**เกือบลืมอัพอีกแล้วค่ะ ฮ่าๆๆ แบบว่ามันลืมอ๊ะ

(

)
--------------------------------------
บทที่66 เพราะเวลาคนเราไม่เท่ากัน
ฟ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาและได้กลิ่นแปลกๆ ชายหนุ่มหรี่ตาเพื่อปรับให้คุ้นกับแสดงสว่าง ดูเหมือนเขาจะอยู่ในห้องที่ไหนสักแห่ง กลิ่นแบบนี้ดูคุ้นอย่างประหลาด เหมือนว่าเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน แต่ว่าสภาพห้องนั้นไม่คุ้นตาเลย
ร่างบางคว้ามือเปะปะไปตามหมอนหนุนเพื่อหาแว่นของเขา และตอนนั้นเองที่เขาพบว่ามีสายบางอย่างถูกโยงไว้กับมือข้างหนึ่งของเขา ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตามสายที่พาดลงมานั้นและเข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที เขากำลังอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง มิน่าเล่ากลิ่นถึงได้คุ้นนัก กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อทำความสะอาดที่ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนๆ ก็จะมีกลิ่นแบบเดียวกันหมด
ฟ่งเอื้อมมือไปคว้าแว่นที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัว เขาคงวูบไปตอนที่กำลังคุยอยู่กับรูฟัส ชายหนุ่มหันมองรอบๆ ตัว ด้านนอกสว่างจ้า คงจะเป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองหานาฬิกาที่น่าจะอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของห้อง แล้วประตูห้องก็เปิดออก
“You wake up, finally” เสียงทักทายเป็นภาษาอังกฤษแบบสบายๆ ดังขึ้น ฟ่งขมวดคิ้ว เสียงเดิมหัวเราะอย่างเริงร่า
“ผิดหวังหรือครับ รูฟัสยังคุยกับตำรวจอยู่เลย ผมเลยแวะมาหาคุณก่อน” รัสเลอร์เอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง เขาเดินเข้ามาในห้องและลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ฟ่งผุดลุกขึ้น
“ตำรวจ? เขาโดนตำรวจจับหรือ”
ผู้ถูกถามหัวเราะออกมา “ถ้าหมอนั่นถูกจับผมก็โชคดีน่ะสิ จะได้มาตื้อขอหัวใจคุณโดยไม่มีใครคอยตามกระทืบอีก แต่สบายใจเถอะครับ รูฟัสไม่ได้ถูกจับหรอก เขาเป็นส่วนหนึ่งในแผนการครั้งนี้น่ะ”
“พวกคุณทำงานให้ตำรวจเหรอ?” ร่างบางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ารูฟัสจะทำงานให้ตำรวจ ดูช่างขัดกันอย่างไม่น่าเชื่อ รัสเลอร์สั่นศีรษะ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีน้ำตาลหลวมๆ สวมกางเกงลูกฟูกสีครีมอ่อน
“เปล่า ตำรวจของประเทศคุณทำงานร่วมกับเบื้องบนของผมอีกที”
ผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอีกครั้ง “เบื้องบนของคุณนี่คือใครกันแน่น่ะ?”
รัสเลอร์ยิ้มอย่างมีเลสนัยน์ และยกนิ้วขึ้นโบกไปมา ”ไม่ใช่เรื่องที่คุณสมควรจะรู้ตอนนี้หรอกครับ เอาไว้ถ้าคุณอยากจะทำงานกับผมเมื่อไหร่ ผมจะบอกคุณแล้วกัน”
คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วยุ่ง และหันหน้าหนีไปทางอื่น เขาไม่ชอบเวลาใครมาทำกับเขาเหมือนเป็นเด็กๆ ไม่รู้เดียงสาแบบนี้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหัวเราะชอบใจ
“หันมาคุยกันก่อนสิครับ บอกผมได้หรือเปล่าว่าคุณเข้าไปที่นั่นได้ยังไง?”
ฟ่งคิดว่ารูฟัสควรจะเป็นคนแรกที่เข้ามาถามคำถามนี้ แต่กลับกลายเป็นเจ้าหมอนี่เสียได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหันกลับมาตอบ
“ผมให้วินพาเข้าไป เอ้อ จริงสิ เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“หมายถึงลูกชายของทวีศักดิ์น่ะหรือ?” รัสเลอร์ทวนคำ แล้วพูดต่อ “คุณตอบคำถามผมให้หมดก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะพาไปพบพวกเขา”
“คุณนี่พูดอย่างกับพวกตำรวจ” ฟ่งตั้งข้อสังเกต เขาไม่ยักรู้สึกมาก่อนว่าผู้ชายที่ชื่อรัสเลอร์คนนี้สามารถจะพูดอะไรเป็นการเป็นงานได้ อีกฝ่ายหัวเราะ
“คุณบอกให้วรุตพาคุณเข้าไปที่นั่น เพื่ออะไรหรือครับ?”
“ผมอยากเข้าไปช่วยรูฟัส” ฟ่งตอบตามความจริง คราวนี้รัสเลอร์ขมวดคิ้วบ้าง “คุณพูดจริงๆ รึ?”
“ผมจะโกหกทำไมล่ะ” ฟ่งตอบอย่างไม่ค่อยพอใจนัก รัสเลอร์รีบโบกมือทันที “ก็ผมเห็นว่าคุณไม่ค่อยสนใจรูฟัสเท่าไหร่ อืม..คุณดูไม่น่าจะเป็นห่วงเขาถึงขนาดนั้น”
“นี่เขาจ้างให้คุณมาหลอกให้ผมพูดอะไรรึเปล่า?” ฟ่งถามอย่างกังขา รัสเลอร์รีบสั่นศีรษะ
“เปล่า นี่ผมตั้งใจจะถามคุณเอง คุณอยากจะช่วยเขาขนาดเสี่ยงเข้าไปในที่แบบนั้นเลยเหรอ คุณไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายมาก”
“ผมไม่คิดว่ามันอันตรายมากมายอะไรหรอก ถ้าพวกคุณไม่วางระเบิดหรือยิงกันน่ะ” ฟ่งแย้งทันที หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยกมือขึ้นเกาศีรษะ
“คุณคิดตื้นไปหรือเปล่าครับ คุณรู้ได้ไงว่ารูฟัสต้องการให้คุณช่วย แล้วรู้ได้ยังไงว่าจะช่วยเขาออกมาได้”
“ผมรู้แล้วกัน!!” ฟ่งตอบเสียงห้วน แล้วพูดต่อ “นี่คุณมาหาเรื่องผมหรือเปล่าเนี่ย?”
“ผมเปล่า” รัสเลอร์รีบปฏิเสธทันที และเปลี่ยนคำถาม “แล้ว อืม... คุณทำงานให้กับคุณทวีศักดิ์มานานหรือยัง นอกจากเรื่องเขียนแปลนแล้ว คุณรู้เรื่องอย่างอื่นที่เขาทำด้วยหรือเปล่า?”
“คุณถามอย่างกับเป็นตำรวจ” ฟ่งตั้งข้อสังเกตอีกครั้ง แต่ก็ยอมตอบคำถาม “ผมแค่เขียนแบบให้เขา เรื่องอื่นผมไม่รู้หรอก เอาจริงๆ ผมน่าจะถูกเขาเก็บด้วยซ้ำ”
รัสเลอร์พยักหน้าหงึกๆ แต่ก็ยังถามเพิ่มเติม “แล้ววรุตล่ะ คุณรู้จักเด็กคนนั้นดีขนาดไหน เขามีส่วนอะไรกับงานของพ่อเขารึเปล่า?”
“ผมไม่รู้” ฟ่งตอบ รู้สึกขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเจ้าหมอนี่อาจจะเป็นรัสเลอร์คนละคนกับที่เขารู้จักก็ได้ หรือพอไม่มีพวกรูฟัสอยู่ด้วยแล้ว เจ้าหมอนี่เลยมีท่าทีเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
“ผมไม่ได้รู้จักเขามาก่อนหรอก เขาเพิ่งมาหาผมวันเดียวกับที่คุณมาที่นี่แหละ ไม่เชื่อคุณลองไปถามเขาดูก็ได้”
“ครับๆ” รัสเลอร์รับปาก และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
“เอาล่ะ ผมขอถามคำถามสุดท้าย คุณไม่ได้เล่าเรื่องพวกผมให้ใครฟังเลยใช่ไหม?”
คนถูกถามสั่นศีรษะ “ผมไม่ได้พูดกับใครหรอก ถึงพูดไปก็คงมีมีใครเชื่อ”
รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ฟ่งเอ่ยถามขึ้นบ้าง “บอกผมได้หรือยังว่าวินกับพ่อเขาเป็นไงบ้าง”
“ขอผมถามอีกสักอย่าง” รัสเลอร์ยังคงตื้อจะถามต่อ ฟ่งขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเงียบเพื่อฟังคำถาม
“คุณสนใจจะมาทำงานกับผมหรือเปล่า เอ้อ มันไม่ใช่งานอันตรายแบบที่พวกรูฟัสทำหรอก ผมรับรองว่าคุณจะปลอดภัย รับรองว่าจะดูแลคุณเป็นอย่างดีเลยล่ะ”
ฟ่งขมวดคิ้ว เริ่มสงสัยว่าเจ้าหมอนี่ตั้งใจจะล่อลวงเขาไปทำอะไรซักอย่าง
“งานอะไรของคุณน่ะ คุณรัสเลอร์ ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณทำงานอะไรกันแน่”
“ไม่บอกเขาไปเลยล่ะว่านายเป็นซีไอเอ” เสียงของราฟาแอลดังขึ้น หนุ่มผมสีบล็อนด์ก้าวเข้ามาในห้อง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และหาวหวอดออกมาอย่างน่าเกลียดตอนที่เดินมาหยุดที่ข้างเตียง ฟ่งทวนคำอย่างตกใจ “ซีไอเอ?”
รัสเลอร์รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่ ขณะที่ราฟาแอลพูดต่อ “อืม... ตกใจใช่ไหมล่ะ พอคิดว่าไอ้บ้าบ๊องตื้นปัญญาอ่อนชอบทำอะไรพิลึกๆ นี่เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ อย่าว่าแต่นาย ขนาดฉันเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย”
“ฉันไม่ได้ต้องการคำรับรองแบบนั้นจากนายเลยนะ ราฟี่” รัสเลอร์หันไปเอ็ด ราฟาแอลยักไหล่อย่างไม่แยแส
“นายควรจะรีบขอบคุณฉันที่แวะมาบอกนายว่า รูฟัสกำลังจะมาแล้ว และถ้าหมอนั่นรู้ว่านายพยายามจะสอบปากคำอะไรเด็กคนนี้ล่ะก็ ฉันรับรองว่าศพนายไม่สวยแน่ๆ”
“บ้าน่ะ ฉันเพิ่งหลอกหมอนั่นให้ไปเอาของที่ห้องตะกี้นี่เอง” รัสเลอร์ว่า อีกฝ่ายสั่นศีรษะอย่างหน่ายๆ
“ถ้ารูฟัสโง่ขนาดถูกนายหลอกง่ายๆ แบบนั้นคงไม่เป็นคู่หูกับฉันมานานขนาดนี้หรอก นี่ฉันช่วยหลอกถ่วงเวลาให้นายหรอกนะ ไม่งั้นเจ้าหมอนั่นคงมาถึงนี่ก่อนฉันแล้ว ว่าไง หรือนายอยากจะอยู่พิสูจน์?”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ” รัสเลอร์ว่า และผุดลุกขึ้น
“ไปก่อนนะครับฟ่ง ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก แล้วก็อย่าไปเชื่อราฟี่เชียวนะ ผมไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอหรอก” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดเร็วปรือ และเดินลิ่วออกไปราวกับกลัวรูฟัสจะมาเจอเข้าจริงๆ ราฟาแอลทรุดตัวลงนั่งบ้าง ฟ่งเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัย
“รัสเลอร์เป็นซีไอเอจริงๆ หรือครับ?”
“ถ้าถามฉัน ฉันคิดว่าหมอนั่นเป็นไอ้บ้าตัวหนึ่ง” ราฟาแอลตอบ นัยน์ตาสีเขียวหันมาจับจ้องคู่สนทนา ฟ่งรู้สึกได้ทันทีถึงความกดดันจากนัยน์ตาคู่นั้น
“เรื่องของพวกฉันเป็นความลับ เธอเข้าใจใช่ไหม?”
ฟ่งพยักหน้า ราฟาแอลพูดต่อ “ฉันไม่รู้ว่าเธอเข้าไปที่นั่นด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่ก็ขอบใจที่ช่วยเจ้ารูฟัสออกมา”
ถึงตรงนี้ฟ่งยิ้มออกมาบ้าง ดูเหมือนผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลคนนี้จะไม่ใช่คนแล้งน้ำใจไปเสียทีเดียว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากช่วยเขาอยู่แล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้า และพูดต่อ “แต่เธอทำคุณเมี่ยงปวดหัวมาก ฉันไม่ค่อยชอบหรอกนะ เวลาเห็นผู้ชายที่ไหนทำให้ผู้หญิงลำบากใจเนี่ย”
“ผมขอโทษครับ แล้วคุณเมี่ยงเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็สบายดี เธอฝากมาบอกว่า วันหน้าวันหลังอย่าคิดทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีก”
“ครับ ผมขอโทษจริงๆ” ฟ่งพูดอย่างสำนึกผิด เขาเริ่มคิดว่าควรจะไปกราบขอโทษผู้หญิงคนนั้นสักที ราฟาแอลยักไหล่
“ถามจริงเหอะ เธอคิดจะอยู่กับรูฟัสจริงๆ รึ?”
ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง และพยักหน้าในที่สุด ราฟาแอลถามต่อ “แล้วเธอจะอยู่ยังไง เธอก็รู้แล้วนี่ว่ารูฟัสทำงานแบบนี้”
“ผมรู้ ผมอยากให้เขาเลิก” ฟ่งโพล่งออกมา แล้วระลึกได้ทันทีว่าที่เขาพูดออกไปนั้น คงไม่สบอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง ก็รูฟัสกับราฟาแอลเป็นคู่หูกันนี่
“เธอคิดว่าอาชีพนี้มันคิดจะเลิกได้ง่ายๆ หรือไง รู้หรือเปล่าว่ามีใครบ้างที่อยากได้ตัวหมอนั่น”
ฟ่งสั่นศีรษะ เขาไม่รู้ว่าคนอยากได้ตัวรูฟัสมีมากขนาดไหน แต่เขาคิดว่าคงรู้จักอยู่คนหนึ่ง คนที่จับเขาไปที่ฮ่องกง ราฟาแอลกล่าวต่อ
“ไม่ได้มีแต่เว่ยเฟิงปิงหรอกนะที่คิดจะเอาตัวเธอไปเป็นข้อต่อรองกับหมอนั่น เธอควรจะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะพูดอะไรที่จะกลายเป็นสิ่งผูกมัดรูฟัสเอาไว้ ถึงหมอนั่นจะจริงจังกับเธอ แต่ถ้าเธอยืนยันจะปฏิเสธล่ะก็ ฉันยืนยันว่าสุดท้ายเขาจะเลิกไปเอง”
“อืม...ผมคิดว่าคุณจะเลิกพูดเรื่องนี่กับฟ่งแล้วเสียอีก” เสียงของรูฟัสดังขึ้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีน้ำเงิน ในมือมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่ สีหน้าดูบอกบุญไม่รับนัก ราฟาแอลผุดลุกขึ้นทันที “ซื้อดอกไม้เร็วจังนะ”
“ต้องขอบคุณที่คุณเป็นคนออกไอเดีย ผมเพิ่งเห็นว่ามีร้านที่ใกล้ๆ อยู่ เอาล่ะ ราฟี่ ย้ายก้นของคุณออกไปได้แล้ว ผมไม่คิดจะมาทะเลาะกับคุณที่นี่หรอก”
“ฉันก็ไม่คิดจะตีกับนายที่นี่เหมือนกัน”
หนุ่มผมสีบลอนด์พูด เขาเหลือบมองฟ่งแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ รูฟัสเดินเข้ามา และถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่าไปฟังคำพูดของเขามากเลยครับ... ผมให้คุณ”
ฟ่งรับดอกไม้จากรูฟัสมาอย่างงงๆ และพูดขึ้น “ขอบคุณนะ แต่ผมไม่ได้บาดเจ็บอะไรนี่”
“ดอกไม้ไม่ได้มีไว้ให้เฉพาะคนบาดเจ็บนี่ครับ” รูฟัสว่า และยกมือลูบศีรษะฟ่งที่ปูดออกมาอย่างเห็นได้ชัดด้วยสายตาเจ็บปวดลึกๆ ตรงแขนยังมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ นี่ยังจะพูดอีกหรือว่าไมได้บาดเจ็บ ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำตัวเองก็เถอะ
“คุณล้มพับไปตอนที่กำลังคุยกันอยู่ คุณนี่ทำให้ผมตกใจได้ตลอดเลย ผมคิดว่าคุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนเสียอีก โชคดีที่คุณแค่เพลีย กับตกใจมากไปหน่อย”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ” ฟ่งกล่าว และนึกแปลกใจเหมือนกันว่าเขารักษาสติรอดมาได้ยังไงจนถึงตอนนั้น ความจริงเขาควรจะสลบไปตั้งแต่ตอนที่กำลังจะถูกอิทธิเดชยิงด้วยซ้ำ
“จริงสิ วินเป็นยังไงบ้าง?” หนุ่มสวมแว่นรีบถามในสิ่งที่เขาถามคนอื่นมาตั้งแต่แรก รูฟัสขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง และพูดอย่างน้อยใจ “ทำไมคุณถามถึงคนอื่นกับผมอีกแล้ว?”
“ก็ผมอยากรู้นี่ วินเป็นคนพาผมเข้าไปที่นั่น” ฟ่งตอบ ดูจะยังไม่รู้สึกตัวว่ารูฟัสกำลังขอความสงสารอยู่ หนุ่มตาสองสีพยักหน้าอย่างเหนื่อยใจ
“ผมรู้ล่ะครับ คุณให้เขาพาคุณเข้าไปเพื่อช่วยผมไม่ใช่หรือ?”
ฟ่งพยักหน้า รูฟัสนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นมา “นี่คุณไม่คิดจะพูดอะไรต่อเลยหรือ?”
ผู้ถูกถามมองอย่างแปลกใจ “คุณจะให้ผมพูดอะไรล่ะ? ผมอยากเจอวิน เขาเป็นอะไรรึเปล่า? ถูกระเบิดมั้ย?”
รูฟัสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นี่ตกลงฟ่งเป็นห่วงเขาจริงๆ หรือว่าทำไปเพราะเหตุผลอื่นกันแน่ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “นี่คุณเข้าไปที่นั่นแค่เพราะอยากจะช่วยผมจริงๆ หรือ?”
“จริงสิ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณผมจะลำบากเสี่ยงเข้าไปทำไม มาคิดดูอีกทีแล้วผมยังรู้สึกโมโหอยู่เลยที่คุณทำกับผมแบบนั้น คุณใช้ให้ผมถอดเสื้อแล้วยังล้วงก้นผมอีก ผมน่าจะเตะคุณอีกหลายที”
“อา...” รูฟัสครางออกมา แทบจะยกมือกุมศีรษะ เขาแค่อยากได้ยินฟ่งพูดอะไรให้ชื่นใจบ้าง แต่กลับกลายเป็นถูกเอ็ดไปเสียได้ ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง
“มีใครมาถามอะไรคุณก่อนที่ผมจะมารึเปล่าครับ นอกจากราฟี่น่ะ”
“รัสเลอร์” ฟ่งตอบออกไปทันที รูฟัสขมวดคิ้ว “เขาถามอะไรคุณบ้าง?”
“ก็ไม่ได้ถามมากหรอก” ฟ่งตอบเลี่ยงๆ ดูเหมือนรูฟัสจะไม่อยากให้รัสเลอร์สอบถามอะไรเขา หนุ่มตาสองสีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ได้ถามอะไรแปลกๆ นะครับ วันหลังถ้าเขาถามอะไรคุณอีก ให้บอกว่าจะเรียกทนาย ไม่ก็บอกว่าถามมากฉันจะกระทืบแก”
ฟ่งหัวเราะขืนๆ พลางคิดว่าคงไม่มีคนมารยาทดีที่ไหนเขาพูดอย่างที่รูฟัสแนะนำหรอก
“จริงสิ รัสเลอร์เป็นซีไอเอเหรอ?” ฟ่งถามออกไปอย่างใคร่รู้ เขาคิดว่ารูฟัสน่าจะตอบเขาได้ชัดเจนกว่าราฟาแอลผู้ซึ่งเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ดันเลี่ยงที่จะตอบเมื่อถูกถาม คราวนี้รูฟัสทำหน้าพิกล
“ไม่มีซีไอเอคนไหนงี่เง่าบ้าบอแบบนั้นหรอก”
“นั่นสินะ” ฟ่งพยักหน้า และหัวเราะฝืนๆ ดูสองคนนี่จะไม่ต้องการให้เขารู้ว่ารัสเลอร์เป็นใครจริงๆ ช่างเถอะ ถึงจะเป็นใครก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย อีกไม่นานเขาคงจะได้หลุดพ้นจากเรื่องวุ่นๆ พวกนี้เสียที
“นี่ รูฟัส งานของคุณน่ะ เสร็จแล้วใช่ไหม?”
รูฟัสนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “จริงๆ ก็เหลือที่ต้องทำอีกไม่มากหรอกครับ แค่ให้ปากคำเฉยๆ คุณจะให้ผมย้ายของไปห้องคุณเลยไหม?”
“ผมยังไม่ได้พูดเลยว่าจะให้คุณย้ายเข้ามา” ฟ่งพูดทันที รูฟัสถือวิสาสะดึงมือคู่นั้นขึ้นมาจูบ
“ก็คุณพูดว่าอยากจะอยู่กับผมนี่ครับ อย่าบอกนะว่าคุณลืม ผมว่าเรารีบออกจากโรงพยาบาลแล้วไปที่ห้องกันเถอะ ผมอยากกอดคุณใจจะขาด”
ฟ่งรีบดึงมือออก หน้าแดงด้วยความขวยเขิน
“ผม..ผมอยากเจอคนอื่นก่อน” ร่างบางกล่าว แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่รูฟัสก็ยอมตกลง
“คุณอยากเจอใครล่ะครับ ผมจะพาไปหา”
--------------------------------------------
อิทธิเดชได้ยินเหมือนเสียงใครสักคนเรียกชื่อเขาจากที่ไกลแสนไกล ชายหนุ่มพยายามฝ่ามองออกไปเบื้องหน้า สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่าที่เหมือนแสงสว่างห่อหุ้มตัวเขาไว้ และเสียงเหมือนเครื่องมือโลหะกระทบกันเบาๆ ชายหนุ่มพยายามลืมตาขึ้น แล้วความรู้สึกของเขาก็ขาดไปอีก
เสียงปิ๊บ ปิ๊บ ของเครื่องมือบางอย่างทำให้สติของอิทธิเดชกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเปิดเปลือกตา และพบว่ามีอะไรบางอย่างครอบอยู่เหนือปากและจมูกของเขา รู้สึกปวดศีรษะ และกระหายน้ำ ร่างบางพยายามยันตัวขึ้น และทรุดฮวบลงไปเมื่อความเจ็บปวดแบบแสนสาหัสแล่นแปลบขึ้นมาจากสีข้างของเขา เสียงพึมพำอย่างตกใจดังขึ้นทันที
“คุณฟื้นแล้ว!!” วรุตโพล่งขึ้น ความจริงเขาควรจะรู้สึกดีใจกว่านี้ ถ้าไม่พบว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามลุกขึ้นในตอนที่เขาผล็อยหลับ ชายหนุ่มยกมือจับร่างที่ทรุดลงไปนั้นอย่างเป็นห่วง
“เจ็บมากหรือเปล่า ผมจะเรียกพยาบาล เผื่อว่าแผลคุณฉีก”
อิทธิเดชคว้ามือข้างที่กำลังจะเอื้อมไปกดปุ่มเรียกพยาบาลของวรุตเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “น้ำ ฉันหิวน้ำ”
วรุตมีสีหน้าเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก เขาตัดสินใจกดปุ่มเรียกพยาบาล ไม่นานนักพยาบาลสาวนางหนึ่งก็เดินเข้ามา และจัดการแสดงวิธีการให้น้ำแก่ผู้ป่วยที่สวมเครื่องช่วยหายใจให้วรุตได้เห็น
“ขอโทษที คุณใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ ผมไม่รู้ว่าควรจะให้น้ำคุณยังไง” วรุตกล่าวขึ้นหลังจากที่นางพยาบาลออกไปแล้ว อิทธิเดชผงกศีรษะ เสียงของเด็กคนนี้เองที่เรียกเขาในความฝัน ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกผู้ชายชาวต่างชาติที่บุกรุกเข้ามายิงใส่ แล้ววรุตก็เข้ามาขวางเอาไว้ หนุ่มหน้าสวยหันกลับไปหาลูกชายของผู้เป็นเจ้านาย
“เธอ..บาดเจ็บรึเปล่า?”
วรุตเดินกลับมานั่งข้างๆ และยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมไม่เป็นไรหรอก ห่วงตัวเองเถอะ โชคดีที่ลูกกระสุนไม่ฝังเข้าไปในปอด หมอบอกว่ามันพุ่งผ่านกล้ามเนื้อส่วนที่ไม่สำคัญของคุณไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ตอนนั้นผมคิดว่าคุณจะตายแล้วเสียอีก เลือดคุณออกเยอะมากเลย”
คนบาดเจ็บเงียบไปอีกพักหนึ่ง นัยน์ตาหวานฉ่ำจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ท้ายที่สุดจึงเอ่ยถ้อยคำออกมา “ฉันอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ ถ้าเธอไม่ขวางเอาไว้”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย…” เด็กหนุ่มคราง ก่อนจะถอนหายใจยาว ดึงมือของอิทธิเดชข้างที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้ามา และจูบลงไปอย่างรักใคร่ “ผมดีใจที่คุณฟื้นขึ้นมาคุยกับผมได้”
อิทธิเดชมองดูวรุตอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่าง เด็กคนนี้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขา ข่มขืน เหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ด้วยการแบล็กเมล์ ต่อมาก็พยายามจะหนีไปจากเขา แถมยังพาตัวเองไปสู่อันตรายที่ไม่มีใครคาดคิด แต่ว่าถ้าวรุตไม่ดึงมือของผู้ชายคนนั้น เขาอาจจะตายจริงๆ อิทธิเดชไม่เคยเห็นแววตาของใครน่ากลัวขนาดนั้นเลย แววตาสีเขียวที่เหมือนดวงตาของสัตว์นักล่า
“ท่านประธานล่ะ?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยถามขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เขาถูกยิง การประชุมนั้นล้มเหลวรึเปล่า แล้วมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นอีกไหม เหมือนว่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
“พ่อ....” วรุตพูดค้างเอาไว้แบบนั้น นั่นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคลทันที หนุ่มหน้าสวยโพล่งขึ้นอย่างตระหนก “เกิดอะไรขึ้นกับท่านประธาน? เขา..เขาบาดเจ็บหรือ?”
วรุตรีบกดร่างของอิทธิเดชลงไปบนเตียง ด้วยกลัวว่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายพยายามจะลุกขึ้นบาดแผลอาจจะฉีกขาด เขาสั่นศีรษะ
“เปล่า พ่อไม่เป็นอะไรหรอก คุณสบายใจได้ เขาปลอดภัยดี”
“แล้วทำไมเธอถึงพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น” หนุ่มหน้าสวยไม่วายตั้งข้อสังเกต เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“พ่อถูกจับ”
“ถูกจับ?!” อิทธิเดชทวนคำอย่างตกใจ เขามองหน้าวรุตอย่างไม่เชื่อ
“ท่านประธานน่ะหรือ เขาถูกจับได้ยังไง? ตำรวจรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?!”
“ผมไม่รู้” เด็กหนุ่มกล่าว สิ่งที่เขาทราบตอนนี้คือ ผู้เป็นพ่อยอมถูกตำรวจควบคุมตัว หลังจากเกิดระเบิดต่อเนื่องกันหลายระลอก ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขา เด็กหนุ่มเองก็คาดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นตั้งใจจะทำลายล้างกันถึงขนาดนี้ ดีที่อานุภาพของระเบิดที่เกิดขึ้นไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้อุโมงค์ถล่ม ถึงอย่างนั้นมันก็รุนแรงพอที่จะทำให้ตำรวจรู้ถึงการมีอยู่ของห้องลับได้
“ตำรวจมีหมายค้น มีหลักฐานด้วยว่าพ่อผมทำผิดกฎหมาย คุณก็รู้ใช่ไหมว่าเขาไม่ได้ทำเรื่องถูกต้องไปเสียหมด” วรุตตัดสินใจสรุปใจความสำคัญ เขายังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกราฟาแอลร่วมมือกับตำรวจหรือเปล่า แต่ดูจากรูปการแล้วก็คงไม่ผิดไปจากนี้นัก ประเด็นคือ ทำไมตำรวจถึงต้องส่งสายลับพวกนี้เข้ามา
อิทธิเดชเลี่ยงที่จะตอบคำถาม เขาหันไปทางอื่น วรุตเองก็นิ่งเงียบไป
“แล้ว..เธอจะทำยังไงต่อ?” ในที่สุดหนุ่มหน้าสวยก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นอีกรอบ เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา และก้มศีรษะลง “ผมคงต้องต่อสู้คดีให้เขา ถึงเขาจะทำเรื่องไม่ดี แต่เขาก็เป็นพ่อผม”
ใบหน้าของอิทธิเดชปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ค่อยจะมีบ่อยนัก โดยเฉพาะกับเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุต “ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น”
วรุตเงยหน้าขึ้นมองทันที “ผมไม่ได้ทรพีถึงขนาดปล่อยให้พ่อตัวเองติดคุกไปเฉยๆ หรอกน่า” เด็กหนุ่มกล่าว พลางถอนหายใจอีกรอบ เขาหวังว่าผู้เป็นพ่อจะสำนึกได้จากเหตุการณ์ในคราวนี้ วรุตไม่ต้องการให้พ่อของเขาทำเรื่องเลวร้ายอีก
“นี่ เดช ถ้าคุณหายดีแล้ว มาช่วยงานผมได้ไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน ผู้ถูกถามขมวดคิ้วอย่างสงสัย อีกฝ่ายพูดต่อ “พ่อผมถูกฝากขัง ผมยังไม่แน่ใจว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือเปล่า ผมคงไม่ได้ไปเรียนต่อ อารัตน์บอกให้ผมอยู่ดูแลกิจการไปก่อน”