ตอนที่ 56 part 1 ลอยกระทง
ระยะเวลาที่ซ้อมด้วยกันมานานเป็นเดือนกำลังจะจบลงในวันนี้....วันลอยกระทง....
สี่ทุ่มกว่าแล้ว...ผมกำลังยืนอยู่หลังเวทีเพื่อรอขึ้นแสดงเป็นคิวต่อไป...
ที่จริง ผมไม่ควรตื่นเต้น เพราะเวทีเป็นสิ่งที่ผมเคยชิน แต่คงเพราะไม่มั่นใจว่าความพยายามตลอดที่ผ่านมาจะส่งผลอย่างไรทำให้อดประหม่าไม่ได้
หมับ.... ผมเลิกคิ้ว หันไปมองเจ้าของมือที่ยื่นมากุมมือผมไว้เพื่อให้กำลังใจ
ผมเพียงหันไปยิ้มบางๆให้เคลียร์ โดยที่เราไม่มีคำพูดใดมอบให้แก่กัน
เสียงพิธีกรประกาศชื่อวง พร้อมกับพวกเราค่อยๆ ย่างเท้าขึ้นไปบนเวที....
.
.
.
“รองอันดับ2 วง ………..” ชื่อวงของเราถูกเอ่ยขึ้นหลังจากนั้น สมาชิกวงพากันกระโดดโลดเต้น ผมหันไปแสดงความยินดีกับคนที่ยืนข้างๆ ก่อนจะหันมาอีกทางที่เคลียร์ยืนอยู่ ดึงผมเขาไปกอดอย่างดีใจ แต่ระหว่างที่ชุลมุนผมรู้สึกได้ถึงริมฝีปากของเขาที่มันบังเอิญเฉียดแก้มผมไปเยอะอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ......
เราผละออกจากกัน ผมมองรอยยิ้มบนใบหน้าเขาแล้วก็พลอยยิ้มตามไปด้วย จวบจนกระทั่งพิธีกรเริ่มประกาศผลรางวัลต่อไปอีก เราจึงเริ่มยืนสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้นเหลือเพียงสองมือที่กุมกันไว้ไม่ปล่อย....
เฮ!!!!!
เสียงเฮลั่นสนั่นรอบเวทีการประกวด เมื่อวงดนตรีตัวเก็งถูกเอ่ยชื่อออกมา เมื่อผมดูการแสดงที่ทั้งสนุกสนานทั้งมันของวงนั้นไปแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกติดใจการตัดสินเลยแม้แต่น้อย
“ผมคงไม่ลืมวันนี้ไปอีกนาน....” เสียงเคลียร์บอก พร้อมรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายและเสียงเซ็งแซ่รอบข้าง
“แม้จะไม่ได้ที่ 1เหรอ?” ผมถาม
“ที่สามก็ยังดีนะ เพราะพอฟังที่ 1 เล่นผมว่าวงเราแลดูกระจอกไปเลยด้วยซ้ำ” เขาพูดแล้วหัวเราะ
นั่นสินะ... ต่อให้ซ้อมสักเท่าไร มันก็มีองค์ประกอบหลายอย่างอยู่ดีที่ทำให้วงดนตรีชนะเลิศ
“เสียดายก็แต่ว่า ผมคาดหวังเอาไว้ว่าถ้าชนะเลิศคราวนี้ ผมคงมีความกล้าที่จะพูดอะไรกับปอนด์สักอย่าง... แต่....”
ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ แต่เขาก็ไม่พูดต่อ เพียงแค่ถอนใจยาวแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้ไปลอยกระทงด้วยกันไหม”
“เอ่อ... โทษที ปอนด์มีนัดแล้วล่ะ.....” เขาทำหน้าเสียดายเล็กน้อยแต่ก็ยังยิ้มให้....
“เฮ้อ... จบงานนี้ไป เราคงไม่มีโอกาสเจอกันบ่อยๆ แล้วสินะ”
“ทำไมจะไม่ได้เจอล่ะ ไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อย”
“ไม่รู้สิ อยู่ใกล้แค่นี้ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนไกลก็ไม่รู้” เขาเอ่ยเสียงเศร้าๆ
“เคลียร์”
“ผมเพิ่งรู้จากโต้งน่ะ เรื่องที่ปอนด์มีแฟนใหม่แล้ว....”
.
.
ใกล้เที่ยงคืนแล้ว... ผมยืนเกาท้ายทอยรอไอ้กระต่ายยักษ์นั่นจนเมื่อยก็ยังไม่เห็นวี่แววมันจะโผล่ศีรษะมาแต่อย่างใด ทำเอาผมแสนจะหงุดหงิดใจ ยี่สิบนาทีผ่านไปความอดทนก็สิ้นสุด ผมจึงต่อสายหามัน มันปล่อยให้ผมโมโหอยู่นานกว่าจะรับสาย
“ตกลงมึงจะลอยไหมกระทงน่ะ ถ้าไม่....กูจะได้ไปลอยกับคนอื่น....” ผมโวยทันทีเมื่อรู้สึกได้ว่ามันกดรับแล้วแม้มันจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ
“อย่ามาถามกูเลยดีกว่า ถามตัวเองเถอะ ว่าอยากลอยไหม...”
“ไม่อยากแล้วจะโทรตามหาพ่องเหรอ?”
“ไม่รู้ดิ ถ้ากูบอกไม่อยากไป ให้มึงไปลอยกับคนอื่นได้ มึงอาจจะดีใจมากกว่าก็ได้นี่....”
จบประโยคนั้นของมัน ผมก็เริ่มรู้สึกตัวว่าน้ำเสียงมันประชดประชัน และถ้าขืนโวยต่อไม่ดูตาม้าตาเรือเรื่องอาจจะจบไม่สวย จึงต้องเงียบเพื่อตั้งสติ
เหอะ!! งอนเรื่องอะไรอีกวะเนี่ย งง
“มึงอ่ะ ถ้ากูอยากลอยกับคนอื่น กูไม่โทรหามึงหรอก รีบมาได้แล้ว กูรอจนขาแข็งแล้วนะ... หนาวด้วย” ผมรีบบอกอย่างเสียไม่ได้ พยายามทำเสียงให้อ่อนลงอย่างสุดชีวิต แต่เริ่มใจเสียเมื่อไม่ตอบกลับมา....
“ถ้าหนาวแล้วทำไมไม่ใส่เสื้อหนาๆ ล่ะ”
ผมเกือบสะดุ้ง เมื่อคำถามนั้นลอยอยู่บนศีรษะแทนที่จะส่งมาจากมือถือ พอหันกลับไปก็เจอไอ้กระต่ายป่าวยืนเก๊กเอามือยัดเสื้อแจ๊กเกตอยู่ด้านหลัง ผมลดโทรศัพท์ลงยัดใส่กระเป๋ากางเกง
“ก็ไฟบนเวทีมันมักจะทำให้ร้อน เลยไม่ใส่เสื้อนอกมาให้เกะกะ” ผมตอบ
ทีนี้พ่อสุภาพบุรุษกระต่ายก็เริ่มถอดเสื้อนอกออกทำท่าเหมือนจะคลุมให้
“เฮ้ย...ไม่ต้อง” ผมรีบร้องห้ามเพราะรู้สึกเขินที่ถูกทำแบบนี้ในพื้นที่สาธารณะ ดูเหมือนอีกฝ่ายก็พอเดาออก แต่ก็ยังไม่ยอมฟังผมอยู่ดี
“แค่นี้คงไม่ทำให้ความแมนของมึงหดหายไปเท่าหรอก” มันพูดพร้อมกระชับเสื้อคลุมให้แน่นเข้า
“แล้วมึงไม่หนาวเหรอ?”
“นิดหน่อย...”
“งั้นอย่าดีกว่า กู....”
“แทนที่มึงจะปฏิเสธ .... บอกขอบใจซะยังจะดีกว่า....” มันสวนกลับมาเสียงเรียบ และทำให้ผมไม่อยากพูดอะไรต่อนอกจาก
“ขอบใจ....”
หลังจากหาอะไรใส่ท้องบรรเทาความหิวที่สั่งสมมาหลายชั่วโมงเรียบร้อย ผมกับตุลย์ก็เดินเอื่อยๆ ไปยังจุดขายกระทง
“แบบไหนดีล่ะ ขนมปัง หรือใบตองดี” ผมขอความคิดเห็นเรื่องกระทงที่จะซื้อ
“แบบไหนก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ” ผมถอนใจอย่างเบื่อหน่ายที่เห็นคนข้างๆ ทำตัวเป็นกระต่ายหงอย ซึมกะทือเหมือนกินหญ้าวางยาพิษลงไป
“ลองไปดูร้านนั้นแล้วกัน” ผมบอกแล้วเดินนำไปยังร้านขายกระทงที่ใกล้ที่สุด ที่มีทั้งทำจากใบตองและที่นำขันมาตกแต่ง ผมยืนเลือกกระทงคละแบบนั่นโดยไม่สนใจตุลย์ที่เดินเอื่อยเฉื่อยตามมาในภายหลัง
“มาลอยกระทงคนเดียวเหรอคะ” เสียงคนขายกระทงถามขึ้น ผมเงยหน้ามองว่าเขาถามใครแล้วก็เห็นคนขายมองไปด้านข้างที่ตอนนี้ไอ้ตุลย์ยืนทำหน้าเหมือนกระต่ายง่วง
“เปล่า... มากับ....” มันหันมามองที่ผมแล้วก็ไม่พูดต่อ หน้ายังเรียบๆ แต่ถ้าคนไม่รู้จักคงคิดว่ามันปวดขี้
“อันนี้ไหมคะ สวยสุดในร้าน” แม่นางกระทงยื่นกระทงใบตองที่ผมมองว่า เออมันสวยจริงๆ นั่นแหละมาตรงหน้าไอ้ตุลย์ แต่คนข้างๆ มันก็ช่างใจดำยืนนิ่งไม่ยอมรับไว้ จนผมรู้สึกรำคาญใจแทนจึงขอเจือกยื่นมือไปรับ
“สวยจริงๆ ด้วยนะ มึงเอาอันนี้แล้วกัน” ผมบอก ถือวิสาสะเลือกกระทงให้มันเสร็จสรรพ
“เท่าไร” โชคดีที่มันไม่เรื่องมาก เอ่ยถามราคาแล้วหยิบกระเป๋าเงินออกมา
“ไม่เป็นไรค่ะ อันนี้เราให้” เวลามากับไอ้ตุลย์รู้สึกเหมือนได้ของฟรีบ่อย แต่....
“ไม่ต้องทอนนะ” ผมเห็นมันยื่นยัดแบงค์ 500 ใส่มือแม่ค้าแล้วคว้าแขนผมให้เดินตามออกมา
“จะรีบไปไหนล่ะ กูยังไม่ได้ซื้อกระทงเลยนะ”
“อันเดียวก็พอแล้ว กระทงจะได้ไม่แยกทาง” มันตอบกลับแล้วลากผมเดินไปยังสระน้ำสวนนันทนาการที่จัดเป็นพื้นที่ลอยกระทง
เนื่องจากใกล้เที่ยงคืน และงานประกวดต่างๆ ทั้งนางนพมาศ และวงดนตรีเพิ่งเลิกจึงมีคนพลุกพล่าน และคนลอยกระทงตอนนี้ก็เยอะจนเข้าไปจุดธูปเทียนตรงเทียนพรรษาที่เตรียมไว้ยังไม่ได้
“มีไฟแช็กไหม?” ผมหันไปถาม แต่ตุลย์ส่ายหน้า
“งั้นรอให้คนซาก่อนแล้วกัน” ผมบอกและอีกฝ่ายก็ไม่ขัดข้อง
“อ้าวพี่....” เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ๆ จนอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง และพบว่าเจ้าของเสียงยืนอยู่ข้างๆ ผมนี่เอง
ผมจำหน้าเขาได้ น้องครัวซองต์ที่เจอที่ห้องโต้งนั่นเอง เขามองผมและคนข้างๆด้วยสายตาแสดงความสงสัย
“มาลอยกระทงกับใครครับ พี่โต้งไม่มาด้วยเหรอ”
เฮ้ย....มันใช่เวลาป่ะ ทำไงดีล่ะ ถ้าเด็กนี้เกิดพูดอะไรอันตรายขึ้นมาล่ะซวยแน่....เนียนๆ ว่าจำไม่ได้แล้วกันเผื่อรอด
“เอ่อ....ทักคนผิดแล้วมั้งครับ เราไม่เคยเจอกันมาก่อนนะ พี่ขอตัวก่อน” ผมตัดบทแล้วคว้ามือไอ้ตุลย์จะเดินหนี แต่เด็กนั่นก็โคตรตื๊อ
“จะไม่เคยได้ยังไง ผมเพิ่งเจอพี่ที่ห้องพี่โต้งเมื่อวันเสาร์นี่เองนะ”
ถึงตอนนี้ผมเดินต่อไม่ได้แล้ว ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากไปแต่เพราะไอ้คนที่ผมกำลังจับมือมันอยู่เกิดชะงักเท้ากึกไม่ยอมเดินต่อต่างหาก พอผมหันไปมองมันก็ทำหน้าบึ้งๆ แล้วแกะมือผมออกจากมือมัน วินาทีนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้แล้วว่าผมต้องซวยแล้วแน่ๆ
“วันเสาร์ใช่ไหม? ตอนกี่โมง” ไอ้ตุลย์ หันกลับไปหาเด็กครัวซองต์แล้วถามเสียงจริงจัง ผมเห็นเขาทำหน้าหวาดๆ เพราะกลัวแต่ก็ยังตอบฉะฉาน
“สักสองทุ่มได้ล่ะมั้ง”
“เป็นมันแน่เหรอ? ไม่ได้จำคนผิดหรอกใช่ไหม?” มันถามย้ำ...
“ผมไม่มีวันจำหน้าแฟนใหม่พี่โต้งผิดหรอก”
แค่นั้นแหละ เหมือนถูกจบชีวิต....
ตุลย์หันมาหาผมที่หน้าคงหดเหลือสองนิ้วเหมือนอยากขอคำอธิบาย แต่ผมไม่รู้จะเริ่มอธิบายตรงไหนก่อนดีเพราะเรื่องมันยาว ลงท้ายมันจึงเดินผ่านผมไปเฉยๆ
“เดี๋ยวตุลย์” ผมดึงข้อมือมันไว้แล้วถาม “ จะไปไหน เรายังไม่ได้....ลอยกระทงด้วยกันเลยนะ” งี่เง่าที่สุด ผมเองก็รู้...เวลาแบบนี้ใครจะมามีอารมณ์ลอยกระทง แต่ผมนึกอะไรจะพูดไม่ออกแล้วจริงๆ
“ถ้ามึงอยากลอยก็ลอยไปคนเดียวเถอะ หรือจะไปตามคนที่มึงอยากลอยด้วยมาก็ได้”
เป็นอีกครั้งที่มันแกะมือผมออกอย่างช้าๆ และผมได้แต่ยืนนิ่ง แล้วปล่อยให้มันเดินจากไป...
ให้มันโวยวาย ด่าทอ ระเบิดอารมณ์ออกมา ให้ฉุดกระชากลากไปซ้อมซะยังดีกว่าส่งสายตาเจ็บปวดมาแบบนั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Talk with*สถานะ: ใกล้จบมากกกกกก*ตอนนี้นิ ทยอยลง นิยาย *น้องฐา + ผมรักนักร้อง* ที่เว็บอื่นนะคะ
เผื่อใครอยากทวนความจำ สามารถอ่าน NC เรื่องนี้* แบบ uncut ได้ที่เว็บธัญวลัย (ขอไม่ลงลิงค์นะคะ)
เนื่องด้วยใกล้จบมาก หากใครคิดว่าตอนนี้ยังมีปมที่นักเขียนลืมปิดสามารถแจ้งได้นะคะ เพราะสำหรับนิ คิดว่าเคลียร์หมดแล้ว

เฮ้ย!! หวานๆ อยู่ดีๆ ทำไมมีมาม่า

ขออภัยด้วยบอกไว้ในเพจว่าแต่งตอนจบ แต่พอมาคิดๆ ดู ไหนๆ จะจบ เลยขอสักนิด เดี๋ยวไม่ครบรส
*พยายามไม่ให้อืด น่าจะไม่เกินสอง-สามตอนนะคะ
นิค่ะ