ม่านราตรี
บทที่ 14
เสียงร้องโหยหวนด้วยความตกใจ พร้อมกับเสียงโวยวายตามมา ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติ นับตั้งแต่ชายผู้ชื่ออธิปย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ม่านราตรีหลังนี้
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าพยายามหาเรื่องแหย่ให้ตุลกลัว! ถ้าหลานฉันหัวใจวายตายขึ้นมา นายจะรับผิดชอบยังไง หา!”
กริชตวาดใส่คนที่ยืนเกาศีรษะแกรก ๆ ด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ ตรงหน้าตน
“ใครแหย่กัน...เด็กนี่ทำตัวเองต่างหาก แค่เปิดห้องมาเจอลูกน้องของฉันเท่านั้นเอง ก็ดันร้องแหกปากโวยวายซะลั่นบ้านแบบนี้”
กริชกัดฟันกรอดกับคำแก้ตัวนั่นของเพื่อนสนิท แล้วจึงสวนกลับไปอย่างเหลืออด
“ก็เพราะลูกน้องของนายนั่นล่ะ! เลิกซักทีได้ไหม ที่ปล่อยให้ลูกน้องปรากฏร่างแค่หัวกะโหลกลอยเพ่นพ่านในห้องแบบนั้นน่ะ!”
“หา! ความผิดฉันหรือไง อีกอย่างให้ลอยแค่ในห้องก็ดีหนักหนาแล้ว ไอ้หนูนี่ต่างหากที่ขวัญอ่อนเกินไป เปิดมาเจอแบบนี้ตั้งสองสามรอบ น่าจะชินสักทีได้แล้วนะ!”
อธิปโต้กลับอย่างหงุดหงิด แต่วิญญาณหนุ่มก็ยังคงเข้าข้างหลานชายตนเองอยู่ดี ทำให้ตุลาที่ยืนหน้าซีด ๆ รีบเอ่ยเสียงอ่อยห้ามทั้งคู่ ก่อนจะมีการปะทะคารมมากไปกว่านี้
“เอ่อ...อากริชกับคุณอธิปอย่าทะเลาะกันเลยครับ ผมผิดเองนั่นล่ะที่ขวัญอ่อนจนเกินไป”
อธิปตวัดสายตามาทางตุลา แล้วหันกลับไปยักไหล่ส่งยิ้มเยาะให้กับเพื่อนสนิทของตน ทำให้กริชเม้มปากด้วยความไม่สบอารมณ์นัก
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ หมอนี่ก็ปล่อยตัวทำตามเคยชินเกินไป...ดีล่ะ ต่อไปนี้ถึงเวลาอาหารตุลไม่ต้องขึ้นมาตามหรอก ปล่อยให้อดตายในห้องนี่ล่ะดีแล้ว!”
“เอ่อ จะดีหรือครับ”
ตุลาแย้งผู้เป็นอา เพราะหากบางวันเขาไม่ได้มาเรียก อธิปก็สามารถขลุกอยู่ในห้องส่วนตัวได้เป็นวัน ๆ เสียอย่างนั้น จนตุลานึกห่วง แต่เจ้าตัวเองกลับบอกว่าแค่อดข้าววันสองวันไม่ถึงกับตาย ลงท้ายเขาก็เลยต้องรับอาสามาเรียกอีกฝ่ายให้ไปกินข้าวพร้อมกันทุกมื้อแทน และบางครั้งก็ได้เจอของแถมอย่างที่ผ่านมา แต่หลัง ๆ นี่เขาก็พัฒนาขึ้น แค่ตกใจเฉย ๆ โดยไม่เป็นลมอย่างสองสามครั้งแรกที่เจอนั่นแล้วล่ะนะ
“แบบนั้นน่ะดีแล้วล่ะ!”
กริชบอกย้ำ แล้วเหลือบมองอธิปก่อนจะตวัดสายตาค้อนให้อย่างไม่สบอารมณ์แล้วหายตัววับไปตามเดิม
“อาเธอนี่มันพวกติดหลานเกินเหตุจริง ๆ เลยนะ”
อธิปเปรยอย่างนึกเซ็ง ส่วนตุลาหัวเราะแห้ง ๆ กับคำพูดนั้นของอีกฝาย ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่ออธิปหันมาทางตน แล้วจ้องมองพลางตำหนิเบา ๆ
“แต่เธอนี่มันก็ขี้กลัวเกินไป ฉันเข้าใจว่าของพวกนี้มันออกจะน่ากลัว แต่เห็นบ่อย ๆ ก็น่าจะชินได้แล้ว ทีอยู่ร่วมกับภูตผีปีศาจเป็นโขยงดันอยู่ได้ ทีแค่หัวกะโหลกลอยไปลอยมาดันกลัวซะงั้น!”
“ง่า...ก็คนอื่น ๆ เค้ามีรูปร่างแบบคนนี่ครับ เลยพอจะบรรเทาความกลัวไปบ้าง แล้วพวกนั้นก็...เอ่อ ไม่ค่อยแกล้งผมเท่าไหร่ด้วย”
อธิปเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วมองชายหนุ่มอายุน้อยกว่าที่หลบตาเขาในประโยคท้าย ๆ
“อ้อ...งั้นหรอกรึ”
หนุ่มใหญ่บอกเสียงยานคราง แล้วจึงยิ้มแย้มให้ พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย
“จริงสิ มาตามไปกินข้าวกลางวันใช่ไหม ไปกันเถอะ ป่านนี้พ่อผีดิบนั่นรอเธอแย่แล้ว”
ตุลากลืนน้ำลายลงคอ นึกสังหรณ์ใจในรอยยิ้มของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ก็ยังคงเดินลงไปยังห้องครัวด้านล่างเงียบ ๆ เพื่อกินอาหารกลางวันกับอีกฝ่ายต่อไป
ระหว่างกินอาหารจู่ ๆ อธิปก็โพล่งขึ้นถึงเรื่องบางอย่างทำให้สมาชิกอีกสองรายคือ รุ้งพราย กับพาทิศชะงัก แล้วรับฟังที่หนุ่มใหญ่บอกอย่างสนใจ
“พวกเธอคิดไหมว่า เด็กนี่ขี้กลัวเกินไป ถ้าเราจะช่วยกันฝึกความกล้าให้เขา มันจะเป็นการดี สำหรับการอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มากกว่า”
“อืม...จริงสินะ ไม่งั้นตุลอาจจะหัวใจวายตายเสียก่อนก็ได้ ขนาดแค่ฉันกระโดดลงมาจากชั้นสองหาเขาข้างล่าง ก็ตกใจช็อกซะใหญ่โตขนาดนั้น”
รุ้งพรายในร่างแมวดำเปรยขึ้นบ้าง แต่ทำเอาชายหนุ่มร่วมโต๊ะอาหารต้องเหลือบไปมองเจ้าหล่อนตาปริบ ๆ เพราะพฤติกรรมที่ว่า ต่อให้ไม่ใช่เขา เป็นใครก็ต้องตกใจด้วยกันทั้งนั้น
“นั่นสินะครับ ก่อนหน้านั้น แค่ผมหอมแก้มเขา ก็ทำท่าตกใจซะขนาดนั้น...”
พาทิศเปรยขึ้นบ้าง แต่คนฟังรีบแย้งกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ก็มันน่าตกใจไหมล่ะครับ! แล้วนั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องกลัวผีของผมด้วย!”
“อะไรนะ! ไปหอมแก้มกันตอนไหนยะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้ ...อ๊ะ! หรือว่าตุลจะชอบ ‘แบบนี้’ จริง ๆ”
แมวดำสาวที่ฟังบทสนทนาอยู่ถึงกับหูกระดิก แล้วขู่ฟ่อใส่พาทิศ พลางหันมาทางตุลา ซึ่งชายหนุ่มก็สะดุ้งแล้วบอกกลับไป
“แบบนี้น่ะแบบไหนครับ ถ้าแบบที่คุณคิดไว้น่ะไม่ใช่แน่นอน!”
ตุลารีบแย้งด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทำเอาอธิปที่เสนอเรื่องฝึกความกล้าต้องกระแอมเบา ๆ ก่อนเรื่องมันจะออกทะเลไปมากกว่านั้น
“เอ้า ๆ กลับมาเรื่องเดิมก่อน พวกเธอคิดว่าไงถ้าฉันจะฝึกความกล้าให้ตุลเขา”
พาทิศกับรุ้งพรายสบตากัน ส่วนตุลานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วสะดุ้งเฮือก ตกใจแทบตกเก้าอี้ เมื่อจู่ ๆ ราตรีปรากฏกายกะทันหัน มานั่งข้าง ๆ เขา
“ก็ดีเหมือนกันนะ ตุลจะได้เคยชินสักที....เฮ้อ”
ท้ายประโยคเจ้าหล่อนทำท่าถอนหายใจ เมื่อเห็นสีหน้าและปฏิกิริยาของชายหนุ่มข้าง ๆ ตน
“เมื่อไหร่เธอถึงจะเคยชินกับพวกเราสักทีนะ”
“ทำยังไงก็ชินยากครับ ...แล้วช่วยมาแบบธรรมดาหน่อยไม่ได้หรือครับ”
ตุลาบอกอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่ไหล่ของตนแผ่วเบา
“หลานต้องใจแข็งเข้าไว้ เอาเถอะ ถ้าพวกเขากวนหลานบ่อย ๆ อาจะช่วยปรามให้เอง”
กริชบอกแล้วจึงยกยิ้มเย็นชาให้สมาชิกคนอื่น แต่รุ้งพรายนั้นบ่นอุบกับตัวเองว่ากริชก็ไม่แพ้พวกหล่อนในเรื่องที่ชอบทำให้ตุลาตกใจนักหรอก
“ว่าแต่นายคิดแกล้งอะไรหลานฉันหรือเปล่าอธิป ถึงได้คิดจะฝึกเรื่องความกล้าอะไรไร้สาระให้ตุลเขาน่ะ”
วิญญาณหนุ่มหันไปทางเพื่อนสนิทแล้วลงมือซักอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ทางด้านอธิปนั้นยักไหล่เล็กน้อย แล้วยิ้มนิด ๆ ให้กับกริช
“ฉันก็แค่ห่วงเขาจะหัวใจวายตายก่อนอายุขัยเท่านั้นเอง ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับวิญญาณและหมอผี ถ้าไม่มีภูมิต้านทานเลย จะลำบากเอานา”
กริชเม้มปาก พอมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ห่วงหลานเขาจริงดังเช่นคำพูดทั้งหมด แต่ความเห็นของอธิปนั้นก็เข้าท่าอยู่เหมือนกัน เพราะดูเหมือนหลานชายของเขาจะขี้กลัวและตกใจง่ายไปสักนิด
“อืม ...ถ้านายไม่ว่าอะไร งั้นคืนนี้ เราก็มาช่วยทดสอบความกล้าให้เจ้าหนูตุลแล้วกัน ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปแต่งนิยายอะไรนั่นของเธอได้แล้วเจ้าหนู ที่เหลือฉันกับสมาชิกคนอื่นจะปรึกษากันเอง”
อธิปสรุปแล้วไล่ตุลากลับขึ้นห้องพักของชายหนุ่มไปทันที
“เอ่อ...ร่วมฟังด้วยคนไม่ได้หรือครับ จะได้เตรียมทำใจไว้ก่อนได้”
ตุลาแย้ง แต่อีกฝ่ายก็สั่นศีรษะปฏิเสธ ส่วนรุ้งพรายก็รู้สึกดีอกดีใจหางสั่นไปมา แถมยังชวนหมอผีหนุ่มไปปรึกษาเรื่องนี้ที่สวนแทน เพื่อที่ปิ่นสุดาจะได้มีส่วนร่วมด้วยอีกราย
“ตุลกลับไปที่ห้องพักเถอะ ถ้าพวกนี้คิดเล่นอะไรแผลงเกิน อาจะคอยห้ามเอง ไม่ต้องห่วง”
กริชปลอบหลานชายซึ่งก็ทำให้ตุลาที่กำลังกังวลยิ้มออก แล้วขอตัวไปแต่งนิยายต่อ ทางด้านอธิปมองเพื่อนสนิทอย่างนึกหมั่นไส้ที่ห่วงหลานเกินเหตุ ส่วนพาทิศนั้นอมยิ้มน้อย ๆ แล้วก็สะดุ้งนิด ๆ ตามมา เมื่อกริชหันขวับมามองเขาเขม็ง
“แต่ก่อนอื่น ขอย้อนเรื่องก่อนหน้านั้นนิด ...เรื่องหอมแก้มนั่นหมายความว่าไง หือ?”
ซอมบี้หนุ่มชะงัก แล้วแสร้งยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะตอบออกไป
“แค่เอ็นดูเองครับ ในสายตาผมไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เด็กคนนั้นก็ยังน่ารัก เหมือนตอน 12 ไม่มีผิด”
กริชหรี่ตามองอย่างสงสัย ก่อนจะทำทีเป็นถอนหายใจตามมา แล้วมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาดุ ๆ แทน
“ให้แค่เอ็นดูจริง ๆ อย่างที่พูดแล้วกัน”
“นั่นสิ ถูกอย่างเขาพูดนั่นล่ะ ให้แค่เอ็นดูจริง ๆ แล้วกัน ...รสนิยมนายยิ่งพิลึก ๆ กว่าชาวบ้านอยู่ด้วย!”
รุ้งพรายเสริมคำพูดนั้น แล้วจึงค้อนขวับเข้าให้ ก่อนจะเดินนำหน้ามุ่งตรงไปสวนหลังบ้านถัดไป โดยที่พวกพาทิศ อธิป กริช และราตรี ก็ตามเจ้าหล่อนมาไม่ห่าง เพื่อเข้าสู่การประชุมจัดเตรียมการทดสอบความกล้าให้กับตุลาในคืนนี้
อธิปเหลือบมองกริชที่ยืนกอดอกเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ระหว่างที่เขาและภูตผีตนอื่นในคฤหาสน์ม่านราตรีกำลังปรึกษาหารือ เรื่องทดสอบความกล้าของตุลาในคืนนี้
“ถ้าอย่างนั้นพวกฉันและเธอจะทำบ้านผีสิงเป็นด่าน ๆ ให้เด็กนั่นทดสอบความกล้า ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ ฉันคิดว่าความขี้กลัวของเขาน่าจะลดลงได้มากล่ะนะ”
หนุ่มใหญ่สรุป แต่รุ้งพรายยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นถามเสียก่อน
“มีลิมิตความน่ากลัวด้วยหรือเปล่าลุง?”
คนอื่นหันไปมองปีศาจแมวสาว แล้วหันไปทางอธิปเพื่อรอคำตอบ
“ตามสบาย …แต่อย่ารุนแรงจนทำให้ ผู้ชายที่ยืนอยู่หลังพวกเธอ เขาอาละวาดเข้าให้ล่ะ”
หมอผีหนุ่มบอก ทำเอาคนที่เหลือหันไปมองกริชเป็นตาเดียว ซึ่งวิญญาณหนุ่มก็ทำเสียงฮึในลำคออย่างหมั่นไส้ แล้วเบือนหน้าไปมองทางอื่น
“งั้นฉันขอประจำด่านแรก จะหลอกให้ตกใจร้องจ๊ากไปเลย ฮ่า ๆ”
รุ้งพรายเสนอตัว โดยเหมือนจะลืมจุดประสงค์หลักในครั้งนี้ไปแล้วว่า จัดขึ้นเพื่ออะไรกันแน่
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวไปคิดวิธีหลอกตุลบ้างดีกว่า”
ราตรีพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง ก่อนจะหายตัวไป ทางด้านพาทิศนั้นอมยิ้มนิด ๆ ติดเจ้าเล่ห์ เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่จะทำกับตุลาในคืนนี้ ส่วนปิ่นสุดานิ่งคิดหนักสลับกับหน้าแดงไปมา จนอธิปชักสงสัยว่าแม่เงือกสาวนั้นกำลังคิดอะไรกันแน่
“โอเค งั้นแยกย้ายกันแค่นี้ ฉันก็จะไปเตรียมการของฉันบ้าง หวังว่าเจ้าหนูนั่นจะคงมีสติ หลุดรอดมาถึงด่านสุดท้ายของฉันแล้วกัน หึ ๆ”
อธิปหัวเราะทิ้งท้าย แล้วเหลือบมองไปยังกริชก่อนจะยกยิ้มน้อย ๆ ในแบบที่ทำให้วิญญาณหนุ่มต้องขมวดคิ้วยุ่ง พลางคิดว่าอีกฝ่ายต้องหาทางเล่นงานกลั่นแกล้งหลานสุดที่รักของเขา แทนที่จะช่วยฝึกความกล้าอะไรอย่างที่บอกนั่นเพียงอย่างเดียวแน่
ตกค่ำ ตุลาก็ถูกทุกคนลากออกมาให้ยืนอยู่หน้าบ้านแล้วให้คอยอยู่ราว 15 นาที โดยทางอธิปมอบแผนที่ด่านต่าง ๆ ซึ่งตุลาต้องผ่านแล้วนำตรายางในแต่ละด่านที่ทุกคนมีอยู่ประทับตราในตารางที่ใส่ไว้หลังแผนที่ให้ครบ จึงจะถือว่าการทดสอบความกล้าครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี
“อากริชครับ ...ผมจะรอดไหมครับเนี่ยงานนี้”
ตุลาพึมพำกับผู้เป็นอาที่ยังคงอยู่เคียงข้างเขา กริชหันมามองสีหน้าซีด ๆ ของหลาน ก็อดที่จะยิ้มน้อย ๆ อย่างเอ็นดูไม่ได้
“ตุลนี่นะ รู้ทั้งรู้ว่าพวกนั้นตั้งใจจะแกล้ง หลานก็ต้องตั้งสติไว้ให้ดี ๆ สิ ไม่ต้องห่วงนะ มีอาอยู่กับหลานทั้งคน”
ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นอาข้าง ๆ แล้วจึงยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับ
“ครับ ขอบคุณครับอา”
กริชหัวเราะเบา ๆ ถึงจะรู้ดีว่าคนอื่นตั้งใจจะทำเพื่อให้ตุลาหายขี้กลัว แต่จากลางสังหรณ์ส่วนตัว นอกจากราตรีและปิ่นสุดาที่ดูหวังดีกับตุลามากที่สุดแล้ว คนอื่นไม่คิดแกล้งก็ลืมจุดประสงค์ครั้งนี้ไปแล้วแน่ ๆ โดยเฉพาะด่านแรก ปีศาจแมวสาวที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นร่าเริงเป็นพิเศษทีเดียว
ตุลากลืนน้ำลายลงคอ มองจากแผนที่ ด่านแรกที่เขาต้องเจอคือห้องโถงกลาง เขาตัดสินใจเปิดประตูบ้านออกช้า ๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน ในขณะที่สายตาก็มองซ้ายมองขวา มองหน้า มองหลังอย่างระมัดระวัง
“ฟ่อ...ฮื่อ...แฮ่...”
เสียงขู่ทุ้มต่ำ ที่ฟังดูเหมือนสัตว์ใหญ่อย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำเอาตุลาสะดุ้งเฮือก หันมาสบตากับกริช ซึ่งกริชก็ยังคงยิ้มเป็นกำลังใจให้หลานของตน ทำให้ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นมาได้
เสียงพื้นห้องสะเทือนพร้อมกับการปรากฏกายของปีศาจแมวยักษ์ตัวใหญ่คับห้องมันทำให้ตุลาเบิกตากว้าง โดยเฉพาะยามที่เขี้ยวยาวแหลมคมภายในปากใหญ่นั่นแสยะให้เห็น
“อะ...อะไร นั่น”
ชายหนุ่มทรุดนั่งลงบนพื้นด้วยความกลัวจนขาแข้งอ่อนไปหมด กริชตอนแรกก็นิ่งอึ้งอยู่หรอก แต่พอคิดดูแล้ว ก็คิดว่านั่นน่าจะเป็นอิทธิฤทธิ์ที่ปีศาจแมวสาวแสดงก็ได้
“อืม...ความน่ากลัวให้เต็มสิบอยู่หรอก แต่ระวังนะ ภาพพจน์ตอนนี้มันจะติดตาของตุลเขาไปเรื่อย ๆ น่ะ จะดีหรือ รุ้งพราย”
ปีศาจแมวยักษ์ผู้น่ากลัวสะดุ้งโหยง ยิ่งพอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของตุลา เจ้าตัวก็รีบกลับคืนร่างเป็นสาวน้อยผู้น่ารักตามเดิม
“แค่ร่างแปลงเองนะ ร่างจริงฉันออกจะน่ารัก ทั้งร่างแมว และร่างมนุษย์ เห็นไหมตุล!”
กริชลอบยิ้ม แล้วทำเป็นตีสีหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ตุลาเริ่มหายตกใจแล้วยิ้มแห้ง ๆ
“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เป็นร่างจริง ๆ แล้วหรือครับ”
ปีศาจแมวสาวสะดุ้งนิด ๆ พลางรีบปฏิเสธเสียงดัง
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันบอบบางขนาดนี้จะตัวใหญ่ยักษ์เท่านั้นได้ยังไง!”
สีหน้าและแววตาที่มองแล้วพยายามแก้ตัวสุดฤทธิ์นั่น ทำให้ตุลายิ้มเจื่อน ชักไม่แน่ใจแล้วว่าร่างนั้นเป็นร่างจริงของรุ้งพรายแน่หรือไม่
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นด่านแรก ก็มีแค่นี้ใช่ไหม ตุลก็ขอให้รุ้งเขาประทับตราผ่านให้สิ”
กริชเปรยขึ้น ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง จากนั้นรุ้งพรายก็บ่นอุบกับตัวเอง นี่ถ้าไม่มีกริชมาด้วย แผนการหลอกให้ตุลากลัวหงอของเธอคงสำเร็จราบรื่นด้วยดีไปแล้ว แต่ถ้าจะให้ตุลากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้เธอตลอด มันก็ทำให้เธอลำบากใจอยู่เหมือนกัน
ตุลายิ้มกับแผ่นกระดาษที่ได้รับการประทับผ่านด่านแรกไปแล้ว แต่ว่าเขายังเหลืออีกสี่ด่าน นั่นก็คือ พาทิศ ปิ่นสุดา ราตรี และอธิป เป็นด่านสุดท้าย
... TBC ...
งมอยู่ครึี่งวัน โพสนิยายได้สักที
พอดีเซ่อเอง ที่มองไม่เห็นวิธีโพส -- ปกติงมอยู่แต่ในห้องอ่านนิยาย นาน ๆ ถึงโผล่ไปห้องซื้อขายที ห้องพูดคุยแทบไม่ค่อยได้เฉียดไป เจอกระทู้คลิกขวาไม่ได้ เลยเข้าไปโพสแจ้ง ถึงได้รู้ว่ามีลงวิธีโพสนิยายไว้ในกระทู้แจ้ง error หน้าหลังสุดโน่น ใครที่จะโพสนิยาย หรือ copy +paste อะไรลงบอร์ด แล้วทำไม่ถูก ก็ลองไปอ่าน ๆ วิธีดูนะคะ
แปะให้ดู
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65.msg1562953#msg1562953 เป็นกำลังใจให้ทีมงานปรับปรุงระบบบอร์ดเข้าที่เข้าทางไว ๆ ค่ะ
