้กั๊กนี่มีอะไรกันเหรอป่าว ”

แกร็งงง เสียงตะเกือบมันหลุดลงมาข้างนึง

“ม่ะ มีอะไรกันนี่คืออะไรพี่” เสียงมันเปลี่ยนเป็นเครียดแทน

อ้าว มันถามแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกทะแม่งๆ

“ก็พี่รู้สึกว่าทำไมเราม่ะค่อยชอบหน้ามันนี่ ไม่ใช่หรอ”

ไอ้โค้กมันหยิบตะเกียบคู่ใหม่ขึ้นมา แล้วก็ทำวนๆเส้นให้พันรอบตะเกียบ

“ก็เออ…”

“ทำไมวะ ทะเลาะกันเรื่องไร” ผมเริ่มเสือกเรื่องของชาวบ้านเค้าอีกแระ ป่าวหรอก
จริงๆคืออยากรู้ว่ามันมีอะไรกันป่าว เพราะผมม่ะชอบเป็นเหมือนไม้กันหมาเหมือน
อย่างวันนี้

เป็นใครก็ต้องสงสัยคับ เพราะว่าไอ้โค้กมันไม่เข้าไปใกล้กะไอ้น้องกั๊กเลย ทั้งๆที่ตำแหน่งของ
โค้กมันอยู่กลาง ประกบด้วยผมกะไอ้น้องกั๊ก แต่นี่มันเปลี่ยนที่กะผมเฉยเลย แถมทำท่าทาง
หงุดหงิดบ่อยๆอย่างที่มันไม่เคยเป็น (เท่าที่พึ่งได้รู้จักกันมาอ่ะนะ)

“ว่าไง .. ”

“……. ม่ะมีไรหรอกพี่ จะรู้ไปทำไมว้า” มันหลีกเลี่ยงที่จะตอบ

“งั้นเด๋วพรุ่งนี้ไปถามไอ้กั๊กเองก็ได้วะ มีอะไรจะได้เคลียๆกันไปเลย” ผมแกล้งหลอกมัน

“บ้าป่าว ขืนไปถามมันนะ ผมเอาพี่ตายแน่ ” แน่ะมันมีขู่โว้ย

“เออ เล่าก็ได้วะ” มันทำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมเล่าโดยดี ผมทำท่าทีกระหยิมในชัยชนะ (ที่ได้สอดรู้
เรื่องชาวบ้านอีกเรื่อง นับจากเรื่องไอ้คิวกะไอ้ซัง หุหุ) พลางดูดน้ำนึงทีเป็นการฉลองชัย

“ที่ผมไม่ชอบมัน ก็เพราะว่ามันมาชอบผมอ่ะ” มันเหมือนหน้าแดงหน่อยๆ

“อุ๊ก อุ๊กๆๆ” ผมแทบจะสำลักน้ำกันเลยทีเดียว

“ห่ะ ว่าไรนะ ไอ้กั๊กเนี่ยนะ ไอ้กั๊กเนี่ยนะ มาชอบเมิง”

“ทำไมล่ะ ก็คนมันมีเสน่ห์อ่ะคับ” มันพูดพลางยืดอก

“ไอ้บ้า ไอ้หลงตัวเอง” ผมด่ามัน แต่ในใจก็ยอมรับว่ามันจริง 555 กรุยังรู้สึกหลงๆเลย

เอ๋ … งั้น ก็แปลว่า ไอ้น้องโค้กเนี่ย เป็นพวกเกลียดเกย์อะดิวะ …..ซวยแล้วกรุ

“อ้าว งั้นเมิงก็เป็นพวกเกลียดเกย์ เกลียดตุ๊ดอ่ะดิ” ผมแสร้งถามแบบลอยๆเนียนๆ

“โห พี่ ผมก็ไม่ใช่คนแบบนั้นนนนนน …. ห้องผมอะ ตุ๊ด กาเทยตั้ง 4 – 5 คน ผมยังไม่เกลียดเลย
ไม่เกี่ยวๆ”

“อ้าวแล้วทำไม - - - ”

“ก็พี่คิดดูดิ ไอ้เหี้ยนั่นนะ พอมันมาบอกชอบผมปั๊บ มันก็แบบคาดคั้นอยากให้ผมเป็นแฟนมันอ่ะ
แล้วพอผมบอกว่าเป็นเพื่อนกันเหอะ มันก็ทำเป็นไม่พูด ไม่คุยกะผมอีกเลย ผมเคยทักมันนะ แต่
มันก็ทำเป็นไม่เห็นผมอ่ะ คิดดู”

โค้กมันพูดไปมะโหไป เออ ถ้าเป็นผมก็คงม่ะโหอ่ะล่ะ

ความรักมันไม่ได้ต้องจบด้วยคำว่าต้องเป็นแฟนกันนี่หว่า ความรักมันเป็นอะไรได้มากกว่านั้นตั้งเยอะ

“แต่ดูๆไปแล้ว กั๊กมันก็ไม่เห็นจะแสดงอาการอะไรกะเมิงเลยนี่นา ” ผมเริ่มรู้สึกสนิทกะไอ้โค้กพอสมควรแล้ว
ก็เลยเริ่มเปลี่ยนสรรพนามเพื่อเพิ่มความแมน เอ้ย เพื่อความหนิดหนม

“โห พี่ หน้ามันตายขนาดนั้น ขี้เก๊กขนาดนั้น มันไม่แสดงให้รู้หรอกพี่ ว่ามันคิดอะไรยังไง” ไอ้โค้กเริ่มแฉ

“ถ้าผมไม่บอก พี่ก็คงม่ะรู้ใช่ม่ะล่า ว่ามันจะเป็นเกย์ ”

“เออดิ”

“เปลี่ยนเรื่องๆ เหอะพี่ เออ แล้วห้ามไปบอกใครเรื่องนี้ล่ะ ”

“เออ ไม่บอกหรอก - - - เลี้ยงด้วยล่ะกัน ค่าปิดปาก ”

“โห ไรวะ” มันทำหน้างอเลยคับ แต่สุดท้ายผมก็พูดเล่นไปงั้นล่ะ ให้น้องสุดน่ารักออกได้ไงล่ะ ผมก็
เลยเป็นฝ่ายเลี้ยงมันแทน พร้อมกับบอกมันให้ใจเย็นๆ ไงก็ต้องร่วมงานกันอยู่ดี

“แล้วพี่จะกลับเข้าบ้านไง รถมันไม่ผ่านหน้าบ้านพี่หนิ”

“ไม่เป็นไร เด๋วเพจให้ไอ้ - - ให้พี่โอ้ตมารับ” ผมบอกมันโดยไม่ทันนึกว่ามันไม่รู้ว่าผมกะโอ้ตอยู่
บ้านเดียวกัน

“พี่โอ้ตเนี่ยนะ ? ” มันทำหน้างง

“อ่อ พี่กะโอ้ - - พี่โอ้ตเป็นญาติกัน”

“ไมหน้าไม่เห็นเหมือนกันเลยล่ะ ”

“ว้อย…!! จะสงสัยอะไรมากมาย ”

ว่าไปไอ้น้องโค้กมันก็ดีนะคับ รอจนรถที่ผมจะขึ้นมาก็เกือบจะสี่ทุ่ม แล้วก็แยกกัน โชคดีที่มีมอไซต์รับจ้าง
ผ่านมาพอดี เลยไม่ต้องเพจรอให้โอ้ตมันมารับ พอผมกลับมาถึงบ้านความคิดแว่บเลยคือ ต้องโดนด่าอีก
แน่นอน แต่ผิดคาดคับ ยายผมก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าโอ้ตมันบอกเรียบร้อยว่า
จะกลับดึก

“วันหลังก็กลับพร้อมกับนะปริ้น … เจ้าโอ้ตมันดูซึมๆยังไงบอกไม่ถูก” ยายผมพูดเป็นนัยๆ

“คับ” ผมรับปาก แล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน

แกร๊กก

อ้าว กรุไม่ได้ล็อกประตูบ้านเหรอวะเนี่ย

ผมคิดในใจ แล้วก็เดินเข้ามา ว่าจะรีบไปอาบน้ำนอนเพราะรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน

“เฮ้ยย ..!! ”

ผมสะดุ้งเมื่อเห็นโอ้ตมันเปิดประตูออกมาจากห้องนอนผม ดูมันก็หน้าเสียเหมือนกันล่ะ

“โอ้ตขอโทษ คือ โอ้ต - - -”

ตอนแรกผมก็รู้สึกฉุนเล็กน้อยนะ ที่ทำไมมันเข้ามาในบ้าน ในห้องผมได้ไง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าโอ้ตมัน
คงลงไปที่ห้องใต้ดินเพื่อเอาของที่ผมเอาขึ้นมาลงไปเก็บแน่ๆ แล้วที่สำคัญ โอ้ตมันคงมีกุญแจหรือ
อะไรซักอย่างที่สามารถเข้าออกบ้านได้ แล้วที่สำคัญ … โอ้ตดูท่าทางซึมมากเลยครับ

เหมือนกับพึ่งผ่านเรื่องไม่ดี เรื่องเศร้าๆมางั้นล่ะ หรือว่ามันโกรธผมวะ

“โอ้ต… เป็นอะไร” ผมรีบคว้าข้อมือมันไว้ เมื่อเห็นมันกะลังเลี่ยงเดินออกไป

“ปล่าว ไม่ได้เป็นอะไร”

“โอ้ต … อย่าทำแบบนี้ดิ มีอะไรก็ - - -” ผมยังพูดไม่ทันขาดคำ โอ้ตมันก็หันมากอด ตัวผมกะตัวโอ้ต
ก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากเท่าไร หน้าโอ้ตมันก็พิงที่ไหล่ได้พอดี

“โอ้ต” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ไม่เข้าใจว่าทำไมโอ้ตถึงเป็นแบบนี้ แต่ผมรู้สึกว่าโอ้ตตอนนี้มีความทุกข์
เกินกว่าที่ผมจะรับรู้ได้

“โอ้ต … ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ผมปลอบ แล้วก็เอื้อมมือลูบหัวโอ้ต พลางกับตบหลังเบาๆเป็นการปลอบ

โอ้ตยืนกอดผมอยู่นานพอดู แถมบางทีก็มีช่วงที่ตัวมันสั่นๆ ผมไม่อยากคิดเลยว่ามันกำลังร้องไห้
มันก็คงไม่อยากให้ผมเห็นความอ่อนแอมากนักหรอก

“ขอโทษนะ โอ้ตขอโทษนะปริ้น …” มันกระซิบแผ่วเบาข้างหูผม แล้วก็ผล่ะออกมาจับที่บ่าของผม

“ต่อไปนี้ โอ้ตจะมีปริ้นแค่คนเดียวนะ โอ้ตจะไม่คิดถึงใครอีกแล้ว ” โอ้ตมันพูดไปมือก็เกาะกุมบ่าผมไว้
แน่นเลย

งงอ่ะ โคตรงงเลย มันหมายถึงอะไรหว่า ?

“อะ อืมม ขะ ขอบใจ” ผมตอบได้แค่นั้นล่ะ

“โอ้ต ร้องไห้เหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม มันก็คงรู้ตัวล่ะ เพราะยังเห็นคราบน้ำตาอยู่ชัดเลย

“ฮ่ะฮ่ะ ร้องให้กับเรื่องเด็กๆน่ะ” มันยิ้มได้ซะที ผมค่อยโล่งอก

“โดนใครขมขื่นมาเหรอป่าว ถึงได้ร้องขนาดนี้เนี่ย” ผมแซว

“เดี๋ยวปั๊ดโดน พูดจา”

“โดนอาราย ”

มันไม่พูดอะไร แต่ก็เอื้อมมือมาคว้าคอผมไว้ ไม่ให้หนี แล้วก็ประกบปากจูบซะงั้น แฮะๆ ผมก็ไม่ได้ขัดขืน
ไรหรอก 55

“ไม่คิดจะขัดขืนหน่อยเหรอไงครับคุณปริ้น” โอ้ตมันถอนปากออกมาพูด

“ไม่อะ ขี้เกียจ 555” ผมหัวเราะ แต่หน้าตัวเองนี่คงแดงเถือก พูดไม่อายเลยกรุ

“นะ ไอ้นี่บ้ากามจริงๆ แล้ว - - ป่านนี้ยังไม่อาบน้ำอีก” โอ้ตมันเริ่มดุแบบเก่าอีกแล้ว เซงเรย

“โหย ก็พึงกลับง่ะ” ผมบ่นพลางค่อยๆจะถอดเสื้อออก โอ้ตมันก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วก็ลากผมเข้าไป
ในห้องน้ำอ่ะ

“เฮ้ย เข้ามาทามมาย”

“จะอาบให้ไงเล่า ” มันพูดพลางทำท่าจะถอดเสื้อผม

“ไม่ต้อง !!! อาบเองได้ โตแล้ว” ผมพูดแล้วก็รีบผลักมันให้ออกไปจากห้องน้ำโดยไว มันก็ทำขืนตัวไว้คับ

“งั้นแค่สระผมให้ก็ได้ นะ” มันพูดพร้อมทำสายตาเว้าวอน

“เออๆ ก็ด่ะ” ผมยอมแพ้คับ ไม่งั้นไม่ได้อาบแน่คืนนี้

“ถอดเสื้อออกซิ” ผมมองหน้ามันแบบ โห สั่งเลยน้า พอถอดไม่ทันไร มันก็เอามือมาลูบที่หน้าอกหน้าใจ
ผมซะอย่างงั้น

เสียวว้อยยยย

“เฮ้ย ไม่เล่น …” ผมพูดพลางเอามือปัดมือมันออก อารมณ์ไหนของมานฟร่ะ ม่ะกี้ยังเศร้าๆอยู่เลย

“เอ้า นั่งลงดิ เดี๋ยวก็เปียกหรอก แล้วทำไมไม่ถอดกางเกง เดี๋ยวก็เปียกอีก” มันว่า พลางเปิดฝักบัว

“ไม่ถอดอ่ะ เด๋วค่อยถอดตอนอาบ” ผมว่าพลางนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กแล้วก็ก้มหัว ให้ตายดิ เกิดมานอกจาก
พ่อแม่ผมยังไม่เคยให้ใครมาสระผมให้เลยนะ (ไปตัดผม ก็กลับมาสระเอง)

ซู่ ………

มือไอ้โอ้ตมันก็วนไปวนมาบนหัวผมคับ รู้สึกแปลกๆอ่ะ จักจี้ๆ ผมรู้แล้วอ่ะ ว่าทำไมหลายๆคนถึงชอบ
ให้แฟนสระผมกันจัง มานเป็นอะไรที่กุ๊กกิ๊กกันดี เหอๆ

ซักพัก มันก็เทแชมพูลงบนหัว แล้วก็แกล้งยีๆให้มันเละๆ

“โอ้ยยย เบาๆเด๊ ”

“555” แต่มันก็เบามือลงครับ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นนวดแทน อ่า สบายโคดๆ ระหว่างที่กำลังเคลิ้มๆอยู่
นั้นโอ้ตมันก็จับหัวผมให้เงยหน้าขึ้น ฟองสบู่แทบจะเข้าตากันเลยทีเดียว

“มีรายยย”

โอ้ตมันก็จ้องตา ผมก็แบบโคตรแสบตาเลย แต่ก็แบบมองตอบ เด๋วมันโกรธอีกหาว่าไม่มองหน้า

“ปริ้น …”

“หือ”

“โอ้ตรักปริ้นนะ” มันว่า ทำหน้าตาจริงจัง จนผมต้องหลบตาอ่ะ ว้อยยย มาพูดไรกันตอนนี้ว้า

“อือ”

“แล้วปริ้นรู้สึกไงกับโอ้ต โอ้ตยังไม่รู้เลย โอ้ตมันถามผม พร้อมกับปาดเอาฟองแชมพูที่กำลังจะไหล
เข้าตาผมออกไป

“ก็ …. ก็”

ตอนนี้มือไอ้โอ้ตข้างนึงมันเลื่อนมาที่ติ่งหูผมอ่ะ แล้วก็คลึงๆ เหมือนมันก็ลืมตัว อ๋อยยยยย ….

“ปริ้นก็ชอบโอ้ต ”

“แค่ชอบเหรอ” มันทำหน้าเจือนเล็กน้อย

“โอ้ต ขอเวลาปริ้นอีกนิดได้ป่าว - - - ปะ ปริ้น ไม่เคยรักใครมาก่อน ”

ผมพยายามจะอธิบายความรู้สึก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้กับโอ้ตมันเรียกได้ถึงขนาดว่ารักเหรอป่าว คำว่ารัก
ของแต่ละคนมันมาตรฐานไม่เหมือนกันนี่นา แล้วผมก็แน่ใจว่าที่ผมยังให้คำตอบว่ารักไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่า
มีไอ้น้องโค้กเข้ามาเป็นประเด็นซักนิด ความรู้สึกที่ผมมีกับโอ้ตมันมากกว่าแล้วก็ไม่เหมือนกับน้องโค้กแน่นอน

โอ้ตมันก็ยิ้มให้ผม

“ไม่เป็นไร โอ้ตจะรอนะ ตอนนี้แค่ชอบก็พอแล้ว” มันว่าแล้วก็จับหัวผมให้ก้มลงไปต่อ

“ขอโทษนะ”

“จะขอโทษโอ้ตทำไม รอให้ปริ้นรู้ใจตัวเองแน่ๆก่อน ไม่ต้องขอโทษโอ้ตหรอก” มันว่าแบบนี้ทำให้ผมรู้สึก
ผิดเลยอ่ะ

พอมันสระผมให้เสร็จ ก็เดินออกมานอกห้องน้ำ ไปหยิบผ้ามาเช็ดหัวให้

“ไม่ต้องเช็ดหรอก เด๋วก็ต้องอาบน้ำอีกอยู่ดีล่ะ”

“อาบก็อาบซิ ไปรีบเช็ดหัว เดี๋ยวก็หวัดกินพอดี ” มันว่า แล้วก็จับหัวผมมาเช็ดๆ อ่า แมร่ง อบอุ่นดีหว่ะ
โคตรรู้สึกดีเยย

“เอ้า เสร็จแล้วคับคุณชาย รีบอาบน้ำแล้วก็รีบนอนล่ะ เดี๋ยวก็ตื่นสายอีกพอดี”

“ค๊าบบบบ ”

ก่อนที่มันจะออกจากห้องไป มันก็แอบขโมยหอมแก้มผมทีนึง

“ฝันดีนะครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน ^^”

“ค๊าบบบบ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2006 04:09:16 โดย b|ueB[o]YhUb »

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #27 เมื่อ23-10-2006 05:18:21 »

2 อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนตอแหลคับ กิจวัตรประจำวันผมนอกจากเรียนแล้ว ตอนเย็นก็ต้องรีบแจ้นไปซ้อมลีดที่บ้านพี่ต่ายทุกวัน พอถึงเสาร์อาทิตย์ก็ไม่เว้นต้องนั่งรถมาซ้อมอีก เหนื่อยมากกกกกกก ทักษะการเต้นผมก็ดูอ่อนที่สุด แต่ทำไงได้ล่ะ รับปากเค้าไว้แล้ว ที่สำคัญผมไม่อยากให้โอ้ตมันผิดหวังในตัวผมคับ ที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ (แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยหวังอะไรในตัวผมก็เหอะ)

มีอยู่ช่วงนึงที่เกิดปัญหาทำให้ผมปวดหัวขึ้นมาอีก มันเป็นเรื่องของซังกะไอ้คิวนั่นเองฮะ หวังว่าคงจำไอ้สองตัวนี่ได้นะ

“ปริ้น ..!! ซังมีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย” มันเดินมาบอกกับผม ก็เลยพากันไปนั่งหลังสวนป่าแดง มันจะมีศาลา
เล็กๆอยู่แถวนั้น

“มีไรป่าว” ผมดูขอบตามันคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลย คาดว่าปัญหามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแฮะ

“ปริ้น …..” น้ำเสียงมันแย่เอามากๆ จนอดหวั่นใจไม่ได้ แล้วน้ำตาหยดแรกก็ร่วงลงมากระทบกับแก้มใสๆของมัน

“เง้ย .. ซัง เป็นไร” ผมตกใจรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาซัง

ผมพึ่งเคยเห็นมันเสียใจจนร้องไห้ก็ครั้งนี้ครั้งแรกเลย ถึงแม้เราจะรู้จักกันมาไม่ถึงปีก็เหอะ ซังมันเป็นคนที่เข้มแข็งพอสมควร มันเกิดไรขึ้นวะ ?

“คิวมัน … ไอ้เหี้ยคิวมัน” คราวนี้น้ำตามานพรั่งพรูออกมาเป็นสายเลย

“คิวมันเป็นไร ? ” ผมตกใจนึกว่ามันถูกรถชนตายเหรอไงวะ โถ พึ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ ม่ะคาบที่แล้วเอง

เอ๋ คงไม่ใช่อย่างที่คิดมั้ง”

“เราคิดว่ามัน …. เราเห็นมัน…” ซังมันละล่ำละลักไม่สมกับเป็นมันเลยตอนนี้

“มันไปมีคนอื่นเหรอ” ผมถาม

“อือ” มันเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อ

“แล้ว … แน่ใจได้ไง เข้าใจไรผิดเหรอป่าว ”

ซังมันสั่นหน้าแทนคำตอบ

“เมื่อคืนพอซังจะปิดร้าน ก็เลยโทรไปหามันจะให้ซื้อของทำรายงาน แต่มันบอกว่ากลับเข้าบ้านแล้วขี้เกียจ ซังเลยขี่มอไซต์ไปซื้อเอง - - -”

“อืม”

“- - - แต่ซังเห็นมันไปนั่งแดกไอติมที่ร้านน้าไอ้อิม (เพื่อนที่อยู่ห้องอื่นอะฮะ) - - ”

“แล้วอยู่กับใคร ? ”

ซังมองหน้าผมด้วยแววตาที่ฉายด้วยความผิดหวังละคนคับแค้นใจ

“กัส ! ”

“ใครคือกัส” ผมถามด้วยความที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

“กัส - - ”

“- - เป็นแฟนเก่าของไอ้คิว ซังมันตอบเสียงเบา แล้วก็ทุบกำปั่นตัวเองลงกับพื้นหินอ่อน

“ฟะ แฟนเก่า !? ”

“อือ”

ผมมองซังด้วยความสงสารจับใจ ทำไมไอ้คิวถึงทำแบบนี้นะ


* * * * * * * * * * * *

“ปริ้น …..!! - - -”

โอ้ย เรียกกูอีกแล้ว

“- - - มีสมาธิเต้นหน่อย คนอื่นเค้าพร้อมกันหมดแล้ว ตัวเองยังทำไม่ได้เลยนะ เป็นอะไร !! ”

ฉอดๆๆ

“ขอโทษคับพี่” ผมบอก

“วันนี้เป็นไรพี่ ดูไม่ค่อยใส่ใจเต้นเลย” ไอ้โค้กหันมาถามผมซึ่งนั่งซ้อนมอไซต์มาส่งผมที่ป้ายรถ

“ไอ้บ้า ใครไม่ใส่ใจ … แค่มีเรื่องให้คิดตะหาก” ผมบ่น

“มีเรื่องไร บอกผมได้นา”

“เอาเหอะ ไม่ใช่เรื่องของพี่หรอก เรื่องของเพื่อนอ่ะ”

“- - - งั้นรีบกลับป่าวคับ” มันหันมาถามอีกรอบ ผมละกลับมันขี่รถชวนตายแบบนี้เจงๆ

“เฮ้ย .. ดูรถ - - เออๆ ไม่รีบอ่ะ”

“งั้นไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย” มันพูดเองเออเองเสร็จแล้วก็หันรถขี่กลับเข้าไปในเมือง


* * * * * * * * * * * *

“อ่ะ ว่ามา …..”

“ว่าอะไร ? ” ผมถาม

“ก็เรื่องเพื่อนพี่ไง ที่ไม่สบายใจอยู่อ่ะ” มันว่าพลางยิ้มหวานใส่ผม

“อะไรวะ ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะเล่าให้ฟัง”

“มีเรื่องเก็บไว้มันไม่ดีหรอกพี่ เรื่องรักๆใคร่ๆแบบนี้อ่ะ ผมถนัด หุหุ”

“แล้วเมิงรู้ได้ไง ว่าเรื่องรักๆใคร่ๆ ? ”

“โหพี่ วัยรุ่นจามีเรื่องไรให้กลุ้มใจอีกเล่า” มันเอาสีข้างเข้าถู

“เออ … ไอ้แก่ เก่งนักทำไมเรื่องตัวเองยังเอาตัวม่ะรอดวะ” ผมกัดมัน

“โด่ ผมเนี่ยนะเอาตัวไม่รอด”

“อ้าว ก็เรื่องไอ้ก้ง ไอ้กั๊กนั่นไง ถ้าเก่งจริงทำไมยังทำงอลกันอยู่อ่ะ” เหอๆ กัดได้สะจายผมมาก

โค้กมันหุบยิ้มทันที กระแทกช้อนกะส้อมกินเอาๆไม่พูดกับผมอีกเลย = =’’

“ผมไม่ได้งอนนะพี่ มันกร”ะแทกจาน แล้วก็พูดเสียงดุกับผม

“ทำไมผมต้องงอนมันด้วย ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันนะ”

มันพูดเสร็จแล้วก็สะบัดตูดขึ้นมอไซต์บิดออกไปเลย โดยทิ้งผมไว้ทีร้านอ่ะหล่ะ


ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด

ว้อยยย ไอ้ซังไม่รับโทรสับคับ แล้วทีนี้ผมจะไปขึ้นรถได้ไงเนี่ย ขี้เกียจเดินด้วย มืดแล้ว แต่ในที่สุด ผมก็ต้องค่อยๆเดินไปเรื่อยๆด้วยตัวเองคับ น่าเศร้าอย่างแรง เดินเรื่อยมาจนถึงวัดมหาธาตุ (เลี้ยวตรงนี้แล้วเดินไปอีกพักนึงก็ถึงที่ขึ้นรถแระ)

“เฮ้ย เด็กเทป มาเดินไรอยู่คนเดียว” เสียงแบบนี้ แล้วเรียกผมแบบนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากไอ้เหี้ยคิว ขี่มอไซต์ของมันผ่านหน้ามาพอดี

“จะไปขึ้นรถกลับบ้าน ! ” รู้สึกว่าพูดเสียงแข็งไปหน่อย

“ขึ้นมาดิ เด๋วไปส่ง ”

“เดินอีกหน่อยก็ถึงแล้ว ม่ะต้องหรอก” ผมว่าพลางในใจก็โกรธแทนไอ้ซัง ระหว่างไอ้คิวกะซังผมเลือกยืนข้างซังมันเต็มตัวอ่ะ

“เป็นไรเมิงเนี่ย มันพูดเสียงไม่พอใจ ” กูบอกให้ขึ้นงาย ทำไมชอบขัดใจกูจัง

“กูว่ามึงอ่ะ ไม่เอาใจแฟนมึงดีกว่าไอ้คิว” ผมพูดเผื่อว่ามันจะไปจี้โดนใจดำมันบ้าง

“อาไรเมิงเนี่ย พูดไรกูไม่เข้าใจ” แน่ะมันยังด้าน

“เออ ช่างมึงเหอะ กูกลับบ้านดีกว่า เสียเวลา” ผมบอกแล้วก็ผลักมันให้หลีกทาง

“เฮ้ย ก็กูบอกว่าเด๋วไปส่ง ” คราวนี้มันลากผมให้ขึ้นไปนั่งที่อานด้านหลัง ผมทำเสียงไม่พอใจนิดๆ แต่กลัวมันต่อยเอามากกว่าเลยเฉยไว้ เพราะไอ้นี่ขนาดคนรักมันยังทำได้ แล้วผมเป็นใครจะไม่โดน

“ขอบใจ” ผมพูดเมื่อมันมาส่งถึงที่แล้ว

“เออ ปริ้น กูมีเรื่องให้เมิงช่วยหน่อยอ่ะ”

“เรื่องไร”

“เมิงรู้ป่าวว่าไอ้ซังมันเป็นอะไร วันนี้มันไม่ยอมคุยกะกูเลยอ่ะ”

“กูจะรู้มั้ยล่ะ ไม่ใช่แฟนกูซะหน่อย” ผมพูดน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่ามึงรู้แน่ๆเลย มึงบอกมาไอ้ซังมันโกรธไร ” มันพูดไปมือมันก็เอามาจับตัวผมไว้

“ถ้ามึงอยากรู้ ก็ไปถามแฟนมึงเอง” ผมพูดเน้นเสียง

“ไอ้ปริ้นนนน !! ” คิวมันกระชากคอเสื้อผมอย่างแรงจนหน้าผมไปประจันกับหน้ามัน ผมก็เดือดพอๆกะมันล่ะ
จ้องหน้ามันเขม็ง

คนแถวนั้นเลยมองแปลกๆแล้ว คงคิดว่ากะลังจะมีคนต่อยกันแน่ๆ

“กัส … คือใคร” ผมถามมันทั้งที่มันยังจับคอเสื้อผมอยู่แบบนั้นล่ะ แล้วก็ดูเหมือนได้ผลครับ ไอ้คิวหน้าเปลี่ยนสีไปเลย จนมือมันดูเหมือนคลาย ผมก็เลยสลัดจนหลุด

“มึงอย่าคิดว่าไอ้ซังมันโง่นะ …”

ผมไม่รู้หรอกนะว่า เสียงที่พูดไปมันเข้าหูไอ้คิวไปบ้างเหรอป่าว แต่ถึงเวลาที่ผมจะกลับบ้านได้ซะที


ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด


“ว่าไง” ผมรับโทรสับโดยที่ไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา

“กลับบ้านช้า…”

“อ่า โอ้ต … คือ - - -” ผมกำลังจะแก้ตัว ถ้าโอ้ตมันจะมาด่าผมอีกคนคงทนไม่ไหวแน่ๆ

“รีบกลับนะครับ รอกินข้าวอยู่นะ เดี๋ยวข้าวเย็นหมด” เสียงโอ้ตแว่วมาตามสาย แต่มันก็เพียงพอทำให้รู้สึก
ชุ่มชื่นหัวใจมากที่สุดตลอดวัน

“โอ้ต …”

“ทำเสียงแบบนี้ - - กลับมาแล้วค่อยคุยกันนะปริ้น” โอ้ตมันพูดแบบใจเย็นมากจนให้ผมรู้สึกใจสงบลงได้บ้าง

“คับ”

“เป็นห่วงนะ ”

“คับ พี่- - โอ้ต”

ผมวางสายเสร็จ ก็ผล่อยหลับไป ทั้งเหนื่อย ทั้งกลุ้มเรื่องซัง ทั้งโกรธไอ้คิว

ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด

“คับ ว่าไงโอ้ต ”

“ผมโค้กคับ ม่ะใช่โอ้ต”

ผมสะดุ้งหายจากงัวเงียทันที มันรู้เบอร์โทรสับผมได้ไงวะ

“เอาเบอร์มาจากไหนเนี่ย”

“ขอจากพี่ท็อปดิ - - วะ ว่าแต่พี่ตอนนี้อยู่ไหนเนี่ย”

“อยู่บนรถ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่รอผมก่อนอ่ะ” มันพูดเสียงขุ่น ดูมันพูดเข้าไอ้เวน

“เออ พูดดีนี่หว่า แล้วใครมันงอนสะบัดตูดขี่มอไซต์ทิ้งกูไปล่ะวะเนี่ย”

“โห ผมป่าวงอนนะพี่ แค่ไปซื้อของหน่อยเดียวเอง” มันแก้ตัว แต่มันงอนชัวว์ๆ

“เออ ก็กลับแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง”

“คับ งั้นก็สบายใจหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าผมทิ้ง หุหุ”

“ก็ทิ้งจริงๆนี่หว่า ไอ้บ้า”

“โห ว่าอีกแระ ”

“เออ ก็ว่าอะดิ ผมปริ้นนะคับ ไม่ใช่กั๊ก” ว่ะฮ่ะฮ่าๆๆ สะจายอีกแล้วคับผมที่ได้แกล้งน้องนุ่ง

“แค่นี้นะ ”

แล้วมันก็ตัดสายผมไปทันที ไอ้นี่มานงอนน่ารักเจงๆ เหอๆ

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #28 เมื่อ23-10-2006 05:18:52 »

“ตกลง ไอ้เหี้ยคิวมันเป็นเกย์เหรอเป็นไรกันแน่วะ” ผมพูด ทำหน้านิ่วกับซัง ซึ่งหน้ามันก็ใช่ว่าจะดีกว่าผมเท่าไร ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันคุยอะไรกันบ้างเหรอป่าว หลังจากที่ผมดันไปบอกเรื่องที่ซังเห็นไอ้คิวไปกะคนที่ชื่อกัสอะไรนั่น

กัส เป็นเด็กเก่าของไอ้คิวมันคับ เรียนอยู่อาชีวะ แถมที่ผมงงก็คือ กัสเป็นผู้หญิงแท้ๆด้วย (ม่ะใช่กระเทียม) ซังมันเลยเครียดกว่าเก่าคับ เพราะไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ไอ้คิวมันคบกะซังนี่ มันมีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้องเหรอป่าว

“เฮ้ย ไม่หรอกซัง อย่าคิดมากดิ” ผมพยายามปลอบ

“ถ้ามันหวังจาหลอกใช้ซัง มันคงไม่เอาตัวเข้าแลก ยอมเป็น - - อะ เออ นั่นแหละ(เมีย) ซังหรอก” ผมพูดแบบเขินๆนิดหน่อย ปกติไม่เคยคุยไอ้เรื่องพวกนี้กะไอ้ซังมันหรอกครับ เหอๆ

“ตอนที่เรากับมันตกลงว่าจะคบกันเป็น - - แฟน มันสัญญากับเราว่า มันจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกะเด็กเก่าอีก” ซังพูดให้ผมฟังเสียงสั่นๆ โคตรน่าสงสารเลยอ่ะ

“มันบอกว่า มะ มันรู้ตัวว่ามันเป็นเกย์ - - - แล้วมันก็ไม่อยากหลอกผู้หญิงไปวันๆ”

“เออ … มันอาจจะแค่ไปกินไอติมกันเฉยๆเหรอป่าว มันอาจจะเป็นเพื่อนกันเฉยๆล่ะม๊าง”

ซังสั่นหน้าเหมือนจะไล่ความเห็นของผมออกไปให้พ้นๆ

“ถ้ามันแค่กินกันเฉยๆ มันจะโกหกทำไมกันอ่ะ” สายตามันเปลี่ยนไปเป็นความโกรธเกรี้ยวแทน

“ปริ้นก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ธ่อ อย่ามะโหดิ” ผมชักฉุน

“เอาน่า อย่าพึ่งคิดไรมากเลย มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ซังคิดก็ได้ ว่าแต่เมื่อคืนไอ้คิวมันโทรไปหาป่าว” ผมซักต่อ

“ไม่รู้ ดึงสายโทรศัพท์ที่บ้านออก” มันว่า นั่นดิ กรูโทรไปแมร่งม่ะมีติด -*-

“อ้าว แล้วงี้ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยอ่ะดิ”

“เออ”

“แล้วจะรู้เรื่องกันมั้ยล่ะเนี่ย ”

“ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ มันก็ต้องกล้ามาคุยกะซังซิ ไม่ใช่เงียบไปแบบนี้ ” มันพูดแบบยังไม่หายโกรธ โถ พิษรักแรงหึงทำให้เพื่อนกรูกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลไปได้ไงฟร่ะเนี่ย

แล้วก็จริงๆครับ คาบเช้าทั้ง 4 คาบ ไม่เห็นหัวไอ้คิวมาเข้าเรียนเลย ซังมันก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น แต่มันก็ทำเหมือนว่าตั้งใจเรียนปกติ แต่พวกเพื่อนๆอย่างผมอะรู้สึกได้ บางคนมันก็มาซักผมว่า ซังมันเป็นอะไร ผมก็ไม่ต้องบอกว่า ไม่รู้ไปตามระเบียบ (จะบอกความจริงก็กระไรอยู่เจงป่ะ)

ตกบ่าย พี่ท็อปเดินตระเวนเอาเนื้อเพลงชุดใหญ่มาให้ผมท่องให้ได้ พร้อมกับโค๊ดอีกบานตะไท

“ไมมันเยอะแบบนี้อ่ะพี่ท็อป ”

“เอาน่า เดี๋ยวก็จำได้เองแหละ แล้วเย็นนี้ไปเร็วๆหน่อยนะ ใกล้กีฬาสีแล้ว” พี่ท็อปพูดแล้วก็ตบหัวผมทีนึงเป็นการหยอกเอิน อีกไม่ถึงเดือน จะถึงวันกีฬาสีแล้วคับ เฮ้อ ผมยังทำได้ไม่ถึงไหนเลย

“ไอ้ปริ้น” เสียงที่แสนคุ้นดังมาจากข้างหลัง

“อ้าว … มาโรงเรียนแล้วไมไม่เข้าเรียนอ่ะมึง …. เหรอว่าไม่กล้าสู้หน้าไอ้ซัง ” ผมแขวะมันทีนึง

ดูมันทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที

“ปริ้น เมิงจะพูดอะไร จะว่าอะไร กรุอยากให้เมิงรู้ที่มาที่ไปก่อนแล้วเมิงค่อยพูดนะ ไม่ใช่จะมาว่าแต่กรุ ” มันพูดพร้อมกับผลักอกผมเบาๆ ให้เดินเข้าไปในห้องเรียนที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย

“อะไรมึงเนี่ย จะหาเรื่องกูเหรอ” ผมว่าพลางขืนตัว

“กรุอยากให้เมิงช่วย ”

“มึงสร้างปัญหาเอง แล้วมึงจะมาให้คนอื่นเค้าช่วยมึงเนี่ยนะ ! ” ผมแหวใส่มัน แล้วก็เดินหลีกไปอีกทาง

“เด๋ว ….” มือมันเร็วพอที่จะคว้าแขนผมทัน

“กรุกะกัส ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจริงๆ” มันตะโกนใส่

“แล้วทำไมมึงไม่ไปคุยกะซังมันเองเล่า มาบอกกูแล้วกูจะช่วยอะไรมึงได้” ผมบอกอย่างหมดปัญญา อีกใจนึงก็ไม่ได้อยากเชื่ออะไรมันเท่าไรหรอก

“เมิงไม่เห็นเหรอ ไอ้ซังมันเอาแต่หลบหน้ากรุอ่ะ พอโทรไปที่บ้าน มันก็ไม่รับโทรศัพท์ จะให้คุยกะมันได้ไง” คิวมันพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ แล้วก็ทรุดลงไปนอนแอ้งแม้งเอามือก่ายหน้าผาก

“ที่กรุอยากให้เมิงช่วย - - - เพราะว่าเมิงเป็นเพื่อนกรุ กรุไม่เคยคิดว่าเมิงเป็นคนอื่น ไอ้ปริ้น” มันพูดทั้งๆที่ยังเอามือปิดตาอยู่แบบนั้น

อือ ใช่ ผมก็ฟังซังมันข้างเดียว มองอยู่ด้านเดียวกับที่ซังมันมอง ผมน่าจะฟังไอ้คิวมันบ้าง อย่างน้อย มันก็เป็นเพื่อนผมคนนึงนี่นา

ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อน แล้วจะไปช่วยหมาที่ไหนล่ะวะ ?

ผมเอื้อมมือไปจับมือที่ก่ายหน้าผากมันออก แล้วก็ฉุดตัวมันขึ้นมา(ด้วยความยากลำบาก)

“มึงจะให้กูช่วยไร ? ” ผมมองหน้ามันที่อย่างน้อย ตอนนี้ก็ได้เห็นรอยยิ้มของมันเปื้อนหน้าอีกครั้ง

* * * * * * * * * * * *

“ซัง ไปดูหนังกันป่ะ ? ” ผมเดินหน้าแป้นแล้นเข้าไปทักไอ้ซังที่ยังไม่ยอมเลิกทำหน้าเครียดอยู่ในห้องเรียน

มันหันมามองแบบเหม่อลอยชั่วขณะจิตแล้วก็ลงไปฟุบต่อ

“เฮ้ย ไปดูจะได้หายเครียดนะ นะ” ผมพยายามคะยั้นคะยอมันสุดริด

“ดูที่หนายอ่ะ เพชรฯรามาเนี่ยเหรอ ? ” ดูมันเซื่องซึมจริงๆเพื่อนกรุ

“ม่ะช่าย เมิงจะไปดูหนังโป๊เหรอไง ไปดูกรุงเทพดิ ” ผมว่า

“จะบ้าเหรอไง ไปดูหนังเรื่องเดียวต้องไปดูกรุงเทพ ไอ้ปริ้น ”

“เออ …” ผมพยายามคิดคำตอแหล มันก็จริง จะไปดูหนังเรื่องเดียว แต่ต้องถ่อไปกรุงเทพ มันก็กระไรอยู่ แต่อย่างว่าครับ สมัยผมเรียนอยู่ที่เพชรบุรีเนี่ย มันไม่มีโรงหนังแบบ อีจีวี เมเจอร์อะไรเทือกนี้ซะหน่อย กว่าโรงแบบนี้มันจะเปิด ก็ตอนผมจบมัธยมกันแระ

“เออ … จริงๆ โอ้ต เอ้ย พี่โอ้ตอ่ะ ชวนไปดูพวกของจะทำแสตนด์เชียร์ด้วยไง แต่มัน เอ้ย พี่เค้าไม่รู้ว่าจาไปซื้อ
แถวไหนดี ก็เลยชวนปริ้นไปด้วยอ่ะ ก็เลยว่าจะไปหาหนังดูด้วยเลยไง”

ผมพูดแบบเนียนๆ แล้วก็ลุ้นว่าซังมันจะตอบตกลงเหรอป่าว ก่อนมันจะพูดอะไร ผมก็เอามือไปตบบ่ามันทีนึง

“ไปเหอะ .. เผื่อมันจะทำให้สบายใจได้บ้าง ”

“อือ ก็ด่ะ ไปวันไหนอ่ะ เสาร์นี้เหรอ ? ”

“ใช่แล้น …”

“แล้วไม่ต้องซ้อมลีดหรอ จะแข่งแล้วนี่” มันยังซักไม่เลิก เด๋วแมร่งไปต้องไปเลยดีม่ะ =*=

“เออ บอกพี่ท็อปแล้วล่ะ” ผมว่า พลางคิดไปว่า นี่กูต้องตามเคลียทุกเรื่องที่แหลออกไปอย่างยากลำบากแน่เรย ไอ้คิวเอ้ย เมิงเนี่ยทำกูเดือดร้อน

วันนี้เป็นวันพฤหัสฯ วันรุ่งขึ้นไอ้คิวก็ยังหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ก็มีผมนี่แหละที่รู้ว่ามันยังไม่อยากเจอหน้าซัง ส่วนซังไม่ต้องพูดถึงคับ ห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม แถมคาดการณ์ไปต่างๆนาๆ ว่าไอ้คิวมันต้องทิ้งมันไปหาอีกัส อะไรนั่นแน่นอน ผมก็พยายามทำเออออปลอบมันไป แถมผมยังถามมันเลยว่า ทำไมไม่คุยกะไอ้คิวให้รู้เรื่องไปเลย (จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนกูด้วย) มันก็ยังหยิ่งคับ ทิฐิมาก ไอ้เชี่ยเนี่ย

ตกเย็นวันนี้ไม่ต้องไปซ้อมลีดที่บ้านพี่ต่าย แต่เค้าให้ลองมาซ้อมตรงหลังโรงเรียนที่เป็นตีนเขาแทน ก็มีพวกพี่ท็อปมาดูเหมือนเดิม

“พี่ท็อป” ผมเดินปาดเหงื่อเข้าไปหาพี่ท็อปที่กะลังง่วนอยู่

“พรุ่งนี้ผมไม่ไปซ้อมนะคับ ติดธุระอ่ะ ”

ไอ้พี่ท็อปหันพลวดมาหาผมเลย ทำหน้างอแบบไม่มีเหตุผล

“ธุระอาไร !! ”

“คือ .. ไปธุระกะพี่โอ้ตอ่ะพี่”

“เห้ย ได้ไง ช่วงนี้มันก็น่าจะรู้อยู่ว่าต้องซ้อม ธุระห่าอาไรว้า” พี่มันพูดแบบหงุดหงิด พอดีกับไอ้โอ้ตดันเดินมาดูซ้อมพอดีอีก

โผล่หัวออกมาทำมายยย !!!!

“ไอ้โอ้ต พรุ่งนี้มีธุระห่าไรวะ น้องเค้าเลยไม่ต้องซ้อมกันพอดี ” ไอ้พี่ท็อปเดินเข้าไปหาเรื่องโอ้ตเลยอ่ะ ซวยแระ

“ธุระอะไร ? ” โอ้ตทำหน้างงแดก

“อ้าว ก็ปริ้นบอกกูว่า ต้องไปทำธุระกะมึงพรุ่งนี้เลยมาซ้อมไม่ได้ไง ”

ได้ยินเท่านั้นแหละ โอ้ตมันมองข้ามไหล่มาซบตากะผมทันที แว่บแรกแววตาของมานพูดทำนองว่า

- หมายความว่ายังไงฟร่ะ –

ผมกะลังจะส่งเซ็กส์ เอ้ย ซิกส์ทางสายตาให้โอ้ตมันแต่ไอ้พี่ท็อปดันเสือกหันมาทางผมก่อน

“อ้าว ยังไงปริ้น ทำไมโอ้ตมันไม่รู้เรื่องอ่ะ ”

ผมทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำไงได้ล่ะโดนต้อนจนมุมซะขนาดนี้

“เฮ้ย ท็อป …” เสียงโอ้ตดังขึ้นมา

เหง่ง หง่าง เหง่ง หง่าง ------------------------ เสียงประหนึ่งระฆังสวรรค์มาช่วยกูแว้ว

“พรุ่งนี้ที่บ้านกูเค้าจะไปทำบุญกัน ไปกันทั้งบ้านแหละ กูไม่ได้บอกมึง เพราะคิดว่า ไงก็คงกลับมาทัน”

โอ้ตแก้ตัวให้ผม รู้สึกผิดอย่างแรงคับ ที่เอาชื่อมันมาอ้างแบบนี้ ฮึ่มๆ

“อืมม … งั้น ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ กูนึกว่าปริ้นมันจะขี้เกียจมาซ้อม ”

ซะงั้นอ่ะ ไอ้พี่ท็อป

พอเคลียอะไรกันเสร็จปุ๊บ โอ้ตมันก็ลากผมเดินแน่วๆ มายืนรอรถกลับบ้าน

“……………” เงียบ


“…………….” เงียบ


“เอ้า ไม่พูดอะไรเลยเหรอไง” เสียงโอ้ตพูดขึ้นมาก่อน แต่มันก็ไม่มองหน้าผมหรอก

“เออ .. ขอโทษนะ” ผมก็งุบงิบๆพูดไปตามเรื่องอ่ะ เหอๆ

“อยากรู้เหตุผลมากกว่า ไปโกหกท็อปมันทำไม”

“เหอๆ ก็ - - ก็ นิดหน่อยอะแหละ แต่ก็กะว่าจะบอกโอ้ตอยู่แล้ววว”

“แน่ใจ๋ ….” ทำไมโอ้ตไม่รู้สึกแบบนั้นเลยล่ะ มันพูดแบบรู้ทัน แหม เกลียดคนรู้ทันเจงๆ

“ก็คือ เจงๆแล้วมัน ……………………… บลาๆๆๆ”

ผมเล่าจนน้ำท่วมทุ่งจนพอเล่าจบก็จับรถกลับบ้านได้พอดี

“โอ้ตว่า บางเรื่อง ก็น่าจะให้พวกมันแก้ปัญหากันเองไม่ดีกว่าเหรอ” โอ้ตบอก

“ก็มันขอให้ช่วยนี่หว่า จะให้ไม่ช่วยมันก็ใจดำไปหน่อยมั้ง” ผมบอกเคืองๆ

“แล้วถ้าไอ้คิวกะน้องคนนั้นเค้ากลับไปคบกันอีกจริงๆ ซังมันจะทำยังไง ปริ้นเชื่อที่มันพูดจริงๆเหรอ”

ผมนั่งก้มหน้า มันก็ถูกของโอ้ตมัน ถ้ามันเป็นอย่างที่โอ้ตบอก ผมจะกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่เหมือนยื่นดาบมาแทงเพื่อนตัวเองเลย

“ตะ - - แต่ปริ้นเชื่อใจเพื่อนอ่ะ”

โอ้ตมันได้แต่นั่งถอนหายใจ แต่มันก็เอามือมาลูบหัวผมนะ แล้วก็เลื่อนลงมากุมมือไว้

“ทำในขอบเขตที่ปริ้นคิดว่าควรทำก็แล้วกัน ยังไงก็เป็นเรื่องของเค้าสองคนนะ”

“อือ” ผมพยักหน้ากลับ

“แล้ว …”

“แล้ว ….. ไร ” ผมหันไปมองหน้ามัน

“เรื่องของเรา ว่าไง” มันพูดแบบเขินๆแต่สายตามันก็จ้องมาไม่หลบเหมือนทุกที

“อะไร ยังไงล่ะ ”

“ก็โอ้ตไม่เห็นรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้เราเป็นแฟนกันเลยง่ะ” มันพูดแล้วก็ขยับเข้ามาเบียดผมมากขึ้น

“นะ นี่มันในรถนะ” ผมกระซิบบอกมัน แล้วหาทางกระเถิบหนี (แต่มันไม่มีที่ให้ถอยแล้ว)

“ก็ดีดิ คนเยอะแยะ” มันว่าแล้วก็มาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆหูผม

“ไอ้บ้า …อย่ามาโรคจิตน่า” ผมพูดไป มือก็พยายามดันให้ตัวมันออก

“โรคจิตไรเล่า ไม่มีคนเห็นหรอก นั่งอยู่ท้ายสุดแบบนี้ พูดเสร็จ มานก็มางับเข้าที่หูผม

แย๊กกกก ลมหายใจของมันเป่ามาจนอะไรต่ออะไรกระเจิดกระเจิง มือมันก็เอื้อมลงมาป้วนเปี้ยนแถบเป้ากางเกงผมอ่ะ โหยยยย ไอ้โรคเจตตตตต

“อ่ะ โอ้ตตต อย่าเล่น ”

“ก็ทำโทดไง เอาชื่อไปอ้างดีนัก” ว่าแล้วมันก็รูดซิบกางเกงผมลงดัง ปรี้ดด เลยคับ จนผมสะดุ้งอ่ะ กลัวมีคนได้ยิน (จริงๆคือกัวมันหนีบเจี้ยว)

“ไอ้โอ้ต” ผมเริ่มขึ้นเสียว เอ้ยเสียง แต่ไอ้น้องชายผมนี่ดิ ไม่รักดียืนตัวตรงจ้องเขม็งท้าทายไอ้โอ้ตอยู่นั่นอ่ะ

โอ้ตมันก็ยิ้มๆ แต่ผมโคตรอายเลย

และแล้ว ไอ้โอ้ตมันทำสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิด ก้มลงไปจัดการลงโทษไอ้น้องชายไม่รักดีซะมิดด้าม

“อ่ะ ………” ก้นผมมันกระดกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกว่ามันอมไปแต่ไม่ได้รูดขึ้นรูดลงอ่ะ แต่มันใช้ลิ้นตวัดไปมาข้างใน

“อ่ะ โอ้ตตตตต อย่าทำงี้ดิ” ผมเรียกมันเสียงกระเส่า พยายามจะยกหัวมันขึ้นมา แต่แมร่งม่ะมีแรง

“พอๆ ไม่ไหวแล้ว” ผมทุบเบาๆที่หลังไอ้โอ้ตเป็นเชิงเตือนสติ เหมือนได้ผล มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กยิ้มน้อย ปากมันแผล่บเชียว

“เสียวป่าว ”

ไม่รอให้ผมพูดจบ มันก็ยื่นหน้ามาบดปากกะผมทั้งยั่งงั้นเลยอ่ะ กลิ่นครวยผมมันก็ติดปากมันมาด้วยอะดิ แมร่งเหมือนอมครวยตัวเอง แต่ก็ได้อารมณ์แปลกดีคับ แฮะๆ

พี่น้องคับ อย่าหาว่าเอาเรื่องบัดสีมาเล่าให้ฟังเลยนะ แต่โอ้ตมันเล่นกับผมซะขนาดนี้ ครายมานจะอดใจอยู่ อีกทั้งก็ไม่มีคนเห็นด้วย คงไม่เป็นไรมั้ง เหอๆ

พอโอ้ตมันบดปากผมเสร็จ แล้วผมเริ่มม่ะขืนมันแล้ว มันก็เลยก้มตัวไปจัดการต่อเพราะมันใกล้ถึงบ้านแล้วคับ
โอ้ตมันก็จับชักจนหนำใจ.. คราวนี้ผมมีซีส.. เบาๆ ก็มันเสียวนี่หว่า

เสียงชักของไอ้โอ้ตมันก็คงมีดังขึ้นมาบ้างล่ะคับ โชคดีที่พอดีกะพี่คนขับเปิดเพลงเลยพอจะกลบๆเสียงกิจกามหลังรถได้หน่อยนึง แต่สายตาผมก็ดูอยู่ตลอดอ่ะ เสียว เหอๆ สุดท้ายผมรู้สึกตัวเองเกร็งมากกว่าปกติ มือเผลอไปจิกที่หลังโอ้ตมันโดยอัตโนมัติ

“อ๊าสสสส์ ….” (เสียงดังจนคนแถวที่ใกล้ที่สุดหันมาคับ แล้วก็หันกลับไป) ม่ะต้องบอกก็รู้ว่า ไอ้โอ้ตจัดการน้ำของผมหมดเกลี้ยงเลย

โอ้ตยกหัวขึ้นมานั่งตามปกติ ผมก็แซวว่า สงสัยวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นแล้วม๊าง มันก็ยิ้มๆคับ

“จะให้ช่วยบ้างป่าว” ผมว่าพลางเอื้อมไปลูบๆไอ้ตัวน้อยของมัน พองเชียว

“ไม่เป็นไร จะถึงอยู่แล้ว”มันว่า แล้วก็เปลี่ยนมาจับมือผมไปกุมแทน

“ไว้หลังกีฬาสีก่อน”

“ทำไมอ่ะ”

มันหันมาพูดแบบมีเลศนัย

“ก็เดี๋ยวเจ็บก้นขึ้นมา ไม่มีแรงเต้นอีก แพ้พอดี” โอ้ตพูดแล้วก็ขำอะไรของมันไม่รู้

“ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้ … ”

“ไอ้ราย”

ผมก็เอื้อมมือไปปาดน้ำที่มันกระเด็นติดอยู่ที่แก้มไอ้โอ้ตออก

“โห กินไรเลอะเทอะ ทีหลังกินไรแล้วเช็ดปากให้ดีรู้ม้ายยยย” ผมพูดแล้วก็หยิกแก้มมันทีนึง

ส่วนจะเป็นน้ำอะไรที่ติดแก้มมันเหรอ ไม่น่าถาม หุหุ

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #29 เมื่อ23-10-2006 05:19:20 »

สายๆของวันเสาร์ผมก็มาเจอกะไอ้ซังที่ท่ารถครับ ซังมันไม่เท่าไรหรอกบ้านอยู่แค่นี้ แต่ผมนี่ดิล่อมาจากชะอำ เลยต้องตื่นเช้าทั้งๆที่ไม่ได้ไปโรงเรียนอ่ะ เซงมาก

“อ้าว แล้วพี่โอ้ตล่ะ” ซังมันพยายามเหลียวมองหาโอ้ต (มันจะมาได้ยังไงล่ะ ก็กูตอแหลนี่หว่า)

“พี่โอ้ตแมร่งท้องเสียอ่ะ มะคืนแดกอะไรไปไม่รู้ เลยมาไม่ได้” ผมบอกไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เดินไปจองตั๋วรถ

“อ้าว งั้นจะไปซื้อของยังไงล่ะ ไม่ต้องไปก็ได้มั้ง” ซังมันบ่น เพราะดูท่าทางมันก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไร แล้วดูท่ามันก็ยังไม่หายเซ็งด้วย

“ไม่ได้ !! - - ปริ้นอยากดูหนังอ่ะ ไปเหอะๆ - - - เออ กรุงเทพ 2 ใบคับ” ผมรีบพูดแล้วก็รีบจองตั๋วเลย แล้วก็เดินนำซังมันขึ้นรถ ซังมันบอกว่ามันไม่เคยไปกรุงเทพแบบคนเดียวแล้วนั่งรถทัวว์ไปแบบนี้ เคยแต่ไปกะที่บ้าน

“บ้านนอกจังวุ้ย” ผมแซว

“ทำไมล่ะ เดี๋ยวไม่ไปเป็นเพื่อนซะเลย โห่” มันพูดอย่างอารมณ์เสีย

เราก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถรอให้ออก ซักประมาณอีก 5 นาทีจะออกได้มั้ง ผมก็เห็นไอ้เหี้ยคิวมันเดินขึ้นมา แต่ไอ้ซังมันยังไม่สังเกตเห็นคับ เพราะว่ามันนั่งด้านหน้าต่าง แล้วก็หันหน้าออกไปด้วย นี่ขนาดผมรู้ว่าไอ้คิวมันจะต้องขึ้นมาเจอตามแผนที่มันบอกให้ผมช่วยแล้วนะ ยังรู้สึกอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้เลย กลัวไอ้ซังมันวีนขึ้นมา หรือจับได้ว่าผมร่วมมือกะไอ้คิว ซวยแน่ผม

คิวมันมากับเพื่อนที่ผมไม่รู้จักอีกประมาณ 3 คน คิดว่าคงเป็นเพื่อนโรงเรียนอื่นของมันนั่นแหละ ที่นั่งไอ้คิวมันอยู่ข้างหลังคับ มันก็ต้องเดินผ่านที่นั่งของพวกผมไป คราวนี้ไอ้ซังดันหันมาจะคุยกับผมพอดี ปากมันอ้าค้างแบบไม่รู้จะพูดอะไรคับ เมื่อเห็นไอ้คิวค่อยๆเดินมา แล้วก็เดินผ่านไปนั่งที่มันด้านหลัง ตอนเดินมาถึงนี่แบบว่ามีการเหลือบมามองตาซังมันอีกนะคับ เหอๆ กูกัวจัง

“ทำไมไอ้เหี้ยคิวมันถึงมาขึ้นกรุงเทพวันนี้ด้วยวะ” ซังมันมองหน้าผมเหมือนจะจับผิด เสียงมันดูข่มความโกรธไว้อย่างแรง

“ปริ้นจะรู้ม่ะเนี่ย มากะใครก็ไม่รู้ ” ผมอ้อมแอ้มตอบ รถก็ออกพอดีครับ เลยโล่งจังว่ายังไงซังมันคงไม่ทำตัวเป็นนางเอกเดินลงรถหรอกนะ ไม่งั้นผมตบหัวทิ่มแน่ รำคาญ !!

รถออกไปได้ซักพัก ซังมันก็นั่งเงียบหันหน้าออกทางหน้าต่างท่าเดียว ผมก็ไม่รู้จะชวนมันคุยอะไร อึดอัดหว่ะ ส่วนพวกไอ้คิวมันก็คุยกันโฉงเฉงดังสนั่นตามสไตย์ความเถื่อนของมันอ่ะ ผมยิ่งอึดอัดหนักเข้าไปใหญ่


“มึงจะให้กูช่วยไร ? ”

“เมิงชวนซังมันไปกรุงเทพหน่อย” คิวบอกหน้าตาเฉย

“ไอ้บ้า ไปทำไมวะกรุงเทพ แล้วกูจะชวนมันไปทำไมล่ะ” ผมถามด้วยความฉงน

“ก็มันจะได้หนีกรุไปไหนไม่ได้ไง ถ้าหนีมันก็หลง กรุจะได้คุยกะมันได้ง่ายๆหน่อย ไม่งั้นมันก็หนีกรุแบบนี้ตลอด กรุรู้ว่ามันไม่เคยไปกรุงเทพคนเดียวหรอก”

“โห มึง แล้วมันจะไม่โกรธกูเหรอไง ”

“เอาเป็นว่า เมิงหาทางชวนซังมันไปกรุงเทพให้ได้ล่ะกัน แล้วที่เหลือกูจัดการเอง” มันพูดแล้วก็ตบไหล่ผมแรงๆทีนึง

ผมคิดถึงเรื่องที่มันไหว้วานผมในวันนั้นแล้วก็สังหรณ์ใจแปลกๆ มันจะมาไม้ไหนของมันวะไอ้คิว แต่อย่าให้กูเดือดร้อนไปด้วยล่ะกัน

นั่งกันไปเกือบ 2 ชั่วโมงแห่งความอึดอัด ก็ถึงสายใต้คับ แต่ผมลงตรงป้ายก่อนเมเจอร์นิดนึงจะได้ไม่ต้องเดินไกล

“จะไปดูไหนล่ะ” มันพูดแบบเสียไม่ได้ เมื่อเห็นกลุ่มไอ้คิวมันเดินลงจากรถมาด้วย

“เซนฯปิ่นอ่ะกัน ใกล้ๆ” ผมพูดแล้วก็เดินนำมันไป กลุ่มไอ้คิวก็เดินตามมาห่างๆครับ ซังมันก็เร่งให้ผมเดินเร็วจาง ไอ้สาดด กูเหนื่อย

และด้วยความที่ผมไม่ได้จะมาดูหนังจริงๆ ทำให้ผมต้องมายืนเลือกดูว่าจะดูหนังเรื่องอะไรดี แถมช่วงนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรน่าดูซักเรื่อง แม่ม ….. ตกลงเลยดูเรื่อง 303 กัว กล้า อาฆาต (มีคนเกิดทันดูม่ะนี่) ระหว่างจอง ผมก็หันกลับมามองหาไอ้คิว แต่มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วนี่ผมต้องทำไงต่อวะ แล้วผมก็จองตั๋วไป 2 ที่ ส่วนไอ้ซังพอมันไม่เห็นคิวแล้ว มันก็ดูจาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ก็ถามโน่นถามนี่ แบบว่ามันค่อนข้างบ้านนอก ไม่เคยดูหนังตามโรงมัลติเพล็กซ์แบบนี้เท่าไรอ่ะคับ ผมก็เลยต้องคอยอธิบายโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

ซักพัก ก็เลยชวนมันไปหาไรกินแก้หิวก่อน เพราะว่ากว่าหนังจะเริ่มก็ตั้งบ่ายโมงแน่ะ ก็กินแถวฟู้ดเซนเตอร์นั่นแหละ คราวนี้ผมก็เห็นไอ้คิวเดิมาเลียบๆเคียงๆคับ มันก็ส่งซิกซ์ให้ผมเดินไปหามัน

“เด๋วปริ้นไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมพูดแล้วก็ปลีกตัวออกมา เดินไปหาไอ้คิว

“อาไรมึงเนี่ย ผลุบๆโผล่ๆ” ผมพูดด้วยโทสะ แมร่งจะทำไรไม่บอกผมซักอย่าง

“เออ ขอบใจเมิงมาก แต่ว่าเด๋วกรุจัดการต่อเอง เมิงจองตั๋วแล้วใช่ป่ะ ” มันพูดพลางแบมือ

“อะไรมึง”

“ขอไง เด๋วกรุจัดการต่อเอง”

- ไอ้หน้าด้านนนนนนนน - ผมนึกในใจ

“อะไร มึงจะให้กูทิ้งไอ้ซังไว้กะมึงเลยเนี่ยนะ - - แล้วที่ทำสำคัญกูยังแดกไม่เสร็จด้วย” ผมแหวใส่ เมื่อเห็นมันฉกเอาตั๋วหนังไปเรียบร้อย

“ไม่เป็นไร เด๋วกรุแดกต่อเมิงเอง กรุม่ะรังเกียจ ไปแระ” มันว่า

- ไอ้หน้าด้านนนนนนนน - ผมนึกในใจ พลางรีบดึงตัวมันไว้ก่อน

“มึงใช้กูเสร็จแล้วมึงจะถีบหัวส่งกูเลยเหรอ ไอ้เหี้ย ยังไงกูก็ไม่ทิ้งเพื่อนไว้กะมึงแน่ๆอ่ะ ” ผมพูดพลางเดินจะกลับไปหาไอ้ซัง

“เฮ้ย เด๋วไอ้ปริ้น … กรุก็ไม่ได้หมายความว่าให้เมิงกลับ แค่ให้กรุเคลียกะซังให้เรียบร้อยก่อน เด๋วกรุโทรหามึง โอเคป่ะที่รัก” มันพูดพลางยิ้มแป้นแล้นกวนตีน

“ที่รักพ่อเมิงเหรอ” ผมพูดแล้วก็ทำท่าจะถีบมัน

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูไปกินให้เสร็จ แล้วมึงเข้าไปเจอมันในโรงหนังล่ะกัน” ผมพูดตัดบท แล้วก็เดินไปหาซังทันที

“ทำไมไปนานจังวะ จะกินหมดอยู่แล้วเนี่ย ” ซังมันพูด แล้วก็ดูดน้ำทีนึง เฮ้ออ ผมมองหน้ามันแล้วก็สงสาร ผมกะลังร่วมมือกะจอมมารส่งมันไปสังเวยเหรอเนี่ย

ผมเอื้อมมือไปจับมือมันทีนึงแล้วก็บอกมัน

“ไม่โกรธเรานะเพื่อน ”

“ว่าไรนะ ? ” ซังถาม

“เออ ไม่มีไร ป่ะ เข้าโรงกัน ”

ระหว่างที่ผมซื้อป๊อบคอร์นอยู่มือถือผมก็ดังขึ้นมา เป็นเบอร์ใครแปลกๆก็ไม่รู้

“คับ ”

“เออ เมิงบอกไอ้ซังนะว่า ที่บ้านเมิงโทรมา แล้วให้ซังมันเข้าไปในโรงก่อน มันคงหาที่นั่งถูกแหละ”

ผมให้ซังถือป๊อบคอร์นไว้ก่อน แล้วก็เลี่ยงมาคุยอีกทางนึง

“แล้วมึงจะคุยเสร็จกันเมื่อไรล่ะ คุยกันในโรงหนังเด๋วเค้าก็ด่าโคตรมึงหรอก”

“เอาเหอะ กรุมีวิธีล่ะกัน เสร็จแล้วเด๋วกรุโทรหาอ่ะ ตอนนี้เมิงเดินรออยู่กะพวกเพื่อนกรุล่ะกัน นั่งอยู่ตรง kfc เนี่ย”

“เออ ได้ทีใช้เลยนะมึง” ผมพูดอย่างอารมณ์เสีย

“เด๋วปริ้น ”

“อะไร”

“เอาป๊อบคอร์นไว้ที่ซังด้วยนะ กรุอยากแดก 555 ”

“ไอ้หน้าด้านนนนนนนนนนน” ผมพูดออกไปทางโทรสับ เพราะแมร่ง เหลือเกิน

“คุยกะใครอ่ะปริ้น” ซังถามผม

“อ่อ ที่บ้านโทรมาอ่ะซัง เดี๋ยวซังเดินเข้าไปนั่งก่อนล่ะกัน จะได้ไม่เสียเวลา นะนะ” ผมพูดคะยั้นคะยอจนมันเดินอิดออดเข้าไปก่อนจนได้

ไอ้คิวโผล่มาจากไหนม่ะรู้คับ เดินยิ้มมาเชีย ไอ้เวร

“ยิ้มเหี้ยไร นี่ถ้าซังมันโกรธกูนะ มึงต้องรับผิดชอบเลยนะ” ผมว่า

“เอาน่า เมิง ขอบใจมากนะไอ้ปริ้น แล้วเด๋วเจอกัน” มันบอก แล้วก็เดินตามหลังเข้าไปในโรง ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่าให้โรงแตกนะมึง จะทำไรกันเนี่ย

ผมคิดว่าคงจะไม่ไปหาพวกเพื่อนไอ้คิวมันหรอก ไม่รู้จัก แถมดูแมร่งเถื่อนๆ เลยกะว่าจะเดินไปซื้อของคนเดียวดีกว่า แต่มือถือก็ดังขึ้น พร้อมกับเบอร์ที่คิวมาโทรมาก่อนหน้า

“คับ”

“เออ ปริ้นป่าว”

“อือ ใครอ่ะ”

“เพื่อนคิวคับ รออยู่หน้า kfc นะ มาเร็วๆ” เสียงปลายสายบอก แล้วก็ตัดไปเลย

อ้าว .. เพื่อนมันนี่ยังไงนะ มาบังคับกูซะงั้น

ผมก็เดินเตร่ๆ มองหาพวกเพื่อนคิว

“นายๆ เฮ้ย นายอ่ะแหละ” เสียงที่อยู่ในโทรสับเรียก ผมก็หันไปเจอ

“อ้าว แล้วอีก 2 คนไปไหนอ่ะ” ผมถามถึงผู้ชายกะผู้หญิงที่มาด้วย

“มันไปเดินเที่ยวกันหมดแล้ว”

“อ้าวแล้วทำไมไม่เดินไปด้วยกันล่ะ เด๋วเราเดินคนเดียวได้” ผมบอก แต่ก็นั่งลงที่เก้าอี้

“ไปเดินกับมันได้ไง ก็เป็นก้างพวกมันน่ะดิ” มันตอบ

“เออ นายชื่อไรอ่ะ ” ผมถาม

“แชมป์”

“เราปริ้น”

“เออรู้แล้ว คิวมันบอกแล้ว” มันพูด แน่ะ กวนตีน

“เรียนไหนกันอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้า”

“เราอยู่เทคนิค ไอ้สองตัวนั่นอยู่อาชีวะ แต่ก็เพื่อนกลุ่มเดียวกันแหละ มีไอ้คิวเนี่ยเสือกมาเรียน ม.ปลายอยู่คนเดียว”

“อ่อ เหรอ ผมดูมันพยายามจะพูดจาแบบค่อนข้างระมัดระวังคำพูดกับผมมากๆ พูดเรา พูดนายไรเงี้ย ฟังแล้วแทบจี้

“ไม่ต้องพูดเรา พูดนายก็ได้ อยากพูดอะไรก็พูดเหอะ ไม่ถือ” ผมว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ก็พูดกับพวกมัธยมก็ต้องพูดจาดีๆแบบนี้แหละ จะพูดเถื่อนๆแบบเด็กเทคนิคได้ไง” มันว่า เออ แปลกคน

แล้วก็คุยอะไรกะมันไปเรื่อยเปื่อย มีเรื่องให้คุยเยอะครับ เพราะว่าการเรียนมันไม่เหมือนกัน แถมการใช้ชีวิตบางเรื่องก็แตกต่างกันมากๆอ่ะครับ ผมดูเด็กไปเลย แล้วมันก็วกกลับเข้ามาพูดเรื่องคิวกะซัง

“แล้วนายรู้ว่าเพื่อนนายกะไอ้คิวเป็นแฟนกันนายยังอ่ะ” มันถามผม

“ก็พึ่งจะรู้ไม่นานหรอก ถามไมอ่ะ”

“ป่าว ก็อยากรู้ว่ารู้สึกยังไง ”

“ก็ไม่เห็นรู้สึกไงเลยนี่หว่า ไงก็เพื่อนกัน จะเป็นอะไรก็เป็น เป็นเกย์แล้วม่ะใช่คนเหรอไงวะ” ผมตอกกลับเพราะนึกว่ามันเป็นพวกรังเกียจ

“เฮ้ย ป่าวๆ ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นเลย ก็แค่อยากรู้เฉยๆ”

เ“ออ แล้วตอนที่พวกนายรู้ว่าไอ้คิวเป็นแบบนี้ แล้วทำไง” ผมเป็นฝ่ายถามบ้าง เพราะว่าดูเถื่อนๆอย่างเพื่อนไอ้คิวแต่ละตัวแล้ว ม่ะน่าจะรับเรื่องพวกอย่างงี้ได้

“ตอนแรกที่รู้ก็งงอะเด๊ะ เหี้ย เพื่อนกูชอบผู้ชาย สัด กัวโดนตุ๋ยกันเป็นแถบๆ”

- แมร่ง มันคงไม่รู้มั้งว่า ไอ้คิวนอกจากเป็นรุกแล้ว ยังรับ ได้ด้วย -

“เหอๆ กัวทำไมวะ พูดเหมือนกะว่าแต่ละคนนี่น่าทำนักล่ะ” ผมเผลอพูดออกไปแบบไม่ได้คิด

“อ้าว มายว้า พูดแบบนี้ไม่ดีซะแล้วมั้ง” มันคงพูดเล่นๆอ่ะแหละ แต่ท่าทางมันดูเถื่อนไง เลยคิดว่ามันโกรธจริงๆ

“ก็แปลกใจนี่หว่า ม่ะก่อนเหี้ยมันมีแฟนผู้หญิง แล้วอยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นผู้ชาย” มันพูดต่อ “หลังจากนั้นแมร่ง ทำตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยหว่ะ สงสัยกัวเมีย ”

ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไรอ่ะคับ เด๋วเข้าตัว เหอๆ ก็ซังมันออกจะดีขนาดนั้น ถ้าขืนไอ้คิวเหี้ยมากๆ ก็แห้วแดกดิคับ

มันดูดน้ำทีนึง แล้วก็เอนตัวทำนั่งเก้าอี้สองขา

“เราก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเด็ก ม. ปลายนี่มันมีอะไรดีเหรอไงวะ ไอ้คิวมันถึงได้ติดใจ ” ไอ้แชมป์พูดเสร็จ ก็จงใจกระดกเก้าอี้กลับเข้ามาจ้องหน้าผม

“ไม่รู้ว้อย ”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด