วนครบสามรอบแล้ว ลุงที่นำพิธี (ขอเรียกมัคทายกนะครับ) แกนำเป๊บไปจุดธูปไหว้ขอขมาตรงหน้าโบสถ์ โดยมีครอบครัวไปนั่งด้านหลังด้วย หลังจากขอขมากรรมเสร็จ เป๊บก็ขึ้นไปตรงประตูโบสถ์ ทำการโปรยกัมพฤกษ์ ทุกคนที่มาร่วมงานส่งเสียงเฮฮากริ๊ดกร๊าด ต่างวิ่งรุมแย่งกัมพฤกษ์กันอย่างสนุกสนาน เป๊บคายกัมพฤกษ์จากปาก ส่งมาให้ผม ผมรับไว้ หลังจากนั้น โอ๊ตกับเบิด ก็อุ้มเป๊บขึ้นไปสูงมากพอสมควร เพื่อให้เป๊บแตะขอบประตูโบสถ์ เป๊บแตะประตูโบสถ์สามครั้ง หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในโบสถ์ พร้อมด้วยครอบครัว และทุกคนที่อยากมีส่วนร่วมในการพิธี ส่วนคนอื่นที่ไม่ได้เข้าในโบสถ์ก็ไปร่วมรับประทานอาหาร
เป๊บเข้าประจำที่ เจ้าอาวาสและพระอาจารย์รวมถึงพระอื่นๆก็นั่งประจำที่เรียบร้อย พวกเราทุกคนอยู่ในอาการสงบ จนกระทั่งมัคทายกวัดได้เริ่มพิธี
“หากเจ้านาคและครอบครัวรวมถึงทุกท่านพร้อมแล้ว ให้กล่าวนะโมตัสสะสามจบ...นะโมตัสสะ ภะคะวะโต.......” พวกเราพร้อมใจกันกล่าวสามจบ
“ลำดับถัดไปขอเชิญเจ้านาคได้เริ่มกล่าวบทบวชอุปสมบท” มัคทายกบอกเป๊บ
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ สำรวมอยู่ในอาการสงบ ต่างจ้องมองมาที่เป๊บเป็นตาเดียวกัน เป๊บดูมีสมาธิและตั้งใจมาก
เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทังฯ
ทุติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต,ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทังฯ
ตะติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเยปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทังฯ
อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตวา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะฯ
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะฯ
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา, ปัพพาเชถะ มัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะฯ
เป๊บกล่าวบทขออุปสมบทเป็นภาษาบาลีได้อย่างไพเราะมาก เสียงดังกังวานอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนรวมถึงผมต่างรู้สึกขนลุกไปตามๆ กัน สิ่งอัศจรรย์ที่น่าประหลาดได้เกิดขึ้นคือ ระหว่างที่เป๊บท่องบทขออุปสมบท มีเสียงฟ้าลั่น ดังถึงสามครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดเมฆฝนหรือฝนกำลังจะตกแต่อย่างใด ผมพลางคิดในใจ นี่คือ สิ่งอัศจรรย์ที่พระอาจารย์ได้บอกไว้ซินะ หลังจากเป๊บท่องบทขออุปสมบทช่วงแรกเสร็จ
“ลำดับถัดไป ให้เจ้านาคหันกลับมารับผ้าไตรจากบิดามารดาและครอบครัว” เป๊บหันตัวกลับมารับผ้าไตร
“ให้เจ้านาคได้กล่าวคำขอขมาตามข้าพเจ้า......ข้าแต่คุณบิดา มารดา พี่ชายทั้งสอง รวมถึงญาติสนิทมิตรสหาย ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาอันเป็นกุศล ในการเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ข้าพเจ้าขอขมากรรมทั้งหลายที่ได้ล่วงเกินบิดา มารดา พี่ชายทั้งสอง รวมถึงญาติสนิทมิตรสหาย โปรดอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วย เทอญ”
เป๊บกล่าวคำขอขมากับแด๊ด มัม พี่ปริม และพี่ปัน ผมกับอาม่านั่งติดหลังพี่ปริม เอามือแตะหลังพี่ปริม ส่วนคนอื่นๆ ก็เอามือแตะต่อไปตามลำดับ
“อาตี๋เล็กอ่า ท่างหลวงปู่ทวดกับท่างพระมหาโพธิสัตว์กวงสี่อิม ท่างมาร่วมในงางเลี่ยวน่า” อาม่ากระซิบบอกผม
“จริงหรือครับอาม่า ท่านประทับตรงไหนครับ”
“หลวงปู่ทวดท่างอยู่ตงกลางพระประธางน่าอาตี๋ ท่างกวงสี่อิมอยู่ล่างลงมาหน่อยน่า”
อาม่าไม่ทันจะพูดจบ ก็มีกระแสลมเย็นๆ อ่อนๆ ไหลเวียนพัดมาในโบสถ์ ทุกคนมองหน้าไปมาต่างแปลกใจไปตามๆกัน
เป็นกล่าวขอขมากรรมเสร็จ แด๊ด มัม ก็วางผ้าไตรลงบนมือของเป๊บที่พนมมือเตรียมรอรับผ้า ผ้าไตรจีวรลงบนมือเป๊บ ก็มีเสียงฟ้าร้องดังเปรี้ยงใหญ่ หนึ่งครั้ง
“อีโจ้วๆ กรูว่าอีเป๊บมันเป็นเทพลงมาเกิดแน่ แม่มกรูขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย อภินิหารอะไรนักหนา” ฉัตรสะกิดผมพร้อมบ่นเบาๆ
“กรูก็ว่าเหมือนกัน อภินิหารเว่อร์มาก” เบิดแซวทับ
“กรูก็ไม่รู้เนี่ย ตกใจเหมือนกัน”
“เมิงมีผัวเป็นเทพพพพพพ เลิศมากกกก” ฉัตรแซว (ผมคิดในใจ อีนี่ในโบสถ์ยังจะมาผงผัว น่าตบจริง)
(ประโยคนี้ถามเป๊บมานะครับ หลังจากสึกแล้วเกิดอะไรขึ้นในจุดนี้ เป๊บเล่าว่า ตอนนั้นสมาธินิ่งมาก มีสติอย่างมาก ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป๊บรับรู้ได้ทั้งหมด เป๊บเล่าต่อว่า ตอนที่กำลังรับผ้าไตร เป๊บตั้งจิตอฐิษฐานว่า “ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีคุณอันประเสริฐ หลวงปู่ทวด พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมอวโลกิเตศวร เทพ มหาเทพ พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ ทั่วทั้งจักรวาล รวมถึง เทวดาทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเทวดาทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีจิตอันเป็นกุศลในการเข้าอุปสมบท ขอให้ผลบุญกุศลนี้จงบังเกิดกับทุกท่าน ขอให้ทุกท่านได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่นี้และมีความสุขตลอดกาลนาน เทอญ........พอผ้าไตรลงถึงมือ ก็มีเสียงฟ้าลั่น....เป๊บเล่าแบบนี้นะครับ)
“ลำดับถัดไป ขอให้เจ้านาคได้หันกลับมาประเคนให้พระอุปัชฌาย์ พร้อมรับคำสอนต่อไป”
เป๊บหันตัวกลับไปประเคนชุดผ้าไตร พร้อมเครื่องบูชาสักการะให้กับพระอุปัชฌาย์ ท่านก็มอบโอวาทพระธรรมคำสอนให้กับเป๊บ ดูเป๊บตั้งใจฟังมาก หลังจากมอบโอวาทเสร็จแล้ว พระอุปัชฌาย์ บอกตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐาน ให้ว่าตามไปทีละบท โดยอนุโลม (ไปข้างหน้า) และปฏิโลม (ทวนกลับ) ดังนี้
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม)
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม)
หลังจากให้โอวาทเสร็จแล้ว พระอุปัชฌาย์ก็ดึงอังสะจากชุดผ้าไตรมาสวมให้เป๊บ แล้วสั่งออกไปให้ครองผ้าไตรจีวร เป๊บก็ลุกขึ้นเดินไปยังด้านหลังโบสถ์ โดยมีพระพี่เลี้ยงตามไปหลายรูป
เวลาไม่นานนัก เป๊บเดินกลับเข้ามาในสถานะใหม่ คือ พระเป๊บ ช่วงเวลานั้นผมจำได้ว่า ทุกคนที่อยู่หน้าพิธีอุปสมบท ต่างรู้สึกตะลึง เพราะเป๊บดูผ่องใสมาก คือ ปกติ ผิวพรรณเป็นขาวเนียนอยู่แล้ว พอทรงจีวรครบชุด ราวกับว่ามีออร่าเป็นแสงแผ่ประกายออกมา
“เมิงๆ พระท่านออร่ามาก กรูจนลุก” ฉัตรสะกิดผมพร้อมพูดเบาๆ
“จริงเมิง เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย” เบิดก็เปรยออก
ผมนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร หันไปมองอาม่า อาม่าก็นั่งหลับตาเหมือนเข้าสมาธิอะไรสักอย่าง
“ลำดับถัดไป ขอให้พระใหม่ดำเนินการกล่าวบทขออุปสมบทต่อไป”
สิ้นเสียงมัคทายก เป๊บก็เริ่มอีกครั้ง
“อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิฯ
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิฯ
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิฯ”
เป๊บท่องบทสวดอีกยาวมาก ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ จนกระทั่งการบวชเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย พระอาจารย์อุปัชฌาย์ ได้กล่าวว่า
“เจริญพรญาติโยมทั้งหลาย บัดนี้การอุปสมบทได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระใหม่ที่บวชนั้นได้รับฉายาว่า กตปุญโญ (กะตะปุนโย) แปลว่า ผู้ที่มีปัญญาเปรียบประดุจแสงสว่าง (ประมาณนั้นนะครับ) ขอเชิญญาติโยมทั้งหลายร่วมถวายเพลฉลองพระใหม่ที่โรงฉันท์”
คณะพระสงฆ์ก็กราบพระประธาน และทยอยออกจากโบสถ์ พวกเราก็รุมเข้าไปถ่ายรูปตามลำดับ ณ ตอนนั้น ผมทำตัวไม่ถูกเลยครับ ไม่รู้ว่าจะเรียกหรือจะยังไงอย่างไร
แด๊ด มัม พี่ปริม พี่ปัน และญาติๆ ดูมีความสุขกันมาก ช่างภาพรุมถ่ายรูปกันใหญ่
“นมัสกางพระคุงเจ้าน่า ท่างดูผ่องใสมากน้า” อาม่ายกมือไหว้กล่าวกับพระเป๊บ
“เจริญพรโยมอาม่า ขอให้โยมอาม่าได้รับผลบุญนี้ สุขภาพแข็งแรงและมีความสุขมากๆ นะโยม” พระเป๊บกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีเมตตาและนิ่งมาก
คือ เป๊บเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้ผมและเพื่อนๆ เกร็งอย่างมากๆๆ คือ ทำตัวไม่ถูกเลยครับ ไม่รู้จะเรียกอะไรยังไง อย่างไร ฉัตร เบิด โอ๊ต ทราย ก็นิ่งสนิทไปเหมือนกัน
“เมิงๆ กรูจะต้องเรียกพระเป๊บยังไงอะ” ฉัตรถามผม
“ไม่รู้เลยเมิง กรูเกร็งมาก ทำไงดี”
“กรูว่าไปถามพระอาจารย์มั้ย เผื่อได้คำตอบ” เบิดเสนอความเห็น
“เออเข้าท่า น่าจะดี”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังถ่ายรูปร่วมกับพระเป๊บ พวกเราก็ยืนปรึกษาแบบเกร็งๆ โชคดีมาก ที่พระอาจารย์อุดม ท่านเข้ามาในโบสถ์เพื่อมาตามพระเป๊บไปฉลองพระใหม่ที่โรงฉันท์ พวกเราเลยถือโอกาสเข้าไปถาม
“พระอาจารย์ครับ คือ ผมทำตัวไม่ถูก จะเรียกพระเป๊บว่ายังไง แล้วทำตัวยังไงครับ”
“พวกโยมอายุน้อยหรือมากกว่าพระเป๊บละ” พระอาจารย์ถาม
“ผมน้อยกว่า ครับ”
เพื่อนๆ ทุกคนอายุน้อยกว่าเป๊บหมด อ่อนวันบ้าง เดือนบ้าง ปีบ้าง พระอาจารย์เลยสรุปว่า
“ง่ายมากเลยโยม ถ้าอายุน้อยกว่า เรียกว่าหลวงพี่ หรือ ท่าน ก็ได้ ถ้าอายุมากกว่า เรียกท่านหรือพระคุณเจ้าก็ได้ สำหรับผู้หญิงห้ามแตะตัวพระเป๊บ ผู้ชายแตะตัวได้ปกติ ยกเว้นโยมโจ้”
“หา ทำไมหรือคะพระอาจารย์” ฉัตรงง เพราะผมก็ผู้ชาย
“โยมโจ้เป็นผู้ชายก็จริง แต่อยูในสถานะเป็นคนรักของพระเป๊บ การไปแตะเนื้อต้องตัวไม่ต่างอะไรจากสามีภรรยาแตะตัวกัน อาตมาเกรงว่าจะเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านไปไกล แล้วจะบาปเอานะ” ฟังเหตุผลแล้วผมก็ตกใจเหมือนกัน
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง ดังนั้นห้ามแตะตัวพระเป๊บนะ” ฉัตรหันมาสั่งผม ผมพยักหน้ารับ
“พวกโยมรีบไปถ่ายรูปเถอะ ใกล้เวลาฉลองพระใหม่แล้ว” พระอาจารย์แนะนำพวกเรา
ผมกับเพื่อนๆ เลยเดินมาต่อคิวถ่ายรูปกับพระเป๊บ พระเป๊บดูผ่องมาก ดูหน้าตาอิ่มบุญมาก มีออร่ามาก ไม่รู้จะบรรยายยังไง
“อะ...เอ่อ...หลวงพี่ ขออนุญาตฉายพระรูปเพคะ” ฉัตรเอ่ยขึ้นมา
“อุ๊ปส์ ฮ่าๆๆ...” ผม เบิด โอ๊ต ทราย อดหัวเราะไม่ได้
“อีนี่นิ ขำไรยะ” นางหันมาวีน พระเป๊บก็อมยิ้ม
“ร้อยวันพันปี เคยพูดแบบนี้ที่ไหนละ ดูขัดกันมาก” ผมอธิบายไปพร้อมหัวเราะไป
“ทำตัวตามสบายโยม อย่าเกร็ง อาตมาก็เป็นคนเหมือนเดิม” พระเป๊บเอ่ยขึ้นมากแบบยิ้มๆ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ พระเป๊บก็เดินตามพระอาจารย์ไปโรงฉันท์ พวกเราก็เดินตามไปด้วย ทุกคนดูไปพร้อมกันที่โรงฉันท์แล้ว
“เมิงๆ หลวงพี่ดูอลังการมาก กรูไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นหลวงพี่ในอีกบทบาทนึง” ฉัตรเปรยขึ้นกับผม
“กรูก็ไม่คิดเลยเมิง อยู่กับเป๊บแทบจะ 24 ชั่วโมง เจอบทบาทแบบนี้ไปไม่ถูกเลยวะ” ผมตอบฉัตร
“กรูเชื่อเลยคนมีบุญมากๆ เป็นแบบนี้นี่เองวะ พวกเมิงเห็นแสงนวลขาวอ่อนๆ มะ กรูว่าเหมือนออกมาจากผิวหนังพระท่าน หรือกรูตาฝาด มันแบบแสงผ่องๆ” เบิดเปรยขึ้นมา
“เออกรูก็เห็น กรูว่าหลวงพี่ผิวขาวอยู่แล้ว พอมาบวชเลยดูผ่องใสมาก ตอนกรูอุ้มหลวงพี่แตะประตูโบสถ์ ขนลุกเลยวะ ไม่รู้เป็นไรเหมือนกัน” โอ๊ตเปรย
“เอ้ย กรูก็ขนลุก” เบิดเห็นด้วยกะโอ๊ต
งานพิธีในโรงฉันท์เริ่มขึ้น หลวงพี่ไปนั่งตรงมุมที่เตรียมไว้ พร้อมพนมมือกับสายสิญจน์ พระทุกรูปนั่งประจำที่ พร้อมทั้งสวดมนต์ให้กับพระใหม่
“เรียนเชิญพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหาย ร่วมตักบาตรพระใหม่ได้เลยครับ” มัคทายกประกาศให้ทุกคนทราบ
แด๊ด มัม พี่ปริม พี่ปัน พี่สะใภ้ ญาติพี่น้อง รวมทุกพวกเรา ต่างต่อแถวตักบาตรพระใหม่ อาหารคาวหวานอลังการมากๆ มาทราบภายหลังว่า แด๊ดใช้บริการห้องครัวจากโรงแรมชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของแด๊ด และเขาก็มาร่วมงานด้วย
หลังจากสวดฉลองพระใหม่เสร็จ หลวงพี่ก็ได้ลุกขึ้นไปร่วมวงฉันท์อาหารกับพระอาจารย์อุดม และพระรูปอื่นๆ สำหรับคนอื่นๆ ก็ไปนั่งรับประทานอาหารตามโต๊ะที่จัดไว้ ระหว่างนั้น แด๊ด มัม พี่ปริมพี่ปัน รวมถึงพวกผมทั้งหมด ต่างก็ช่วยประเคนอาหารพระ พระท่านก็ฉันท์ภัตตาหารไปอย่างสงบ
“นายท่านครับ ไปทานข้าวเถอะครับ เดี๋ยวพวกผมดูแลพระท่านเองครับ” ศักดิ์บอกแด๊ด
“แล้วแกกินข้าวหรือยัง” แด๊ดถามศักดิ์
“เรียบร้อยแล้วครับ กินเสร็จก็จะมาผลัดเปลี่ยนนายท่านนี่แหละครับ”
“โยมแด๊ดไปทานข้าวเถอะครับ อาตมาดูแลตัวเองได้” หลวงพี่บอกแด๊ด
“งั้นลูก....เอ้ย....เอ่อ...ถ้าพระคุณเจ้าขาดอะไร เรียกใช้ศักดิ์ได้นะครับ” พวกเราแอบขำแด๊ดเบาๆ แด๊ดเองก็เรียกไม่ถูกเหมือนกัน
ผมและเพื่อนๆ ก็เดินตามแด๊ด มัม พี่ปริมพี่ปัน มาทานข้าวในเต็นท์ที่ติดกับโรงฉันท์ จำได้ว่า อาหารคาวหวาน อร่อยและหรูหรามาก มีระบบการบริการอย่างดีมาก ราวกับว่า จ้างออแกไนซ์จัดงานกันเลยทีเดียว สำหรับในส่วนของเพื่อนแด๊ด มัม ที่มาร่วมงาน ส่วนใหญ่เป็นคนระดับสูงๆ ของสังคม มีหลายคนที่เป็นนักการเมืองและพวกเราก็รู้จักดี หลายคนก็เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมาก และพวกเราก็รู้จักกันดีเช่นกัน
“อาหารอลังการมากอีหอย สุดยอด” ฉัตรชม
“เออวะเหมือนเอาจากโรงแรมห้าดาวมาเลย” เบิดเปรยเหมือนถาม
“ไม่รู้เหมือนกันอะว่าเอามาจากไหน แต่เท่าที่ดูเหมือนจะจัดที่เมืองทองธานีได้เลย” ผมเปรยออกมา
“จริงวะ หรูมาก เออเมิง แขกหลายคนดังๆ ทั้งนั้น กรูก็รู้จักเยอะ เพราะเคยไปหาพ่อกรูที่บ้านบ้าง” ฉัตรบอกผม
“เออวะ แล้วเมิงไม่ไปทักทาย”
“ไม่ละคะ เดี๋ยวถามมาก นั่งแอบๆ อยู่เนี่ย เนียนไว้”
“แล้วพ่อเมิงอะไม่มาหรือ” ผมถามเพราะพ่อฉัตรกับเป๊บรู้จักกัน
“กรูมาแทนไง แกไปทำงานที่เมกาโน่นแล้ว ฝากซองมาด้วย”
“กรูอยากรู้ใส่ซองกี่บาท” เบิดทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
“อีนี่เสียมารยาท แกใส่เช็คมามั้ง บางเฉียบ” ฉัตรพูดพลางโชว์ซองงานบวช
“แกเลยได้ปะวะ อยากรู้” โอ๊ตย้ำ
“ห่านี่ ไม่ได้ อยากรู้ก็ให้อีโจ้วไปสืบหลังงานเสร็จ” ผมทำหน้าเหวอ
“บ้า เดี๋ยวแด๊ด มัม ดุเอา ไม่กล้าอะ”
“แหมเมิงก็เป็นสะใภ้ เนียนๆ ไปช่วยนับเงินก็ได้”
ผมไม่ได้ตอบรับคำอะไร ใจไปอยู่ที่หลวงพี่มากกว่า ผมคอยชะเง้อว่าหลวงพี่ขาดเหลืออะไรบ้าง ยังไงอย่างไร
แขกเหรื่อส่วนใหญ่ต่างทยอยเดินทางกลับกันมากพอสมควร ผมหันไปมองหลวงพี่ ไม่อยู่ในโรงฉันท์ น่าจะกลับไปกุฏิของพระอาจารย์ เลยชวนแด๊ด มัม พี่ๆ อาม่าและเพื่อนๆ ไปหาหลวงพี่ที่กุฎิ
เดินไปถึงกุฎิก็พบหลวงพี่กำลังจัดข้าวของเครื่ออัฐบริขารในห้องกุฏิ พอเห็นพวกเราเดินมา หลวงพี่ก็ออกมาคุยด้านหน้ากุฎิโดยมีพระอาจารย์ท่านนั่งอยู่ด้วย
“อะ..เอ่อ...ห้องในกุฎิอยู่ได้มั้ยครับพระคุณเจ้า” แด๊ดถามหลวงพี่
“อยู่ได้ครับโยมแด๊ด สบายมากครับ ไม่ต้องกังวล”
“แล้วข้าวของเครื่องใช้ต้องการอะไรเพิ่มมั้ยคะ” มัมถาม
“พอแล้วครับโยมมัม มีเท่านี้อยู่ได้สบายแล้ว”
“โยมไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พระใหม่เขาปรับตัวได้” พระอาจารย์บอกแด๊ดและมัม
“ครับพระอาจารย์ แต่ก็อดเป็นห่วงลูกไม่ได้ครับ” แด๊ดเปรย
“เข้าใจโยมนะ แต่อย่างไรตอนนี้ขอให้โยมได้คิดว่า ลูกชายของโยมมาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าเพื่อสร้างบุญบารมี ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า เทพเทวดา ปกป้องดูแลรักษาแน่นอน”
“ช่ายคะพะอาจาง ตอนในโบก เทวาดามาเยอะมากๆ เลยนะค่า หลวงปู่ทวกก็มา ทางกวนสี่อิมก็มาน่า คุงๆ ทั้งสอง สบายจายด้ายน่า พะคุงเจ้าเป็งคงมีบุงมากๆ เทพเทวาดาดูแลน่า”
“โยมอาม่า แล้วเจ้ากรรมนายเวรอาตมาเขามามั้ยครับ” หลวงพี่ถาม
“มาค่าพะคุงเจ้า เขามารับบุงแล้วน่า เขาไปเสวยสุขบงสาหวังเลี่ยว ไม่ต้องกังวงค่า” อาม่าตอบแบบยิ้มร่า
“ได้ฟังโยมอาม่าบอกแบบนี้ อาตมาก็สบายใจ” หลวงพี่นั่งยิ้ม
“แล้วพวกโยมวางแผนการใส่บาตรอย่างไรบ้าง” พระอาจารย์ถามขึ้นมา
“ยังไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังเลยครับ พระอาจารย์มีความคิดเห็นว่าไงบ้างครับ” แด๊ดถาม
“แล้วแต่โยมสะดวกเลย แต่ตามประเพณี บิดามารดา ควรใส่บาตรสามวันแรก ส่วนวันอื่นๆ แล้วแต่สะดวกหรืออาจจะจัดเลี้ยงเพลพระเป็นกรณีไปก็ได้”
“งั้นผมใส่บาตรสามวันแรกเป็นการเบื้องต้นก่อน ส่วนวันอื่นๆ ค่อยว่ากันนะครับ” แด๊ดบอกพระอาจารย์
“ไม่ทราบว่าพระอาจารย์ออกบิณฑบาตกี่โมงคะ” มัมถาม
“ประมาณตีห้าครึ่งก็ออกเดินแล้วโยม ไปและแวกแถวนี้ไม่ไกลมาก ตามบ้านที่รับบาตรประจำ จะกลับเข้าวัดมาก็ราวๆ สักหกโมงครึ่ง โยมมาดักหน้าวัดก็ได้นะ เพราะบ้านกับวัดไกลพอสมควรเหมือนกัน”
“ได้ครับๆ งั้นพรุ่งนี้จะมาตามเวลาครับ งั้นพวกผมไม่รบกนพระอาจารย์กับพระคุณเจ้าแล้วครับ จะได้จำวัดพักผ่อน”
“เจริญพรนะโยม แล้วโยมโจ้สนใจจะมาเป็นเด็กวัดเดินตามบิณฑบาตมั้ย” พระอาจารย์ถามผม
“น่าสนใจดีนะครับ ต้องเริ่มวันไหนครับ”
“ให้ผ่านไปสัก 7 วันก่อน แล้วค่อยมาเดินตามในตอนเช้านะ”
“ได้ครับๆ”
“งั้นทุกคนกลับไปพักผ่อนกันเถอะ โยมไม่ต้องห่วงพระใหม่นะ อาตมาจะดูแลเอง” พระอาจารย์บอกครอบครัวเป๊บ
“กราบนมัสการลาครับ” ทุกคนก้มกราบ
“พะคุงเจ้า งั้นอิชั้นลาละนะค่า” อาม่าก้มกราบหลวงพี่
“เจริญพรครับโยมอาม่า บุญวันนี้จงถึงแก่อาม่า ให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขมากๆนะครับ” หลวงพี่เอ่ยด้วยสีหน้าที่มีเมตตาอย่างมาก
“อนุโมทะนานะค่า”
พวกเราทั้งหมดรวมถึงพระอาจารย์และหลวงพี่ เดินมาส่งอาม่าที่รถ
“ขอบคุณนะครับอาม่าที่มาร่วมงานในวันนี้ ขอบคุณมากครับ” แด๊ดยกมือไหว้อาม่า
“ยิงดีนะค่า ขอให้คุงๆ ทั้งหลายมีความสุกมากๆ น้า จาเริงๆ นะค่า” อาม่ารับไหว้ทุกคน”
“วินอย่าขับเร็วมาก ดูแลอาม่าด้วยนะ” แด๊ดหันไปสั่งลูกน้องที่ขับรถ
“ครับนายท่าน ผมจะดูแลอย่างดีครับ”
รถอาม่าเคลื่อนตัวออกจากวัดไปแล้ว ศักดิ์ก็นำรถมาเทียบหน้ากุฏิรอรับแด๊ดและทุกคน
“งั้นผมลาละครับพระอาจารย์ หากมีอะไรเพิ่มเติม ติดต่อไปนะครับ” แด๊ดลาพระอาจารย์
“ศักดิ์ แล้วเรื่องอื่นๆละ เรียบร้อยมั้ย”
“เรียบร้อยแล้วครับนายท่าน ผมดำเนินการตามแผนที่วางไว้แล้วครับ”
“ดีๆ พี่จันทร์เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ฝากพี่จัดการด้วยนะ แจ้งฝ่ายการเงินได้เลย” แด๊ดหันไปบอกป้าจันทร์
“ได้คะคุณท่าน เดี๋ยวจันทร์จัดการเองคะ”
“พี่จันทร์แล้วเด็กๆ กลับยังไง”
“ประสานรถตู้ไว้แล้วคะ เดี๋ยวจัดการเองคะคุณท่าน”
“โอเคๆ ขาดเหลืออะไรพี่จันทร์แจ้งเวช(คนขับรถประจำตัวเป๊บ)ละกันนะ”
“ได้คะๆ”
ขบวนรถของครอบครัวเป๊บก็ออกจากวัดไป และทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ เหลือแต่ผมกับเพื่อนๆ นี่ละครับ
“แล้วพวกโยมยังไม่กลับหรือ” พระอาจารย์ถาม
“อ๋อ...ก็....” ผมอึกอัก เหมือนพระอาจารย์คงรู้ว่าพวกเราอยากคุยส่วนตัวกับหลวงพี่
“งั้นโยมคุยกับท่านเป๊บไปก่อนนะ” พระอาจารย์ท่านก็เดินกลับเข้ากุฎิไป
“หลวงพี่เป็นยังไงบ้างเพคะ ทรงสำราญดีรึ” ฉัตรถามหลวงพี่
“ฮ่าๆๆ” ทุกคนหัวเราะ หลวงพี่ก็อมยิ้ม
“อ้าวอีนี่นิ หัวเราะไรนี่”
“ก็ขัดกับภาพลักษณ์เมิงมากอะ เลยฮา” โอ๊ตบอก
“สบายใจดีโยม สงบดี เงียบดี” หลวงพี่ตอบ
“ดีแล้วเพคะ หากหลวงพี่ต้องการสิ่งอื่นใด โปรดส่งนกพิราบสื่อสารมาบอกอิชั้นได้นะคะ”
“ฮ่าๆๆ โทรบอกก็ได้มั้ง” เบิดฮา
“เออนั่นดิ กลัวนกพิราบจะโดนยิงจับไปผัดเผ็ดก่อน” โอ๊ตฮาด้วย
“ก็นั่นแหละ พวกเมิงนี่ ยังไงหลวงพี่ก็บอกอีโจ้วได้นะคะ หม่อมชั้นจะรีบปรี่มาถวาย”
“ได้โยม ไม่ต้องกังวลหรอก กลับไปพักผ่อนกันเถอะ”
“เพคะหลวงพี่ หม่อมชั้นกับไพร่ทาสขี้ข้าบริวารกราบบังคมทูลลา” ฉัตรก้มกราบงามๆ
“เดี๋ยวๆ ใครเป็นไพร่ทาสขี้ข้า” เบิดถาม
“โอ้ยยยย เรื่องมาก ก็พวกเมิงเนี่ยแหละ กรูเป็นเจ้าหญิง โอเคปะ” นางแหกปากขึ้นมา
“คร่า เจ้าหญิงงงงงงงงง” ทรายแซว
“แล้วอีโจ้วไม่ทรงเอื้อนเอ่ยสิ่งใดกับหลวงพี่เลยหรือเพคะ”
ไม่รู้ซิ ผมไม่กล้าพูดอะไรมาก วางตัวไม่ถูกจริงๆ ครับ เป๊บเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แววตาสงบ เมตตา ไม่มีแววตาของคนรักเลย เหมือนเราสองคนเป็นคนที่ไม่รู้จักกันซะงั้น ใจผมหวิวๆ แบบประหลาดนะครับ
“อะ..เอ่อ...ก็ งั้นผมกราบลานะครับ พรุ่งนี้จะมาใส่บาตรครับ” ผมเอ่ยกับหลวงพี่
“ได้โยม กลับไปพักผ่อนกันเถอะ เจริญพรทุกคนนะ” หลวงพี่ยิ้ม
“เพคะ อิชั้นกราบทูลลา”
“เตรง เตร็ง แตร่ง แตร้งงงงง แตร๊งๆๆๆ” เบิดกับโอ๊ตทำเสียงลิเก
“ฮ่าๆๆ ถรุยยยยยย” ฉัตรหัวเราะพร้อมทำท่าถุยน้ำลายใส่
ทุกคนกลับรถของฉัตร ขากลับฉัตรอาสาไปส่งผมที่บ้านใหญ่ ระหว่างเดินทาง
“หอยเป็นไร ดูซึมๆ” ฉัตรถาม
“เปล่า”
“อีนี่ ยังจะหลอก เป็นไร”
“ก็ หวิวๆ แปลกๆ”
“ยังไง”
“ก็หลวงพี่แววตาไม่เหมือนเดิม”
“หือ อีนี่ หลวงพี่บวชพระ เขาอยู่ในศีล จะมาเหมือนเดิมได้ไง”
“รู้แหละ แต่แอบคิดไง”
“เอ้ยอย่าคิดมากเมิง เป๊บไปทำหน้าที่ อย่าคิดเป็นอื่น” เบิดบอกผม
“อืมๆ”
“แล้วพรุ่งนี้พวกเมิงมาใส่บาตรปะ” ผมถาม
“ถ้าตื่นไหวนะ” ทุกคนพร้อมใจกันตอบ แปลว่า ตื่นไม่ไหวชัวร์
รถของฉัตรมาส่งผมถึงบ้านใหญ่ เจอเด็กแม่บ้าน ถามไปว่าทุกคนไปไหน เด็กแม่บ้านตอบว่า คุณๆ เขาขึ้นไปพักผ่อนกันหมด เออก็จริง เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ผมก็เดินขึ้นมายังห้องเป๊บ เปิดประตูเข้าห้องไป ก็มีความเหงา ว้าเหว่ ปกติจะเห็นเป๊บนั่งตรงโต๊ะทำงานบ้าง นอนเล่นบนเตียงบ้าง ผมไม่อยากคิดมาก เลยล้มตัวลงนอนแล้วผล็อยหลับไป
ลืมตามาอีกที ได้ยินเสียงอินเตอร์คอมดัง ผมกดรับ
“ลูกโจ้ ลงมาทานข้าวได้แล้วลูก” เสียงมัมตามไปทานข้าว
“ได้ครับมัม สามนาทีลงไปครับ” ผมลุกขึ้นไปล้างหน้า
เดินลงมาห้องทานอาหาร นั่งประจำที่ ที่นั่งของเป๊บว่างไว้ ผมก็มองๆ ด้วยอารมณ์เหงาๆ
“นี่ไม่รู้ว่าพระจะหิวมั้ยนี่” แด๊ดเปรยขึ้นมาระหว่างทานข้าว
“นั่นซิคะคุณพี่” มัมสำทับ
“ปริมว่าวันแรกๆ อาจจะหิวนะครับ แต่พระอาจจะดื่มน้ำปาณะแล้วก็ได้นะครับ”
“ใช่ครับ ปันว่าแด๊ดกับมัมอย่าได้ห่วงเลยครับ”
“เออรู้แหละ เจ้าเป๊บ...เอ้ย...พระท่านเคยห่างจากบ้านไปนานๆ แบบนี้ซะที่ไหนละ แด๊ดกับมัมก็เป็นห่วงเป็นธรรมดา”
“โจ้ว่า พรุ่งนี้ไปใส่บาตรแล้วนำน้ำปาณะไปถวายเพิ่มดีมั้ยครับ”
“เออดีลูก นี่ๆ ใครก็ได้ไปตามพี่จันทร์มาด้วย” แด๊ดตะโกนบอกเด็กแม่บ้าน
ไม่นานนักป้าจันทร์ก็เดินออกมา
“คะคุณท่าน”
“พี่จันทร์ เตรียมน้ำปาณะถวายพระด้วยนะ เตรียมน้ำที่พระชอบ”
“ได้คะคุณท่าน เดี๋ยวจะให้คนรถไปซื้อเตรียมไว้นะคะ แล้วพรุ่งนี้คุณท่านเดินทางกี่โมงคะ”
“น่าจะตีสี่ครึ่งนะ คงถึงหน้าวัดราวๆ หกโมงพอดี พี่จันทร์ฝากบอกศักดิ์ด้วยให้เตรียมรถไว้นะ”
“ได้คะคุณท่าน เดี๋ยวจัดการให้คะ”
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ทุกคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อน และนัดแนะเจอกันตอนตีสี่ ผมขึ้นมาบนห้องเป๊บ อาบน้ำ แต่งตัว ลืมตัวลงนอน
“ฮือ...ทำไมเหงาแบบนี้อะ...ฮึกๆๆ” ผมแอบร้องไห้คนเดียวจนผลอยหลับไป
จบตอน