ผ่านการเกลาแล้ว ต่างจากเดิมอยู่นะคะ
ขออภัยด้วย ปรับปรุงซะนานเลย
หลังรสจูบหนักๆ ของมัน....ผมก็สิ้นสภาพนิสิต (นักศึกษา) และเพราะพิษรักเอ๊ย ไม่ใช่... พิษไข้รุมเร้าจนทำให้ไม่มีแรงยืน ถ้าไม่มีแขนของมันประคองไว้ก็คงลงไปกองเรียบร้อย
“พากูออกไปที...” ผมกระซิบเสียงแผ่วอยู่กับอกของมัน
“ไปไหน” มันถามกลับมา
“ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่” ผมส่งเสียงอ้อนอย่างหมดแรงแล้วหลับตานิ่งทิ้งตัวอยู่กับอ้อมแขนแข็งแรงนั่น
มันไม่เอ่ยถามอีก ทำเพียงช้อนร่างผมลอยขึ้นเหมือนอุ้มเจ้าหญิงก่อนจะพาผมเดินออกไป
ผมแกล้งหลับ หลับตาให้คนคิดว่าเป็นลมไปเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนอื่นให้ต้องอายยิ่งกว่าเดิม..
ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงคน มีคำถามลอยวนว่าผมเป็นยังไงบ้าง รวมถึงเสียงผู้หญิงคนนั้นที่บอกว่าเธอมียาดม
“คงเป็นลมไปเพราะไข้สูงมาก ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูพาไปพักเอง เดฟ....ฝากไปส่งเธอทีนะ”
แม้ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่ผมรู้ว่ามันหมายถึงใคร ผมควรรู้สึกยอกแสยงใจบ้างที่เห็นมันแสดงความห่วงใยใครคนอื่น แต่เมื่อนึกถึงอ้อมแขนของมันที่โอบอุ้มผมไว้ตอนนี้ ผมก็ควรดีใจมากกว่าน้อยใจ...
ตอนที่อยู่ในรถเราไม่ได้คุยกันอีก ต่างฝ่ายคงต่างพยายามทบทวนเรื่องต่างๆ ให้ตกผลึก
ส่วนตัวผมคงไม่คาดหวังอะไรว่าการอุทิศความน่าอายของตัวเองเป็นเครื่องสังเวยจะทำให้ตุลย์ใจอ่อนบ้างไหม สภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่อ่อนแอของผมตอนนี้ไม่อำนวยให้คิดอะไรมากนัก แต่อย่างน้อย.... การที่เราต่างพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมามันคงช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นบ้าง
เมื่อถึงห้อง มันวางผมลงที่เตียงก่อนจะหาผ้ามาเพื่อเช็ดตัวให้ ผมทำอะไรไม่ถูกเลยที่เห็นมันทำแบบนั้น ใจหนึ่งก็อยากจะขัดขืนไม่อยากให้มันแตะต้อง แต่เดี๋ยวก็จะทะเลาะกันต่อด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก จึงพยายามหลับหูหลับตาไม่รับรู้อะไร แม้ว่าหัวใจตัวเองจะเต้นดังขึ้นจนกลัวมันทะลุอกมาทุกนาที
คืนนั้น....หลังจากมันจัดการเก็บผ้าเรียบร้อยมันก็กลับมาอีกครั้ง กลับมานอนอยู่ข้างๆ กัน
ด้วยความอ่อนเพลียผมจึงไม่ได้ขับไล่มันให้กลับไป
ไม่มีคำพูดใดในคืนนั้น ไม่มีเสียงทะเลาะหรือถ้อยคำตัดพ้อ มีเพียงความเงียบและร่างของผมที่กอดเกยควานหาไออุ่นที่โหยหามานานหลายวัน และผมหลับสนิทได้อีกครั้ง....
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ... บนเตียงนั้นว่างเปล่าและเย็นเฉียบ มันไม่อยู่แล้ว
คงไปนานแล้วมั้ง และอาจจะไม่มาอีก... ผมยิ้มเศร้า เมื่อคิดอย่างนั้น
บางทีมันอาจจะไม่พอใจที่ผมเอ่ยปากตัดขาดมันเมื่อวานนี้ ทั้งๆที่ผมพูดไปทั้งหมดด้วยอารมณ์น้อยเนื้อต่ำใจก็เท่านั้น ผมก็รู้ตัวดีอยู่ว่าที่พูดออกไปว่าทุกอย่างจะดี แต่ความเป็นจริง มันก็ไม่ได้ง่ายถึงขนาดนั้น แค่นึกถึงตอนที่ไม่มีมันขึ้นมาทีไร ก็เหงาใจ...และคิดถึงจนทนไม่ไหว และผมยังไม่รู้ว่าต้องอยู่กับความคิดถึงแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนถึงจะตัดใจได้จริงๆ
แอ๊ด....
ผมแทบสะดุ้งเมื่อประตูห้องเปิดออกและร่างสูงใหญ่เดินเข้าห้องมาพร้อมถุงใสในมือ
บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไรตอนนั้น มันเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายแล้วมีคนยื่นชูชีพมาให้แล้วลากเข้าฝั่ง...
“ตื่นแล้วเหรอ?” คำถามมันเรียบง่ายไม่บอกอารมณ์
“......” ผมเงียบไม่ตอบแล้วก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความหวั่นไหว
“กินโจ๊กกัน...” มันบอกแล้วเดินไปหาชามมาใส่โจ๊กให้
เรานั่งกินโจ๊กนั่นเงียบๆ
“ดูเหมือนไข้จะลดแล้วนะ...” ผมพยักหน้าน้อยๆ
“กินยานี่ซะ...แล้ววันนี้ก็หยุดเรียนเถอะ” ผมรับยานั่นมาอย่างว่าง่าย
“กูซื้อข้าวต้มเซเว่นมาแช่ไว้ให้แล้วนะ คงกินได้อีกหลายมื้อ กินข้าวกินยาให้ครบตามเวลาล่ะ จะได้หายไวๆ”
มันสั่งเสีย และเมื่อผมไม่ตอบอะไรมันก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตูห้อง
“ตุลย์.....” มันหันมามอง... “มึง..จะไปไหน...”
“กลับบ้าน” มันตอบง่ายๆ ใจผมนึกอยากถามว่าแล้วมันจะมาอีกไหม...แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่บอกให้ผมกินข้าวกินยาให้ครบก็แปลว่ามันคงไม่กลับมาอีก คำถามนั่นจึงถูกกลืนหายไปอีกครั้ง
“จะไม่มาที่นี่อีกแล้วใช่ไหม เรื่องของเรามันจะจบลงแค่นี้ใช่ไหม” มองผมนิ่ง ไม่ตอบ... “อือ กูเข้าใจ ยังไงก็ขอบใจนะสำหรับทุกอย่าง...มึงไปเถอะ กูอยู่ได้....” ผมบอกพยายามฝืนยิ้มแม้จะฝืดฝืนและนึกอยากร้องไห้ออกมา
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงถอนใจเฮือกใหญ่
“จะบ้าหรือไง บอกตอนไหนว่าจะยอมให้ไป บอกตอนไหนว่าอยากเลิก กูบอกตอนไหนว่าไม่รักมึงแล้ว ถ้ากูไม่ได้พูดแบบนั้นก็อย่าคิดไปเองดิวะ...” มันโวยวายออกแนวบังคับ
"ก็มึงบอกจะไป...."
"กลับไปอาบน้ำอาบท่าไปเรียนบ้างน่ะสิ"
“แล้วมึงหายโกรธกูหรือยังล่ะ....”
“ยัง” คำสั้นๆ ที่ทำให้ธารใสซึ่งอั้นไว้คราวแรกกลายเป็นปริ่ม..
“อย่าร้องไห้ เดี๋ยวก็ไข้กลับอีก” มันห้ามเสียงดุ “เอาน่า กูแค่ล้อเล่น หายแล้วก็ได้ แต่แค่อยากให้ง้อกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะจริงๆ กูยังไม่ได้คำอธิบายที่ฟังขึ้นเลยนะ นอกจากเพลงเพราะๆ กับเรื่องที่มึงบอกว่า มึงเป็นเมียกูคนเดียว...”
“กูทำดีที่สุดได้แค่นี้แหละ..” แค่นั้นก็อับอายขายหน้าจนอยากมุดดินหนีแล้ว
“ดีมันก็ดี แต่ยังไม่ที่สุด”
“ต้องให้ร้องไห้หน้าคณะหรือไงถึงจะหาย...”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไงอีกวะ...แล้วทีมึงล่ะยังพา....”
“ก็ไม่ได้สนใจเค้า.... สาบานก็ได้นะ ขอให้....”
“ไม่ต้องเลย เผื่อฟ้าร้องตอนกูอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากเสี่ยงด้วย...”
“รู้ได้ยังไงว่าจะสาบานอย่างนั้น...”
“ไม่รู้ดิ เดาเอา ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบสาบานอะไรซ้ำซาก”
“ถ้ากูโกหกขอให้...มึงไม่รัก....”
“มันน่ากลัวตรงไหนน่ะ”
“มึงไม่รู้หรือไง......”
“รู้ว่า........” มาอีกแล้วเหรอ การตอบคำถามด้วยคำถาม....
“ถ้ามึงไม่รักกู กูก็รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว ไม่น่ากลัวได้ยังไง....”
พอฟังคำพูดแบบนั้นแล้วผมก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ซ่อนยิ้มไว้ในหน้า....
พูดขนาดนี้แล้ว ถึงบอกว่ายังงอนอยู่ผมก็ไม่ง้อแล้วล่ะครับ หึหึ
แม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาจะมีช่วงที่เลวร้ายกับเหตุการณ์บีบคั้นต่างๆ เกิดขึ้น แต่เมื่อมีมันอยู่ใกล้ ได้ยินมุกแป้กเลี่ยนๆ ที่ไม่เข้ากับหน้ามันแบบนี้ มันก็แทบจะทำให้ลืมวันเวลาเหล่านั้นไปจนหมด...
ด้วยความถึก บึกบึน... ทานข้าวเป็นเวลา ทานยาครบ นอนหลับสนิท ทำให้ผมหายไข้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้ไปร้องเพลงที่ริมทางอย่างเดิมแล้ว เพราะทนความอับอายที่เกิดที่ร้านไม่ไหว เลยขอพี่ต้องพักยาวไปแบบไม่มีกำหนด
ตุลย์กลับไปบ้านแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากทำรายงานที่ค้างไว้ให้เสร็จไปแต่เนิ่นๆ ซึ่งผมไม่ได้คัดค้านขอร้องให้มันอยู่ เพราะรู้ว่าที่จริงมันเป็นคนขยันเรียนมากทีเดียว
นอกจากนี้มันยังดูยุ่งๆ เพราะต้องแบ่งเวลาไปซ้อมบาสที่โรงยิมเพื่อแข่งกีฬามหาวิทยาลัยอีก ซึ่งผมไม่ได้ถามว่าอยู่ดีๆ ทำไมมันถึงตัดสินใจไป ทีแรกผมก็ไม่ได้อยากไปดูเท่าไร แต่เพราะไม่ต้องไปร้องเพลงแล้วก็เลยว่างจัด ถึงได้แวะไปดู แล้วก็รู้ว่ายัยแจ๊มป์ก็ดันอยู่ชมรมบาสนี้ด้วย
ทีแรกก็นึกตะขิดตะขวงใจบ้างจนต้องแวะไปเฝ้าทุกๆ วัน แต่พอนานๆ เข้าก็รู้สึกว่าตุลย์ก็ยังเป็นตุลย์ที่ยังไม่สนใจใครเหมือนเดิม มันอาจจะอัธยาศัยดีกับแจ๊มป์บ้างแต่ถึงอย่างไร....ผมก็รู้สึกได้ว่ามันไม่มากเท่าที่มีให้ผม พักหลังผมจึงสบายใจขึ้นเยอะ
หรือแม้แต่ตุลย์เอง...ถึงมันจะเคยบอกว่ายังไม่หายโกรธแต่มันก็ไม่พูดไม่ถามถึงเรื่องที่โกรธเคืองกันในตอนนั้นแล้ว และเมื่อมันไม่ถามผมจึงทำเป็นลืมๆ ไปบ้างหมือนกัน
ในที่สุดก็ผ่านมิดเทอมไปจนได้.... การมีตุลย์เป็นแฟนทำให้การติวหนังสือดูดุเดือดเลือดพล่านกว่าปกติจนน่าใจหาย จนผมขอร้องให้มันปล่อยผมไปตามทางเถิด มันมีบ่นบ้างแต่ก็ยอมให้แยกตัวไปติวหนังสือเองเพราะบางวิชาเราก็เรียนไม่เหมือนกัน
หลังสอบอันเคร่งเครียดผมนอนหลับเป็นตายไปเป็นวันๆ ส่วนตุลย์ก็เงียบหายไปอย่างไร้ตัวตน จากที่เริ่มสอบจนสอบเสร็จผมไม่ได้เจอมันมาประมาณอาทิตย์นึงได้แล้วมั้ง
ที่จริงผมไม่ได้อยากไปหามันหรอก แต่ไม่เจอกันนาน โทรศัพท์ก็ไม่ได้คุย เลยนึกเป็นห่วงว่ามันจะตายคาบ้านหรือเปล่า จึงตกลงใจแวะไปหาเสียหน่อย แต่ที่ไหนได้ พอไปถึงก็เจอมันกำลังนั่งเล่นเกมเพลย์ชิลชิล ช่างเสียเวลาห่วงใย...
“อ้าว....กำลังคิดถึงพอดี...”
“คิดถึงแล้วไม่มาหาแต่นั่งเล่นเกมเนี่ยเนอะ” ผมค่อนแคะแล้วนั่งลงกับพื้นเว้นระยะห่างนิดหน่อยเผื่อถูกจู่โจมกะทันหัน
“มาเล่นเกมกันไหม?” มันชวน
“เกมอะไรล่ะ?”
“.............ป่ะ เล่นเป็นไหม?” มันเอ่ยชื่อเกมฟุตบอลยอดฮิตขึ้นมา
“พอได้อยู่”
“มาพนันกัน ถ้าใครชนะ จะขออะไรอีกฝ่ายก็ได้ข้อนึง....”
“โกงว่ะ มึงเล่นทุกวันจะแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง”
“งั้นต่อให้ 5 ลูก..ถ้าเสมอกัน ถือว่ากูแพ้ แต่ถ้าชนะแต้มต่างเท่าไรก็จะขอได้เพิ่มขึ้นอีก...เอาเปล่า มึงได้เปรียบเห็นๆ” ผมทำท่าคิด ตั้ง5ลูก จะว่าไปก็เยอะเหมือนกันล่ะนะ...
“ก็ได้”
ผลการแข่งหลังจากผมเล่นอย่างสุดฝีมือ สกอร์อยู่ที่ 1:8
คิดว่าคงเดากันถูกว่าใครได้ 1ใครได้ 8 เฮ้อ.... หลังหักแต้มต่อไป 5 ก็ยังเหลือแต้มต่างอยู่อีก 2
คิดแล้วก็อนาถตัวเองครับ เสียเปรียบมันทั้งขึ้นทั้งล่อง
“คำขอข้อแรก... ขอให้มึงตอบคำถามที่กูจะถามต่อไปนี้.... โดยห้ามโกหกแม้แต่คำเดียวถ้ามึงโกหกขอให้ตายด้าน”
มันเลิกเล่นเกมเพลย์ แต่หันมาเล่นงานผมแทนแล้วตอนนี้
“แล้วทำไมต้องแช่งด้วยวะเนี่ย” ผมบ่นออดแอด
“ก็อยากฟังแต่ความจริงไง.....ตกลงป่าว”
“เออ ถามอะไรก็ถามมาดิ”
เงียบไปนานจนผมเพลีย....
“มึงเลิกชอบมันยังวะ ยาสระผมนั่นน่ะ” คำถามแรกมานี่ก็โหดเลยนะ
“อยู่ดีๆ ทำไมถามล่ะ”
“ที่จริงก็อยากถามตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้มึงจะตอบเปล่า ว่าไงล่ะ ตอบมาสิ”
“ชอบมึงมากกว่าแล้วกัน....” มันเงียบ.... เมื่อเจอคำตอบเอาใจไป
“แล้วโต้งอะไรนั่นล่ะ มึงคิดอะไรกับมันป่าว...”
“มันเป็นเพื่อนที่ดีนะ ดีมากเลยแหละ”
“ยังมีอะไรปิดกูอีกไหม? เรื่องที่กูไม่รู้....”
“เรื่องบางอย่างไม่ต้องรู้จะดีกว่าไหมล่ะ อย่างมึงเองก็ต้องมีบ้าง เรื่องที่ไม่อยากบอกกูเพราะกลัวกูคิดมากใช่ป่ะวะ?” ทีนี้ทมันทำท่าคิด เหมือนจะเห็นด้วย
“หมดยังขี้เกียจตอบแล้ว...”
“รักกูป่ะ....” คือเหี้ยสุดละคำถามนี้....
“อย่าถามอะไรที่รู้อยู่แล้วดิวะ...”
“กูไม่แน่ใจว่ากูรู้นี่หว่า...ตอบมาเลย....ห้ามโกหกด้วยนะ แล้วก็ห้ามตอบแบบอ้อมๆ ด้วย”
ผมถอนใจยาวแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนที่ตอบ
“รัก”

เหมือนถูกขืนใจเลยพับผ่าสิ
“มากป่ะ....” ได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึง!
“..............................”
“ตอบดิ....วอก”
“มาก....” ฮือ ไอ้เลวววววว

“ก็เท่านั้น” แล้วมันก็หัวเราะ ไอ้โรคจิตตตตตตตตตเอ๊ยยยย

“ก็แค่บอกว่ารักจะไปยากตรงไหน ทำหน้าเหมือนพูดแล้วจะตายไปได้ พูดให้ฟังบ่อยๆ หน่อยไม่ได้หรือไงนะ”
“คำบางคำอ่ะนะ นานๆพูดที ฟังแล้วก็รู้สึกดีและมีค่า แต่ถ้าพูดบ่อยๆ ฟังแล้วก็เบื่อเปล่าๆ....”
“ถ้าเป็นมึงพูด กี่ครั้งๆ กูก็ไม่มีวันเบื่อ...”
“มึงยังไม่เบื่อเพราะกูไม่ได้พูดบ่อยๆไง” ผมเถียง
“แสดงว่ากูพูดๆ บ่อยแล้วมึงจะเบื่อรึไง ขนาดกูยังไม่เบื่อที่จะพูดเลย แล้วมึงมีสิทธิ์อะไรมาเบื่อที่จะฟังวะ....?”
ผมทำหน้าเอือมระอา ส่ายหน้ากับเสียงดุๆ นั่น
“อย่าบอกนะว่ามึงเบื่อจริงอ่ะ” ดุแล้วก็ถามกลับอีก วุ่นวายจริงๆ ไอ้กระต่ายบ้าเอ๊ย.....
“ทำไม? ถ้ากูบอกเบื่อ มึงจะเลิกพูดหรือไง....” ผมหันไปถามกวนๆ
“ไม่หรอก มึงเบื่อก็เรื่องของมึงสิ กูอยากพูดแล้วมึงจะทำไม”
เฮ้อ.......ถ้าสุดท้ายแล้วจะเอาแต่ตัวเองแบบนั้น ก็ไม่รู้ว่ามันจะถามทำซากอะไรเหมือนกันนะครับ
“ถึงมึงเบื่อกูก็จะพูด........รักมึงนะ” ผมเองก็คงไม่ต่างจากมันหรอกมั้ง
คำว่ารักจากปากมัน
ให้ฟังซ้ำๆซากๆ บ่อยมากแค่ไหน...แต่ถึงยังไง ก็ไม่มีวันเบื่อ
Fin……………………………………………………………………………………
แถม.....
ไม่นานหลังจากนั้น.... ผมรู้สึกถึงเท้ากระต่ายที่เปะป่ายไปทั่วร่างผม
“เดี๋ยวดิ.....ถามคำถามจบแล้วเหรอ?”
“จบแล้ว.....”
“งั้นถอยไปเลย...กูจะกลับแล้ว...” พยายามแงะงัดมือปล่หมึกนั่นออก
“ไปไหนวะ... ยังไม่หายคิดถึงเลย” มันส่งเสียงอ้อน...
“เรื่องของมึง ไม่เกี่ยวกะกูเลย...”
“เฮ้ย!! มึงแพ้พนันนะ เพราะงั้นกูยังขออะไรจากมึงได้อีกข้อ”
“ฮะ? จะขออะไรอีก”
มันส่งสายตาหวังดีประสงค์รักมาให้อีกครั้งก่อนจะคลุกวงในกอดรัดกันให้ตายคาอก..แล้วเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ขนลุกขึ้นมาอีก...
“ขอกินหน่อย.......นะขนมปังคนดี......”
ซวยแล้ว...คือคำขอข้อนี้เชี่ยกว่าข้อแรกพันเท่าเลย
แต่...ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำใจว่าวันนี้คงไม่มีทางรอดพ้นจากการเป็นอาหารกระต่ายแน่แล้ว.....
เฮ้อ...............................
เบื่อมัน
เบื่อมัน
เบื่อมัน
เบื่อมัน
เบื่อมัน
เบื่อมัน
และที่เบื่อมากกว่าตัวมันก็คือตัวผมเอง....
ทำไมไม่เคยเอาชนะความเอาแต่ใจของกระต่ายหื่นเซ็กส์จัดตัวนี้ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวเลยนะ !! 
End.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จริงๆ มีปมที่ถูกตัดออกด้วยนะ เพราะกลัวมาม่าลากยาวกว่านี้เลยพักเก็บไว้ แต่ถ้าคนอ่านไม่รู้ตัวก็แสดงว่าไม่เป็นไร 55+
*ถ้าใครนึกครึ้มไปอ่านซ้ำแล้วเจอปมที่คิดว่าคนเขียนลืมก็บอกได้นะคะ แต่คิดว่าไม่มีแล้วแหละ (แต่ช่วงที่นิย้อนไปแก้คำผิดทั้งเรื่อง ถ้าเจอเองแล้วจะตามเก็บให้นะ)
***ตอนจบเหมือนจะรวบรัดเพราะชอบฉากนี้ แต่คิดว่าไม่จบห้วนอะไรเพราะมีตอนพิเศษให้อ่านอยู่อีก
****แต่....ตอนพิเศษรอไปก่อนนะอย่างเร็วก็สามวัน อย่างช้าก็ครึ่งเดือน
***** รวมเล่ม....ติดต่อสนพ.อยู่ค่ะ คิวย้าวยาววววววว ใครอยากได้สองหนุ่มไปเก็บ คงต้องรอกันนานหน่อย แต่รับรองว่า ต้องออกมาสวยแน่เลย