ใหนบอกสองวันลงทีไงนี่มันเดือนนึงแล้วยังม่ายลงเลยอ้าาาาาาาาาาา
ขออภัย ลืมค่ะ ลืมจริงลืมจัง^^"" ลงให้ต่อแล้วนะคะ
บทที่61 ถ้อยคำหลังเสียงระเบิด!!
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้นั้น ดังขึ้นก่อนที่แสงสว่างจะกลับมาเพียงไม่กี่วินาที วรุตขนลุกซู่ เขาไม่เคยได้ยินเสียงร้องน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน
เกิดอะไรขึ้น? และกับใครกัน?
แต่ยังไม่ทันที่เสียงร้องนั้นจะสิ้นสุด เสียงผุดลุกขึ้นและเสียงตะโกนก็ดังแทรกขึ้นมา เป็นภาษาต่างๆ
“แย่แล้ว!!”
“มีคนนอก”
“มีศัตรูแฝงเข้ามาในนี้”
“ระวัง!!”
นั่นคือท่อนหนึ่งของคำพูดในหลายภาษาที่วรุตพอจะฟังออก เสียงขยับตัวดังสับสนอลหม่าน ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของผู้เป็นพ่อซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา
“ทุกท่านใจเย็นๆ ก่อนครับ! บางทีนี่อาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุ”
แต่เสียงของพ่อเขาก็เป็นเพียงเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่ง ที่ถูกกลบด้วยเสียงอื้ออึงจากความแตกตื่นที่ดังขึ้นภายในห้อง วรุตตัดสินใจกระซิบกับผู้เป็นพ่อ
“พ่อ... นี่มัน........”
ทันใดนั้นเอง แสงไฟก็สว่างพรึบขึ้น
เด็กหนุ่มเบิ่งตากว้าง สิ่งที่เขาเห็นคือภาพของเหล่าผู้ติดตามที่ลุกขึ้นมายืนบังเจ้านายของเขาเอาไว้ และกราดปืนออกไปในทิศทางตรงข้าม ต่ำลงไปกว่านั้น.......
“จูเลียโน!!” ชายชาวต่างประเทศอายุราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบเศษ โพล่งขึ้น ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นจากเก้าอี้ บนพื้นข้างตัวเขา ร่างของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งกำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดงจัด ขณะที่มือข้างหนึ่งกุมต้นคอของตัวเองเอาไว้
เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด และภาพที่ได้เห็นทำเอาเด็กหนุ่มเย็นวาบไปทั้งสันหลัง ภายในห้องพลันเงียบสนิทไปทันที ยิ่งทำให้เสียงร้องทุรนทุรายนั้นฟังดูโหนหวนน่าหวาดกลัวมากขึ้น
ทวีศักดิ์รู้สึกตัวก่อนเป็นคนแรก เขารีบกรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสาร
“รัตน์ ตามหมอหรือใครก็ได้ ตอนนี้ในห้องประชุมมีคนได้รับบาดเจ็บ ท่าทางเหมือนจะถูกยาพิษ แต่ผมยังไม่รู้ว่าเป็นยาพิษประเภทไหน”
วรุตหันไปมองพ่อของเขา แม้ไฟจะดับไปพักหนึ่ง แต่อากาศภายในห้องยังคงเย็นอยู่ ถึงกระนั้น บนใบหน้าของทวีศักดิ์กลับปรากฏเหงื่อซึมออกมาจนเปียกชุ่ม
“พ่อ...” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแห้ง ทวีศักดิ์หันมามองหน้าลูกชายของตัวเอง ก่อนจะพยักหน้า
“ไม่เป็นไร เชื่อพ่อเถอะ ไม่เป็นไร...”
วรุตมองหน้าพ่อของตัวเอง ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือก
------------------------------------------
แพทย์ที่ถูกจ้างมาประจำเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ถูกตามตัวลงมาหลังจากนั้น พอเห็นอาการของคนที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ก็เร่งให้นำส่งโรงพยาบาลทันที เพราะอาการคล้ายกับถูกสารเคมีที่พิษกัดกร่อนระบบประสาท แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นประเภทไหน
ร่างของผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำออกไปแล้ว พร้อมกับชายร่างอุ้ยอ้ายซึ่งเป็นเจ้านาย ที่หน้าซีดราวกับกระดาษ เมื่อได้ทราบอาการของผู้เป็นลูกน้อง เขาพึมพำเป็นภาษาที่วรุตไม่เข้าใจไปตลอดทางระหว่างเดินออกไป และหันมามองพ่อของเขาเป็นระยะๆ
เหงื่อบนใบหน้าของทวีศักดิ์ยิ่งซึมออกมามากกว่าเดิม
เสียงพึมพำในห้องดังขึ้นอื้ออึงระหว่างนั้น ก่อนที่ใครสักคนจะเริ่มพูดขึ้น
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่? ฝีมือใครกัน?”
แต่ยังไม่ทันที่ทวีศักดิ์จะได้ตอบอะไร อีกเสียงก็ดังตามขึ้นมา “หรือว่ามีศัตรูแอบแฝงเข้ามาเพื่อกำจัดพวกเรา?!”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ทวีศักดิ์พูดขึ้นต่อจากนั้น ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง “ผมตรวจสอบพวกคุณมาอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีทางที่จะมีการปลอมแปลง หรือสวมรอยแทนได้อย่างเด็ดขาด”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านขวามือจะเอ่ยปากขึ้น “งั้นถ้าเกิดว่าใครคนใดคนหนึ่งในพวกเรา ต้องการล้มการประชุมนี้ขึ้นมาล่ะ?”
“มันจะมีเรื่องบ้าแบบนั้นได้ยังไง?!” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง “ที่พวกเรามารวมตัวกัน ก็เพื่อดูผลการทดลองยาตัวใหม่นะ......” ทันใดนั้น คนพูดก็เงียบไป ก่อนจะโพล่งอย่างนึกขึ้นได้ “หรือว่าจะมีใครในพวกเราต้องการจะฮุบยานี่ไว้คนเดียว เลยวางแผนจะกำจัดคนที่เหลือทิ้ง”
ทั้งหมดมองหน้ากัน ด้วยสายตาที่แสดงความหวาดระแวงระหว่างกันอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ทวีศักดิ์กำลังจะเอ่ยปาก ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้น
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ ไม่มีใครโง่พอจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเราทั้งหมดนี้หรอก” คนพูดเป็นผู้ชายอายุราวๆ สามสิบเศษ สวมแว่นตากรอบทอง และหวีผมเรียบจนติดหนังศีรษะ เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แล้วกล่าวขึ้นต่อ
“ลองคิดดูสิครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณทั้งหมด คิดว่าคนที่รอดอยู่จะพ้นจากข้อสงสัยหรือครับ พวกเราเองก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลกันมา กำลังคนก็ไม่พร้อมกันทั้งนั้น ถ้าหากถูกรุมแล้วล่ะก็ คงไม่มีหวังจะรอดชีวิตกลับไปได้หรอก ผมว่า เรื่องนี้น่าจะมีเงื่อนงำอย่างอื่น”
วรุตมองดูผู้ชายที่สวมแว่นตากรอบทองคนนั้น จำได้ว่าระหว่างที่นั่งประชุมกัน เขาไม่สังเกตเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน อาจจะเพราะท่าทางที่ดูธรรมดามากก็ได้ แต่พอได้เห็นจังหวะการพูดและสายตาที่ใช้มองคนโดยผ่านแว่นกรอบทองนั้นแล้ว วรุตกลับรู้สึกขนลุก
เขาเกิดกลัวผู้ชายท่าทางธรรมดาคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ภายในห้องบังเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เหมือนทุกคนกำลังนึกทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นเพิ่งพูดออกมา ก่อนจะมีเสียงสนับสนุน “จริงของคุณ แต่...แล้วนี่มันเป็นฝีมือใครกันล่ะ แล้วหวังผลอะไรกันแน่?”
“มันก็ไม่แน่นักหรอกครับ” เสียงที่ดังราวกับหินแตกแทรกขึ้นมา จากปากชายร่างสูงใหญ่ อายุสักสี่สิบเศษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายสวมแว่นตากรอบทอง “ถ้าหากว่าจับมือกันสักสี่ห้ามกลุ่มล่ะก็.... ไม่จำเป็นจะต้องกลัวว่าจะโดนจัดการหลังจากนี้หรอก สร้างเรื่องขึ้นมา แล้วโยนความผิดให้มือที่มองไม่เห็นซะ จากนั้นก็จัดฉากขึ้นมา ให้ใครสักคนที่อยู่ในแผนความร่วมมือประมูลตัวยาไปซะ แล้วค่อยไปแบ่งสันบันส่วนกันตอนหลัง มันก็ทำได้ไม่ใช่หรือ คุณชายเว่ย?”
ท้ายประโยคจงใจจะพูดกับผู้ชายสวมแว่นตากรอบทองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เว่ยจินหยินถลึงตามองคนพูด แล้วกล่าวออกมา “คุณฟารุค พูดแบบนี้ มีเจตนาอะไรกันแน่?”
“ก็อย่างที่เขาว่านั้นแหละนะ” เสียงผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้กันพูดขึ้น “ดูอย่างสายลับที่จับได้เมื่อตะกี้นี้สิ น้องชายใครกันนะที่จ้องเสียตาแทบจะถลนน่ะ หืม? ไม่ลองให้น้องชายคุณพูดอะไรดูหน่อยหรือไง คุณชายเว่ยจินหยิน”
เว่ยจินหยินจ้องสองคนฝั่งตรงกันข้ามผ่านแว่นตากรอบทองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะกระชากเสียงพูดออกมา “พวกคุณพูดจาสามหาวมากไปแล้ว น้องชายผมน่ะ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้นอย่างเด็ดขาด ใช่ไหมเฟิง....?!”
เว่ยจินหยินชะงักเสียงค้าง ก่อนจะจับตัวน้องชายเขย่า
“เฟิงปิง!!!”
ร่างของเว่ยเฟิงปิงล้มฟาดลงกับโต๊ะตรงหน้า
----------------------------------------
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง กระทั่งฟารุคเองยังหน้าถอดสี ร่างของเว่ยเฟิงปิงล้มพับอยู่บนโต๊ะ โดยมีผู้เป็นพี่ชายโพล่งออกมาอย่างตกใจ “เฟิงปิง!!”
จางซื่อเยี่ยนพรวดพราดเข้ามาหาเจ้านายทันที และเกือบจะผลักเว่ยจินหยินออก “คุณชาย!”
ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงซีดเผือดราวกับคนตาย ในตอนที่จางซื่อเยี่ยนประคองเขาขึ้นมาจากโต๊ะ ร่างกายดูอ่อนปวกเปียกไปหมด เว่ยจินหยินโพล่งออกมาอีก “นี่มัน!!??”
ชายหนุ่มถลันเข้าไปหาร่างของน้องชาย ก่อนจะยกมือขึ้นแตะใบหน้า และปลายจมูก จากนั้นก็หน้าซีดเผือด “ตามหมอ ตามหมอที ช่วยน้องผมด้วย”
วรุตรู้สึกถึงความตรึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นมาภายในห้อง ระหว่างที่พ่อของเขากรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสารอย่างร้อนรน
----------------------------------------------
ร่างของเว่ยเฟิงปิงถูกนำออกไป พร้อมกับลูกน้องคนสนิท ถึงกระนั้นผู้เป็นพี่ชายยังคงยืนอยู่ในห้อง เว่ยจินหยินกวาดตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นเจ้าของการประชุม “คุณทวีศักดิ์ คุณปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?”
ทวีศักดิ์กลืนน้ำลายเฮือก มือที่กำอยู่เปียกชุ่ม กระทั่งเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ในห้องประชุมที่ถูกออกแบบมาอย่างรัดกุม และการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชุมที่มีการตรวจสอบกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?!
“คุณทวีศักดิ์ คุณจะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น คุณปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง คุณรับผิดชอบชีวิตพวกผมแบบไหนกัน?!!” เว่ยจินหยินพูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
ทวีศักดิ์ถึงกับขากรรไกรค้างไปในบัดดล ลำพังไอ้ความกดดันที่มีอยู่ในบรรยากาศนี่ก็มากพอแล้ว ยังจะมีคำพูดนี้ออกมาจากปากของเว่ยจินหยินอีก คำพูดที่เขากลัวที่สุด
คำพูดซึ่งหลายคนอาจจะอยากพูด.... และในเมื่อมีคนแรกพูดออกมาแล้ว....
“ผมเห็นด้วย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นพวกเรารับไม่ได้หรอกนะ ที่นี่มันเสี่ยงเกินไปแล้ว คุณไม่เคยบอกเราถึงความเสี่ยงนี้ ไหนว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดไง?” เสียงหลายเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาหลังจากนั้น ผู้เป็นเจ้าของการประชุมแทบยกมือขึ้นปาดเหงื่อ หากไม่ติดว่ามันเป็นการแสดงมารยาทที่ไม่ดี ทวีศักดิ์อยากจะพูดออกไปว่าเขาแน่ใจเรื่องสถานที่ แต่ใครมันจะคิดล่ะว่าจะมีคนกันเองเป็นไส้ศึกแบบนี้ เรื่องนี้แย่ยิ่งกว่าพวกสายลับที่เขาไล่ต้อนอยู่ด้านล่างอีก เพราะคนที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบมาหมดแล้ว
หรือจะมีใครในกลุ่มคนพวกนี้วางแผนจะฮุบเอาตัวยาไปอย่างที่ฟารุคว่าจริงๆ
ทวีศักดิ์ค่อยๆ กวาดตามองกลุ่มคนจากหลากหลายที่ภายในห้อง ต่างคนต่างแสดงความหวาดระแวงกันออกมาอย่างเห็นได้ชัด ในสถานการณ์แบบนี้ เขาวิเคราะห์หรือประเมินไม่ออกเลยว่า ใครเป็นพวกใครหรืออยู่ฝ่ายไหนกันแน่
เสียงเรียกร้องให้เขารับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นยังคงดังตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวของเว่ยจินหยินเองที่ดูจะหมดความอดทนถึงที่สุด
“คุณทวีศักดิ์ ผมขอถอนตัว เรื่องนี้มันเสี่ยงเกินกว่าที่ผมจะรับได้แล้ว”
สิ้นสุดประโยค เสียงอื้ออึงในเชิงเห็นด้วยดังต่อขึ้นมาทันที ทวีศักดิ์กลืนน้ำลายเฮือก
การประชุมครั้งนี้เขาลงทุนไปมาก และหากยกเลิกไปเฉยๆ ก็เท่ากับว่าสูญเปล่าทั้งหมด
ระหว่างที่เขากำลังนึกวิธีจัดการกับปัญหาหนักหนาสาหัสที่อยู่ตรงหน้า เสียงหนึ่งซึ่งอยู่ข้างเขามาโดยตลอดก็พูดออกมา
“ผมเห็นด้วยกับทุกท่านครับ การประชุมนี้ควรหยุดได้แล้ว”
ทวีศักดิ์หันไปมองบุตรชายของเขาอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะอุทานออกไป “วิน ลูกพูดอะไร? ลูกรู้รึเปล่าว่ามันเสียหายขนาดไหน?”
วรุตพยักหน้า และหันไปมองพ่อของเขา “ผมรู้ ถึงจะรู้ไม่เท่าพ่อก็เถอะ ผมรู้ว่างานนี้พ่อลงทุนไปมาก แต่มันเสี่ยงเกินไป ถ้าเรายังยืนยันต่อพวกเขาอาจจะฆ่าเราก็ได้” เด็กหนุ่มหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบตามองไปยังวงประชุม
“พ่อไม่เห็นหรือพวกนั้นมีปืน แล้วเขาก็กำลังมองมาที่เราอย่างเอาเรื่อง ถ้าเรายังขืนรีรอไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ เขาไม่เอาเราไว้แน่”
ทวีศักดิ์มองหน้าลูกชาย ขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด เหงื่อกาฬหลายหยดไหนซึมออกมา ไรผมของเขาเปียกชุ่ม แม้จะอยู่ในห้องปรับอากาศก็ตาม เป็นครั้งแรกที่วรุตเห็นพ่อเขาในสภาพเครียดจัดเช่นนี้ เด็กหนุ่มอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ทำไมพ่อของเขาจะต้องนำพาตัวเองมาในภาวะแบบนี้ด้วย ภาวะที่เสี่ยงทั้งตัวเองและคนอื่น
“พ่อ...” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้ง คนถูกเรียกกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วหลับตาลง จากนั้นจึงเบือนหน้าออกไปอีกทาง
“ผมขอยกเลิกการประชุม”
บรรยากาศตรึงเครียดภายในห้องเหมือนถูกผ่อนออกลงทันที หลายเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก กระทั่งตัวของวรุตเอง แต่เมื่อมองกลับมายังพ่อของเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้
ทวีศักดิ์รู้สึกเหมือนตัวเองบอลลูนที่ถูกปล่อยลม จบสิ้นกันแล้ว สิ่งที่เขาทุ่มเททำลงไป ทุกอย่างที่เขาทำเพื่อคนสำคัญที่สุดของเขา
ชายวันกลางคนขบกรามกรอด กลั้นความรู้สึกไม่ให้เอ่อทะกลักออกมา
วรุตมองดูผู้เป็นพ่อด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก ก่อนจะเดินช้าๆ ไปที่ประตู แล้วเปิดมันออก...
--------------------------------------
แคลร์ยืนอยู่หน้าประตูที่ใช้เปิดเข้าสู่ส่วนที่เป็นระเบียงใหญ่ ในตอนที่ไฟติดขึ้น หล่อนมั่นใจว่าราฟาแอลจะต้องอยู่ที่นี่ ต่อให้หมอนั่นสามารถมองเห็นได้ในความมืดได้ด้วยเทคนิคอะไรก็ตาม แต่คงไม่สามารถผ่านประตูออกไปในตอนที่ไฟดับได้แน่ๆ
สิ่งที่น่ากังวลคือ หมอนั่นทำอะไรบ้างตอนไฟดับ คงไม่ใช่แค่วิ่งไปวิ่งมาหรอก....
เสียงกระสุนดังสนั่นขึ้นแทบจะในทันทีที่หล่อนเปิดประตูเข้าไป ให้ตายสิ ผู้ชายคนนั้นบ้าดีเดือดเป็นบ้า เป็นพวกเสพติดควันปืนหรือยังไง อาจจะฟังดูน่าแปลก แต่หล่อนรู้สึกดีกับเสียงปืนนั่น อย่างน้อยหล่อนก็รู้ว่าราฟาแอลมีจุดประสงค์จะเผยตัวแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกพบเห็นหลังจากไฟติดขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ แปลว่าเขาเองก็ตั้งใจจะถ่วงเวลาเหมือนกัน ซึ่งจะถ่วงไปเพื่ออะไรนั้น ถ้าได้เจอกันก็คงได้ถามเองนั้นแหละ หญิงสาววิ่งเหยาะๆ ไปตามทิศทางของเสียง
ท่าทางครั้งนี้อาจจะได้ทักทายกันหนักมือหน่อย
--------------------------------------
สิ่งที่ทำให้รัสเลอร์แทบแหกปากร้องออกมาคือภาพของใครคนหนึ่งที่เขาจำได้ดีแม้จะมองจากกล้องวงจรปิดก็ตาม นั่นใช่ฟ่งไม่ผิดแน่ แต่ปัญหาคือฟ่งกำลังกอดอยู่กับใครอีกคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก ท่าทางตัวบางๆ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ แต่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นผู้ชายนั่นแหละ ปัญหาคือทำไมฟ่งต้องกอดกับเจ้าหมอนั่นแบบนั้นด้วย คงไม่ใช่ว่าเพราะตกใจกลัวไฟดับหรอกนะ
รัสเลอร์เกิดความคิดขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเขาควรจะไปหาฟ่งเพื่อถามถึงเหตุผลที่เจ้าตัวมาปรากฏตัวอยู่ ไม่ก็ทำให้ฟ่งมาหาเขาที่นี่ แต่ที่สำคัญคือไม่ว่าวิธีไหนก็คงเป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้
รัสเลอร์เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าฟ่งเป็นคนที่ลึกลับยิ่งกว่าพวกสายลับคนไหนที่เขารู้จักเสียอีก
คนที่ทำเรื่องที่คนอื่นหาเหตุผลมารองรับไม่ได้นี่ ถ้าไม่บ้าก็ฉลาดจนน่าตกใจเลยทีเดียว…
---------------------------------------
ฟ่งไม่ได้บ้า แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เขาเกือบถูกยิงตายเพราะชายคนหนึ่ง แล้วตอนนี้ชายคนนั้นก็กำลังร้องไห้อยู่บนหัวไหล่ของเขา ความจริงคือสีหน้าที่อิทธิเดชแสดงออกมาทำให้เขานึกถึงตัวเองตอนที่เลิกกับดาใหม่ๆ เขาก็คงมีสีหน้าแบบนี้เหมือนกัน นี่รึเปล่าที่เป็นเหตุให้รูฟัสทำดีด้วย ดูเหมือนรูฟัสเองก็เคยพูดเอาไว้แบบนี้เหมือนกัน เขาก็ควรจะให้สิ่งดีๆ กับคนที่เคยมีสภาพเดียวกับเขาบ้าง ถึงจะไม่ทุ่มทุนสร้างแบบรูฟัส แต่แค่นี้ก็น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง ประเด็นคือเขาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ดูเหมือนรูฟัสจะมีปัญหา อย่างน้อยก็ที่ไฟดับเมื่อครู่นี่แหละ ฟ่งคิดว่าคงไม่มีใครอยากดับไฟ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ เขากลัวว่าเหตุจำเป็นที่ว่าอาจจะเกี่ยวกับผู้ชายตาสองสีคนนั้น
“ผม..คงต้องไปแล้ว” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นหยุดสะอื้นไปพักใหญ่แล้ว อิทธิเดชเงยหน้าขึ้นมา และพยักหน้าหน่อยๆ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ฟ่งเห็นแบบนั้นก็หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดี ท้ายที่สุดจบลงด้วยการใช้แขนเสื้อที่ยาวเกินความจำเป็นช่วยเช็ด อิทธิเดชเผลอหัวเราะออกมา เขารู้สึกขบขันในท่าทางทุลักทุเลของฟ่งที่พยายามจะใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าให้เขา ชายหนุ่มจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา
“ผม..ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนะ” หนุ่มหน้าสวยกล่าว รู้สึกแปลกใจตัวเองที่พูดอะไรแบบนี้ออกไปกับคนที่ตัวเองเพิ่งคิดจะฆ่า แต่ว่าผู้ชายคนนี้ช่างดูยิ่งใหญ่ ในวินาทีที่ที่ทิ้งปืนลงไปแบบนั้น เขารู้สึกว่าฟ่งช่างเป็นคนที่กล้าหาญเสียเหลือเกิน กล้าเสียจนเขารู้สึกถึงคำว่าละอายใจ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยกล้าที่จะตัดสินใจอะไรแบบนี้เลย ผู้ชายคนนี้เป็นปาฏิหาริย์ของเขาจริงๆ
“คุณจะไปไหนล่ะ?” อิทธิเดชเอ่ยถาม เขาแค่คิดว่าสมควรจะพาผู้ชายที่ทำให้เขาคิดในที่สิ่งที่ไม่เคยคิดได้ก่อนหน้านี้ไปส่งในที่ที่ต้องการ เพื่อตอบแทนในสิ่งที่เขาทำลงไป แม้จะโดยไม่รู้ตัวก็ตามเถอะ คงดีกว่าการปล่อยให้เดินไปไหนมาไหนอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้
“เอ่อ...” ฟ่งอึกอัก แม้ว่าวรุตจะรู้ว่าเขาเข้ามาในนี้เพื่อตามหารูฟัส แต่อิทธิเดชไม่ใช่ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ และหนำซ้ำยังยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรูฟัสด้วยซ้ำ ขืนเขาพูดความจริงออกไปคงยิ่งทำให้เรื่องที่เหมือนจะดีขึ้นแล้วกลับเลวร้ายลงแน่ ชายหนุ่มพยายามหาข้ออ้างดีๆ ที่เขาพอจะนึกออกในเวลานี้เพื่อตอบคำถามนั้นออกไป
“ผมอยากจะสำรวจที่นี่หน่อย คุณก็รู้ผมเป็นคนออกแบบมัน”
อิทธิเดชพยักหน้า แต่ก็พูดขัดออกมา “แต่มันอันตราย คุณไม่ได้ยินเสียงยิงกันตอนลงมาหรือ? เขากำลังจัดการกับพวกสายลับที่แอบเข้ามาอยู่ ทางที่ดีผมว่าคุณกลับขึ้นไปด้านบนดีกว่า”
“ผมว่า มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก” ฟ่งพยายามจะหาข้ออ้างต่อ ยังไงเขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่ารูฟัสปลอดภัย อิทธิเดชนิ่งไปพักหนึ่ง
“งั้นผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน”
ฟ่งกลืนน้ำลายเฮือก ในขณะที่อีกฝ่ายผุดลุกขึ้น และยื่นมือมาให้
“ไปกันเถอะ”
---------------------------------------
หนังตาของลู่ชางแทบฉีกขาดออกจากกัน เขามองดูกลุ่มควันหลากสีที่ม้วนตัวและบิดเกลียวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในห้อง โดยมีผู้ชายที่บ้าคลั่งพอๆ กันกำลังกระชากลิ้นชักแก้วลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า เสียงแตกของมันดังถี่เสียจนแยกไม่ออกแล้วว่าเสียงไหนเกิดขึ้นก่อน เสียงไหนเกิดขึ้นหลัง
รูฟัสย่ำลงไปบนเศษแก้ว พร้อมกับดึงลิ้นชักที่ใส่หลอดแก้วบรรจุควันนั้นออกมาทุ่มลงบนพื้น ท่ามกลางกลุ่มควันที่เปลี่ยนสีแทบจะทุกๆ เสี้ยววินาที ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางซิมโฟนีประหลาดๆ พอรู้สึกตัวก็ต้องรีบบอกตัวเองให้หยุดความคิดบ้าๆ นี้เอาไว้ทันที ก่อนจะวิปลาสไปเหมือนตาแก่ที่นอนอยู่บนพื้นนั่น
ลิ้นชักอันสุดท้ายหล่นกระแทกพื้นและแตกกระจาย รูฟัสกระชากคอของลู่ชางที่นอนอยู่ขึ้นมาและเอ่ยถาม “ยังมีเจ้านี่เหลืออยู่ที่ไหนบ้าง?”
แน่นอนว่าลู่ชางไม่ยอมตอบเขาดีๆ แน่ ลู่ชางตะกุยมือใส่รูฟัสราวกับคนบ้า ทำให้รูฟัสต้องทิ้งร่างเหี่ยวย่นนั่นลงบนพื้นอีกครั้ง
“งั้นเชิญแหกตาดูผลงานของแกพินาศไปที่นี่แล้วกัน” รูฟัสตะคอกใส่ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูโลหะที่ถูกใช้เป็นทางเข้าออก
--------------------------------------------
“เฮ้ย ซิมแปนซี เสือขาวมันโผล่หัวออกมาแล้วยัง?” ราฟาแอลตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดของลูกปืน รัสเลอร์สั่นศีรษะและกรอกเสียงกลับไป
“ยัง แต่จริงๆ น่าจะติดต่อกลับมาได้แล้วนี่ เฮ้ย!!” ชายหนุ่มร้องเสียงลั่น จากนั้นก็รีบดึงไฟล์จากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในห้องนั้นขึ้นมาดู “สิงโต!!!”
“อะไรอีกเล่า!!? จะบอกว่ามันดมควันจนน็อกไปอีกรอบหรือไง ถ้าแบบนั้นล่ะก็ปล่อยให้ตายไปเลยแล้วกัน” ราฟาแอลบ่นยาวยืด ท่าทางจะหงุดหงิดที่ต้องทำงานที่ไม่ถนัดอย่างการถ่วงเวลาแบบนี้ รัสเลอร์ได้ยินเสียงเหมือนกระสุนปืนกระแทกโลหะแข็งดังขึ้นอีกสองสามครั้ง ท่าทางเจ้าหมอนั่นจะกำลังวุ่นวายจริงๆ
“ท่าทางเสือขาวจะมีปัญหารอบสองน่ะ คนดูแลระบบคงล็อกประตูพวกนั้น หมอนั่นเลยยังติดอยู่....”
“เอาเข้าไป!!” ราฟาแอลคราง เขากำลังคิดว่าน่าจะพกปืนกลกึ่งอัตโนมัติแบบที่ยิงได้ทีละห้าสิบนัดมาด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเปลี่ยนแมกกาซีน
“แล้วต้องทำยังไง นายปลดล็อกจากตรงนั้นไม่ได้เรอะ?”
“กำลังพยายามอยู่ แต่ฉันว่ามันคงตัดเข้าสู่ระบบควบคุมด้วยตัวเองแล้วล่ะ คงต้องมีใครเปิดประตูเข้าไปช่วยหมอนั่น” รัสเลอร์ตอบกลับมา ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนใส่ไมโครโฟน
“ดีเลย ฉันที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนแมกกาซีนนี่คงทำได้หรอก ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ว่ะ!!!??”
รัสเลอร์รีบดึงหูฟังออกจากหูทันที ตะโกนดังขนาดนี้ ถ้าหูไม่แตก หูฟังก็คงทะลุล่ะ เขารออีกหลายวินาทีกว่าจะทำใจแนบมันเข้ากับหูอีกครั้ง
“โทษที พอดีฉันลืม ก็มัวแต่ลุ้นรูฟัสอยู่นี่หว่า แล้วจะทำไงต่อดี?”
เสียงอีกฟากเงียบไปพักหนึ่ง รัสเลอร์ได้ยินเสียงหายใจหนัก แล้วก็เสียงเปลี่ยนแม็กกาซีน
“นี่.... นายเคยบอกเอาไว้ใช่ไหม ว่าระบบรักษาความปลอดภัยน่ะ ถ้าเกิดมีภาวะวิกฤติขึ้นมา มันจะปลดล็อกตัวเอง รวมถึงไอ้ประตูพวกนี้ด้วยรึเปล่า”
รัสเลอร์พยักหน้าและตอบกลับไป “อืม... มันก็ใช่ ว่าแต่ไอ้ภาวะวิกฤตที่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?”
เหมือนได้ยินเสียงราฟาแอลหัวเราะออกมาให้ได้ยิน
“ระเบิดมันซะก็สิ้นเรื่อง”
--------------------------------------------
อิทธิเดชไม่แน่ใจว่าฟ่งคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่ชายคนนั้นพูดว่าต้องไปแล้ว นั่นหมายถึงเข้าต้องไปทำอะไรบางอย่างที่แข่งกับเวลาหรือเปล่านะ? แต่พอถามเข้าจริงๆ กลับได้รับเหตุผลที่ดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ถึงอย่างนั้นหนุ่มหน้าสวยก็ไม่อยากจะซักต่ออีก เขาไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกับฟ่งในตอนนี้ และก็ไม่อยากจะทำร้ายผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
อิทธิเดชไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นพวกไหนกันแน่ แต่คงมีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่างในการเข้ามาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นเขาขอจับตาดูเงียบๆ ไว้ก่อนจะดีกว่า เผื่อมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นจะได้จัดการได้ทัน
แต่เขาคงฆ่าผู้ชายคนนี้ไม่ลงหรอก
ฟ่งกำลังขบคิดอย่างหนัก เขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังห้องนิรภัยพิเศษ หลังจากไฟดับ มันน่าจะถูกตัดวงจระเข้าสู่ระบบควบคุมด้วยตัวเองแล้ว รูฟัสจะติดอยู่ในนั้นหรือเปล่านะ? เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก จะมีใครไปที่นั่นอีกไหม? หรือควรจะลองถามอิทธิเดชดู ทางนั้นน่าจะคิดต่อกับศูนย์บัญชาการหลัก อาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้
“ผมไปดูที่ห้องนิรภัยได้รึเปล่า?” หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจเอ่ยถามออกไป พอเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างสงสัย จึงรีบพูดต่อ “ผมแค่อยากไปดูน่ะ มันเป็นห้องที่ออกแบบยากที่สุดสำหรับผม”
คนได้ฟังนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “ผมไม่แน่ใจว่าเราจะไปถึงที่นั่นได้ ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่เอาเถอะ ผมจะพาคุณไปแล้วกัน”
อิทธิเดชตัดสินใจว่าเขาจะทำตามที่ฟ่งร้องขอ เพราะยังไงเสียพวกเขาทั้งสองคนคงจะผ่านไปที่นั่นไม่ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ฟังจากเสียงปืนที่ดังแว่วมา ชายหนุ่มหน้าสวยสงสัยว่าฟ่งได้ยินเสียงพวกนี้บ้างหรือเปล่า หรือได้ยินแต่ทำเป็นไม่รู้ หรือจริงๆ แล้วตั้งใจจะไปหาคนที่ทำให้เกิดเสียงนี้กันแน่นะ...
----------------------------------------------