สวัสดีค่ะ มาต่อแล้วนะคะ ~
สำหรับใครที่กลัวว่าเรื่องจะเปลี่ยนกลายเป็นธีมเศร้า และมีการพลัดพราก สำหรับเรื่องนี้ คงไม่เขียนถึงจุดนั้นค่ะ ถ้าจะจบก็อยากให้จบแบบมีความสุข และเฝ้าจินตนาการต่อยอดไปได้อีกมากกว่า ปัดชอบการจบแบบมีความสุขมากกว่าดราม่าค่ะ ดังนั้นเรื่องนี้คงไม่มีฉากเศร้าเคล้าน้ำตาลาจากแน่ ถ้าจะมีก็คงมีแค่ความซาบซึ้งประทับใจเพียงแค่นั้น
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังตามอ่านกันอยู่นะคะ~~
สำหรับตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องของคู่คุณอาอยู่ค่ะ ~
...
..ม่านราตรี
บทที่ 23
ตั้งแต่ประกาศออกหน้าออกตากับทุกคนในคฤหาสน์ม่านราตรีว่าเขาคบกับตุลา พาทิศเองก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไรกับอีกฝ่ายให้สมกับเป็นคนรักกันจริง ๆ สักที และตัวต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เขาต้องพลาดโอกาสเรื่อย ๆ ก็เห็นจะเป็นเพราะว่าอาผู้หวงหลานชายผู้นั้นคอยกันท่าด้วยความหมั่นไส้อยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง
“คุณต้องร่วมมือกับผมแล้วล่ะคุณอธิป ช่วยดึงเพื่อนของคุณไปให้ห่าง ๆ หลานเขาหน่อย ขืนเป็นแบบนี้ผมกับตุลก็คงไม่ไปถึงไหนกันสักที!”
พาทิศบุกเข้าห้องของหมอผีหนุ่มใหญ่เพื่อปรึกษาปัญหาหัวใจในยามดึก แต่นั่นกลับทำให้คนฟังขมวดคิ้วยุ่งด้วยความสงสัย
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะ ถึงผมจะเป็นเพื่อนของนายกริช แต่ก็ใช่ว่าจะสั่งหรือบังคับเขาได้นา”
พาทิศจ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างพิจารณาด้วยสายตาที่ทำให้อธิปไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะมันเหมือนจะอ่านลึกเข้าไปได้ถึงความในใจเลยทีเดียว
“นอกจากตุลแล้ว คนที่มีอิทธิพลกับคุณกริชก็มีแค่คุณอีกคนเท่านั้นล่ะ”
อธิปเลิกคิ้วนิด ๆ ขณะที่กำลังคิดจะหาทางโต้ตอบกลับไป เขาก็ต้องชะงักแล้วนิ่งอึ้ง ตัวแข็งทื่อ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยตามมาอีกด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถามจริงเหอะนะ คุณอธิป คุณคิดว่าคุณกริชเป็นไง ชอบเขาบ้างไหม ...ผมหมายถึงชอบแบบพิเศษที่เกินเพื่อน ขึ้นไปน่ะ”
“เฮ้ย! ไม่มีทาง ผมไม่ใช่เกย์นะ!”
อธิปรีบโวยวายตอบทันทีที่ตั้งสติได้ พาทิศหรี่ตาลงเพื่อจับผิดอีกฝ่าย ก่อนจะทำท่าคล้ายถอนหายใจ แล้วจึงยักไหล่นิด ๆ
“งั้นผมคงต้องให้คนอื่นช่วย ...อืม วิญญาณที่ชอบผู้ชายด้วยกันแถวนี้ก็มีอยู่บ้าง แต่หมอนั่นค่อนข้างมีรสนิยมซาดิสต์รุนแรงกับคนที่ชอบ ขนาดพวกรุ้งยังแหยงไม่กล้าเข้าใกล้ ผมเลยไม่อยากติดต่อด้วยเท่าไหร่ ...แต่เมื่อเป็นแบบนี้มันก็จำเป็นล่ะนะ”
พาทิศบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็เน้นเสียงดังให้อีกฝ่ายได้ยิน อธิปเกาศีรษะแกรก ๆ แล้วโพล่งกลับอย่างหัวเสีย
“แล้วทำไมคุณต้องพยายามยัดเยียดนายกริชให้คนโน้นคนนี้ด้วยล่ะ แค่พูดกับเขาดี ๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือ แล้วอีกอย่างทำไมอีกฝ่ายต้องเป็นผู้ชายด้วยเล่า!”
พาทิศแอบชำเลืองมองอธิป พลางซ่อนยิ้มในสีหน้า ก่อนจะอธิบายตอบยืดยาวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“นั่นมันก็เพราะตุลเขาสงสารอา บอกว่าถ้าคุณกริชยังคิดจะอยู่บนโลกนี้ เขาก็อยากให้อามีความสุข มีคนรักเหมือนเขา อาจะได้ไม่เหงา และผมเองก็เห็นดีด้วยในข้อนั้น เพราะถ้าคุณกริชมีคนรัก เขาก็จะเข้าใจเองได้ว่า คนที่รักกันก็อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง และที่พยายามให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ก็เพื่อเขาจะได้เข้าใจในความรักของผมกับตุลมากขึ้น อีกอย่างผมเห็นว่าคุณสนิทกับเขามาก และคุณกริชก็แคร์คุณมาก ผมก็เลยคิดจะจับคู่ให้พวกคุณ ...แต่ถ้าคุณยืนยันว่าคุณไม่คิดชอบผู้ชาย ผมก็จะช่วยหาคู่คนอื่นให้เขาแทนยังไงล่ะ”
อธิปนิ่งอึ้งรับฟัง แล้วก็ต้องรีบเรียกรั้งผีดิบหนุ่มเอาไว้อย่างลืมตัว เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมจะเดินออกไปจากห้องของเขา
“เฮ้! ดะ เดี๋ยวก่อนสิ!”
พาทิศชะงักฝีเท้าพลางหันมาแสร้งตีสีหน้าเงียบขรึม แล้วย้อนถามกลับไปสั้น ๆ
“อะไรหรือครับ?”
“เอ่อ...คุณคงไม่พาวิญญาณที่ว่านั่นมาแนะนำกับนายกริชเร็ว ๆ นี้หรอกใช่ไหม?”
อธิปถามอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ ทำให้พาทิศนึกขำจนเกือบหลุดเก๊ก แต่ผีดิบหนุ่มก็ยังคงมาดนิ่ง แล้วตอบกลับไป
“ก็ตั้งใจว่าจะอีกวันสองวันนั่นล่ะครับ ...บอกตามตรง ผมก็ไม่ค่อยชอบหน้าหมอนั่นเท่าไหร่ แต่บางทีถ้าหมอนั่นเกิดตกหลุมรักคุณกริชจริง ๆ เขาก็อาจจะเปลี่ยนไปก็เป็นได้ และถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะเป็นผลดีกับทั้งคุณกริช ผมแล้วก็ตุลด้วย”
“สองสามวันหรือ...”
อธิปพึมพำแล้วจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย
“ขอเวลาผมสักหน่อยได้ไหม.... บางทีผมอาจจะเกลี้ยกล่อมให้นายกริชเข้าใจเรื่องของพวกคุณก็ได้ คุณจะได้ไม่ต้องลำบากหาวิญญาณอะไรนั่นมาเป็นคู่ให้เขาน่ะ”
พาทิศอยากจะหลุดหัวเราะออกมาเต็มทน เขาเบือนหน้าไปอีกทางแล้วควบคุมไม่ให้น้ำเสียงผิดปกติอย่างเต็มที่
“...ถ้าอย่างนั้นคนที่จะมีความสุขก็มีแค่เพียงพวกผม แต่คุณกริชก็ยังคงต้องเหงาอยู่ดี ...น่าสงสารออกนะครับ ทั้งที่เป็นคนดีขนาดนั้นแท้ ๆ”
อธิปชะงัก เงียบกริบ คำพูดของอีกฝ่ายจี้ใจดำของเขาเต็มที่ เขารู้ดีกว่าใครว่ากริชเป็นคนดี จริงใจกับมิตรที่คบหา และให้ความสำคัญกับคนสำคัญของตน จนแม้กระทั่งชีวิตก็ยอมสละให้ได้ แต่เพราะความดื้อดึงและยึดติดจนเกินไปของเจ้าตัว ผลตอบแทนที่ได้รับก็คือต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่แบบนี้เรื่อยไป
“ถ้าคุณเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ คุณก็ควรมีส่วนช่วยเหลือให้เขาพบกับความสุขในชีวิตไม่ใช่หรือครับ... ถึงแม้ว่ามันจะเป็นชีวิตหลังความตายก็ตาม”
พาทิศพยายามเกลี้ยกล่อม ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าอธิปนั้นเริ่มที่จะลังเลขึ้นมาอีกครั้ง ผีดิบหนุ่มจึงซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้าก่อนจะเปรยต่อแผ่วเบา
“แต่ถ้าคุณไม่สามารถคิดกับเขาได้มากกว่าเพื่อน คุณก็ลองปล่อยให้เขาไปเจอคนอื่นดูเถอะครับ ...บางที คนที่ใช่สำหรับคุณกริช อาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ก็เป็นได้”
พาทิศเอ่ยทิ้งท้ายพลางขอตัวออกจากห้องไป ทิ้งให้อีกฝ่ายเฝ้ากลัดกลุ้มกับทางเลือกที่ผีดิบหนุ่มเสนอตามลำพัง
อีกด้านหนึ่งตุลาที่นั่งอยู่ในห้องกับกริช ก็กำลังชวนวิญญาณหนุ่มพูดคุยไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เจ้าตัวหายเขินอาย ที่เผลอหลุดความในใจออกมาต่อหน้าหลานและคู่รักของหลานให้ได้ล่วงรู้ แต่ดูเหมือนว่ากริชจะยังคงกังวลและรู้สึกแย่จนเผลอแสดงออกมาอยู่เรื่อย ๆ
“เฮ้อ...แย่ชะมัด ทำไมถึงหลุดปากออกไปได้นะ”
กริชพึมพำบ่นกับตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตุลาก็จำได้ว่าพอเผลอ ๆ ก็มักจะได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ จนเขานึกสงสาร
“ไม่เป็นไรหรอกครับอา ...พวกผมไม่บอกใครแน่ อย่าคิดมากเลยครับ”
กริชเงยหน้ามองหลายชายแล้วฝืนยิ้มน้อย ๆ ส่งให้
“ตุลคงดูถูกอาสินะ ... ทั้งที่อาคอยแกล้งคอยขวางเรื่องหลานกับหมอนั่น แต่ตัวอาดันมารักชอบผู้ชายเสียเองแบบนี้”
“ไม่มีทางครับ!”
ตุลารีบโพล่งตอบ แล้วตรงเข้ากอดร่างโปร่งใสไว้หลวม ๆ
“ผมรักและเคารพอามากนะครับ ไม่ว่าอาจะเป็นยังไง จะรักจะชอบใคร ผมก็เคารพในการตัดสินใจของอาเสมอครับ”
กริชซบหน้ากับบ่าของหลานชายแล้วจึงพึมพำเบา ๆ ด้วยความตื้นตันใจ
“ขอบคุณนะตุล ...หลานโตขึ้นมากเลยนะ... บางทีอาอาจจะไม่จำเป็นสำหรับหลานต่อไปแล้วก็ได้”
ท้ายประโยคเจ้าตัวหวนคิดถึงสิ่งที่ตัวเองอาจจะต้องเผชิญเข้าสักวัน แล้วก็พลันมีสีหน้าเศร้าลง
“อากริชครับ...ไม่เอานะครับ อย่าพูดแบบนี้ ... ถ้าอาจะไปเพราะหมดห่วงทุกอย่างแล้ว ผมก็จะไม่รั้งไว้ …แต่นี่อาจะไปเพราะอารมณ์เหงา อารมณ์น้อยใจ ...ยังไงผมก็ไม่ยอมนะครับ”
ตุลาบอกพร้อมกับเผชิญหน้าสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง กริชยิ้มน้อย ๆ แล้วมือโปร่งใสจึงลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบา ๆ
“หลานโตขึ้นมากจริง ๆ นั่นล่ะ ...ขอบใจที่เตือนสติอานะ”
ตุลายิ้มเขิน ๆ ที่ได้รับคำชม และเมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันอีก ก็ทำให้เขาหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นภายในห้องนี้ก่อนหน้านั้น...
เมื่อราว ๆ เกือบชั่วโมงที่ผ่านมา เขาและพาทิศกำลังใช้เวลาตามประสาคู่รักหยอกล้อกัน และดูเหมือนจะเลยเถิดเมื่อพาทิศเริ่มจะมีอารมณ์ที่จะทำบางอย่างขึ้นมายิ่งกว่าการหยอกล้อ แต่จู่ ๆ กริชก็ปรากฏร่างเพื่อมาหาเขา ซึ่งวิญญาณหนุ่มก็โวยวายทันที ที่เห็นพาทิศกำลังจับหลานชายของตนเปลื้องผ้าให้เห็นต่อหน้าต่อตาแบบนั้น
เขาพอจะจำได้ลาง ๆ ว่าพาทิศก็เริ่มหัวเสียเหมือนกันที่ถูกขัดจังหวะ ทั้งคู่โต้เถียงกันไปมา แล้วมีประโยคหนึ่งที่ผีดิบหนุ่มย้อนกลับไปว่า คนที่ยังไม่เคยมีความรักอย่างกริชคงไม่เข้าใจพวกเขา แต่กริชซึ่งกำลังหงุดหงิดไม่แพ้กัน ก็สวนกลับมาว่าเขาเองก็มีคนที่รักอยู่แล้ว ทำไมจะไม่เข้าใจ นั่นจึงทำให้ทั้งพาทิศและเขาเองนิ่งอึ้งไปตาม ๆ กัน
จากนั้นพอเขาตั้งสติได้ ก็ย้อนถามอาของตนกลับทันทีว่าใคร แต่กริชซึ่งหายตกใจที่เผลอหลุดปากออกมา ก็เอาแต่หน้าแดงด้วยความเขินอาย แล้วทำเป็นเมินไม่ยอมสบตา เขาและพาทิศก็คิดคาดเดาไปต่าง ๆ นานา แล้วก็มาสะดุดพร้อม ๆ กันที่ใครคนหนึ่ง เขาจึงถามกริชออกไปตรง ๆ ว่า ใช่อธิปหรือเปล่า
เท่านั้นล่ะ กริชก็หน้าแดงขึ้นอีก แล้วรีบปฏิเสธยกใหญ่อย่างร้อนรน จนพาทิศนึกขำ และหัวเราะเบา ๆ ออกมาคล้ายจะล้อเลียน ทำให้กริชทั้งอายทั้งโมโหจนหนีหายตัวไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตกใจอย่างมาก พยายามเรียกหาเท่าไรกริชก็ไม่ยอมปรากฏตัว จนเขาทั้งกลัว และเสียใจว่าผู้เป็นอาจะไม่ยอมออกมาพบอีก แล้วจึงเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
พาทิศเองพอเห็นเขาร้องไห้ ก็เริ่มปลอบโยนอย่างรู้สึกผิด และสักพักกริชก็ปรากฏกายขึ้น เขาจึงรีบขอโทษอีกฝ่ายทันที แต่กริชนั้นไม่ได้โกรธอะไรเขาเลย แล้วบอกว่าที่หายไปก็แค่เพราะอายเท่านั้น จากนั้นวิญญาณหนุ่มจึงขอร้องไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร และสารภาพว่า ตนเพิ่งเริ่มมาคิดกับอธิปแบบนั้นก็ตั้งแต่ที่มาอยู่คฤหาสน์ม่านราตรีด้วยกัน และตนเองก็ไม่อยากให้อธิปรับรู้เพราะกลัวจะถูกรังเกียจ ซึ่งเขาก็รีบแย้งว่าไม่มีทางที่อธิปจะคิดแบบนั้นกับกริช เพราะทั้งคู่สนิทกันมาก
ทางด้านกริชเองพอได้ยินเขาพูด ก็มีสีหน้าซึมลง แล้วพึมพำบางอย่างให้ได้ยินว่า ทั้ง ๆ ที่คิดแค่เพื่อนมาตลอด แต่ทำไมความรู้สึกถึงเปลี่ยนไปได้ ... จากนั้นกริชก็ฝืนยิ้มให้กับพวกเขา แล้วบอกว่า ถ้าเขาและพาทิศไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ตนจะไม่มาคอยกวนทั้งคู่ให้รำคาญอีก เขาเองพอได้ยินก็รู้สึกสงสารอาไม่รู้จะปลอบยังไง แต่พาทิศนั้นบอกด้วยสีหน้าจริงจังตอบไปว่า พวกเราจะไม่พูด ทำให้กริชยิ้มออก
แต่พอกริชจะขอตัวจากไป พาทิศก็ทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ แล้วบอกว่ามีธุระต้องรีบไปจัดการ รบกวนให้กริชช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาให้หน่อย ซึ่งกริชก็ทำตามอย่างไม่คิดสงสัยอะไร แต่คงเพราะอาของเขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับการขยิบตาทิ้งท้ายก่อนจากไปของอีกฝ่ายด้วยนั่นล่ะ จะว่าไปเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพาทิศจะทำอะไร แต่เดาได้ว่าคงจะไม่น่าใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ
...ตุลาหวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา พลางถอนหายใจยาวอีกครั้งจนกริชลอบมอง ก่อนที่จะเบือนหน้าหันไปมองอีกทางที่เป็นทิศเดียวกับห้องของอธิปอยู่ วิญญาณหนุ่มมีสีหน้าซึมเศร้าเล็กน้อยเมื่อหวนคิดถึงว่า หากอธิปล่วงรู้ความในใจของเขาเข้าสักวัน อีกฝ่ายจะยังคงยิ้มให้เขา และคอยอยู่เคียงข้างเขาเหมือนเดิมอีกไหม
‘ขอโทษนะอธิป ...ขอโทษจริง ๆ ที่ฉันห้ามใจไม่ให้ชอบนายไม่ได้’
วิญญาณหนุ่มคิดในใจ โดยไม่อาจได้ล่วงรู้ว่าใครบางคนที่อยู่อีกห้องหนึ่ง ก็กำลังนอนไม่หลับเพราะความกลัดกลุ้มเรื่องของเพื่อนสนิทอยู่เช่นเดียวกัน
“ทำไมนะ ...ไม่เห็นจำเป็นต้องหาคู่ให้หมอนั่นสักนิด แค่พูดคุยกันดี ๆ ก็สิ้นเรื่อง... กลัวหมอนั่นเหงาหรือไง เฮอะ! ก็ไม่เห็นจะเหงาตรงไหน ว่าง ๆ ก็มาขลุก ๆ อยู่กับเรา แล้วบ่นนั่นบ่นนี่จนหูชาประจำแท้ ๆ”
อธิปบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด เมื่อหวนคิดว่าเพื่อนของตนจะต้องไปคบกับวิญญาณอื่นแถมยังเป็นวิญญาณผู้ชายด้วยกัน มันก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างไม่รู้เหตุผลทีเดียว
“แล้วไอ้วิญญาณซาดิสต์ที่ว่านั่นมันเป็นวิญญาณประเภทไหนก็ไม่รู้ ...นายกริชเห็นแบบนั้น จริง ๆ ก็บอบบางอยู่ ไปเจอวิญญาณร้ายรังแกเข้า จะสู้แรงเขาไหวไหมเนี่ย!”
หมอผีหนุ่มนึกเป็นห่วงเพื่อนขึ้นมาตงิด ๆ จนเผลอลืมไปว่า ที่เขาเห็นอีกฝ่ายอ่อนแอ คงเพราะมองในมุมมองเพื่อนเก่าสมัยมีชีวิต และในมุมมองที่ตัวเองเป็นหมอผี ซึ่งส่วนใหญ่จะมองวิญญาณอื่นอ่อนแอกว่าไปหมด
“โธ่โว้ย! ถ้านายกริชมันเป็นหญิง ฉันก็คงไม่ลำบากใจอย่างนี้หรอก ในเมื่อหมอนั่นเป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะทำใจได้ยังไงวะ!”
อธิปบ่นอุบ แล้วเผลอจินตนาการถึงสีหน้าหวาน ๆ ของเพื่อน ยามยิ้ม ยามร้องไห้ ยามอ้อนขอบางอย่างจากเขา มันก็ทำให้หมอผีหนุ่มต้องกลืนน้ำลายลงคอ แล้วรีบขับไล่จินตนาการเหล่านั้นทิ้งไปเสีย เพราะดันเผลอใจเต้นขึ้นมาอย่างประหลาด
“บ้าไปแล้วเรา ... ใช่แล้ว เพราะเจ้าผีดิบนั่นล่ะพูดกล่อมทำให้เราไขว้เขว ...เราจะมองหมอนั่นแบบนั้นได้ยังไง...ไม่มีทาง ...ใช่ ไม่มีทางแน่”
อธิปพยายามสะกดจิตตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงอารมณ์แปลก ๆ บางอย่าง และใจที่ยังคงเต้นแรงเมื่อหวนคิดถึงใบหน้าเพื่อนสนิทของตน
“ไม่เอาแล้วโว้ย! เข้านอนดีกว่า งี่เง่าชะมัด ...ถ้าหมอนั่นรู้เรื่องนี้เข้า คงโมโหเหมือนกันแน่!”
อธิปสรุปตัดบท แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปง พยายามข่มตาหลับอย่างยากลำบาก เพราะดันมีแต่เรื่องของกริชให้เขาต้องคอยคิดเป็นระยะ ๆ นั่นเอง
ตกดึก อธิปรู้สึกเคลิ้ม ๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น เขาปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณบางเบา แล้วก็ต้องเห็นร่างโปร่งแสงของเพื่อนยืนอยู่ข้างเตียง
“หือ ...นายกริช มีอะไรหรือ?”
อธิปถามอย่างงัวเงีย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเพื่อนสนิทยิ้มน้อย ๆ ชวนมองให้ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับกายขึ้นมาบนเตียง แล้วมาหยุดที่ท่านั่งคร่อมบนร่างของเขาอย่างน่าหวาดเสียว
“ง่า...กริช ...อย่ามาล้อเล่นแบบนี้สิเพื่อน ...ไม่ตลกนา”
อธิปบอกพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว เมื่อแทนที่อีกฝ่ายจะเลิก แต่กลับยิ้มยั่วยวนจนทำให้เขาใจเต้นแรงแทน แถมร่างที่โปร่งใสนั่นก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น จนกลายเป็นมีเนื้อมีหนังเหมือนมนุษย์ทั่วไป
“อธิป...รู้ไหม ...ว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย”
กริชถามเสียงกระเส่า พลางใช้มือลูบไล้ไปที่แผ่นอกกว้างของคนบนเตียง จนอีกฝ่ายแทบจะทนไม่ไหว อยากจะพลิกจับร่างบางกดราบไปกับเตียงแทนเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ต้องท่องคำว่าอดทนอยู่ในใจ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนตั้งใจจะมาไม้ไหนกันแน่
“นายกริช ...เอิ่ม...นายเมาหรือเปล่า ... นายดูแปลก ๆ ไปนะ”
อธิปถามออกไป แล้วก็ได้คิดว่ามันเป็นคำถามที่ดูงี่เง่าที่สุดเท่าที่เขาจะคิดออกไปได้
“บ้า...วิญญาณมีเมาได้ด้วยหรือ”
กริชบอกเบา ๆ ตามมา ใบหน้านั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มกึ่งขำ แต่ก็ทำให้ดูน่ารักน่ามองอยู่ดี ทว่าจู่ ๆ ใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้า ๆ แล้วโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าเขาจนแทบจะชิดกัน
“อธิป...ฉันชอบนายนะ ชอบมานานแล้ว ...”
“...หะ...หา...นะ...นายว่าอะไรนะ”
อธิปได้แต่อึกอักตอบเพราะความตกใจ เขารู้สึกว่าหัวสมองว่างเปล่าไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ริมฝีปากเย็น ๆ ของกริชประทับลงมา
“วิญญาณอย่างฉัน คงไม่ดีพอสำหรับนายสินะ”
ใบหน้านั้นยิ้มเศร้า ๆ หลังจากที่ถอนริมฝีปากออกมาแล้ว นั่นจึงทำให้สติของอธิปขาดผึง เขาคว้าศีรษะของอีกฝ่ายกดลงมาอีกครั้งแล้วบดเบียดจูบกับวิญญาณหนุ่มอย่างร้อนแรง ลิ้นของทั้งคู่กระหวัดเกี่ยวรัดพัวพันกันพักใหญ่ อธิปจึงยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเพื่อนเป็นอิสระในที่สุด
“อธิป...ทำให้ฉันเป็นของนายได้ไหม...”
กริชที่ซุกหน้าซบกับอกกว้างพึมพำถามแผ่วเบา อธิปชะงักในทีแรก เขาหวนคิดถึงมิตรภาพระหว่างพวกเขา และสถานภาพที่เป็นอยู่ รวมไปถึงเรื่องเพศที่เขาพยายามจะต่อต้าน
“นายกริช ...ถ้าทำแบบนั้นแล้ว พวกเราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้วนะ”
อธิปพึมพำด้วยความสับสน และพยายามจะปฏิเสธความรู้สึกลึก ๆ ของใจตัวเอง
“ขอแค่ให้คืนนี้ฉันเป็นของนาย ... แล้วหลังจากนี้ ถ้านายจะรังเกียจ ...จะไม่อยากมองหน้า ...ฉันก็จะไม่ปรากฏตัวให้นายได้เห็นอีกเลย”
ถ้อยคำอ้อนวอนของกริช ช่วยลบเลือนสติสัมปชัญญะของอธิปให้เลือนรางไปอีกครั้ง หมอผีหนุ่มกระทำตามความปรารถนาของร่างกายและหัวใจตัวเอง อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ... เสียงกรีดร้องและเรือนร่างขาวโพลนชวนมองบนร่าง ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของเขาตลอดค่ำคืนยาวนานที่ผ่านมา
“อธิป! ไม่ไหว...ฉะ ฉันจะไม่ไหวแล้ว!”
เสียงกระเส่าร้องครางลั่น อย่างไม่คิดสนใจว่าจะมีใครได้ยิน เช่นเดียวกับอธิปเองที่ก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้นในยามนี้เขาต้องการแต่เพียงจะเติมเต็ม ให้ร่างบนกายเขามีความสุขที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
“อีกนิด...นายกริช ...ทนหน่อย...พวกเราจะได้ไปพร้อม ๆ กันไง...”
หมอผีหนุ่มกัดฟันตอบ เขาเองก็ใกล้จะถึงอีกฟากของฝั่งฝันเต็มที หนุ่มใหญ่ขยับเอวขึ้นลงกระแทกรัวแรง จนเสียงหวีดร้องของร่างโปร่งดังขึ้นยาว แต่ทว่าก่อนที่อธิปจะปลดปล่อยออกมา ภาพเบื้องหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหาย พร้อมกับที่เขาสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาพบกับความว่างเปล่าภายในห้องนอน
อธิปตั้งสติอยู่นานกว่าจะทำใจได้ว่าที่ผ่านมามันคือความฝันของเขา หมอผีหนุ่มสบถเบา ๆ เมื่อก้มมองบางสิ่งที่ดุนดันผ้าห่มขึ้นมา
“....บัดซบเอ๊ย! ทำไมไม่ยอมให้ถึงก่อนแล้วค่อยตื่นทีหลังวะ!”
จากนั้นร่างบนเตียงก็ดึงผ้าห่มออกแล้วเหวี่ยงไปปลายเตียงด้วยความหงุดหงิด พลางเดินตรงหายเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อจัดการบางสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ ให้เสร็จเรียบร้อยไปสักที
... TBC ...
หุ ๆ จะมีใครค้างเหมือนอธิปบ้างไหมน้อ~