[เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องเบาๆ]Stair.ขยับรัก ข้ามขั้น : จบ P22 6/07/2554(รุ่นพ่อ?vsรุ่นลูก?)  (อ่าน 384296 ครั้ง)

ออฟไลน์ momo9476

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 562
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-2
เห็นชื่อเรื่องแล้วน่าสนุก แต่ตอนนี้ดึกแล้วลงชื่อจิ้มไว้ก่อน เดียววันหลังจะข้ามาอ่านนะ

LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
คนหนึ่งรุก
คนหนึ่งถอย
แล้วคนทั้งสองคน...จะเป็นเช่นไร
ดูไม่ออกเลยจริงๆ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ไปหาฆ้อนมาช่วย นพ ทุบกำแพงที่ลุงมันก่อไว้ซะสูงดีกว่า เอ๊ะ ไม่เอาฆ้อนดีกว่า ระเบิด กำแพงทิ้งเลยท่าจะดี  :interest: :interest:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บันไดขั้นที่5
   พรายโพยมกลับไปอเมริกาหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ผมซื้อของขวัญวันแต่งงานฝากเขา และบอกว่าคงไปร่วมไม่ได้ เพราะติดงานที่บริษัท เขาไม่ว่าอะไร บอกขอบอกขอบใจผมเหมือนเคย แล้วก็จากไปทั้งรอยยิ้ม
   ผมมองเขา แล้วยิ้มให้ตัวเอง เหมือนเขากลับมาเพื่อกรีดแผลเก่ากลัดหนองของผม บ่งมันออก ในที่สุดมันก็หายเสียที
   กิจวัตรประจำวันของผมที่บริษัทก็เหมือนเดิม แต่กิจกรรมที่บ้านช่วงสุดสัปดาห์ของผมดูจะเปลี่ยนไปเยอะเลยทีเดียว
   พักนี้นพรัตน์มาค้างที่บ้านผมวันศุกร์ แล้วค่อยกลับเช้าวันอาทิตย์ สิริรวมแล้วสองคืนกับอีกหนึ่งวัน ดังนั้นพอเช้าวันเสาร์ สระว่ายน้ำเลยมีคนเพิ่มขึ้นอีก
   ปกติผมจะว่ายน้ำคนเดียว เพราะวันหยุดไม่มีใครตื่นแต่ไก่โห่ไปว่ายน้ำหรอก แต่ผมรู้มาว่า ออกแรงมากๆ ตอนเย็นไม่ดี เลยไปแต่เช้านี่แหละ แถมคนไม่เยอะ แดดไม่ร้อน ได้ยึดสระว่ายคนเดียวสบายใจ แต่ตอนนี้เพิ่มนพรัตน์มาอีกคนหนึ่ง เอาน่ะ คนเดียวใช่ว่าจะทำให้สระแคบลงเสียหน่อย แถมนพรัตน์ก็ไม่ได้ส่งเสียงหนวกหูอะไร
   แค่ร่างกายวัยหนุ่มของเขาทำเอาผมเสียความมั่นใจไปบางส่วนเท่านั้นแหละ
   ผมมันอายุเยอะแล้ว เฟิร์มขนาดไหนก็ฟิตสู้ผู้ชายวัยรุ่นอายุยี่สิบกว่าๆ ไม่ไหวหรอก โชคยังดีที่นพรัตน์เป็นผู้ชายหุ่นนายแบบ ไม่ล่ำกล้ามแบบนักกีฬา มีกล้ามเนื้อพอสวย ดูแล้วก็ให้นึกสงสัยต่ออีกว่าทำไมหมอนี่ไม่ไปเอาดีด้านถ่ายแบบเสียเลย มาทำงานน่าเบื่อน่ารำคาญกับผมอยู่ได้
โชคดีที่ตอนเช้าไม่มีคน ผมขี้เกียจฟังข้อเปรียบเทียบว่าใครหุ่นดีกว่าใคร ถึงผมจะไม่ได้คิดมากก็เถอะ
ผมออกว่ายน้ำตามปกติ ส่วนเจ้านพรัตน์ว่ายบ้างไม่ว่ายบ้าง สงสัยจะมัวแต่จับผิดท่าว่ายน้ำของผมอยู่ ผมเลยชวนเขามาว่ายแข่ง แล้วพบว่าคนหนุ่มๆ แรงดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ ถึงอย่างนั้น ผมก็สนุกอยู่พอสมควรทีเดียว
พวกเราว่ายน้ำกันจนพระอาทิตย์เริ่มขึ้นสูง จึงขึ้นจากสระ จากนั้นก็แวะไปทานอาหารเช้าง่ายๆ ตรงร้านค้าที่เปิดอยู่แถวนั้น แล้วค่อยเดินกลับมาบ้าน ผมอาบน้ำอีกครั้ง หลังจากยืนสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกพักหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าต้องออกไปซื้อของบางอย่างมาเป็นการเร่งด่วนเสียแล้ว
“คุณนพ ผมจะออกไปซื้อของตรงร้านหน้าซอยสักแป๊บ ดูบ้านให้หน่อยนะ”
“ซื้ออะไรล่ะครับ ออกไปด้วยกันสิ” เขาว่า ผมทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ เขามองผม สักพักก็หน้าแดงขึ้นมา
“ผมเข้าใจล่ะครับ ผมไม่แอบดูหรอกว่าไซต์ไหน”
ผมงงกับคำพูดเขาพักหนึ่ง ถึงค่อยนึกออก “คิดว่าผมจะออกไปซื้ออะไรน่ะ?”
นพรัตน์หน้าแดงอย่างกับผู้หญิงเพิ่งพบรักใหม่ๆ “ก็....มันมีอย่างเดียวไม่ใช่เหรอที่ผู้ชายแบบเราต้องซื้อโดยไม่ให้ใครรู้น่ะ”
ผมถลึงตาใส่เขา และเอ็ดขึ้น “จะบ้าเรอะ ผมแค่จะไปซื้อยาย้อมผม”
“อ้อ” เขาร้องอออกมา และมองด้วยสายตาสงสัย “มีผมหงอกหรือครับ?”
“อืม” ผมยอมรับ และสงสัยจริงๆ ว่าทำไมต้องมาบอกเรื่องนี้ให้เขาฟังด้วย

“ทำงานแบบผมมันความเครียดสูง แค่เป็นหงอกยังดี ไม่หัวล้านก็บุญแล้ว คุณเองก็ระวังไว้เถอะ ไม่รีบเปลี่ยนงานระวังจะแก่ก่อนวัย” ผมขู่ ขณะซ้อนท้ายจักรยานที่มีนพรัตน์เป็นคนปั่นออกไปซื้อของ ผมไม่มีรถ แต่จะออกนอกบ้านไปซื้อของนิดหน่อยให้จ้างมอเตอร์ไซค์ก็เสียดายเงิน ดังนั้นเลยซื้อจักรยานมาไว้คันหนึ่ง ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะมีคนมาปั่นให้ซ้อนท้าย
“แต่คุณก็ยังไม่หัวล้านนี่” เขาว่า ผมขมวดคิ้ว “ผมหมายถึงคุณน่ะ ระวังไว้หน่อยก็ดี”
“คุณไม่ชอบผู้ชายหัวล้านเหรอ?”
“อืม...”
“ผมไม่มีพันธุกรรมแบบนั้นหรอก แต่ผมจะระวังเอาไว้แล้วกัน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“......” ผมจนคำพูดทันที ไม่รู้ทำไมพักนี้คุยกับเขาแล้วถึงพูดไม่ออกอยู่บ่อยๆ เราเงียบกันสักพัก ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังของเขา พลางรู้สึกว่ากว้างดีจริงๆ สงสัยเพราะผมนั่งใกล้ไปด้วยแหละ ได้ยินเสียงนพรัตน์พูดขึ้น
“กอดเอวผมก็ได้นะ ผมไม่บ้าจี้”
ผมหัวเราะ “ผู้ชายที่ไหนเขากอดเอวกันเล่า”
“ผมให้กอดนะ” เขาตอบ ผมหัวเราะขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เราเงียบกันไปอีก สักพักผมได้ยินเสียงเขาพูดต่อ
“คุณไพฑูรย์ คุณว่าผมพอมีหวังรึเปล่า?”
“เรื่องอะไร?” ผมถามกลับ และนึกหวาดเสียวรถยนต์ที่แล่นสวนมา แต่นพรัตน์ขี่จักรยานคล่องพอสมควร และผู้ชายสองคนคงน้ำหนักเยอะพอที่จะไม่ให้จักรยานโคลงมากตอนถูกรถสวนด้วยล่ะมั้ง ได้ยินเขาตอบกลับมา
“เอ่อ... เรื่องหาแฟนน่ะ”
ผมตอบโดยอย่าลืมคิดอีกตลบ “นิสัยอย่างคุณหาแฟนไม่ยากหรอก”
“จริงเหรอ คุณพูดจริงๆ นะ” พอฟังจากเสียงเขา ผมเลยได้ฉุกคิด จึงรีบพูดเสริม “แต่ถ้าแก่กว่าผมว่าไม่ไหวแน่”
ได้ยินเสียงเขาครางฮือ ก่อนที่เราทั้งคู่จะหยุดตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ ผมตรงไปยังแผงที่ขายน้ำยาปิดผมขาว ขณะที่เขาปลีกออกไปอีกทางแล้วกลับมาพร้อมขนมนิดๆ หน่อยๆ
ขากลับผมเกิดเมื่อยมือที่ยันเบาะหลังอยู่ เลยถือวิสาสะเกาะเอวเขาเพื่อความปลอดภัย ผมไม่อยากหล่นลงไปก้นจ้ำเบ้าอีกเป็นรอบที่สองหรอกนะ เพราะฉะนั้น เลือกปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ขี่มาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงนพรัตน์พูดขึ้น
“คุณไพฑูรย์ ผมว่าผมพอมีหวังอยู่นะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องแฟน...”
“อายุมากกว่าไม่ต้องหวังหรอก...”
“ผมว่ายังพอหวังได้อยู่นะ”
ผมเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ตามใจแล้วกัน”
ได้ยินเสียงเขาหัวเราะน่ารัก “ผมขอหวังหน่อยนะ”
ผมอดไม่ไหว ต้องหยิกเอวเขาไปทีหนึ่ง เจ้าตัวทำสะดุ้งนิดหน่อย แหม...ฟิตขนาดนี้ แค่หยิกยังไม่เข้าเลย จะสะดุ้งอะไรนักหนา
-------------------------------------------------
   วันนี้ผมไปพบพงษ์โพยม เพราะเขาแจ้งมาว่ามีคนเชิญผมไปเข้าร่วมสัมมนา ตอนแรกผมไม่อยากจะไปเท่าไหร่ แต่พอเห็นหัวข้อแล้วก็คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับบริษัท ก็เลยตอบตกลงไป ผมกลับมาที่ห้อง และแจ้งข่าวให้เลขาฯกับผู้ช่วยทราบตามระเบียบ
   “คุณนพ สุดสัปดาห์นี้ผมจะไปสัมมนาต่างจังหวัดนะ อาจจะกลับมาทำงานวันอังคาร ฝากงานด้วยนะ”
   นพรัตน์เบิ่งตาที่เหมือนลูกแมวขึ้นมองผม “ไปคนเดียวหรือครับ?”
   “อืม” ผมมองเขาที่ทำหน้าเป็นห่วงเสียเต็มประดา “ผมไม่เป็นลมตายระหว่างทางหรอกน่า”
   “อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิครับ ผมแค่เป็นห่วง” นพรัตน์ว่า ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะนั่งลงอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะต่อ
   “คุณไพฑูรย์” สักพักเขาก็เรียกชื่อผมอีก ผมส่งเสียงอืมเป็นเชิงอนุญาตให้เขาถามต่อโดยที่ตายังมองหนังสือพิมพ์อยู่
   “มีคนมาจีบคุณเยอะรึเปล่า”
   เอาล่ะสิ เจ้าเด็กนี่ มาถามเรื่องแบบนี้กับผู้ใหญ่ได้ยังไง
   “ไม่มีหรอก” ผมตอบ เขาเงียบไปอีกพักหนึ่งแล้วถามย้ำเหมือนไม่แน่ใจ
   “จริงเหรอ?”
   ผมยกกาแฟขึ้นมาจิบ ก่อนจะทำเสียงแบบคนเพิ่งนึกขึ้นได้ “อาจจะมีก็ได้นะ พวกสายตาสั้นตาถั่ว จีบไม่ดูตาม้าตาเรือไง”
   “ผมไม่ได้สายตาสั้นนะ” เขาเถียงทันที ผมวางแก้วกาแฟลง แล้วพูดต่อ
   “ผมยังไม่ทันพูดถึงคุณเลย” ผมว่า และเหลือบมองเขาผ่านแว่น นพรัตน์หน้าแดง ก้มหน้างุดๆ อยู่ที่โต๊ะ เออ..นี่ผมเหลือบมองเขาทำไมนะ....
   “แล้ว..คุณชอบคนอายุเยอะกว่ารึเปล่า?” เขาถามต่อ ผมนึกถึงรอยตีนกากับพุงพลุ้ยๆ ขึ้นมาทันที ผมอายุปูนนี้แล้ว คนอายุมากกว่าผมก็ท่าทางแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ใครจะไปชอบลง
   “ผมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบคนอายุเยอะว่า” ผมว่า และไม่ลืมจะเหน็บเขา “ผมไม่ได้ชอบรอยตีนกาแบบคุณหรอกนะ”
   “คุณมีแล้วหรือไง?” เขาย้อนทันควัน ผมถลึงตาใส่เขา และตอบปฏิเสธออกไปทันที จากนั้นก็ต้องรีบหุบปากเงียบ เพราะเขายิ้มหน้าบานจนเห็นเขี้ยวอีกแล้ว
   ผมแค้นใจที่เถียงแพ้เขาบ่อยครั้งในช่วงนี้ นึกกับตัวเองว่าคราวนี้จะไม่ยอมเป็นฝ่ายเงียบไปก่อนหรอก จึงพยายามนึกคำพูดโต้ไป
   “เดี๋ยวอีกสักพักมันก็ขึ้น” โอ๊ย ทำไมผมต้องมาแช่งตัวเองให้คนอื่นฟังด้วยนะ ได้ยินเสียงเจ้านพรัตน์ตอบทันอกทันใจ
   “ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ”
   “...................” ผมอึ้งไปถนัด นี่ผมเถียงแพ้อีกแล้วหรือนี่ แพ้เด็กรุ่นลูก? ไม่ล่ะ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก
   “คุณนพ ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ คุณเลิกชอบคนแก่กว่ามากๆ เถอะ ผมไม่เห็นว่าตีนกากับพุงพลุ้ยๆ มันน่ามองตรงไหน”
   คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง ผมนึกกระหยิ่มยิ้มย่องที่เถียงชนะเขาได้ในรอบหลายวัน จึงหันกลับไปขอมองดูหน้าคนแพ้หน่อย
   นพรัตน์มองผมตาเยิ้ม ยิ้มอย่างกับเด็กเพิ่งได้ขนม ผมหันหน้ากลับมาจ้องหนังสือพิมพ์ทันที
   เอาเหอะ ครั้งนี้หยวนให้ก่อนก็ได้
--------------------------------------------------
   ในที่สุดผมก็พาตัวเองมาถึงสนามบิน กำหนดการสัมมนาจริงๆ เป็นวันเสาร์ แต่ผมต้องไปถึงในเย็นวันศุกร์เพราะต้องเข้างานเลี้ยงรับรองในฐานะวิทยากรรับเชิญ ดูจากรายชื่อวิทยากรรอบนี้แล้ว ผมคงได้แลกเปลี่ยนความรู้เพิ่มมากขึ้น
   ผมก้าวลงจากรถแท็กซี่ ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ ตรงไปยังส่วนของผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ เจ้านพรัตน์ติดงานอยู่ที่บริษัท พอไม่มีหมอนั่นมาคอยเถียงด้วยแล้วผมก็เหงาๆ ปากอยู่เหมือนกัน พูดแล้วยังนึกขำเรื่องที่เขาแวะมาหาผมในตอนเช้า
   “คุณไพฑูรย์ วันนี้ผมไปส่งคุณไม่ได้นะ ยังไงก็ดูแลตัวเอง ระวังตัวด้วยนะครับ”
   ผมยิ้มแล้วลูบศีรษะเขาอย่างเอ็นดู ถึงผมจะเป็นที่เกลียดขี้หน้าในบริษัท แต่คงไม่มีใครบ้าตามไปดักตีหัวผมถึงต่างจังหวัดหรอก เจ้าหมอนี่เป็นเด็กเป็นเล็ก ก็หัดขี้กังวลเสียแล้ว จะรีบทำตัวแก่ไปถึงไหนเชียว
   “แล้วเดี๋ยวผมจะโทรไปหานะครับ” เขาว่า และจับมือผมบีบราวกับคิดว่าผมเมื่อยมือมาก ผมเลยไล่ให้เขารีบไปทำงาน

   ยังไม่ทันเดินถึงเคาน์เตอร์เช็กอิน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมคิดว่าพงษ์โพยมโทรมาเลยรีบกดรับเพราะขี้เกียจรื้อแว่นออกมาใส่ แต่พอได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่าคาดผิดไปแล้ว
   “คุณไพพูรย์ ถึงสนามบินหรือยังครับ” เจ้านพรัตน์นั่นเองไม่ใช่ใครที่ไหน อายุยืนจริงๆ เพิ่งนึกถึงอยู่เมื่อครู่ก็โทรมาล่ะ ผมกรอกเสียงกลับไป
   “ถึงแล้ว กำลังจะเช็กอิน”
   “อ้อ เดินทางปลอดภัยนะครับ แล้วสองวันนี้จะสัมมนาเสร็จสักกี่โมงล่ะครับ”
   ผมนิ่งนึก “ยังไม่รู้เหมือนกัน คงสักหกโมงมั้ง แต่มีงานเลี้ยงต่อน่ะ”
   “อ้อ งั้นผมส่งเมสเสจไปแล้วกันนะ จะได้ไม่รบกวน”
   ผมขมวดคิ้วทันที ไอ้ตัวหนังสือเล็กๆ พวกนั้นอ่านยากจะตาย ถ้ามีธุระอะไรก็น่าจะพูดกันตอนนี้เลยสิ
   “คุณพูดมาเลยก็ได้ มีเรื่องอะไรล่ะ?”
   ได้ยินเสียงเขาหัวเราะเขินๆ ขนาดคุยโทรศัพท์นะเนี่ย
   “ไม่มีอะไรหรอก แล้วผมจะส่งเมสเสจไปหา แค่นี้ก่อนนะครับ” เขาว่า และวางสายไป ผมล่ะงงกับเด็กสมัยนี้จริงๆ ตกลงมีเรื่องจะพูด หรือไม่มีอะไรจะพูดกันแน่นะ สักพักพงษ์โพยมก็โทรมาสอบถามข่าวคราว และบอกผมว่าถ้ากลับมาแล้วเหนื่อย จะลาพักต่ออีกวันก็ได้
   ผมบอกขอบอกขอบใจเขาแล้วจึงวางสาย ก่อนจะเดินไปเช็กอินที่เคาน์เตอร์ ก็หวังว่าคงไม่มีเด็กหรืออะไรส่งเสียงน่ารำคาญบนเที่ยวบินเที่ยวนี้หรอกนะ
   
