[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 249093 ครั้ง)

ออฟไลน์ CHADMM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
ตามอ่านทันแล้วค่ะ สนุกมากกกกกกกกก,,,  ฟ่งมีแผนจะทำอะไรนะ???  กำลังลุ้นเลย รีบมาต่อนะคะ ^^

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** อ่อค จำวันปิดจองผิดคิดหนัก!! (ใช่ เพราะมัวแต่เย็นใจจนจะปิดเล่มไม่ทันเอาน่ิะสิ!!)

เอามาลงต่อแล้วจ้า>3<
------------------------------------------

บทที่57  ฉวยโอกาส

   การประชุมเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อเหล่าบรรดาแขกเหรื่อจากหลายกลุ่มหลายภาษาทยอยนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดวางเอาไว้รอบโต๊ะสีขาวรูปตัวยู โดยมีทวีศักดิ์นั่งอยู่ตรงจุดกลางของฐานรูปโค้ง ฝั่งตรงข้ามเป็นฉากฉายภาพสามมิติขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นจากเครื่องฉายภาพสิบหกตัวที่วางล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลมอยู่ด้านล่าง ซึ่งตอนนี้กำลังขึ้นโครงสร้างทางเคมีของอะไรบางอย่างอยู่ มีการพูดคุยถึงโครงสร้างเคมีที่ว่านี้อย่างกว้างขวางในหมู่คนที่นั่งอยู่ก่อน อย่างไรก็ตามดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะมีบางอย่างให้กังวลมากกว่านั้น
   รูฟัส..
   เว่ยเฟิงปิงไม่ได้นึกถึงรูฟัสในแบบที่เขาคิดตอนที่อยู่ฮ่องกง มันไม่ใช่ความรู้สึกอ่อนไหวแบบนั้น แต่มันเป็นความกังวลว่า พวก ของรูฟัสที่อยู่ที่นี่คิดจะทำอะไร
   ที่ฮ่องกง รูฟัสเป็นฝ่ายเล่นตามเกมที่เขากำหนด แต่ที่นี่กลับกัน เกมนี้มีผู้เล่นมาก ผู้กำหนดเกมหลักคงเป็นชายที่ชื่อทวีศักดิ์ พวกเขาคือผู้เล่นที่กระโดดเข้ามาเพื่อสิ่งที่เรียกกันว่าเทพเจ้า และพวกรูฟัสคือผู้เล่นที่อยู่นอกเหนือการคาดการ ถึงเว่ยจินหยินจะพูดว่าไม่ควรจะต้องไปใส่ใจมากก็เถอะ ของพวกนี้มันวางใจได้ที่ไหนกันล่ะ
 เว่ยเฟิงปิงกำลังนึกถึงเรื่องเลวร้ายเมื่อหกปีก่อน ในตอนที่รูฟัส และพวกเล่นบทเดียวหรือใกล้เคียงกันนี้
   นอกเหนือการคาดการ
   การหลบหนีโดยฆ่าคนของหน่วยดำไปสอง และบาดเจ็บสาหัสอีกสี่ ดูจะยังไม่ใช่เรื่องเลวร้ายมากนัก เมื่อเทียบกับการที่มีมือดีไปลอบวางเพลิงตึกสำนักงานใหญ่ของตระกูล และสำนักงานย่อยอีกสองสามจุด แม้เพลิงจะไม่ลุกลามมากนัก แต่ก็สร้างความโกลาหล และดึงกำลังในการตามล่าตัวสายลับคนนั้นออกไปได้มากโขทีเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจหาหลักฐานมาชี้ชัดได้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางเพลิงเป็นเครือข่ายของโจวยี่หรือเครือข่ายอื่นของรูฟัสกันแน่ นี่เจ้าพี่บ้านั่นจำเรื่องนี้ได้ในรูปแบบไหนกันนะ?!
เว่ยเฟิงปิงทราบว่าพวกสายลับทำงานกันเป็นทีม แน่นอนว่าครั้งนี้รูฟัสย่อมไม่มาเพียงลำพังแน่ๆ ยังต้องมีคนอื่นอีก แล้วคนพวกนั้นแทรกซึมอยู่ตรงไหน วางแผนอะไร และคิดจะทำอะไรกันแน่
   สองสัปดาห์ที่ผ่านมานอกจากเรื่องริเวิลแล้ว เรื่องของรูฟัสเองก็เคยถูกนำมาเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างเขากับพี่ชาย จริงๆ คือเว่ยจินหยินเป็นฝ่ายถามเขาก่อนด้วยประโยคคำพูดอันน่าสะอิดสะเอียนที่กระแนะกระแหนไปถึงเรื่องที่เขาเคยหลงชอบรูฟัส เว่ยจินหยินสงสัยว่ารูฟัสจะเกี่ยวข้องกับโปรเจค”เทพเจ้า”นี้ เพราะการที่จู่ๆ เขาไปอยู่ที่เมืองไทยคงไม่ใช่เหตุบังเอิญ และดูเหมือนว่าพี่ชายจิ้งจอกคนนี้จะแสดงออกให้เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้ใจเขาในเรื่องนี้ เว่ยจินหยินถามหลายอย่างจากเขา และลงท้ายด้วยการติดต่อกับทวีศักดิ์เพื่อตรวจสอบข้อมูล จะนึกถึงกี่ครั้งเขาก็ยังรู้สึกอยากจะฆ่าพี่ชายคนนี้เสียเต็มประดา ให้ตายสิเจ้าหมอนี่ช่างเป็นคนที่น่ารำคาญและน่ารังเกียจเป็นที่สุด แต่ก็นั่นแหละเขายังจำเป็นต้องพึ่งพาหัวสมองและขุมกำลังของเว่ยจินหยินอยู่ ที่สำคัญดูเหมือนเว่ยจินหยินจะมีแผนบางอย่างเพื่อรับมือกับเรื่องนี้แล้ว โดยที่ไม่ยอมบอกเขา ไอ้เรื่องที่บอกมาก็ดูธรรมดาจนน่าขนลุก มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่านี้แน่ๆ
   เว่ยเฟิงปิงเหลือบตามองพี่ชาย ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาสีดำภายใต้แว่นตากรอบทองที่นิ่งสนิทนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาอยากรู้ว่าเว่ยจินหยินวางแผนอะไรเอาไว้ในสถานการณ์แบบนี้
   “พี่จินหยิน..” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยเรียกพี่ชายของเขาเบาๆ แม้จะรู้ว่าคำถามที่เขากำลังจะถามอาจจะถูกฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นหอกทิ่มแทงกลับให้เสียหน้าอีก แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาจำเป็นจะต้องรู้ให้ได้จริงๆ
   “พี่มีแผนอะไรรับมือนอกจากที่เล่าให้ผมฟังอีกมั้ย?”
เว่ยจินหยินหันมา และยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มที่อาจจะน่ามองสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเฟิงปิงแล้ว เขาอยากจะเบือนหน้าหลบเสียเดียวนั้น รอยยิ้มที่ทั้งสมเพชและเวทนา เจ้าหมอนี่คงรู้ว่าเขาจะถามอะไร และคงเตรียมคำตอบไว้แล้ว
   “อย่ากังวลไปเฟิงปิง เราต้องกลับบ้านไปพร้อมกับความสำเร็จ เพื่อให้คุณพ่อพอใจ ทั้งพี่และเธอ” เว่ยจินหยินตอบน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามจะรู้สึกเอ็นดูน้องชายตาสีฟ้าคนนี้ขึ้นมาบ้าง ความจริงมันเป็นเรื่องง่ายที่จะกำจัดเด็กคนนี้ที่นี่ แต่มันอาจจะเร็วและเสี่ยงเกินไป เขายังจำเป็นต้องมีผู้ช่วย ถึงเว่ยเฟิงปิงจะยังไม่น่าไว้ใจพอที่จะบอกแผนการทั้งหมด และเขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงให้ใครรู้แผนมากนัก ต่อให้น้องชายคนนี้จะแสดงให้เห็นว่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้ชายที่ชื่อรูฟัสคนนั้นแล้วก็เถอะ แต่พอได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นทีไร ดวงตาสีฟ้าใสนั่นก็แสดงความอ่อนไหวขึ้นมาทุกที
เว่ยจินหยินไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำที่เรียกว่า”ความรัก”นัก โดยเฉพาะความรักแบบที่เว่ยเฟิงปิงมีให้ผู้ชายที่เป็นสายลับคนนั้น เว่ยจินหยินมองไม่เห็นค่าอะไร นอกจากผลเสีย สิ่งที่เขารู้สึกเป็นกังวลคือ ความรักสามารถทำให้คนทำเรื่องที่คาดไม่ถึงได้ อย่างที่เว่ยเฟิงปิงเคยทำลงไปเมื่อหกปีก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่วางใจกับเว่ยเฟิงปิงในเรื่องนี้
   เว่ยจินหยินพยายามประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลานี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป เขารู้ว่ารูฟัสมาที่เมืองไทย รู้ว่ามีคนแอบไปขโมยอะไรบางอย่างของทวีศักดิ์ และตอนนี้รู้ว่ารูฟัสอยู่ที่นี่ หากเขาไม่ต้องการให้งานนี้เกิดขึ้นคงทำลายมันไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว การที่ปล่อยให้งานนี้ดำเนินมาถึงวันนี้ได้แปลว่าใครก็ตามที่จ้างวานมา ต้องการให้มันเกิดขึ้นโดยมีคนรู้เห็น
เว่ยจินหยินได้ยินข่าวจากเพื่อนของเขาในต่างประเทศว่า มีองค์กรระดับสูงจากรัฐบาลประเทศหนึ่งจับตามองงานนี้อยู่อย่างลับๆ เขาแจ้งเรื่องนี้ให้เว่ยชิงทราบ และได้รู้ว่าพ่อของเขาเองได้รับรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงได้ถอนตัวในตอนแรก แต่เหตุผลที่กลับเข้าร่วมเว่ยจินหยินไม่ได้ถามต่อ เขาทราบดีว่าพ่อเป็นคนเช่นไร และเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดที่ว่า ความจริงก็เป็นแค่เครื่องมือกระตุ้นให้เว่ยเฟิงปิงกระโจนเข้าร่วมงานนี้ในฐานะหมากรับเชิญตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
เกมหมากอำมหิตที่ผู้เป็นพ่อเล่นขับเขี้ยวอย่างเงียบๆ กับเขามาเป็นเวลานาน สังเวยชีวิตของใครต่อใครไปตั้งมากมาย ด้วยเหตุผลที่แม้แต่เขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
ถึงอย่างนั้น ในตาหมากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตานี้ หากเขาสามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้ ไม่แน่หรอกว่าพ่อของเขาอาจจะเปลี่ยนใจได้บ้าง เว่ยจินหยินเกือบจะมั่นใจว่า หากเขาทำงานนี้ได้สำเร็จ ผลของมันจะสะเทือนวงการใต้ดินของฮ่องกงอย่างคาดไม่ถึง และคงเกินความคาดหมายของพ่อเขามากด้วย
ดังนั้นครั้งนี้เขาจะไม่พลาด และไม่ยอมพลาดอย่างเด็ดขาด
เว่ยจินหยินเหลือบมองน้องชายอีกครั้ง
   ถ้าหากเขาจะรู้สึกเอ็นดูน้องชายนัยน์ตาสีฟ้าคนนี้ขึ้นมา สาเหตุคงเพราะสิ่งที่เว่ยเฟิงปิงแสดงออกมาระหว่างที่ร่วมงานกันนี่แหละ เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงแสดงให้เห็นว่ายังห่างไกลการจะมาเป็นคู่แข่งของเขานัก เว่ยเฟิงปิงประเมินไม่ออกเลยล่ะหรือ ว่าจะอย่างไร สายลับพวกนั้นจะต้องไม่พังงานนี้จนวินาศสันตะโรแน่ๆ พวกนั้นกำลังรอ รอให้เหยื่อกินเบ็ด รอให้ใครทำอะไรซักอย่างเพื่อชี้ความผิด รอเพื่อทำการจับกุม และคนที่ดูจะเป็นเป้าใหญ่ในเรื่องนี้คงไมใช่ใครอื่น นอกจากผู้ชายที่ชื่อทวีศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะนั่นเอง เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้อยากรู้นักว่าทวีศักดิ์คิดจะทำอะไร อะไรที่จะเป็นการงับเหยื่อ อะไรที่จะเป็นตัวกดปุ่มให้คนที่อยู่นอกเหนือแผนการดำเนินงานของพวกเขา บางทีทวีศักดิ์อาจจะกดปุ่มนั้นไปแล้ว
   เว่ยจินหยินมองโครงสร้างทางเคมีที่ถูกแสดงเป็นภาพสามมิติอยู่เบื้องหน้า ของสิ่งนี้ สิ่งที่เรียกกันว่า”เทพเจ้า” คงเป็นเจ้านี่แหละที่เป็นตัวชนวน เป็นไปได้สูงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกรูฟัสจะปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปจนเกือบจะถึงที่สุดเพื่อระบุความผิด  เขาไม่จำเป็นจะต้องเป็นกังวลกับเรื่องสายลับนี้มากนัก ที่น่าคิดมากกว่าคือทำยังไงที่จะกำจัดเป้าหมายที่ผู้เป็นพ่อต้องการได้
   ไฮท์ของริเวิลสองคนนั่งอยู่ในตำแหน่งเกือบจะตรงกันข้ามกับเขา ถ้าไม่มีเส้นแสงที่กำลังแสดงภาพเคลื่อนไหวนั่น ก็คงหลีกเลี่ยงการสบตากันได้ยาก คนที่นั่งอยู่ด้านขวามือของเขาเป็นชายวัยกลางคนที่ตัดผมสั้นเกรียน และเริ่มมีสีดอกเลาแซมบ้างเล็กน้อย ผิวคล้ำอันเป็นผลมาจากพันธุกรรมที่ไม่แน่ใจว่ามาจากทางพ่อหรือทางแม่กันแน่ เจ้าหมอนี่ชื่อฟารุค เป็นไฮท์ที่มีชื่อเรียกในพวกริเวิลว่า ทเวลท์ ไฮท์เป็นตำแหน่งผู้บริหารลำดับสูงของริเวิลมีด้วยกันทั้งหมดสิบสามคน เรียกกันตามลำดับนับของอังกฤษคือ เฟิร์ท เซคัล เทิร์ท โฟรธ ฟิฟธ์ ซิกซ์ เซเว่น เอจธ์ ไนท์ เท็นท์ อีเลฟเว่น ทเวลท์ เทอทีน แต่ลำดับความสำคัญกลับเรียงสลับ กล่าวคือไฮท์ที่มีลำดับต่ำสุด หรือผู้ที่เพิ่งเลื่อนลำดับขึ้นมาจะเรียกว่าเฟิร์ท ดังนั้นไฮท์ที่อยู่สูงที่สุดคือตำแหน่งของเทอทีน ซึ่งตำแหน่งของฟารุคที่อยู่ในลำดับสิบสองจึงถือว่าเป็นตำแหน่งที่สูงมาก เช่นเดียวกับไฮท์อีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
เจ้าหมอนี่มีชื่อว่าเอียน เว่ยจินหยินไม่แน่ใจว่าเอียนเป็นคนเชื้อชาติไหน อาจจะเป็นอิตาลี่ หรืออะไรแถวๆ นั้น ดูจากหน้าตาและผิวพรรณ หมอนี่อายุอานามไล่เลี่ยกับเขา ผิวสีออกแทน หน้าตาแย้มยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยอยู่ตลอดเวลา ฟังจากที่เถียนซานเล่าให้ฟัง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นผู้บริหารที่เด็กที่สุดและมีเสน่ห์มากที่สุดของริเวิล ที่สำคัญยังเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากอีกด้วย ตำแหน่งของเอียนคือสิบเอ็ด ซึ่งเป็นรองจากฟารุคเพียงตำแหน่งเดียว
แน่นอนว่าสองคนนี่ไม่ได้เพิ่งจะมาร่วมงานกันครั้งนี้ครั้งแรก ในริเวิลนี่ถือเป็นคู่หูที่น่ากลัวมากที่สุด ฟารุคนั้นมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดและปราศจากสิ่งที่เรียกว่าเมตตา ขณะที่เอียนนั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายจนบอกไม่ได้ว่าเขาจะจนมุมตรงไหนกันแน่ ที่นั่งอยู่ในเก้าอี้แถวหลังคือคนสนิทของทั้งคู่ ชายผู้มีรอยบากตรงดั้งจมูกนั้นเว่ยจินหยินรู้จักเป็นอย่างดี เจ้าหมอนี่มีชื่อเรียกว่าสคัล มีเชื้อสายตะวันออกกลางเหมือนฟารุค หน้าตาที่กร้านโลกทำให้เดาอายุจริงไม่ออก แต่คงไม่น่าจะเกินสี่สิบห้า  เจ้าหมอนี่แหละที่เคยประมือกับหลิวต้ายี่ ลูกน้องมือดีคนในสังกัดหน่วยดำของเถียนซาน ทำให้ต้ายี่ได้รับบาดเจ็บ จนต้องปลดระวางจากการเป็นมือสังหาร ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบเศษคาดว่ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ รู้สึกจะชื่อเสี่ยวฟานหรืออะไรซักอย่าง เว่ยจินหยินไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้มากนัก ดูเหมือนเขาจะเพิ่งขึ้นมาเป็นบอดีการ์ดของเอียนแทนคนเก่าที่ถูกฆ่าตายไปเมื่อสองเดือนก่อน ส่วนที่เหลือคงถูกจัดให้นั่งด้านนอก เหมือนเช่นคนอื่นๆ ทวีศักดิ์อนุญาตให้พาผู้ติดตามเข้ามาได้คนเดียวเท่านั้น เพราะตัวห้องมีขนาดจำกัด ส่วนพวกที่เหลือมีห้องรับรองจัดไว้ด้านนอก แยกกันออกไป  เว่ยจินหยินทิ้งลูกน้องสองคนของเขาไว้ด้านนอก ส่วนสี่คนที่เหลือพักอยู่ในตัวกรุงเทพฯ พร้อมด้วยลูกน้องของเว่ยเฟิงปิงอีกคนหนึ่ง ห้าคนนี้พร้อมจะเคลื่อนไหวติดต่อกับสำนักงานใหญ่ทันทีที่มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
-----------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนมองดูเจ้านายของเขาจากทางด้านหลังด้วยความเป็นห่วง ดูเหมือนเว่ยเฟิงปิงจะคุยอะไรกับเว่ยจินหยิน แล้วก็เงียบไป การขยับตัวแบบนั้นเว่ยเฟิงปิงคงไม่ค่อยจะสบายใจนัก เขาไม่รู้ว่าเว่ยจินหยินพูดอะไร ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เรื่องดีนัก เว่ยจินหยินเป็นคนมีพรสวรรค์ในแบบที่สามารถใช้คำพูดธรรมดาๆ ทำให้คนเป็นบ้าได้ เขาไม่เข้าใจว่าเถียนซานทนอยู่กับคนแบบนั้นได้อย่างไรถึงเกือบสามสิบปี หรือบางทีลูกพี่ของเขาคนนี้อาจจะเคยชินกับนิสัยแบบนี้ของเจ้านายของเขาแล้วก็ได้
   “คุณชายเจ็ดคงกำลังกังวลเรื่องของผู้ชายที่เป็นสายลับคนนั้นอยู่น่ะ” เถียนซานเอ่ยขึ้น อาจจะเพราะสังเกตเห็นว่าอดีตลูกน้องของเขามีทีท่ารุ่มร้อนใจ จางซื่อเยี่ยนหันมามองหน้าเขา ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ สำหรับเว่ยเฟิงปิงแล้ว ผู้ชายที่ชื่อรูฟัสมีอิทธิพลอย่างมากเสมอ ไม่ว่าจะในแง่ความรู้สึกแบบใด จางซื่อเยี่ยนเกือบจะแน่ใจว่าเว่ยเฟิงปิงยังคงรักรูฟัสอยู่ และจะรักไปตลอดไม่ว่าจะถูกหักหลังขนาดไหนก็ตาม พอนึกถึงเรื่องแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที
เถียนซานยิ้มอย่างเอ็นดูออกมาเมื่อเห็นสีหน้าท้อแท้ของคู่สนทนา เขาไม่เคยเห็นจางซื่อเยี่ยนทำหน้าแบบนี้ คงคิดอะไรแปลกๆ อยู่แน่ๆ
   “นี่อย่าบอกนะว่ากำลังหึงคุณชายเจ็ดน่ะ?” ผู้มีอายุมากกว่าเอ่ยถาม จางซื่อเยี่ยนรีบสั่นศีรษะทันที “มะ.. ไม่ใช่นะครับ”
   เถียนซานหัวเราะชอบใจ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันคิดว่าคุณชายเจ็ดคงไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยชีวิตของผู้ชายคนนั้นหรอก คุณชายน่าจะกังวลเรื่องการแทรกแทรงเสียมากกว่า”
   “อ้อ ครับ” จางซื่อเยี่ยนพยักหน้า สีหน้าดูคลายลงไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็ยังคงเค้าลางของความกังวลเอาไว้อยู่ดี
   “ผมเองก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่ว่าถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างนั้นจริง เราจะทำยังไงดี?” จางซื่อเยี่ยนถามขึ้นต่อ เถียนซานยิ้มให้คนถามอย่างเอ็นดู
   “เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาหรอก เธอสนใจศัตรูตรงหน้าของเราไว้ดีกว่า”
   จางซื่อเยี่ยนมองดูอดีตหัวหน้าของเขา ก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังของผู้ชายอีกคนที่เคยเป็นหัวหน้างานของเขา
   แผ่นหลังไม่กว้างไม่แคบของเว่ยจินหยินพอจะตอบคำถามพวกนั้นของเขาได้อยู่หรอก จางซื่อเยี่ยนหันไปมองอดีตหัวหน้าของตนอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้า
   ถ้าเถียนซานเชื่อมั่นในตัวผู้ชายคนนี้ เขาเองก็ควรจะเชื่อมั่นด้วย
------------------------------
   แผ่นหลังของเว่ยจินหยินนั้นไม่ได้กว้างไปกว่าแผ่นหลังของผู้ชายอายุสามสิบกว่าโดยทั่วๆ ไปเลย ออกจะเล็กอยู่หน่อยด้วยซ้ำ ก็คงเป็นธรรมดาสำหรับคนที่เกิดและถูกเลี้ยงมาโดยที่มีคำเรียกขานว่าคุณชายนำหน้า เว่ยจินหยินไม่เคยทำงานหนัก ไม่เคยตกระกำลำบากเหมือนเว่ยเฟิงปิง ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวกลับใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับความโหดร้ายของการฆ่า และธุรกิจดำมืดมาตั้งแต่อายุไม่เท่าไหร่ และเพาะศัตรูเอาไว้ไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้เว่ยจินหยินเอาชีวิตรอดมาได้ได้จนถึงทุกวันนี้คือมันสมองที่ทำงานอย่างไม่เคยรู้จักเหน็ดเหนื่อยนั่น และการวางแผนที่ชาญฉลาดแยบยลจนไม่มีใครเทียบได้  เถียนซานเชื่อถือในความคิดของอดีตเจ้านายของเขาคนนี้เสมอมา เว่ยจินหยินไม่เคยตัดสินใจอะไรผิด และเขาเองก็พร้อมจะสนับสนุนคนคนนี้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
แต่ลึกๆ แล้วเถียนซานกำลังรู้สึกถึงบางอย่างที่น่าหวั่นใจ บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร เขามั่นใจว่าเว่ยจินหยินจะไม่พลาด แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่ว่าก็ยังคงวนเวียนรบกวนจิตใจเขาอยู่
----------------------------------------
   ฟ่งเดินลงไปตามบันไดวน ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมเข้าสู่ห้องส่วนกลาง ที่เป็นส่วนที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนมากที่สุด รวมไปถึงรูปเฟืองที่เขาแสนจะภาคภูมิใจในงานออกแบบชิ้นนี้ด้วย
น่าแปลกที่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกชื่นชมมันเท่าที่ควรจะเป็นนัก นักออกแบบหนุ่มกำลังคาดการว่ารูฟัสอาจจะอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของห้องชุดนี้ ปัญหาคือเขาไม่อาจจะผ่านประตูที่กั้นระหว่างชั้นไปได้ ฟ่งไม่รู้ว่ารูฟัสวางแผนจะทำอะไรบ้าง สิ่งที่เขารู้คือ เขาทนรอให้รูฟัสกลับไปหาเขาไม่ได้  ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่กลับมา... ฟ่งแน่ใจว่าเขาไม่ทนรอถึงตอนนั้น หากรูฟัสคิดจะทิ้งให้ต้องทนกับความเสี่ยงแบบนี้ล่ะก็ อย่ามาขอความรักจากเขาเลยจะดีกว่า
   ฟ่งยอมรับว่าตัวเขาในบางเวลามีอารมณ์รุนแรงจนผิดปกติ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจควบคุมได้หากเกิดขึ้น และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นอยู่
   รูฟัสอ้อนวอนขอความรักจากเขา ทำดีกับเขา พยายามจะแสดงความจริงใจ แต่ฟ่งรู้ดีว่ารูฟัสไม่พูดความจริงกับเขาทั้งหมด ที่ผ่านมามันทำให้เขาเจ็บปวดมาก แล้วตอนนี้ยังจะทิ้งเขาไปในที่ที่ไม่แน่ใจว่าจะกลับออกมาได้อีกหรือเปล่า  ถ้าจะขอความรักด้วยการทำแบบนี้ มันสมควรจะให้ไหมล่ะ
   ยิ่งพอคิดว่าผู้ชายคนนั้นอ่อนโยนกับเขา พูดคำหวานที่บางทีก็น่าอายออกมาบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกโมโหปนหงุดหงิดมากขึ้น ทำไมเขาถึงต้องมาเจอกับผู้ชายแบบนี้ด้วยนะ แล้วทำไมเขาจะต้องมาลำบากเพื่อผู้ชายคนนี้ด้วย ที่ทำอยู่นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องไม่เสี่ยงธรรมดา มันจะคุ้มไหม กับอีแค่ผู้ชายที่พูดโกหกซ้ำไปซ้ำมาคนหนึ่ง
   ระบบสแกนยังคงส่งเสียงเตือนว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านลงไปได้ ฟ่งเตะประตูดังผลัวะด้วยความโมโห และนึกว่าถ้าเจอรูฟัสเขาจะเตะให้แรงกว่านี้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าผ่านประตูแบบวิธีปกติไม่ได้ล่ะก็.....
   !!!!
   จู่ๆ ระบบความปลอดภัยก็ปลดล๊อกประตูบานนั้นออก และขึ้นคำสั่งสัญญาณถูกต้อง  หนุ่มสวมแว่นถึงกับอ้าปากค้าง เงยมองสัญญาณอนุญาตให้ผ่านนั้นอย่างงุนงง ทันใดนั้นสมองของเขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
------------------------------------------
   ทวีศักดิ์กำลังอยู่ในห้องประชุม ในงานประชุมที่เขาพยายามสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก และทุ่มเททุนทรัพย์ไปอย่างมหาศาล ทั้งหมดทั้งสิ้นที่ทำลงไป ก็เพื่อเด็กหนุ่มอายุยี่สิบที่กำลังพูดคุยกับเขาอยู่ในตอนนี้
   วรุต
   ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาที่ไม่ว่ามองเมื่อไหร่ก็ทำให้อดนึกถึงผู้เป็นมารดาไม่ได้ เธอเสียชีวิตตอนที่วรุตอายุได้สิบขวบ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทวีศักดิ์ยอมรับว่าตอนนั้นเขาทำอะไรไม่ถูก เขารักเธอมาก การที่เธอจากไปกระทันหันทำให้หัวใจของเขาสลาย เพราะเหตุนี้เองเขาจึงทุ่มเทให้กับงานอย่างบ้าคลั่งกว่าเก่า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงผู้เป็นที่รัก  กว่าที่จะทำใจยอมรับในเรื่องนี้ได้ ความสัมพันธ์ของเขากับลูกชายก็ห่างเหินจนเกินจะแก้ไขเสียแล้ว
   ทวีศักดิ์แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวรุตเลยหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาได้เงยหน้าขึ้นจากงานเพื่อมองหน้าลูกชายชัดๆอีกที ก็ตอนที่วรุตอายุได้สิบเอ็ดขวบ รัตน์เป็นคนพามาที่ทำงานของเขา วรุตในตอนนั้นหน้าตาบวมปูดไปหมด เป็นครั้งแรกที่ทวีศักดิ์ระลึกขึ้นมาได้ว่าเขามีลูกชายที่จะต้องดูแลจริงๆ ตอนนั้นวรุตมีปัญหาชกต่อยที่โรงเรียน ซึ่งมันเป็นปัญหาทั่วไปสำหรับเด็กวัยนั้น อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทวีศักดิ์รู้เกี่ยวกับลูกชายของเขาคือวรุตเรียนดีมาก และไม่เคยจะก่อปัญหาอะไรมาก่อน เหตุการณ์ชกต่อยนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ทวีศักดิ์แปลกใจมาก เขาไต่ถามสาเหตุจากวรุต และได้รับคำตอบคือการนิ่งเฉย จนรัตน์ซึ่งเป็นผู้ดูแลต้องอธิบายให้ฟังว่า วรุตมีปัญหากับอาจารย์สอนเคมี จนมีปัญหาชกต่อยกัน ทวีศักดิ์คาดไม่ถึงว่าลูกชายของเขาจะถึงขั้นมีเรื่องชกต่อยกับอาจารย์ และวรุตกก็ไม่ได้บอกสาเหตุกับรัตน์ว่าทำไมเขาถึงได้ไปมีเรื่องกับอาจารย์ได้ เขาบอกเพียงว่าไม่อยากไปโรงเรียน เพราะไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีก สุดท้ายทวีศักดิ์จึงตัดสินใจส่งวรุตไปเรียนต่อที่เยอรมัน โดยส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ เขาคิดว่าลูกชายคงไม่มีความสุขกับการเรียนที่ประเทศไทยนัก อย่างไรก็ดีเขาเองก็ไม่มีเวลาว่างพอจะดูแลวรุตได้ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงฝากฝังให้คนอื่นดูแลวรุตมาโดยตลอด ทวีศักดิ์รู้ดีว่าเขาผิดที่ไม่ได้ดูแลลูกคนนี้มาตั้งแต่ต้น แต่การย้อนเวลากลับไปจนตอนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้ คือการสร้างอนาคตที่ดีสำหรับลูกชายของเขา  วรุตจะต้องไม่ลำบาก ต่อไปจากนี้ เด็กคนนี้จะต้องได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ วรุตจะต้องมีความสุข เพื่อชดเชยในสิ่งที่เขาละเลยไปเกือบสิบปี
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองดูพ่อของเขา ทวีศักดิ์เป็นพ่อของเขาจริงๆ ตามใบแจ้งเกิด แต่ยี่สิบปีที่เกิดมา วรุตไม่เคยได้เห็นทวีศักดิ์ทำอะไรให้กับเขาเหมือนที่พ่อคนอื่นทำกัน ไม่ว่าจะพาไปเที่ยว สอนชกต่อย หรือแม้แต่ทำโทษ ทวีศักดิ์ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเขาไปมากกว่าการพูดคุย ซึ่งก็น้อยนิดนักที่จะเป็นการพูดคุยอย่างส่วนตัว พ่อของเขามักจะดูงานยุ่งอยู่ตลอด ทุกคนที่เคยดูแลเขามักพูดว่าที่พ่องานยุ่งก็เพื่อเขา วรุตไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาเคยไม่ใช้เงินที่ทวีศักดิ์ส่งมาให้ และแอบไปหางานทำเอง ก่อนจะพบว่าไม่ต้องพึ่งเงินของพ่อเขาก็มีชีวิตอยู่ได้ แล้วพ่อของเขาจะทำไปเพื่ออะไร แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาอยากจะพูดนี้คงไม่สามารถสื่อถึงพ่อของเขาได้ วรุตคิดว่าพ่อรักงาน แต่เอาชื่อเขามาอ้าง ทวีศักดิ์ไม่เคยจะวางหูโทรศัพท์ด้วยซ้ำในตอนที่พูดคุยต่อหน้าเขา ตอนนี้ก็เหมือนกัน พ่อของเขากำลังพูดอะไรบางอย่างลงในสปีคโฟน เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจนั่งลง
   “พ่อมีเรื่องอยากจะถามลูกนิดหน่อย” ทวีศักดิ์พูดขึ้นหลังจากคุยธุระเสร็จแล้ว วรุตพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองพ่อของเขา
   “เรื่องของฟ่ง?”
   “อืม” อีกฝ่ายส่งเสียง และนั่งลงข้างๆ ลูกชาย
   “ลูกไปรู้จักเขาด้วยตัวเองจริงๆ หรือ ไม่มีใครชวนลูกไปนะ?”
   วรุตหลับตาลงอย่างระอา เขาหันมามองผู้เป็นพ่อ “ผมไปของผมเอง ถ้าสงสัยถามพี่เดชเอาก็ได้”
   ทวีศักดิ์พยักหน้าอย่างรับรู้ ลูกชายของเขาพูดต่อ
   “แล้วพ่อรู้แล้วหรือยัง ว่าตอนนี้เขาไปไหน?”
   ผู้เป็นพ่อพยักหน้าอีกครั้ง
   “ผมอยากให้เขาปลอดภัย”
   “พ่อจะให้คนดูแลเขาให้ดีที่สุด เพื่อลูก”
-----------------------------------
   รัตน์เพิ่งพูดคุยกับทวีศักดิ์เสร็จ เขาเพิ่งได้รับคำสั่งให้จับตาดูเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเคยอาละวาดต่อยปากเขามาแล้วในตอนที่ถูกเชิญเข้ามาทำงาน อภิวัฒน์ เด็กหนุ่มอายุยี่สิบสี่ที่เป็นคนเขียนแปลนสถานที่แห่งนี้  สถาปนิกหนุ่มที่หายตัวไปอย่างลึกลับ และจู่ๆ ก็โผล่มาพร้อมกับลูกชายเจ้านายของเขา
   ไม่รู้ว่าทวีศักดิ์ได้ข้อมูลอะไรมา เขาสงสัยในตัวเด็กคนนั้น และออกคำสั่งให้จับตาดูเป็นพิเศษ ถ้าฟ่งตั้งใจจะผ่านประตูให้ ก็ให้อนุญาตให้ผ่าน ทวีศักดิ์กล่าวว่า บางทีเด็กนั่นอาจจะเกี่ยวพันกับคนที่เขามาขโมยแปลนออกไปวันก่อน และเกี่ยวข้องกับเจ้าฝรั่งผมทองที่กำลังสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายอยู่ตอนนี้ก็ได้  ความจริงมันไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไหร่ ไม่มีสาเหตุอะไรที่จะต้องเข้ามาขโมยแปลนหากว่ารู้จักกับคนเขียนอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี คำสั่งคือคำสั่ง
   เขาต้องจัดการกับเหตุการณ์วุ่นวายนี้ให้สำเร็จให้ได้
-----------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   อิทธิเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้านหลังของวรุตและทวีศักดิ์ พร้อมด้วยบอดีการ์ดของทวีศักดิ์อีกราวๆ สี่ห้าคน เขาไม่รู้จักคนพวกนี้ และไม่ต้องการจะรู้จัก อิทธิเดชรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้มานั่งอยู่ในตำแหน่งตรงนี้ได้ด้วยความสามารถ จะเพราะเหตุผลอะไรพวกที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คงเข้าใจดี เรื่องของเขากับวรุตไม่ใช่เรื่องปกปิดในบริษัท รวมถึงเรื่องของเขากับทวีศักดิ์ด้วย เพียงแต่ทุกคนเกรงใจทวีศักดิ์ จึงไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง
   สาเหตุที่ทวีศักดิ์ให้เขามานั่งที่นี่ ก็คงเพราะไม่อยากให้วรุตเป็นกังวล หรือหาเรื่องออกไปไหน แต่ต่อให้เขานั่งอยู่ต่อหน้าวรุต เด็กคนนั้นก็ยังเป็นกังวล เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของหมอนั่น  มันเป็นสิ่งที่อิทธิเดชสังเกตได้ตั้งแต่วรุตพบว่าฟ่งไม่ได้ตามกลับมาที่ห้องประชุม ดูเด็กหนุ่มจะวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก อิทธิเดชไม่เคยเห็นวรุตมีท่าทีกังวลแบบนี้มาก่อน  เขาไม่เข้าใจว่าทำไมวรุตถึงให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้นัก ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักอะไรกันมาก่อนแท้ๆ แล้วทำไมถึงต้องกังวลใจขนาดนี้ด้วย หรือวรุตรู้ว่าฟ่งจะทำอะไรที่น่าวิตก ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงต้องพาเข้ามากันล่ะ?
   อิทธิเดชพบว่ามันไม่มีเหตุผลที่เข้าท่าเลยสักนิดเดียวสำหรับเรื่องนี้ และสิ่งที่ไม่เข้าท่าทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่ออภิวัฒน์หรือฟ่ง เขาปรากฏตัวอย่างไร้เหตุผล และหายไปอย่างไร้เหตุผล ผู้ชายคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ อะไรในตัวผู้ชายคนนั้นที่ทำให้วรุตเป็นกังวล  อิทธิเดชคิดว่าเขาพลาดที่ไม่จัดการฟ่งเสียตั้งแต่แรก บางทีในล็อบบี้ของคอนโดตอนนั้น ถ้าเขาไม่มัวคิดอะไรบ้าๆ ผู้ชายคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว เรื่องวุ่นวายนี่ก็คงไม่เกิดขึ้น  ถ้าฟ่งตายไปแต่แรก วรุตก็จะไม่หลงใหลในตัวผู้ชายคนนั้น ก็คงไม่ไปจากเขา และก็คงไม่พูดกับเขาด้วยถ้อยคำแบบนั้น ไม่ทำให้เขาต้องทนแบกรับความน่าละอายแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้
   ถ้าหมอนั่นตายไปเสีย....
   แก้วตาสีดำของอิทธิเดชหดวูบลง ใช่...วรุตเป็นห่วงความปลอดภัยของฟ่งมาก  ให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาเป็นผู้ทำลายของสำคัญนั่น
   ถ้าฟ่งตายด้วยน้ำมือของเขา....
   มุมปากได้รูปกระตุกขึ้นมานิดหน่อย หากว่าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม สิ่งที่แบกรับอยู่ตอนนี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกไป  ขอเพียงให้วรุตเกลียดเขา
   การฆ่าผู้ชายที่สมควรตายนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

   “ผมจะไปตามหาคนคนนั้นให้คุณเอง”
   ทวีศักดิ์โบกมือเป็นเชิญอนุญาตทันทีที่อิทธิเดชพูดออกมาแบบนั้น หนุ่มร่างบอบบางโค้งให้เขา และเดินออกไปจากห้อง วรุตได้แต่อ้าปากค้าง ขณะที่พ่อของเขายิ้มอย่างใจดี
   “อย่าเป็นกังวลเลยวิน  คนของเธอจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
   
   ปลอดภัย?
   วรุตได้แต่ทวนคำนั้นอยู่ในใจเงียบๆ พ่อของเขากำลังพูดเปิดการประชุม แต่มันจะเป็นสาระอะไรสำหรับเขา การที่เขามาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะพ่อของเขา หรืออิทธิเดช  แต่เพราะผู้ชายที่หายตัวไปกะทันหันคนนั้น
   ฟ่ง
   มันเริ่มจากความตั้งใจง่ายๆ และแสนจะธรรมดาสำหรับเขา ในการคิดจะปกป้องใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่รู้จักด้วยตัวเขาเอง  ตอนแรกมันแค่ความคิดง่ายๆ เช่นการเอาตัวไปรับลูกกระสุนแทน หรืออะไรเทือกนั้น ก่อนจะพัฒนามาเป็นตัวประกัน ซึ่งก็ยังไม่เหนือความคาดหมายของเขา แต่ว่าตอนนี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปในรูปแบบที่ควรจะเป็น คนที่เขาปกป้องกลับพาตัวเองเข้าสู่ปัญหา เดินเข้าไปหาอันตรายด้วยตัวเอง วรุตไม่เข้าใจว่าฟ่งคิดอะไรกันแน่ ถึงต้องทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้ ฟ่งไม่ได้มีพื้นฐานอะไรที่พอจะเป็นข้อต่อรองอะไรได้เลย เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่เปิดประตูให้คนแปลกหน้าเขาไปในห้องได้ง่ายๆ ผู้ชายคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นสายลับ
   คิ้วของวรุตขมวดเข้าหากัน ทำไมฟ่งกับรูฟัสถึงเป็นแฟนกันได้ ทำไมสายลับแบบรูฟัสถึงเลือกที่จะมีแฟนเป็นคนแบบฟ่ง สองคนนั่นเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร หรือจะเป็นเพราะแบบแปลนของห้องนี้  เป็นไปได้หรือเปล่าว่ารูฟัสคบฟ่งเพื่อผลประโยชน์ การที่รูฟัสพาฟ่งไปฝากไว้กับเมี่ยง เพื่อป้องกันการแพร่งพรายความลับหรือเปล่า และที่ฟ่งหายตัวไปอย่างปริศนาเพราะไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหมอนี่หรือเปล่า ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่รูฟัสจะต้องมาเกี่ยวข้องกับฟ่งนอกจากเรื่องนี้
   วรุตแทบจะผุดลุกขึ้นทันที ทำไมเขาถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้ เป็นเพราะสิ่งที่เจ้าพวกนั้นแสดงออกทำให้เขาไม่สงสัย พฤติกรรมนั่นดูปกติธรรมดา แต่ก็ใช่ว่าไม่ใช่การแสดงเสียหน่อย  คนพวกนั้นเป็นสายลับ พวกสายลับต้องถนัดในการตบตาคนอื่นให้เข้าใจตัวเองในรูปแบบที่ต้องการไม่ใช่หรือ อาจจะไม่ใช่แค่เขาที่โดนหลอก บางทีฟ่งเองก็คงโดนหลอกอยู่โดยไม่รู้ตัว จะเกิดอะไรขึ้นถ้ารูฟัสพบว่าฟ่งอยู่ที่นี่ หากรูฟัสหลอกใช้ฟ่งเป็นเครื่องมือล่ะก็ การที่ได้พบฟ่งอยู่ที่นี่คงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย สิ่งที่คนแบบรูฟัสจะทำคืออะไร
   ใช่แบบที่พ่อของเขาทำอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า?
   วรุตรู้สึกตัวเองเผลอกำหมัดแน่น เขากำลังโกรธ จู่ๆ เขาก็รู้สึกโกรธผู้ชายที่ชื่อรูฟัสขึ้นมา  ฟ่งพาตัวเองมาสู่สถานที่อันตรายแบบนี้เพราะเขา และคงกำลังออกไปตามหาอยู่ โดยไม่รู้เลยว่าถ้าเจอกับรูฟัสแล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเอง  ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลยไม่ใช่หรือ ที่รูฟัสจะจัดการเก็บฟ่ง กำจัดสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแผน กำจัดคนที่หมดประโยชน์แล้ว..
   ทั้งๆ ที่ฟ่งทำทุกอย่างเพื่อเขาแท้ๆ
   วรุตตัดสินใจต่อสายเพื่อคุยกับรัตน์ เขารู้ว่าพ่อของเขาต้องสั่งอะไรบางอย่างไปที่รัตน์แน่ๆ
   “อารัตน์ อาช่วยพาคนของผมกลับมาที่นี่ด่วนเลย ด่วนที่สุดเลยนะ”
------------------------------------------------
   ทวีศักดิ์เพิ่งพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่เขาภาคภูมิใจจะนำเสนอที่สุด มันเป็นเทคโนโลยีเพื่อมนุษยชาติ ใช่...ในแง่ที่จะพูดให้ดูดีมันต้องพูดแบบนั้น  แต่ในความจริงแล้ว ความสำคัญของมันก็คือสิ่งที่จะทำให้วรุตมีทุกอย่างไปตลอดชีวิต มันเป็นผลิตภันฑ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องการทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้คนพบกับความสุขโดยไม่ต้องสูญเสียหรือแลกเปลี่ยนด้วยอะไรทั้งสิ้น นอกจากเงิน
   เงิน...คำง่ายๆ ที่สามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้ว่าเงินไม่อาจจะนำพาชีวิตของคนที่เขารักกลับคืนมาได้ แต่เงินจะสามารถพาให้ชีวิตของคนที่เขารักที่สุดในตอนนี้ไปต่อได้โดยไม่มีอุปสรรค์ ที่เหลือจากนี้ก็แค่ให้วรุตรับช่วงรายได้ต่อจากนี้ รายได้ที่เด็กหนุ่มไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรเพิ่มอีก ชายวัยห้าสิบเศษหันกลับมามองลูกชาย ซึ่งเขาแน่ใจว่าเพิ่งพูดอะไรบางอย่างใส่ในสปีคโฟนแน่ๆ ก่อนจะนึกถึงเด็กหนุ่มหน้าสวยที่เดินออกไปก่อนหน้านี้
   ทวีศักดิ์รู้ว่าอิทธิเดชคิดอะไรในตอนที่เดินมาพบเขา อิทธิเดชไม่มองหน้าวรุต แต่มองมาทางเขาโดยตรง แววตามุ่งร้ายนั่นความจริงแล้วทวีศักดิ์ไม่คิดอยากจะให้มีในตัวเด็กคนนั้นเลย แต่ว่าถึงตอนนี้ เขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว วรุตนั้นหลงใหลในตัวของอิทธิเดชมากเกินไป การจบปลักกับความรักแบบนี้จะไม่ทำใช้ชีวิตของวรุตมีความสุข เช่นเดียวกับที่เขาเคยเผชิญ การสูญเสียคนที่รักไปมันเป็นความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะฉะนั้น ก่อนที่วรุตจะถลำลึกมากไปกว่านี้ เขาจำเป็นต้องหยุดยั้งมันเอาไว้
   แม้ว่าจะต้องลบเด็กผู้ชายที่ชื่ออิทธิเดชออกไปจากโลกนี้ก็ตาม
   ทวีศักดิ์รู้สึกว่าอิทธิเดชไม่พอใจฟ่งตั้งแต่ตอนที่วรุตพาเขามาที่นี่ ดังนั้นจึงเรียกตัวไปคุยด้วยเป็นการส่วนตัว และพบว่าอิทธิเดชมีความไม่พอใจอะไรบางอย่างในตัวคนคนนี้จริงๆ เขาก็แค่พูดเรื่องความน่าสงสัยของฟ่ง ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์อะไรมากให้อิทธิเดชฟัง โดยที่ไม่ได้หวังว่ามันจะส่งผลอะไรเท่าไหร่นัก แต่แล้วเด็กที่ชื่ออภิวัฒน์ก็ทำให้มันส่งผล เขาหายตัวไปอย่างปริศนา  ทวีศักดิ์รู้ดีว่าฟ่งมีอะไรไม่ชอบมาพากล เขารู้ได้อย่างไรว่ามีการแก้ไขแบบแปลนของตัวเอง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปดูหน้างาน มันคงไม่บังเอิญที่จะพูดออกมาได้ขนาดนั้น ฟ่งต้องรู้อะไรแน่ๆ ทวีศักดิ์ไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นพวกไหน และเข้ามาเพราะจุดประสงค์อะไร การที่ลูกชายของเขาออกไปตามหาสถาปนิกคนนั้นด้วยตัวเองก็นับกว่าแปลก แต่วรุตเป็นคนแปลกอยู่แล้ว เหตุผลที่เขาบอกจึงพอจะยอมรับได้ และดูเหมือนวรุตจะให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้มาก แต่ผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตหากไม่ถูกกำจัด ทวีศักดิ์กำลังหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะจัดการกับปัญหาทั้งสองนี่  แล้วโอกาสที่ว่านี้ก็มาถึงแล้ว
   ไม่ว่าฟ่งจะเกี่ยวกับเจ้าคนที่กำลังก่อความวุ่นวายข้างล่างนั่นอย่างไร
   หากอิทธิเดชลั่นไกใส่เด็กคนนั้น ภายในสถานการวุ่นวายแบบนี้ เรื่องทุกอย่างมันก็จะลงตัว
   แค่สองคนนั่นหันปากกระบอกปืนเข้าหากันเอง.........
   สองคนที่เป็นปัญหาจะถูกลบออกไปจากโลกและจากชีวิตของลูกชายเขาอย่างง่ายดาย และหมดจด
   โอกาสนี้โอกาสเดียวเท่านั้นที่เขาจะสะสางปัญหาทั้งหมดได้ในคราวเดียว
--------------------------------------
   รูฟัสเพิ่งรู้สึกว่าตัวเขาเองถูกตัดขาดกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เมื่อเข้ามาอยู่ภายในห้องใจกลางของห้องทรงกลมซึ่งเป็นใจกลางของสลักตู้เซฟนี้ ลู่ชางยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ซึ่งตรงหน้านั่น คือตู้กระจกขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยลิ้นชักแก้ว ซึ่งภายในมีสิ่งของลักษณะคล้ายหลอดแก้วมีจุกสีเงินปิดขนาดราวๆ กระบอกฉีดยาขนาดเล็ก วางเรียงกันอยู่
   ณ ที่นี่ ระบบสื่อสารของเขากับรัสเลอร์ถูกตัดขาดกันโดยสมบูรณ์ มันคงถูกออกแบบมาให้กันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิด ลู่ชางผายมือไปยังลิ้นชักกระจกนั้นอย่างภาคภูมิใจ
   “คุณเป็นคนนอกคนแรกที่ได้เห็นผลงานอันน่าภูมิใจของฉัน”
   “เทพเจ้า?” รูฟัสพูดออกมา ชายชรายิ้ม เขาเชื้อเชิญให้รูฟัสเดินเข้าไปใกล้ๆ
   “คุณทำให้ฉันทึ่ง คุณเป็นพวกเคจีบีหรือ?” ลู่ชางเอ่ยถาม หนุ่มตาสองสีแค่นยิ้มตอบ “ผมดูเหมือนพวกนั้นหรือไง?”
   “คุณเป็นโซเวียต คุณพูดภาษาโซเวียตได้” เขาว่า รูฟัสหัวเราะ “แค่พูดโซเวียตได้ไม่ได้แปลว่าผมเป็นเคจีบีหรอกนะ”
   “ฉันก็แค่เดา” ลู่ชางกล่าว เขามองสำรวจรูฟัสอีกครั้ง
   “ในบรรดาสายลับของรัฐบาล ฉันชอบพวกเคจีบีที่สุด”
   รูฟัสหัวเราะอีก ลู่ชางอาจจะชอบพวกเคจีบี แต่สำหรับเขา คำว่าเคจีบีเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะน่าแสลงเสียมากกว่า เคจีบีคือหน่วยสายลับของโซเวียต หรือรัสเซียในปัจจุบัน คนพวกนี้ได้ชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์หลายอย่าง เช่นการวางยาหรือการจารจล อเล็กเซผู้เป็นอาจารย์ของเขาก็เคยเป็นเคจีบีมาก่อน และก็ถูกพวกเดียวกันนั่นแหละเก็บ ดังนั้นคำว่าเคจีบีจึงเป็นคำแสลงหูของรูฟัสเสมอมา
   “คุณเลยเหมาเอาว่าผมเป็นเคจีบี?”
   ลู่ชางหัวเราะบ้าง “คุณพูดโซเวียตได้คล่องปากมาก คล่องกว่าภาษาอังกฤษของคุณเสียอีก สำเนียงของคุณมันชัดเจนจนฉันไม่คิดว่าคุณไปเรียนมันมาหรอก มันน่าจะเป็นภาษาต้นกำเนิดของคุณเลยมากกว่า”
   “อ้อ...คุณเคยอยู่ที่นั่นหรือไง” รูฟัสว่า ลู่ชางมองเขาแล้วยิ้ม
   “ฉันไปหลายที่เลยล่ะ พ่อหนุ่ม” ชายชราเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
   “ฉันชอบดีเอ็นเอคนโซเวียต พวกเขาอดทนสูง แข็งแกร่ง บางทีอาจจะเป็นรองแค่คนจีนด้วยซ้ำ อ่า...ถ้าคุณเป็นคนโซเวียต ฉันก็อยากจะได้ผมคุณสักเส้น”
   “ผมว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกนะ” รูฟัสกล่าว และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เขารู้สึกคลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เวลาที่ลู่ชางเอ่ยปากขออะไรแบบนี้
   “ไหนล่ะ ความสามารถของเทพเจ้าที่คุณอยากจะอวดผม”
   “อ่า..ใช่ ฉันจะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้” ลู่ชางว่า และกดรหัสเพื่อเปิดประตูกระจกบานนั้น รูฟัสเดินตามเข้าไป เขาอยู่ท่ามกลางลิ้นชักแก้วขนาดสูงราวๆ สองเมตร ตรงกลางของลิ้นชักพวกนั้น มีตู้กระจกที่บุด้านข้างด้วยโลหะสีดำใบหนึ่ง ตรงกลางมีแท่งแก้วขนาดใหญ่ด้านในมีอะไรบางอย่างบิดตัวอยู่
   “นี่คือตัวจริงของเทซกา” ลู่ชางอธิบาย เขาชี้ให้รูฟัสดูสิ่งที่กำลังบิดตัวอยู่ในหลอดแก้วนั่น
   “มัน...มันมีชีวิตหรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงทันที ขณะมองดูหลอดแก้วนั้น กลุ่มก้อนที่ขยับอยู่ แม้จะดูเหมือนกลุ่มก๊าซที่รวมตัวกันหนาแน่นจนกลายเป็นเส้นสีแดงคล้ำๆ แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวของมันไม่เหมือนก๊าซทั่วไป เหมือนตัวหนอนที่กำลังดิ้นเร่าๆ อยู่ในหลอดแก้วเสียมากกว่า ได้ยินเสียงชายชราหัวเราะ
   “เรียกว่า เกือบ มีชีวิตล่ะ ตอนนี้มันคงพยายามจะมองเธออยู่ ท่าทางมันจะสนใจเธอนะ”
   รูฟัสพยายามจะคิดว่าเจ้าแก่นี่คงพยายามจะพูดกวนประสาทเขาเสียมากกว่า มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้ยังไง นี่ก็แค่สิ่งประดิษฐ์ที่มาจากนาโนเทคโนโลยีไม่ใช่หรือ?
   “ลองขยับตัวดูสิ มันจะหันตามเธอไป” ลู่ชางว่า แต่รูฟัสไม่อยากจะทำตามนัก เขาคิดว่าไม่ใช่ความจำเป็นอะไรที่จะต้องพิสูจน์เรื่องนี้  ชายหนุ่มหันไปมองลิ้นชักกระจกรอบๆ
   “แล้วไอ้ที่อยู่ในหลอดพวกนี้ล่ะ ใช่เทพเจ้าเหมือนกันหรือเปล่า?”
   “พวกนั้นคือส่วนที่เจือจางพร้อมใช้งาน” ลู่ชางกล่าว เขาเดินเข้าไปใกล้หลอดแก้วที่มีเส้นสีแดงคล้ำบิดเร่าอยู่ และกดรหัสอะไรบางอย่างลงบนบนฝาครอบแก้วนั้น
   “ส่วนเจ้านี่คือต้นแบบที่เข้มข้นพิเศษ ไม่มีใครอนุญาตให้ฉันทดลองเจ้าตัวนี้แบบเข้มข้นกับคนเลยสักครั้ง”
   รูฟัสขยับตัววูบ ทันทีที่พบว่าลู่ชางดึงหน้ากากกันแก๊สออกมาจากอกเสื้อ เขากระแทกสันมือเข้าที่ท้ายทอยของชายชรา พร้อมๆ กับที่เงาสีม่วงแดงลอยขึ้นมาตรงหน้า
------------------------------------------
   “เฮ้ สิงโต ฉันคิดว่าเสือขาวน่าจะมีปัญหานิดหน่อย” จู่รัสเลอร์ก็พูดขึ้นมา ราฟาแอลขมวดคิ้วทันที
   “ว่าไงนะ!!” หนุ่มผมบลอนด์กรอกเสียงปนเสียงหอบเข้าไปในไมโครโฟน เขาเพิ่งกระโดดขึ้นลิฟท์ส่งของหนีมาที่ชั้นจีสาม คิดว่าคงมีเวลาให้หายใจอีกพักหนึ่งก่อนที่จะมีใครไล่ตามมา
   “สัญญาณกล้องวงจรปิดในห้องที่หมอนั่นเข้าไปถูกตัดเมื่อกี้นี้เอง” รัสเลอร์ว่า ราฟาแอลโพล่งขึ้นมาทันที “หา?!”
   “มีคนเปลี่ยนทิศทางการส่งสัญญาณของมัน เหมือนจะย้ายไปต่อตรงกับที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่มอนิเตอร์หลักน่ะ” รัสเลอร์อธิบาย ราฟาแอลถามอย่างสงสัย “เพื่ออะไร แล้วใครทำน่ะ?”
   “ฉันคิดว่าเป็นลู่ชางนะ เหมือนเจ้าหมอนั่นคิดจะเล่นตุกติกอะไรซักอย่าง เลยถูกรูฟัสซัดร่วง แต่ว่าหลังจากนั้นภาพก็ถูกตัดไป”
   “ติดต่อหมอนั่นไม่ได้หรือไง?” ราฟาแอลถามต่อ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ทำหน้าที่ด้านเทคนิคตอบปฏิเสธทันที “ห้องที่รูฟัสเข้าไปมีระบบกั้นคลื่นแม่เหล็กน่ะ ติดต่อผ่านวิทยุไม่ได้หรอก”
   “โอ้...ยอด...พระเจ้าช่างสร้างสรรค์จริงๆ ” ราฟาแอลว่า น้ำเสียงดูประชดประชันเช่นเคย  รัสเลอร์ไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจจะประชดไปถึงฟ่งหรือเปล่า แต่ฟ่งไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพวกเขา บางทีอาจจะไม่รู้มาก่อนก็ได้
   “เอาเถอะ อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าเจ้านั่นไปถูกห้อง หวังว่าจะเอาของกลับขึ้นมาได้แล้วกัน ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
   “อืม คิดว่านะ ถ้าลู่ชางไม่เอยปากบอกก็คงยังไม่มีใครรู้หรอก” รัสเลอร์ตอบ ราฟาแอลพยักหน้า เขาได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
   “ฉันจะถ่วงเวลาให้นานที่สุด นายลองพยายามหาดูซิว่าไอ้กล้องนั่นถูกเชื่อมสัญญาณไปที่ไหนกันแน่ ฉันรู้สึกว่ามันจะทำให้มีปัญหา”
   “ได้ ฉันจะลองดู” รัสเลอร์ว่า หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รู้ว่าสัญญาณนั่นต่อไปที่ไหน
------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงมองดูหลอกแก้วใสตรงหน้าที่มีกลุ่มควันสีม่วงลอยอ้อยอิ่งอยู่ด้านใน พลางนึกสงสัยว่านี่หรือคือสิ่งที่เรียกกันว่า เทพเจ้า สิ่งที่ทำให้พวกเขานั่งอยู่ตรงนี้ ไอ้ควันสีพิลึกนี่น่ะหรือ ที่จะบันดาลความสุขให้เกิดขึ้นได้ เขาควรจะเชื่อพวกนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะอธิบายสรรพคุณของมันอยู่ตอนนี้หรือเปล่า
   เว่ยจินหยินกำลังฟังคำอธิบายสรรพคุณนั้น อย่างน้อยตาของเขาก็ไม่ได้กลอกไปทางอื่น เขาจ้องเป๋งไปยังนักวิจัยในเสื้อกาวน์สีขาวตรงหน้า และคิดว่ามันเลยเวลาของการพูดพล่ามในเรื่องที่เขาใจยากนี่แล้ว การทดลองประสิทธิภาพของมันควรจะเกิดขึ้นเสียที
   “เอาล่ะครับ มาถึงตรงนี้แล้ว ผมคิดว่าทุกคนคงต้องการจะเห็นประสิทธิภาพของมัน แต่แค่การทดลองกับคนของเราคงไม่ทำให้ท่านเกิดความเชื่อถือมากนัก ผมอยากจะขออาสาสมัครสักท่านหนึ่ง เพื่อมาพิสูจน์ความจริงนี้”
   เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นในหมู่ผู้ร่วมประชุม ต่างคนต่างก็ไม่อยากให้ลูกน้องคนสนิทของตนเข้าไปเสี่ยง อย่างไรก็ดี เสียงติดต่อจากสปีคโฟนของทวีศักดิ์ ทำให้เขาพูดขึ้นมา
   “ผมเข้าใจดีว่าทุกท่านไม่อยากจะเสี่ยง แต่ผมขอยืนยันว่าของสิ่งนี้สามารถใช้ได้ผลจริงๆ หากท่านไม่ต้องการจะเสี่ยงกับบุคคลของท่านผมเผอิญมีตัวอย่างจากสถานการณ์จริงอยู่ ผมอยากจะเสนอภาพเหตุการณ์นี้ให้พวกท่านชม”
   จอสามมิติตรงกลางถูกเปลี่ยนภาพจากรูปทรงทางเคมีเป็นภาพจากห้องห้องหนึ่ง  วินาทีนั้น ทุกอย่างเงียบลง ก่อนจะมีเสียงอุทานอย่างอื่นขึ้นมาแทน
---------------------------------------------------------
   “ตายห่า!!!!” รัสเลอร์อุทานอย่างลืมตัว และอุทานซ้ำคำเดิมอีกสามรอบจนราฟาแอลที่กำลังโหนตัวอยู่ต้องเอ่ยปากถาม
   “เกิดไรขึ้น?”
   “ตายห่า!!  โอ๊ย ตายๆๆๆๆๆ !!” รัสเลอร์ยังคงสบถต่อ และพยายามตั้งสติพูดให้รู้เรื่องขึ้น หลังจากโดนอีกฟากของวิทยุสื่อสารเอ็ดตะโรกลับมา “เป็นXอะไรของแกอีกวะ”
   รัสเลอร์สูดหายใจเฮือกๆ แล้วพูดขึ้นในที่สุด “ราฟี่ ฉันรู้แล้วล่ะว่าไอ้กล้องวงจรปิดที่ถูกตัดสัญญาณไปมันไปโผล่ที่ไหน?” เขาตอบ และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ราฟาแอลฟัง  ราฟาแอลเบิ่งตาว้าง ก่อนจะอุทานออกมา
   “ตายห่า!!!”
-----------------------------------------------------

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
คนโดนทดลองจะเป็นใครรูฟัสเหรอ รึว่าฟ่ง โอ๊ย!!! ลุ้นตัวโกงแล้วจ้า

Crossley

  • บุคคลทั่วไป
รูฟี่ นายรั่วขึ้นเยอะเลยนะตั้งแต่มาอยู่กับรัสเลอร์เนี่ย  :jul3:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
จะเกิดอะไรขึ้นอะ รูฟัสจะเป็นไรมะเนี้ย

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
แวะอ่านทีล่ะหน้า

ลุ้นกันทีละตอน

อีก ห้าหน้า บ่ฮูจักตอน  แต่คงสี่ห้าวันจบ

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
โอได้คำตอบมาหนึ่ง (ถ้าเดาถูกน่ะ) ของตระกลูแล้ว

ว่าแต่จบงานนี้รูฟัสจะเปงงัยหว่า

สายลับหรือคนธรรมดา(ซ่อนตัวด้วย)
ไปอีกหน้า
เดียวมาต่อ

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
อ่า

ตามมาทันแล้วจ้า

และลุ้นกันต่อไป
เหมือนจะเดาผิดผลาดไปแหะ
เอาเหอะ
ลุ้นๆๆๆๆ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**เหมือนว่าตอน58จะหลุดไปพร้อมกับเซอเวอร์บอร์ดล่มสินะคะ... เดี๋ยวอัพไปก่อน แล้วค่อยอัพตอน59ต่อแล้วกันค่า

----------------------------------------

บทที่58 โลกหลังความตายของรูฟัส

   เสียงเอะอะเอ็ดตะโรที่ดังขึ้น ทำเอาฟ่งต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว เขาเกือบจะวิ่งหนีตอนนี้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดยูนิฟอร์มสีขาวพร้อมอาวุธครบมือวิ่งตะบึงมาจากระเบียง พร้อมกับตะโกนใส่วิทยุสื่อสารไปด้วย แต่โชคดีที่พนักงานขนของที่อยู่แถวนั้นดึงเขาให้หลบเข้ามุม และอธิบายว่าตอนนี้มีการไล่ล่าคนร้ายที่แอบเข้ามาอยู่ ถ้าเห็นฝรั่งผมสีบลอนด์ในชุดกาวน์สีขาวให้รีบแจ้ง
   แม้จะรู้สึกโล่งอกว่าคนที่ถูกพบไม่ใช่รูฟัส คงจะเป็นราฟาแอล แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ารูฟัสจะปลอดภัย ฟ่งแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องอยู่ใกล้ๆ กับห้องที่มีปัญหามากที่สุด ห้องที่ถูกวางระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ห้องที่ใช้สำหรับเก็บของสำคัญที่สุดของที่นี่  แต่เขากลับเลือกที่จะเดินออกไปในทิศทางตรงข้าม นั่นเพราะประตูที่เขาเพิ่งผ่านเข้ามาได้
   มีคนอนุญาตให้เขาผ่าน
   มันคงไม่ใช่เพราะความพยายามสแกนนิ้วมือซ้ำๆ ซากๆ หรือเพราะคำอธิฐาน หรือเพราะคนรักษาระบบเกิดเอ็นดูเขาขึ้นมาหรอก มีใครบางคนต้องการให้เขาลงมาที่นี่ ใครที่รู้การเคลื่อนไหวของเขา ใครที่สงสัยว่าเขากำลังจะลงไปหาอะไร ใครคนหนึ่งที่สามารถอนุญาตการผ่านเข้าออกได้
   ทวีศักดิ์
   ฟ่งไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนี้เริ่มสงสัยเขาตอนไหน อาจจะตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกัน ทวีศักดิ์ถามเขาหลายอย่าง ดูเหมือนจะไม่เชื่อใจ ฟ่งนึกไม่ออกว่าเขาแสดงพิรุธอะไรออกไป แต่ที่แน่ๆ การค้นหารูฟัสในเวลานี้กลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ทันที  คงมีเครื่องสงสัญญาณอะไรบางอย่างติดอยู่บนเสื้อผ้าที่ทางนั้นจัดหามาให้ ไม่อย่างนั้นคงไม่บังคับให้ทุกคนสวมเครื่องแบบเหมือนกันหมดหรอก ทางที่ดีคือเขาควรจะอยู่ห่างจากจุดน่าสงสัย และพยายามค้นหาเครื่องส่งสัญญาณติดตามแล้วทิ้งมันเสีย

   อิทธิเดชรู้ดีว่าทุกคนที่สวมเครื่องแบบของที่นี่จะมีเครื่องส่งสัญญาณติดพ่วงไปด้วย ดังนั้นเขาจึงติดต่อไปที่ศูนย์บัญชาการโดยตรง และได้รับคำบอกตำแหน่งในเวลาไม่นาน ทำให้เขาสามารถติดตามตัวฟ่งซึ่งล่วงหน้าลงมาก่อนเขาได้โดยไม่ยาก
   หนุ่มหน้าสวยเดินผ่านกลุ่มพนักงานที่กำลังวุ่นอยู่กับการตามตัวผู้บุกรุกที่เพิ่งจับได้อีกคนหนึ่ง ได้ยินมาว่าเป็นชาวต่างชาติ  อิทธิเดชนึกสงสัยว่าทวีศักดิ์รู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง คงมีใครรายงานขึ้นไปแล้ว ถึงตรงนี้เขารู้สึกอิจฉาวรุตนิดหน่อย ที่มีพ่อคอยทำนั่นทำนี่ให้เพื่อตัวเอง วรุตไม่ควรจะมาจมปลักอยู่กับคนแบบเขา ทวีศักดิ์เองก็ไม่ควรจะต้องมากังวลเรื่องลูกชายเพราะเขาเป็นต้นเหตุ
   อิทธิเดชก้าวเท้าออกไปด้วยความรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ทุกอย่างกำลังจะลงตัว เขาจะไม่ต้องแบกรับความน่าสะอิดสะเอียดของตัวเองอีก
   แค่ผู้ชายคนนั้นตายไปเสีย
-----------------------------------------
   เสี้ยววินาทีที่รูฟัสเห็นควันสีม่วงแดงลอยขึ้นมาตรงหน้า เขาสำนึกได้ว่าผิดพลาดขนานใหญ่ เขาน่าจะจัดการลู่ชางเร็วกว่านี้ การแบ่งสมาธิให้กับควันที่อยู่ตรงหน้าทำให้ฟาดสันมือลงไปไม่ตรงจุดนัก แต่มันช้าเกินกว่าที่เขาจะรับรู้ได้ว่าลู่ชางสลบหรือไม่  ควันสีประหลาดนั่นพุ่งเข้าใส่ราวกับมีชีวิต เขาสูดมันเข้าไปก่อนที่จะทันได้คิดว่าต้องกลั้นหายใจเสียอีก  สิ่งที่รูฟัสรู้สึกต่อมาคือเหมือนสติของเขาถูกตัดขาดออกจากร่างกาย ราวกับจู่ๆ ก็หลุดมาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง อย่างกับว่าฝันอยู่ทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่นั่นแหละ เพียงแต่มันแย่กว่า เพราะเขาไม่รู้สึกถึงตัวตนที่ยืนอยู่เลย ถึงจะบอกให้ตื่นสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจจะออกมาพบกับโลกแห่งความจริงได้
   สรุปคือวินาทีนั้นจิตสำนึกของรูฟัสถูกตัดขาดกับร่างกายอย่างสิ้นเชิง
   สิ่งที่รูฟัสเห็นคือแสงสว่างจ้า สว่างจนคิดว่าต่อให้มีอะไรอยู่ตรงหน้าเขาก็มองไม่เห็น นี่เขากำลังไปสรวงสวรรค์หรือเปล่า เคยมีใครบอกหรือเปล่านะว่าสวรรค์สว่างไสวแบบนี้ จิตใจของเขาเริ่มลอยฟุ้งไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเบาหวิว รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งผูกมัด ไม่มีขีดจำกัด
รูฟัสคิดว่าเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เขาไม่รู้สึกถึงร่างกายอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแค่ควันสีแปลกๆ นั่นจะทำให้ตายได้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองถอนหายใจในความฝัน
   ตาย....มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่
   ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เบาสบาย....
   นี่คือความสุขงั้นหรือ?
   ไม่รู้สึกถึงการมีร่างกายอีกแล้ว...
   ไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว.... เหมือนว่าสามารถจะไปไหนหรือทำอะไรก็ได้  อา...แล้วเขาอยากจะไปที่ไหนกัน
   บ้าน.....
   บ้านหรือ?....
   รูฟัสคิดถึงบ้าน แต่บ้านแม้แต่ในตอนที่สติสัมปชัญญะเลือนรางเช่นนี้เขากลับนึกไม่ออก เสียงหัวเราะ หน้าตาพ่อ แม่ ดูมันช่างห่างไกลเหลือเกิน เหมือนมันผ่านมานานจนเขาลืมเลือนไปแล้ว จะมีก็แต่ดวงตาใสๆ กับปอยผมสีดำของผู้เป็นน้องสาวที่มองมายังเขาเท่านั้น
   ภาพนั่นเหมือนถูกซ้อนทับด้วยภาพของใครอีกคนหนึ่ง
   ฟ่ง!!
   รูฟัสยื่นมือไปแตะใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้น ฟ่งยิ้มให้เขา นัยน์ตาสีน้ำตาลหวานเยิ้มเหมือนลูกพีชสุก หนุ่มตาสองสีดึงรั้งร่างนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ลูบไล้เรือนผมสีน้ำตาลด้วยความโหยหา
   “ฟ่ง...”
   ร่างแกร่งกระซิบชื่อคนรัก แค่ได้อยู่ใกล้ๆ คนคนนี้เขาก็รู้สึกมีความสุข แทบไม่ต้องการอะไรในโลกนี้อีกแล้ว ขอแค่มีฟ่งอยู่กับเขา
   คนคนนี้คือความสุขของเขา
   ฟ่งเงยหน้า ยิ้มให้รูฟัสอย่างอ่อนหวาน ริมฝีปากสีชมพูขยับเข้าใกล้ใบหูของอีกฝ่าย กระซิบถ้อยคำอะไรบางอย่างที่ทำให้นัยน์ตาสองสีคู่นั้นเบิกโพลง
--------------------------------------------
   “สวัสดี ท่านแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน” เสียงของลู่ชางอู้อี้นิดหน่อยเพราะสวมหน้ากากอยู่ เขาคิดว่าทวีศักดิ์คงอนุญาตให้เชื่อมสัญญาณเข้าสู่ห้องประชุมแล้ว ชายคนนั้นคงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นเขาปรากฏตัวในสภาพเช่นนี้ คงคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำอย่างนี้ หรือบางทีอาจจะคิดไว้แล้ว หรือบางทีอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ บางครั้งลู่ชางก็รู้สึกว่าทวีศักดิ์มีอะไรบางอย่างคล้ายกับเขา ไม่สนใจสามัญสำนึก ให้ความสำคัญแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำเท่านั้น และสิ่งที่ทวีศักดิ์ต้องการจะทำมากที่สุดคือ สร้างความสุขที่ถาวรให้กับบุตรชายคนเดียวของตัว
   แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าทวีศักดิ์จะคิดอะไรถึงยอมให้เขาต่อสัญญาณเข้าไปได้ มันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ทำให้เขาแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความสุขตอนนี้ก็คือ เขาสามารถแสดงผลการทดลองที่น่าตื่นเต้นให้คนอื่นๆ รับรู้อย่างสดๆ แม้จะผ่านทางกล้องวงจรปิดก็ตาม
   “ผมไม่รู้ว่าพวกท่านรู้จักชายซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของผมหรือไม่ ผมเองก็ไม่เคยรู้จักกับเขามาก่อน การที่เขามาอยู่ที่นี่เพราะต้องการจะท้าทายอำนาจของ เทพเจ้า” ลู่ชางอธิบาย พร้อมกับผายมือไปยังชายซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเขา เสียงเซ็งแซ่ในห้องประชุมยิ่งดังขึ้น
   “เขาคือคนที่ลอบเข้ามาที่นี่” ทวีศักดิ์อธิบายแทรก เขาได้รับแจ้งจากแคลร์ว่าอาจจะมีคนลอบเข้ามาสองคน คนหนึ่งเขากำลังไล่ล่าตัวอยู่ ส่วนอีกคนหนึ่งเขาคิดว่าคนที่หายตัวไปอาจจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้เห็นว่าคงไม่จำเป็นจะต้องคาดเดาอีก ทวีศักดิ์รู้สึกตกใจตอนที่ลู่ชางติดต่อเข้ามา เขาคิดมาก่อนว่าชายแก่คนนี้จิตไม่ปกติ แต่ไม่คิดว่าจะทำอะไรบ้าบิ่นถึงขนาดพาคนที่ตัวเองไม่รู้จักเข้าไปในห้องลับนั่น อย่างไรก็ดีเขาก็ต้องขอบคุณความบ้านั่น ที่ทำให้สามารถจัดการกับตัวปัญหาที่แฝงเข้ามาอีกตัวหนึ่งได้ ทวีศักดิ์สั่งคนให้ตามลงไปที่นั่น เพื่อจัดการนำตัวชายคนนั้นขึ้นมา ระหว่างนั้นเขาไม่อยากจะขัดใจนักวิทยาศาสตร์เฒ่า เพราะไม่แน่ใจว่าลู่ชางจะทำอะไร หากรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงยินยอมที่จะให้มีการเชื่อมสัญญาณ
----------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงแทบจะลุกพรวดขึ้นในทันที ต่อให้ภาพมันเบลอกว่านี้ หรือสัญญาณถูกรบกวนมากกว่านี้เขาก็มันมีวันลืมร่างนั้นเด็ดขาด ร่างของผู้ชายที่สร้างบาดแผลฝังลึกไว้ในจิตใจของเขา ร่างของผู้ชายที่เขาเฝ้าโหยหามาตลอด ร่างของผู้ชายที่ขโมยเอาหัวใจของเขาไป
   รูฟัส!!!
   นัยน์ตาสีฟ้าใสสั่นระริก ร่างที่คุ้นตาอยู่ท่ามกลางลิ้นชักแก้วใสที่ภายในบรรจุหลอดอะไรซักอย่างเอาไว้ ตรงหน้า แท่งแก้วที่มีควันรูปร่างประหลาดบิดม้วนอยู่ นั่นน่ะรึ เทพเจ้า?!
   ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง เว่ยเฟิงปิงคงไม่เชื่อ เขาไม่อยากเชื่อว่าควันรูปร่างประหลาดนั่นจะมีคุณสมบัติตามที่นักวิจัยตรงหน้าอวดอ้าง แต่ว่าภาพที่ปรากฏอยู่นี้ แม้อยากจะเชื่อเหลือเกินว่ามันคงเป็นการแสดง แต่รูฟัสมีเหตุผลอะไรที่ต้องแสดงท่าทางอย่างนั้น ท่าทางที่ไม่เหมือนกับคนมีสติสัมปชัญญะนั่น!!
   ท่าทางราวกับคนที่ถูกกระชากวิญญาณออกไปแล้ว
   “อา...ทุกท่านคงสงสัย อาการที่เขาเป็นอยู่นี้ใช่การแสดงรึเปล่า ผมจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น ว่านี่คือสิ่งที่เทพเจ้าบันดาล” ลู่ชางพูดต่อ เขาวางโทรศัพท์ลง และเดินไปยังชายหนุ่มที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ นัยน์ตาสองสีที่มองอย่างเลื่อนลอยประกอบกับรูปหน้าของผู้เป็นเจ้าของช่างเหมือนงานประติมากรรมชั้นยอด ชายชราหยีตามองใบหน้านั้น ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่สุดแรง
   !!!!
   เสียงตบดังพอจะถ่ายทอดผ่านหูโทรศัพท์มาถึงคนที่อยู่ภายในห้องประชุม  เว่ยเฟิงปิงขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ถูกมือของพี่ชายกดเอาไว้ นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินเหลือบมาทางเขาเหมือนปรามอยู่ในที แม้จะรู้สึกขุ่นเคือง แต่มันก็ทำให้เขาได้สติ เว่ยเฟิงปิงกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ แข็งใจทนดูภาพเหตุการณ์นั้นต่อ
--------------------------------------------
   ใบหน้าของรูฟัสยังคงนิ่งเฉย ขณะที่ท่วงท่าเปลี่ยนไปตามแรงที่ถูกกระทำ ทำให้เขาอยู่ในสภาพแปลกประหลาด หน้าหันไปข้างหนึ่ง แต่ยังยืนค้างอยู่ เหมือนภาพวิดิโอที่ถูกกดหยุด  คราวนี้ลู่ชางหัวเราะลั่น เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้นจะมีผลต่อสมองของมนุษย์ถึงขนาดนี้ ตอนนี้สติของผู้ชายคนนี้คงกำลังล่องลอยอยู่ที่ไหนซักแห่ง โดยที่ละทิ้งร่างกายที่ยังทำงานอยู่เอาไว้เบื้องหลัง
   เขาจับใบหน้าที่หันอยู่นั้นกลับมา จ้องมองดวงตาคู่แปลกประหลาดนั่น ช่างเป็นตัวอย่างที่หายาก อยากเหลือเกิน อยากที่จะได้ตัวอย่างนี้เก็บเอาไว้
   ชายชราล้วงมีดผ่าตัดขึ้นมา ไล้นิ้วมือไปตามร่องเบ้าตาของร่างที่ยืนแข็งทื่ออยู่ หากเป็นตอนนี้ล่ะก็ การเก็บตัวอย่างก็ง่ายนิดเดียว แค่กรีดลงไป เลือดก็คงไหลทะลักออกมา ทุกอย่างที่เขาต้องการ พันธุกรรมของคนคนนี้
   ปลายมีดผ่าตัดค่อยๆ บรรจงกรีดลงไปบนร่องเบ้าตานั้น สีแดงสดของของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายรินไหลออกมาตามรอยที่กรีดลงไป
--------------------------------------------
   ชายคนหนึ่งผุดลุกขึ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นเซ็งแซ่ในห้องประชุม
   “ตัวยาของคุณน่าสนใจมาก” เว่ยจินหยินกล่าว การกระทำของเขาดึงความสนใจของคนในห้องประชุมจากการถ่ายทอดสดนั่น เว่ยเฟิงปิงอ้าปากค้าง  เขากำลังจะลุกขึ้นและตะโกนว่าพอกันทีในตอนที่พี่ชายของเขาขยับร่าง เว่ยจินหยินไม่หันกลับมามองผู้เป็นน้องชาย นัยน์ตาสีดำจ้องเขม็งไปที่ควันสีม่วงที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในหลอดแก้วเบื้องหน้า และเอ่ยขึ้นต่อ “ผมคิดว่าได้เห็นการทดลองที่น่าพอใจแล้ว มันน่าสะอิดสะเอียนถ้าจะต้องดูการทดลองอะไรที่เลอะเทอะนั่น”
   เว่ยเฟิงปิงเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายของเขาอย่างไม่เชื่อหู นี่เว่ยจินหยินกำลังพูดเพื่อช่วยรูฟัสหรือ? เพื่อช่วยเขาหรือ?  ทวีศักดิ์พยักหน้า และพูดกรอกลงไปในสปีคโฟน เว่ยจินหยินหรี่ตา และพูดประโยคต่อมา
   “คุณคิดจะขายมันเท่าไหร่?”
------------------------------------
   “โอ๊ย!! ตายๆ ...” รัสเลอร์ครางหลังจากแหกปากอุทานซ้ำๆ ซากๆ ก่อนหน้านั้นหลายรอบ จนราฟาแอลต้องตะคอกใส่ “นายตัดสัญญาณที่เชื่อมไปไม่ได้หรือไง?!!”
   “ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอก” หนุ่มผมสีน้ำตาลกล่าว โคลงศีรษะไปมาอย่างกังวลใจ “แต่ถ้าตัดตอนนี้ทางนั้นจะรู้ทันทีว่าฉันอยู่ที่นี่”
   คนฟังที่กำลังวิ่งอยู่เงียบไปพักใหญ่ ความจริงเขาควรจะหาที่สงบๆ และคุยเรื่องนี้กับรัสเลอร์อย่างจริงจัง แต่พวกที่วิ่งไล่หลังเขามาอยู่คงไม่ยอมแน่ๆ
   “เฮ้ย!!!” รัสเลอร์อุทานใส่ไมโครโฟนอีกครั้ง ก่อนจะกรอกเสียงตามลงไปอย่างร้อนรน
   “ราฟี่ อีกนานมั้ยกว่านายจะไปถึงรูฟัสน่ะ?”
   “นายคงต้องถามไอ้พวกบ้าที่วิ่งไล่หลังฉันอยู่เนี่ย!” ราฟาแอลตะโกนกลับมา ตามด้วยเสียงปืนอีกสี่ห้านัด รัสเลอร์เคาะนิ้วลงหน้าแป้นคีย์บอร์ดอย่างวิตกจริต ภาพของรูฟัสที่เขามองเห็นจากกล้องวงจรปิดทำให้รัสเลอร์ทำอะไรไม่ถูก สภาพแบบนี้รอให้ราฟาแอลไปถึงคงจะไม่ทันการ
   “ราฟี่ ฉันว่านายอาจจะไปไม่ทัน!” เสียงพูดประโยคนี้ของรัสเลอร์ทำให้ราฟาแอลที่กำลังเปลี่ยนแม็กกาซีนกระสุนพร้อมกับวิ่งไปด้วยอุทานอย่างสงสัย
   “ทำไม? เกิดอะไรขึ้นอีกหรือไง?”
   รัสเลอร์เล่าให้ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็น ราฟาแอลพยักหน้า เขาหันไปยิงสกัดพวกที่วิ่งตามมาอีกสองนัด ก่อนจะหลบเข้ามุมเสา
   “ดับไฟซะ!!”
   “หา!!” รัสเลอร์อุทานอย่างไม่เชื่อหู ตะกี้ราฟาแอลพูดว่าอะไรนะ ดับไฟ?
   “เฮ้!! ราฟี่ นายว่าไงนะ?”
   หนุ่มผมบลอนด์ขบฟัน ก่อนจะหันไปยิงตอบโต้พวกที่ตามมาอีกชุดหนึ่ง เขากรอกเสียงลงไป
   “ฉันบอกว่าให้ดับไฟซะ!!!”
------------------------------------------
   แรงสะท้อนจากการระเบิดเล็กๆ ของลูกตะกั่วที่ส่งผ่านพานท้ายปืนมายังมือนัดแล้วนัดเล่า ย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขากำลังเผชิญ ราฟาแอลกำลังชั่งใจ เวลาแบบนี้เขาควรทำอะไร ช่วยรูฟัส หรือปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วง?
   เจ้าเด็กตาสองสีนั่นกำลังตกอยู่ในอันตราย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบไปช่วย  แต่ว่า...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รูฟัสเผชิญภาวะวิกฤต และถ้าหากเขาไปช่วยไม่ทัน....
   ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์
   นิ้วของเขาเหนี่ยวไกอีกครั้ง เสียงระเบิดที่ถูกดูดซับด้วยที่เก็บเสียงที่ติดตั้งไว้ตรงปลายกระบอกปืนช่างฟังดูเงียบสงบสิ้นดี ต่างกับความวุ่นวายที่กำลังเป็นอยู่อย่างสิ้นเชิง เขากำลังมุ่งหน้าไปช่วยรูฟัส คู่หูของเขา ตามหน้าที่เพื่อนร่วมงานที่ดี ตามสิ่งที่เขาได้เคยสัญญาณเอาไว้กับอเล็กเซ ผู้เป็นคนที่เก็บรูฟัสมาเลี้ยงและเป็นคนที่เขาเคารพมากที่สุดคนหนึ่ง
   แต่ว่าถึงตอนนี้ กับสิ่งที่รัสเลอร์เห็น เขาอาจจะไปถึงช้าเกินไป.....
   สิบสามปีแล้ว ที่รูฟัสย้ายมาอยู่กับเขา สิบสามปีที่ทำงานร่วมกัน สิบสามปีที่เด็กนั่นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต สิบสามปีผ่านไปราฟาแอลได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับการมีคู่หู หนึ่งในนั้นคือการเชื่อมั่นในตัวของอีกฝ่าย
   ราฟาแอลเชื่อมั่นในตัวรูฟัสอย่างไม่มีข้อสงสัย ด้วยเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้เขาจะทำเรื่องหลายอย่างที่คาดไม่ถึงอยู่บ้างในระยะหลังๆ เช่นหนีตามผู้ชายไปฮ่องกง แต่ราฟาแอลก็ยังมีความเชื่อมั่นอยู่ อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็คิดแบบนั้น
   ไม่ว่าสิ่งที่รูฟัสจะเผชิญอยู่คืออะไร เจ้าหมอนั่นจะต้องรอดมาได้
   ดวงไฟเหนือศีรษะยังคงสาดแสงสีขาวนวลของมันลงมา รัสเลอร์ให้สัญญาณเขาแล้ว อีกห้าวินาทีไฟทั้งหมดจะดับลง รูฟัสจะรอดอยู่ถึงตอนนั้นหรือเปล่า? ราฟาแอลตอบตัวเองไม่ได้ สิ่งที่เขาตอบได้ตอนนี้คือ........
   ในสถานการณ์แบบนี้ มีแต่ตัวรูฟัสเองเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตตัวเองได้
-------------------------------------------------
   รัสเลอร์ป้อนคำสั่งเข้าสู่ระบบที่เขาควบคุมอยู่เพื่อจะดับไฟ เขาได้ยินเสียงระเบิดของลูกกระสุนที่อีกฝ่ายหนึ่งยิงเข้าใส่ราฟาแอลดังผ่านหูฟัง ถ้าจะมองให้ยุติธรรมแล้ว ทางราฟาแอลเองก็ไม่ได้เสี่ยงน้อยไปกว่ารูฟัสเท่าไหร่เลย รัสเลอร์ไม่เคยถูกยิงด้วยปืน แค่ถูกต่อยกับมีดบาดก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอยากจะทดลองความเจ็บปวดจากลูกกระสุน และคิดว่าคงไม่มีใครอยากจะทดลอง คำสั่งของราฟาแอลทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากขึ้น ในเวลาแบบนี้ ไม่มีใครมีทางเลือกมากนัก รูฟัสเองก็เช่นกัน
   ถึงยังไงในสถานการณ์แบบนี้ มีแต่ต้องภาวนาให้รูฟัสสามารถเอาตัวรอดมาได้ด้วยตัวเองเท่านั้น
   นี่คือสิ่งที่เขาสามารถทำให้ได้มากที่สุด
   อีกห้าวินาที
----------------------------------------------------
   ลู่ชางชะงักมีดในมือ ไม่ใช่เพราะได้ยินเสียงของทวีศักดิ์ แต่เขานึกขึ้นได้ว่า ตาสองสีแบบนี้จะสวยตอนที่มันอยู่ในเบ้าตาของเจ้าของ ดังนั้นชายชราจึงลดมีดลง จ้องใบหน้าพร้อมกับดวงตาที่ไร้ความรู้สึกนั่นอีกครั้ง
   อยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้พ่อหนุ่มคนนี้กำลังฝันแบบไหน
   ริมฝีปากหย่อนคล้อยเริ่มกระตุก ก่อนที่เสียงหัวเราะคุ้มคลั่งจะตามมาอีกชุดใหญ่ ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ลู่ชางจะหยุดตัวเองจากการหัวเราะได้ ชายชราถูมือไปมา นี่มันวิเศษมากไม่ใช่หรือ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้สึกอะไรเลย มันไม่ใช่การหมดสติแบบที่ร่างกายสูญเสียการควบคุมและไม่สามารถพยุงเอาไว้ได้ นี่มันเหมือนหยุดเวลาเอาไว้ กล้ามเนื้อและส่วนต่างๆ ยังคงอยู่ในอาการตอนแรก มีเพียงแต่สติสัมปชัญญะเท่านั้นที่สูญเสียไป
   แบบนี้ต่อให้ควักหัวใจออกมาก็น่าจะยังยืนอยู่ได้
   ลู่ชางถูมือไปมาอีกครั้ง ภาพหัวใจที่กำลังเต้นต่อหน้าเจ้าของที่ยังยืนอยู่ มันคงจะสวยงามอย่างหาคำบรรยายไม่ได้ หัวใจสีแดงสดที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เชื่อมต่อด้วยเส้นเลือดใหญ่ กำลังสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ตามหน้าที่ของมัน โดยอยู่ในมือของเจ้าของมันเอง นี่คือสิ่งที่น่าอภิรมณ์ไม่ใช่หรือ?
   “อยากดูหัวใจของเธอเต้นรึเปล่า พ่อหนุ่ม?”
   ชายชราเอ่ย พร้อมวาดมีดผ่าตัดในมือไปมาตรงหน้าชายหนุ่มซึ่งยังคงได้ปฏิกิริยาตอบโต้
   อีกสี่วินาที……………
---------------------------------------------------------
   ฟ่งกำลังยืนอ้าปากค้าง เขาพยายามจะหาเครื่องดักฟังที่ติดอยู่ที่เสื้อ แต่กลับพบบางอย่างที่น่าตกใจกว่านั้น เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันมาอยู่ในกระเป๋ากางเกงที่มีมากมายหลายช่องนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือบางทีอาจจะอยู่ตั้งแต่แรก หนุ่มสวมแว่นพิจารณาสิ่งประดิษฐ์ในมืออีกครั้ง แม้ว่ามันจะดูเล็ก น้ำหนักเบา และรูปทรงอาจจะแปลกไปบ้าง แต่ลำกล้อง และไกแบบนี้ มันเป็นลักษณะของปืนไม่ผิดแน่
   ทำไมถึงมีปืนประหลาดนี่อยู่ในชุดที่เขาสวม?
   ฟ่งไม่แน่ใจว่าพนักงานทุกคนของที่นี่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ ถ้าให้พกอาวุธจริงทำไมถึงไม่บอกเขาล่วงหน้า หรือว่านี่จะเป็นเสื้อของคนอื่นที่หยิบผิดมาก็ได้ แต่ใครมันจะลืมหรือเอาปืนใส่เอาไว้ในเสื้อที่ยังไม่ได้ใส่กัน หรือมีใครจงใจจะมอบมันให้เขา จงใจจะให้เขาพบ แต่ว่าจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?
   อีกสามวินาที.....
----------------------------------------------------------------
   อิทธิเดชเดินอย่างใจเย็นเข้ามายังระเบียงของล็อกจีสิบสาม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเป้าหมายของเขาจึงหยุดอยู่นิ่ง บางทีอาจจะกำลังทำอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็อาจจะกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องเก็บมาคิดให้เสียเวลา  หนุ่มหน้าสวยกระชับปืนออโตแมติกขนาดเก้ามิลลิเมตรในมือ นี่คือสิ่งที่จะปลดปล่อยเขาออกจากพันธนาการทุกอย่าง ทันทีที่พบกับผู้ชายคนนั้น
   ผู้ชายสวมแว่นคนนั้น...
   นัยน์ตาสีดำของอิทธิเดชหรี่ลง เขาชะงักฝีเท้า รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ที่เห็นว่าคนที่เขาหาตัวกำลังยืนอยู่เฉยๆ แต่ช่างเถอะ นี่คงเป็นโอกาสที่ดี
   ปากกระบอกปืนสีดำถูกยกขึ้น เล็งไปยังเป้าหมาย พร้อมกับนิ้วเรียวที่เหนี่ยวไกช้าๆ
   อีกสองวินาที......
----------------------------------------------------------------
   เงียบ...
   นั่นคือสิ่งที่วรุตรู้สึก มันช่างต่างกับความเป็นจริงรอบตัวเขาตอนนี้เหลือเกิน  ผู้ชายสวมแว่นที่มาจากฮ่องกงทำให้คนในห้องทั้งห้องเป็นบ้าด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ตอนนี้ทุกคนกำลังเจรจาซื้อขายตัวยางี่เง่านี่กันอย่างบ้าคลั่ง โดยมีพ่อของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง จนถึงตอนนี้วรุตสงสัยจริงๆ ว่าพ่อจะให้เขามาอยู่ที่นี่ทำไม เพื่อรับรู้สิ่งเหล่านี้หรือ รับรู้ว่าพ่อของตัวเองคบค้ากับมาเฟียต่างชาติ สร้างห้องลับ ทำยาเสพติดที่อันตรายขาย  แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงพยายามกีดกันเขานัก หรือว่าพ่อของเขาตัดสินใจจะให้เขารับช่วงต่อกิจการพวกนี้
   ..............................
   หูของวรุตอื้อไปหมด แม้จะได้ยินเสียงที่ผ่านเข้ามาแต่สมองของเขาไม่มีที่ว่างพอจะประมวลผลถ้อยคำพวกนั้น พ่อของเขากำลังจะให้เขามีส่วนในการรับผิดชอบเรื่องพวกนี้หรือ? ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาได้ก้าวย่างเข้ามาในโลกที่ตัวเองแสนจะรังเกียจที่สุด ด้วยน้ำมือของผู้เป็นพ่อ... ไม่สิ... เขามาอยู่ที่นี่ได้ เพราะผู้ชายคนนั้นต่างหาก
   ผู้ชายที่เขาให้สัญญาว่าจะปกป้อง
   ลูกชายของประธานการประชุมมองดูภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งยังคงฉายอยู่โดยไม่มีใครให้ความสนใจอีกด้วยดวงตาซึมเซา เห็นได้ชัดว่าคนที่สวมหน้ากากนั่นไม่ได้สนใจคำพูดของพ่อเลยสักนิด เขายังคงไม่รามือจากเหยื่อ วรุตไม่อยากจินตนาการว่ามีดผ่าตัดในมือที่ผู้ชายคนนั่นแกว่งอยู่จะกรีดลงไปบนส่วนใดของร่างกายรูฟัส ที่เขาอยากรู้คือ ตอนนี้ฟ่งกำลังทำอะไรอยู่ จะรู้ไหมว่าคนที่เขาพยายามจะตามหา หรือช่วยเหลือ หรืออะไรซักอย่าง จนต้องเสี่ยงชีวิตเข้ามาในที่แบบนี้ กำลังถูกเฉือนทีละน้อยอย่างไร้หนทางต่อต้าน โดยไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ
   ถ้ารูฟัสตาย ฟ่งจะรู้สึกอย่างไร?
   จู่ๆ หัวใจของวรุตก็ปวดแปลบ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแทนผู้ชายสวมแว่นคนนั้นนัก แค่คิดว่าความพยายามทั้งหมดที่ฟ่งทำมานั้นคงสูญเปล่า และไร้ความหมาย ถ้ารูฟัสไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว ไม่ว่ารูฟัสจะคิดกับฟ่งอย่างไรไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญที่ทำให้ฟ่งเดินมาถึงจุดนี้ คือความรู้สึกที่มีให้รูฟัส
   แล้วตัวเขาล่ะ? มาอยู่ตรงจุดนี้ด้วยความรู้สึกอย่างไรกันแน่?
   มีแต่ความเงียบที่เย็นยะเยือกจนน่ากลัวก่อตัวขึ้นมาในหัวใจ
   อยากจะปกป้อง อยากจะช่วยเหลือ แต่ว่าตอนนี้ ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เขาทำสำเร็จ เขาปล่อยให้ฟ่งไปในที่ที่ตัวเขาเองไม่รู้จัก ปล่อยให้อิทธิเดชตามผู้ชายคนนั้นไป และตัวเองก็นั่งดูและฟังสิ่งงี่เง่าที่กำลังดำเนินอยู่ โดยที่ไม่มีปัญญาจะทำอะไรต่อได้
   สุดท้ายแล้วมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำอะไรอย่างที่หวังไม่ได้เลย ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิดเอาไว้ ไม่แม้แต่เพียงเสี้ยวหนึ่ง กลายเป็นคนที่ก้าวให้เข้ามาสู่โลกที่ตัวเองรังเกียจ
   วรุตเบือนสายตาออกจากภาพความวุ่นวายตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย
   ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจอะไรอย่างที่มันควรจะเป็นเลยจริงๆ

   อีกหนึ่งวินาที..................
---------------------------------------
   มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าโลกหลังความตายเปรียบเสมือนการหลับฝันไปแล้วไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะฝันร้ายอย่างไรก็ไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อหนีจากฝันร้ายนั่นได้  ตอนนี้รูฟัสนึกสงสัยว่าสิ่งที่เขาเผชิญอยู่นี้ใช่โลกหลังความตายที่ว่าหรือเปล่า
   ร่างผอมบางในอ้อมกอดเขาช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลขึ้นมองเขา และเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของรูฟัสพองโต หากนี่คือโลกหลังความตายเขาคงไม่ได้อยู่ในฝันร้าย มันเป็นฝันที่ดีที่เขาไม่คิดว่าจะมีวันเกิดขึ้น
   อา...ถ้าเป็นฟ่งจริงๆ ล่ะก็ คงไม่มีวันมานั่งในอ้อมกอดเขา มองเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม และพูดคำคำนั่นออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่ๆ
   คำที่เขาอยากจะได้ยินที่สุด
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั่นอย่างใคร่ครวญ นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นช้อนขึ้นมองอย่างสงสัย ริมฝีปากที่เขาเคยปรารถนาเอื้อนเอ่ยคำถามที่ชวนให้สะอึก
   “คุณไม่รักผมหรือ?”
   รูฟัสยิ้มให้ร่างนั้น  ไม่รักงั้นหรือ? เขารักแทบเป็นแทบตาย รักจนจะเป็นบ้า รักจนไม่รู้จะอธิบายออกไปเป็นคำพูดให้เข้าใจได้ยังไง รักมากมายเสียจนตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
   “ผมรักขนาดที่จินตนาการไม่ออกเลยล่ะ”
   ดวงตาสีน้ำตาลกลอกไปมาเหมือนไม่เชื่อ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงได้เย็นชานัก ทำไมถึงไม่ทำอะไรอีก ทำไมถึงแค่กอดผมไว้เฉยๆ”
   รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของรูฟัส พร้อมกับมือที่ลูบลงไปบนเรือนผมสีน้ำตาลนั้น
   “คุณเป็นฝันที่ดี คุณเป็นสิ่งที่ผมฝัน แต่ผมนอกใจไม่ได้หรอก”
   ร่างนั้นสั่นไหวนิดหน่อย ดวงตาหวานเยิ้มมองขึ้นมาเหมือนไม่เชื่อ รูฟัสยิ้มอีกครั้ง
   “คุณไม่ใช่คนรักของผม คุณไม่ใช่ฟ่ง”
   ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดสั่นไหวอย่างรุนแรง รูฟัสอ้าแขนออก  มองดูความฝันแสนหวานตรงหน้าสลายไป
   ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
   ยังมีโอกาสที่จะทำให้ฟ่งพูดคำคำนั้นออกมาจากใจ ถ้าหากเขารอดกลับไปได้

!!!!!!!!!!
------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
เง้อ~ นึกว่าอัพตอนใหม่ แต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าได้เม้นท์ไปแล้วรึยังเหมือนกัน
เชียร์ให้รูฟัสตื่นมาพบกับความเป็นจริงซักทีค่ะ เป็นตอนที่อ่านแล้วอึดอัดมากกกกกกกกกกกกกกกกก
วันนี้กะประเดิมเรื่องใหม่ Out of order ทีนี้ก็จะเหลือแค่ นกยูงแดงเรื่องเดียวแล้วสิ...คิดหนักแฮะ
มันล้ำหน้าไปไกลจนเห็นลางเหนื่อยถ้าจะตามให้ทัน (ขอผลัดไปก่อนแล้วจะค่อย ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ ละกันนะคะ เป็นประเภทจะไม่เม้นท์อะไรถ้ายังตามไม่ทันตอนล่าสุด)

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**แวะมาแปะเพิ่มล่ะค่ะ ตอนนี้กำลังจัดหน้าของเล่ม8อยู่ ซึ่งเป็นเล่มจบของเรื่องนี้ (ส่วนเล่ม9จะเป็นเล่มซึ่งรวมตอนพิเศษนะคะ) จัดไปก็... เฮ้ย ในที่สุดมันก็มาถึงเล่มจบแ้ล้วเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อจริงๆ (และ... มันจะยาวกี่หน้าก็ยังไม่รู้อีกเช่นกัน) เพราะเล่ม7จัดหน้าเสร็จแล้ว รวมรูปประกอบและทอล็กเข้าไปก็ได้เกือบ230หน้าแล้ว (จากเล่มก่อนที่มีแค่210หน้า)

ส่วนเล่มพิเศษ เนื้อหายังเขียนไม่หมด แต่เท่าที่มีอยู่ตอนนี้ ก็คาดว่าอย่างต่ำคงจะ140หน้าขึ้นแล้ว จากเดิมที่คิดว่าคงจะสักร้อยกว่าหน้า.. อาจจะพุ่งเป็น200หน้าอัพก็ได้ (ม่ายยยย)

เอาล่ะ ยังไงก็จะเข็นออกมาให้ครบประมาณช่วงสิ้นปีนี้ให้ได้นะคะ ยังไงตอนนี้ก็ตามอ่านเนื้อหาของช่วงปลายเล่ม6ไปพลางๆ แล้วกันค่า~
-------------------------------------------------
บทที่59 ปาฏิหาริย์

   เสียงกริ๊กที่ดังขึ้น แม้เพียงแผ่วเบา ก็ดังพอที่จะให้ฟ่งหันหน้าไปมองที่มาของมันได้ สิ่งที่เขาเห็นคือ ปืนกระบอกหนึ่งกำลังจ่อมาทางเขา และผู้ที่ถือมันอยู่
   อิทธิเดช!!
   โดยสัญชาตญาณ ร่างบางคว้าอาวุธที่ตัวเองยังสงสัยในที่มาของมันอยู่ ขึ้นเล็งใส่อีกฝ่ายทันที
   !!!!!
-------------------------------------------
   เสียงปืนเงียบลงแล้ว แทบจะพร้อมกับความมืดที่เข้ามาเยี่ยมเยียนอย่างกระทันหัน แน่นอนว่าอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น มีเสียงตะโกนสั่งและก่นด่าตามมา ราฟาแอลบรรจุแม็กกาซีนปืนอย่างเบามือ จากคำบอกเล่าของรัสเลอร์ ระบบจะทำการกู้คืนไฟฟ้าทั้งหมดโดยอัตโนมัติในอีกราวๆสิบห้าถึงยี่สิบวินาที ในช่วงเวลานี้ หวังว่าเจ้ารูฟัสคงมีปาฏิหาริย์อะไรสักอย่าง
-------------------------------------------
   แสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่รัสเลอร์มองเห็นคือแสงจากหน้าจอแอลซีดีจากเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาของเขา ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝ่ายควบคุมระบบต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่ามีคนเจาะเข้าไป และคำสั่งที่จะออกตามมาหลังจากไฟติดแล้วก็คงไม่พ้นตามหาคนที่เจาะระบบเข้ามาแน่ๆ ปัญหาคือเวลา
   ระบบไฟล์วอลเริ่มรีสตาร์ทตัวเองใหม่ และไล่หาผู้บุกรุกที่เข้ามา หากเขาถอนการเชื่อมต่อออกตอนนี้ อีกฝ่ายจะไม่สามารถจับตำแหน่งของเขาได้ แต่ถ้าถอนกำลังออกตอนนี้ หมายความว่าเขาจะสูญเสียการควบคุมระบบและการรับภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้ได้อีก ทั้งเหตุการณ์ของราฟาแอล รูฟัส หรือแม้แต่เรื่องของเด็กผู้ชายสวมแว่นคนนั้น
   ฟ่ง
   รัสเลอร์ไล่นิ้วลงไปบนแป้นคีย์บอร์ด มีเหตุผลมากพอที่เขาจะยอมเสี่ยงสำหรับเรื่องนี้ หวังว่าราฟาแอลคงจะหาทางออกเอาไว้แล้ว
------------------------------------------------
   ปาฏิหาริย์.....
   ถ้าพูดให้ถูกสำหรับรูฟัสตอนนี้มันคืออาการทางประสาท ประสาทรับรู้ของเขาแทบทั้งหมดไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของสมอง จนถึงตอนนี้รูฟัสยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขากลับมาสู่โลกแห่งความจริงแล้วหรือยัง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือความมืดที่ว่างเปล่า ล่องลอย ไม่ได้ยินทั้งเสียง ไม่เห็นทั้งภาพ ไม่รู้สึกอะไรแม้กระทั้งการมีอยู่ของร่างกาย แต่ดูเหมือนเขาจะกำลังกลอกตาและกะพริบตาอยู่
   หรือว่าประสาทการมองเห็นของเขาเสียไปแล้ว!
   ความรู้สึกตกใจแสดงออกมาในแง่ของกระแสความร้อนผ่านวูบจากดวงตาลงไปสู่หัวใจที่เต้นตุ๊บๆ  อ้อ... ยังมีหัวใจที่เต้นอยู่อีก ระหว่างที่เขาไม่รู้สึกตัวนี่ ตาแก่บ้านั่นทำอะไรกับร่างกายเขาไปบ้าง  คนอย่างลู่ ชาง คงไม่ปล่อยไอ้ยานรกนั่นใส่เขาเพื่อจะยืนดูผลของมันเฉยๆ หรอก ตาแก่นั่นอาจจะควักลูกตากับสมองของเขาพร้อมด้วยหัวใจใส่โหลดองไปแล้วก็ได้ รูฟัสคิดว่าถ้าปากเขามีความรู้สึกตอนนี้มันคงแค่นยิ้มอยู่ ความคิดฟุ้งซ่านที่อาจจะเป็นผลมาจากยาหรือติดมาจากบทสนทนาอันแสนวิปลาสของชายชราผู้ทำให้เขาอยู่ในสภาพนี้  เอาล่ะ ก่อนที่จะมีความคิดงี่เง่าแบบเมื่อครู่ตามมาอีก เขาจำเป็นต้องคิดในสิ่งที่ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพวะแบบนี้สมควรคิดถึงเป็นอันดับแรก
   การเอาตัวรอด
   แม้แต่ร่างกายยังไม่รู้สึกแล้วจะเอาตัวรอดได้ยังไง...ให้ตายสิ
   รูฟัสคิดว่าถ้าเขาขยับมืออย่างไร้ความรู้สึก มันคงเขกบนหัวกะโหลกที่ไร้ความรู้สึกของเขานั่นแหละ  ท่าทางเขาคงกำลังมีอาการทางประสาทอ่อนๆ ไอ้นิสัยที่เคยยียวนกวนอารมณ์คนอื่นตอนนี้ ดันมาเป็นกับตัวเองเสียแล้ว
   เอาล่ะ ไอ้ตัวกวนประสาท หยุดนิสัยบ้าๆ แล้วคิดสิว่ามีอะไรพอจะทำได้ในเวลาแบบนี้บ้าง
   ทำให้ร่างกายกลับมามีความรู้สึกก่อน...
   เสียงตัวเองดังสะท้อนอยู่บนความตื้อตันของระบบความคิด อ่า ใช่...แต่ว่าจะทำยังไงล่ะ?
   ทำยังไงถึงจะสลายฤทธิ์ไอ้ควันนรกนี่ได้
-----------------------------------
   ไฟที่ดับวูบลงกระทันหัน ทำให้ลู่ ชางชะงักปลายมีดผ่าตัดไปโดยอัตโนมัติ ชายชราพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก ไฟทำไมถึงได้จงใจมาดับเอาตอนนี้ เขากำลังจะลดมีดลง แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นแว๊บเข้ามาในสมอง
   อาจจะเป็นฝีมือเพื่อนร่วมงานของหมอนี่ก็ได้
   ชายชรายิ้มให้กับตัวเองในความมืด คิดจะอาศัยจังหวะนี้มาช่วยเจ้าหมอนี่งั้นหรือ  อ่า..แย่จริงๆ  ต่อให้ต้องคว้านมีดลงไปในความมืดแบบนี้ก็สมควรจะต้องทำแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่ทันได้เห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจตอนที่ไฟติดขึ้นมาก็ได้  ถ้ามีคนมาร่วมชมอีกสักคนหนึ่งก็ยิ่งเป็นการดีไม่ใช่หรือ
   เสียงหัวเราะอย่างคุ้มคลั่งดังขึ้นอีกครา...
-----------------------------------
   เป็นครั้งแรกที่รูฟัสรู้สึกดีใจกับเสียงหัวเราะราวกับปิศาจร้ายที่เขาได้ยิน นี่แปลว่าสติเขากลับเข้าสู่ร่างกายแล้ว ไม่ก็เป็นอาการประสาทหลอนชนิดหนึ่ง เอาเถอะ ถึงเวลานี้นึกเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนไม่เสียหาย  เสียงหัวเราะแสนจะวิปลาสนั่นคงเป็นตาแก่สติเลอะเลือนนั่นแน่ๆ อยู่ใกล้ๆ นี่เองสินะ คงใกล้มาก ไม่งั้นไม่น่าจะได้ยินชัดขนาดนี้ ไอ้เรื่องตาที่ยังมองไม่เห็นนี่คงต้องปล่อยไปก่อน รวมถึงร่างกายที่ยังไม่รู้สึกนี่ด้วย แย่ชะมัด แบบนี้มันเหมือนถูกยาชาเลยไม่ใช่หรือไง ความจริงก็คงขยับได้หรอก แต่ไม่รู้สึกแค่นั้นเอง
   ขยับได้!!!
   รูฟัสคิดว่าสถานการณ์แบบนี้จะคิดเข้าข้างตัวเองอีกหนก็ไม่น่าจะเสียหาย เขาสั่งสมองให้สั่งการไปยังแขนซึ่งไม่มีความรู้สึกกระทำการบางอย่าง  ถ้ามันไม่ใช่การเข้าข้างตัวเองจนน่าเกลียด  บางทีปาฏิหาริย์อาจจะมีจริงๆ ก็ได้
-------------------------------------
   ความรู้สึกถึงของแข็งบางอย่างที่มากระทบกับปลายมีดทำให้ชายชราขมวดคิ้ว ถึงจะมืดขนาดนี้ แต่เขาไม่น่ากรีดพลาดไปโดนกระดูก สรีระของมนุษย์นั้นแทบจะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดแทบจะตลอดเวลาในหัวสมองของเขา ต่อให้ถูกปิดหูปิดตาก็ไม่น่าจะผิดพลาด หรือว่า นี่เป็นส่วนอื่น?
   วัตถุแข็งนั่นขยับเล็กน้อย ก่อนจะร่วงลงสู่เบื้องล่าง และแทบจะพร้อมกัน
   เพล้ง!!
-------------------------------------------
   ปัง!!!
   อิทธิเดชเห็นแสงไฟแลบในความมืดที่มาเยือนกระทันหัน เกิดอะไรขึ้น ไฟดับ?!! แล้วคนตรงหน้าเขาล่ะ  นอกจากเสียงระเบิดของลูกตะกั่วที่อื้ออึงอยู่ในหัวแล้ว เขายังไม่ได้ยินเสียงอื่น หรือว่าเขาทำสำเร็จแล้ว? ชายหนุ่มหน้าสวยได้แต่ยืนนิ่ง ภาพก่อนไฟดับทำให้เขาคิดอะไรได้บางอย่าง
   ฟ่งมีปืน! ผู้ชายคนนั้นพกปืนเข้ามาในนี้ได้อย่างไร?
   โดยปกติแล้วใครก็ตามที่เข้ามาในที่นี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ ต่อให้แอบเอาเข้ามาจริงๆ ก็ต้องตรวจเจอตอนสแกนเพื่อทำประวัติอยู่ดี งั้นทำไมผู้ชายที่มาถึงอย่างกะทันหันนั่นถึงมีปืนล่ะ? หรือว่าวรุตให้ไว้ แต่วรุตยิงปืนไม่เป็นนี่นา แถมเจ้าตัวเองก็ดูจะรังเกียจอาวุธชนิดนี้เสียจนน่ารำคาญ งั้นมันมาจากไหนกันล่ะ?
   หรือมีคนเอามาให้ แต่ใครจะรู้ว่าฟ่งอยู่ส่วนไหนนอกจากตัวเขาและศูนย์บัญชาการ หรือว่าเจ้านั่นมีพรรคพวกอื่นอยู่ในนี้อีก แล้วจะให้ปืนเอาไว้ทำไม เพื่อป้องกันตัวหรือ ฟ่งรู้หรือว่ามีคนต้องการเอาชีวิต อิทธิเดชนึกไม่ออกว่ามีใครแสดงท่าทีคุกคามชายคนนั้นตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ มีแต่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง คนที่มุ่งร้ายก็ดูจะมีแต่ตัวเขาเท่านั้น หรืออาจจะมีอีกคนหนึ่ง!!
   นิ้วมือของอิทธิเดชสั่นระริก เขาภาวนาให้ฟ่งตายไปเสีย เขาจะลืมสิ่งที่เขาคิดเมื่อครู่ ลืมไปพร้อมกับความตายของผู้ชายคนนั้น ใช่แล้ว ตายไปเสียเถอะ ได้โปรด ตายไปก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามถึงที่มาของปืนนั่น
   ตายซะ!!
-------------------------------------------
   ฟ่งยืนตัวแข็งทื่อ สิ่งที่เขาเห็นคือลูกปืนสีทองที่พุ่งเข้ามาอย่างแช่มช้า ไอ้นี่ล่ะมั้งคือสิ่งที่เรียกว่าวินาทีแห่งความตาย มันช่างเชื่องช้า และชวนให้คลื่นเหียน กับภาพความทรงจำที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงเวลาไม่กี่เสี้ยววินาที ทั้งภาพของแม่ พี่สาว เพื่อนร่วมชั้นเรียน อดีตแฟนสาวที่เขาเคยรัก และสุดท้าย ภาพของนัยน์ตาสีเทาและเขียวที่น่าหลงใหล นั่นคือสิ่งที่เขาเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง

   ฟ่งคิดว่าตัวเองคงตายแล้ว แต่ไอ้กลิ่นเหม็นไหม้เหมือนขนสัตว์ที่โชยมาเข้าจมูกทำให้เขาต้องคิดใหม่ พอมาสำรวจดูแล้ว ไอ้หัวใจที่เต้นตุ้บๆ เหมือนจะกระดอนออกมานี่คงเพียงพอที่จะบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ งั้นที่มืดไปนี่ล่ะ?
   ชายหนุ่มไม่มีสติดีพอจะคิดถึงสาเหตุที่มาของความมืดนี้ สิ่งที่เขาทำได้อย่างสุดความสามารถคือพยุงตัวเองไม่ให้ล้มพับลงไป ฟ่งรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเทา ลมหายใจที่ติดขัดขาดห้วง เขากำลังหวาดกลัว หวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น และไม่ว่าจะพยายามจะปลอบใจตัวเองอย่างไร แต่ขาทั้งสองข้างมันก็คงจะทนยืนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
   ปัง!!
   แทบจะพร้อมกับขาที่อ่อนยวบลง แสงไฟสีแดงแลบออกมาจากกระบอกมฤตยูนั่นอีกรอบ ฟ่งรู้สึกเหมือนมีลมร้อนเฉี่ยวผ่านศีรษะเข้าไป นี่ถ้าไม่ทรุดลงก่อนไม่ต้องบอกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วเสียงที่แสนจะดังเสียดแทงเข้าไปในหัวใจนั่นก็ดังขึ้นอีกหลายรอบ พร้อมกับแสงดินปืนปะทุสีแดงสว่างวาบ
   ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
   ฟ่งยกมือขึ้นกุมศีรษะ แทบจะอ้าปากร้องออกมา เสียงปืนล่าสุดที่เขาได้ยินคือซ้อมยิงเป้าสมัยเรียนรักษาดินแดน แต่นี่มันแย่กว่า เสียงกระสุนจริงมันดังกว่าหลายเท่า แถมไอ้เป้าที่ใช้ยิงยังเป็นตัวเขาเองอีกนี่ ถ้าจะพูดว่ากลัวจนร้องไม่ออกก็น่าจะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ของเขาได้ดี หยดน้ำตาอุ่นๆ ไหลทะลักออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองข้างเหมือนทำนบที่ถูกทุบแตก แม้เสียงปืนจะเงียบลงแล้ว แต่ร่างกายของเขายังคงสั่นเทาราวกับคนบ้า น้ำตายังคงไหลพร่างพรูออกมาไม่หยุด หัวใจเต้นระรัวอย่างรุนแรงเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ขากรรไกรแข็งค้าง แม้แต่เสียงร้องสักแอะยังลอดออกมาไม่ได้
   ทำใจดีๆ ไว้!
   ฟ่งพร่ำบอกตัวเองและพยายามจะให้ตัวเองเชื่อแบบนั้น เขาคิดว่ากำลังจะถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ นิ้วมือของเขาสั่น นั่นทำให้เขารู้สึกถึงวัตถุเย็นเยียบในมือ ยังมีสิ่งนี้อยู่นี่นา สิ่งที่มีอำนาจพอๆ กับไอ้ที่เขาโดนเมื่อครู่ ฟ่งขยับมืออย่างสั่นเทา พยายามเล็งปืนไปยังความมืดเบื้องหน้า
   !!!!!!!
-----------------------------------------------
   เสียงแก้วแตกทำให้ลู่ ชางชะงักค้าง เป็นเวลาหลายวินาทีกว่าเขาจะรู้สึกตัว สมองชองชายชรากำลังนึกสงสัย แก้วแบบไหนหนอที่หล่นออกมาจากตัวของผู้ชายคนนั้น และโดยไม่ต้องเสียเวลาถามตัวเองต่อไปในอีกหลายวินาที เสียงหัวเราะเหมือนประชดก็ดังขึ้นเบาๆ
   !!
--------------------------------------------------
   แสงไฟที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละดวงสองดวง เหมือนสัญญาณชีพจรของคนไข้อาการหนักที่ถูกปั้มขึ้นมาใหม่ ราฟาแอลแค่นยิ้ม ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากจุดปะทะเดิมมากพอสมควร และคิดว่าคงไม่มีใครตามมาอีกสักพัก ชายหนุ่มถอดแว่นอินฟาเรทที่ใช้มองภาพในที่มืดออก เขาเพิ่งติดตั้งบางสิ่งบางอย่างที่เอาไว้ใช้ถ่วงเวลาและสร้างความวุ่นวายให้ไอ้พวกข้างล่างนี้ได้อีกนานโข  ชายหนุ่มติดต่อกลับไปยังรัสเลอร์
   หวังว่าคงมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับเจ้าเด็กตาสองสีนั่น
--------------------------------------------------
   “ฉันยังไม่ได้ภาพจากห้องที่รูฟัสอยู่ พอดียังต้องจัดการเรื่องระบบอีกสักพัก” นั่นคือสิ่งแรกที่รัสเลอร์เอ่ยขึ้น ระบบเพิ่งรีบูทตัวเองกลับมาใหม่ และการเจาะระบบของเขากำลังถูกต่อต้านอย่างหนัก เสียงราฟาแอลตอบกลับมา
   “ทำอย่างที่นายถนัด ฉันเตรียมอุปกรณ์ถ่วงเวลาเอาไว้เพียบ ต่อให้ทางนั้นจับที่อยู่ของนายได้ คงไปถึงได้ไม่ง่ายนักหรอก”
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มหัวเราะออกมา “ขอบใจราฟี่ ถึงจะดูไม่รับประกันมากนัก แต่ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย”
   “ฉันไม่ยอมเสียเพื่อนร่วมงานไปทีเดียวพร้อมกันสองคนหรอก ถ้าติดต่อไอ้เจ้ารูฟัสได้ บอกให้มันถ่อกลับขึ้นมาเองแล้วกัน ฉันคงต้องทำหน้าที่แทนมันไปก่อน”
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วกับคำพูดของราฟาแอล “หน้าที่แทน?”
   ได้ยินเสียงราฟาแอลพ่นลมหายใจใส่ไมโครโฟน “ก็แบบที่เจ้าหมอนั่นทำประจำ.... อย่างเช่น... เฮ้!!มาเล่นกันสักตั้งไหมพวก!!”
   ไอ้คำพูดแนวคึกคะนองแบบนั้นช่างไม่เข้ากับราฟาแอลเลยสักนิด แต่คิดก็ทำให้รัสเลอร์อดย่นคิ้วด้วยความขบขันไม่ได้ เขาเข้าใจแล้วว่าทำหน้าที่แทนที่ราฟาแอลพูดถึงคืออะไร
   ใครมันจะก่อกวนได้เยี่ยมยอดไปกว่าพ่อหนุ่มตาสองสีที่ชื่อว่ารูฟัสกันล่ะ
   หนุ่มผมสีน้ำตาลพยักศีรษะอย่างรับรู้ ขณะที่เสียงดวลปืนดังขึ้นอีกรอบ
-------------------------------------
   ปาฏิหาริย์สำหรับรูฟัสในตอนนี้คือ การคาดคะเนบวกดวงพ่วงด้วยการเข้าข้างตัวเองอย่างถูกต้องไม่ผิดพลาด เส้นประสาทต่างๆ ของเขาค่อยๆ ตื่นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และดีกว่าโดนยาชาเป็นไหนๆ เพราะทุกส่วนพร้อมถูกใช้งานได้เลย โดยไม่มีอาการเจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มแทงติดตามมาด้วย ดูเหมือนว่าใต้ตาข้างหนึ่งของเขาจะเกิดแผล เพราะเส้นประสาทบริเวณนั้นเต้นประท้วง พ่วงด้วยความรู้สึกเปียกแฉะ แปลว่าเลือดออกเยอะพอสมควร นี่ตาแก่นั่นคิดจะควักลูกตาเขาออกไปจริงๆ หรือไง  อ้อ..จะว่าไป ตาแก่ตัวดีสมควรจะอยู่ตรงหน้าเขานี่นา รูฟัสขยับมือข้างที่เพิ่งรู้สึก และพบว่ามันบาดเจ็บด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะหึๆ  ตาแก่นั่นคิดจะแทงเขาด้วยอะไรบางอย่างแต่คงพลาดมาโดนมือที่คลำเบะปะไปพอดี ถือเป็นโชคอย่างไม่น่าเชื่อ
   รูฟัสคว้านมือไปด้านซ้าย เขาจำต้องหาอาหารให้กับผู้ช่วยชีวิตของเขา
--------------------------------------
   เสียงตะโกนเหมือนคนบ้าของลู่ ชางดังขึ้นแทบจะพร้อมกับแสงไฟดวงหนึ่งที่ติดขึ้นในห้อง ควันสีเทาลอยอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าเขา และที่แย่กว่านั้น ผู้ชายผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนนิ่ง กลับขยับเขยื้อนได้ และมือข้างหนึ่งของเขากำลังพุ่งตรงไปยังครอบแก้วที่ใส่เทพเจ้า  ชายชราปราดเข้าไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมมีดผ่าตัดในมือ เขาไม่ยอมให้ผลงานที่รักของเขาถูกทำลายด้วยของบ้าๆ นี้เด็ดขาด แค่อีกไม่กี่วินาที พวกมันก็จะสลายตัวไปแล้ว  ไอ้ของไร้ค่าที่ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หากไม่ได้กัดกินผู้อื่น นัยน์ตาสองสีนั้นเหลือบมองมาทางเขาแว้บหนึ่ง ก่อนที่มีดผ่าตัดสีเงินจะกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ ลู่ ชางเบิ่งนัยน์ตาค้าง ในมือของชายตรงหน้าเขามีมีดสปาต้าเล่มใหญ่ซึ่งถูกดึงออกมากจากที่ไหนและเมื่อไหร่ไม่ทราบได้ นัยน์ตาสองสีนั่นเย็นชาราวแก้วผลึก ก่อนที่ลำแขนแกร่งจะเสือกปลายมีดที่ยาวราวๆ หนึ่งฟุต เข้าไปในตู้กระจก
   ฟู่!!
   ปลายโลหะสีเงินพุ่งเสียบครอบแก้วด้านในอย่างถนัดถนี่  รูฟัสออกแรงบิด ครอบแก้วทั้งหมดก็เกิดรอยร้าว และออกแรงกระชากอีกหน่อยหนึ่ง ก็สร้างช่องโหว่ขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ควันสีม่วงแดงพุ่งพรวดออกมาเหมือนก่อนหน้านี้ที่เขามองเห็น มันขยายตัวเหมือนเงาของปิศาจร้าย มุ่งเข้าใส่เขาที่ยืนอยู่ตรงหน้า วินาทีนั้นรูฟัสนึกหวั่นใจนิดหน่อย เขาเพิ่งรับรู้ฤทธิ์เดชของเจ้าควันสีม่วงตัวนี้ไปหมาดๆ หากต้องเจออีกในปริมาณขนาดนี้อาจจะไม่มีปาฏิหาริย์รอบสอง หวังว่าไอ้สิ่งที่เพิ่งออกจากหลอดแก้วที่แตกไปเมื่อครู่ น่าจะยังวนเวียนอยู่
   โทเนียเทียฮ์!!
   พระเจ้าแห่งแสงที่ไดแอนมอบให้เขา  ความจริงรูฟัสได้รับคำสั่งมาให้เก็บตัวอย่างของเทสการิโพก้ากลับไป แต่ลองมันออกฤทธิ์แบบนี้ เห็นทีจะปฏิบัติตามคำสั่งได้ยาก ชายหนุ่มมองดูกลุ่มควันสีม่วงด้วยใจตุ้มๆ ต้อมๆ ก่อนที่เสียงกรีดร้องเหมือนคนบ้าของชายชราจะดังขึ้น
   “ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
   ลู่ ชางวิ่งปราดเข้ามา ยกมือขึ้นปัดควันสีเทาซึ่งลอยอ้อยอิ่งอยู่ ทันใดนั้นเองมันก็มีปฏิกิริยาเหมือนผึ้งแตกรัง ควันพวกนั้นกระจายออกและพุ่งเข้าหาควันสีม่วงที่แผ่ขยายตัวเองอยู่  เหมือนหยดจุดสีสองสีลงไปในแก้วน้ำ ควันสองอย่างเริ่มรวมตัวกัน และเกิดภาพที่แปลกประหลาด มันม้วนตัวราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างสับสนและบ้าคลั่ง สลับสีสันราวกับเซลของปลาหมึก สีแสงนับร้อยนับพันถูกแสดงออกมา แม้แต่รูฟัสเองก็ยืนตะลึงอยู่พักหนึ่ง ก่อนะที่เสียงตะโกนอย่างคุ้มคลั่งของลู่ ชางจะปลุกสติเขา
   “หมดกัน ไอ้บ้า หมดกัน  เอามันออกไปให้พ้น นังไดแอน แก!!!” ชายชราพุ่งเข้าหารูฟัสอย่างมุ่งร้าย รูฟัสถอยฉากไปนิดหนึ่ง ปกติเขาไม่ชอบทำร้ายคนแก่ เด็ก และผู้หญิง แต่ในกรณีของลู่ชาง ดูท่าจะต้องฝืนตัวเองสักครั้ง ชายหนุ่มใช้ด้ามมีดกระแทกเข้าตรงลิ้นปี่ของอีกฝ่าย ร่างผอมแห้งทรุดลงไปกองกับพื้น น้ำลายไหลออกมาจากปาก แต่ดูเหมือนยังไม่หมดสติ รูฟัสแค่นยิ้ม เขาปราดไปยังลิ้นชักแก้วที่วางอยู่รอบๆ และกระชากพวกมันลงมา
   เทพเจ้าไม่ควรจะลงมายุ่งกับมนุษย์
----------------------------------------
   “โอ้ ฉันได้ภาพทางรูฟัสแล้ว ท่าทางจะมีปาฏิหาริย์จากไฟดับ” รัสเลอร์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี หลังจากปาดเหงื่อออกจากใบหน้า เครื่องปรับอากาศกลับมาทำงานแล้ว แต่ตัวไฟล์วอลล่าสุดที่เขาเจอทำเอาแทบจะหยุดหายใจไปหนสองหน  เสียงราฟาแอลงึมงำกลับมา เหมือนว่าจะดีใจแต่ก็พยายามไม่แสดงออกมามากนัก รัสเลอร์ผิวปาก ที่เหลือก็แค่ฟ่ง  หวังว่าตอนไฟดับคงไม่วิ่งเตลิดหนีไปไหนหรอกนะ หนุ่มผมสีน้ำตาลหัวเราะกับตัวเอง ถึงฟ่งจะดูเหมือนกระรอก แต่คงตกใจเพราะเรื่องไฟดับหรอก เขาค่อยๆ เรียกไฟล์จากกล้องวงจรปิดขึ้นมาดู แล้วก็แทบจะแหกปากร้องออกมา
----------------------------------------
   ถ้าสิ่งที่อยู่ในมือเรียกว่าปาฏิหาริย์ ฟ่งก็ได้ทิ้งปาฏิหาริย์นั้นลงบนพื้นเรียบร้อยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่อยู่ในภาวะถูกคุกคามและหวาดกลัวถึงขีดสุด เขาก็ไม่อาจทำใจเหนี่ยวไกลงไปได้  ฟ่งแค่รู้สึกเขากำลังหวาดกลัวเพราะอาวุธมฤตยูชนิดนี้ แล้วการใช้มันจะทำให้เขาหายจากความกลัวนี้หรือ? ดังนั้นชายหนุ่มจึงปล่อยมือ ปืนกระบอกนั้นหล่นจากมืออันสั่นเทาลงบนพื้น อา... มันง่ายกว่าการพยายามจะยกมันขึ้นเพื่อยิงใครสักคนอีก ร่างบางถอนหายใจ เป็นเรื่องแปลก แต่ตอนนี้เขารู้สึกโล่งอย่างประหลาด เหมือนได้ข้ามพ้นอะไรบางอย่าง ถ้าหากถูกฆ่าตายตอนนี้ เขาคงไม่รู้สึกโกรธเคืองนัก เพียงแต่อาจจะเสียดายนิดหน่อย ที่ไม่ได้มีโอกาสบอกคำคำนั้นให้คนที่ต้องการฟังที่สุดรับรู้
   ไฟดวงหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้น เผยให้เห็นบุคคลตรงหน้าที่เล็งปืนใส่เขา ใบหน้าของฟ่งปรากฏรอยยิ้มอย่างคนสิ้นหวัง
   ขอโทษนะ รูฟัส
-----------------------------------------
   มือขวาของอิทธิเดชยังคงชาเพราะแรงกระแทกจากแรงกระสุน เขาหวาดกลัวความคิดตัวเองจนกระทั้งรัวกระสุนไปแทบจะหมดแม๊ก อย่างไรก็ดีไฟดวงหนึ่งติดขึ้นแล้ว ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคือสิ่งที่เขากลัวที่สุด ผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ นั่งอยู่ตรงนั้นกับปืนที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้น และรอยยิ้มที่ยอมจำนน
   อิทธิเดชขยับนิ้วมือที่ยังคงอยู่ในโกร่งปืน แค่ไล่กันไกอีกครั้ง คนตรงหน้าเขาก็คงจะถูกส่งไปสู่ดินแดนที่ไม่มีวันกลับ ในระยะแค่นี้ ไม่มีทางพลาดแน่ๆ ก็แค่ขยับนิ้วแนบเข้ากับไกปืนให้แน่นอีกนิดหนึ่ง
   ..........................................
   นิ้วชี้ที่สอดอยู่มิได้กดลง ตลอดตัวร่างกายของอิทธิเดชเหมือนถูกตรึงด้วยน้ำแข็งที่งอกยื่นออกมาจากพื้นที่เขาเหยียบอยู่
   ทำไมถึงไม่ยิงล่ะ?
   เขาเฝ้าถามตัวเอง  แต่ไม่ได้หมายถึงตัวเขาเองที่ไม่ยิง เขาถามตัวเองถึงเหตุผลของผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา ปืนกระบอกนั้นเคยอยู่ในมือของฟ่งแท้ๆ ทำไมถึงไม่ยิงสวนมาบ้างล่ะ หรือว่าโง่จนไม่รู้ว่านั่นคือปืน ไม่สิ ก่อนที่ไฟจะดับฟ่งก็ถือปืนนั่นแล้วหันมาทางเขานี่นะ แล้วทำไมถึงไม่ตอบโต้อะไรเลยล่ะ หรือว่ายิงปืนไม่เป็น แต่ในสภาวะแบบนั้น ต่อให้งี่เง่าขนาดไหน กะอีแค่สอดนิ้วเข้าไปแล้วเหนี่ยวไกก็คงทำได้ไม่ยาก อย่างนั้นทำไมถึงไม่ยิง ทำไมถึงทิ้งปืนลงแบบนั้น แล้วทำไมถึงได้มีรอยยิ้มที่ยอมแพ้ขนาดนั้น
   หรือว่าหมอนี่ขี้ขลาดจนไม่กล้าแม้แต่จะยิงคนที่ยิงตัวเอง
   แต่คนขี้ขลาดแบบไหนที่จะกล้าเผชิญหน้ากับความตายด้วยท่าทียอมจำนนแบบนี้ ท่าทีที่ยอมศิโรราบ และผ่อนคลาย มันคือสิ่งที่ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมากไม่ใช่หรือ ที่จะทำใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่
   เสี้ยววินาทีนั้นอิทธิเดชได้เข้าใจถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยเข้าใจมาตลอดชีวิต
   การเผชิญหน้ากับความจริง
   ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา อิทธิเดชหลีกเลี่ยงในข้อนี้โดยตลอด เขาไม่อยากยอมรับว่าแม่ไม่ได้รักเขาอย่างที่ควรจะเป็น ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองต้องการความรักจากแม่มากแค่ไหน ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นพวกผิดปกติทางเพศ ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ และที่แย่ที่สุด ไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง
   เขาเกือบจะฆ่าคนคนนี้ไปเพียงเพราะเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับทั้งหมดที่ตัวเองทำลงไป
   หนุ่มหน้าสวยสืบเท้าเข้าไปหาผู้ชายซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า มือของเขายังคงถือปืนเล็งอยู่ แต่ความรู้สึกอยากฆ่าหายไปหมดแล้ว มันมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นแทน ความรู้สึกที่แปลกประหลาดที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน และแน่นอนว่าอิทธิเดชยังคงกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องเล็งปืนไปยังฟ่ง เพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจก่อน อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาดูมีอำนาจกับผู้ชายตรงหน้า
   ฟ่งกลืนน้ำลาย บางทีความตายก็มาอย่างเชื่องช้าจนน่าตกใจ เขาเห็นอิทธิเดชเดินเข้ามาใกล้  ภายใต้ดวงตาสีดำหวานเยิ้มนั่น ผู้ชายหน้าสวยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ฟ่งไม่รู้จักอิทธิเดชมากนัก แต่พอจะรู้ว่าเขาคงเก็บกดอะไรมาหลายอย่าง ในตอนนี้เขาสมควรถามถึงเหตุผลที่ผู้ชายคนนี้ยิงเขาหรือเปล่านะ ก็แค่อยากรู้ก่อนจะตาย ถ้าไม่ถาม อาจจะไม่ได้คำตอบก็ได้
   “ทะ..ทำไมคุณถึงยิงผม?” เสียงที่ถามออกไปนั้นแม้จะเป็นเสียงพูดธรรมดาๆ ที่สั่นเครือเพราะความหวาดกลัว แต่ดูเหมือนจะดังก้องสะท้อนเข้าไปในจิตใจของทั้งของฝ่าย ฝ่ายหนึ่งกลัวจะไม่ได้ยินคำตอบก่อนจะสิ้นใจ อีกฝ่ายแทบจะสิ้นใจทันทีที่ได้ยิน ริมฝีปากได้รูปของอิทธิเดชขยับอย่างเลื่อนลอย พักหนึ่งถึงมีเสียงพูดออกมา
   “เพราะ.... ฉันกลัว....ที่จะยอมรับตัวเอง”
   ฟ่งเบิ่งนัยน์ตาค้างด้วยความตกใจ เพราะจู่ๆ คนที่คิดจะยิงเขาก็คุกเข่าลง และเริ่มร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าเขา ทำเอาทำตัวไม่ถูก
   อิทธิเดชร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลเท่านั้น เขากรีดร้องราวกับจะเสียสติ ร้องไห้ให้กับทุกสิ่งที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่เขาทำลงไป ร้องไห้ให้กับความรู้สึกที่ทั้งได้รับมา และความรู้สึกที่เคยอยากจะไขว่คว้า ร้องไห้ให้กับจิตใจตัวเองที่เพิ่งถูกเปิดออก
   หนุ่มสวมแว่นมองดูผู้ชายซึ่งร้องไห้ตรงหน้า ด้วยรู้สึกสะทกสะท้อนใจ ผู้ชายคนนี้คงมีเรื่องให้คิดหลายอย่าง ถึงกับต้องมาร้องไห้ต่อหน้าคนซึ่งไม่ได้รู้จักกันเลยอย่างเขา คนที่ตัวเองเพิ่งยิงใส่ด้วยซ้ำ ช่างน่าสงสาร มันทำให้เขานึกถึงตัวเองในอดีต ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยหวาดกลัวความคิดตัวเองจนอยากร้องไห้ เพียงแต่เขาไม่ได้ทำมันต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ หรืออาจจะมี แค่คนหนึ่ง...
   อิทธิเดชสะดุ้ง เพราะศีรษะถูกลูบเบาๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ และพบว่าฟ่งยิ้มให้เขาอยู่ ช่างเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนจนไม่อยากจะเชื่อว่ายิ้มให้คนที่เพิ่งจะลั่นไกใส่ตัวเองเลยจริงๆ หนุ่มหน้าสวยตะลึงไปพักหนึ่ง เมื่อฟ่งค่อยๆ ดึงตัวเขาเข้าไปกอด และลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน
   ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ  อิทธิเดชร่ำไห้บนแผ่นอกของผู้ชาย ผู้ซึ่งเขามีความคิดที่จะฆ่าเมื่อหลายนาทีก่อน
   ไม่ว่าฟ่งจะมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้ผู้ชายคนนี้คือปาฏิหาริย์ของเขา
-------------------------------------

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
เดาใจแต่ละคนยากจริงๆ
เดาใจคนแต่งยากกว่า

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
ฟ่งคือปาฏิหาร~

อยากอ่านต่อแล้ว,,,คนแต่งจ๋า ลงวันละตอนเลยได้ไหม!? ฮ่า(ขอเยอะเนอะ)

ตกลงว่า ไอ้เทพเจ้านั่นโดนทำลายล้างเรียบร้อยแล้ว ต่อไปคือการหนีออกแล้วใช่ไหม!!

แล้วฟ่งชั้นจะรู้อะไรบ้างเนี่ย!!

แล้วพี่เว่ยทั้งสองจะเอาไงต่อ โอ๊ย!! อยากรู้ อยากอ่านแล้วง่า~

ขอบคุณคนแต่งนะคะ สมองคุณซับซ้อนมาก(ชมจากใจ) ทุกเรื่องที่คุณแต่งสนุกมากค่ะ (แอบเอาชื่อชิกชิก มาตั้งชื่อนกที่บ้านด้วยล่ะ ฮ่า)

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ฟ่งเป็นความอัศจรรย์จริงจริง

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
ดีแล้วนะะะะ   :m18:

เอาใจช่วยทุกคนๆๆๆ


 :pig4:

ออฟไลน์ eaey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 280
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
 :เฮ้อ:เมื่อไหร่ฟ่งจะพบกับรูฟัส

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ูู**^^" ลืมแล้วว่าต้องมาอัพเรื่องนี้ :o8: (โดนโบก :z6:)

ตอนนี้จัดหน้าเล่มจบของภาคหลักเสร็จแล้วค่ะ กำลังตามเก็บเล่มพิเศษ (ซึ่งตอนล่าสุดที่เก็บอยู่ เป็นเบื้องหลังเหตุผลที่เว่ยจินหยินไปร่วมมือกับคงฉ่วยหลอกเผิงเผิงในนกยูงแดงล่ะ<<ตกลงนี่ตอนพิเศษของเรื่องอะไรกันแน่ยะ!!!??)

ปัญหาน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถจัดพิมพ์เล่ม7ได้ ขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านที่รอรวมเล่มอยู่อีกครั้งนะคะ  :sad4:

---------------------------------------------------
บทที่60 นาทีที่มืดสนิท กับการประชุมที่สุ่มเสี่ยง

   หวาดหวั่น...
   เสี้ยวหนึ่งในหัวใจของผู้ชายที่ชื่อว่าเว่ยเฟิงปิงบอกตัวเองว่าอย่างนั้น ในตอนก่อนที่ไฟจะดับ  คำพูดของเว่ยจินหยินเหมือนการจุดชนวนระเบิด ผู้คนในห้องต่างโต้เถียงกันอย่างคุ้มคลั่งเรื่องการซื้อขาย จนลืมเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอีกที่หนึ่งซึ่งถูกถ่ายทอดสดอยู่กลางที่ประชุม แต่ว่าเหตุการณ์น่าหวาดเสียวที่ดำเนินอยู่นั้นหาได้ยุติลงไม่ ผู้ชายใส่หน้ากากคนนั้นกำลังจะทำอะไรบางอย่างกับชายอีกคนหนึ่งที่ยืนแข็งทื่ออยู่ เว่ยเฟิงปิงแทบจะกรีดร้องออกมา
   อา... ใช่ แม้เวลาจะผ่านไป แม้จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย แม้ว่าเขาเกือบจะยอมรับใครคนอื่นเข้ามาในชีวิต แต่ ณ ช่วงเวลานี้ เวลาที่ผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวตรงหน้าเขา เวลาที่ผู้ชายคนนั้นกำลังจะได้รับอันตราย หัวใจของเว่ยเฟิงปิงแทบจะหลุดออกมาจากขั้ว เขายังรักผู้ชายที่มีนัยน์ตาสองสีชวนน่าลุ่มหลงนั่น
   จนถึงวินาทีนี้ ความรักนั้นไม่เคยเลือนหายไปแม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียว
-------------------------------------------
   หวาดหวั่น...
   จางซื่อเยี่ยนเองก็รู้สึกเช่นนั้น แต่คงในแง่มุมที่ต่างออกไป ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในห้องประชุม มีบุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพเคลื่อนไหวซึ่งถ่ายทอดมาจากอีกสถานที่หนึ่ง เจ้านายผู้เป็นที่รักของเขา
   ถึงจุดนี้จางซื่อเยี่ยนตระหนักแล้วว่า ท่ามกลางความคลุมเครือหลายอย่างในความรู้สึกของห้วงอารมณ์อันบิดเบี้ยวและแปรปรวนของเว่ยเฟิงปิง สิ่งหนึ่งที่แสดงออกมาอย่างเด่นชัดและไม่เคยเลือนหายไปเลยคือความรักที่มีต่อชายผู้ซึ่งเคยทอดทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดี
   จนถึงเวลานี้เว่ยเฟิงปิงยังมีผู้ชายคนนั้นอยู่เต็มหัวใจ
   หัวใจของจางซื่อเยี่ยนปวดแปลบ แทบจะวิ่งเข้าไปหาร่างที่ผุดลุกขึ้นด้วยความตระหนกตรงหน้าเขา กอดร่างนั้นไว้และกระซิบถ้อยคำซ้ำซากที่ดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของเขาทุกเมื่อเชื่อวัน
   ผมรักคุณ คุณยังมีผมอยู่...
   แต่ว่า... มันจะมีประโยชน์หรือ  ณ เวลานี้ จางซื่อเยี่ยนหวาดหวั่นเหลือเกิน หวั่นไหวว่าในห้องหัวใจของเว่ยเฟิงปิง เคยมีที่ว่างเว้นไว้สำหรับเขาหรือเปล่า หรือเขาเคยแทรกอยู่ในหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความรักที่มีต่อผู้ชายคนนั้นบ้างไหม
   สิ่งที่เว่ยเฟิงปิงพูดให้เขาฟังในรถวันนั้น มันยังหลงเหลือความทรงจำอยู่ในห้องหัวใจดวงนั้นบ้างไหมไหม
   ยังต้องการเขาอยู่อีกไหม.........
--------------------------------------------------
   หวาดหวั่น...
   นั่นคือความรู้สึกชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งของเถียนซานในตอนที่ได้เห็นเจ้านายผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเขาผุดลุกขึ้น เพื่อจุดชนวนการโต้เถียงกลางที่ประชุม เว่ยจินหยินกำลังทำในสิ่งที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน ก่อกวน ใช้คำพูดกดดันเพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์ แผนการพื้นฐานที่เขาเคยเห็นและรับรู้มานานตั้งแต่รู้จักกัน แต่บางสิ่งบางอย่างกระซิบบอกเขาว่าเหตุการณ์วันนี้จะไม่เป็นเช่นครั้งอดีตที่ผ่านมา
   ชายวัยสี่สิบเศษถอนหายใจยาว มันก็แค่ความรู้สึกในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ถึงจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นจริงๆ เขาก็จะถอยไม่ได้  เพื่อปกป้องผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
   ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เว่ยจินหยินจะต้องปลอดภัย
------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินเหยียดยิ้มในใจอย่างเงียบงัน ท่ามกลางเสียงโต้เถียงในห้องประชุม เขาแค่สะกิดทางนั้นนิดทางนี้หน่อย ทุกฝ่ายก็พร้อมจะเล็งปืนใส่กันเพื่อแย่งผลประโยชน์ได้โดยง่าย ช่างน่าขบขัน คนพวกนี้มารวมหัวกันเพื่อควันสีม่วงในหลอดตรงหน้า เว่ยจินหยินไม่สงสัยในประสิทธิภาพของควันนั่น เขาเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่ามันจะใช้ได้ผล แต่สิ่งที่อยู่ในความคิดเขาคือความน่าสมเพส ในโลกนี้ไม่เหลืออะไรพอจะให้ซื้อขายกันได้แล้วหรือไง ถึงจำต้องมีความสุขเสพติดให้ซื้อขาย ช่างโง่เง่า ความสุขนั่นสุดท้ายก็จะเลือนหายไป เหมือนควันที่มันเป็นอยู่นั่นแหละ เว่ยจินหยินไม่ชอบการขายฝัน ยิ่งไม่ชอบใจการขายสิ่งเสพติดที่ไม่เคยส่งผลดีต่อผู้ที่เสพ และแน่นอน ไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งนั้น หากลูกน้องเขาเสพยาประเภทนี้ วันๆ หนึ่งคงไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี
   นัยน์ตาสีดำหรี่ลงอย่างเย็นชา และประสบเข้ากับสายตาสีดำอีกคู่หนึ่งซึ่งนั่งอยู่แทบจะตรงข้ามเขา
   ฟารุค!
   รอยยิ้มแสดงถึงมารยาทที่ดีปรากฏขึ้นบนริมฝีปากเรียวได้รูปของเว่ยจินหยินราวกับว่าเขาถูกสร้างมาเพื่อให้ยิ้มแบบนั้นโดยอัตโนมัติทันทีที่พบเห็นผู้อื่น มีแต่เจ้าหมอนี่และไฮท์ของริเวิลอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ได้ตกเข้าไปในบ่วงของการโต้แย้ง หรือบางทีเจ้าพวกนี้อาจไม่ได้ต้องการของนั่น
   “คุณฟารุค ผมคิดว่าเรายังไม่เคยมีโอกาสคุยกันเป็นการส่วนตัวเลย” เว่ยจินหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อม ที่ไม่ดังไม่เบาจนเกินไปนัก นัยน์ตาคู่งามจับจ้องชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “เรายังไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ย” ฟารุคเอ่ยตอบ น้ำเสียงของเขาช่างแข็งกระด้าง เหมือนๆ กับใบหน้า และรอยยิ้มที่แค่นขืนออกมานั่นแหละ เว่ยจินหยินยังคงแย้มยิ้ม การประชุมนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจควบคุมของเขา การจะทำอะไรจำเป็นต้องมีข้อแก้ตัวที่ดี ตอนนี้เขากำลังพยายามจะสร้างข้อแก้ตัวนั้นอยู่
   “ถ้าเช่นนั้น สุภาพบุรุษเช่นคุณคงไม่รังเกียจ หากจะสนทนากับผมสักเล็กน้อย”
   “โอ้ ไม่รังเกียจๆ ใครกันจะกล้าปฏิเสธคำเชื้อเชิญของผู้ได้สมญาว่าหมาจิ้งจอกกันล่ะ” ภาษาอังกฤษที่เจือสำเนียงอิตาเลี่ยนอย่างเด่นชัดตอบขึ้นแทน นัยน์ตาสีดำของเว่ยจินหยินหรี่เล็กและหันไปเพ่งเป้ายังผู้พูด ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ
   “ขอบคุณที่ให้เกียรติเรียกผมเช่นนั้น คุณเอียน แต่ผมไม่คิดว่าคุณฟารุคจะให้คำตอบแสนสุภาพอย่างที่คุณตอบผม”
   “อ้อ แน่นอน” ฟารุคเอ่ย นัยน์ตาสีดำดั่งถ่านเพ่งมองบุรุษสวมแว่นตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ เอียนกำลังเตือนเขาหรือ? ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินคนนี้ได้รับสมญาว่าหมาจิ้งจอก ผู้ชายที่ทั้งเจ้าเล่ห์และอำมหิตอย่างร้ายกาจ ภายใต้แว่นตากรอบทองและท่าทีสวยหรูนั่น ซ่อนคมมีดใดเอาไว้บ้าง คนรักของโอนเนอร์(ผู้นำกลุ่ม)ที่เป็นไฮท์อันดับที่สิบสามที่ถูกตำรวจซิวไปเมื่อสองปีก่อน ก็รู้สึกจะเป็นฝีมือของหมอนี่ที่วางแผนเอาไว้ เขาจะประมาทผู้ชายคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอเสียมารยาท” เว่ยจินหยินเอ่ยคำพูดอย่างเป็นทางการเสียจนคนฟังยังอึดอัด นี่เป็นรูปแบบการพูดของเขา ความสุภาพอันน่าคลื่นเหียนนั้น ไม่ว่าฟังกี่ครั้งก็ชวนให้รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องได้ทุกที แต่นัยน์ตาสีดำของฟารุคยังคงสงบนิ่ง เช่นเดียวกับรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากของเอียน คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยเอ่ยต่ออย่างแช่มช้าราวกับจิตรกรที่บรรจงจรดปลายพู่กันลงไปบนผืนผ้าใบ เพื่อวาดภาพที่งดงามภาพหนึ่ง
   “ผมคิดว่าคุณสองคนคงไม่สนใจควันสีม่วงนี่เท่าไหร่นัก คงไม่เป็นการขัดอะไรหากผมขอให้พวกคุณถอนตัวไปเสีย ผมคิดว่ามันคงจะลดแรงกดดันได้ส่วนหนึ่ง”
   “อา... เจ้าจิ้งจอกสวมแว่น” เอียนพูด และแสยะยิ้มออกมา ตวัดลิ้นเอ่ยคำพูดต่อ
   “นายกำลังจะล่อให้เราลงไปตะลุมบอนในวงนั่น แล้วฉวยโอกาสทำอะไรบางอย่างล่ะสิ
   “วางใจเถอะ คุณชายรอง ริเวิลของเรามีวิธีที่ดีกว่าที่จะได้ยานั่น โดยไม่ต้องเสียเวลาแม้สักครึ่งหนึ่งที่คุณใช้พูดด้วยซ้ำ” ฟารุคเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเย้ยหยัน แต่กระนั้นริมฝีปากของเว่ยจินหยินกลับปรากฏรอยยิ้มแห่งความยินดีปรีดาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเขารอให้คนทั้งคู่พูดคำนี้ออกมานานมากแล้ว
   “คุณสองคนทำให้ผมทึ่ง เอาล่ะ ผมคิดว่าเราคงไปกันได้ดี” เว่ยจินหยินพูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้สามารถแซงเสียงโต้เถียงที่ดังอื้ออึงนั่นได้
   “ริเวิลกับตระกูลเว่ยจะร่วมมือกันซื้อยาตัวนี้!”
---------------------------------------------   
   ถึงแม้สมาธิของเว่ยเฟิงปิงจะจดจ่ออยู่กับภาพที่ถูกส่งมาจากอีกห้องหนึ่ง แต่คำพูดของเว่ยจินหยินที่มีต่อตัวแทนแก๊งศัตรูคู่อริย่อมจะแทรกเข้าไปในระบบความคิดของเขา เป็นอีกครั้งที่เว่ยเฟิงปิงยอมรับถึงความสามารถของผู้เป็นพี่ชาย และที่ยิ่งกว่านั้น เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำว่าผู้ชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

   ทันทีที่เว่ยจินหยินพูดจบ ความสนใจของทั้งห้องพุ่งตรงมายังพวกเขาทั้งสี่ทันที ถึงตอนนี้ฟารุคเองยังต้องกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง และเอียนเองถึงกับต้องหุบยิ้ม มีเพียงผู้เดียวที่ยังคงมีรอยยิ้มงดงามตามรูปแบบของตนอยู่
   เว่ยจินหยิน
   ทั้งหมดนี่เป็นเหตุการณ์ไม่กี่นาทีก่อนหน้าที่ไฟฟ้าทั้งหมดจะดับพรึบลง
--------------------------------
   แค่ราวๆ ครึ่งนาทีเท่านั้นที่แสงสว่างขาดหายไป แต่ในความรู้สึกของทวีศักดิ์นั้นยาวนานราวกับชั่วชีวิต เขาได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจและคำถามดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พวกที่มาประชุมคงไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ แน่นอน เขาเองก็คาดไม่ถึงมาก่อน อย่างไรก็ดีการปล่อยให้เกิดความแตกตื่นไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับเหตุการณ์แบบนี้
   “ใจเย็นๆ ครับทุกท่าน คิดว่าระบบไฟคงเกิดปัญหานิดหน่อย อีกไม่เกินยี่สิบวินาทีก็คงจะกลับมาใช้งานได้” ทวีศักดิ์เอ่ยสยบความอลวนนั้น แต่กลับรู้สึกถึงเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก นอกจากเจ้าผมทองที่ได้รับรายงานกับคนที่อยู่ในห้องเก็บยานั่นแล้ว ยังมีคนอื่นอีกรึ คนที่สามารถดับไฟฟ้าได้  เจาะระบบเข้ามารึ? เขาได้ยินเสียงรัตน์รายงานผ่านหูฟังด้วยน้ำเสียงร้อนรน
   “มีคนเจาะเข้ามาให้ระบบ ผมให้คนเช็คแล้ว คิดว่าคงจะเจออีกไม่นานนี้แหละครับ”
   ทวีศักดิ์พยักหน้า เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ ที่ไม่มีใครเห็นสองคนนั่นก็คงเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง เขากรอกเสียงสั่งการลงไป   
“รีบจัดการมันให้เร็วที่สุด ส่งคนไปที่ห้องเก็บเทพเจ้าด้วย ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าลู่ ชางจะทำยังไงกับสายลับของเรา ส่วนคนผมทองจัดการเก็บมันให้ได้ แล้วทำลายข้อมูลที่มันขโมยไปซะ”
   “ครับ” อีกฝ่ายตอบ โชคยังดีที่ระบบสื่อสารแบบไร้สายใช้เครื่องส่งสัญญาณที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบไฟหลัก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเหงื่อตกมากกว่านี้ ชายวัยห้าสิบเศษผู้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตยารายใหญ่ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่ใช่เพราะความร้อนของอากาศ แต่เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก สายลับพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่ โจรกรรมข้อมูล หรือล้มงานประชุม หรือจะก่อวินาศกรรม ทวีศักดิ์ไม่มีข้อมูลว่าคนพวกนี้ถูกส่งมาจากไหน เขาค่อนข้างจะปิดเรื่องการประชุมนี้เป็นความลับ และเนื้อหาของมันก็ไม่สมควรจะเป็นที่จับตา จากตำรวจหรืออะไรก็ตามที่มีหน้าที่ด้านกฎหมาย เขากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง สร้างยาที่ไม่มีผลข้างเคียงออกมา เพียงแต่ล็อตทดลองจะขายให้กับพวกที่ไม่ค่อยทำงานถูกกฎหมายเท่านั้นเอง หากเป้าหมายคือการโจรกรรม มันคงไม่ส่งผลอะไรเท่าไหร่นัก อย่างมากก็กระทบกระเทือนทางด้านการค้า แต่ถ้ามีอย่างที่สองหรือสามพ่วงมาด้วย นั่นเป็นสิ่งที่น่ากังวล เขานึกไม่ออกว่ามีใครอยากล้มล้างการะประชุมนี้ การประชุมที่แม้แต่กลุ่มที่เป็นคู่อริยังมาอยู่รวมกัน ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นปาดเหงื่ออีกครั้ง เอื้อมมือไปจับไหล่ของลูกชายอย่างไม่รู้ตัว และบีบมันอย่างเป็นกังวล
   เขากลัวว่าวรุตจะมีอันตราย
   ความจริงแล้วในตอนแรกทวีศักดิ์ไม่ต้องการให้วรุตเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าอันตราย และลูกชายของเขาดูจะไม่ชอบสิ่งที่เขาทำอยู่เท่าไหร่นัก วรุตไม่เคยเห็นด้วยกับการค้ายาที่เป็นมากกว่ายารักษาโรคเลย แม้หลายครั้งเขาจะบอกว่ายาพวกนั้นไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด แต่ดูเหมือนลูกชายของเขาจะไม่รับฟัง ทวีศักดิ์มาเปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายหลังจากอ่านรายงานผลการทดลองและได้เห็นตัวอย่าง เขาเชื่อว่าวรุตจะต้องยอมรับยาตัวใหม่นี้ มันไม่มีอันตรายใดๆ กับผู้ใช้ และสามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างรวดเร็ว คนหัวดีอย่างวรุต หากได้เห็นโครงสร้างทางเคมีและคุณสมบัติของพวกมัน ก็คงจะเปิดใจรับได้ ทวีศักดิ์รู้ดีว่าไม่ว่าลูกชายเขาจะปฏิเสธยังไง สุดท้ายแล้วก็จะต้องรับช่วงบริษัทต่อจากเขาอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีโทษ และตอบสนองความต้องการสูงสุดของมนุษย์ มันจะกลายเป็นยาตัวใหม่ที่สร้างทั้งรายได้ ชื่อเสียง และสร้างความยอมรับให้กับลูกชายของเขา ทวีศักดิ์พูดเรื่องนี้กับวรุตตอนที่ภาพโฮโลแกรมของเทสการิโพก้าถูกฉายขึ้น แต่สิ่งที่เขาได้คือความเงียบ
   วรุตไม่พูดอะไรเลย
   ผู้เป็นลูกชายได้แต่พยักหน้า ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยให้ความสนใจมันด้วยซ้ำ มันทำให้ทวีศักดิ์รู้สึกท้อแท้นิดหน่อย ท่าทางเขาคงต้องเจียดเวลามาคุยกับวรุตเรื่องนี้ให้มากขึ้น ให้วรุตยอมรับสิ่งที่เขาทำลงไปให้ได้ เพื่อตัวของวรุตเอง แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาต้องคิดก่อนคือการให้ลูกชายของเขาปลอดภัย ทวีศักดิ์อยากให้วรุตหลบออกไปก่อน แม้จะเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้ร่วมประชุมก็เถอะ เขาอาจจะหาข้ออ้างว่าให้ลูกชายของเขาออกไปสั่งการด้านนอกก็ได้ ยังไงก็ตามให้วรุตออกไปจากสถานที่นี้ก่อน ถึงแม้ทวีศักดิ์จะค่อนข้างมั่นใจว่าจะจัดการสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ได้ก็ตาม
   เขาจะไม่ยอมให้ลูกชายตกอยู่ในความเสี่ยงเด็ดขาด
------------------------------------------------   
“วิน”
   วรุตได้ยินเสียงกระซิบของผู้เป็นพ่อ ท่ามกลางเสียงซุบซิบพูดคุยที่เบาลงไปกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง เขารู้สึกเจ็บตรงแขนที่ถูกบีบ ดูเหมือนพ่อของเขาจะเกิดความเครียดบางอย่าง ปกติทวีศักดิ์จะไม่จับตัวเขาแบบนี้ ชายหนุ่มหันไปหาผู้เป็นพ่อในความมืด
   “เดี๋ยวพอไฟติด พ่อจะให้ลูกออกไปอยู่กับรัตน์ที่ด้านนอก”
   “ทำไมล่ะ?” วรุตเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ทำไมจู่ๆ ทวีศักดิ์ถึงใช้ให้เขาออกไปด้านนอก หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นในห้องนี้
   “ผมไม่ไปหรอก” เด็กหนุ่มตอบก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะได้อธิบายเหตุผล เขากล่าวเสริมต่อ “ผมควรจะต้องรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่สิ ยังไงพ่อก็คงหวังจะให้ผมรับช่วงต่ออยู่แล้วนี่”
   “มันก็ใช่....” ทวีศักดิ์เอ่ย และเงียบไปอีก วรุตเดาความคิดเขาได้ แบบนี้หมายความว่าจะยอมรับในสิ่งที่เขาทำด้วยหรือเปล่า แต่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องเอาตัวเองมาเสี่ยง
   “ยังไงลูกก็ต้องออกไปก่อน เพื่อตัวลูกเอง”
   “ผมไม่ไป” วรุตเอ่ยเสียงดังขึ้น ก่อนจะลดเสียงลง “พ่ออย่ามาไล่ผมให้ยากเลย ถ้าพ่ออยากให้ผมออกไปนักล่ะก็ ออกไปพร้อมกับผมด้วยสิ”
   “พ่อทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
   “งั้นก็อย่าไล่ผม” วรุตตอบและขยับหนีมือของผู้เป็นพ่อที่จับอยู่ ทวีศักดิ์ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาคงไม่สามารถไล่วรุตออกไปในตอนนี้ได้ ยังไงก็คงต้องภาวนาให้รัตน์สามารถจัดการพวกก่อกวนนั่นได้
----------------------------------------
   รัตน์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เขารู้มาก่อนว่ามีบางกลุ่มส่งสายลับเข้ามาเพื่อสอดแนมเกี่ยวกับตัวยาใหม่ที่หัวหน้าของเขาผลิตขึ้นเนื่องจากการบุกเข้ามาอย่างอุกอาจเมื่อเกือบครึ่งเดือนก่อน แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่พบว่ามีอะไรสูญหาย บางทีคนที่บุกเข้ามาอาจจะถ่ายไมโครฟิลม์ออกไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าพวกมันจะลักลอบเข้ามาในงานประชุมนี้ได้ ไม่มีข้อมูลทั้งคนที่อยู่ในห้องเก็บเทสการิโพก้า และข้อมูลของคนที่แคลร์รายงานเข้ามา คนพวกนี้ไม่ได้แผงเข้ามาในทางปกติ เพราะทุกคนที่ผ่านประตูเข้ามาที่นี่จะต้องถูกทำประวัติ ไม่ก็ยืนยันประวัติ หากเป็นผู้เข้าร่วมประชุม คนพวกนี้แอบเข้ามาทางไหน และเข้ามาได้อย่างไร รัตน์ยังนึกไม่ออก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้ ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าพวกนั้นจะมาจากไหน มาอย่างไร และต้องการอะไร พวกมันจะต้องถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็วที่สุด ตามที่แคลร์ให้ข้อมูล ดูเหมือนคนพวกนี้จะเป็นสายลับที่ทำงานตามที่ได้รับการว่าจ้าง แต่หลอนไม่ทราบว่าพวกไหนว่าจ้างมา เขารู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย แคลร์ปฏิเสธการต่อสู้กับคนผมทองที่เธอเพิ่งเจอ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ และเธอคงไม่สามารถเอาชนะได้ แล้วแบบนี้เขาจะจ้างเธอมาเพื่ออะไร รัตน์กดเปลี่ยนช่องสัญญาณวิทยุ และกรอกเสียงลงไป
   “ฉันมีงานให้เธอทำ แคลร์ เธอจะใช้วิธีไหนก็ได้ ตามหาถ่วงเวลาผู้ชายผมทองเพื่อนของเธอเอาไว้ ไม่ให้เขาทำลายอะไรไปมากกว่านี้ อย่าลืมว่าเราไม่ได้จ้างเธอมาเพื่อให้เธอถอนตัวแค่เรื่องแบบนี้หรอกนะ”
   “รับทราบ” แคลร์เอ่ยตอบผ่านไมโครโฟนที่เหน็บอยู่ใต้ปกเสื้อ และถอนหายใจ ก็รู้อยู่หรอกว่าคงถอนตัวไม่ได้ง่ายๆ เป็นไปได้เธออยากจะเลือกเผชิญหน้ากับรูฟัสมากกว่า แต่ดูเหมือนว่ารูฟัสจะแยกไปอีกที่หนึ่งและไม่ได้เป็นปัญหาเท่าอดีตคู่รักลีลาร้อนของเธอ เอาเถอะกะอีแค่ถ่วงเวลาผู้ชายที่ชื่อราฟาแอล คงไม่ใช่เรื่องน่าลำบากใจมากนัก ยังไงเสียเธอก็ต้องทำงานตามราคาที่จ่ายอยู่แล้วนี่นา แต่ที่น่าแปลกใจคือใครกันที่ดับไฟ และดับไปเพื่ออะไร เธอเกิดนึกหวั่นใจขึ้นมาว่าเรื่องไฟดับนี้จะอยู่ในแผนของราฟาแอลด้วย ผู้ชายผมทองคนนั้นคิดจะทำอะไรในความมืดแบบนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หญิงสาวคุกเข่าลง แนบหูลงไปบนพื้นซึ่งทำจากวัสดุสังเคราะห์คล้ายหินแกรนิตสีขาวที่เย็นเฉียบ ในความมืดแบบนี้ คนที่ยังเดินไปไหนมาไหนได้คงมีไม่เยอะนักหรอก
------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   !!!
   เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อทุกอย่างดับวูบลง
   เกิดอะไรขึ้น!!?
   นี่คือคำถามแรกที่ดังขึ้นในหัว และคำตอบก็ตามมาหลังจากนั้น สมองของเว่ยเฟิงปิงประเมินสถานการอย่างรวดเร็ว ไฟที่ดับไปคงไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของทวีศักดิ์แน่ๆ และไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ กลุ่มเดียวที่มีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องนี้คือพวกของรูฟัส พวกนั้นดับไฟเพื่ออะไร สิ่งเดียวที่ดูจะเป็นเหตุผลมากที่สุดคือภาพวิดิโอที่ลิ้งค์ผ่านเข้ามาเมื่อครู่ สำหรับสายลับ เมื่อพวกของตัวเองถูกจับได้มีสองอย่างให้เลือกคือ ทิ้งเอาไว้ หรือไม่ก็ช่วยออกมาโดยเปิดเผยตัวให้น้อยที่สุด ท่าทางงานนี้รูฟัสจะมีความสำคัญพอสมควร หรือไม่ก็มีคนน้อยเกินกว่าจะเสียใครไปได้ ในความคิดของเฟิงปิง พวกของรูฟัสน่าจะมีไม่เกินสามถึงสี่คน คนหนึ่งคงทำหน้าที่เกี่ยวกับการเจาะระบบรักษาความปลอดภัย รูฟัสคงทำหน้าที่ด้านโจรกรรม ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟดับ แสดงว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่มีหน้าที่เข้าไปช่วย เว่ยเฟิงปิงรู้สึกเบาใจลงนิดหน่อย อย่างน้อยรูฟัสก็ดูจะยังไม่อยู่ในสถานการณ์เลวร้ายจนเกินไปนัก แล้วตัวเขาล่ะ?
   มือของเว่ยจินหยินเอื้อมมาแตะไหล่ของเขาเบาๆ เว่ยเฟิงปิงหันไปมองพี่ชายทั้งๆ ที่ยังอยู่ในความมืด
--------------------------------------
   .....................
   หูของเว่ยจินหยินอื้อไปกะทันหันในเสี้ยววินาทีที่ไฟดับ เสี้ยววินาทีที่เหมือนเส้นกั้นบางอย่างขาดผึงลง เส้นกั้นแห่งความลังเลใจ หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงอุทานอย่างแตกตื่นตามมา และเสียงของทวีศักดิ์ที่พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มวัยสามสิบสี่ระบายลมหายใจยาว เท่านี้เขาก็หมดข้อกังวลใจเสียที เกมนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของทวีศักดิ์อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าไฟที่ดับใครจะเป็นคนทำก็ตาม มันแสดงให้เห็นว่าการประชุมนี้ไม่ราบรื่นและมั่นคงอีกต่อไป เว่ยจินหยินเดาว่าคงเป็นฝีมือของพวกสายลับ แต่พวกนั้นจะทำอะไรต่อไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องหยิบมาคิดในตอนนี้ ณ เวลานี้เว่ยจินหยินตัดสินใจแล้วว่าเขาจะลงมือตามเป้าหมายของการมาในครั้งนี้
   จัดการกับคู่อริที่อยู่ตรงหน้า ฟารุค กับเอียน
   เดิมทีเว่ยจินหยินวางแผนจงใจลากสองคนนั่นเข้าสู้การโต้เถียง และจุดประเด็นให้เกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับตัวยา เขาประเมิณว่าในที่สุดการประชุมจะลงเอยด้วยความวุ่นวาย และจังหวะนั้นเองที่เขาจะฉวยโอกาสจัดการสองคนั่นเสีย อย่างไรก็ดี ดูเหมือนไฟที่ดับลงจะทำให้เรื่องง่ายกว่าและดำเนินไปรวดเร็วกว่านั้น ในความมืดที่มาอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้ ความสับสนและไม่มั่นคงย่อมเกิดขึ้นภายในจิตใจของทุกคน มันเป็นปฏิกิริยาตอบโต้พื้นฐานสำหรับพวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในเส้นทางที่ต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา เส้นทางแห่งอาชญากรรมและการทำความผิด เส้นทางที่เต็มไปด้วยศัตรู และอันตราย และความมืดที่เหนือการคาดการนี้เองที่จะกระตุ้นให้สิ่งเหล่าที่ระเบิดออกมาง่ายขึ้น ความมืดที่น่าหวาดหวั่น แม้เพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็ช่างน่าหวาดหวั่นเสียเหลือเกิน
   เว่ยจินหยินเหยียดยิ้มในความมืด
   ทวีศักดิ์บอกว่าอีกราวๆ ยี่สิบวินาทีระบบไฟจะกลับมาทำงาน หักจากเวลาที่เขาคิดนั่นคิดนี่เพื่อสนองความพึงพอใจของตัวเองแล้วก็คงเหลืออีกสิบห้าวินาที สิบห้าวินาทีนี่คงนานพอจะสร้างเรื่องน่าตกใจในความมืดขึ้นมาได้ เถียนซานคงรู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่คนที่ยืนข้างเขานี่สิ เว่ยจินหยินไม่เคยร่วมงานกับน้องชายคนนี้มาก่อน โดยปกติมักจะขัดขากันเองด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ต้องการการขัดขาในตอนนี้ เฟิงปิงจำต้องเดินตามแผนการของเขา อย่างไร้ข้อโต้แย้ง เพื่อความอยู่รอดของตัวเฟิงปิงเอง เว่ยจินหยินยื่นมือไปแตะไหล่ของผู้เป็นน้องชาย
   หวังว่าเฟิงปิงจะฉลาดสมกับที่เขายกให้เป็นตัวน่ารำคาญอันดับหนึ่ง

-------------------------------
   สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนคิดเป็นอย่างแรกในเสี้ยววินาทีที่ความมืดมาเยือนคือความปลอดภัยของเว่ยเฟิงปิง เขาไม่ต้องเสียเวลาคบคิดถึงเหตุผลในการดับไฟครั้งนี้ให้ยุ่งยาก มันคงเป็นผลมากจากผู้ชายที่ชื่อรูฟัสนั่นแหละ จางซื่อเยี่ยนทราบดีว่ารูฟัสจะต้องไม่ทำงานนี้คนเดียว คนพวกนี้ไม่ใช่นักฆ่า แต่เป็นนักโจรกรรมและก่อกวน เขามีประสบการในการจัดการกับสายลับในองค์กรมาบ้างพอสมควร ดังนั้นเรื่องไฟดับที่เกิดขึ้นจึงไม่เหนือความคาดหมาย แต่สิ่งที่จะดำเนินต่อไปนี่สิ พวกรูฟัสคงไม่รู้หรอกว่าเจ้านายของเขาอยู่ที่นี่ และถึงรู้ก็คงไม่ให้ความสำคัญอะไร ดังนั้นเรื่องที่คนพวกนั้นจะทำต่อไปจึงเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะจางซื่อเยี่ยนไม่รู้ว่าครั้งนี้มีเป้าหมายแค่โจรกรรม หรือว่าจะก่อวินาศกรรมกันแน่ แต่สิ่งที่น่ากังวลเฉพาะหน้า คือผู้ชายที่ใช้แซ่และสายเลือดร่วมกับเจ้านายของเขาต่างหาก
   เว่ยจินหยินเป็นผู้ชายที่ดูดีที่ถ้ารู้จักแล้วจะทำใจให้ชอบไม่ลงเด็ดขาด จางซื่อเยี่ยนมีประสบการทำงานใต้บังคับบัญชาของผู้ชายคนนี้ราวๆ หนึ่งปีครึ่ง แม้ไม่ได้ทำงานให้โดยตรงอย่างเช่นเถียนซานหรือคนสนิทคนอื่นๆ แต่ความกดดันที่ได้รับนั้นก็มากพอจะทำให้เขาขยาดกับวิธีใช้คนของเว่ยจินหยิน ไม่ใช่ไม่เลือกวิธีการ แต่เว่ยจินหยินนั้นช่างสรรหาวิธีการที่จะตอบสนองจุดประสงค์ของเขา ช่างสรรหาเสียจนน่าสยดสยอง ถ้าหากวิธีการคิดของเว่ยเฟิงปิงคือการเล่นหมากรุกที่ประเมิณกำลังของฝ่ายตรงข้าม ประมวลออกมาเป็นความน่าจะเป็นว่าจะเดินหมากไปทางไหน เพื่อขัดขวางตาเดินนั้นแล้วล่ะก็ รูปแบบการเดินหมากของเว่ยจินหยินคือการประเมินกำลังของฝ่ายตรงข้าม เทียบกับหมากของตัวเอง ประมวลผลตาที่จะเดินไม่ใช่หนึ่งหรือสองตา แต่เป็นทั้งหมด ความน่าจะเป็นทุกอย่างที่ควรเกิดขึ้น และไล่ต้อนทั้งฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายตัวเองลงในตาเดินที่เขาสามารถเป็นผู้กำหนด และจัดการรวดเดียวทั้งกระดาน ดังนั้นบางครั้งเว่ยจินหยินให้ความสำคัญกับอย่างหนึ่ง แต่ในอีกสถานการณ์เขาสามารถตัดมันออกจากความสนใจไปอย่างไม่ใยดีด้วยซ้ำ เพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ทุกอย่างเป็นอะไรที่เขาพร้อมจะหยิบมาใช้และพร้อมจะทิ้งได้หมด และคงไม่เว้นแม้แต่น้องชายที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้า สิ่งที่จางซื่อเยี่ยนกลัวคือเว่ยจินหยินจะใช้เว่ยเฟิงปิงแบบไหน จะได้กิน หรือถูกกินกันแน่
-----------------------------------------------   
   ถ้าการถอนหายใจในจังหวะที่ไฟฟ้าดับลงอย่างไม่คาดหมายในการประชุมที่ตรึงเครียดนี้เรียกว่าสติไม่ดีล่ะก็ เถียนซานคงต้องเข้าโรงพยาบาลประสาท เขาถอนหายใจออกมาในวินาทีแรก ซึ่งคงดังพอจะทำให้หลายคนได้ยินหากไม่มีเสียงอุทานอย่างตกใจของใครหลายๆ คนนั้นห้องนั้นดังขึ้นมากลบ แต่บุรุษวัยสี่สิบเศษผู้นี้ไม่ได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรืออะไรในแนวๆ นั้น เสียงถอนหายใจนั้นเหมือนเวลาที่ได้ยินอะไรบางอย่างที่ยังไม่สมควรจะพูดออกมาก่อน มันไม่ได้ร้ายแรง แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีนัก เถียนซานแทบจะรู้ในทันทีว่าเจ้านายของเขาคิดอะไร เว่ยจินหยินคงคิดจะฉวยโอกาสนี้เร่งแผนการให้เร็วขึ้น ซึ่งมีโอกาสจะทำสำเร็จสูง เขาไม่อยากคิดแทนเจ้านายมาก แต่คงมีมากกว่าสามวิธีที่เว่ยจินหยินจะใช้ในความมืดระยะสั้นๆ แบบนี้ และแต่ละวิธีคงส่งผลคล้ายกับระเบิดกลายๆ ที่จะสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เขาเกือบจะแน่ใจว่าเว่ยจินหยินจะลากทุกคนในห้องนี้ลงสู่ทุ่นระเบิดนั้น เถียนซานยังไม่อยากเห็นการระเบิด เนื่องจากเขายังไม่แน่ใจในสถานการณ์ด้านนอก
   บางทีสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อาจจะแย่กว่าเรื่องไฟดับ
-----------------------------------------
   ฟารุคเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยที่มีชื่อว่าจินหยินมาบ้าง แน่นอนว่ามันเป็นคำบอกเล่าจากคนอื่นอีกทีหนึ่ง เรื่องที่ดูจะเข้าหูเขามากที่สุดคงไม่พ้นเรื่องเมื่อสองปีก่อนของไฮท์เธอทีนที่มีชื่อว่ามิคาเอล ลอว์
    ลอว์เป็นไฮท์ที่กระโดดขึ้นมาอย่างน่าเกลียด ไม่ใช่เฉพาะในสายตาของเขา แต่ในสายตาของทุกคน เขาได้ตำแหน่งนี้มาเพราะเป็นคนรักของโอนเนอร์ นั่นก็แย่พอ ที่แย่กว่านั้นคือมิคาเอล ลอว์ไม่ได้มีดีแค่การอ้าขาเพื่อให้ได้ตำแหน่ง มันสมองของเขาอยู่ในระดับอัจฉริยะ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องจะแย่งตำแหน่ง แค่เรื่องทำผลงานก็ทำให้หลายคนพูดไม่ออกแล้ว บางครั้งฟารุคยังนึกสงสัย ว่าทำไมเขาถึงไม่ใช้สมองตัวเองให้มากกว่าหว่างขา แต่ช่างเถอะ แต่ละคนก็คงมีวิธีใช้ชีวิตที่ต่างกันไป มิคาเอล ลอว์ถูกตำรวจอังกฤษจับตัวได้ในข้อหาค้ายาเสพติด โชคดีที่เขาจะไม่ได้ซัดทอดอะไรเกี่ยวกับริเวิล ผู้ที่ทำให้เขาถูกจับได้ว่ากันว่าคือคุณชายรองคนนี้นี่เอง รู้สึกว่าเรื่องคราวนั้นผู้ชายคนนี้จะอาศัยช่วงไฟดับสร้างสถานการณ์อะไรบางอย่างด้วย เพราะอย่างนั้นฟารุคแทบจะแน่ใจว่า ในความมืดที่มาอย่างคาดไม่ถึงนี้ คนอย่างเว่ยจินหยินต้องไม่ปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ แน่
สำหรับฟารุค การมาในครั้งนี้จุดประสงค์หลักคือเรื่องยา แต่เมื่อรู้ว่าตระกูลเว่ยกระโดนเข้ามาร่วมด้วยหลังจากถอนตัวออกไปก็พอจะเข้าใจจุดประสงค์ของเว่ยชิงผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ในตระกูล ตาเฒ่านั่นต้องการขัดขวางงานของเขาในครั้งนี้ ต้องการจะหักหน้าริเวิลในงานนี้ และทุ่มทุนถึงขั้นส่งลูกชายสองคนที่ทำงานใกล้ชิดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนแผนนิดหน่อย นอกจากเรื่องยาแล้วยังต้องพ่วงการสั่งสอนเจ้าเด็กอัปรีย์สองคนที่ถูกส่งมาจากตระกูลเว่ยด้วย ถ้าทำผลงานได้ดี โอกาสจะได้เลื่อนขึ้นเป็นตำแหน่งสิบสามก็มีสูง
เว่ยจินหยินลงมือเมื่อไหร่ นั่นคือโอกาสของเขา
----------------------------------------
เอียนไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องไฟดับนัก หรือจะพูดให้ละเอียดกว่านั้นคือเขาตกใจนิดหน่อย แต่ก็พอจะคาดเดาได้ สายลับที่อยู่ในวิดิโอถ่ายทอดสดนั่นคงไม่ได้มาคนเดียวหรอก มันเป็นเรื่องบ้ามากที่ต่อสายเข้ามาแบบนั้น แต่สำหรับเขามันก็น่าสนุกดี ได้เห็นการทดลองที่น่าตื่นตะลึงนั่น เขาคิดว่าทวีศักดิ์คงจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้ คนที่ทุ่มทุนขนาดนี้คงไม่ปล่อยให้หนูแค่สองสามตัวมาทำลายงานหรอก เหตุการณ์หลังจากไฟสว่างคงจะเป็นการเปิดฉากไล่ล่าของฝั่งผู้เสียงผลประโยชน์บ้าง ซึ่งก็แทบจะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย หน้าที่ที่เขาต้องทำในคราวนี้คือกลับไปพร้อมยาตัวใหม่ และของแถมคือแขนสักข้าง หรือไม่ก็ลูกตาหรืออวัยวะสักชิ้นสองชิ้นของคุณชายแห่งตระกูลเว่ยสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา เอียนไม่รู้จักเว่ยจินหยินดีนัก จะพูดไปแล้วคงไม่มีใครรู้จักหมอนี่ดีเท่าไฮท์เธอทีนคนก่อนที่ชื่อมิคาเอล ลอว์หรอก สำหรับวิธีก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งไฮท์แล้ว เขากับลอว์มีเส้นทางคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่ามิคาเอล ลอว์ไม่ได้ก้าว แต่กระโดดขึ้นมาเลยต่างหาก คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด ทำไมโอนเนอร์ถึงได้เห็นผู้ชายที่อายุปาไปตั้งสามสิบกว่าแล้วดีกว่าเขาที่เพิ่งอายุแค่ยี่สิบห้า
เอียนคิดว่าเหตุผลหนึ่งในนั้นคือการที่มิคาเอล ลอว์เสนอตัวว่าจะกำจัดเว่ยจินหยินนี่แหละ สำหรับริเวิล การกำจัดเว่ยจินหยินได้ ถือว่าเด็ดแขนเด็ดขาเว่ยชิงเลยทีเดียว ผู้ชายสวมแว่นที่ได้รับฉายาที่น่ารังเกียจว่าจิ้งจอกนี้ ทำงานได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะสะอาดหมดจด หรือสกปรกจนต้องเบือนหน้า เป็นเหมือนแก้วสารพัดนึกของเว่ยชิง แต่ก็นั่นแหละ ขนาดคนที่รู้จักเว่ยจินหยินดีอย่างมิคาเอล ลอว์ยังถูกเว่ยจินหยินซ้อนแผนส่งไปยัดคุกที่อังกฤษ แล้วตัวเขาที่ไม่เคยรู้จักกับผู้ชายคนนี้ล่ะ?
เอียนตัดสินใจว่ายังไงเขาจะหลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวหรือปะทะโดยตรงกับเว่ยจินหยิน แค่การทดลองใช้คำพูดทักทายเมื่อครู่ เขายังถูกเจ้าหมอนั่นเตะออกมาด้วยปากเลย ไอ้สายตาที่ไม่เรียกว่ามองแต่เรียกว่าข้ามไปเลยนี่มันแย่ยิ่งกว่าถูกมองเป็นเศษสวะเสียอีก แถมยังไอ้คำพูดประโยคสุดท้ายก่อนไฟดับนั่นอีก เจ้าหมอนี่สามารถใช้ลิ้นพูดในสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกที่คนปกติจะคิดได้ สิ่งที่เว่ยจินหยินพูดออกไป เป็นอะไรที่เขานึกไม่ถึงยิ่งกว่าไฟดับเสียอีก เพราะฉะนั้นดีแล้วที่ไฟดับ อย่างน้อยมันคงทำให้แผนการของเจ้าจิ้งจอกบ้านั่นติดขัดได้บ้าง เพราะอย่างนั้นสำหรับคนแบบเว่ยจินหยินเขาปล่อยให้ฟารุคจัดการไปดีกว่า ถ้าต้องปะทะกับเว่ยจินหยินสำหรับเขาก็คงเหมือนกินของสแลงที่อาจจะทำให้ถึงตายได้ ก็คงจะเหลือคุณชายน้อยนี่แหละ
เว่ยเฟิงปิงถ้านับจริงๆ แล้วไม่ใช่ลูกคนเล็กสุดของเว่ยชิง แต่บังเอิญว่าน้องชายอีกสองคนของเขาไปเฝ้าพระเจ้าตั้งแต่ยังเล็กๆ เจ้านี่ก็เลยได้ตำแหน่งลูกคนเล็กไปในที่สุด แต่สำหรับตำแหน่งนี้เว่ยเฟิงปิงคงไม่ได้รับการเอาใจอย่างที่ลูกคนเล็กทุกคนมักได้ ตรงข้าม เจ้านี่เคยถูกขับออกจากตระกูลด้วยซ้ำ เนื่องมาจากการร่วมมือกับสายลับ อา... สายลับนั่น คนเดียวกับที่เคยฆ่าไฮท์อันดับสิบสามคนก่อนหน้ามิคาเอล ลอว์ และฉกข้อมูลไป  เจ้าตัวแสบ นี่ถ้าเขาจับเจ้านั่นได้คงได้ตำแหน่งข้ามหน้าข้ามตาฟารุคแน่ๆ แต่เอาเถอะ เขาไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาฟารุค และก็คงไม่มีปัญญาจะหาตัวเจ้าสายลับนั่น เพราะทันทีที่เขาเริ่มเคลื่อนไหว เฟิงปิงก็จัดการส่งหมอนั่นออกนอกประเทศ อยากรู้จริงๆ ว่าคุณชายเจ็ดคนนี้ใช้วิธีไหนให้สายลับคนนั้นมาหาเขาถึงฮ่องกง หรือว่าจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งค้างกันอยู่ จริงๆ เผลอๆ อาจจะเป็นคนเดียวกับที่ถูกถ่ายวิดิโอนั่นก็ได้ ดูจากสายตาของคุณชายคนนั้นที่ตื่นตะลึงอย่างกับว่าเห็นของรักของหวงกำลังจะถูกทำลายงั้นแหละ
เอียนแทบจะหัวเราะออกมาจริงๆ เขาเม้มปากแน่นด้วยกลัวว่าจะถูกฟารุคเอ็ดในความมืด ดูท่าเว่ยเฟิงปิงจะน่าสนใจกว่าสำหรับเขา อย่างน้อยก็พอจะมีปัญญารับมือได้ไม่เหมือนเว่ยจินหยิน เพราะเว่ยเฟิงปิงยังมีความหวั่นไหวอยู่บ้าง ไม่ใช่เจ้าจิ้งจอกสวมแว่นบ้านั่นที่ยิ้มออกมาอย่างกับถูกโปรแกรม ดูท่าหมอนี่ยังจะมีความเป็นคนมากกว่าพี่ชาย
งั้นคราวนี้เขาจะขอแขนสักข้างสองข้างของคุณชายเจ็ดคนนี้กลับไปเป็นของขวัญให้โอนเนอร์ก็แล้วกัน
-------------------------------------------------
   วรุตนั่งจ้องความมืดเบื้องหน้า เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่าทำไมพ่อของเขาถึงได้เปลี่ยนใจให้เขาเข้ามาที่นี่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ดูจะไม่อยากให้เข้ามานัก นั่นเพราะพ่อของเขาคงอยากจะให้เขารับรู้สิ่งที่ทำอยู่ รู้เพื่อที่จะรับให้ได้ ผู้เป็นพ่อกำลังบอกเขาอย่างกลายๆ ว่านี่คือสิ่งที่เขาต้องทำ หลังจากเรียนจบแล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่อยากไปเรียนต่อเลย สิ่งที่พ่อเขาเห็นว่าเป็นเรื่องดี เขากลับเห็นว่ามันไม่ดี เรียกได้ว่าเขากับพ่อแทบจะเห็นตรงข้ามกันในทุกเรื่อง แม้ว่าทวีศักดิ์จะพยายามทำอะไรหลายๆ เพื่อทำให้วรุตเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งดี แต่มันคงเป็นแค่การพยายามจะหลอกตัวเองเท่านั้น วรุตมองไม่เห็นว่าของพวกนี้ดีตรงไหน ยาเสพติดที่ไม่เป็นโทษกับร่างกาย แค่ทำให้เสพติดนั่นก็ถือว่าเป็นโทษแล้ว ไหนจะการทดลองที่น่าสยองนั่นอีก ต่อให้รูฟัสเป็นคนที่เขาไม่รู้จักเลยก็เถอะ เขาก็อดสงสารไม่ได้อยู่ดี ยาที่ทำให้คนกลายเป็นท่อนไม้แบบนั้น มันจะเรียกว่าของดีได้ยังไง
   ถึงจะเห็นต่างจากพ่ออย่างสุดขั้ว แต่วรุตไม่คิดจะถอนตัวออกตอนนี้ ถึงแม้เหตุผลที่เขามาที่นี่ตอนแรกจะเป็นเพราะผู้ชายที่ชื่อฟ่งก็ตาม ตอนนี้วรุตรู้สึกตัวแล้วว่าเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหาของตัวเอง ในเมื่อพ่อของเขาต้องการให้เขารับช่วงต่อ นี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้เรียนรู้
   เรียนรู้และแก้ไขในสิ่งที่พ่อของเขาได้ทำลงไป
   วรุตสูดหายใจ อีกไม่นานไฟจะติดขึ้น เขาไม่รู้ว่าพอไฟติดแล้วสภาพในห้องนี้จะเป็นอย่างไร ฟังจากเสียงพูดคุยซุบซิบนั่นแล้ว คงมีหลายคนที่สูญเสียความเชื่อมั่น เขาควรจะปล่อยให้ดำเนินไปแบบนี้ไหม ขณะที่วรุตกำลังชั่งใจอยู่นั้นเอง
   “อ๊าก!!!”
-------------------------------------

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
อื้มมมมมมมม,,,,,


สวัสดีค่ะ  = ="

ิbenejeng

  • บุคคลทั่วไป
ค้างงงงงงงงงง :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ชอบมากคะ แต่ละคนคิดสุดยอดมาก

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ใครกันอะ ที่ร้องอะ โหหห  ลุ้นอะ ลุ้น

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
กำลังมันส์เลย ว่าแต่ใครร้องออกมาอะ

ปล. ชอบคู่เถียนซานกับจินหยิน ฮิๆๆ

killermoonlit

  • บุคคลทั่วไป
ใหนบอกสองวันลงทีไงนี่มันเดือนนึงแล้วยังม่ายลงเลยอ้าาาาาาาาาาา

yuuki

  • บุคคลทั่วไป
อยากอ่านต่อแล้วคร๊า~

คนแต่งน้ำท่วมไหมคะ ดูแลตัวเองด้วยคะ

ลุ้นตอนต่อไปคะ,,,ขอยาวๆ


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ใหนบอกสองวันลงทีไงนี่มันเดือนนึงแล้วยังม่ายลงเลยอ้าาาาาาาาาาา

ขออภัย ลืมค่ะ ลืมจริงลืมจัง^^"" ลงให้ต่อแล้วนะคะ


บทที่61 ถ้อยคำหลังเสียงระเบิด!!

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้นั้น ดังขึ้นก่อนที่แสงสว่างจะกลับมาเพียงไม่กี่วินาที วรุตขนลุกซู่ เขาไม่เคยได้ยินเสียงร้องน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน
เกิดอะไรขึ้น? และกับใครกัน?
แต่ยังไม่ทันที่เสียงร้องนั้นจะสิ้นสุด เสียงผุดลุกขึ้นและเสียงตะโกนก็ดังแทรกขึ้นมา เป็นภาษาต่างๆ
          “แย่แล้ว!!”
   “มีคนนอก”
   “มีศัตรูแฝงเข้ามาในนี้”
   “ระวัง!!”
          นั่นคือท่อนหนึ่งของคำพูดในหลายภาษาที่วรุตพอจะฟังออก เสียงขยับตัวดังสับสนอลหม่าน ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของผู้เป็นพ่อซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา
“ทุกท่านใจเย็นๆ ก่อนครับ! บางทีนี่อาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุ”
แต่เสียงของพ่อเขาก็เป็นเพียงเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่ง ที่ถูกกลบด้วยเสียงอื้ออึงจากความแตกตื่นที่ดังขึ้นภายในห้อง วรุตตัดสินใจกระซิบกับผู้เป็นพ่อ
“พ่อ... นี่มัน........”
ทันใดนั้นเอง แสงไฟก็สว่างพรึบขึ้น

เด็กหนุ่มเบิ่งตากว้าง สิ่งที่เขาเห็นคือภาพของเหล่าผู้ติดตามที่ลุกขึ้นมายืนบังเจ้านายของเขาเอาไว้ และกราดปืนออกไปในทิศทางตรงข้าม ต่ำลงไปกว่านั้น.......
          “จูเลียโน!!” ชายชาวต่างประเทศอายุราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบเศษ โพล่งขึ้น ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นจากเก้าอี้ บนพื้นข้างตัวเขา ร่างของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คนหนึ่งกำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดงจัด ขณะที่มือข้างหนึ่งกุมต้นคอของตัวเองเอาไว้
   เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด และภาพที่ได้เห็นทำเอาเด็กหนุ่มเย็นวาบไปทั้งสันหลัง ภายในห้องพลันเงียบสนิทไปทันที ยิ่งทำให้เสียงร้องทุรนทุรายนั้นฟังดูโหนหวนน่าหวาดกลัวมากขึ้น
   ทวีศักดิ์รู้สึกตัวก่อนเป็นคนแรก เขารีบกรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสาร
   “รัตน์ ตามหมอหรือใครก็ได้ ตอนนี้ในห้องประชุมมีคนได้รับบาดเจ็บ ท่าทางเหมือนจะถูกยาพิษ แต่ผมยังไม่รู้ว่าเป็นยาพิษประเภทไหน”
   วรุตหันไปมองพ่อของเขา แม้ไฟจะดับไปพักหนึ่ง แต่อากาศภายในห้องยังคงเย็นอยู่ ถึงกระนั้น บนใบหน้าของทวีศักดิ์กลับปรากฏเหงื่อซึมออกมาจนเปียกชุ่ม
   “พ่อ...” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแห้ง ทวีศักดิ์หันมามองหน้าลูกชายของตัวเอง ก่อนจะพยักหน้า
   “ไม่เป็นไร เชื่อพ่อเถอะ ไม่เป็นไร...”
   วรุตมองหน้าพ่อของตัวเอง ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือก
------------------------------------------
   แพทย์ที่ถูกจ้างมาประจำเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ถูกตามตัวลงมาหลังจากนั้น พอเห็นอาการของคนที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ก็เร่งให้นำส่งโรงพยาบาลทันที เพราะอาการคล้ายกับถูกสารเคมีที่พิษกัดกร่อนระบบประสาท แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นประเภทไหน
   ร่างของผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำออกไปแล้ว พร้อมกับชายร่างอุ้ยอ้ายซึ่งเป็นเจ้านาย ที่หน้าซีดราวกับกระดาษ เมื่อได้ทราบอาการของผู้เป็นลูกน้อง เขาพึมพำเป็นภาษาที่วรุตไม่เข้าใจไปตลอดทางระหว่างเดินออกไป และหันมามองพ่อของเขาเป็นระยะๆ
   เหงื่อบนใบหน้าของทวีศักดิ์ยิ่งซึมออกมามากกว่าเดิม
   
   เสียงพึมพำในห้องดังขึ้นอื้ออึงระหว่างนั้น ก่อนที่ใครสักคนจะเริ่มพูดขึ้น
   “นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่? ฝีมือใครกัน?”
   แต่ยังไม่ทันที่ทวีศักดิ์จะได้ตอบอะไร อีกเสียงก็ดังตามขึ้นมา “หรือว่ามีศัตรูแอบแฝงเข้ามาเพื่อกำจัดพวกเรา?!”
   “เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ทวีศักดิ์พูดขึ้นต่อจากนั้น ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง “ผมตรวจสอบพวกคุณมาอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีทางที่จะมีการปลอมแปลง หรือสวมรอยแทนได้อย่างเด็ดขาด”
   ทุกคนต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านขวามือจะเอ่ยปากขึ้น “งั้นถ้าเกิดว่าใครคนใดคนหนึ่งในพวกเรา ต้องการล้มการประชุมนี้ขึ้นมาล่ะ?”
   “มันจะมีเรื่องบ้าแบบนั้นได้ยังไง?!” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นบ้าง “ที่พวกเรามารวมตัวกัน ก็เพื่อดูผลการทดลองยาตัวใหม่นะ......” ทันใดนั้น คนพูดก็เงียบไป ก่อนจะโพล่งอย่างนึกขึ้นได้ “หรือว่าจะมีใครในพวกเราต้องการจะฮุบยานี่ไว้คนเดียว เลยวางแผนจะกำจัดคนที่เหลือทิ้ง”
   ทั้งหมดมองหน้ากัน ด้วยสายตาที่แสดงความหวาดระแวงระหว่างกันอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ทวีศักดิ์กำลังจะเอ่ยปาก ใครคนหนึ่งก็พูดขึ้น
   “ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ ไม่มีใครโง่พอจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเราทั้งหมดนี้หรอก” คนพูดเป็นผู้ชายอายุราวๆ สามสิบเศษ สวมแว่นตากรอบทอง และหวีผมเรียบจนติดหนังศีรษะ เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แล้วกล่าวขึ้นต่อ
   “ลองคิดดูสิครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณทั้งหมด คิดว่าคนที่รอดอยู่จะพ้นจากข้อสงสัยหรือครับ พวกเราเองก็บินข้ามน้ำข้ามทะเลกันมา กำลังคนก็ไม่พร้อมกันทั้งนั้น ถ้าหากถูกรุมแล้วล่ะก็ คงไม่มีหวังจะรอดชีวิตกลับไปได้หรอก ผมว่า เรื่องนี้น่าจะมีเงื่อนงำอย่างอื่น”
   วรุตมองดูผู้ชายที่สวมแว่นตากรอบทองคนนั้น จำได้ว่าระหว่างที่นั่งประชุมกัน เขาไม่สังเกตเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน อาจจะเพราะท่าทางที่ดูธรรมดามากก็ได้ แต่พอได้เห็นจังหวะการพูดและสายตาที่ใช้มองคนโดยผ่านแว่นกรอบทองนั้นแล้ว วรุตกลับรู้สึกขนลุก
   เขาเกิดกลัวผู้ชายท่าทางธรรมดาคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
   ภายในห้องบังเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เหมือนทุกคนกำลังนึกทบทวนสิ่งที่ชายคนนั้นเพิ่งพูดออกมา ก่อนจะมีเสียงสนับสนุน “จริงของคุณ แต่...แล้วนี่มันเป็นฝีมือใครกันล่ะ แล้วหวังผลอะไรกันแน่?”
   “มันก็ไม่แน่นักหรอกครับ” เสียงที่ดังราวกับหินแตกแทรกขึ้นมา จากปากชายร่างสูงใหญ่ อายุสักสี่สิบเศษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายสวมแว่นตากรอบทอง “ถ้าหากว่าจับมือกันสักสี่ห้ามกลุ่มล่ะก็.... ไม่จำเป็นจะต้องกลัวว่าจะโดนจัดการหลังจากนี้หรอก สร้างเรื่องขึ้นมา แล้วโยนความผิดให้มือที่มองไม่เห็นซะ จากนั้นก็จัดฉากขึ้นมา ให้ใครสักคนที่อยู่ในแผนความร่วมมือประมูลตัวยาไปซะ แล้วค่อยไปแบ่งสันบันส่วนกันตอนหลัง มันก็ทำได้ไม่ใช่หรือ คุณชายเว่ย?”
   ท้ายประโยคจงใจจะพูดกับผู้ชายสวมแว่นตากรอบทองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เว่ยจินหยินถลึงตามองคนพูด แล้วกล่าวออกมา “คุณฟารุค พูดแบบนี้ มีเจตนาอะไรกันแน่?”
   “ก็อย่างที่เขาว่านั้นแหละนะ” เสียงผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ใกล้กันพูดขึ้น “ดูอย่างสายลับที่จับได้เมื่อตะกี้นี้สิ น้องชายใครกันนะที่จ้องเสียตาแทบจะถลนน่ะ หืม? ไม่ลองให้น้องชายคุณพูดอะไรดูหน่อยหรือไง คุณชายเว่ยจินหยิน”
   เว่ยจินหยินจ้องสองคนฝั่งตรงกันข้ามผ่านแว่นตากรอบทองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะกระชากเสียงพูดออกมา “พวกคุณพูดจาสามหาวมากไปแล้ว น้องชายผมน่ะ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้นอย่างเด็ดขาด ใช่ไหมเฟิง....?!”
   เว่ยจินหยินชะงักเสียงค้าง ก่อนจะจับตัวน้องชายเขย่า
   “เฟิงปิง!!!”
   ร่างของเว่ยเฟิงปิงล้มฟาดลงกับโต๊ะตรงหน้า
----------------------------------------
   ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง กระทั่งฟารุคเองยังหน้าถอดสี ร่างของเว่ยเฟิงปิงล้มพับอยู่บนโต๊ะ โดยมีผู้เป็นพี่ชายโพล่งออกมาอย่างตกใจ “เฟิงปิง!!”
   จางซื่อเยี่ยนพรวดพราดเข้ามาหาเจ้านายทันที และเกือบจะผลักเว่ยจินหยินออก “คุณชาย!”
   ใบหน้าของเว่ยเฟิงปิงซีดเผือดราวกับคนตาย ในตอนที่จางซื่อเยี่ยนประคองเขาขึ้นมาจากโต๊ะ ร่างกายดูอ่อนปวกเปียกไปหมด เว่ยจินหยินโพล่งออกมาอีก “นี่มัน!!??”
   ชายหนุ่มถลันเข้าไปหาร่างของน้องชาย ก่อนจะยกมือขึ้นแตะใบหน้า และปลายจมูก จากนั้นก็หน้าซีดเผือด “ตามหมอ ตามหมอที ช่วยน้องผมด้วย”
   วรุตรู้สึกถึงความตรึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นมาภายในห้อง ระหว่างที่พ่อของเขากรอกเสียงลงไปในวิทยุสื่อสารอย่างร้อนรน
----------------------------------------------
   ร่างของเว่ยเฟิงปิงถูกนำออกไป พร้อมกับลูกน้องคนสนิท ถึงกระนั้นผู้เป็นพี่ชายยังคงยืนอยู่ในห้อง เว่ยจินหยินกวาดตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นเจ้าของการประชุม “คุณทวีศักดิ์ คุณปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?”
   ทวีศักดิ์กลืนน้ำลายเฮือก มือที่กำอยู่เปียกชุ่ม กระทั่งเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ ในห้องประชุมที่ถูกออกแบบมาอย่างรัดกุม และการคัดเลือกผู้เข้าร่วมประชุมที่มีการตรวจสอบกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
   เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?!
          “คุณทวีศักดิ์ คุณจะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น คุณปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง คุณรับผิดชอบชีวิตพวกผมแบบไหนกัน?!!” เว่ยจินหยินพูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
          ทวีศักดิ์ถึงกับขากรรไกรค้างไปในบัดดล ลำพังไอ้ความกดดันที่มีอยู่ในบรรยากาศนี่ก็มากพอแล้ว ยังจะมีคำพูดนี้ออกมาจากปากของเว่ยจินหยินอีก คำพูดที่เขากลัวที่สุด
   คำพูดซึ่งหลายคนอาจจะอยากพูด.... และในเมื่อมีคนแรกพูดออกมาแล้ว....
          “ผมเห็นด้วย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นพวกเรารับไม่ได้หรอกนะ ที่นี่มันเสี่ยงเกินไปแล้ว คุณไม่เคยบอกเราถึงความเสี่ยงนี้ ไหนว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดไง?” เสียงหลายเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาหลังจากนั้น ผู้เป็นเจ้าของการประชุมแทบยกมือขึ้นปาดเหงื่อ หากไม่ติดว่ามันเป็นการแสดงมารยาทที่ไม่ดี ทวีศักดิ์อยากจะพูดออกไปว่าเขาแน่ใจเรื่องสถานที่ แต่ใครมันจะคิดล่ะว่าจะมีคนกันเองเป็นไส้ศึกแบบนี้ เรื่องนี้แย่ยิ่งกว่าพวกสายลับที่เขาไล่ต้อนอยู่ด้านล่างอีก เพราะคนที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบมาหมดแล้ว
   หรือจะมีใครในกลุ่มคนพวกนี้วางแผนจะฮุบเอาตัวยาไปอย่างที่ฟารุคว่าจริงๆ
   ทวีศักดิ์ค่อยๆ กวาดตามองกลุ่มคนจากหลากหลายที่ภายในห้อง ต่างคนต่างแสดงความหวาดระแวงกันออกมาอย่างเห็นได้ชัด ในสถานการณ์แบบนี้ เขาวิเคราะห์หรือประเมินไม่ออกเลยว่า ใครเป็นพวกใครหรืออยู่ฝ่ายไหนกันแน่
   เสียงเรียกร้องให้เขารับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นยังคงดังตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวของเว่ยจินหยินเองที่ดูจะหมดความอดทนถึงที่สุด
   “คุณทวีศักดิ์ ผมขอถอนตัว เรื่องนี้มันเสี่ยงเกินกว่าที่ผมจะรับได้แล้ว”
   สิ้นสุดประโยค เสียงอื้ออึงในเชิงเห็นด้วยดังต่อขึ้นมาทันที ทวีศักดิ์กลืนน้ำลายเฮือก
การประชุมครั้งนี้เขาลงทุนไปมาก และหากยกเลิกไปเฉยๆ ก็เท่ากับว่าสูญเปล่าทั้งหมด
   ระหว่างที่เขากำลังนึกวิธีจัดการกับปัญหาหนักหนาสาหัสที่อยู่ตรงหน้า เสียงหนึ่งซึ่งอยู่ข้างเขามาโดยตลอดก็พูดออกมา
          “ผมเห็นด้วยกับทุกท่านครับ การประชุมนี้ควรหยุดได้แล้ว”
   ทวีศักดิ์หันไปมองบุตรชายของเขาอย่างไม่เชื่อหู ก่อนจะอุทานออกไป “วิน ลูกพูดอะไร? ลูกรู้รึเปล่าว่ามันเสียหายขนาดไหน?”
          วรุตพยักหน้า และหันไปมองพ่อของเขา “ผมรู้ ถึงจะรู้ไม่เท่าพ่อก็เถอะ ผมรู้ว่างานนี้พ่อลงทุนไปมาก แต่มันเสี่ยงเกินไป ถ้าเรายังยืนยันต่อพวกเขาอาจจะฆ่าเราก็ได้” เด็กหนุ่มหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบตามองไปยังวงประชุม
“พ่อไม่เห็นหรือพวกนั้นมีปืน แล้วเขาก็กำลังมองมาที่เราอย่างเอาเรื่อง ถ้าเรายังขืนรีรอไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะก็ เขาไม่เอาเราไว้แน่”
ทวีศักดิ์มองหน้าลูกชาย ขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด เหงื่อกาฬหลายหยดไหนซึมออกมา ไรผมของเขาเปียกชุ่ม แม้จะอยู่ในห้องปรับอากาศก็ตาม เป็นครั้งแรกที่วรุตเห็นพ่อเขาในสภาพเครียดจัดเช่นนี้ เด็กหนุ่มอดรู้สึกสงสารไม่ได้ ทำไมพ่อของเขาจะต้องนำพาตัวเองมาในภาวะแบบนี้ด้วย ภาวะที่เสี่ยงทั้งตัวเองและคนอื่น
“พ่อ...” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกอีกครั้ง คนถูกเรียกกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วหลับตาลง จากนั้นจึงเบือนหน้าออกไปอีกทาง
          “ผมขอยกเลิกการประชุม”
   บรรยากาศตรึงเครียดภายในห้องเหมือนถูกผ่อนออกลงทันที หลายเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก กระทั่งตัวของวรุตเอง แต่เมื่อมองกลับมายังพ่อของเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้
   ทวีศักดิ์รู้สึกเหมือนตัวเองบอลลูนที่ถูกปล่อยลม จบสิ้นกันแล้ว สิ่งที่เขาทุ่มเททำลงไป ทุกอย่างที่เขาทำเพื่อคนสำคัญที่สุดของเขา
   ชายวันกลางคนขบกรามกรอด กลั้นความรู้สึกไม่ให้เอ่อทะกลักออกมา
วรุตมองดูผู้เป็นพ่อด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก ก่อนจะเดินช้าๆ ไปที่ประตู แล้วเปิดมันออก...
--------------------------------------
   แคลร์ยืนอยู่หน้าประตูที่ใช้เปิดเข้าสู่ส่วนที่เป็นระเบียงใหญ่ ในตอนที่ไฟติดขึ้น หล่อนมั่นใจว่าราฟาแอลจะต้องอยู่ที่นี่ ต่อให้หมอนั่นสามารถมองเห็นได้ในความมืดได้ด้วยเทคนิคอะไรก็ตาม แต่คงไม่สามารถผ่านประตูออกไปในตอนที่ไฟดับได้แน่ๆ
สิ่งที่น่ากังวลคือ หมอนั่นทำอะไรบ้างตอนไฟดับ คงไม่ใช่แค่วิ่งไปวิ่งมาหรอก....
   เสียงกระสุนดังสนั่นขึ้นแทบจะในทันทีที่หล่อนเปิดประตูเข้าไป ให้ตายสิ ผู้ชายคนนั้นบ้าดีเดือดเป็นบ้า เป็นพวกเสพติดควันปืนหรือยังไง อาจจะฟังดูน่าแปลก แต่หล่อนรู้สึกดีกับเสียงปืนนั่น อย่างน้อยหล่อนก็รู้ว่าราฟาแอลมีจุดประสงค์จะเผยตัวแต่แรก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกพบเห็นหลังจากไฟติดขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ แปลว่าเขาเองก็ตั้งใจจะถ่วงเวลาเหมือนกัน ซึ่งจะถ่วงไปเพื่ออะไรนั้น ถ้าได้เจอกันก็คงได้ถามเองนั้นแหละ หญิงสาววิ่งเหยาะๆ ไปตามทิศทางของเสียง
ท่าทางครั้งนี้อาจจะได้ทักทายกันหนักมือหน่อย
--------------------------------------
   สิ่งที่ทำให้รัสเลอร์แทบแหกปากร้องออกมาคือภาพของใครคนหนึ่งที่เขาจำได้ดีแม้จะมองจากกล้องวงจรปิดก็ตาม นั่นใช่ฟ่งไม่ผิดแน่ แต่ปัญหาคือฟ่งกำลังกอดอยู่กับใครอีกคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก ท่าทางตัวบางๆ ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ แต่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้วน่าจะเป็นผู้ชายนั่นแหละ ปัญหาคือทำไมฟ่งต้องกอดกับเจ้าหมอนั่นแบบนั้นด้วย คงไม่ใช่ว่าเพราะตกใจกลัวไฟดับหรอกนะ
รัสเลอร์เกิดความคิดขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ว่าเขาควรจะไปหาฟ่งเพื่อถามถึงเหตุผลที่เจ้าตัวมาปรากฏตัวอยู่ ไม่ก็ทำให้ฟ่งมาหาเขาที่นี่ แต่ที่สำคัญคือไม่ว่าวิธีไหนก็คงเป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้
รัสเลอร์เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าฟ่งเป็นคนที่ลึกลับยิ่งกว่าพวกสายลับคนไหนที่เขารู้จักเสียอีก
   คนที่ทำเรื่องที่คนอื่นหาเหตุผลมารองรับไม่ได้นี่ ถ้าไม่บ้าก็ฉลาดจนน่าตกใจเลยทีเดียว…
---------------------------------------
   ฟ่งไม่ได้บ้า แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เขาเกือบถูกยิงตายเพราะชายคนหนึ่ง แล้วตอนนี้ชายคนนั้นก็กำลังร้องไห้อยู่บนหัวไหล่ของเขา ความจริงคือสีหน้าที่อิทธิเดชแสดงออกมาทำให้เขานึกถึงตัวเองตอนที่เลิกกับดาใหม่ๆ เขาก็คงมีสีหน้าแบบนี้เหมือนกัน นี่รึเปล่าที่เป็นเหตุให้รูฟัสทำดีด้วย ดูเหมือนรูฟัสเองก็เคยพูดเอาไว้แบบนี้เหมือนกัน เขาก็ควรจะให้สิ่งดีๆ กับคนที่เคยมีสภาพเดียวกับเขาบ้าง ถึงจะไม่ทุ่มทุนสร้างแบบรูฟัส แต่แค่นี้ก็น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง ประเด็นคือเขาจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ดูเหมือนรูฟัสจะมีปัญหา อย่างน้อยก็ที่ไฟดับเมื่อครู่นี่แหละ ฟ่งคิดว่าคงไม่มีใครอยากดับไฟ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ เขากลัวว่าเหตุจำเป็นที่ว่าอาจจะเกี่ยวกับผู้ชายตาสองสีคนนั้น
   “ผม..คงต้องไปแล้ว” หนุ่มสวมแว่นเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นหยุดสะอื้นไปพักใหญ่แล้ว อิทธิเดชเงยหน้าขึ้นมา และพยักหน้าหน่อยๆ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง ฟ่งเห็นแบบนั้นก็หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดี ท้ายที่สุดจบลงด้วยการใช้แขนเสื้อที่ยาวเกินความจำเป็นช่วยเช็ด อิทธิเดชเผลอหัวเราะออกมา เขารู้สึกขบขันในท่าทางทุลักทุเลของฟ่งที่พยายามจะใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าให้เขา ชายหนุ่มจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา
   “ผม..ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจนะ” หนุ่มหน้าสวยกล่าว รู้สึกแปลกใจตัวเองที่พูดอะไรแบบนี้ออกไปกับคนที่ตัวเองเพิ่งคิดจะฆ่า แต่ว่าผู้ชายคนนี้ช่างดูยิ่งใหญ่ ในวินาทีที่ที่ทิ้งปืนลงไปแบบนั้น เขารู้สึกว่าฟ่งช่างเป็นคนที่กล้าหาญเสียเหลือเกิน กล้าเสียจนเขารู้สึกถึงคำว่าละอายใจ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยกล้าที่จะตัดสินใจอะไรแบบนี้เลย ผู้ชายคนนี้เป็นปาฏิหาริย์ของเขาจริงๆ
   “คุณจะไปไหนล่ะ?” อิทธิเดชเอ่ยถาม เขาแค่คิดว่าสมควรจะพาผู้ชายที่ทำให้เขาคิดในที่สิ่งที่ไม่เคยคิดได้ก่อนหน้านี้ไปส่งในที่ที่ต้องการ เพื่อตอบแทนในสิ่งที่เขาทำลงไป แม้จะโดยไม่รู้ตัวก็ตามเถอะ คงดีกว่าการปล่อยให้เดินไปไหนมาไหนอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่แบบนี้
   “เอ่อ...” ฟ่งอึกอัก แม้ว่าวรุตจะรู้ว่าเขาเข้ามาในนี้เพื่อตามหารูฟัส แต่อิทธิเดชไม่ใช่ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ และหนำซ้ำยังยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรูฟัสด้วยซ้ำ ขืนเขาพูดความจริงออกไปคงยิ่งทำให้เรื่องที่เหมือนจะดีขึ้นแล้วกลับเลวร้ายลงแน่ ชายหนุ่มพยายามหาข้ออ้างดีๆ ที่เขาพอจะนึกออกในเวลานี้เพื่อตอบคำถามนั้นออกไป
   “ผมอยากจะสำรวจที่นี่หน่อย คุณก็รู้ผมเป็นคนออกแบบมัน”
   อิทธิเดชพยักหน้า แต่ก็พูดขัดออกมา “แต่มันอันตราย คุณไม่ได้ยินเสียงยิงกันตอนลงมาหรือ? เขากำลังจัดการกับพวกสายลับที่แอบเข้ามาอยู่ ทางที่ดีผมว่าคุณกลับขึ้นไปด้านบนดีกว่า”
   “ผมว่า มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก” ฟ่งพยายามจะหาข้ออ้างต่อ ยังไงเขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่ารูฟัสปลอดภัย อิทธิเดชนิ่งไปพักหนึ่ง
“งั้นผมจะไปกับคุณก็แล้วกัน”
   ฟ่งกลืนน้ำลายเฮือก ในขณะที่อีกฝ่ายผุดลุกขึ้น และยื่นมือมาให้
   “ไปกันเถอะ”
---------------------------------------
   หนังตาของลู่ชางแทบฉีกขาดออกจากกัน เขามองดูกลุ่มควันหลากสีที่ม้วนตัวและบิดเกลียวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในห้อง โดยมีผู้ชายที่บ้าคลั่งพอๆ กันกำลังกระชากลิ้นชักแก้วลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า เสียงแตกของมันดังถี่เสียจนแยกไม่ออกแล้วว่าเสียงไหนเกิดขึ้นก่อน เสียงไหนเกิดขึ้นหลัง
   รูฟัสย่ำลงไปบนเศษแก้ว พร้อมกับดึงลิ้นชักที่ใส่หลอดแก้วบรรจุควันนั้นออกมาทุ่มลงบนพื้น ท่ามกลางกลุ่มควันที่เปลี่ยนสีแทบจะทุกๆ เสี้ยววินาที ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางซิมโฟนีประหลาดๆ พอรู้สึกตัวก็ต้องรีบบอกตัวเองให้หยุดความคิดบ้าๆ นี้เอาไว้ทันที ก่อนจะวิปลาสไปเหมือนตาแก่ที่นอนอยู่บนพื้นนั่น
   ลิ้นชักอันสุดท้ายหล่นกระแทกพื้นและแตกกระจาย รูฟัสกระชากคอของลู่ชางที่นอนอยู่ขึ้นมาและเอ่ยถาม “ยังมีเจ้านี่เหลืออยู่ที่ไหนบ้าง?”
   แน่นอนว่าลู่ชางไม่ยอมตอบเขาดีๆ แน่ ลู่ชางตะกุยมือใส่รูฟัสราวกับคนบ้า ทำให้รูฟัสต้องทิ้งร่างเหี่ยวย่นนั่นลงบนพื้นอีกครั้ง
   “งั้นเชิญแหกตาดูผลงานของแกพินาศไปที่นี่แล้วกัน” รูฟัสตะคอกใส่ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูโลหะที่ถูกใช้เป็นทางเข้าออก
--------------------------------------------
   “เฮ้ย ซิมแปนซี เสือขาวมันโผล่หัวออกมาแล้วยัง?” ราฟาแอลตะโกนแข่งกับเสียงระเบิดของลูกปืน รัสเลอร์สั่นศีรษะและกรอกเสียงกลับไป
   “ยัง แต่จริงๆ น่าจะติดต่อกลับมาได้แล้วนี่ เฮ้ย!!” ชายหนุ่มร้องเสียงลั่น จากนั้นก็รีบดึงไฟล์จากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในห้องนั้นขึ้นมาดู “สิงโต!!!”
   “อะไรอีกเล่า!!? จะบอกว่ามันดมควันจนน็อกไปอีกรอบหรือไง ถ้าแบบนั้นล่ะก็ปล่อยให้ตายไปเลยแล้วกัน” ราฟาแอลบ่นยาวยืด ท่าทางจะหงุดหงิดที่ต้องทำงานที่ไม่ถนัดอย่างการถ่วงเวลาแบบนี้ รัสเลอร์ได้ยินเสียงเหมือนกระสุนปืนกระแทกโลหะแข็งดังขึ้นอีกสองสามครั้ง ท่าทางเจ้าหมอนั่นจะกำลังวุ่นวายจริงๆ
   “ท่าทางเสือขาวจะมีปัญหารอบสองน่ะ คนดูแลระบบคงล็อกประตูพวกนั้น หมอนั่นเลยยังติดอยู่....”
   “เอาเข้าไป!!” ราฟาแอลคราง เขากำลังคิดว่าน่าจะพกปืนกลกึ่งอัตโนมัติแบบที่ยิงได้ทีละห้าสิบนัดมาด้วย จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเปลี่ยนแมกกาซีน
   “แล้วต้องทำยังไง นายปลดล็อกจากตรงนั้นไม่ได้เรอะ?”
   “กำลังพยายามอยู่ แต่ฉันว่ามันคงตัดเข้าสู่ระบบควบคุมด้วยตัวเองแล้วล่ะ คงต้องมีใครเปิดประตูเข้าไปช่วยหมอนั่น” รัสเลอร์ตอบกลับมา ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนใส่ไมโครโฟน
   “ดีเลย ฉันที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนแมกกาซีนนี่คงทำได้หรอก ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ว่ะ!!!??”
   รัสเลอร์รีบดึงหูฟังออกจากหูทันที ตะโกนดังขนาดนี้ ถ้าหูไม่แตก หูฟังก็คงทะลุล่ะ เขารออีกหลายวินาทีกว่าจะทำใจแนบมันเข้ากับหูอีกครั้ง
   “โทษที พอดีฉันลืม ก็มัวแต่ลุ้นรูฟัสอยู่นี่หว่า แล้วจะทำไงต่อดี?”
   เสียงอีกฟากเงียบไปพักหนึ่ง รัสเลอร์ได้ยินเสียงหายใจหนัก แล้วก็เสียงเปลี่ยนแม็กกาซีน
   “นี่.... นายเคยบอกเอาไว้ใช่ไหม ว่าระบบรักษาความปลอดภัยน่ะ ถ้าเกิดมีภาวะวิกฤติขึ้นมา มันจะปลดล็อกตัวเอง รวมถึงไอ้ประตูพวกนี้ด้วยรึเปล่า”
   รัสเลอร์พยักหน้าและตอบกลับไป “อืม... มันก็ใช่ ว่าแต่ไอ้ภาวะวิกฤตที่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะ?”
   เหมือนได้ยินเสียงราฟาแอลหัวเราะออกมาให้ได้ยิน
   “ระเบิดมันซะก็สิ้นเรื่อง”
--------------------------------------------
   อิทธิเดชไม่แน่ใจว่าฟ่งคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่ชายคนนั้นพูดว่าต้องไปแล้ว นั่นหมายถึงเข้าต้องไปทำอะไรบางอย่างที่แข่งกับเวลาหรือเปล่านะ? แต่พอถามเข้าจริงๆ กลับได้รับเหตุผลที่ดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ถึงอย่างนั้นหนุ่มหน้าสวยก็ไม่อยากจะซักต่ออีก เขาไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกับฟ่งในตอนนี้ และก็ไม่อยากจะทำร้ายผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
อิทธิเดชไม่แน่ใจว่าฟ่งเป็นพวกไหนกันแน่ แต่คงมีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่างในการเข้ามาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นเขาขอจับตาดูเงียบๆ ไว้ก่อนจะดีกว่า เผื่อมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นจะได้จัดการได้ทัน
แต่เขาคงฆ่าผู้ชายคนนี้ไม่ลงหรอก
   
ฟ่งกำลังขบคิดอย่างหนัก เขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังห้องนิรภัยพิเศษ หลังจากไฟดับ มันน่าจะถูกตัดวงจระเข้าสู่ระบบควบคุมด้วยตัวเองแล้ว รูฟัสจะติดอยู่ในนั้นหรือเปล่านะ? เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก จะมีใครไปที่นั่นอีกไหม? หรือควรจะลองถามอิทธิเดชดู ทางนั้นน่าจะคิดต่อกับศูนย์บัญชาการหลัก อาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้
   “ผมไปดูที่ห้องนิรภัยได้รึเปล่า?” หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจเอ่ยถามออกไป พอเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างสงสัย จึงรีบพูดต่อ “ผมแค่อยากไปดูน่ะ มันเป็นห้องที่ออกแบบยากที่สุดสำหรับผม”
   คนได้ฟังนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ “ผมไม่แน่ใจว่าเราจะไปถึงที่นั่นได้ ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่เอาเถอะ ผมจะพาคุณไปแล้วกัน”
   อิทธิเดชตัดสินใจว่าเขาจะทำตามที่ฟ่งร้องขอ เพราะยังไงเสียพวกเขาทั้งสองคนคงจะผ่านไปที่นั่นไม่ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ฟังจากเสียงปืนที่ดังแว่วมา ชายหนุ่มหน้าสวยสงสัยว่าฟ่งได้ยินเสียงพวกนี้บ้างหรือเปล่า หรือได้ยินแต่ทำเป็นไม่รู้  หรือจริงๆ แล้วตั้งใจจะไปหาคนที่ทำให้เกิดเสียงนี้กันแน่นะ...
----------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “นายจะทำอย่างนั้นจริงเรอะ?” รัสเลอร์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักผ่านไมโคโฟน ราฟาแอลขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เขาเพิ่งยิงสกัดพวกที่ตามเข้ามาระลอกใหม่เจ็บไปสอง สงสัยแบบนี้อาจจะต้องทำบังเกอร์
   “ทำอะไร?”
   “ก็ที่ว่าจะระเบิดน่ะ...” ทางนั้นตอบกลับมา ราฟาแอลร้องอ้อเสียงยาว ก่อนจะหนีบตัวเองเข้ากับขอบเสาเหล็กเพื่อหลบกระสุน เสียงเคร้งๆ ดังแทรกขึ้นมาในระหว่างการสนทนา
   “มันไม่ใช่ระเบิดแบบที่เอาไว้ถล่มตึกหรอก นายก็รู้ มันก็แค่ระเบิดลูกเล็กๆ ที่อย่างเก่งก็แค่ทำให้เสาเป็นรูแค่นั้นเอง ฉันติดเอาไว้เผื่อฉุกเฉินเฉยๆ” หนุ่มผมบลอนด์ส่งเสียงผ่านวิทยุสื่อสารกลับมา คนได้ฟังส่งเสียงร้องตอบกลับไป
   “อ้อ ฉันล่ะคิดว่าเป็นระเบิดนาปาล์มซะอีก”
   “อันนั้นน่ะ เสือขาวของนายพกเอาไว้” เสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา รัสเลอร์เลิกคิ้ว ยังไม่ทันได้ถามอะไรอีก ราฟาแอลก็พูดขึ้นต่อ “แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากจะได้นาปาล์มอยู่เหมือนกันล่ะนะ”
   “โธ่ นายคิดจะถล่มที่นี่หรือไง” รัสเลอร์ครางออกมา แล้วพูดต่อ “ตอนไฟดับเมื่อตะกี้ นายแอบไปติดระเบิดเอาไว้แถวนั้นเผื่อฉุกเฉินใช่มั้ยล่ะ?”
   “เปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงโวยวาย “แล้วเสือขาวจะรอดมั้ยเนี่ย?!”
   “หุบปากเถอะน่า” ราฟาแอลเอ็ด “ฉันไม่ได้ติดไว้แถวนั้นก็จริง แต่คิดว่าลองดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรหรอก”
   รัสเลอร์ส่งเสียงอือออตอบกลับมาทันที “ถ้ามันไม่ทำให้ที่นี่ถล่ม นายลองดูก็ได้”
   ได้ยินเสียงราฟาแอลหัวเราะชอบใจ ก่อนจะพูดต่อ “หาอะไรปิดหัวเอาไว้แล้วกัน เผื่อเศษอะไรมันจะหล่นใส่หัวนาย เดี๋ยวจะเพี้ยนไปกว่านี้”
รัสเลอร์หน้าหงิก แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงปืนก็ดังแทรกขึ้นก่อน ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พลางนึกสงสัยว่า ที่จริงแล้วราฟาแอลอาจจะอยากลองใช้ระเบิดชนิดที่มีการทำลายล้างสูงขึ้นจัดการกับไอ้พวกที่รุมล้อมเขาอยู่ด้วยก็ได้
รัสเลอร์ประดิษฐ์อะไรขึ้นมาหลายอย่าง แต่เขาไม่เคยยุ่งเรื่องการทำระเบิด เพราะมองว่ามันดูโหดร้ายเกินไป กระสุนปืนยังระบุเป้าหมายได้ แต่ระเบิดไม่เคยระปุเป้า มันคือสิ่งที่มีอานุภาพทำลายล้างพื้นที่รอบๆ ของมัน ไม่เลือกว่าจะเป็นใครหรืออะไร ดังนั้นรัสเลอร์จึงไม่เคยคิดทำระเบิด แต่ดูเหมือนราฟาแอลและรูฟัสจะชำนาญการด้านนี้ อย่างน้อยสองคนนั่นก็เคยเป็นทหารรับจ้างมาก่อน

   ราฟาแอลเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความตื่นเต้น ความจริงแล้วเรื่องระเบิดนั่นระเบิดนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา แต่มันคงจะแปลกใหม่สำหรับไอ้พวกที่กำลังดาหน้าเข้ามาราวกับไม่มีวันจบวันสิ้นนี่  เขาไม่แน่ใจนักว่ามันจะแรงพอจะทำให้รูฟัสหลุดออกมาได้ แต่อย่างน้อยคงจะเบนความสนใจไปได้บ้าง ชายหนุ่มหยิบสวิตช์ระเบิดขึ้นมา ลูกปืนนัดหนึ่งพุ่งเข้ามากะเทาะเสาเหล็กที่เขาใช้เป็นที่กำบังดังเคร้ง ชายหนุ่มยิงสวนกลับไป อีกสองสามนัด และกดสวิตช์

   ตูม!!!!!!!!!!!!

-------------------------------
   เสียงระเบิดดังพอจะให้คนที่ยังอยู่ในห้องประชุมได้ยิน อาจจะรวมถึงคนที่กำลังจะตายด้วย เว่ยเฟิงปิงเบิ่งตาโพล่ง และสูดหายใจเฮือกใหญ่เหมือนคนเพิ่งขึ้นจากน้ำและต้องการอากาศอย่างรุนแรง แต่เขาไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเพราะเสียงระเบิด
   เว่ยจินหยิน!
   พี่ชายคนรองของเขาคนนั้น ช่างสรรค์หาแผนการมาใช้จริงๆ ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นล่ะก็ ต่อให้เอาปืนมาจ่อศีรษะ เขาก็จะไม่ยอมให้เว่ยจินหยินทำแบบนี้เด็ดขาด เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่าพี่ชายของเขาคนนี้มีงานอดิเรกแปลกๆ เกี่ยวกับการศึกษาและทดลองเรื่องยาพิษ แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเป็นเหยื่อสังเวยเลยสักครั้ง
ในห้องประชุม เว่ยจินหยินให้ยาที่ทำให้เขาเหมือนกับตายไปชั่วขณะหนึ่ง แวบหนึ่งเว่ยเฟิงปิงคิดว่าเขาจะรู้สึกเหมือนรูฟัสรึเปล่า แต่ความคิดต่อมาคือยาของเว่ยจินหยินต้องแย่กว่ายาที่รูฟัสโดนแน่ๆ และตอนนี้เขากำลังหอบหายใจอย่างหนัก โดยมีจางซื่อเยี่ยนประคองเอาไว้

   จางซื่อเยี่ยนแทบจะหยุดหายใจ ตอนเห็นสีหน้าของเว่ยเฟิงปิงที่ล้มพับไป นั่นมันสีหน้าของคนตายชัดๆ นี่ถ้าเถียนซานไม่บอกเขาก่อน เขาคงฆ่าเว่ยจินหยินไปแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นจะลงมือใช้กระทั่งน้องชายตัวเองเป็นเหยื่อ ถึงจะรู้ว่าเว่ยจินหยินไม่ชอบเว่ยเฟิงปิงอยู่บ้างก็เถอะ แบบนี้ข่าวลือที่ว่าคุณชายรองคนนี้ฆ่าน้องชายของตัวเองอาจจะมีความจริงอยู่บ้างก็ได้ จางซื่อเยี่ยนไม่เคยเชื่อใจเว่ยจินหยิน เพราะเว่ยจินหยินไม่เคยบอกจุดประสงค์ของตัวเองตรงๆ เขาจะใช้วิธีการต่างๆ หลอกให้คนอื่นกลายเป็นเครื่องมือ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็โดนใช้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขาเชื่อใจเถียนซาน เพราะเถียนซานไม่เคยโกหก ถึงแม้เขาจะหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเถียนซานยืนยัน เขาก็จำต้องเชื่อ เพราะเถียนซานเป็นคนที่เข้าใจความคิดซับซ้อนของเว่ยจินหยิน
ตอนนี้เขากับเว่ยเฟิงปิงไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล หรือสถานที่อะไรทำนองนั้น พวกเขาหลบอยู่ตรงขอบระเบียงด้านนอกที่อับสายตาผู้คน โดยมีบุรุษพยาบาลสองคนที่ถูกทำให้สลบนอนอยู่ข้างๆ เนื่องเพราะเถียนซานบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องออกมาคุมเชิงด้านนอก มันเป็นแผนสองเด้งที่เว่ยจินหยินคิดได้ในระยะเวลาสั้นๆ และลูกพี่ของเขาคาดเดามันได้ถูกต้อง ด้วยความตายหรือความปิดปกติของเว่ยเฟิงปิง จะทำให้ผู้เป็นพี่ชายหลุดออกจากตำแหน่งผู้ต้องสงสัยได้โดยง่าย และมีความชอบธรรมในการล้มล้างการประชุม ซึ่งจางซื่อเยี่ยนแน่ใจว่าเว่ยจินหยินจะทำเรื่องนั้นสำเร็จ เขาจึงรอ รอให้เว่ยเฟิงปิงฟื้น และรอสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
   ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงฟื้นแล้ว แต่ที่น่ากังวลคือเสียงที่ดังขึ้นมาเมื่อสักครู่ ถึงจะเบาและไกล แต่ว่านั่นเป็นเสียงระเบิดไม่ผิดแน่  พวกรูฟัสต้องการทำลายที่นี่รึ?

   “ขะ..ขอบใจ..” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยออกมาในที่สุด เขาสูดหายใจซ้ำอีกหลายรอบ จึงสามารถพูดได้คล่องขึ้น
   “ให้ตายสิ ฉันไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องมาตายแบบนี้ นายมีน้ำไหม?”
   ผู้เป็นลูกน้องดึงขวดน้ำที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงของบุรุษพยาบาลขึ้นมาส่งให้เจ้านายของเขา เว่ยเฟิงปิงรับไปดื่มราวๆ ครึ่งขวด
“พี่จินหยินล่ะ ออกมาหรือยัง? แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”
   จางซื่อเยี่ยนอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ผู้เป็นเจ้านายฟัง รวมถึงจุดที่อยู่
   “อืม.. ให้ฉันเดา จินหยินคงล้มการประชุมไปแล้วล่ะ และถ้าให้เดาต่อจากนั้น เดี๋ยวคงจะมีไฮท์คนใดคนหนึ่งตามเรามา จริงๆ ฉันอยากให้พวกนั้นร่วมมือกันรุมจินหยินมากกว่า แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าสองคนนั่นไม่มั่นใจขนาดนั้น จินหยินคงไม่จำเป็นต้องส่งฉันออกมา”
   ผู้เป็นลูกน้องพยักหน้า แต่ก็ยังเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ไม่เป็นอะไรแล้วแน่ๆ นะครับ?”
   เว่ยเฟิงปิงมองอย่างสงสัย และผงกศีรษะ “อืม.. ฉันดูแย่มากเลยหรือไง?”
   “ก่อนหน้านี้คุณดูเหมือนคนตาย ผมคิดว่าคุณจะ...”
   “พี่จินหยินไม่ฆ่าฉันทิ้งตอนนี้หรอกน่า” เว่ยเฟิงปิงว่า และรู้สึกตกใจนิดหน่อยเมื่อถูกอีกฝ่ายรวบตัวเอาไว้ในอ้อมกอด
   “ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมคงได้ฆ่าเขาแน่ๆ” จางซื่อเยี่ยนกล่าว และกอดเจ้านายของเขาแน่น เว่ยเฟิงปิงเผลอหัวเราะออกมา “นายจะถูกเถียนซานฆ่าแทนน่ะสิ”
   วงแขนบางยกขึ้นกอดตอบเบาๆ
   “แต่ฉันดีใจนะที่นายแสดงออกมาแบบนี้” เว่ยเฟิงปิงกระซิบข้างหู จางซื่อเยี่ยนขยับตัว ก้มลงจูบเจ้านายของเขา เว่ยเฟิงปิงจะรู้รึเปล่า ว่าเขาเป็นห่วงมากมายขนาดไหน ผู้เป็นเจ้านายหลับตา เจ้าหุ่นยนต์นี่จริงๆ ก็แสดงออกแบบคนปกติได้เหมือนกันนี่นา
   “โอ้โห! ฉันมาทันเห็นฉากเด็ด” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลีที่ดังขึ้นชัดเจนพอจะระบุตัวผู้พูดได้ จางซื่อเยี่ยนผละจากเจ้านายของเขาและลุกขึ้นยืนขวางเอาไว้ทันที ในขณะที่เว่ยเฟิงปิงเองก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน
   “ไม่เห็นต้องทำหน้าดุขนาดนั้นเลย” เอียนกล่าว เขากำลังยืนล้วงกระเป๋าและยิ้มร่าอยู่ ข้างๆ มีเด็กหนุ่มวัยน่าจะไม่ห่างกันมากนักยืนนิ่งราวกับเป็นซากศพ
   “ก็คิดอยู่ว่าพวกนายต้องเล่นละครกัน แล้วอยู่แถวนี้จริงด้วย” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี แต่จางซื่อเยี่ยนไม่มีหน้าที่จะมาฟังคำพูดของศัตรู เขาขยับแขน สายลวดเล็กจิ๋วขดเป็นวงและคล้องเข้าใส่ชายผู้ยืนพูดอยู่ทันที
   “ถอยไป คุณเอียน” เด็กหนุ่มที่มีสีหน้าไร้อามรณ์ราวกับศพคนตายนั่นกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก เสียงของเขานิ่ง เรียบ แต่ชัดเจนเหมือนแผ่นกระดาษสีขาวปลอดที่วางอยู่บนกระดาษสีดำ เรียบและไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เสียงติงดังขึ้นเบาๆ จางซื่อเยี่ยนรู้สึกถึงความตึงที่ผิดปกติบนเส้นลวด เขาดึงสายสีเงินนั้นกลับเข้ามา เสียงปรบมือดังขึ้น
   “นี่สินะที่เรียกว่าด้ายพิฆาต ไอ้ฉันล่ะคิดว่าจะมีเข็มติดอยู่ตรงปลายเสียอีก” เอียนว่า ดูเหมือนจะไม่มีใครขำกับมุขตลกนั่น จางซื่อเยี่ยนกันเจ้านายของเขาออก พลางมองดูอาวุธในมือของฝ่ายตรงข้าม ในมือสองข้างของเด็กหนุ่มคนนั้น กำวัตถุสีเงินยาว ดูไปคล้ายๆ ท่อนเหล็กขนาดเหมาะมือที่เหลาปลายจนแหลม อดีตหน่วยดำกลืนน้ำลายเฮือกหนึ่ง ในขณะที่ไฮท์อันดับสิบเอ็ดกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
   “ตกใจใช่ไหมล่ะ จางซื่อเยี่ยน หรือควรจะเรียกว่าด้ายพิฆาตดี? อืม สมัยอยู่หน่วยดำนายก็เคยทำเรื่องกับทางเราไว้พอสมควรเหมือนกันนี่”
   เว่ยเฟิงปิงไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เขารู้ว่าพ่อของเขามักพอใจจะส่งหน่วยดำไปก่อกวนริเวิลในบางเวลา และฉายาด้ายพิฆาตของจางซื่อเยี่ยนก็มีมานานแล้ว เพียงแต่เจ้าหมอนี่ไม่ค่อยได้ใช้มันต่อหน้าเขาเท่าไหร่ ที่น่าแปลกใจคืออาวุธที่อยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามต่างหาก ถึงหน้าตามันจะดูเหมือนเข็มถักนิตติ้ง แต่นั่นก็เป็นอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาราวกับจะเอาไว้ใช้ต่อกรกับสิ่งที่เรียกว่า ด้าย โดยเฉพาะ เข็ม..อ่า..นีดเดิล?
   “เป็นไปไม่ได้....?!” เว่ยเฟิงปิงพึมพำขึ้นมา เอียนหันมามองเขาและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
   “เป็นไปได้สิ กำลังคิดอยู่ใช่ไหมล่ะว่า ไอ้เข็มเล่มโตขนาดนี้ นีดเดิลแน่ๆ แต่ว่าที่คุณเห็นอยู่นี่ไม่ใช่นีดเดิลที่คุณรู้จักหรอก นี่เป็นนีดเดิลคนใหม่”
   เว่ยเฟิงปิงขมวดคิ้วทันที พลางนึกถึงเรื่องที่เขาปรึกษากับเว่นจินหยิน มิน่าเล่าที่เถียนซานเคยพูดถึงเรื่องลูกน้องคนสนิทของเอียนที่ชื่อนีดเดิลจึงฟังดูแปลกๆ เจ้าหมอนั่นเล่าว่านีดเดิลที่เป็นลูกน้องของเอียนนั้น ยังไงก็คือนีดเดิล แต่บอกไม่ได้ว่าใครคือนีดเดิลกันแน่ รู้แต่ว่านีดเดิลนั้นฝีมือไม่ธรรมดาเลย และคงมีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าเข็มอยู่บ้าง ตอนนี้เว่ยเฟิงปิงเข้าใจในส่วนหนึ่งแล้ว ท่าทางเอียนจะเรียกลูกน้องคนสนิททุกคนว่านีดเดิล สิ่งต่อมาคือไอ้เข็มยักษ์ในมือนั่นเป็นอาวุธที่ใช้ได้จริงๆ หรือไว้แค่ขู่กันนะ...?
   
   “กรุณาหลบไปในที่ปลอดภัย คุณเอียน” นีดเดิลกล่าวขึ้นอีก เสียงของเขาช่างราบเรียบไร้อารมณ์สิ้นดี เอียนหัวเราะในคอ พลางโบกไม้โบกมือ “ได้ๆ ฉันไม่เกะกะนายก็ได้ นี่ เฟิงปิง นายเองก็ดูจะว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ? มาเล่นอะไรกันหน่อยไหม?”
   เว่ยเฟิงปิงไม่ตอบในทันที เขาขยับตัวไปทางขวา ก่อนจะก้มต่ำลง วัตถุบางอย่างบินผ่านศีรษะเขาไป และกลับเข้าไปในมือของเอียน
   “อา...พอมีฝีมืออยู่บ้างเหมือนกันนี่” หนุ่มผู้ใช้ภาษาอังกฤษสำเนียนอิตาลี่กล่าว เว่ยเฟิงปิงแค่นเสียง “ฉันไม่อยากเล่นจานร่อนกับนายหรอกนะ”
   เอียนขยับนิ้วมือ เป็นครั้งแรกที่เว่ยเฟิงปิงมีโอกาสสังเกตการแต่งตัวของผู้ชายคนนี้ชัดๆ เขาสวมชุดสูทสีขาวแบบปกติที่มีเส้นสีดำเล็กๆ พาดเป็นแนวยาวลงมา เหมือนกับกางเกง สวมเสื้อเชิ้ตสีเทาและผูกเน็ตไทสีน้ำเงินเข้ม ที่ดูจะน่าสนใจคือถุงมือหนังสีดำมันปลาบที่อยู่บนมือคู่นั้นต่างหาก ถึงเขาจะเห็นจางซื่อเยี่ยนสวมถุงมือเพื่อกันลวดบาดอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับเจ้าคนที่ชื่อเอียนนี่ คงไม่ได้ใช้ลวดแบบที่จางซื่อเยี่ยนใช้แน่ๆ เว่ยเฟิงปิงหรี่ตาลง เถียนซานพูดไม่ผิด ถึงมันจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อ แต่เจ้าหมอนี่ใช้สิ่งที่เรียกว่า จานแก้ว มันเหมือนห่วงแบนๆ ที่มีขอบคมๆ ปัญหาคือมันใสจนแทบมองไม่เห็น เพราะทำมาจากแก้วนั่นเอง และตอนนี้มันกำลังถูกควงอยู่บนนิ้วของเอียน
   “สายตาแบบนั้น นายมองเห็นที่อยู่ในมือฉันหรือ? มีคนบอกนายล่วงหน้าล่ะสิ คงเป็นคนสนิทของเว่ยจินหยินที่ชื่อเถียนซานคนนั้นใช่ไหม เจ้าหมอนั่นรู้อะไรๆ เกี่ยวกับพวกเรามากเกินไปจริงๆ ฉันคิดว่าฟารุคกับสคัลควรจะเก็บเจ้าหมอนั่นได้แล้ว”
   “นายมั่นใจว่าสองคนนั่นจะจัดการพี่ชายฉันได้หรือไง?” เว่ยเฟิงปิงย้อนถาม เอียนหัวเราะ “ไม่มั่นใจฉันจะออกมาหรือ แต่ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่อยากยุ่งกับพี่ชายนายที่มาคู่กับหัวหน้าหน่วยดำนั่นนักหรอก บอกให้เอาไหมว่าเราเรียกเถียนซานว่าอะไร?”
   “ฉันว่าฉันรู้” ผู้ถูกถามตอบ และพูดต่อ “ปิศาจของตระกูลเว่ย ฉันว่าฉันเคยได้ยินแบบนั้น”
   เอียนพยักหน้า “ใช่... และฉันก็ไม่อยากยุ่งกับปิศาจที่มาคู่กับหมาจิ้งจอก เพราะอย่างนั้นนะ เล่นกับนายสนุกกว่าเยอะ คุณอสรพิษ”
   “อืม...พวกนายนี่ช่างตั้งฉายาเสียจริงๆ” เว่ยเฟิงปิงกล่าวงึมงำ และล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ
   “ไม่ปล่อยให้หยิบปืนออกมาหรอกน่า!” เอียนว่า พลางสะบัดมืออีกครั้ง คราวนี้เสื้อบนต้นแขนของเว่ยเฟิงปิงเกิดรอยขาด นี่ถ้าขยับช้ากว่านั้นอีกนิด คงจะถึงชั้นผิวหนัง คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงยหน้าขึ้นมองคู่ต่อสู้ของเขา และกัดฟันกรอด
-----------------------------------------------
   ฝุ่บ!!
   จางซื่อเยี่ยนไม่มีเวลาจะสนใจเจ้านายของเขามากนัก จริงๆ คือต่อให้อยากสนใจก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เขาได้ยินจากเถียนซานและคนอื่นๆ อยู่เหมือนกันว่า ริเวิลมีมือสังหารที่เรียกกันว่านีดเดิลอยู่ แต่ที่ได้ยินมาไม่ใช่เด็กหนุ่มหน้าตาไร้ความรู้สึกแบบนี้ ดูเหมือนจะเป็นชายวัยกลางคนแล้วด้วยซ้ำ จางซื่อเยี่ยนแน่ใจว่าเถียนซานจำคนไม่ผิด และนีดเดิลคนเก่าคงไม่จู่ๆ ลดอายุลงแบบนี้ บางทีคนที่เรียกว่านีดเดิลอาจจะมีหลายคนก็ได้ แม้จะดูไม่ค่อยเข้าท่า แต่ก็พอจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ได้มากที่สุด เพราะอาวุธที่เจ้าหมอนี่ใช้นี่แหละ
   อดีตหน่วยดำกระโดดถอยหลังและเบี่ยงตัวเพื่อหลบปลายเหล็กแหลมที่แทงเข้ามา ก่อนจะขยับมือเพื่อขดวงลวดเงินที่ถูกดึงออกมาจากแหวนที่อยู่บนนิ้ว ครอบลงไปบนข้อมือที่แทงเข้ามา ก่อนที่ขดลวดจะรัดตัว แท่งเหล็กแหลมอีกแท่งก็แหวกเข้ามาและกระชากมันออก จางซื่อเยี่ยนดึงลวดของเขากลับ และกระโดดถอยหลังไปอีกสองสามก้าว ไอ้ท่อนเหล็กที่เหมือนเข็มถักนิตติ้งนี่ ถ้าพูดให้ตลกมันคงจะเอาไว้ถักผ้าพันคอสักผืนจากลวดของเขา แต่จางซื่อเยี่ยนคงไม่ขำ เขาเรียนวิธีการใช้ลวดนี้มาจากอาจารย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของเว่ยชิงอีกที ข้อเสียของวิชานี้คือ มันไม่เหมาะกับการเป็นฝ่ายตั้งรับ ตอนนี้จางซื่อเยี่ยนกำลังถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับวิชาของเขาอยู่ เขากำลังถูกบีบให้ตั้งรับด้วยเข็มสองเล่ม ซึ่งคนใช้ใช้มันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
----------------------------
   เว่ยจินหยินได้ยินเสียงระเบิด และคิดว่าคนอื่นคงได้ยินเหมือนกัน ดูจากสีหน้าที่หันมามองกันเองอย่างตื่นตระหนก เขารอเวลาอยู่พักหนึ่ง เมื่อพบว่ายังไม่มีใครพูดอะไร คุณชายรองแห่งตระกูลเว่ยจึงจำต้องเอ่ยนำขึ้นก่อน
   “เสียงนั่น..อะไรกัน?” เขาจงใจเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะทำให้ได้ยินกันทั้งห้องประชุม ซึ่งทุกคนกำลังทยอยออกจากห้อง โดยแยกกันเป็นระยะๆ เพื่อความปลอดภัย คนที่ยังอยู่ในห้องหันกลับมามองเขา เหมือนราวกับว่ารอฟังคำตอบจากคำถามนั้นอยู่ก็ไม่ปาน เว่ยจินหยินกะพริบตาปริบๆ ทันใดนั้นเอง.....
   “เสียงระเบิด” น้ำเสียงกระด้างราวกับหินแตกดังขึ้น ออกจะผิดความคาดหมายไปเสียหน่อยสำหรับเว่ยจินหยิน เขาไม่คิดว่าฟารุคจะเป็นคนพูดคำนี้ออกมาเอง ชายผู้มีเชื้อสายตะวันออกกลางหันมาทางเขา และพูดต่อ “แบบนี้ถูกใจคุณหรือเปล่า คุณชายเว่ย?”
   เว่ยจินหยินถลึงตา แสร้งทำเป็นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมไม่ขำกับมุขตลกของคุณ เราควรรีบออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” เขากล่าว และเดินตามแถวออกไปโดยมีเถียนซานเดินตามออกไปในระยะห่างพอสมควร ฟารุคหันไปหาลูกน้องของเขา
   “เราคงต้องกินปลาตัวใหญ่”
   สคัลยักไหล่ พูดโดยไม่มองผู้เป็นเจ้านาย “นั่นไม่นับนายใช่ไหมล่ะ?” เขาว่า และผุดลุกขึ้น ฟารุคจึงต้องเดินตามออกไป เป็นครั้งแรกที่ลูกน้องคนสนิทของเขาแสดงท่าทีแบบนี้ ดูท่าปลาที่เขายื่นให้สคัล คงตัวใหญ่จนฝืดคอแน่ๆ
-------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด