ตอนพิเศษ
สามีขี้หึง
.
ห้องนอนใหญ่อันเงียบสงบเป็นสิ่งที่ภัสดาไม่เคยต้องการเลยตอนนี้ ความเงียบและวังเวงก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของเครื่องปรับอากาศที่ทำงานของมันอย่างต่อเนื่อง ดวงตากลมโตเหลือบมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่อีกฝากของเตียงแล้วเม้มริมฝีปากแน่น ท่าทางเมินเฉยไม่สนใจแม้จะอยู่ห้องเดียวกันก็ตามที่ศิขรินทร์แสดงออกมา ทำให้หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติบีบตัวด้วยเป็นจังหวะที่เต็มไปด้วยความปวดร้ายและเดียวดาย ถึงแม้จะเข้าใจว่าอีกฝ่ายมีท่าทีอย่างนี้เพราะอะไร แต่ก็ยังอดน้อยใจในท่าทางที่แสดงออกมาไม่ได้
“เผือก จะเงียบอีกนานไหม...มีอะไรก็พูดออกมาเลย ไม่ต้องยืนเงียบ ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร” ภัสดาเอ่ยเสียงรัว หัวใจเปรมปรีขึ้นมาทันทีว่าศิขรินทร์เหลือบสายตามามอง แม้จะเสี้ยววินาทีก็ตาม
“มันเป็นใคร” แม้จะเป็นน้ำเสียงที่เรียบเรื่อยแต่ก็แฝงไปด้วยความความดุดันและเย็นชา ภัสดาสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกกำลังใจแล้วก้าวเท้าขึ้นเตียง เดินย่ำข้ามไปหาเป้าหมายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
“มันชื่อท๊อป เป็นลูกเจ้าของร้านทองแถวๆนั้น มันบอกว่ามันจะจีบกู แต่กูก็ให้มันกินตีนกูแทนหลายครั้งแล้ว กูลืมบอกมึงเฉยๆ เห็นว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ภัสดาเอ่ยเสียงอ่อน ลำแขนเรียวยกขึ้นคล้องคอของศิขรินทร์พร้อมทั้งซุกซบใบหน้าลงบนบ่าแข็งแรงอย่างออดอ้อน โยกตัวไปมาเล็กน้อยหวังจะให้อารมณ์มาคุในกรุ่นอยู่ในอกของท่านประธานใหญ่นั้นคลายลง
“อย่าทำอย่างนั้นอีกนะพีท ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องเล่า”
“กูขอโทษ” ภัสดาหยุดการเคลื่อนไหวแล้วฝังหน้าสูดกลิ่นกายของศิขรินทร์อย่างเอาใจ เพราะจับกระแสน้ำเสียงที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาได้ว่าคงน้อยใจอย่างแน่นอน
“ผมอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ ผมให้ความสำคัญ ไม่เคยปล่อยผ่าน....ก็เพราะว่านั่นคือคุณ”
ภัสดานิ่งเงียบ ฝ่ามือบางกุมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนบริเวณแผ่นหลังของศิขรินทร์เอาไว้แน่น ดวงตากลมโตเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา หัวใจปวดแปลบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมนึกถึงใจของศิขรินทร์ เพราะคิดง่ายๆว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่ใจคาดการณ์เอาไว้
“กู...ขอ...โทษ” เอ่ยออกมาทั้งสะอื้น ริมฝีปากสั่นระรัว แต่ก็พยายามเม้ากลั้นเอาไว้ จนเมื่อถูกฝ่ามือหนาดันไหล่ออกมา ภัสดาก็ผละออกมาพร้อมก้มหน้าซ่อนรอยน้ำตาที่รินไหล แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวกับศิขรินทร์ ภัสดาผู้นี้จะอ่อนไหวเป็นพิเศษ
“หยุดร้องนะครับ” เจ้าของอู่ใหญ่รับรู้ได้ถึงปลายนิ้วเรียวที่กรีดหยาดน้ำตาเม็ดโตออกจากใบหน้าให้อย่างอ่อนโยน แรงสะอื้นฮักทำเอาร่างทั้งร่างสั่นไหวจนศิขรินทร์ก็รับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง และแล้วเสียงร้องไห้ปานขาดใจก็ดังขึ้นมาอีก ความเข็มแข็งที่เคยสร้างเป็นเกราะป้องกันพลันสูญสิ้นเมื่อต้องตกอยู่ในอ้อมแขนคู่นี้ ผู้น้ำที่แสนจะเด็ดเดี่ยวถูกแทนที่ด้วยผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่อ่อนไหวง่ายดายต่อความรัก
เพราะคิดว่ามันไม่มีอะไร...
เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป...
แต่ลืมคิดไปว่า ใครอีกคนก็เฝ้ารอคำบอกเล่าอยู่เหมือนกัน
“ต่อไป..อึก..จะเล่า...ให้หมด...ขอโทษนะ” ภัสดาเอ่ยทั้งน้ำตา แม้ก้อนสะอื้นที่จะวิ่งขึ้นมาจุกบริเวณลำคอ แต่ก็ยังพยายามเอ่ยให้จบประโยค
“รู้แล้วครับ หยุดร้องนะ คนเก่งที่ไหนเขาร้องไห้กัน” ภัสดาส่ายศีรษะไปมาบนบ่าแข็งแรง ปล่อยให้น้ำตารินไหล แต่อีกไม่นานมันคงหยุด นั่นคงเป็นเพราะความอ่อนโยนที่ศิขรินทร์แสดงออกมาอย่างน่ารักน่าใคร่นั่นเอง
“มึงหายโกรธกูหรือยัง”
“ไม่โกรธครับ...”
“แต่หึงใช่ไหม” ภัสดาเอ่ยอย่างรู้ทัน
“หึงซิครับ เมียทั้งคน”
“อะไรวะ...ทำไมกูชอบแต๋วแตกต่อหน้ามึงทุกที” ภัสดาเอ่ยเสียงหงุดหงิดแต่ก็ไม่จริงจังมากนัก
“ไม่หรอกครับน่ารักดี”
ห้องนอนใหญ่ที่เคยเงียบเพราะความไม่เข้าใจ แปรเปลี่ยนเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่มีคนสองคนอาศัยอยู่ด้วยกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานของแต่ละวันให้กันและกันได้รับฟัง ความเงียบเหงาและความคลางแคลงใจเลือนหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงกรุ่นกลิ่นอายของความรักที่ทั้งสองมอบให้กัน
**************************************
ศิขรินทร์มองร่างที่นอนหนุนท่อนแขนของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเสน่ห์หา เสียงลมหายใจเข้าออกดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าคนด้านล่างนิทรารมย์อย่างมีความสุขเพียงใด นิ้วเรียวสวยไล้ผิวแก้มใสอย่างแผ่วเบา อดไม่ไหวต้องโน้มกายลงมาให้สันจมูกโด่งสวยปะถะผิวแก้มแล้วสูดกลิ่นเนื้อนวลเข้าปอดเต็มรัก ผละออกมาก็อมยิ้มเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายไม่มีท่าทางว่าจะตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝันเลยแม้แต่นิดเดียว
นายช่างใหญ่หมดฤทธิ์สิ้นแรงในเวลาที่แสงพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว จะห้ามไม่ให้นอนก็ดูจะใจร้ายเกินไป การร้องไห้ไปค่อนข้างเยอะก็เลยต้องปล่อยให้นอนเต็มอิ่ม นึกย้อยไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อช่วงเย็นแล้วคิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
“มันชื่อท๊อป เป็นลูกเจ้าของร้านทองแถวๆนั้น มันบอกว่ามันจะจีบกู แต่กูก็ให้มันกินตีนกูแทนหลายครั้งแล้ว กูลืมบอกมึงเฉยๆ เห็นว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ต่อให้เป็นเทวดาตนก็จะเด็ดปีกอย่างไม่ปราณีเด็ดขาด จะเป็นใครหน้าไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น
เมื่อช่วงเย็นตนขับรถไปรับเจ้าของอู่ใหญ่ตามปกติ แต่ทันที่ก้าวเท้าเข้าไปแล้วเห็นบุคคลที่ยืนอยู่เคียงข้างกับภัสดาแล้วอารมณ์ก็พลันดับวูบและถูกแทนที่ด้วยแรงหึงและหวง ไอ้ผู้ชายคนนั้นมีช่อดอกไม้ในมือ และคุกเข่าอยู่ต่อหน้าของภัสดา ณ เวลานั้นต้องยอมรับว่าไม่ได้รับรู้เลยว่าสรรพสิ่งรอบกายนั้นมีอะไรบ้าง สายตามองเห็นแค่คนสองคนที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น ภัสดาในตอนนั้นเดินเข้ามาหาแล้วอธิบายสั้นๆว่ามันไม่มีอะไร ทำเอาเส้นอารมณ์อันร้อนแรงขาดออกจากกันทันที จึงเดินเข้าไปหาเป้าหมายแล้วคว้าคอเสื้อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ปล่อยหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าในตอนนั้นตนจะมีสีหน้าอย่างไร รู้อย่างเดียวว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามแม้แต่ภัสดาก็เช่นกัน คู่กรณีสลบคาที่เพราะหมัดเดียว จึงหันกลับมาแล้วลากคนต้นเรื่องกลับมาที่บ้าน ตลอดการเดินทางไม่มีบทสนทนา ไม่มีคำอธิบาย เพราะต่างฝ่ายต่างรู้นิสัยกันและกันเป็นอย่างดี และเมื่อกลับมาถึงตนก็มุ่งหน้าขึ้นห้องนอนทันที ส่วนนายช่างใหญ่ก็เดินตามมาติดๆ เหลือบสายตาดูจึงเห็นท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ข้างเตียง จึงหลบมายืนอยู่อีกฝากหนึ่ง เพื่อให้เวลาอีกฝ่ายได้เตรียมคำพูดไว้ให้เรียบร้อย แต่ยังเข็มนาฬิกายังไม่ทันจะขยับตัวครบหนึ่งรอบ นายช่างใหญ่ก็กระโจนข้ามฝากมากอดคอแล้วร้องไห้ แข็งใจอยู่ได้สิบวิก็ต้องใจอ่อน เพราะแพ้ทางน้ำตาจากคนๆนี้จริงๆ
ร่างโปร่งบางนอนหันข้างแนบชิดเข้าหาไออุ่นจากเรือนกายสูงใหญ่ ท่อนแขนเรียววางประทับอยู่บนแผงอกกว้าง ท่อนขาขาวเนียนพาดอยู่บนเอวสอบ ท่าเอนกายอันคุ้นชินที่ศิขรินทร์นั้นมองว่าน่ารักน่าเอ็นดูเพียงใด เพราะตั้งแต่ร่วมเรียงเคียงหมอนด้วยกันมาภัสดายังคงท่านอนท่านี้เอาไว้จนปัจจุบัน
ศิขรินทร์ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วยกศีรษะทุยสวยของภัสดาวางลงบนหมอน แต่จัดท่าทางให้คนขี้เซาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ก้าวเท้าออกจากห้องนอนอย่างแผ่วเบา ออกมายังห้องนั่งเล่นหน้าห้อง ฝ่ามือหนายกโทรศัพท์เครื่องเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟาขึ้นมากดหมายเลขแล้วโทรออกไปยังเบอร์ของลูกน้องคนสนิท เมื่อปลายสายตอบรับกลับมาก็กรอกเสียงลงไปทันที ภายใต้สีหน้าอันเรียบเฉย แต่ภายในเต็มไปด้วยคลื่นแห่งแรงอารมณ์ยามเมื่อนึกถึงบุคคลที่บังอาจจะเข้ามาเกี้ยวพาราสีนายช่างใหญ่ของเขา เมื่อเป็นที่พอใจแล้วก็วางสาย โดยไม่ลืมกำชับว่าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ศิขรินทร์วางโทรศัพท์ลงดังเดิม แล้วเดินเข้าไปในห้องครัว ลงมือทำมื้อเย็นเล็กๆสำหรับคนสองคนด้วยความใจเย็น เพราะดูเหมือนว่านายช่างใหญ่นั้นจะตักตวงห้วงเวลาแห่งการนิทราไปอีกนาน และเมนูที่ศิขรินทร์ทำให้วันนี้ก็คือไข่เจียวนั่นเอง เพราะนายช่างใหญ่บอกว่าไม่ได้แตะต้องมานานแล้ว วันนี้ก็เลยต้องเอาใจเป็นพิเศษ คงเพลียน่าดู ไหนจะเหนื่อยทั้งงานเหนื่อยทั้งใจ แถมกลับมายังมาร้องไห้อยู่อีกนานสองนาน จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะไอ้เผือกคนนี้ ผิดเต็มประตู
“เผือกกก......” เสียงร้องเรียกชื่อประจำตัวของศิขรินทร์ดังแว่วมาจากทิศทางของห้องนอน ร่างสูงรีบล้างมือแล้วเช็ดให้สะอาด แล้วก้าวเท้าไปยังทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็ว
“มาแล้วครับ..ตื่นแล้วเหรอ” เปิดประตูเข้าไปก็เห็นร่างโปร่งบางของนายช่างใหญ่นอนทแยงทำมุมกับเตียงนอนหลังใหญ่อย่างสวยงาม ศิขรินทร์เดินเข้าไปหาฝ่ามือบางที่กวักเรียก
“จะเข้าห้องน้ำ” ประธานบริษัทใหญ่เลิกคิ้วสูง เมื่อเจอคนน่ารักแผลงฤทธิ์ใส่เล็กๆน้อยเสียแล้ว
“แล้วทำไมไม่เข้าล่ะครับ ห้องน้ำอยู่ใกล้ๆเอง” นิ้วเรียวลูบเส้นผมนิ่มสลวยไปมา พร้อมทั้งปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากเนียนออกไปอย่างรักใคร่
“เดินไม่ไหว...กูไม่มีแรง” ไม่พูดเปล่า เพราะนายช่างใหญ่เขาขยับเข้ามากอดเอวแล้วใช้ศีรษะของตัวเองซุกซบไปมาอยู่บริเวณหน้าท้องแข็งของศิขรินทร์อย่างออดอ้อน แล้วอย่างนี้ใครมันจะทนไหว
“ลืมตาก่อนครับ” สิ้นเสียงของศิขรินทร์ เปลือกตาบางก็ค่อยยกขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม
ศิขรินทร์ยกคนที่บ่นว่าไม่มีแรงขึ้นมาแนบอก แล้วอุ้มพาเข้ามาในห้องน้ำ เมื่อถึงแล้วว่าก็วางภรรยาคนสวยไว้บนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ฝ่ามือหนาผละออกไปลองน้ำแล้วนำมาลูบไล้ผิวแก้มนวลให้อย่างอ่อนโยน หวังจะให้อีกฝ่ายคลายจากอาการง่วงนอน
“จะอาบน้ำไหมครับ”
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวค่อยอาบตอนดึกๆ.....อาบพร้อมกัน” ศิขรินทร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะท้ายประโยคของอีกฝ่ายนั้นมันช่างแผ่วเบาจนแทบจะจับใจความไม่ได้
“อะไรนะครับ ฟังไม่ถนัดเลย”
“เปล๊า!”
“แล้วทำไมต้องทำเสียงสูงด้วยครับนายช่างใหญ่ เดี๋ยวเผือกออกไปรอด้านนอกนะครับ มาเร็วๆนะครับ คิดถึง” เอ่ยเสร็จก็ผละออกมาอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าหากไม่รีบอาจจะโดนกำปั้นที่ส่งออกมาเพราะความเขินอายก็เป็นได้
มื้อค่ำดำเนินขึ้นในลำดับถัดมา ศิขรินทร์วางจานข้าวที่มีไข่เจียวสีเหลืองฟูอยู่ด้านบนและมีซอสมะเขือเทศที่วาดเป็นรูปหัวใจพร้อมกับคำว่า ‘LOVE’ ลงบนโต๊ะ ส่วนอีกจานที่เป็นของตนเองนั้นก็เช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าไม่มีซอสวาดเป็นลวดลายหรือถ้อยคำนั่นเอง
“อะไรวะเนี่ย....ฮ่าๆ เลี่ยนว่ะเผือก” คนมาใหม่เห็นรูปร่างหน้าตาของอาหารมื้อค่ำแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“จากใจเลยครับ” ศิขรินทร์เดินมาดึงเก้าอี้ให้คุณภรรยาอย่างเอาใจ เมื่อได้รับคำขอบคุณพร้อมกับจุมพิตเล็กๆน้อยๆที่แก้ม ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าเหลือเกินที่ลงมือทำไข่เจียวสื่อรักในครั้งนี้
“แล้วของมึงทำไมไม่มีล่ะ” ศิขรินทร์ก้มดูจานของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย
“ก็ไม่รู้จะบอกรักตัวเองไปทำไม” สิ้นเสียงของศิขรินทร์ ภัสดาก็ลุกไปเอาขวดซอสมะเขือเทศที่เคาน์เตอร์ด้านหลังทันที เมื่อได้แล้วก็หันกลับมาที่โต๊ะ เดินเข้าไปหาศิขรินทร์จากนั้นก็ดึงจานข้าวไข่เจียวออกมาเขียนคำว่า ‘รักนะ’ ลงไป เสร็จสมก็มองผลงานตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมานั่งที่ของตัวเอง
“จะยิ้มอะไรนักหนาวะเผือก มึงเป็นบ้าเหรอ”
“คงจะบ้ารักพีท...อุ๊บ!” ประโยคท่อนแรกนั้นสารภาพรักกลางโต๊ะ ส่วนท่อนหลังเป็นคำอุทาน เพราะถูกเหยียบเท้าเต็มๆ จะเขินจะอายนายช่างใหญ่เขารุนแรงอย่างตลอด
บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเล็กๆ เสียงพูดคุยหยอกล้อมาจากฝ่ายศิขรินทร์ และเสียงหัวเราะในความเสี่ยวของศิขรินทร์คือภัสดา เขินบ้างอายบ้างตามประสาของคนแต่งรถ แต่ถึงอย่างนั้นศิขรินทร์ก็มองว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะของภัสดาเป็นเหมือนกำลังแรงกาย แม้จะเหน็ดเหนื่อยมากจากที่ทำงานเท่าไร เมื่อได้กลับมาอยู่บ้าน กลับมาอยู่ในที่ที่มองเห็นซึ่งกันและกัน แค่นี้ก็สุขเกินพอ
***************************
“ทำตัวดีๆนะครับ” ภัสดาเงยหน้าขึ้นมองผู้พูด พร้อมทั้งชูกำปั้นขู่ โทษฐานที่อีกฝ่ายพูดไม่เข้าหู
“ไม่ต้องทำก็ดีโว้ย” ศิขรินทร์อมยิ้มเล็กน้อยแล้วเอียงแก้มให้คนตรงข้าม รอไม่ได้นานริมฝีปากเนียนนุ่มก็ประทับลงบนผิวแก้มสาก และครั้งนี้ดูเหมือนว่าเจ้าของอู่ใหญ่จะใจดี แจกจุมพิตที่ริมฝีปากฟรีๆอีกสามทีซ้อน
“ถ้ามันมาอีก คราวนี้กูจะเดินหนีแล้วให้ลูกน้องมึงจัดการ กูจะไม่คุยกับมัน ไม่มองหน้ามัน โอเคไหมคุณเผือกเผาไฟ” ร่างสูงหลุดเสียงหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของตัวเอง นอกจากจะเป็นเผือกแล้ว ยังถูกนำไปเผาไฟอีกด้วย ชีวิตมันช่างรันทดเหลือเกิน
“ดีมากครับ ตั้งใจทำงานนะครับเมีย” ภัสดาแม้จะถูกเรียกสถานะของเรื่องบนเตียงมาร้อยต่อร้อยครั้ง แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ชิน จะเห็นนายช่างใหญ่หน้าแดงมันก็ไม่แปลกเท่าไรนัก
“กวนตีนว่ะเผือก...ไปแล้วนะ...อย่าวอกแวกนะผัว ถ้ากูจับได้เมื่อไรตายหมู่” พูดเสร็จก็เปิดประตูรถออก ท่ามกลางเสียงทักทายของลูกน้องจำนวนมาก ทั้งลูกสมุนซ้ายขวาที่เข้ามาเกาะแกะลูกพี่มันอย่างออดอ้อนฉอเลาะ บีบนวดหัวไหล่ จนภัสดาทนไม่ไหว เลยต้องเจริญพรด้วยฝ่ามือปะถะแผ่นหลังคนไปคนละที
“สาบานว่านี่คือน้ำหนักมือ” ตั้มบ่นอุบอิบ แต่ถึงอย่างนั้นภัสดาก็ยังคงได้ยินอยู่ดี
“หรือว่าเอาอวัยวะเบื้องล่างแทนครับคุณตั้ม” ไม่ใช่แค่ตั้มที่ส่ายหน้า เหล่าสมุนคนอื่นๆก็พร้อมใจส่ายหน้ารับกันอย่างพร้อมเพรียง เพราะทุกคนต่างรู้ฤทธิ์อวัยวะเบื้องล่างของลูกพี่ใหญ่ของพวกมันว่าถ้าโดนแล้วจะเจ็บแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นก็อย่าลอง
“ไม่เป็นไรครับเฮีย เดี๋ยวพวกผมแยกย้ายไปทำงานก่อนนะครับ” ภัสดามองเหล่าลูกน้องจอมทะเล้นแล้วส่ายหน้า ท่อนขาเรียวยาวก้าวเดินไปยังสำนักด้านบนทันที เพราะวันนี้จะเคลียร์บัญชีสั่งซื้อที่กองเท่าภูเขาให้เสร็จ หลังจากที่ปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะมัวแต่มุ่งมั่นในการแต่งเครื่องรถสปอร์ตชื่อดังของคนรู้จัก จนเลขาคนสวยต้องเดินมาตามด้วยตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ภัสดาก็คงลืมไปแล้วเหมือนกัน
ภัสดานั่งอ่านเอกสารจนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงวัน โทรศัพท์เครื่องเล็กก็ดังขึ้นไม่ต้องมองเบอร์หน้าจอ ฟังแค่เสียงเพลงก็รู้ว่าใครโทรมา
“สวัสดีครับท่าน....อ่านเอกสารครับ อ่านแล้วก็เซ็น แล้วก็ย้อนกลับไปอ่าน เป็นมาอย่างนี้ทั้งวันครับ” ภัสดาไม่รู้ว่าศิขรินทร์จะมีสีหน้าแช่มชื่นขนาดไหน แต่เสียงหัวเราะที่ได้ยินมาตามสายก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าท่านประธานอินทราทิพย์กรุ๊ปนั้นคงจะอารมณ์ดี สุขีสโมสรอย่างแน่นอน
“ถ้าจะขับมาเพื่อหาข้าวเที่ยงกระแทกปากก็อย่าทำเลยครับ มันเสียเวลา หาอะไรแดกๆแถวนั้นเถอะครับ” แม้ปากจะพูดไปอย่างอย่างหนึ่ง แต่ใจนั้นคิดอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเอ่ยปากอนุญาต คนหน้าหล่อจะขับรถด้วยความเร็วสูงมุ่งหน้ามาทันที และถ้าเกิดอุบัติเหตุล่ะมันจะคุ้มกันไหม
“ตอนเย็นก็เจอกันแล้วครับเผือกเผาไฟ ไม่ต้องหวงกูขนาดนั้นก็ได้”
(ต่อด้านล่าง)