   ผมไปถึงโรงแรมซึ่งใช้สัมมนาก่อนถึงเวลาเลี้ยงรับรองสักครึ่งชั่วโมง และได้เจอคนรู้จักเก่าๆ หลายๆ คนที่เคยไปร่วมสัมมนาด้วยกันมาก่อน งานสัมมนานี้จัดโดยบริษัทเอกชน จึงไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก และไม่ต้องคอยดูแลผู้ใหญ่หรือพวกนักการเมือง
   วิทยากรคราวนี้มีทั้งหมดเจ็ดคน สามคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม และเคยสัมมนาร่วมกันมาก่อน พอเจอกันเลยได้ถกกันถึงเรื่องเก่าๆ ส่วนอีกสี่คนเป็นคนรุ่นหนุ่ม อายุเพิ่งสามสิบต้นๆ แต่ก็มีความคิดความอ่านน่าสนใจทีเดียว พวกเราถกกันถึงหัวข้อสัมมนาในวันรุ่งขึ้นอยู่จนเกือบสามทุ่ม จึงแยกย้ายกันกลับห้องพัก
   หลังอาบน้ำเสร็จ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเช็กแบตเตอรี่ เผื่อมันใกล้จะหมด ตอนนั้นแหละถึงเพิ่งเห็นว่ามีเมสเสจเข้า ผมเดินไปหยิบแว่นเพื่อจะอ่านตัวหนังสือเล็กๆ พวกนั้น
   ‘นอนหลับฝันดีนะครับ อย่าลืมล็อกประตูห้องนะ ผมเป็นห่วง’
   ความจริงผมไม่ต้องมองชื่อคนส่งก็พอเดาออกว่าใคร นี่เจ้านพรัตน์คิดว่าผมเป็นเด็กเล็กๆ หรือไงนะ ผมนึกอยากส่งเมสเสจกลับไปบอกเขาให้รู้สึกตัวว่าผมแก่จนจะเป็นพ่อเขาได้อยู่แล้ว แต่จนใจที่ตัวหนังสือบนจอก็เล็ก บนแป้นโทรศัพท์ยิ่งเล็ก แล้วตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถือมา ผมไม่เคยใช้งานฟังก์ชั่นพวกนี้เลย สุดท้ายผมก็เลิกล้มความตั้งใจจะเถียงกับเขา เขาอยากจะส่งอะไรก็ส่งมาแล้วกัน ขนาดตอนพูดผมยังเถียงแพ้เขาบ่อยๆ เลย ขืนส่งเป็นเมสเสจสงสัยจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ส่ง
   กะอีแค่มองให้เห็นตัวบนแป้นก็ยากเย็นแล้ว
---------------------------------------------
   งานสัมมนาเป็นไปอย่างราบรื่น วิทยากรต่างมีความคิดและทัศนคติที่หลากหลายและหลักแหลมต่างกันออกไป ผมว่าคนที่มาสัมมนาน่าจะได้อะไรกลับไปเยอะจากการสัมมนาในครั้งนี้ รวมถึงตัวผมที่เป็นวิทยากรด้วย เสียอย่างเดียว ใครสักคนใส่น้ำหอมที่ผมแพ้ วันแรกยังไม่เท่าไหร่ วันที่สองนี่ผมจามจนต้องถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ น่าขายหน้าจริงๆ เพราะงี้แหละ ผมถึงไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนหมู่มากในที่จำกัด
   ไม่รู้ว่าจะใส่ให้หอมฟุ้งอะไรนักหนา ผมจามจนหูอื้อตาลายไปหมดแล้ว
   ผู้กำกับเวทีเดินเข้ามาหาผมระหว่างพักเบรก และถามอาการอย่างเป็นห่วง รวมถึงวิทยากรคนอื่นๆ ด้วย ผมไม่อยากบอกว่าผมแพ้น้ำหอมของใครสักคนในนี้ เพราะมันก็ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย อีกอย่าง นี่ก็วันสุดท้ายแล้ว ผู้ดูแลเวทีเลยให้ยาแก้แพ้ผมมาซองหนึ่ง ผมขี้เกียจเถียงเขาว่ายานี่มันไม่ช่วยให้หายแพ้หรอก มันแค่ทำให้ง่วงแล้วหลับ จะได้ไม่ตื่นมาจามเท่านั้นเอง
   สุดท้ายผมก็ต้องทนนั่งสัมมนาต่อในรอบบ่าย พร้อมกับกำผ้าเช็ดหน้าไปด้วย ผมนึกเคืองอยู่เล็กๆ ที่คนอย่างผมต้องมาพ่ายต่อน้ำหอมขวดเล็กๆ เอาเถอะ ใช่ว่าจามแล้วผมจะดูแย่ลงจนไม่น่ามองสักหน่อย แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอเรื่องพวกนี้
   วิทยากรหลายคนขยับออกห่างผมโดยอัตโนมัติ ขณะที่ผมเริ่มบรรยายแล้วปรายตามองพวกเขา ก็ใช่ว่าผมเคืองอะไรมากหรอกนะ แต่จามแบบนี้ผมก็อารมณ์ไม่ดีอยู่เหมือนกันนั่นแหละ
   กว่าจะจบการสัมมนาก็ปาไปเกือบทุ่ม ผมจามจนเจ็บจมูก
   เพราะไม่รู้ว่าใครกันแน่ใส่น้ำหอมที่ผมแพ้ ผมเลยปฏิเสธที่จะร่วมรับประทานอาหารค่ำต่อหลังจบงาน พวกนั้นก็คงเห็นสภาพย่ำแย่ของผมเหมือนกันแหละ เลยรีบบอกให้กลับไปพักผ่อน
   ผมขี้เกียจอุดอู้ตัวเองอยู่ในห้อง เลยออกมาเดินเล่นรับลมทะเลช่วงหัวค่ำ มาสัมมนาใกล้ทะเลทั้งที ไม่ได้เดินหาดทรายเลยก็คงเสียเที่ยว บางคนอยู่เที่ยวต่ออีกวันสองวัน แต่ผมมีงานต้องจัดการที่บริษัทต่อ เลยกลับตามกำหนดเดิม
   ผมถอดรองเท้าและถุงเท้าออกมาถือไว้ แล้วเดินเท้าเปล่าไปตามชายหาด พอออกมาสูดอากาศด้านนอกแล้ว อาการจามเลยดีขึ้นมาหน่อย หาดอยู่ใกล้โรงแรม เลยได้อานิสงฆ์แสงสปอตไลท์ทำให้สามารถเดินได้สะดวกใจ แถมยังมีพวกคู่รัก และพวกที่มากันเป็นกลุ่มๆ เดินเล่นอยู่อีกประปราย ผมคงไม่ต้องกลัวถูกใครดักทุบหัว ถึงจะออกมาเดินคนเดียวก็เถอะ
   ผมเดินเปลือยเท้าไปเรื่อยๆ จนลมทะเลพัดหน้าเหนอะไปหมด พลางนึกว่าถ้านายนพรัตน์มาด้วยคงต้องชวนผมลงไปเล่นน้ำแน่ๆ
   คนหนุ่มๆ ก็งี้แหละ ร่าเริงได้ตลอดเวลา
   จู่ๆ ผมก็นึกอยากโทรหาเขาขึ้นมา แต่ขณะที่คิดว่ากำลังจะหยิบโทรศัพท์ เสียงใครคนหนึ่งก็ทักขึ้น
   “คุณไพฑูรย์”
   เสียงไม่คุ้นเอาเสียเลย ผมหันหน้ากลับมา และพบว่าเขาเป็นชายหนุ่มอายุสักสามสิบต้นๆ ผมเขม่นมองอยู่พักหนึ่ง ถึงพอนึกได้ว่าเขาเป็นวิทยากรที่ร่วมสัมมนาด้วยกัน
   “ไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือครับ?”
   ผมสั่นศีรษะ “เปล่า ผมแค่แพ้อากาศ” แล้วผมก็จามฟืดออกมา ได้ยินเสียงเขาถามต่อ
   “คุณเป็นภูมิแพ้หรือเนี่ย ทานยารึยังครับ”
   ผมสั่นศีรษะอีก และยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกอย่างไม่เกรงใจคนคุยด้วย ขนาดลมทะเลแรงแล้วนะ ผมยังได้กลิ่นอีก ท่าจะหมอนี่แหละที่ใส่น้ำหอมที่ผมแพ้
   “ผมว่าทานยาแล้วไปพักดีกว่านะครับ จะได้ดีขึ้น”
   ผมเหลือบตามองเขา และพูดทั้งที่มีผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกอยู่ “ผมแพ้น้ำหอมที่คุณใส่น่ะ”
   เขามีสีหน้าเลิกลั่กขึ้นมาทันที ก่อนจะก้มมองตัวเอง แล้วรีบพูดขึ้น “ขอโทษครับ” จากนั้นก็ผลุนผลันออกไป ผมมองตาม แล้วถอนหายใจเฮือก
   หนุ่มๆ สมัยนี้นี่นะ ไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้เลยหรือไง แค่กลิ่นตัวก็จัดการไม่ได้ ต้องพึ่งน้ำหอมเป็นฝรั่งมังค่าไปได้
   เพราะอาการจามที่กลับมาเป็นใหม่ ผมเลยหมดอารมณ์จะโทรคุยเล่นกันเจ้านพรัตน์ เดินตากลมไปได้สักพักท้องก็ร้องขึ้นมา สุดท้ายผมก็กลับเข้ามาในโรงแรม แวะเข้าไปตรงห้องอาหาร ดูว่ามีอะไรเบาๆ พอทานรองท้องก่อนนอนได้บ้าง
   ท่าทางพวกที่มาสัมมนาด้วยกันจะออกไปต่อด้านนอก ผมเลยค่อยสะดวกใจจะเดินตระเวนตรงโต๊ะบุฟเฟ่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทัก
   “คุณไพฑูรย์”
   คราวนี้ใครอีกล่ะ ผมที่กำลังตักโจ๊กอยู่หันกลับมา และพบว่าเป็นเจ้าหนุ่มคนเดิมที่ทักผมตรงชายหาด เหมือนเขาจะไปเปลี่ยนเสื้อมาแล้ว ผมทำจมูกฟุดฟิด
   “ผมอาบน้ำแล้วครับ ไม่เหลือกลิ่นหรอก” เขารีบพูดทันที ผมมองเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วถามบ้าง “มีธุระอะไรหรือ?”
   เขามองผมพักหนึ่ง แล้วพูดตอบ “หาที่นั่งคุยกันดีกว่าครับ”
   สุดท้ายผมเลยมีเพื่อนร่วมมื้อดึกโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าหมอนี่ชื่อกฤตธร ตัวใหญ่กว่าเจ้านพรัตน์หน่อยหนึ่ง คงเพราะอายุมากกว่า ผมรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้โตกันเร็วจริงๆ
   “มีอะไรล่ะ?” ผมถามหลังจากนั่งลงแล้ว เขามองหน้าผม และถามถึงเรื่องที่สัมมนากันตอนกลางวัน ผมตอบคำถามเขาเสร็จ ก็ก้มลงทานโจ๊ก เพราะปล่อยไว้เดี๋ยวจะเย็นหมด พอเห็นเขายังนั่งนิ่ง ไม่ยอมลุก เลยต้องเงยหน้าขึ้นมาอีก
   “ยังมีอะไรอยากถามอีกหรือ?”
   เขายิ้ม และพูดตอบมา “เปล่าครับ ผมว่าคุณความรู้ดีจัง มุมมองก็ดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ยังเด็กอยู่เลย”
   ผมขมวดคิ้ว เกือบสำลักโจ๊ก “คุณกฤตธร ผมอายุสี่สิบสองแล้วนะ”
   ถึงคราวเขาทำท่าจะสำลักน้ำบ้าง เจ้าหมอนั่นพูดออกมาอย่างเกือบลืมรักษามารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่ “พูดจริงเหรอครับ คุณอายุสี่สิบกว่าแล้ว?”
   ผมหรี่ตามองเขา “นี่คุณไม่ได้ศึกษาประวัติผู้ร่วมสัมมนาคนอื่นเลยหรือไง?”
   คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ “ครับ แต่เขาไม่ได้ลงอายุเอาไว้นี่”
   ไอ้หมอนี่โง่หรือตาบอด ถึงไม่มีอายุ แต่ประวัติงานของผมมันยาวเกินค่อนชีวิตของเขาด้วยซ้ำ
   “ประวัติทำงานผมก็มีนะ” ผมบอกเสียงเรียบ ท้ายที่สุดเขาก็จำต้องพยักหน้ารับ แต่ก็ไม่วายพูดต่อ “คุณยังดูเด็กอยู่เลยนี่ครับ ผมเลยคิดว่าคุณเริ่มงานตั้งแต่อายุไม่เท่าไหร่”
   เอาล่ะ ผมจะคิดว่าหมอนี่กำลังพยายามพูดเอาใจผม เพราะความเห็นของเขาตอนสัมมนาก็ดูมีวิสัยทัศน์ดี
   “คุณกฤตธร ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ คุณไม่ต้องเอาใจผมเรื่องอายุหรอก”
   “ครับๆ ” เขานิ่งไปอีกพักหนึ่ง เหมือนรอให้ผมทานโจ๊กเสร็จ ผมไม่ชอบให้ใครนั่งมองเวลาทานอาหารเสียด้วย เลยต้องพูดขึ้นอีก
   “ยังมีธุระอะไรอีกรึเปล่าครับ ผมจะได้ทานข้าว”
   “อ้อ...เอ้อ...” เขาอ้ำๆ อึ้งๆ พอถูกจ้องหนักๆ เข้า เลยได้พูดออกมา “ผมแค่จะถามว่า เดี๋ยวคุณจะออกไปต่อที่ไหนรึเปล่าครับ?”
   ผมพูดแบบไม่ต้องก้มลงดูนาฬิกา “ไม่ล่ะครับ ผมว่าจะพักผ่อนเลย วันนี้ผมจามมาทั้งวันแล้ว”
   เขามองหน้าผมอึ้งๆ ผมเลยปรายตามองเขาอย่างตำหนิที่ยังนั่งจ้องผมอยู่ สักพักเขาถึงได้ยอมลุกออกไป
   ยังดีที่พอรู้มารยาทอยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดให้ผมต้องออกปากไล่
----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ผมเช็กแบตเตอรี่โทรศัพท์ก่อนนอนเช่นเคย แล้วได้เห็นเมสเสจอีกฉบับ พอหยิบแว่นมาอ่านเนื้อหาแล้วก็ไม่ต้องเดาว่าใคร มีคนเดียวเท่านั้นแหละที่ส่งเมสเสจมาหาผม ผมมองนาฬิกา แล้วกดโทรออก
   “สวัสดีครับ” เสียงตอบรับปลายสายแสดงอาการตื่นเต้นแบบไม่ปิดบัง ผมถามเขาเนือยๆ “นอนหรือยังน่ะคุณนพ”
   “ยังครับ” เออ เสียงตื่นเต้นขนาดนี้ผมว่าเขายังห่างไกลจากอาการง่วงเลยล่ะ
   “มะรืนผมจะกลับไปทำงานแล้ว โรยผักชีให้เรียบร้อยล่ะ” ผมขู่ตามประสา เพราะไม่รู้จะเริ่มให้ดีกว่านี้อย่างไร ได้ยินเสียงทางนั้นหัวเราะ “ผมปลูกไว้เป็นสวนๆ เลย สัมมนาเป็นไงบ้างครับ เอ้อ..คุณจะนอนรึยังน่ะ ให้ผมโทรกลับมั้ย?”
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมจะนอนแล้ว สัมมนาก็ดี วันหลังคุณมาด้วยกันสิ”
   “พูดจริงหรือครับ?” เขาถาม เสียงดูตื่นเต้น ผมส่งเสียงตอบไป
   “อืม เผื่อคุณได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง วันหลังผมจะลองทำเรื่องเสนอคุณพงษ์โพยมให้แล้วกัน”
   “อือ...ไปกับคุณ ผมไปทั้งนั้นแหละ”
   ผมอึ้งไปพักหนึ่ง รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีก เขาคงไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่ถึงคิด ผมก็ไม่ควรจะเก็บมาคิด...
   “คุณนพ”
   “ครับ?”
   “ผมจะนอนแล้วนะ...”
   “ครับ”
   “ราตรีสวัสดิ์นะ”
   “ราตรีสวัสดิ์ครับ เจอกันวันอังคารนะครับ”
   ความจริงผมคิดจะโทรไปบ่นเขาเรื่องเมสเสจที่ส่งมา แต่ไม่รู้ทำไม พอได้ยินเสียงเขา ผมก็นึกเรื่องบ่นไม่ออก สุดท้ายก็จบแค่นั้น
   ช่างเถอะ ผมไม่ได้เจอเขามาสามวันแล้ว กลับไปคงมีเรื่องให้บ่นน่าดู
---------------------------------------------
   นพรัตน์ยิ้มหน้าบานพอเห็นหน้าผม ผมรู้ว่าเขาเลิกงานแล้วคงรีบตรงดิ่งมายังสนามบินทันทีดูจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ ขนาดเน็กไทยังไม่คลายออกเลย ไม่รู้ว่าแอบหนีออกมาก่อนรึเปล่า แต่ก็ดี ผมจะได้มีคนช่วยหิ้วของ
   หมอนี่ปฏิบัติหน้าที่ดีเกินเหตุเช่นเคย กุลีกุจอมาช่วยผมถือของอย่างไม่ต้องออกปาก นี่ถ้าอุ้มผมไปพร้อมของพวกนั้นได้คงทำไปแล้ว พอถึงบ้าน เอาของเข้ามาเก็บเรียบร้อย ผมก็หยิบถุงกระดาษออกมาให้เขาถุงหนึ่ง
   “อะไรครับ?” นพรัตน์ถามอย่างแปลกใจ ผมเลยตอบเสียงเรียบๆ “น้ำพริกกุ้งเสียบ เห็นคุณอยู่บ้านคนเดียว ทำกับข้าวก็ไม่เอาไหน ผมเลยซื้อมาฝาก จะได้ไม่ต้องกินข้าวกับซีอิ้ว”
   ผมเห็นมันขายอยู่ข้างทางตอนก่อนจะกลับ เลยซื้อติดไม้ติดมือมา ไม่ได้ตั้งใจจะฝากเขาหรอก นพรัตน์ยืนอึ้งๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วพูดเสียงค่อย “ผมไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย”
   “อ้อ ไหนวันก่อนบอกว่าพี่ชายกับพี่สาวแต่งออกกันไปหมดแล้วไง”
   “ก็ใช่... แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวนี่”
   “ยังมีพี่น้องอีก?”
   เขาสั่นศีรษะ และพูดตอบ “มีคุณไง”
   “.........................”
   “อย่าไล่ผมไปกินข้าวกับซีอิ้วเลยนะ”
   “.........................”
   “ถึงผมจะทำกับข้าวไม่เอาไหน แต่ผมชอบทานกับข้าวฝีมือคุณนะ”
   “................” ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักนิด...
   “น้ำพริกนี่... ไว้บ้านคุณนะ จะได้ทานด้วยกัน”
   “...............” ไม้นี้อีกล่ะ...
   “คุณไพฑูรย์....”
   ผมทนไม่ไหว เลยพูดออกไป “ผมซื้อมาเผื่อ เผื่อผมไม่อยู่ ไม่ว่าง คุณจะได้ไม่ต้องลำบากออกไปหาอะไรทานด้านนอก ก็แค่เผื่อไว้น่ะ แค่เผื่อ”
   นพรัตน์มองหน้าผม จากนั้นก็เม้มปากนิดหนึ่ง แล้วก็ยิ้มออกมา “ขอบคุณนะครับ คุณห่วงผมด้วย ดีจัง... งั้นผมจะเก็บไว้อย่างดี เอาไว้ทานตอนคุณไม่อยู่ ผมจะได้คิดถึงคุณไปด้วย”
   เออ...คิดได้ เชื่อเขาเลย
   ขณะที่ผมขบปาก นึกไม่ออกจะตอกเขาไปว่าอย่างไรดี นพรัตน์ก็พูดขึ้นต่อ “แต่อย่าเผื่อบ่อยนะครับ ผมไม่อยากให้คุณไปไหนนานๆ ผมคิดถึง”
   ผมอ้าปากพะงาบๆ อยากด่านะ แต่ไม่รู้จะด่าข้อหาอะไร
   นพรัตน์ยิ้มกระมิดกระเมี้ยน อ้อยๆ อิ่งๆ มองผมอยู่อีกพัก จึงค่อยพูดออกมา
   “คุณไพฑูรย์ ผมขอกอดหน่อยได้ไหม กอดเฉยๆ น่ะ กอดเฉยๆ จริงๆ นะ แบบว่าไม่เจอกันตั้งสามวันแน่ะ”
   เหอะ... ไปรับวัฒนธรรมฝรั่งมาหรือไง คนไทยที่ไหนเขากอดกันเล่า
   “นี่...ผมเพิ่งกลับมา ไม่ได้ตัวหอมน่ากอดอะไรขนาดนั้นหรอกนะ” ผมว่า เขามองหน้าผมอึ้งๆ คนมันก็มีกลิ่นมีอะไรเป็นธรรมดานั่นแหละ จะกอดไปทำไมกัน
   “ไม่เป็นไร กอดคุณผมก็ชื่นใจแล้ว”
   “!?”
ผมยังไม่ทันได้อ้าปาก เขาก็โผเข้ามากอดผมแน่น อย่างกับเด็กเล็กๆ  เล่นเอาผมพูดต่อไม่ออก ได้ยินแต่เสียงหัวใจเต้นตึกๆ นพรัตน์กอดผมสักพัก ก็ทำจมูกฟุดฟิดแถวซอกคอ ทำเอาผมดิ้นด้วยความจั๊กจี๋ หมอนี่จะดมพิสูจน์กลิ่นผมหรือไงนะ
   “กลิ่นคุณเหมือนเดิมเป๊ะ ผมดีใจจัง”
   ก็นี่มันกลิ่นตัวผม มันก็ต้องเป็นกลิ่นตัวผมสิ ไอ้หมอนี่คิดจะไปสมัครเป็นสุนัขทหารหรือไง
   “นี่ ปล่อยได้แล้ว ผมจะได้ไปอาบน้ำ” ถึงเขาจะไม่พูดอะไรต่อ แต่ผมกระดากตัวเองเป็นเหมือนกันนะ ผมอาบน้ำตั้งแต่เช้า ออกจากโรงแรมยังเดินหาซื้อของฝาก นั่งเครื่องกลับมาถึงตอนเย็น มันต้องมีกลิ่นตัวอยู่บ้างแหละ แล้วผมก็ไม่ชอบให้ใครมาดมพิสูจน์กลิ่นด้วย
   นพรัตน์ยอมปล่อยผมในที่สุด เขาหน้าแดงก่ำ ขบริมฝีปากพลางก้มมองพื้นงุดๆ เหมือนมองหาเศษสตางค์ เออ ตัวเองเป็นคนขอกอดแท้ๆ ยังจะทำมาอายอีก
   ถ้าไม่ติดว่าผมแก่กว่าเขาตั้งเกือบยี่สิบปี ผมถีบเขาไปแล้วนะเนี่ย
   นพรัตน์ยังคงก้มหน้าหาเศษสตางค์ไปเรื่อยๆ จนผมชักอยากถีบจริงๆ เลยต้องรีบพูดขึ้นก่อน
   “นี่คุณนพ กลับบ้านได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้จะได้ไปทำงานแต่เช้า”
   นั่นแหละ หมอนั่นเลยเงยหน้าขึ้นมา ทั้งหน้าทั้งหูแดงเป็นลูกตำลึงเชียว คนหนุ่มนี่เลือดสูบฉีดดีจริงๆ
   “คุณไพฑูรย์”
   “อะไรอีกล่ะ?”
   “วันหลังไปไหนให้ผมไปด้วยนะ”
   หมอนี่เป็นลูกแหง่หรือไง ผมตอบรำคาญๆ “ผมบอกแล้วว่าผมจะลองทำเรื่องเสนอคุณพงษ์โพยมดู คุณจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
   “ไม่ต้องทำเรื่องก็ได้ครับ เดี๋ยวผมออกทุนเอง ให้ผมไปกับคุณนะ ผมกลัวคุณถูกคนอื่นกอด”
   ผมหันมาจ้องเขาเขม็ง “นี่ คุณนพ ไม่มีใครเขาอยากกอดผมหรอกนะ”
   นพรัตน์กะพริบตาปริบๆ เหมือนไม่เชื่ออย่างที่สุด เออสิ ผมก็เพิ่งนึกหรอกว่าที่พูดไปก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน
   อย่างน้อยก็มีหมอนี่คนหนึ่งล่ะ ที่อุตรินึกอยากกอดผม
   นพรัตน์ดูเหมือนจะไหวตัวเร็วใช้ได้ ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เจ้าตัวก็รีบพูดแทรกขึ้น
   “งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ ขอบคุณสำหรับของฝาก แล้ว...คราวหน้าอย่าลืมทำเรื่องให้ผมไปด้วยนะ คุณสัญญาแล้วนะ”
   เอาอีกล่ะ ผมไปสัญญาตอนไหนกัน
   ผมขยับปากทำท่าจะพูดอีก แต่ก็ไม่ทันเขาจนได้
   “คุณไพฑูรย์ ผมกลับแล้วนะ ราตรีสวัสดิ์นะครับ อย่านอนดึกนะ”
   “เออ... ราตรีสวัสดิ์” ให้ตายสิ ผมไม่ได้อยากพูดแค่นี้สักหน่อย
   นพรัตน์ไม่รอให้ผมอ้าปากพูดอะไรเพิ่ม เขาเดินตัวปลิวกลับไปที่รถ ก่อนเข้ารถยังไม่วายหันมายิ้มให้ผมอีกแน่ะ
   ต่อให้ยิ้มเหมือนนางสาวไทยสิบคน ผมก็ไม่หลงกลหรอกนะ รอไว้ถึงคราวผมบ้างเถอะ ผมจะ.....
   แต่เมื่อไหร่จะถึงคราวผมบ้างก็ไม่รู้สิ
-------------------------------------------------
   นพรัตน์เป็นคนหัวไว อะไรที่ผมสวดเขาไปในคราวก่อน คราวนี้เขาทำได้ไม่มีพลาด สมราคากับน้ำพริกกุ้งเสียบที่ผมซื้อมาฝากตั้งโหลหนึ่งจริงๆ ผมตรวจงานเสร็จก็อารมณ์ดีพอจะนั่งอยู่กับห้องรอรับเรื่องเฉยๆ แทนที่จะไปเดินสำรวจเขย่าขวัญพนักงานคนอื่นเหมือนเช่นทุกวัน อ้อ เมื่อเช้าผมเพิ่งแวะเอาของฝากไปให้พวกเขา เขาคงขวัญผวากันไปพอสมควรแล้วล่ะ
   นพรัตน์เตรียมเอกสารอยู่บนโต๊ะอย่างขมีขมันเช่นเคย ผมเลยกวาดตามองโต๊ะตัวเอง ไม่อยู่สองวัน ไม่นับเสาร์อาทิตย์ที่เป็นวันหยุด โต๊ะผมดูเหมือนจะมีอะไรเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
   “คุณนพ คุณซื้อมาหรือ?” ผมถาม และพยักเพยิดไปทางกระถางต้นกระบองเพชรเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ นพรัตน์พยักหน้า
   “ครับ ผมไปเดินเล่นที่จตุจักรฯแล้วเห็นว่าน่ารักดี เลยซื้อมาฝาก”
   ผมกวาดตามองเจ้ากระบองเพชรเล็กๆ ในกระถาง พยายามคิดว่าเจ้านพรัตน์คงไม่ได้ตั้งใจจะเอาผมไปเปรียบเทียบกับเจ้าต้นไม้มีหนามพวกนี้ ก็ผมมันทั้งเย็นชา แล้งน้ำใจ แถมพ่นพิษไปทั่ว ถ้าจะเทียบกับต้นไม้ แม้แต่ผมเองก็ยังลงความเห็นว่าคงไม่พ้นต้นกระบองเพชรนี่แหละ ทนทายาด แถมมีหนามทั้งต้น ใครเลยไม่อยากเข้าใกล้
   ช่างเถอะ ใช่ว่าผมเองอยากจะให้ใครมาเข้าใกล้สักหน่อย
   แต่ต้นกระบองเพชรของเจ้านพรัตน์ไม่ธรรมดา แค่กระบองเพชรต้นเล็กๆ ต้นสองต้น ไม่มีทางให้คนอย่างผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำว่าน่ารักแน่ๆ
   นอกจากต้นกระบองเพชร ดินด้านล่างมีกรวดสีเรียบๆ โรยปิดเอาไว้ มีหินเทียมก้อนเล็กๆ ตั้งอยู่ก้อนหนึ่ง แล้วก็มีแมวเซรามิกตัวเล็กๆ นอนอิงหินกับต้นกระบองเพชรอยู่ตรงนั้น ก็น่ารักดีนั่นแหละ แต่ผมรู้สึกไม่สมจริงเอาเสียเลย
   “คุณนพ เอาแมวมานอนให้ต้นกระบองเพชรทิ่มแบบนี้ ไม่สงสารเหรอ” ผมว่า เขามองผม แล้วยิ้มเขินๆ “แมวมันอยากถูกหนามทิ่มมั้งครับ”
   “แมวที่ไหนมันอยากจะถูกหนามทิ่ม ย้ายออกมาหน่อยดีกว่า” ผมว่า แล้วเอาปลายปากกาเขี่ยมันออกมาหน่อย นพรัตน์ทำหน้ามุ่ย
   “ผมว่าแบบนั้นก็น่ารักดีอยู่แล้วนะ”
   ผมไม่สนใจคำพูดเขา ตั้งหน้าตั้งตาหาข้อสังเกตต่อ “ทำไมแมวมันมีตัวเดียวล่ะ?”
   “มันรอคุณหาคู่ให้อยู่มั้งครับ” เขาว่า ผมเหลือบตามองเขา “ผมไม่มีเวลามาหาคู่ให้แมวในดงกระบองเพชรหรอกนะ”
   “งั้นเสาร์นี้ผมพาไปนะ ไปจตุจักรฯกัน ไปเลือกคู่ให้แมว”
   นั่นไง หมอนี่หาโปรแกรมได้ทุกสัปดาห์จริงๆ ผมยังอารมณ์ดีอยู่เลยพยักหน้า “ตามใจ ออกลูกมาเต็มกระถางผมไม่รู้ด้วยนะ”
   นพรัตน์หัวเราะจนเห็นฟันเขี้ยว “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมช่วยคุณเลี้ยง”
   “เหอะ!” ผมแค่นเสียงขึ้นจมูก แต่ก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรไร้สาระต่อจากนั้น เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงเปิดประตู
   ความอารมณ์ดีของผมหายวับไปเหมือนถูกเช็ด
   “น้องไพ”
   ผมล่ะโคตรเกลียดเวลามีใครเรียกด้วยชื่อหน้าแค่คำเดียวแบบนี้ที่สุดเลย แล้วมีมนุษย์เพียงคนเดียวในโลกเท่านั้นที่กล้าเรียกผมแบบนี้ เรียกมาจะยี่สิบปีแล้วก็ไม่ยอมเปลี่ยน โผล่หน้ามาทีไรก็ทำเอาเส้นเลือดในสมองผมเต้นตุบๆ ทุกที
   ที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นหนุ่มร่างใหญ่โตอย่างกับหมีในดงพญาไฟ ยิ่งแก่ตัวไปยิ่งคล้ายหมีเข้าไปทุกที ทั้งพุงทั้งหัวเริ่มจะตามแฟชั่นคนรุ่นเดียวกันแล้ว เขาชื่อจิระภัทร์ เป็นรุ่นพี่ผม แล้วก็เป็นผู้บริหารบริษัทซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทที่ผมทำอยู่
   ปกติพงษ์โพยมที่อยู่รุ่นเดียวกันและเป็นเจ้าของบริษัทจะทำหน้าที่คุยกับเขาในฐานะผู้บริหารใหญ่ แต่วันนั้นพงษ์โพยมไม่อยู่ เขาบอกผมตั้งแต่ก่อนผมไปสัมมนาแล้วว่าวันนี้ต้องไปธุระ ผมเลยต้องกลับตามกำหนด เพื่อมานั่งรักษาการแทนตำแหน่งของเขาด้วย ก็นึกอยู่หรอกว่าไอ้พี่จิระภัทร์น่าจะโผล่หัวมา พงษ์โพยมไม่อยู่กันท่าทีไร ไอ้หมอนี่ต้องเสนอหน้ามาให้ผมความดันขึ้นทุกที
   “มีธุระอะไรหรือครับพี่ภัทร์ พรุ่งนี้พี่พงษ์จะเข้ามาตอนสายๆ พี่กลับไปแล้วค่อยมาใหม่ดีกว่า”
   ผมออกปากไล่อย่างรักษามารยาทสุดๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาคงไม่ได้มาธุระกับพงษ์โพยมหรอก
   “เปล่า พี่มาหาน้องไพ มาดูว่าน้องไพยังสวยเหมือนเดิมรึเปล่า”
   เออ ถ้าผมอยากจะฆ่าใครนะ ไอ้พี่ภัทร์คงอยู่รายชื่อแรกสุด ตัวแรกสุด เอาปูนวงไว้ได้เลย
   “พี่ภัทร์ครับ จะพูดอะไรอายเด็กบ้างเถอะ อายุไม่ใช่น้อยๆ กันแล้ว” ผมว่า เขาทำหน้าเหมือนเพิ่งเห็นว่ามีนพรัตน์นั่งอยู่ แต่ก็เท่านั้นแหละ อายุจะห้าสิบแล้ว หนังหน้าเขายิ่งหนากว่าตอนเกือบยี่สิบปีก่อนอีก
   “ไม่เป็นไรหรอกน้องไพ เด็กสมัยนี้มันไม่ถือแล้วล่ะ”
   โห... คิดเองเออเองได้โคตรหน้าด้านเลย ผมชักฉุนหนัก
   “พี่ภัทร์ พี่กลับไปเถอะ อย่าให้ผมต้องไล่พี่ต่อหน้าเด็กมันเลย”
   “โถ...น้องไพ อย่าใจร้านกับพี่งั้นสิ น้องไพก็รู้ว่าต่อให้ไล่ พี่ก็ไม่ไปหรอก ใจพี่มันปักติดน้องมาแต่ไหนแต่ไร”
   ถ้าผมปาถ้วยกาแฟใส่หน้าคนจะถูกปรับเยอะมั้ย?
   เอาล่ะ ถึงผมอยากจะปา อยากจะถีบ อยากจะกระทืบไอ้พี่ภัทร์ใจจะขาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ผมทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าเกรงใจมันนะครับ ผมกลัวถูกมันจับหักครึ่งต่างหาก เหตุผลเดียวที่ไอ้พี่ภัทร์ยังไม่ถูกผมแจ้งตำรวจมาจับ เพราะหมอนี่ยังไม่เคยลงไม้ลงมือกับผมนี่แหละ แต่ทางที่ดี อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวมากกว่านี้จะดีกว่า เห็นหุ่นก็รู้แล้ว ระหว่างผมกับไอ้พี่ภัทร์ ใครจะจอดก่อนกัน
   ขณะที่ผมกำลังเค้นสมองจนเส้นเลือดแทบจะเต้นแอโรบิกได้ เจ้านพรัตน์ก็เคาะแฟ้มเสียงดังโป๊กๆ ทำเอาใครที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรในตอนนั้นต้องรีบหุบปากโดยอัตโนมัติ
   “คุณไพฑูรย์ เรื่องที่แผนกไอที คุณจะลงไปดูเลยรึเปล่าครับ”
   ไม่รู้หรอกว่าเจ้านพรัตน์อยากกอดผมเพราะอะไร แต่ตอนนี้ผมอยากกอดหมอนี่เพราะคำพูดนี้มากเลย ผมพยักหน้าแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ก่อนจะผุดลุกขึ้น
   “ผมต้องไปทำงานแล้ว พี่อย่ารบกวนเวลาผมดีกว่า”
   จิระภัทร์ทำหน้าอึกอักขึ้นมา มองผมขึ้นๆ ลงๆ แล้วหันไปมองนพรัตน์ซึ่งลุกขึ้นบ้าง
   “เด็กนี่ใครน่ะ”
   “ผู้ช่วยผม” ผมตอบ ไอ้คุณพี่จิระภัทร์กวาดตามองนพรัตน์อีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “พี่ว่าเด็กไปนะ น้องไพรับผู้ช่วยทำไมเด็กงี้ล่ะ”
   “เด็กก็ทำงานได้แล้วกัน” ผมตอบ และพูดต่อ “พี่กลับได้แล้วล่ะ ผมจะได้ไปทำงาน”
   “เดี๋ยวซี่ คุยกันต่อสักแป๊บไม่ได้หรือ พี่ง้อน้องไพมาจะยี่สิบปีแล้วนะ นิดๆ หน่อยๆ น่าจะให้พี่บ้าง”
   ขี้เล็บเดียวผมก็ไม่ให้หมอนี่เด็ดขาด ผมเชิดหน้า ตวัดสายตามองหมอนั่นอย่างเย็นชาที่สุด ก่อนจะแค่นเสียง “หลีกไป ผมจะไปทำงาน”
   ลูกเล่นนี้อาจจะใช้กับคนธรรมดาที่มีสามัญสำนึกสูงได้ผล แต่กับจิระภัทร์ อย่าว่าแต่ได้ผล แค่เสียงของผมทะลุเข้าไปในโสตประสาทเขาได้นับว่าเป็นบุญ
   ไอ้พี่ภัทร์ยังคงยืนขวางเต็มหน้าประตู ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มหื่นๆ ผมล่ะโคตรเกลียดเลย เด็กหนุ่มๆ มีตั้งเยอะแยะ มาตื้อผมอยู่ได้ตั้งจะยี่สิบปี จะเรียกว่าปักใจ หรือจองเวรดีนะ....
   “น้องไพให้ผู้ช่วยออกไปก่อนสิ แล้วเดี๋ยวพี่จะปล่อยน้องไพออกไป”
   ถ้าผมโง่ขนาดเชื่อคำพูดเขา ผมคงไม่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้หรอก ผมตั้งสติ นึกถึงคำพระ ยุบหนอพองหนอ หายใจเข้าออก เย็นไว้ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งไปด่ามัน เราเป็นคนดีมีมารยาท อยู่สูงกว่ามันตั้งเยอะตั้งแยะ นึกเข้าว่าจะทำยังไงต่อไปดี
   ระหว่างที่ผมกำลังตั้งตบะเต็มที่ ไอ้พี่ภัทร์ก็ยื่นมือมาจับหน้าผม
   ไอ้เ-ยเอ๊ยยย เผลอไม่ได้เลยนะ-ง
   ผมโมโหแทบหน้ามืด แต่ยังไม่ทันอ้าปากด่าออกไป มือใครคนหนึ่งก็ยื่นมาปัดมือของไอ้พี่ภัทร์ออกได้ทันก่อนผมจะตวาดแว๊ด นายนพรัตน์ที่ปกติทำตัวอย่างกับเด็กสิบขวบ ชอบอายม้วนไปม้วนมาต่อหน้าผมจนอยากจะยกเท้าถีบ ตอนนี้แทบจะยืนชนผม นี่ผมกำลังถูกเจ้าหมอนี่ช่วยไว้หรือเปล่านะ? ได้ยินเสียงเขาพูดออกมา
   “ผมถือนะครับ เกรงใจผมหน่อย”
   ช่วยไม่ช่วยไม่รู้ แต่ผมโคตรสะใจ คนวัยเดียวกันโดนเด็กรุ่นลูกด่า เออ โดนเด็กอายุคราวลูกด่าซะบ้าง เผื่อมันจะทะลุเข้าไปในหนังหน้าหนาๆ นั่นได้
   นพรัตน์กับจิรภัทร์ตัวพอๆ กัน แต่ผมเชื่อถือในพลังคนหนุ่ม ใช่ว่าผมมั่นอกมั่นใจอะไรกับเจ้านพรัตน์หรอกนะ แต่ให้เลือกระหว่างถูกเด็กรุ่นลูกพาออกไป กับต้องอยู่ในห้องสองต่อสองกับไอ้หมีควายนี่ ผมเลือกข้อแรกแบบไม่ต้องคิด
   ถึงผมจะรักษามาดยิ่งชีพ เวลาไหนต้องดูดีไม่มีพร่อง แต่เวลาแบบนี้ ผมขอรักษาอธิปไตยสี่สิบกว่าปีของตัวเองเอาไว้ก่อน
   ส่วนเรื่องมาด... รอดไปได้ยังมีอีกหลายวิธีพอจะกู้กลับมาได้อยู่
   จิระภันทร์ทำหน้าอึ้งๆ นานๆ ทีผมจะได้เห็นเขาทำหน้าอึ้งขนาดนี้ คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะโดนเด็กรุ่นลูกตอกหน้า
   “พี่ภัทร์ ผมสายแล้วนะ” ผมได้ทีขย้ำต่อ ถึงจะโดนหาว่ารุม แต่สถานการณ์นี้ผมไม่มีทางเลือก ใครมันจะร้องหาความยุติธรรมเอาไว้ตอนหลังแล้วกัน ไอ้พี่ภัทร์มองผม แล้วหันไปมองนพรัตน์ มองกลับไปกลับมาอย่างกับเกมจับผิดภาพเหมือน แต่ผมกับนายนพรัตน์ไม่เหมือนกันเลยสักที่ ท้ายที่สุดเขาก็พูดออกมา
   “เอาเถอะ วันนี้พี่ไปก็ได้ แต่น้องไพอย่าลืมนะ ชอบเด็กน่ะไม่ดีหรอก ดูอย่างพรายสิ เคยดูดำดูดีน้องบ้างมั้ย”
   “ผมบอกพี่ปากจะฉีกแล้ว ผมยอมเป็นโสดจนวันตาย ดีกว่าให้พี่มาคอยดูดำดูดี” ผมว่า เขาทำตาแดงๆ อย่างกับจะร้องไห้ เหอะ มามุขนี้ผมก็ไม่ใจอ่อนหรอก
   “น้องไพ พี่รู้ใจคนเราเปลี่ยนกันได้ สักวันน้องไพจะต้องเห็นความดีของพี่ พี่ไม่หนีน้องไพไปไหนหรอก นึกถึงพี่เมื่อไหร่ พี่ยินดีต้อนรับเสมอ”
   “คุณไพฑูรย์ครับ สายแล้วครับ” เจ้านพพูดแทรกขึ้นมา ผมพยักหน้า พลางมองนาฬิกา
   “พี่ภัทร์ ผมต้องไปแล้ว” ผมว่า และเดินแอบหลังนายนพรัตน์ เบียดหมอนั่นออกไป

   จะว่าไปพี่จิระภัทร์ก็น่าสงสารหรอก ถึงตอนนี้พี่แกจะรูปร่างร่วงโรยไปตามวัย แต่ตอนหนุ่มๆ ก็ป๊อปใช่ย่อย ไม่รู้เวรกรรมอะไร ถึงได้ตามจีบผมไม่เลิกไม่รา ถูกด่าถูกว่าก็ยังหน้าด้านหน้าทนมาจนจะยี่สิบปีแล้ว ผมก็เคยนึกสงสารเขานะ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะเขาไม่ใช่สเป๊กผม สะกดจิตให้ตายผมก็ชอบเขาไม่ลง
   หัวใจคนเรามันไม่เป็นไปตามหลักเหตุผลหรอก จะชอบใครรักใคร บางทียังหาเหตุผลไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
   เหตุผลมันมักจะตามมา หลังจากที่ชอบไปแล้วนั่นแหละ
--------------------------------------------
   สุดท้ายผมก็เดินมาที่แผนกไอที พร้อมกับนายนพรัตน์ มาเขย่าขวัญพนักงานในแผนกนั้นเล่นอย่างไม่มีสาเหตุ ผมรู้หรอกว่านายนพรัตน์ปั้นเรื่องมาช่วยผมไว้ หัวดีแบบนี้คิดไม่ผิดที่รับมาเป็นผู้ช่วย ผมยืนมองๆ ทำท่าเหมือนตรวจงานอยู่ เผื่อไอ้พี่ภัทร์ดอดตามมาดู จะได้ไม่สงสัยอะไร ขณะที่ยืนนึกๆ ว่าจะทำอะไรต่อไปดี นายพัชระก็โผล่หน้าเข้ามา
   “โห...ลุง ลมอะไรพัดมาเนี่ย ผมว่าแผนกผมไม่ได้ทำกลิ่นอะไรไปเข้าจมูกลุงนะ”
   คนหนึ่งเรียกน้องไพ อีกคนเรียกลุง ที่ผมยังยืนนิ่งๆ อยู่ได้โดยไม่ตวาดออกไปนี่ถือว่าสวรรค์โปรดนายพัชระแล้วล่ะ
   “ผมแวะมาเยี่ยม ไม่ได้หรือไง?” ผมตอบ นายนพรัตน์คงไม่ได้นัดแนะเอาไว้ล่วงหน้าเพราะเป็นเรื่องกะทันหัน เพราะฉะนั้น กว่านายพัชระจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ผมว่านายนพรัตน์คงขยิบตาจนเมื่อย
   พอเริ่มรู้เรื่อง นายพัชระเลยปฏิบัติหน้าที่อย่างที่เพื่อนและลูกน้องที่ดีควรจะทำ
   “ตามมาๆ “ เขากระซิบ ผมเลยเดินวางมาด ก้าวฉับๆ ตามไปกับนายนพรัตน์ ทั้งๆ ที่ยังนึกสงสัยว่าหมอนี่จะพาผมไปไหน แล้วเข้าใจเรื่องว่าอย่างไรกันแน่ ผมว่าสองคนนี่คงไม่ได้เรียนรหัสมอสกันมาเพื่อขยิบตาส่งภาษากันหรอก
   “ผมเพิ่งจัดมุมใหม่ เอาใจพนักงานสาวๆ โดยเฉพาะ” เจ้าพัชระตอบอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับผายมือไปยังมุมกาแฟเล็กๆ ที่มีโต๊ะเก้าอี้คู่รูปร่างทันสมัยตั้งเอาไว้ข้างๆ พอเห็นผมหรี่ตามอง เจ้าตัวเลยรีบพูดต่อ “พนักงานหนุ่มๆ ในแผนกผมหุ้นกันนะลุง ไม่อุ๊บอิ๊บงบหลวงหรอก ลุงไม่เชื่อไปสืบได้เลย แล้วก็ไม่ได้รบกวนพื้นที่ทำงานด้วย ผมแค่อยากเอาใจพนักงานสาวๆ เผื่อจะมีสวยๆ หลงมาบ้าง”
   เออ เชื่อเขาเลย ผมมอง แล้วนึกปลงตกกับเจ้าเด็กพวกนี้จริงๆ
   “คุณควรสนใจศักยภาพการทำงานมากกว่าหน้าตานะ”
   “โห ลุงพูดได้ดิ ก็ลุงไม่มองสาวๆ นี่ ลุงไม่รู้หรอก เวลามีพนักงานสวยๆ มาทำงาน พวกผมก็กระปรี้กระเปร่า พลอยจิตใจคึกคัก อยากทำงานหนักตามไปด้วย”
   ผมมองเขาด้วยสายตาที่บอกชัดว่าไม่เชื่อถือสุดๆ เจ้าพัชระทำหน้าเซ็ง แล้วถึงได้เข้าเรื่อง “ลุงกับเจ้านพหลบที่นี่ก่อนแล้วกัน ผมไม่รู้หรอกว่าคนอย่างลุงต้องหลบใครกับเขาด้วย แต่ถ้าจะหลบ มุมนี้แหละ ลับตาสุด มิดชิดสุด รับรองมองจากนอกแผนกไม่เห็นแน่”
   “คุณจัดให้พวกผู้หญิงนั่งมุมลับๆ แบบนี้ได้ไง” ผมถามทันที พัชระทำหน้าเหมือนโลกจะแตก “เอาน่า ไว้วันหลังผมจัดใหม่ ลุงกับเจ้านพนั่งไปก่อนแล้วกัน อยากไปเมื่อไหร่ค่อยเดินออก ผมไปทำงานต่อล่ะ เดี๋ยวโดนตัดโบนัสอีก”
   เขาพูดเร็วปรื๋อ และรีบเดินออกไปอย่างกับกลัวจะถูกตัดเงินเดือนจริงๆ เลยเหลือแต่ผมกับเจ้านพรัตน์สองคน ผมไม่รู้จะยืนให้เมื่อยทำไมทั้งๆ ที่มีเก้าอี้ตั้งอยู่ เลยนั่งลง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
   “เดี๋ยวสักสิบห้านาทีค่อยออกไปก็ได้ครับ” เจ้านพรัตน์พยายามพูดปลอบ ผมพยักหน้า และพูดขึ้นบ้าง “คุณจิระภัทร์ต้องเข้าบริษัทก่อนเที่ยง เดี๋ยวก็คงไปเองนั่นแหละ”
   “เอ่อ... เขาคือ...”
   “รุ่นพี่ผม เจ้าของบริษัทP พันธมิตรของเรานั่นแหละ ผมไม่อยากมีเรื่องกับเขา วันหลังคุณก็ระวังๆ ไว้หน่อยนะ”
   “อ้อครับ...” นพรัตน์ส่งเสียงตอบรับ ผมมองเขาพักหนึ่ง เขายังเด็ก แต่เอาเข้าจริงก็พอพึ่งได้หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน
   “คุณนพ... ขอบใจนะ”
   นพรัตน์พยักหน้า และยิ้มบางๆ เขายิ้มได้หลายแบบ แต่ก็แค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
   ก็แค่ยิ้มเท่านั้นแหละ
   ผมนั่ง เขายืน ยืนแล้วยิ้มเฉยๆ แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีก ผมก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั่งเฉยๆ
   แต่ทำไมหัวใจผมถึงเต้นแรงอีกแล้วก็ไม่รู้สิ
-----------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2011 06:48:12 โดย juon »

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2

ออฟไลน์ tartar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ผมก็หัวใจเต้นแรงเหมือกันนนนนนนนน

ลุ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 :pig4:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
 :laugh: :laugh:  แอบฮาอีตาลุงนั่นจริงๆ  


นพสู้ ๆ คุณไพฑูรย์ อย่าใจแข็งกับนพนักสิ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
รักคนแก่ เลิฟคนหนุ่มจริงๆเรา ^^
ใจอ่อนลงนิดนึงแล้วแต่ยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
โอววว คุณลุงของเราเสน่ห์ล้นเหลือ หนุ่มเล็ก หนุ่มใหญ่ รุมกันเกลียว งานนี้หนุ่มนพต้องรีบแล้วม๊างงง :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






lastlover

  • บุคคลทั่วไป
นี่ขนาดอายุขึ้นเลขสี่แล้วยังมีคนติดตรึมเลยนะเนี่ย น้องไพของพวกเราเสน่ห์ไม่เบา แต่ไม่รู้ตัว :m20:

LadyOneStar

  • บุคคลทั่วไป
โอ้โห เรื่องราวของคนสี่สิบกับยี่สิบ
มันก็โรแมนติกกว่าเรื่องของหนุ่มๆบางเรื่องอีก
กดไลให้เลย... o13

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
คุณลุงเนื้อหอมฟุ้งไม่ต้องพึ่งน้ำหอม  o17

pattybluet

  • บุคคลทั่วไป
คุณไพฑูรย์แอบฮอทนะคะเนี่ย  :laugh:อ่านแล้วฮาพี่แกจัง
แต่ท่าทางเรื่องหน้าอ่อนนี่สงสัยจะจริง  :eiei1:
จะว่าไปก้อแอบสงสารพี่หมีเหมือนกันนะเนี่ย ท่าทางจะรอเก้อซะแล้ว o16
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-06-2011 20:03:14 โดย pattybluet »

ออฟไลน์ kazhiki

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-2
เขาสั่นศีรษะ และพูดตอบ “มีคุณไง”
   “.........................”
   “อย่าไล่ผมไปกินข้าวกับซีอิ้วเลยนะ”
   “.........................”
   “ถึงผมจะทำกับข้าวไม่เอาไหน แต่ผมชอบทานกับข้าวฝีมือคุณนะ”
   “................” ไม่เห็นจะเกี่ยวกันสักนิด...


เขินมากกับบทสนทนานี้ :-[

เจ้านพกับคุณไพฑูรณ์น่ารักมากกกกก o13

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
โอย เมื่อไรจะใจอ่อนคะ

เป็น ฉัน นะ

ฮึ่ม เรื่องจบตั้งเเต่นอนเตียงเดียวกันละ คริๆ

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
โอ๊ย เขินสุดๆ
คุณนพน่ารักมาก :o8:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
คุณไพฑูรย์ เสน่ห์แรงมากๆเลยนะเนี่ย
ไม่น่าเชื่อว่ามีคนตามรักมาเป็นสิบๆปี ตั้งสองคน
แบบนี้แล้วนพต้องเร่งสปีดให้มากกว่านี้

ออฟไลน์ epoch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
น่าร้าก..ที่ซู้ด.... :impress2:
ชอบเรื่องนี้มากถึงมากที่สุดเลยค่า

dog

  • บุคคลทั่วไป
เริ่มจะหลงเด็กแล้วจิลุง
ก็นะ ทำไงได้ เด็กมันน่าหลงซะด้วย
555+

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
โอ๊ะ ๆ คุณพี่ไพเสน่ห์แรงแฮะ :really2: นพเอ๋ย อย่าใจเย็นนะ รีบ ๆ หน่อย

ออฟไลน์ ทิวลิปสีส้ม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-0
จิ้มบวกให้คนเขียนค่ะ ขอบคุณที่แต่ละตอนมายาวได้ใจ ชอบๆ  o13
คุณไพฑูรย์นี่เสน่ห์แรง รุ่นหลาน รุ่นลูก รุ่นพี่หลงกันให้พรึ่บ
ถึงว่าทำไมนายนพถึงได้หวงขนาดนั้น
มีกอดพิสูจน์กลิ่นด้วย  :laugh: ชอบเวลาคุณไพฑูรย์เถียงไม่ออกอ่ะ น่ารัก :-[
แอบเห็นคำผิดหนึ่งคำ ทะหาร : ทหาร นะคะ
รอคอยตอนต่อไปค่ะ ^^

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป
ลุง เอ๊ยยย คุณไพฑูรย์ค่ะ ใจอ่อนเร็วนะค่ะ

เราสงสารนพ   :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เรื่มมีความคืบหน้าในความสัมพันธ์ของ 2 คนนี้แหละ อย่างน้อยลุงก็ยอมให้กอดละนะ  นพสู้ๆๆ พยายามต่อไป :m11:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
น่ารักอ่ะ อ่านไปยิ้มไป
ชอบจังที่ลุงอยากถีบเด็ก อิอิ
ตัวลุงเนี่ยขำๆๆดีน่ะ

ที่สำคัญคนแต่งลงได้ยาวสะใจมาก
ชอบๆๆๆๆ

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
 :-[

เขินๆ

น่ารักดี

อยากให้คุณไพทูรเปิดใจไวไวจัง

สงสารนพ

แต่ถ้าเป็นเราก็คงคิดหนักอ่ะ  ห่างกันตั้ง20ปี

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
หายไปหนึ่งวันค่ะ พอดีไปธุระ กลับมาเขียนต่อไม่ทัน แต่นับแล้วเรื่องนี้ลงถี่ที่สุดเป็นประวัติการแล้วค่ะ เพราะปกติจะอัพอยู่ที่สัปดาห์ละหนเป็นอย่างต่ำไปจนถึง1-2เดือนต่อตอน ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ^^
------------------------------
บันไดขั้นที่6
   สุดท้ายผมก็ได้ออกมาจับคู่ให้แมวเซรามิกในวันเสาร์จนได้ เจ้านพรัตน์เคยชวนผมไม่สำเร็จสักครั้งไหม ไม่สิ ผมเคยปฏิเสธหมอนี่ได้สักครั้งรึเปล่าเนี่ย
   เอาเถอะ ก็มันว่างๆ ไม่มีอะไรทำนี่นา
   ผมเคยเป็นหนึ่งในทีมงานผู้เชี่ยวชาญตลาดจตุจักร สมัยก่อนตอนเด็กๆ เหมือนจะอยู่แถวสนามหลวง พอผมขึ้นม.1 ก็ย้ายมาเปิดที่จตุจักรนี่แหละ สมัยนั้นที่เที่ยวไม่ค่อยมาก หลังเลิกเรียนบางทีก็นั่งรถมาเดินเล่นกับพวกเพื่อนๆ ยิ่งตอนเข้าเรียนสายอาชีพ ตลาดมันอยู่ไม่ห่างจากวิทยาลัยเท่าไหร่ ตามเพื่อนมาดูมันหลีสาวแทบทุกอาทิตย์ ดูไปดูมา ผมเลยเดินเที่ยวตลาดแทน ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับสมัยนี้น่ะนะ....
   ผมยืนมึนอยู่หน้าประตูทางเข้าตลาด มันเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ ก็เหมือนเคยนั่งรถผ่านอยู่หรอก แต่ไม่ได้มาเดินเองนานแล้ว ทางเข้าไหนเป็นทางเข้าไหนแทบจะดูไม่ออก แถมคนก็แน่น ทั้งคนไทย ทั้งฝรั่ง ทั้งญี่ปุ่น มาให้มั่วกันไปหมด ร้อนก็ร้อน
   ทั้งอาการร้อน คนเยอะ เสียงดัง เป็นอะไรที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย ติดแต่ดันไปตกปากรับคำกับเจ้านพรัตน์ไว้แล้วว่าจะมาเป็นเพื่อน ก็เลยต้องทนๆ ไป วันนี้นพรัตน์แต่งตัวแปลกหูแปลกตาไปพอสมควร ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืนแขนสั้น แถมหมวกอีกใบ คงเตรียมลุยตลาดเต็มที่ เออ... แต่งแบบนี้ก็ดูไม่เลวนักหรอกสำหรับคนวัยนี้ แถมหุ่นก็ดี หน้าตาก็ใช่จะด้อยกว่าชาวบ้าน ผมชักนึกว่าถ้ามีแมวมองมาทาบทาม ผมจะผันตัวเองไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวเจ้านพรัตน์เสียเลย แต่คงไม่ได้หรอก เจ้าหมอนี่ต้องช่วยผมทำงานที่บริษัท
   เป็นโชคดีของคนหนุ่ม อากาศร้อนๆ คนแน่นๆ แบบนี้ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นได้โดยไม่โดนคำครหา แต่คนรุ่นผม ใส่ขาสามส่วนมีหวังได้กลายเป็นอาแปะ ใส่เสื้อยืดก็เกินวัยแล้ว อีกอย่าง ผ้าเสื้อยืดสมัยนี้ก็ร้อน แล้วผมก็ไม่ชอบใส่กางเกงขาสั้นมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นผมเลยใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลกสีออกครีมๆ ที่ผ้าบางหน่อย พอมาเดินคู่กับเจ้านพรัตน์ มองผ่านๆ ก็คงเหมือนพ่อลูกล่ะมั้ง นพรัตน์สวมหมวก แล้วถือร่มให้ผมที่แต่งตัวแบบนี้ เข้าคู่กันเสียไม่มี
   อย่างกับพ่อลูกกันจริงๆ แน่ะ...
   ถึงปกติผมจะเกลียดการถูกเปรียบเทียบกับคนรุ่นหนุ่มกว่า แต่ในเมื่อตกปากรับคำไปแล้ว และผมก็แต่งตัวเหมาะสมกับวัยที่สุดแล้ว ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เจ้านพรัตน์เด็กเกินไปก็แล้วกัน
   พอเดินเข้าไปในตลาด ร่มก็หมดความหมาย เพราะมีหลังคากางตลอด แต่อากาศก็ร้อนอยู่ดี นพรัตน์ขยับตัวเข้ามาใกล้ผมที่ทำหน้าเป็นรูปทองเหลืองเพราะอากาศร้อนจนยิ้มไม่ออก ก่อนจะกระซิบ
   “คนเยอะนะครับ จับมือผมไว้แล้วกัน จะได้ไม่เดินหลง”
   ผมว่าคำพูดนี้ดูจะผิดฐานะไปหน่อย มันต้องเป็นผมสิที่ต้องจูงมือเขา เขาจะได้ไม่เดินหลงไปไหน...
   เอาเถอะ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปแล้ว ถึงผมอยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่ดูแลเด็กยังไง ตลาดที่คนแน่นๆ แล้วไม่รู้ทางแบบนี้ ผมหลงแบบไม่ต้องเดาแน่นอน ดังนั้น ผมจึงจับมือเขาแน่น เพราะไม่อยากถูกประกาศชื่อออกลำโพงว่าเป็นคนแก่หลง
   เวลาผ่านไป เรื่องราวบางอย่างก็กลับหน้าหันหลังไปหมดแล้ว
   แต่ปรากฏว่าถึงจับมือกันก็หลงอยู่ดี เจ้านพรัตน์เดินวนไปเวียนมาก็ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะหาร้านที่ขายตุ๊กตาประดับกระถางพวกนั้นเจอ นพรัตน์ผิวขาว พอเจออากาศร้อนมากๆ หน้าเลยแดงจัด เลือดสูบฉีดดีก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าร้อนจนเป็นลมเป็นแล้งไปก่อนผมก็แล้วกัน เพราะผมคงแบกเขาไม่ไหว
   “คุณไพฑูรย์ ผมขอโทษนะ พอดีไม่ค่อยได้มาบ่อยๆ ก็เลยจำทางไม่ค่อยได้ เราไปหาอะไรเย็นๆ ทานกันก่อนดีมั้ยครับ”
   ผมพยักหน้าเห็นด้วยทันที แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขาล้วงผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ อืม... ก็รู้อยู่หรอกว่าผมแก่กว่าเขาเยอะ รุ่นอารุ่นพ่อเข้าไปแล้ว แต่ไม่ต้องดูแลผมเหมือนคนแก่ขนาดนี้ก็ได้
   แต่ตาซื่อๆ ของเขาที่มองมาด้วยทำเอาผมเอ็ดไม่ลง เอาเถอะ เขาก็แค่มีน้ำใจกับคนอายุเยอะกว่าเท่านั้นแหละ
   เราสองคนเดินมานั่งในร้านซึ่งเปิดเป็นเพิง เพราะผมบ่นว่าร้านที่มีแต่ร่มมันก็ร้อนอยู่ดี ผมว่าคนหนุ่มอย่างเขาต้องสั่งน้ำอัดลมมาดื่มแก้ร้อน เลยเตรียมจะสั่งให้พร้อมน้ำฝรั่งของผมเลย ที่ไหนได้ เขาดันสั่งน้ำที่ผมคาดไม่ถึง
   “น้ำฝรั่งแก้วหนึ่ง กับน้ำมะตูมแก้วหนึ่งครับ” สุดท้ายเขาก็เป็นคนสั่ง ผมทำตาโตด้วยความอึ้ง
   “คุณนพ คุณไม่ดื่มน้ำอัดลมหรือไง?”
   เขาหันมามองผม แล้วสั่นศีรษะ “ผมเคยดื่มแล้วปวดท้อง เลยไม่ดื่มอีกเลยน่ะ”
   อ๋อ ที่แท้เป็นพวกกระเพาะไม่ทนกรด แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี “แล้วนึกไงสั่งน้ำมะตูม”
   นพรัตน์ทำหน้าแปลก “ก็สมัยก่อนแม่ผมชอบต้มให้ดื่ม พี่สาวมายังต้มทิ้งเอาไว้ให้เลย บ้านผมชอบกินมะตูมนะ มีแบบแห้งเก็บเอาไว้เป็นกิโล”
   ผมได้รับความรู้ใหม่ บ้านนายนพรัตน์ชอบดื่มน้ำมะตูม เออ แปลกดี คิดว่าเด็กรุ่นนี้จะต้องกินแต่น้ำอัดลมเสียอีก วันหลังถ้าผมไปดูงานที่ไหนถ้าเจอคงต้องซื้อกลับมาฝาก
   “เดินต่อไหวรึเปล่าครับ” เขาเอ่ยถามหลังจากดื่มน้ำกันไปได้คนละครึ่งแก้ว ผมพยักหน้า แต่ก็พูดเสริม “แต่ขอนั่งพักให้หายร้อนสักพักแล้วกัน”
   นพรัตน์พยักหน้าหงึกหงัก ผมกลัวเขาจะล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ผมอีก เลยชิงเอาของตัวมาจัดการตัวเองก่อน หมอนั่นดื่มน้ำมะตูมไป จ้องหน้าผมไป ไม่รู้จ้องหารอยตีนกาหรือร่องแก้ม แต่ขอบอกไว้ก่อน ผมยังไม่มีทั้งสองอย่างนั่นแหละ อย่ามาเสียเวลาจ้องหาให้เมื่อยเลย
   พอหารอยตีนกาบนหน้าผมไม่พบ หมอนั่นก็ลุกขึ้น แล้วบอกให้ผมนั่งรออยู่ก่อน จากนั้นก็เดินออกไปอีกทาง สักพักก็กลับมาพร้อมกับบางสิ่งบางอย่าง
   โอ้โห...ไอติมกะทิ ไม่ได้ทานมาเป็นสิบปี ก็พวกที่ขายๆ อยู่ใส่นมทั้งนั้น ใครมันจะไปทานลง
   ตอนแรกผมไม่อยากทานนักหรอก บ่นกระปอดกระแปดว่าใส่นมบ้างล่ะ ดูไม่น่าอร่อยบ้างล่ะ นายนพรัตน์ก็คะยั้นคะยอจะให้ทานให้ได้ บอกว่าเดี๋ยวจะป้อนให้ อืม..ถึงผมจะอายุมาก ผ่านอะไรมาเยอะ แต่หนังหน้ายังไม่หนาพอให้เด็กมาป้อนไอติมให้หรอกนะ ผมเลยคว้าจากมือเขา แล้วตักเข้าปากให้รู้แล้วรู้เรื่อง
   เออ... แต่มันเป็นไอติมกะทิจริงๆ นั่นแหละ
   คงเพราะไม่ได้ทานมานานมากแล้ว พอลิ้นมันคุ้นว่าเป็นรสดั้งเดิม ปากมันเลยพลอยหยุดไม่ได้ไปด้วย เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเจ้านพรัตน์ยิ้มแก้มแทบปริ จะยิ้มอะไรกันนักกันหนา ก็แค่คนกินไอติม ยิ้มบ่อยๆ ผมก็ชักเขินเป็นเหมือนกันนะ
   “จะทานอีกรึเปล่าครับ” เขาถามก่อนที่ผมจะขูดถ้วย ผมทำวางมาด แกล้งลืมๆ ไปซะว่าเมื่อครู่ตัวเองบ่นอะไรออกไป แล้วพูดนิ่งๆ “เอาสิ แต่ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปซื้อหรอก เดี๋ยวจ่ายค่าน้ำแล้วเดินไปด้วยกันก็ได้”
   ถึงผมจะอยากทานอีก แต่ไม่ขนาดต้องให้เขาเดินไปเดินมาจนเหงื่อท่วม ดังนั้นพอจ่ายค่าน้ำเสร็จ ผมก็เตรียมไปหาแหล่งที่มาของไอติมกะทิ เจ้านพรัตน์ก็รอบคอบเหมือนเคย จับมือผมไว้แน่น ท่าจะกลัวต้องไปประกาศหาคนหาย ผมก็จับแน่น เพราะไม่อยากกลายเป็นคนแก่หลงทางเหมือนกัน
   หมดไอติมกะทิไปสองถ้วย ผมอารมณ์ดีพอจะดูนั่นดูนี่ตามทางที่เดินไป มาเดินที่ร้อนๆ แบบนี้ต้องประทังชีวิตด้วยของเย็นๆ สิ ดังนั้น พอเจอไอติมหวานเย็นที่ใส่ถังสเตนเลส ผมก็เลยซื้อมาอีกห้าแท่ง เดินไปทานไอติมไปอย่างกับกลับไปตอนอายุสิบกว่าๆ
   เพราะกลัวหลง แต่จับมือกันจะถือจะทานอะไรก็ไม่สะดวก เราเลยแก้ปัญหาด้วยการให้อีกคนหนึ่งถือ อีกคนหนึ่งป้อน ผมถือศักดิ์ว่าอายุเยอะกว่า ยังไงต้องเป็นคนป้อน ดังนั้นเจ้านพรัตน์เลยได้หน้าที่ถือของไปตามระเบียบ
   เพราะอย่างนั้น ก่อนจะหาตุ๊กตาแมวเจอ เราสองคนก็ต้องแวะเข้าห้องน้ำเพราะผมทำไอติมหยดบ้าง เลอะหน้าเจ้านพรัตน์บ้าง เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ป้อนอะไรให้ใครมาก่อนด้วยล่ะ แล้วก็พะวงว่าต้องกัดจากด้านข้างเท่านั้น เผื่อสะดุดหรืออะไรจะได้ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะถูกไม้เสียบไอติมทิ่มตอนอายุยี่สิบกว่าๆ
   ผมรู้สึกผิดพอสมควร ที่ทำหน้าเขาเลอะ แถมยังเลอะเสื้อด้วยนิดหน่อย เลยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจะซับหน้าให้ตอนเขาล้างหน้าเสร็จ สงสัยนพรัตน์จะนึกตรงกัน ตอนที่ผมเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นแตะหน้าเขา มือเขาก็จับลงบนมือผมพอดี พออยู่ท่านี้ ผมก็ถูกบังคับกลายๆ ให้ต้องยืนจ้องหน้ากับเขา
   พอเห็นดวงตาสีดำเหมือนแมวคู่นั้น หัวใจผมก็เต้นแรงอีกแล้ว
   นพรัตน์บีบมือผมเบาๆ จากนั้นก็ขยับริมฝีปากเข้าหาผ้าเช็ดหน้า แต่คงขยับเลยไปนิด มันเลยแตะลงบนมือผมแทน
   ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องบังเอิญแท้ๆ แต่วินาทีนั้นหัวใจผมเต้นแรงกว่าเดิม
   นพรัตน์เงยหน้าขึ้นมา และคลี่ยิ้มบางๆ ให้ผม
   “ไปหาแมวกันต่อเถอะครับ”
   นั่นแหละ ผมถึงได้สติ เรากลับออกมาจากห้องน้ำ ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาเป้าหมายเดิมกันอีกรอบ กว่าจะถึงร้านขาย มือของเราทั้งคู่ก็ชุ่มเหงื่อ
   เกิดมาผมเพิ่งเคยจับมือใครแน่นขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ...
   หลังจากเช็ดมือและยืนให้หายร้อนกันได้พักหนึ่ง ผมก็เจอปัญหาใหม่
   อย่างที่บอกไปว่ามันเป็นกระถางกระบองเพชรกระถางเล็กๆ ดังนั้น แมวที่ประดับอยู่ด้านในมันก็เล็ก ตอนนั้นที่ผมมองเห็นเพราะใส่แว่นสายตาอยู่ แต่นั่นมันในที่ทำงาน แถมในห้องผม ถ้าจะมีคนเห็นก็มีแต่ไอ้เจ้านพรัตน์กับอาจารีย์สองคนนี่แหละ ผมเพิ่งอายุสี่สิบกว่า การต้องมาใส่แว่นเวลาเลือกของเล็กๆ นี่โคตรจะประจานสังขารตัวเองเลย ผมยังไม่แก่แค่สายตายาวเกินวัย แต่ใครจะเข้าใจผมไหมล่ะ
   เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเข้าใจแน่นอน ผมก็ดึงดันจะเลือกตุ๊กตาแมวทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่แว่น พอหยิบลงไปตะกร้าแรก เจ้านพรัตน์ก็ทักขึ้นทันที “นั่นเต่านะครับ”
   “เออ รู้แล้ว” ผมพูดเสียงขรึม “กำลังจะดูว่าเอาเต่าไปเพิ่มด้วยดีรึเปล่า”
   ถึงผมจะมองเต่าไม่เห็น แต่หน้านายนพรัตน์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ น่ะ ผมเห็นชัดแจ๋วเลย เห็นด้วยนะว่าแอบหัวเราะอยู่ ผมเชิดหน้าใส่เขาตามเรื่อง แล้วเดินไปอีกตะกร้า ไอ้เม็ดลางๆ เล็กๆ พวกนั้นคงเป็นแมวหรอก ดูจากสีเอานะ
   “คุณไพฑูรย์ นั่นปลานะครับ”
   “เออ รู้แล้ว” ผมเริ่มเสียงขุ่น หยุดทักสักทีสิเจ้าเด็กบ้า คลำเอาเดี๋ยวก็รู้แล้วว่าปลา จะรีบทักทำไมนะ
   “เดี๋ยวผมหยิบแมวให้ดีกว่า” หมอนั่นว่า เห็นนะว่าแอบหัวเราะอยู่ ไม่สายตายาวบ้างให้มันรู้ไป ไว้เขามีวันนั้นเมื่อไหร่ผมจะมาเยาะเย้ยเขาบ้าง แต่ผมจะอยู่ถึงวันนั้นรึ? แล้วเขาจะอยู่กับผมถึงวันนั้นรึเปล่า?
   “นี่ครับแมว” เจ้านพรัตน์พูดและยัดอะไรใส่มือผม ยังไม่ทันที่ผมจะคลำรู้ว่าอะไรแน่ หมอนั่นก็ขยับมากระซิบข้างหู “หยิบแว่นขึ้นมาใส่ก็ได้นะ ผมไม่ล้อคุณหรอก”
   ผมถลึงตามองเขา เจ้าตัวจึงพูดต่อ “ผมอยากให้คุณเลือกแมวตัวที่น่ารักที่สุด มันจะได้ออกลูกออกหลานน่ารักๆ ออกมาไง”
   เชื่อเลย มันก็แค่คำพูดตลกๆ ของพวกเด็กๆ เท่านั้นแหละ ถึงอย่างนั้น ผมก็ยอมล้วงแว่นตาออกมา ไม่ใช่กลัวลูกแมวเซรามิกไม่สวยนะ ผมกลัวพวกสายตาดีคนอื่นมาที่โต๊ะผม แล้วทักว่าทำไมแมวอีกตัวน่าเกลียดจัง หึ... แบบนั้นผมยอมไม่ได้หรอก
   ในที่สุดผมก็เห็นแมวเซรามิกตัวเล็กๆ พวกนั้นสักที มันอยู่ในตะกร้าเล็กๆ ตรงหน้าร้านนั่นแหละ ถ้าเป็นงงเป็นงูมันคงฉกผมไปแล้ว
   ผมตั้งหน้าตั้งตาเลือกแมวเซรามิกไปประกบคู่กับตัวเดิมที่อยู่บนโต๊ะ กะว่าถ้าใครเดินมาเห็นต้องทักตัวที่ผมเลือกก่อนแน่นอน แต่เลือกอยู่นานจนเหงื่อท่วมก็ยังหาตัวที่ถูกใจไม่ได้สักที ผมมันคนช่างติมาแต่ไหนแต่ไร หยิบตัวไหนขึ้นมาก็เห็นแต่จุดบกพร่อง แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าแมวตัวที่อยู่บนกระถางมันน่ารักนะ พอเริ่มทนร้อนไม่ไหว ผมก็หันไปหานายนพรัตน์ ออกปากขอแมวตัวแรกที่เขาหยิบมาให้ผม เออ.. ตัวนี้น่ารัก... เอาน่ะ ถึงผมไม่ได้หยิบเอง แต่ผมก็เลือกดูตัวอื่นๆ แล้ว ตัวนี้แหละดูดีที่สุด
   “เอาตัวนี้แหละ” ผมว่า เขาแบมืออีกข้างที่มีเต่ากับปลา แล้วถามต่อ “แล้วพวกนี้ล่ะครับ”
   “จะเอาไปทำไม แค่แมวในดงกระบองเพชรก็ประหลาดแล้ว”
   ผมเห็นเขากลั้นหัวเราะ ไอ้เด็กคนนี้นี่ เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะหัดลืมๆ ไปบ้างก็ได้
----------------------------------------------------
   เลือกแมวได้ เราก็ออกมาหาอะไรเย็นๆ ทานกันต่อ พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำแล้ว แดดเลยไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ พอนายนพรัตน์ชวนนั่งตรงร้านที่เป็นร่ม ผมเลยพอจะตกลงนั่งไปได้
   นพรัตน์สั่งน้ำแข็งไสมาสองที่ ขณะที่ผมนั่งตักน้ำแข็งไป พิจารณาโครงหน้าของเขาไปอย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปทำอะไร เสียงใครสักคนก็ดังขึ้น
   “ตรงนี้ว่างรึเปล่าครับ”
   ผมเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าเป็นชายหนุ่มอายุสักยี่สิบเก้าสามสิบ แต่งตัวระบุได้ว่าไม่ใช่ชายแท้แน่นอน ผมกวาดตามองโต๊ะรอบๆ และพบว่าไม่ว่างสักโต๊ะจริงๆ แม้จะรู้สึกว่าโต๊ะที่มีคนนั่งคนเดียวก็มีทำไมไม่ไปนั่ง แต่จะออกปากแบบนั้นก็ใช่ที่ ผมเลยพยักหน้า
   ผู้ชายคนนั้นนั่งแล้วก็สั่งน้ำแข็งไสมาทานเหมือนกัน ทานไปได้สักครู่ ผมก็เห็นเจ้านพรัตน์มีสีหน้าอึดอัด อืม.. ตั้งแต่เขาเริ่มไปไหนมาไหนกับผม นี่เป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่มีคนอื่นมาแทรก ถึงจะแค่ไม่มีที่นั่งก็เถอะ ผมเห็นหน้าเขาแล้วไม่รู้จะขำหรือสงสารดี เด็กๆ นี่นะ เรื่องแค่นี้ก็หัดทนๆ หน่อยสิ
   ผู้ชายคนนั้นทานน้ำแข็งไสหมด ก็ล้วงเอาบัตรอะไรสักอย่างออกมา แล้วเริ่มแนะนำตัว “ผมชื่อสุรัตน์ ทำงานเป็นเอเจนซี่อยู่บริษัทQน่ะครับ เรากำลังหานายแบบไปถ่ายแฟชั่นลงนิตยาสารที่กำลังจะออกใหม่เดือนหน้า แล้วผมว่าน้องชายคุณดูเหมาะมากทีเดียว”
   เขาหันไปทางนพรัตน์ ซึ่งดูมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด เจ้าหมอนั่นมองมาทางผมเหมือนจะขอร้องให้ช่วย ผมนึกสงสัยอยู่ในใจ เด็กนี่ก็แปลก งานแบบนี้มีแต่คนวิ่งเข้าหา ทำสบายๆ แท้ๆ แต่ดันทำท่าไม่อยากรับเสียเต็มประดา ถึงกระนั้นในฐานะผู้ใหญ่ ลองถูกขอร้องทางสายตาแบบนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้อีกนั่นแหละ
   “เขาต้องทำงานนะครับ ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น” ผมตอบ สุรัตน์พยายามยิ้มอย่างผูกมิตร แล้วพูดต่อ “ไม่รบกวนเวลางานหรอกครับ ถ่ายช่วงวันหยุดก็ได้ ใช้เวลาไม่นาน รายได้ก็ดีด้วย”
   ผมหันกลับไปหานายนพรัตน์อีกรอบ เจ้าตัวยังทำหน้าปฏิเสธเช่นเดิม ผมนึกสงสัยว่าทำไมผมต้องมาตอบคำถามแทนเขาด้วยนะ หมอนี่ชวนเขา ไม่ได้ชวนผมสักหน่อย
   “น้องชายผมคงไม่สะดวก” ผมว่า และเห็นนพรัตน์เม้มปากเหมือนอดทนอะไรสักอย่าง สุรัตน์พูดขึ้นต่อ “ไปลองดูสักครั้งก็ได้ครับ ไม่เสียหายอะไร ผมมีทีมมาด้วย กำลังถ่ายกันอยู่ตรงมุมทางโน้น ถ้ายังไง แวะไปสักครู่ได้รึเปล่าครับ ชอบไม่ชอบเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
   โอ้โห...ตื้อน่าดู แต่ทำไมต้องมาตื้อเอากับผมด้วยล่ะ คงเห็นว่าผมดูเป็นพี่ชายของเขาล่ะมั้ง เลยคิดว่าเข้าทางผมน่าจะง่ายกว่า ผมมองนพรัตน์อีกรอบ เจ้าตัวสั่นศีรษะ
   “ผมไม่ไปหรอก ผมไม่ชอบงานแบบนั้น” เขาตอบออกมาในที่สุด คราวนี้สุรัตน์เลยหันไปพูดถูกคนสักที
   “น้องไปลองดูก่อนไม่เสียหายอะไรนี่ครับ พี่ชายไม่ว่าหรอก”
   “เขาไม่ใช่พี่ชายผม” นพรัตน์ตอบออกมา ผมอึ้ง แต่เจ้าสุรัตน์ดูอึ้งกว่า “งั้น...”
   เออ ทำงานมาผมไม่เคยเห็นนพรัตน์มองคนด้วยสายตาแบบนี้เลย ทำงานกันได้สี่ห้าเดือน เจ้าหมอนี่เลียนแบบท่ามองคนของผมมาหรือไงนะ สุรัตน์อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่พักหนึ่ง จึงพูดต่อ “งั้น.. ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” เขาพูด และลุกหายออกไป นพรัตน์ถอนหายใจเฮือก
   “ผมเบื่อไอ้พวกนี้สุดๆ เลย” เขาว่า ผมเคยได้ยินเขาบ่นเบื่อใครเป็นครั้งแรกนี่แหละ
   “โดนแบบนี้บ่อยหรือไง” ผมถาม เจ้าตัวพยักหน้า ทำหน้าเซ็งๆ “จะทานต่อรึเปล่าครับ?”
   “อือ ก็ยังไม่หมดนี่” ผมว่า นพรัตน์พยักหน้า แต่ท่าทางดูไม่ค่อยสบายใจ ผมทานไปได้สองคำ เลยพูดขึ้นมาอีก “นี่ ถ้าอยากไปลองถ่ายแบบน่ะ ไปเถอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก”
   “ผมไม่ไปหรอก”
   “อ้าว แล้วทำไมหน้าง้ำหน้างอแบบนั้นล่ะ”
   นพรัตน์เงียบไปพักหนึ่ง มองหน้าผม ในที่สุดก็ถามขึ้น “คุณคิดอย่างที่คุณพูดกับเขาจริงๆ หรือ?”
   ผมทำหน้างงบ้าง “อะไรของคุณน่ะ”
   “ก็ที่ว่าผมเป็นน้องชาย”
   ผมขำพรืดออกมา “ผมไม่มีน้องชายเด็กขนาดคุณหรอก”
   นั่นแหละ นพรัตน์ถึงยิ้มออกมาได้ ผมเลยพูดต่อ “แต่ถ้าหลานล่ะไม่แน่”
   “ไม่เอา หลานผมก็ไม่เป็น” เขาว่า ผมทำหน้าสงสัย “งั้นจะเป็นอะไร? ลูก?”
   “ลูกก็ไม่เอา...”
   “.......................”
   “คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าผมอยากเป็นอะไรกับคุณ”
   “...................” ผมอึ้ง หัวใจเต้นตุบๆ พยายามไม่นึกว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ก้มหน้าก้มตาทานน้ำแข็งไสต่อ ทานไปได้สักพัก ผมก็เหลือบตาขึ้นมอง และเห็นนพรัตน์จ้องผมเขม็ง ผมรู้สึกร้อนใจแปลกๆ เลยพูดออกไป “น้ำแข็งไสไม่รีบทาน เดี๋ยวมันละลายเอานะ”
   “อือ..” ทางนั้นส่งเสียง แต่ก็ยังจ้องผมอยู่ ในที่สุดผมก็พูดออกไปอย่างทนไม่ไหว “คุณนพ ผมเตือนคุณไว้ก่อนนะ อย่าได้คิดอะไรที่คุณจะต้องเสียใจทีหลังเป็นอันขาด ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่ากับคนอายุมากกว่าคุณเลิกหวังจะดีกว่า”
   “ทำไมผมต้องเลิกหวังด้วยล่ะ?”
   “........................”
   “คุณไพฑูรย์”
   “อะไร? ถ้าพูดไม่เข้าหูผม เตรียมกลับคนเดียวเลยนะ” ผมเตรียมรบทัพจับศึกเต็มที่ เจ้านพรัตย์ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อ “ผมว่าผมไม่เสียใจทีหลังหรอก แต่ผมจะไม่พูดตอนนี้”
   เออ ถ้าพูดตอนนี้นายได้เสียใจตอนนี้แน่ ถึงอย่างนั้น คนที่เตรียมการศึกแล้วแบบผม พอเจออีกฝ่ายถอยทัพกลับกลางทางก็พลอยทำท่าไม่ถูกไปเหมือนกัน
   “ผมจะพูดตอนที่ถึงเวลาแล้ว แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น คุณสัญญาก่อนนะว่าคุณจะไม่มองผมเป็นน้อง เป็นหลาน เป็นลูก ห้ามมองผมเป็นญาติส่วนไหนของคุณทั้งนั้น สัญญานะครับ”
   “แล้วจะให้ผมคิดว่าคุณเป็นอะไร?” ผมถาม นึกว่าถ้าถือขวานรำได้แบบรามสูร คงจะขว้างหัวเขาไปแล้ว
   “ไว้คุณคิดได้เมื่อไหร่ บอกผมแล้วกัน ผมไม่รีบหรอก น้ำแข็งไสจะละลายแล้วนะครับ” เขาพูดยิ้มๆ และมองถ้วยน้ำแข็งไสของผม ผมกะพริบตาปริบๆ และก้มลงตักน้ำแข็งไสในถ้วยด้วยหัวใจตุ้มๆ ต้อมๆ
   ไอ้เด็กบ้านี่.... มันน่าขว้างกับขวานจริงๆ
--------------------------------------------------
   มาจตุจักรทั้งที จะซื้อแค่แมวเซรามิกเล็กๆ ตัวเดียวก็ใช่ที่ พอตะบี้ตะบันกินน้ำแข็งไสเพิ่มอีกถ้วยอย่างคนกลัวว่าจะใจไม่เย็นพอ ผมก็ลากมือเขาตระเวนตลาดต่อ ชวนเขาคุยนั่นคุยนี่เหมือนกลัวจะถูกแย่งพูด นพรัตน์ตอบโต้ผมได้อยู่หมัดเช่นเคย ด้วยการพยักหน้าและยิ้ม แค่พยักหน้ากับยิ้มเท่านั้นแหละ ก็ทำเอาคนอย่างผมอับจนคำพูดไปได้เหมือนกัน
   หรือวันหลังผมจะเปลี่ยนมาทำแบบนี้บ้างดีนะ เผื่อเขาจะอึ้งกับผมบ้าง
   แต่ทำแบบนั้นไม่ใช่วิสัยคนที่ชื่อไพฑูรย์แน่นอน สุดท้ายผมเลยปั้นหน้าขรึม ออกปากตินั่นตินี่อย่างที่ตัวเองยังรู้สึกรำคาญ นี่เขาไม่รำคาญผมบ้างหรือไงนะ พอหันไปก็เห็นนพรัตน์ยืนยิ้มๆ
   ยิ้มอีกแล้ว เลิกยิ้มสักทีสิ
   แต่ผมไม่รู้ว่าถ้าให้เขาเลิกยิ้มแล้วจะให้เขาทำอะไรดี ให้เขาตีหน้าขรึมผมก็คงรู้สึกแปลกๆ สุดท้ายผมเลยเมินเขาเสียเลย คราวนี้ถึงคราวเขายิ้มไม่ออกบ้างล่ะ
   “คุณไพฑูรย์” เขาเรียกชื่อผม แทบจะเรียกข้างหู อ๋อ แน่นอน เพราะผมกับเขาเดินคู่กันอย่างกับแฝดสยาม ผมจับมือเขาแน่น กลัวหลงนะกลัวหลง ไม่อยากกลายเป็นคนแก่สูญหายในตลาดโดยที่ไม่มีลูกหลานมาคอยรับหรอก ไอ้เจ้านพรัตน์ก็จับแน่น สงสัยกลัวผมไม่มีญาติมารับ
   “มีอะไร?” ผมถามเมื่อเห็นเขาเงียบ แต่ไม่หันไปมองหรอก ขี้เกียจดูเขายิ้มแล้ว
   “ตรงนั้นมีขายน้ำตกเล็กๆ ” เขาชี้มือไปที่มุมหนึ่ง “ไปดูกันนะ”
   ผมตาเป็นประกายเมื่อเดินไปถึงร้าน โอ้โห...น้ำตกเล็กๆ พวกนี้จัดได้สวยชะมัด ขนาดก็กะทัดรัด วางบนโต๊ะได้สบาย คนทำนี่ช่างคิดจริงๆ ผมนึกว่าถ้ามีบนโต๊ะสักอันคงจะสบายตาดี แต่กลัวว่าน้ำมันจะกระเซ็นเลอะเทอะนี่สิ
   “ชอบรึเปล่าครับ” นพรัตน์ถาม หมอนี่รู้ใจผมเช่นเคย รู้ดีไปทุกเรื่องจริงๆ ผมตีหน้าขรึม ชอบก็ชอบหรอก แต่จะซื้ออะไร ก็ต้องดูให้ถ้วนถี่ ไม่ใช่ซื้อแล้วเอาไปใช้จริงตามวัตถุประสงค์ไม่ได้ แบบนั้นก็เท่ากับเสียเงินฟรีน่ะสิ
   ผมอ้าปากถามรายละเอียดกับเจ้าของร้าน เจ้าของร้านก็อธิบายได้ดีจริงๆ ตอบข้อสงสัยของผมได้หมดทุกอย่าง สุดท้ายผมก็ต้องควักเงินซื้อมาอันหนึ่ง ระหว่างรอห่อก็ยังไม่วายสำทับว่า ถ้าน้ำกระเซ็นผมจะมาขอเงินคืนทันที
   นพรัตน์ทำหน้าที่ลูกหาบแสนดีอีกเช่นเคย หมอนี่ทำได้ตั้งแต่ผู้ช่วย สารถี ยันเด็กถือของ มีไว้สักคนคงไม่เสียหายอะไร แต่ไม่รู้อนาคตจะอยากทำหน้าที่อื่นเพิ่มรึเปล่า ช่างมันแล้วกัน เอาไว้ถึงตอนนั้นผมค่อยจัดการอีกที
   พอมีคนช่วยถือของ ผมก็ทำตัวเป็นนายจ้างโหด ถือโอกาสซื้ออะไรที่อยากซื้อแต่ขี้เกียจถือเองเสียเลย จากนั้นเจ้านพรัตน์ก็ชวนผมไปดูของประดับน้ำตกเทียมอันเล็กที่ซื้อมา ก็พวกตุ๊กตาเซรามิกอีกนั่นแหละ เลือกไปเลือกมา ผมได้แมวเกาะขอบน้ำตกมาอีกสองตัว ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแมวอีกแล้ว สงสัยว่ามันคงจะเข้าคู่กับแมวในดงกระบองเพชรนั่นล่ะมั้ง
   เราแวะทานอาหารที่ร้านอาหารแถวนั้น กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบสามทุ่มแล้ว หลังจากช่วยกันขนของลงจากรถ ผมกับเขาก็ผลัดกันอาบน้ำ นั่งดูรายการต่างประเทศทางเคเบิลทีวีกันได้สักครึ่งชั่วโมง ผมก็เริ่มหาว ได้เวลานอนเสียที
   นายนพรัตน์ปูที่นอนบนโซฟาเรียบร้อย อย่างที่ว่า พักหลังๆ นี้เขามาค้างบ้านผมช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จนแทบจะย้ายมาอยู่ได้แล้ว ผมมองโซฟาตัวนั้น มองเขา มองเทียบกันไปเทียบกันมาแล้วจึงเอ่ยปาก
   “คุณนพ เสาร์หน้าไปซื้อโซฟาใหม่กันเถอะ เอาแบบปรับเอนเป็นเตียงได้ คุณจะได้ไม่ต้องลำบากนอนเบียดๆ “
   “แล้วตัวนี้ล่ะครับ?” เขาถาม เพราะบ้านแคบ ถ้าจะเอาโซฟามาเพิ่มอีกตัว ก็ต้องยกตัวนี้ออก ผมมองอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบเขา “ยกไปขายร้านเฟอนิเจอร์แถวนี้ก็ได้”
   นพรัตน์มีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนเปล่าๆ แค่นี้ผมก็นอนได้สบายแล้ว”
   ผมว่าเขาฝืนพูดออกมาแน่ๆ ดูยังไงก็ไม่มีทางใกล้เคียงคำว่าสบายไปได้หรอก โซฟาแคบๆ แบบนั้นน่ะ นอกจากว่าปกติเขาจะนอนตรงป้ายรถเมล์เท่านั้นแหละ
   “ผมว่าจะเปลี่ยนอยู่แล้ว เสาร์หน้าไปเลือกกัน”
   นพรัตน์มองผม แล้วยิ้มออกมาในที่สุด “ก็ได้ครับ”
   แหม...ทนอึดอัดกับโซฟาตัวเล็กได้ตั้งนาน แค่บอกก็จบแล้ว ทำกระมิดกระเมี้ยนเป็นผู้หญิงไปได้
--------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   วันจันทร์ นพรัตน์ทำหน้าที่สารถีคุ้มค่าแรงที่จ่าย ไปรับผมแต่เช้าแถมมาเป็นช่างประกอบน้ำตกเทียมที่ซื้อมาวันเสาร์ให้เสร็จสรรพ
   ผมนั่งมองกระถางกระบองเพชรที่มีแมวนอนอยู่สองตัว แล้วทำไมต้องนอนอิงกันแบบนั้น ผมไม่เข้าใจเจ้านพรัตน์ที่เป็นคนวางเลยจริงๆ แต่อาจจะเพราะที่แคบก็ได้มั้ง หลังจากนั้นก็นั่งจ้องน้ำตกเทียมที่ซื้อมาแบบเตรียมจับผิดเต็มที่ อย่าให้ผมเห็นน้ำกระเซ็นออกมาสักหยดนะ วันเสาร์เจ้าของร้านนั่นได้จ่ายเงินคืนผมแน่
   จ้องสักพัก พอไม่เห็นน้ำกระเซ็น ผมถึงพอโล่งใจ ค่อยไล่มองส่วนอื่นของน้ำตก
   อืม... ดูแล้วสบายตาจริงๆ โดยเฉพาะแมวสองตัวนั่นน่ะ... แต่ดูจะไม่เกี่ยวอะไรกับน้ำตกเลยสักนิดนี่นา
   ผมเพิ่งเห็น หลังน้ำตกเทียมกับต้นกระบองเพชร ตรงกับโต๊ะเจ้านพรัตน์พอดี หมอนี่ตั้งใจจัดให้ตรงรึเปล่าผมไม่รู้ แต่พอเห็นผมมองไป เขาก็หันมายิ้ม ผมเลยเสไปมองทางอื่น และนึกกับตัวเองว่า ต่อให้ย้ายมาอีกมุม มันก็ดูไม่เข้ากับโต๊ะอยู่ดี เพราะฉะนั้น วางไว้ตรงนี้แหละดีแล้ว ผมจะได้มองอย่างอื่น นอนกจากกองหนังสือร้องเรียนกับหน้าเครียดๆ ของคนที่เข้ามาติดต่อบ้าง
   อาจารีย์เป็นคนแรกที่เข้ามาเห็นสิ่งแปลกใหม่บนโต๊ะผม เธอยิ้มกว้าง ทำหน้าประทับใจสุดๆ “น่ารักจังเลยค่ะ คุณไพฑูรย์ นึกไงซื้อมาคะเนี่ย”
   ผมพยักเพยิดไปทางเจ้านพรัตน์ ซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ อาจารีย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ก็ว่า ปกติคุณไพฑูรย์ไม่น่าซื้อของแบบนี้มาตั้งไว้ที่โต๊ะ”
   ผมขมวดคิ้วทันที หล่อนเลยรีบพูดต่อ “แหม ก็คุณดูคร่ำเคร่งอยู่ตลอดเวลานี่คะ อ้อ จริงสิคะ ดิฉันจะมาเรียนว่า คุณพงษ์โพยมเรียกประชุมผู้บริหารช่วงสิบโมงน่ะค่ะ”
   ผมพยักหน้า “อืม เดี๋ยวผมไปแล้วกัน”
   อาจารีย์พยักหน้า ก่อนเดินออกไปยังไม่วายทิ้งท้าย “แมวน่ารักนะคะ”
   “อือ” ผมตอบ และพยักหน้า
   ก็มันน่ารักจริงๆ นั่นแหละ
--------------------------------------------
   หลังประชุมเสร็จ ผมเลยออกไปทานอาหารเที่ยงกับคณะผู้บริหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นพี่ไม่ก็รุ่นเดียวกันนี่แหละ ขากลับผมผ่านร้านเบเกอรี เลยซื้อคุกกี้ถุงเล็กๆ ติดไม้ติดมือกลับไปฝากนพรัตน์ ค่าที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยงด้วย
   แต่พอผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งคุยกับเจ้านพรัตน์อยู่ เธอหันมาทำหน้าตื่นๆ ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป แล้วรีบขอตัวกลับทันที ผมจำได้ว่าเธอเป็นพนักงานในแผนกการตลาด แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร ผมกวาดตามองนายนพรัตน์ที่นั่งอยู่ และเห็นคุกกี้ถุงใหญ่บนโต๊ะเขา จึงถามขึ้น
   “คุกกี้ใครน่ะ”
   “คุณจันทนาทำมาฝากครับ จะทานด้วยกันไหมครับ?”
   “ฝากคุณ?” ผมถาม เขาพยักหน้า ผมเลยสั่นศีรษะ “ไม่ล่ะ ผมไม่ทานคุกกี้”
   “อ้าว แล้วในมือคุณ...” เขาถามต่อ แหม ตาดีช่างสังเกตจริงๆ ความจริงผมเป็นคนชอบของที่ทำเองกับมือมาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกว่ามันจริงใจและตั้งใจให้ดี เห็นคุกกี้ถุงใหญ่บนโต๊ะเจ้านพรัตน์แล้วผมเลยไม่กล้าเอาอันในมือให้ จริงๆ เหมือนเจ้าหมอนี่จะเนื้อหอมอยู่แล้ว แต่สงสัยมีผมอยู่เลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ผมไม่อยู่เลยรีบฉวยโอกาสกันใหญ่เลยสินะ
   “อันนี้ผมซื้อมาฝากคุณอาจารีย์” ผมตอบ แต่คงเป็นความซวย อาจารีย์เดินเข้ามาได้ยินพอดี เลยพูดเสียแบบไม่ไว้หน้าผม “อ้าว เห็นว่าซื้อมาฝากคุณนพรัตน์ไม่ใช่เหรอคะ”
   เธอทักผมตอนอยู่หน้าห้อง ผมเลยตอบไปว่างั้น แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้แล้วนี่ ผมกะพริบตาปริบๆ รีบพูดตอบไป “ฟังผิดมั้ง ผมว่าจะให้คุณนะ”
   “ถ้าให้คุณอาจารีย์ทำไมไม่ให้เสียแต่หน้าห้องล่ะครับ” เจ้านพรัตน์ได้ทีช่วยย้ำ ผมล่ะไม่รู้จะโกรธใครดี เลยได้แต่ยืนตีหน้าถมึงทึงจนอาจารีย์รีบเดินหลบออกไป หลังจากนั้นเจ้านพรัตน์เลยเดินเข้ามาหาผม
   “ขอผมได้ไหมครับ ผมชอบคุกกี้ร้านนี้”
   “บนโต๊ะมีอยู่ตั้งห่อใหญ่แล้ว”
   “ก็ผมอยากทานที่คุณซื้อมานี่”
   “........”
   “อย่าโกรธเลยนะครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่รับของจากใครแล้ว”
   “ผมไม่ได้โกรธ”
   “งั้น คุกกี้ซื้อมาให้ใครครับ?”
   “............”
   “คุณไพฑูรย์”
   “อยากทานก็เอาไปเถอะ” ผมพูดและยัดคุกกี้ใส่มือเขา นพรัตน์รับไปแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
   “ขอบคุณนะครับ”
   “อืม” ผมส่งเสียงในคออย่างไร้ความหมายแล้วเตรียมจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ นพรัตน์ฉวยข้อมือผมไว้ ผมเลยหันกลับมามองเขา เจ้าหมอนั่นมองผมเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกมา
   “คุณนพ?”
   แล้วผมก็เห็นเขาเม้มริมฝีปาก หน้าแดงเรื่อขึ้นมา เชื่อเลย ยืนเฉยๆ ก็หน้าแดงได้ สมองเจ้าหมอนี่จิตนาการอะไรบ้าๆ บอๆ อยู่รึเปล่านะ ผมรีบชักมือกลับ แล้วเดินฉับๆ ไปนั่งที่โต๊ะ
----------------------------------------------
   ไม่รู้ทำไมผมถึงได้คาใจกับคุกกี้ถุงใหญ่นั่นนัก สงสัยเพราะนึกสงสารคนที่อุตส่าห์ทำมาให้ พอเห็นเจ้านพรัตน์ไม่แตะไม่ต้องแต่ดันเล่นกินคุกกี้ที่ผมซื้อมาอย่างกับคนหิวจัดผมเลยต้องทักอีก
   “คุณนพ คุกกี้อีกถุง ไม่ทานหรือไง?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะทันที ทำให้ผมต้องถามต่อ “อ่าว ไม่ทานแล้วรับมาทำไมล่ะ?”
   “ก็เขาเอามาให้” เจ้าตัวตอบ ผมขมวดคิ้ว ได้ทีเทศนาสั่งสอนเขาตามเรื่องอย่างคนมีวัยสูงกว่า
   “คุณนพ วันหลังถ้าคุณไม่ชอบ ไม่อยากได้ ไม่ทาน คุณก็อย่ารับของที่ใครเขาให้เลยนะ โดยเฉพาะของทำด้วยมือแบบนี้น่ะ คนให้เขาใช้ใจทำมานะ ถ้าคุณไม่คิดอะไร ก็อย่าไปให้ความหวังเขาเลย”
   “ผมไม่รู้จะปฏิเสธยังไงนี่ครับ เขาอุตส่าห์ทำมาให้ด้วย ผมเลยว่าจะแจกคนอื่น”
   ผมมุ่นคิ้วยุ่ง “ยังไงคราวหลังคุณก็ต้องปฏิเสธให้เด็ดขาด นึกดูสิ ถ้าเขาเห็นคุณเอาไปให้คนอื่น เขาจะรู้สึกยังไง อุตส่าห์ทำมานะ ถ้าไม่รับแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ผมน่ะ ถ้าไม่ชอบล่ะก็ ให้อะไรผมก็ไม่รับหรอก ผมไม่อยากให้ความหวัง”
   “ครับ” นพรัตน์พยักหน้า ผมว่าหมอนี่ต้องเรียนรู้วิธีปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นอีกเยอะเหมือนกัน ขืนทำตัวแบบนี้บ่อยๆ มีหวังได้มีคนนั้นคนนี้มายุ่งให้ปวดหัวแน่ๆ แถมทำงานแบบนี้ มันต้องรู้จักปฏิเสธกันเสียแต่เนิ่นๆ สิ
   “ถ้าไม่ชอบก็ไม่รับเลยสินะครับ”
   “อืม...”
   “..............”
   “................” แน่ะ.. เอาอีกล่ะ ยิ้มอีกแล้ว เจ้าหมอนี่ก็แปลกคนจริงๆ เพิ่งโดนบ่นแท้ๆ ยังมาทำยิ้มกระมิดกระเมี้ยนเป็นผู้หญิงถูกจีบได้อีก เชื่อเขาเลย
   “คุณไพฑูรย์”
   “อะไร?”
   “ชอบทานขนมอะไรครับ”
   “ตะโก้” ผมตอบทันควัน และรีบสำทับ “ทำไม่เป็นไม่ต้องทะลึ่งทำมานะ ผมกลัวท้องเสีย ฝีมือทำอาหารคุณยิ่งไม่เอาไหนอยู่”
   “อือ...”
   ไอ้ ‘อือ’ นี่หมายความว่าไงกัน แล้วหยุดยิ้มเป็นนางสาวไทยได้แล้ว ผมอยากย้ายหมอนี่ไปอยู่ฝ่ายการตลาดจริงๆ เวลาเจอลูกค้าโหดๆ ช่างติช่างบ่นแบบผมจะได้คอยยิ้มเบรก ผมว่าน่าจะได้ผลเหมือนกันนะ ดูอย่างผมสิ เริ่มจะเถียงเขาไม่ออกบ่อยขึ้นแล้ว ไม่ได้การ ผมต้องหาวิธีตอบโต้ให้ได้ในเร็ววัน ไม่อย่างนั้นเดียวจะเสียเชื่อไพฑูรย์หมด
--------------------------------------------------------
   เจ้านพรัตน์ขับรถไปรับไปส่งผมเช้าเย็น แถมเสาร์อาทิตย์ยังแวะไปนอนค้างที่บ้านผม ผมเองชักนึกสงสัยว่าก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ทำอะไรช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือช่วงเย็นของวันทำงานกันแน่ วันหนึ่งตอนที่รถติดแหงกอยู่บนถนนเพราะฝนตกผมเลยได้โอกาสถาม
   “คุณนพ ปกติก่อนคุณมาทำงานกับผม ช่วงเย็นหลังเลิกงานคุณทำอะไรน่ะ?”
   “ก็ไปเตะบอลกับเพื่อนที่ทำงานบ้าง เล่นบาสฯบ้าง ไม่ก็ไปช่วยร้านอาหารเพื่อนน่ะครับ”
   “อ้อ” ผมร้อง เออ หมอนี่ก็ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นธรรมดานี่นา “แล้วเสาร์อาทิตย์ล่ะ?”
   “ก็ไปดูหนัง บางทีก็ไปผับน่ะครับ”
   “อ้อ... แล้วช่วงนี้หายไป เพื่อนฝูงไม่เลิกคบหมดแล้วเหรอ?”
   “ไม่หรอกครับ เขารู้ว่ามันความสุขผม”
   ขับรถไปรับไปส่ง ไปไหนมาไหนกับคนแก่เนี่ยนะ ความสุข... คนเรานี่มันก็เข้าใจยากดี ถ้าผมเป็นเพื่อนหมอนี่ผมไม่เข้าใจแน่ๆ
   “ผมว่าคุณออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงวัยเดียวกันบ้างก็ดีนะ” ผมเสนอ เขานิ่งนึกอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้า
   “เสาร์นี้เพื่อนผมโทรมาชวนไปเล่นบาสฯ คุณไปด้วยกันสิครับ”
   เอาอีกล่ะ ทำไมต้องพาผมไปอีกแล้วเนี่ย ผมหัวเราะขึ้นมา “คนรุ่นผมจะสู้แรงคนรุ่นหนุ่มแบบคุณได้ยังไงล่ะ”
   “คุณยังแข็งแรงดีอยู่เลยนะครับ เพื่อนผมก็อายุน้อยกว่าคุณไม่เยอะหรอก ไม่ห่างกันเท่าไหร่”
   “?!” ผมชักเกิดอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ เขามาทำงานกับผมหลายเดือนแล้ว แถมดูจะชอบเอาอกเอาใจคนแก่แบบเป็นนิสัย เจ้าเด็กนี่โตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกันนะ บางทีถ้าไปเห็นเพื่อนฝูงเขา ผมอาจจะเข้าใจอาการชอบคนอายุเยอะกว่าของเขาขึ้นมาบ้างก็ได้ เผื่อจะช่วยรักษาได้
   “ไปนะครับ” นั่น... มาอีกแล้ว ไอ้คำพูดแบบมัดมือชกให้ผมปฏิเสธไม่ออกนี่ เอาเถอะ ถือว่าผมไปศึกษาชีวิตส่วนตัวเขาแล้วกัน เผื่อจะได้รู้เขารู้เรามากขึ้น จะได้เถียงหมอนี่ออกเสียที
   “อืม” ผมตอบตกลงออกไป นพรัตน์ยิ้มกว้าง วันหลังจะรับสมัครผู้ช่วยคนใหม่ ผมคงต้องถามก่อนว่ายิ้มเก่งรึเปล่า ถ้ายิ้มเก่งจะได้ไล่ไปแผนกประชาสัมพันธ์ ไม่ก็การตลาดไปเลย
   แต่ผมคงไม่รับผู้ช่วยใหม่แล้วล่ะ
----------------------------------------
   แล้ววันเสาร์หลังไปเลือกซื้อโซฟากันเรียบร้อย ผมก็ได้มาอยู่ที่สนามบาสฯในร่มของสนามกีฬาสาธารณะแห่งหนึ่ง เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเขาให้คนนอกเข้ามาขอเล่นได้ เจ้านพรัตน์คะยั้นคะยอว่าผมต้องมาโชว์ฝีมือให้เพื่อนเขาเห็นสักครั้ง ความจริงผมไม่อยากไปเล่นกับพวกเด็กๆ เดี๋ยวจะหาว่ารังแก แต่พอถูกรบเร้าหนักเข้าเลยจำใจต้องไปรื้อชุดกีฬาขาสั้นกับรองเท้าในตู้ออกมา ใส่มาเล่นกับเด็กพวกนี้ดูสักครั้ง
   เจ้านพรัตน์เตรียมพร้อมเสมอเช่นเคย หุ่นแบบเขาใส่ชุดอะไรก็ดูดีอยู่แล้ว เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นก็ไม่เลว ตอนเรามาถึงมีเพื่อนของเรารออยู่แล้วสองสามคน ดูแล้วอายุสักยี่สิบห้ายี่สิบหก ก็ยังไม่ห่างกับเขาเท่าไหร่ จากนั้นก็ค่อยๆ ทยอยมาเรื่อยๆ ยี่สิบเก้า สามสิบ สามสิบห้า เออ หลังๆ ชักเป็นรุ่นน้องผมไม่กี่ปีแล้วเหมือนกัน เจ้าหมอนี่คบแต่เพื่อนอายุเยอะกว่าหรือไงนะ
   “อ้าว ลุงมาจริงๆ เหรอเนี่ย” ที่บริษัทมีนายพัชระเรียก พอมาเล่นบาสฯ ยังเจอนายพชรอดีตลูกน้องเก่าอีก เออ ไอ้สองตัวนี่มันช่างเข้าขากันจริงๆ ผับผ่าสิ
   “อืม” ผมส่งเสียงในคออย่างไว้เชิงอีกเช่นเคย แล้วกวาดตามองเขา ได้ยินเจ้าตัวโวย “โหยลุง นอกสถานที่แล้ว เลิกทำตัวเป็นผู้ตรวจการทีเท้ออออ”
   “ผมกำลังจะบอกว่าคุณดูเหมือนเดิมเลย ไม่ได้จับผิดอะไรเสียหน่อย” ผมว่า นายพชรทำหน้าสยดสยอง “แต่สายตาลุงมันชวนให้คนถูกมองขนลุกนี่ครับ ไอ้เปี๊ยกทนไปได้ไงน่ะ”
   เพื่อนนายนพรัตน์ที่มีคราวนี้มีทั้งหมดสิบคน รวมผมกับเขาด้วยก็เป็นสิบสอง แบ่งกันได้ทีมละหกพอดี เจ้าเด็กพวกนั้นเรียงหน้าเข้ามาไหว้ทำความเคารพผมอย่างกับได้เจอครูใหญ่ ผมรับไหว้ไปตามเรื่อง พอกวาดตามองแล้วก็รู้ว่านายนพรัตน์คบเพื่อนอายุเยอะกว่าตัวเองมากจริงๆ มิน่า ถึงได้....
   เพื่อนเจ้านพรัตน์ดูอิดๆ ออดๆ ท่าทางไม่อยากได้ผมเข้าไปร่วมทีม แต่คงเกรงใจไม่กล้าพูด ผมเองก็ไม่อยากจะร่วมทีมกับพวกนี้นักหรอก เพราะไม่รู้จะเล่นเอาอ่าวขนาดไหน แต่กับนายนพรัตน์ดูจะมีคนต้องการตัวมากอยู่ นายพชรที่ไม่เคยเห็นหัวผมมาแต่ไหนแต่ไรเลยเสนอขึ้น
   “เอางี้ จับฉลากกัน ใครได้ไอ้เปี๊ยกก็เอาลุงไปด้วย เพราะขืนให้อยู่คนละทีมกัน มีหวังไอ้เปี๊ยกเล่นไม่ออก”
   สุดท้ายผมเลยกลายเป็นของแถมพ่วงไปกับเจ้านพรัตน์โดยปริยาย ช่างเถอะ เจ้าเด็กพวกนี้ยังไม่เคยเห็นฝีมือผม ตอนนี้เชิญประเมิณคนด้วยอายุกันให้สบายใจไปก่อนแล้วกัน รอลงสนามก่อนเถอะ.....
   นายพชรทำหน้าเหมือนเห็นจานบิน ตอนที่รู้ว่าผมอยู่ทีมเดียวกับเขา หมอนั่นครางอย่างกับถูกรถไฟชน “โอย... ลุงทำไมจองเวรผมนัก”
   ใครไปจองเวรนายมิทราบ ก็ดันอยากจับฉลากได้มาเองนี่นา ผมมองเขา ไม่พูดอะไร สุดท้ายนายพชรเลยบ่นอุบๆ อิบๆ แล้วเดินเข้าสนามไป เป็นไปได้ผมอยากเลือกอยู่ทีมตรงข้ามเหมือนกัน จะได้แอบถีบนายพชรเอาคืนเรื่องที่ปากเสียบ้าง
   ผมว่าอายุเฉลี่ยของผู้เล่นทั้งสองทีมน่าจะพอๆ กัน เพราะฝั่งผมมีนายนพรัตน์มาช่วยหาร เริ่มเล่นไปได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าเด็กพวกนี้เล่นบาสฯใช้ได้ อย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้สึกตึงมือได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่วิ่งไล่ลูกอย่างเดียว ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็เคยเป็นตัวจริงของทีมคณะเลยนะ เด็กพวกนี้ไม่ได้กินผมหรอก
   อายุเยอะกว่าแล้วไงล่ะ
   กว่าจะครบสิบห้านาทีต่างฝ่ายต่างก็หอบแฮ่ก ต่างคนต่างเดินมาทานน้ำเช็ดเหงื่อ หายใจเอาอากาศเข้าไปให้ฉ่ำปอด ผมยังไม่ถึงกับเหนื่อยมาก แต่ก็เหงื่อออกชุ่มตัวแล้วเหมือนกัน ดูจะมีแต่นายนพรัตน์นี่แหละที่ยังเครื่องดีอยู่ เออ ก็ทั้งสิบสองคน หมอนี่เด็กสุดนี่นา
   “ลุงเล่นบาสฯเก่งเหมือนกันนะเนี่ย ตอนเรียนเป็นนักบาสฯเก่าหรือครับ?” นายพชรที่ตอนแรกโคตรจะอิดออดที่มีผมไปร่วมทีมเดินมาชม เพราะผลแต้มท้ายเกมที่ทำเอาเขายิ้มหน้าบานเป็นจานกระด้งนั่นแหละ ผมส่งเสียงงืมงำในคอไปตามเรื่อง แล้วพยักหน้า เพื่อนอีกคนที่อยู่อีกทีมเดินเข้ามาคุยบ้าง
   “เล่นเข้าคู่กับเปี๊ยกอย่างกับเคยเล่นกันมาก่อนแน่ะ”
   “ผมยังไม่เคยเล่นบาสฯกับเขาเลยนะ” ผมปฏิเสธ แต่นายนพรัตน์ก็รู้เส้นผมจริงน่ะแหละ จะไปทางไหนยังไง หมอนั่นมองตาผมก็ไปตามได้หมด ท่าทางจะเพราะทำงานมาด้วยกันล่ะมั้ง
   เจ้านพรัตน์ยิ้มเขินๆ อีกเช่นเคย เลยโดนเพื่อนอีกคนฟาดหลังดังป้าบ ผมล่ะแอบสะใจจริงๆ
   “เฮ้ย ตัวโตเป็นควายแล้ว ยังจะมาทำเขินอยู่อีก” เพื่อนเขาว่า จากนั้นทุกคนก็หัวเราะชอบใจ พอมีเพื่อนขำ ผมเลยพลอยได้แอบขำตามไปด้วย เจ้านพรัตน์หน้าแดงเป็นลูกตำลึง เดินอายม้วนมาหยิบขวดน้ำข้างๆ ผม
   จะเขินอะไรกันนักกันหนา
   พอพักกันจนหายร้อน เหงื่อแห้งดีแล้ว พวกเราก็ทยอยกันไปอาบน้ำ ใครบ้ามันจะกลับบ้านทั้งอย่างนี้กันล่ะ เหม็นตายพอดี
   ห้องอาบน้ำเป็นห้องรวม ฝักบัวเป็นรางยาว มีคอกกั้นข้างๆ พอกันอุจจาด เพราะสนามก็เก่าแล้ว นพรัตน์เบียดผมให้ไปอาบมุมในสุด แล้วตัวเองก็ยืนอาบข้างๆ กลัวใครมองคนแก่แบบผมนักหรือไง ผมอายุปูนนี้แล้ว เลิกกังวลเรื่องไซต์เรื่องขนาดแล้วล่ะ
   ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็หยิบเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อ พอเดินออกมาก็เห็นเจ้านพรัตน์ยืนรออยู่แล้ว ขนาดอาบน้ำแล้วแก้มหมอนี่ยังเป็นสีชมพูอยู่เลย เป็นคนหนุ่มสุขภาพดีนี่มันดีจริงๆ นะ ผมเห็นหัวเขายังเปียกๆ อยู่ เลยถือวิสาสะหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่เช็ดให้ พลางบ่น “โตๆ แล้วก็หัดเช็ดหัวให้แห้งหน่อยสิ”
   เจ้านพรัตน์ยืนนิ่งให้ผมเช็ดผมให้ หน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศอีกแล้ว เพื่อนฝูงก็ไม่ได้อยู่มองสักหน่อย จะอายอะไรนักหนา
------------------------------------------
   เย็นนั้นผมเลยได้ทำบุญใหญ่ เลี้ยงอาหารเจ้าลูกลิงทั้งสิบเอ็ดคนที่ยอมให้ผมเล่นบาสฯด้วย แต่ละคนอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว แต่พอมาอยู่รวมกันก็ส่งเสียงเจี้ยวจ๊าวเหมือนนกกระจอกแตกรังไม่มีผิด พวกนี้คุยกันได้ตั้งแต่เรื่องงาน ยันเรื่องรองเท้ากัด ถึงจะอายุลดหลั่นกันไป ทำงานกันคนละที่ แต่ก็คุยกันอย่างออกรสจนพลอยทำให้ผมอดขำไม่ได้ เจ้านพรัตน์ดูจะพูดน้อยสุด นานๆ ทีจะเสริมอะไรขึ้นมาบ้าง เหมือนจะกลัวโดนแซวกลับ แหม..ที่กับผมล่ะจ้อเอาๆ
   ทานข้าวเสร็จก็ไปร้องคาราโอเกะกันต่อ ความจริงผมไม่ชอบที่แบบนั้นหรอก แต่ถ้าผมกลับ เจ้านพรัตน์ก็คงกลับด้วย ผมเห็นหมอนี่เอาแต่ถามผมต้อยๆ มาหลายเดือนแล้ว ควรจะมีเวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง
   ดังนั้นตอนนี้ผมเลยต้องนั่งเบียดอยู่กับเจ้าทโมนพวกนี้ในห้องคาราโอเกะแคบๆ นพรัตน์อัญเชิญผมนั่งริมสุดอีกเช่นเคย สงสัยกลัวผมถูกเด็กๆ พวกนี้เบียดตาย นายพชรรีบทำหน้าเห็นด้วย
   “ให้ลุงแกไปนั่งมุมเลย แกจะได้ไม่กัดใคร”
ลาออกไปนานแล้ว ปากยังเสียเหมือนเดิมไม่มีผิด แต่ผมขี้เกียจจะอารมณ์เสียตอนนี้ เจ้าพวกลูกลิงแย่งกันเลือกเพลง มีตั้งแต่สมัยวงไมโครยังดัง ยันเพลงพี่เบิร์ดที่เพิ่งออกใหม่ ผมนั่งจิบน้ำมะนาวไปฟังพวกนั้นร้องเพลงไป เพราะบ้างไม่เพราะบ้างตามประสาคนธรรมดา ไม่ใช่นักร้อง นายนพรัตน์นั่งข้างผม คอยร้องเพลงเป็นลูกคู่ แต่ยังไม่เห็นจะจับไมค์ร้องเองกับเขาสักที มีคนชวนผมร้องด้วย แต่ผมปฏิเสธ มนุษย์อย่างผมถึงจะดูดีไปทุกเรื่อง แต่เรื่องร้องเพลงขอที ผมมั่นใจในตัวเองทุกอย่างแหละ ยกเว้นเรื่องนี้ ไม่ใช่เสียงผมไม่ดีนะ แต่ผมตามไม่ทันคีย์เพลงเอาเสียเลย ดังนั้น ผมจึงปฏิเสธเสียงแข็งว่าจะไม่ร้อง ต่อให้ถูกแซวว่าเสียงไม่เพราะก็ตาม ดีกว่าร้องหลงคีย์ออกมาให้เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานได้ยินล่ะน่า
เจ้านพรัตน์ทำหน้าที่ปกป้องคนแก่อย่างผมดีอีกเช่นเคย พอเห็นผมไม่ร้อง ก็ช่วยปฏิเสธให้ด้วย เลยโดนแซวพอหอมปากหอมคอ ไม่ถึงกับทำให้ผมพลอยหงุดหงิด ไอ้พวกเพื่อนก็คงพอรู้เส้นผมเหมือนกันแหละ ไม่ก็นายพชรเตือนเอาไว้ก่อนแล้ว
ร้องเพลงกันไปได้สักพัก ทุกคนก็พร้อมใจกันส่งไมค์ให้เจ้านพรัตน์ เจ้านพรัตน์มองไมค์สองตัวที่เพื่อนส่งมา แล้วหยิบตัวหนึ่งส่งให้ผม ผมนึกงง ตะกี้เพิ่งช่วยปกป้องผมอยู่แหม็บๆ แต่ดันส่งไมค์มาให้ผม ไอ้เจ้าพชรที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยส่งเสียงขึ้นอีกเช่นเคย
“เฮ้ย ลุง รับรองเพลงนี้ลุงร้องได้แน่ รุ่นเดียวกัน”
ผมงี้อยากขว้างไมค์ใส่หน้าคนพูดเสียจริงๆ ติดแต่คงไม่เหมาะกับกาลเทศะเท่าไหร่ ผมเลยเอาไมค์มาถือไว้พอเป็นพิธี ขณะที่เจ้านพรัตน์ลุกขึ้น อื้อหือ...ร้องเป็นลูกคู่เขามานาน พอจับไมค์เองยืนเป็นนักร้องใหญ่เชียว ผมนึกสงสัยว่าเขาจะร้องเพลงอะไรกันแน่ แต่พอทำนองขึ้นเท่านั้นแหละ ผมถึงกับขนลุก เออ ทันรุ่นผมอย่างที่เจ้าพชรว่าจริงๆ
“If I had to live my life without you near me
The days would all be empty
The nights would seem so long
With you I see forever oh so clearly
I might have been in love before
But it never felt this strong
Our dreams are young and we both know
They'll take us where we want to go
Hold me now
Touch me now
I don't want to live without you

Nothing's gonna change my love for you
You ought to know by now how much I love you
One thing you can be sure of
I'll never ask for more than your love
Nothing's gonna change my love for you
You ought to know by now how much I love you

If the road ahead is not so easy
Our love will lead the way for us
Like a guiding star
I'll be there for you if you should need me
You don't have to change a thing
I love you just the way you are
So come with me and share the view
I'll help you see forever too
Hold me now
Touch me now
I don't want to live without you”
เพลงยาวแค่สี่นาทีกว่าๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนนานเป็นชั่วโมงๆ เสียงเจ้านพรัตน์ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ถึงจะออกแนววัยรุ่นแต่ก็ไม่ขัดกับทำนองเพลง เพื่อนๆ นั่งฟังกันเงียบกริบ ผมก็พลอยเงียบไปด้วย ไม่ใช่อึ้งกับพลังเสียงของเขานะ แต่แบบ...ปกติคนร้องคาราโอเกะเขาต้องมองจอดูเนื้อเพลงไม่ใช่เหรอ แต่เจ้านพรัตน์ดันหันมามองหน้าผมอย่างกับมีเนื้อเพลงอยู่บนหน้างั้นแหละ เจอแบบนี้ผมไม่นั่งเงียบก็ไม่รู้จะทำไงแล้วล่ะ ร้องจบนายพชรก็เดินเข้ามากอดเหมือนได้เจอนักร้องตัวจริง เจ้านพรัตน์เขินจนหน้าแดง แอบหันมามองผมด้วยแนะ คงหวังให้ผมหน้าแดงเป็นเพื่อนล่ะสิ ฝันไปเถอะ ผมไม่ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว เรื่องเขินเรื่องอายมันพ้นวัยมานานแล้ว
พวกนั้นร้องเพลงกันจนสามทุ่ม ถึงได้เลิก ขากลับผมก็กลับมาพร้อมกับนายนพรัตน์อีกเช่นเคย เขามาส่งผมที่บ้าน เข้ามาดื่มน้ำดื่มท่า แล้วก็ขอตัวกลับเหมือนทุกวัน
แต่ไม่รู้ทำไม คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับอีกแล้ว
-----------------------------------------------------
แถมลิ้งเพลง Notting gonna change my love for you เอาไปประกอบการอ่านเพื่อให้ได้อรรถรสนะคะ หุๆ

http://www.youtube.com/watch?v=Tr97MQiqW38
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-06-2011 09:59:56 โดย juon »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด